สมมุติ วิมุติ หลวงพ่อชา สุภัทโท

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 29 กรกฎาคม 2011.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    สมมุติ วิมุติ

    หลวงพ่อชา สุภัทโท


    [​IMG]

    สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติที่เราสมมุติ ขึ้นมาเองทั้งสิ้นสมมุติแล้วก็หลงสมมุติของตัวเองเลยไม่มีใครวางมันเป็นทิฐิ มันเป็นมานะความยึดมั่นถือมั่นอันความยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะจบ ได้มันจบลงไม่ได้สักทีเป็นเรื่องวัฏฏสงสารที่ไหลไปไม่ขาดไม่มีทางสิ้นสุดที นี้ถ้าเรารู้จักสมมุติแล้วก็รู้จักวิมุตติครั้นรู้จักวิมุตติแล้วก็รู้จัก สมมุติก็จะเป็นผู้รู้จักธรรมะอันหมดสิ้นไป


    ก็เหมือนเราทุกคนนี้แหละ แต่เดิมชื่อของเราก็ไม่มีคือตอนเกิดมาก็ไม่มีชื่อที่มีชื่อขึ้นมาก็โดย สมมุติกันขึ้นมาเองอาตมาพิจารณาดูว่าเอ!สมมุตินี้ถ้าไม่รู้จักมันจริงๆแล้ว มันก็เป็นโทษมากความจริงมันเป็นของเอามาใช้ให้เรารู้จักเรื่องราวมันเฉยๆ เท่านั้นก็พอให้รู้ว่าถ้าไม่มีเรื่องสมมุตินี้ก็ไม่มีเรื่องที่จะพูดกันไม่ มีเรื่องที่จะบอกกันไม่มีภาษาที่จะใช้กัน


    เมื่อครั้งที่อาตมาไปต่าง ประเทศอาตมาได้ไปเห็นพวกฝรั่งไปนั่งกรรมฐานกันอยู่เป็นแถวแล้วเวลาจะลุกขึ้น ออกไปไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามเห็นจับหัวกันผู้นั้นผู้นี้ไปเรื่อยๆก็ เลยมาเห็นได้ว่าโอ!สมมุตินี้ถ้าไปตั้งลงที่ไหนไปยึดมั่นหมายมั่นมันก็จะเกิด กิเลสอยู่ที่นั่นถ้าเราวางสมมุติได้ยอมมันแล้วก็สบาย


    อย่างพวกนายพล นายพันทหารมาที่นี่ก็เป็นผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ครั้นมาถึงอาตมาแล้วก็พูด ว่า"หลวงพ่อกรุณาจับหัวให้ผมหน่อยครับ"นี่แสดงว่าถ้ายอมแล้วมันก็ไม่มีพิษ อยู่ที่นั่นพอลูบหัวให้เขาดีใจด้วยซ้ำแต่ถ้าไปลูบหัวเขาที่กลางถนนดูซิไม่ เกิดเรื่องก็ลองดูนี่คือความยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ฉะนั้นอาตมาว่าการวางนี้ มันสบายจริงๆเมื่อตั้งใจว่าเอาหัวมาให้อาตมาลูบก็สมมุติลงว่าไม่เป็นอะไร แล้วก็ไม่เป็นอะไรจริงๆลูบอยู่เหมือนหัวเผือกหัวมันแต่ถ้าเราไปลูบอยู่กลาง ทางไม่ได้แน่นอน


    นี่แหละเรื่องของการยอมการละการวางการปลงทำได้แล้ว มันเบาอย่างนี้ครั้นไปยึดที่ไหนมันก็เป็นภพที่นั่นเป็นชาติที่นั่นมีพิษมี ภัยขึ้นที่นั่นพระพุทธองค์ของเราท่านทรงสอนสมมุติแล้วก็ทรงสอนให้รู้จักแก้ สมมุติโดยถูกเรื่องของมันให้มันเห็นเป็นวิมุตติอย่าไปยึดมั่นหรือถือมั่นมัน สิ่งที่มันเกิดมาในโลกนี้ก็เรื่องสมมุติทั้งนั้นมันจึงเป็นขึ้นมาครั้นเป็น ขึ้นมาแล้วและสมมุติแล้วก็อย่าไปหลงสมมุตินั้นท่านว่ามันเป็นทุกข์เรื่อง สมมุติเรื่องบัญญัตินี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดถ้าคนไหนปล่อยคนไหนวางได้มันก็ หมดทุกข์


    แต่เป็นกิริยาของโลกเราเช่นว่าพ่อบุญมานี้เป็นนายอำเภอ เถ้าแก่แสงชัยไม่ได้เป็นนายอำเภอแต่ก็เป็นเพื่อนกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเมื่อ พ่อบุญมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอก็เป็นสมมุติขึ้นมาแล้วแต่ก็ให้ รู้จักใช้สมมุติให้เหมาะสมสักหน่อยเพราะเรายังอยู่ในโลกถ้าเถ้าแก่แสงชัย ขึ้นไปหานายอำเภอที่ที่ทำงานและเถ้าแก่แสงชัยไปจับหัวนายอำเภอมันก็ไม่ดีจะ ไปคิดว่าแต่ก่อนเคยอยู่ด้วยกันหามจักรเย็บผ้าด้วยกันจวนจะตายครั้งนั้นจะไป เล่นหัวให้คนเห็นมันก็ไม่ถูกไม่ดีต้องให้เกียรติกันสักหน่อยอย่างนี้ก็ควร ปฏิบัติให้เหมาะสมตามสมมุติในหมู่มนุษย์ทั้งหลายจึงจะอยู่กันได้ด้วยดีถึงจะ เป็นเพื่อนกันมาแต่ครั้งไหนก็ตามเขาเป็นนายอำเภอแล้วต้องยกย่องเขาเมื่อออก จากที่ทำงานมาถึงบ้านถึงเรือนแล้วจึงจับหัวกันได้ไม่เป็นอะไรก็จับหัวนาย อำเภอนั่นแหละแต่ไปจับอยู่ที่ศาลากลางคนเยอะๆก็อาจจะผิดแน่นี่ก็เรียกว่าให้ เกียรติกันอย่างนี้ถ้ารู้จักใช้อย่างนี้มันก็เกิดประโยชน์ถึงแม้จะสนิทกัน นานแค่ไหนก็ตามพ่อบุญมาก็คงจะต้องโกรธหากว่าไปทำในหมู่คนมากๆเพราะเป็นนาย อำเภอแล้วนี่แหละมันก็เรื่องปฏิบัติเท่านี้แหละโลกเราให้รู้จักกาลรู้จัก เวลารู้จักบุคคล


    ท่านจึงให้เป็นผู้ฉลาดสมมุติก็ให้รู้จักวิมุตติก็ ให้รู้จักให้รู้จักในคราวที่เราจะใช้ถ้าเราใช้ให้ถูกต้องมันก็ไม่เป็นอะไร ถ้าใช้ไม่ถูกต้องมันก็ผิดมันผิดอะไรมันผิดกิเลสของคนนี่แหละมันไม่ผิดอัน อื่นหรอกเพราะคนเหล่านี้อยู่กับกิเลสมันก็เป็นกิเลสอยู่แล้วนี่เรื่อง ปฏิบัติของสมมุติปฏิบัติเฉพาะในที่ประชุมในบุคคลในกาลในเวลาก็ใช้สมมุติ บัญญัติอันนี้ได้ตามความเหมาะสมก็เรียกว่าคนฉลาดให้เรารู้จักต้นรู้จักปลาย ทั้งที่เราอยู่ในสมมุตินี้แหละมันทุกข์เพราะความไปยึดมั่นหมายมั่นมันแต่ถ้า รู้จักสมมุติให้มันเป็นมันก็เป็นขึ้นมาเป็นขึ้นมาได้โดยฐานที่เราสมมุติแต่ มันค้นไปจริงๆแล้วไปจนถึงวิมุตติมันก็ไม่มีอะไรเลย


    อาตมาเคยเล่าให้ ฟังว่าพวกเราทั้งหลายที่มาบวชเป็นพระนี้แต่ก่อนเป็นฆราวาสก็สมมุติเป็น ฆราวาสมาสวดสมมุติให้เป็นพระก็เลยเป็นพระแต่เป็นพระเณรเพียงสมมุติพระแท้ๆ ยังไม่เป็นเป็นเพียงสุมมติยังไม่เป็นวิมุตตินี่ถ้าหากว่าเรามาปฏิบัติให้จิต หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเหล่านี้เป็นขั้นๆไปตั้งแต่ขั้นโสดา สกิทาคามี อนาคามีไปจนถึงพระอรหันต์นั้นเป็นเรื่องละกิเลสแล้วแต่แม้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ยังเป็นเรื่องสมมุติอยู่นั่นเองคือสมมุติอยู่ว่าเป็นพระอรหันต์อัน นั้นเป็นพระแท้ครั้งแรกก็สมมุติอย่างนี้คือสมมุติว่าเป็นพระแล้วก็จะละกิเลส เลยได้ไหม?ก็ไม่ได้เหมือนกันกับเกลือนี่แหละสมมุติว่าเรากำดินทรายมาสักกำ หนึ่งเอามาสมมุติว่าเป็นเกลือมันเป็นเกลือไหมล่ะ?ก็เป็นอยู่แต่เป็นเกลือโดย สมมุติไม่ใช่เกลือแท้ๆจะเอาไปใส่แกงมันก็ไม่มีประโยชน์ถ้าจะว่าเป็นเกลือแท้ มันก็เปล่าทั้งนั้นแหละนี่เรียกว่าสมมุติ


    ทำไมจึงสมมุติ?เพราะว่า เกลือไม่มีอยู่ที่นั่นมันมีแต่ดินทรายถ้าเอาดินทรายมาสมมุติว่าเป็นเกลือมัน ก็เป็นเกลือให้อยู่เป็นเกลือโดยฐานที่สมมุติไม่เป็นเกลือจริงคือมันก็ไม่ เค็มใช้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้มันสำเร็จประโยชน์ได้เป็นบางอย่างคือในขั้น สมมุติไม่ใช่ในขั้นวิมุตติ


    ชื่อว่าวิมุตตินั้นก็สมมุตินี้แหละเรียก ขึ้นมาแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันหลุดพ้นจากสมมุติแล้วหลุดไปแล้วมัน เป็นวิมุตติแล้วแต่ก็ยังเอามาสมมุติให้เป็นวิมุตติอยู่อย่างนี้แหละมันก็ เป็นเรื่องเท่านี้จะขาดสมมุตินี้ได้ไหม?ก็ไม่ได้ถ้าขาดสมมุตินี้แล้วก็จะไม่ รู้จักการพูดจาไม่รู้จักต้นไม่รู้จักปลายเลยไม่มีภาษาจะพูดกัน


    ฉะนั้น สมมุตินี้ก็มีประโยชน์คือประโยชน์ที่สมมุติขึ้นมาให้เราใช้กันเช่นว่าคนทุก คนก็มีชื่อต่างกันแต่ว่าเป็นคนเหมือนกันถ้าหากไม่มีการตั้งชื่อเรียกกันก็จะ ไม่รู้ว่าพูดกันให้ถูกคนได้อย่างไรเช่นเราอยากจะเรียกใครสักคนหนึ่งเราก็ เรียกว่า"คนคน"ก็ไม่มีใครมามันก็ไม่สำเร็จประโยชน์เพราะต่างก็เป็นคนด้วยกัน ทุกคนแต่ถ้าเราเรียก"จันทร์มานี่หน่อย"จันทร์ก็ต้องมาคนอื่นก็ไม่ต้องมามัน สำเร็จประโยชน์อย่างนี้ได้เรื่องได้ราวฉะนั้นได้ข้อประพฤติปฏิบัติอันเกิด จากสมมุติอันนี้ก็ยังมีอยู่


    ดังนั้นถ้าเข้าใจในเรื่องสมมุติเรื่อง วิมุตติให้ถูกต้องมันก็ไปได้สมมุตินี้ก็เกิดประโยชน์ได้เหมือนกันแต่ความ จริงแท้แล้วมันไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นแม้ตลอดว่าคนก็ไม่มีอยู่ที่นั่นเป็นสภาว ธรรมอันหนึ่งเท่านั้นเกิดมาด้วยเหตุด้วยปัจจัยของมันเจริญเติบโตด้วยเหตุ ด้วยปัจจัยของมันให้ตั้งอยู่ได้พอสมควรเท่านั้นอีกหน่อยมันก็บุบสลายไปเป็น ธรรมดาใครจะห้ามก็ไม่ได้จะปรับปรุงอะไรก็ไม่ได้มันเป็นเพียงเท่านั้นอันนี้ ก็เรียกว่าสมมุติถ้าไม่มีสมมุติก็ไม่มีเรื่องมีราวไม่มีเรื่องที่จะปฏิบัติ ไม่มีเรื่องที่จะมีการมีงานไม่มีชื่อเสียงเลยไม่รู้จักภาษากันฉะนั้นสมมุติ บัญญัตินี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นภาษาให้ใช้กันสะดวก


    เหมือนกับเงิน นี่แหละสมัยก่อนธนบัตรมันไม่มีหรอกมันก็เป็นกระดาษอยู่ธรรมดาไม่มีราคาอะไร ในสมัยต่อมาท่านว่าเงินอัฐเงินตรามันเป็นก้อนวัตถุเก็บรักษายากก็เลยเปลี่ยน เสียเอาธนบัตรเอากระดาษนี้มาเปลี่ยนเป็นเงินก็เป็นเงินให้เราอยู่ต่อนี้ไป ถ้ามีพระราชาองค์ใหม่เกิดขึ้นมาสมมุติไม่ชอบธนบัตรกระดาษเอาขี้ครั่งก็ได้มา ทำให้มันเหลวแล้วมาพิมพ์เป็นก้อนๆสมมุติว่าเป็นเงินเราก็จะให้ขี้ครั่งกัน ทั้งหมดทั่วประเทศเป็นหนี้เป็นสินกันก็เพราะก้อนขี้ครั่งนี้แหละอย่าว่าแต่ เพียงก้อนขี้ครั่งเลยเอาก้อนขี้ไก่มาแปรให้มันเป็นเงินมันก็เป็นได้ทีนี้ขี้ ไก่ก็จะเป็นเงินไปหมดจะฆ่ากันแย่งกันก็เพราะก้อนขี้ไก่เรื่องของมันเป็น เรื่องแค่นี้


    แม้เขาจะเปลี่ยนเป็นรูปใหม่มาถ้าพร้อมกันสมมุติขึ้น แล้วมันก็เป็นขึ้นมาได้มันเป็นสมมุติอย่างนั้นอันนี้สิ่งที่ว่าเป็นเงินนั้น มันเป็นอะไรก็ไม่รู้จักเรื่องแร่ต่างๆที่ว่าเป็นเงินจริงๆแล้วจะเป็นเงิน หรือเปล่าก็ไม่รู้เห็นแร่อันนั้นเป็นมาอย่างนั้นก็เอามาสมมุติมันขึ้นมามัน ก็เป็นถ้าพูดเรื่องโลกแล้วมันก็มีแค่นี้สมมุติอะไรขึ้นมาแล้วมันก็เป็นเพราะ มันอยู่กับสมมุติเหล่านี้แต่ว่าจะเปลี่ยนให้เป็นวิมุตติให้คนรู้จักวิมุตติ อย่างจริงจังนั้นมันยาก


    เรือนเราบ้านเราข้าวของเงินทองลูกหลานเรา เหล่านี้ก็สมมุติว่าลูกเราเมียเราพี่เราน้องเราอย่างนี้เป็นฐานที่สมมุติกัน ขึ้นมาทั้งนั้นแต่ความเป็นจริงแล้วถ้าพูดตามธรรมะท่านว่าไม่ใช่ของเราก็ฟัง ไม่ค่อยสบายหูสบายใจเท่าใดเรื่องของมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆถ้าไม่สมมุติ ขึ้นมาก็ไม่มีราคาสมมุติว่าไม่มีราคาก็ไม่มีราคาสมมุติให้มีราคาขึ้นมาก็มี ราคาขึ้นมามันก็เป็นเช่นนั้นฉะนั้นสมมุตินี้ก็ดีอยู่ถ้าเรารู้จักใช้มันให้ รู้จักใช้มัน


    อย่างสกลร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกันไม่ใช่เราหรอกมัน เป็นของสมมุติจริงๆแล้วจะหาตัวตนเราเขาแท้มันก็ไม่มีมีแต่ธรรมธาตุอันหนึ่ง เท่านี้แหละมันเกิดแล้วก็ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปทุกอย่างมันก็เป็นอย่างนี้ไม่ มีเรื่องอะไรที่เป็นจริงเป็นจังของมันแต่ว่าสมควรที่เราจะต้องใช้มัน


    อย่าง ว่าเรามีชีวิตอยู่ได้นี้เพราะอะไร?เพราะอาหารการกินของเราที่เป็นอยู่ถ้า หากว่าชีวิตเราอยู่กับอาหารการกินเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเป็นปัจจัยจำเป็นเรา ก็ต้องใช้ใช้สิ่งเหล่านี้ให้มันสำเร็จประโยชน์ในความเป็นอยู่ของเราเหมือน กับพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนพระเริ่มต้นจริงๆท่านก็สอนเรื่องปัจจัยสี่เรื่อง จีวรเรื่องบิณฑาตเรื่องเสนาสะเรื่องเภสัชยาบำบัดโรคท่านให้พิจารณาถ้าเราไม่ ได้พิจารณาตอนเช้ายามเย็นมันล่วงกาลมาแล้วก็ให้พิจารณาเรื่องอันนี้


    ทำไม ท่านจึงให้พิจารณาบ่อยๆพิจารณาให้รู้จักว่ามันเป็นปัจจัยสี่เครื่องหล่อ เลี้ยงร่างกายของเรานักบวชก็ต้องมีผ้านุ่งผ้าห่มอาหารการขบฉันยารักษาโรคมี ที่อยู่อาศัยเมื่อเรามีชีวิตอยู่เราจะหนีจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถ้าอาศัยสิ่ง เหล่านี้เป็นอยู่ท่านทั้งหลายจะได้ใช้ของเหล่านี้จนตลอดชีวิตของท่านแล้ว ท่านอย่าหลงนะอย่าหลงสิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงเท่านี้มีผลเพียงเท่านี้


    เรา จะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ไปจึงอยู่ได้ถ้าไม่อาศัยสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะบำเพ็ญ ภาวนาจะสวดมนต์ทำวัตรจะนั่งพิจารณากรรมฐานก็จะสำเร็จประโยชน์ให้ท่านไม่ได้ ในเวลานี้จะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ฉะนั้นท่านทั้งหลายอย่าไปติดสิ่งเหล่า นี้อย่าไปหลงสมมุติอันนี้อย่าไปติดปัจจัยสี่อันนี้มันเป็นปัจจัยให้ท่านอยู่ ไปอยู่ไปพอถึงคราวมันก็เลิกจากกันไปถึงแม้มันจะเป็นเรื่องสมมุติก็ต้องรักษา ให้มันอยู่ถ้าไม่รักษามันก็เป็นโทษเช่นถ้วยใบหนึ่งในอนาคตถ้วยมันจะต้องแตก แตกก็ช่างมันแต่ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ขอให้ท่านรักษาถ้วยใบนี้ไว้ให้ดี เพราะเป็นเครื่องใช้ของท่านถ้าถ้วยใบนี้แตกท่านก็ลำบากแต่ถึงแม้ว่าจะแตกก็ ขอให้เป็นเรื่องสุดวิสัยที่มันแตกไป


    ปัจจัยสี่ที่พระพุทธเจ้าท่าน สอนให้พิจารณานี้ก็เหมือนกันเป็นปัจจัยส่งเสริมเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิต ให้ท่านทั้งหลายรู้จักมันอย่าไปยึดมั่นหมายมั่นมันจนเป็นก้อนกิเลสตัณหาเกิด ขึ้นในดวงจิตดวงใจของท่านจนเป็นทุกข์เอาแค่ใช้ชีวิตให้มันเป็นประโยชน์เท่า นี้ก็พอแล้ว


    เรื่องสมมุติกับวิมุตติมันก็เกี่ยวข้องกันอย่างนี้ เรื่อยไปฉะนั้นถ้าหากว่าใช้สมมุติอันนี้อยู่อย่าไปวางอกวางใจว่ามันเป็นของ จริงจริงโดยสมมุติเท่านั้นถ้าเราไปยึดมั่นหมายมั่นก็เกิดทุกข์ขึ้นมาเพราะ เราไม่รู้เรื่องอันนี้ตามเป็นจริงเรื่องมันจะถูกจะผิดก็เหมือนกันบางคนก็ เห็นผิดเป็นถูกเห็นถูกเป็นผิดเรื่องผิดเรื่องถูกไม่รู้ว่าเป็นของใครต่างคน ต่างก็สมมุติขึ้นมาว่าถูกว่าผิดอย่างนี้แหละเรื่องทุกเรื่องก็ควรให้รู้


    พระ พุทธเจ้าท่านกลัวว่ามันจะเป็นทุกข์ถ้าหากว่าถกเถียงกันเรื่องทั้งหลายเหล่า นี้มันจบไม่เป็นคนหนึ่งว่าถูกคนหนึ่งว่าผิดคนหนึ่งว่าผิดคนหนึ่งว่าถูกอย่าง นี้แต่ความจริงแล้วเรื่องถูกเรื่องผิดนั้นน่ะเราไม่รู้จักเลยเอาแต่ว่าให้ เรารู้จักใช้ให้มันสบายทำการงานให้ถูกต้องอย่าให้มันเบียดเบียนตนเองและ เบียดเบียนผู้อื่นให้มันเป็นกลางๆไปอย่างนี้มันก็สำเร็จประโยชน์ของเรา


    รวม แล้วส่วนสมมุติก็ดีส่วนวิมุตติก็ดีล้วนแต่เป็นธรรมะแต่ว่ามันเป็นของยิ่ง หย่อนกว่ากันแต่มันก็เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกันเราจะรับรองแน่นอนว่าอันนี้ให้ เป็นอันนี้จริงๆอย่างนั้นไม่ได้ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้วางไว้ว่า"มัน ไม่แน่"ถึงจะชอบมากแค่ไหนก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่นอนถึงจะไม่ชอบมากแค่ไหนก็ให้ เข้าใจว่าอันนี้ไม่แน่นอนมันก็ไม่แน่นอนอย่างนั้นจริงๆแล้วปฏิบัติจนเป็น ธรรมะ


    อดีตก็ตามอนาคตก็ตามปัจจุบันก็ตามเรียกว่าปฏิบัติธรรมะแล้ว ที่มันจบก็คือที่มันไม่มีอะไรที่มันละมันวางมันวางภาระที่มันจบจะเปรียบ เทียบให้ฟังอย่างคนหนึ่งว่าธงมันเป็นอะไรมันจึงปลิวพริ้วไปคงเป็นเพราะมีลม อีกคนหนึ่งว่ามันเป็นเพราะมีธงต่างหากอย่างนี้ก็จบลงไม่ได้สักทีเหมือนกัน กับไก่เกิดจากไข่ไข่เกิดจากไก่อย่างนี้แหละมันไม่มีหนทางจบคือมันหมุนไปหมุน ไปตามวัฏฏะของมัน


    ทุกสิ่งสารพัดนี้ก็เรียกสมมุติขึ้นมามันเกิดจาก สมมุติขึ้นมาก็ให้รู้จักสมมุติให้รู้จักบัญญัติถ้ารู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่า นี้ก็รู้จักเรื่องอนิจจังเรื่องทุกขังเรื่องอนัตตามันเป็นอารมณ์ตรงต่อพระ นิพพานเลยอันนี้เช่นการแนะนำพร่ำสอนให้ความเข้าใจกับคนแต่ละคนนี้มันก็ ยากอยู่บางคนมีความคิดอย่างหนึ่งพูดให้ฟังก็ว่าไม่ใช่พูดความจริงให้ฟัง เท่าไรก็ว่าไม่ใช่ฉันเอาถูกของฉันคุณเอาถูกของคุณมันก็ไม่มีทางจบแล้วมัน เป็นทุกข์ก็ยังไม่วางก็ยังไม่ปล่อยมัน


    อาตมาเคยเล่าให้ฟังครั้ง หนึ่งว่าคนสี่คนเดินเข้าไปในป่าได้ยินเสียงไก่ขัน"เอ๊กอี๊เอ้กเอ้ก"ต่อกันไป คนหนึ่งก็เกิดปัญญาขึ้นมาว่าเสียงขันนี้ใครว่าไก่ตัวผู้หรือไก่ตัวเมียสามคน รวมหัวกันว่าไก่ตัวเมียส่วนคนเดียวนั้นก็ว่าไก่ตัวผู้ขันเถียงกันไปอยู่ อย่างนี้แหละไม่หยุดสามคนว่าไก่ตัวเมียขันคนเดียวว่าไก่ตัวผู้ขัน"ไก่ตัว เมียจะขันได้อย่างไร?""ก็มันมีปากนี่"สามคนตอบคนคนเดียวนั้นเถียงจนร้องไห้ ความจริงแล้วไก่ตัวผู้นั่นแหละขันจริงๆตามสมมุติเขาแต่สามคนนั้นว่าไม่ใช่ ว่าเป็นไก่ตัวเมียเถียงกันไปจนร้องไห้เสียอกเสียใจมากผลที่สุดแล้วมันก็ผิด หมดทุกคนนั่นแหละที่ว่าไก่ตัวผู้ไก่ตัวเมียก็เป็นสมมุติเหมือนกัน


    ถ้า ไปถามไก่ว่า"เป็นตัวผู้หรือ"มันก็ไม่ตอบ"เป็นไก่ตัวเมียหรือ"มันก็ไม่ให้ เหตุผลว่าอย่างไรแต่แรกเคยสมมุติบัญญัติว่ารูปลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้ รูปลักษณะอย่างนั้นเป็นไก่ตัวเมียรูปลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้มันต้องขัน อย่างนี้ตัวเมียต้องขันอย่างนั้นอันนี้มันเป็นสมมุติติดอยู่ในโลกเรานี้ความ เป็นจริงของมันมันไม่มีไก่ตัวผู้ไก่ตัวเมียหรอกถ้าพูดตามความสมมุติในโลกก็ ถูกตามคนเดียวนั้นแต่เพื่อนสามคนไม่เห็นด้วยเขาว่าไม่ใช่เถียงกันไปจน ร้องไห้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรมันก็เรื่องเพียงเท่านี้


    ฉะนั้นพระ พุทธเจ้าท่านจึงว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันไม่ยึดมั่นถือมั่นทำไมจะปฏิบัติ ได้?ปฏิบัติไปเพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี่จะเอาปัญญาแทนเข้าไปในที่นี้ยาก ลำบากนี่แหละที่ไม่ให้ยึดมันจึงเป็นของยากมันต้องอาศัยปัญญาแหลมคมเข้าไป พิจารณามันจึงไปกันได้อนึ่งถ้าคิดไปแล้วเพื่อบรรเทาทุกข์ลงไปไม่ว่าผู้มี น้อยหรือมีมากหรอกเป็นกับปัญญาของคนก่อนที่มันจะทุกข์มันจะสุขมันจะสบายมัน จะไม่สบายมันจะล่วงทุกข์ทั้งหลายได้เพราะปัญญาให้มันเห็นตามเป็นจริงของมัน


    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้อบรมให้พิจารณาให้ภาวนาภาวนาก็คือให้พยายามแก้ปัญญาทั้ง หลายเหล่านี้ให้ถูกต้องตามเรื่องของมันเรื่องของมันเป็นอยู่อย่างนี้คือ เรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตายมันเป็นเรื่องของธรรมดาธรรมดาแท้ๆ มันเป็นอยู่อย่างนี้ของมันท่านจึงให้พิจารณาอยู่เรื่อยๆให้ภาวนาความเกิด ความแก่ความเจ็บความตายบางคนไม่เข้าใจไม่รู้จะพิจารณามันไปทำไมเกิดก็รู้จัก ว่าเกิดอยู่ตายก็รู้จักว่าตายอยู่นั่นแหละมันเป็นเรื่องของธรรมดาเหลือเกิน มันเป็นเรื่องความจริงเหลือเกิน ถ้าหากว่าผู้ใดมาพิจารณาแล้วพิจารณาอีกอยู่อย่างนี้มันก็เห็นเมื่อมันเห็น มันก็ค่อยแก้ไขไปถึงหากว่ามันจะมีความยึดมั่นหมายมั่นอยู่ก็ดีถ้าเรามีปัญญา เห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามันก็บรรเทาทุกข์ไปได้ฉะนั้นจงศึกษาธรรมะเพื่อ แก้ทุกข์


    ในหลักพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีอะไรมีแต่เรื่องทุกข์เกิดกับ ทุกข์ดับเรื่องทุกข์จะเกิดเรื่องทุกข์จะดับเท่านั้นท่านจึงจัดเป็นสัจจธรรม ถ้าไม่รู้มันก็เป็นทุกข์เรื่องจะเอาทิฐิมานะมาเถียงกันนี้ก็ไม่มีวันจบหรอก มันไม่จบมันไม่สิ้นเรื่องที่จะให้จิตใจเราบรรเทาทุกข์สบายๆนั้นเราก็ต้อง พิจารณาดูเรื่องที่เราผ่านมาเรื่องปัจจุบันและอนาคตที่มันเป็นไปเช่นว่าพูด ถึงความเกิดความแก่ความเจ็บความตายทำยังไงมันจึงจะไม่ให้เป็นห่วงเป็นใยกัน ก็เป็นห่วงเป็นใยอยู่เหมือนกันแต่ว่าถ้าหากบุคคลมาพิจารณารู้เท่าตามความ เป็นจริงทุกข์ทั้งหลายก็จะบรรเทาลงไปเพราะไม่ได้กอดทุกข์ไว้


    คัดลอกจาก
    สมมุติ วิมุติ (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...