สมาธิหมุน (อธิบายสำหรับคนที่นั่งสมาธิเเล้วเกิดอาการต่างๆ)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 15 มิถุนายน 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <CENTER>= พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์ =

    </CENTER>


    [​IMG]

    พ ลั ง ก า ย ทิ พ ย์ ..
    อวกาศสีขาว . .

    . . . ม นุ ษ ย์ นั้ น มี ร่างกายและจิตใจ ทำงานร่วมกัน

    ร่างกายของมนุษย์เรานอกจากรูปร่างหน้าตาภายนอกซึ่งเรียกว่ากายเนื้อหรือกายหยาบแล้ว ยังมีร่างกายภายใน ที่เป็นกายละเอียดเกาะเกี่ยวซ้อนทับอยู่ภายในร่างกายซึ่งเรียกว่ากายทิพย์ กายทิพย์นั้นเป็นคลื่นพลังงานที่มีรัศมีเรืองรอง สามารถแผ่ซ่านออกมานอกกายเนื้อตามกระแสพลังของจิตใจ-อารมณ์-ความคิด-และความสมบูรณ์ของร่างกาย ซึ่งบางคนอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือที่เรียกว่าออร่า

    กายทิพย์หากมีรัศมีหม่นมัว สีสันไม่แจ่มจ้าสดใส อาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีอารมณ์ความคิดที่เป็นด้านลบ การสัมผัสถึงกายทิพย์หรือรัศมีกายทิพย์ของผู้อื่น สามารถทำได้ แม้นจะไม่ใช่การมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่อาจรับรู้ด้วยความรู้สึก ล่วงรู้ว่าบุคคลนั้นกำลังตกอยู่ในความสุขความเศร้า เป็นคนนิสัยใจคออย่างไร แม้รูปร่างภายนอกจะดูดี พูดจาดี แต่เราอาจรู้สึกว่าเขากำลังเจ็บป่วยทางใจ คือไม่เหมือนอย่างที่เห็น คนที่รู้สึกถึงกายทิพย์นี่ได้ จะต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตพอควร ไม่ใช่ทึกทักเอาตามความคิด

    กายทิพย์และรัศมีกายทิพย์มีความละเอียดซับซ้อนมาก นอกจากจะบอกเรื่องสุขภาพหรือปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับกายหยาบล่วงหน้า ยังบอกถึงสภาพอารมณ์จิตใจ โชควาสนา และยังมีความเชื่อกันว่า สามารถบ่งบอกถึงอดีตชาติซึ่งเป็นกายทิพย์ชาติก่อนๆ ซ้อนทับกันลงไปเรื่อยๆ แม้กายภายนอกของชาติก่อนๆ จะตายไปแล้ว แต่กายทิพย์ของชาติก่อนๆ ยังซ้อนกันอยู่ นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนเราในชาตินี้ มีนิสัยใจคอ-ความรู้ความสามารถติดตัวมาจากชาติก่อนๆ ด้วย

    จิตนั้นต้องเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน อาศัยรูปขันธ์เกิดตามวิบากกรรมหรือที่เรียกว่าวาสนาบารมี จะเกิดมาดีบ้างหรือไม่ดีบ้างขึ้นลงวนอยู่ในภพภูมิสูงต่ำไปตามยถากรรม ซึ่งตัวเองปรุงแต่งไว้ตามกิเลสความลุ่มหลงและอุปาทานในขณะนั้นๆ เกิดดับเรื่อยมาช้านานด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้นี้เองที่นำพาจิตเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ หาทางหลุดพ้นไม่เจอ จนกว่าจะเกิดความรู้ขึ้นมา และหาทางยุติกรรมได้ด้วยความรู้นั้น

    แต่ในขณะที่จิตยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏะ ก็ยังต้องอาศัยรูปหรือร่างกายเป็นแดนเกิดเพื่อสะสางกรรมที่สร้างไว้ รูปหรือร่างกายที่อาศัยนี้ก็ไม่มีความคงทน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของธรรมชาติและกฎกรรมตลอดเวลา มีความเสื่อมและเจ็บป่วยอยู่เสมอ สร้างความทุกข์ให้มิใช่น้อยแม้นยังไม่ตาย การเสริมสร้างพลังกายทิพย์ นับว่าเป็นการเสริมสร้างพลังทางร่างกาย และทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นด้วย เพราะการเสริมสร้างพลังกายทิพย์ ก็คือการดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นนั่นเอง

    แม้นปัจจุบัน วิทยาการแพทย์ในยุคดิจิตอลจะก้าวหน้าไปมาก แต่ท่ามกลางความเจริญก็กลับนำพาสารพิษและมลภาวะรวมถึงความเครียดในการดำรงชีวิตในสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันมาสู่สุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะคนในสังคมเมือง

    ในร่างกายมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ ประกอบด้วยธาตุหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ (จิต) หากรักษาความสมดุลของธาตุทั้งหลายเหล่านี้ไว้ได้ สุขภาพก็จะแข็งแรง กายทิพย์เองก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความสมดุลในร่างกายเช่นกัน ทั้งยังสามารถพัฒนากายทิพย์ให้ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติทางจิตและทางกาย

    นอกจากกายทิพย์จะมีความคงทนถาวรกว่ากายเนื้อ ทั้งยังต้องเดินทางเกาะเกี่ยวไปกับจิตอีกเนิ่นนานและจะอีกนาน.. ไปจนกว่าจิตจะชำระล้างกิเลสเข้าสู่ความบริสุทธิ์หรือเข้านิพพาน หากกายเนื้อตายลงนั้น กายทิพย์หรือกายวิญญาณที่อยู่กับจิตก็จะต้องหาร่างกายใหม่หรือรูปขันธ์ใหม่อาศัย ซึ่งจะเป็นไปตามวิบากบุญบาปที่สร้างเอาไว้ หากไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม กายใหม่จะละเอียดมากกว่ากายทิพย์ขณะเป็นมนุษย์ และจะมีผลต่อกายทิพย์ในกายใหม่นั้นด้วย กายทิพย์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามบุญวาสนาและสภาพจิตใจ

    กายทิพย์ที่มีพลานุภาพ ย่อมทำให้กายหยาบมีพลานุภาพไปด้วย การเพิ่มพลังอานุภาพให้กายทิพย์คนเรานั้น สามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ด้วยการรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่นผักผลไม้สะอาด การอยู่ในธรรมชาติที่สะอาด มีผลต่อสุขภาพร่างกายฉันใด การให้อาหารจิตที่ดี เช่นมีความคิดในด้านบวก มีความรักความเอื้ออาทร หรือการฝึกฝนสมาธิจิต ฯลฯ ก็มีผลต่อสุขภาพจิตฉันนั้น

    [​IMG]
    .. ภายในกายเนื้อหรือกายทิพย์ จะมีจักระหรือศูนย์พลังทั้ง 7 อยู่ภายใน เป็นทางขับเคลื่อนของปราณก่อนกระจายไปทุกอณูในร่างกาย จักระแต่ละจุดจะมีสีแห่งชีวิต จักระ1 อยู่ตรงฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักมีสีแดง จักระ2 อยู่ตรงก้นกบมีสีส้ม จักระ3 อยู่บนกระดูกสันหนังแนวเดียวกับสะดือมีสีเหลือง จักระ4 อยู่บนกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจมีสีเขียว จักระ5 อยู่บนกระดูกสันหลังช่วงต้นคอมีสีฟ้า จักระ6 อยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากหรือดวงตาที่สามมีสีไพลิน จักระ7 อยู่บนกระหม่อมมีสีม่วง

    เมื่อปราณหรือพลังกุณฑาลินี ที่สถิตปลายสุดของกระดูกสันหลัง ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มันจะพุ่งสู่จักระสุดท้ายเหนือศีรษะ ซึ่งเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมด มันจะมอบความรู้แจ้งในตนเองให้กับผู้ที่ทำได้ แต่ละจักระจะมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ เมื่อจักระทั้งเจ็ดถูกเปิดขึ้น สามารถเดินลมปราณได้ทะลุทะลวงทั่วร่างกาย จะทำให้ร่างกายสามารถแก้ไขความไม่สมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการนำคลื่นพลังหรือปราณไปแก้ไขในจุดที่บกพร่อง ทั้งยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติขั้นสูงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความสุขสงบ และพบความสมบูรณ์ทางจิต การปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ และนำพลังชีวิตไปใช้ในทางสร้างสรรค์ อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้ออาทรและมีความเมตตา นอกจากสุขภาพจะพัฒนาดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ยังช่วยให้ตื่นตัวไวต่อการรับรู้ถึงพลังธรรมชาติรอบ ๆ ตัวของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราจึงสามารถทำให้กายทิพย์แข็งแรงทั้งด้วยการขับเคลื่อนปราณในร่างกาย และนำพลังจักรวาลเข้ามาฟื้นฟูพลังกายทิพย์เราได้

    ขุมพลังสู่การเพิ่มอานุภาพพลังกายทิพย์
    ด้วย พลังสมาธิ - พลังปราณ - พลังคอสมิค


    พลังสมาธิ (พลังจิต) การจะฝึกฝนศาสตร์และองค์ความรู้ทุกแขนง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สมาธิ-สติ-ปัญญา เป็นตัวนำพาเราไปสู่ขบวนการความรู้แจ้งในศาสตร์นั้นๆ สมาธินับเป็นฐานกำลังสำคัญต่อกระบวนทั้งร่างกายและจิตใจ การฝึกสมาธิให้จิตสงบแน่วแน่มีพลานุภาพต่อการรับรู้และนำมาใช้งานนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะจิตใจที่ไม่เป็นระเบียบและไม่เป็นสมาธิ จะไม่สามารถนำไปใช้งานอะไรได้เลย สมาธิเองเป็นฐานที่จะปฏิบัติให้พลังกายทิพย์ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน การรวบรวมสมาธิได้ ย่อมปลุกพลังปราณและรับพลังคอสมิคได้ การรับปราณภายนอกตัวและพลังคอสมิค ในขั้นต้น ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิสูงอะไรเลยด้วยซ้ำ

    พลังปราณ (พลังชีวิตหรือพลังกุณฑาลิณีหรือคนจีนเรียกว่าชี่) พลังปราณหรือพลังชีวิต เป็นพลังดั้งเดิมของจักรวาลที่สั่นสะเทือนอยู่ในร่างกายเรา บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลในตัวเรา แม้นเราจะแยกตัวออกมาแล้ว เราสามารถเชื่อมต่อพลังชีวิตของเรากับจักรวาลได้ การฝึกสมาธิจนสามารถกระตุ้นปราณในตัวให้ตื่นขึ้น ไหลเวียนไปตามจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย จะส่งผลต่อสุขภาพ ที่ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นแรงขับเคลื่อนอยู่ภายในซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้กระชุ่มกระชวย นอกจากปราณในตัวแล้ว พลังชีวิตนอกตัวหรือปราณนอกตัว ยังมีอยู่ในอากาศ สายลม ดอกไม้ ต้นไม้ น้ำค้าง ก้อนหิน ฯลฯ สรรพสิ่งในโลกล้วนมีพลังซ่อนอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติที่บริสุทธิ์จะช่วยให้ร่างกายของเราฟื้นสมรรถภาพได้แม้ในยามเจ็บป่วย แม้นแต่พลังจากดวงดาวต่างๆ ที่ส่องมายังโลก ก็นำมาใช้ในการฟื้นฟูจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย พลังแสงอาทิตย์นับเป็นพลังชีวิตขนาดยิ่งใหญ่มหาศาล ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ หากเราต้องอยู่ในที่อับแสงมืดมิดเป็นเวลานานเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายห่อเหี่ยวและอาจถึงตายได้

    พลังคอสมิค (ต่างจากกัมมันตรังสีcosmic ในอวกาศและแสงอาทิตย์ที่เป็นอันตราย) หรือที่เรียกพลังจักรวาล (จิตจักรวาล) เชื่อว่ามีอยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นพลังที่ส่งมาจากจักรวาลหรือจิตจักรวาล เป็นคลื่นพลังงานจากจิตเบื้องบน หรือจิตที่สูงส่ง มีความรักความเมตตาหาประมาณไม่ได้ เชื่อว่าเป็นพลังแห่งความรัก พลังศักดิ์สิทธิ์ พลังแห่งการรักษา-โอบอุ้ม-คุ้มครอง เราสามารถรับพลังคอสมิคได้ชัดเจนเมื่อจิตมีสมาธิ หากสามารถกระตุ้นจักระทั้งเจ็ดในตัวและรับคลื่นพลังจักรวาลได้ นอกจากจะช่วยให้กายทิพย์และกายเนื้อเรามีพลานุภาพมากขึ้น รักษาโรคภัยไข้เจ็บในตัวเอง ยังสามารถส่งพลังนี้ผ่านตัวเราไปรักษาผู้ป่วยคนอื่นๆ โดยเชื่อว่าพลังจักรวาลจะสื่อจากตัวเราส่งผ่านมือเปล่าไปรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ที่ต้องการมาให้ช่วยเหลือ พลังคอสมิคมีพลังอำนาจ สามารถนำมาใช้ในด้านรักษาและทำลายล้างได้ตามจิตใจของตัวเราเอง หากนำมาใช้ในด้านดีงามพลังก็จะพัฒนาไปถึงขีดสุด แต่หากนำมาใช้ในเรื่องไม่ดีก็จะทำลายล้างตัวเราเองเช่นกัน

    จะเห็นได้ว่า เราแทบจะแยกพลังสมาธิตัวเราเอง พลังปราณในตัว-ปราณนอกตัว และพลังจักรวาลได้ยาก การมีพลังจิตจนสามารถนำพลังนอกตัวมาประสานกับตัวเอง กายทิพย์ก็จะทรงพลังมากขึ้น เมื่อนำพลังงานจักรวาลและพลังงานของดวงดาวต่างๆ มาใช้ด้วยสมาธิ โดยการใช้ตัวเองเป็นตัวกลางในการรับคลื่นพลังก่อนส่งผ่านไปยังบุคคลอื่น จะช่วยให้เราไม่สูญเสียพลังตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้เรามีพลังกายทิพย์มากขึ้นอีก

    .....................

    * เว็บวิชาพลังกายทิพย์ โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
    http://www.khunya.in.th/default.asp
    * ศึกษาวิชาพลังกายทิพย์ สอนโดยคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
    วิชาพลังกายทิพย์ สอนโดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วิชาพลังจักรวาล

    [​IMG]
    ดาสิรา นาราดา

    พลังจักรวาล หรือชื่อเต็มว่า พลังไฟฟ้าสากลจักรวาล เพราะการทำหน้าที่ของจักระทั้ง 7 ก็คล้ายกับการส่งกระแสไฟฟ้าเช่นกัน มีทั้ง พลังบวก (หยาง) พลังลบ (หยิน) ทำให้เกิดสมดุลขึ้น ในยุคนี้ ผู้คนพบ วิชานี้คือ ดาสิรา นาราดา ท่านเป็นชาวศรีลังกา เกิดเมื่อ ปีค.ศ. 1846 ศึกษา วิชาปรัชญาสมัยใหม่ ระดับ ปริญญาเอก และทำงานจนเกษียณ ก็ปลีกตัวค้นหาสัจธรรม จนค้นพบพลังจักรวาลนี้ ออกมา

    หลังจากนั้น ก็ถ่ายทอดให้กับ อาจารย์ชาวอินเดีย ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน แต่ ท่านก็เสียชีวิตไป ปี ค.ศ. 1924 ถือว่าไม่นาน แต่ก่อนนั้น ท่านก็ถ่ายทอดวิชานี้ ให้กับ ท่านอาจารย์เหลือง มิน ด๋าง ชาวเวียดนาม มาจนถึงปัจจุบันในที่สุด
    [​IMG]

    [​IMG]

    สัญลักษณ์ พลังจักรวาล ของอาจารย์ เหลือง มิน ด๋าง ด้านซ้าย รูปมังกร แทน ผู้ชาย (หยาง) พลังบวก และ หงค์ แทน ผู้หญิง (หยิน) หรือพลังลบ ให้สมดุลกันถือว่าสุขภาพดี ส่วนปิรามิด หมายถึง ความลึกลับ ของจิตวิญญาณและศาสตร์ต่าง ๆ ที่ได้ปกปิดเอาไว้ในปิรามิด

    พลังจักรวาลนี้ ก็ไปเหมือนหลาย ๆ วิชา เช่น โยคะ กำลังภายใน ลองคิดตามหนังจีนก็คงจะรู้จักกันดี หรือปราณ หยิน-หยางของจีน และฤาษีดัดตนของไทยด้วย รวมถึงพลังจิตแต่ต่างอยู่ที่ พลังจักรวาลเป็นพลังจากนอกโลกควบคุมการดำเนินของโลก แต่พลังจิตนั้นอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งคุณสมบัติของวิชาพลังจักรวาลเกิดจากแห่งพลังงานที่ไม่เสื่อมสลายในจักรวาล จะเปรียบเทียบก็คือ พลังดึงดูดของแม่เหล็กที่ไม่เสื่อมสลายเป็นพลังงานที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ แต่พลังงานนั้นจะมีกำลังสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของวัสดุที่ถูกสร้างขึ้น ส่วน พลังจักรวาลนั้นมาจากบ่อพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างอนันต์ และมีพลังงานอย่างไร้ขอบเขต


    พลังจักรวาลนี้ ไม่ค่อยยุ่งยากในการฝึกเท่าไหร่ ไม่ต้องต้องกินมังสวิรัติ หรือแต่งงานแล้วก็ฝึกได้


    พลังงานจักรวาลนี้ ควบคุมการทำงานของชีวิต จะมี ประตู อยู่ 7 ประตู เรียกว่า จักระ เอาไว้เปิดรับพลัง ส่วนใหญ่คนจะปิด ร่ายกายจึงไม่สามารถรับพลังงานใหม่เข้าไปได้ ร่างกายเรามีพลังงานห่อหุ้ม หลายคนคงรู้จัก ออร่า กันดีครับ บางคนเรียกว่า กายทิพย์ ซึ่งสามารถแยกสีออกไป แต่ละบุคคล


    ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ ได้ประดิษฐ์กล้อง ถ่ายภาพรัศมี นี้ได้แล้ว เรียกว่า กล้องเกอร์เลียน เมื่อถ่ายออกมาจะเป็นแสงสีต่าง ๆ รอบตัวเรา เมืองไทยก็มีอยู่บ้างครับ แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่



    พลังจักรวาลนี้ ช่วยให้ร่ายกายของเรา สามารถเดินพลังที่บกพร่องหรืออุดตัน ให้ปรอดโปร่ง และควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้เป็นปกติได้ จนทำให้อาการบาดเจ็บหรือเจ็บปวด หายไปได้ น่าสนใจทีเดียว



    จักร ทั้ง 7 นี้ทำหน้าที่ควบคุม จิต จิตใต้สำนึก อารมณ์ ปัญญา เป็นต้น เซลล์พิเศษของสมอง เรียกว่า ไมโครเซลล์ ไมโครเซลล์นี้ จะฉายแสงสีเหลืองเป็นประกายและสั่นไหวอย่างรุนแรง เป็นหลักการสั่นไหว เมื่อผู้ฝึกสมาธิ และจะสั่นไหวแรงขึ้น เมื่อ ฝึกในระดับที่สูงขึ้น จนขยายไปทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายในทั่วร่าง และถ้าหากผู้ฝึกสามารถสั่งสมเพิ่มพลังงานให้มากขึ้น ไมโครเซลล์เหล่านี้ จะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า กายทิพย์ และกายทิพย์นี้ เป็นเหมือนเครื่องมืออเนกประสงค์เลยทีเดียว บางที่อาจสร้างความมหัศจรรย์ของมนุษย์ได้


    จากหลักการสั่นไหว มากับพลังจักรวาล มาอีกหลักหนึ่งคือ การหมุน หรือการเคลื่อนไหวเป็นทรงกลม ดูดพลังจักรวาล เข้ามาเพื่อเป็นกลไกการทำงาน



    คนโบราณได้ค้นพบว่า รูปทรงต่าง ๆ บางรูปเปล่งหรือปล่อยพลังจักรวาลออกมาเองโดยอัตโนมัติ และแรงกว่าธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังจักรวาลเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก และเป็นทรงกลมที่หมุนอยู่ตลอดเวลา เมื่ออนุภาคมาเกาะตัวกันมันก็หมุน โดยเคลื่อนไหวของอนุภาคเหล่านี้ก็จะเกิดการถ่ายเทพลังงาน และนำไปสู่รูปทรงที่ต่างกันย่อมก่อให้เกิดคลื่น ของจักรวาลที่ต่างกันออกไป



    ปราณ เป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งในจักรวาล ดังนั้น ย่อมสามารถนำมันมาใช้เพื่อการพัฒนาชีวิตและจิตวิญญาณของคนได้แน่นอน


    การหมุน การหมุน จะถ่ายเทพลังงานตามหลักการสั่นไหวร่วมกัน เห็นได้ชัด ตามตัวอย่างทั่วไป ก็คือ พายุ ไต้ฝุ่น ซึ่งหมุนซ้ายทวนเข็มนาฬิกา และเวลาผ่านไป มันจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การหมุนนี้ ก็คล้ายกับวิชาอื่น ก็คือ ไทเก็ก และ ฝ่ามือมังกรแปดทิศ ก็มีการเคลื่อนไหว เป็นวงกลม และถ้ายิ่งฝึกวิชามังกรแปดทิศ พลัง รวมถึง ดูดซับพลังจักรวาลด้วยแล้ว พลังก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ


    พลังจักรวาล หัวใจก็คือ จักระ แปลว่า วงล้อหรือธรรมจักร ที่เราได้ยินกัน จักระนี้ มีอยู่ 7 จุดด้วยกัน
    [​IMG]

    จักระที่ 2 ตั้งอยู่ ที่ปลายกระดูกก้นกบชิ้นสุดท้าย มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 6 กลีบ ชื่อว่า สวาธิษฐานะ จักระนี้แสดงถึงความต้องการที่แรงกล้า การสืบเผ่าพันธุ์
    จักระที่ 3 อยูที่ กระดูกสันหลังระดับเอวที่ตรงข้ามกับสะดือ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 10 กลีบ มีชื่อว่า มณีปุระ จักระนี้ แสดงออกถึงพลังอำนาจและความมีสติ
    จักระที่ 4 อยู่ที่ กระดูกสันหลัง ระดับเดียวกับหัวใจ มีสัญลักษณ์ เป็นดอกบัว 11 กลีบ ชื่อว่า อะนาหตะ จักระนี้แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือความรักความเมตตา

    จักระที่ 5 ตั้งอยู่บน กระดูกสันหลังบริเวณต้นคอ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 16 กลีบ ชื่อว่า วิศทะ จักระนี้แสดงถึงความรัก ความสมดุล ของสติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ

    จักระที่ 6 อยู่ตรงกลางหน้าผาก เหนือหว่างคิ้ว มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 2 กลีบใหญ่ และกลีบย่อยอีก 100 กลีบ ชื่อว่า อะชะ จักระนี้แสดงถึงการพัฒนาจิตระดับที่สูง ความมีสติ ความรู้แจ้ง จุดนี้ เปรียบเสมือนเป็นตาที่ 3 หรือตาทิพย์ ของมนุษย์และเป็นจุดเดียวกับต่อมไพนิล

    จักระที่ 7 อยู่จุดที่สูงที่สุดของศีรษะ สัญลักษณ์ดอกบัว 1,000 กลีบ ชื่อว่า สหสราระ แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว และการหมดกิเลส จักระที่ 7 หรือ จักระ มงกุฎ อยู่ส่วนบนของสมองเรียกว่า คาเวอร์เนียส เพลกซัส ณ ตำแหน่งนี้ ชื่อว่าทำให้เกิดปัญญาความรอบรู้

    หน้าทำหลักของจุดนี้ ระบบประสาทศูนย์กลางบัญชาการใหญ่ในการสั่งการของร่างกายทุกชนิด

    เทคนิคการดูดซับพลังจักรวาล ทุกคนคงรู้จักปิรามิดเป็นอย่างดี บ้างก็รู้จักพลังปิรามิดอยู่บ้าง ลักษณะของปิรามิดนี้ ยังมีพลังซ่อนเร้นอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะรู้วิธีนี้ด้วย ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่มหัศจรรยฺ์ที่สุดของโลก มีผู้ทดลอง เกี่ยวกับมันมามาก ขอเข้าเรื่องเลยละกัน

    พลังปิรามิด เป็นสถานที่เพิ่มพูดพลังจักรวาล ช่วยทำให้ ส่งเสริม พลังภายใน ซึ่งปิรามิด นี้ มีหน้าที่เปรียบเสมือนเลนส์ รับเอาพลังจักรวาล ทั้งภายนอกโลก และพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกด้วย

    เริ่มต้นด้วย มหาปิรามิดแห่งกีซา เป็นต้นแบบของการสร้างปิรามิดจำลอง ซึ่งนำมาใช้ ในการฝึก พลังจักรวาล มหาปิรามิด สูง 146.7 เมตร แต่ปัจจุบันเนื่องจากยอดหายไปจึงสูงแค่ 137.3 เมตร ความยาวของฐานปิระมิดคือ 230.5 เมตร จำนวนชั้นบันไดหินมี 201 ชั้น เดิม สร้างเสร็จใหม่ ๆ น่าจะมี 220 ชั้น มุมองศาคือ 51 องศา จำนวนก้อนหิน สร้างราว ๆ สองล้านเจ็ดแสนก้อน เฉลี่ยหนักก้อนละ 2.5 ตัน น้ำหนักทั้งหมดของปิระมิดราว ๆ เจ็ดล้านตัน

    ปัจจุบันมีหลายคน ที่ใช้ปิรามิดจำลองมาใช้เพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
    [​IMG]
    นี่เป็นสัญลักษณ์ จักรวาลแบบใหม่
    [​IMG]
    นี่เป็นสัญลักษณ์ จักรวาลแบบโบราณ

    ขอบคุณแหล่งที่มา Mythland.orgจักระที่ 1 ตั้งอยู่ระหว่างทวารหนักและอวัยวะสืบพันธุ์ มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 4 กลีบ มีชื่อว่า มูละธารณะ จักระนี้แสดถึงรากฐาน
    ของตนเอง สัญชาติญาณแห่งการอยู่รอด ความคิดสร้างสรรค์ และการมองโลกในแง่ดี



    พลังจักรวาล เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ในหลาย ๆ พลังงานที่มนุษย์เราค้นพบ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบพลังงานที่มีอยู่รอบโลกเรานี้หลาย ๆ พลังงานด้วยกัน เช่น พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานแสง พลังงานในรูปคลื่นสั้น และคลื่นยาว รวมถึงรังสีต่าง ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพลังงาน



    เอ แล้วพลังงานนี้เกิดจากไหน ? พลังงานนี้ มันมาจากจักรวาล มันคือพลังงานที่มีอยู่ตามธรรมชาติของเรานี่แหละ เป็นที่ทราบกันดีว่า จักรวาลเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ เรียกว่า big bang แรงระเบิดนี้ ทำให้ก้อนมวลสารแตกกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง บ้างก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บ้างก็เป็นฝุ่นผงเลยทีเดียว เรียกว่า เนบิวลา



    เศษมวลสารก้อนเล็ก ๆ ที่เคยกระจายออกไป ก็มีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นมวลสารก้อนใหญ่ กลายเป็นดาว เป็นกลุ่มดาย และเป็น กาแลกซี่ในที่สุด



    จักรวาลทำให้ก่อเกิดพลังงานเหล่านี้ ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับดวงดาวนั้น ๆ ตั้งแต่ เซลล์เดียว จนพัฒนามาเป็นมนุษย์ พลังงานนี้ ก็ยังควบคุมดูแลการทำงานของร่างกายมนุษย์ตลอดจนส่วนต่าง ๆ ของมนุษย์ไว้เป็นอย่างดี มีหน้าที่การทำงานควบคุมกลไกภายในร่างกาย ตั้งแต่ สมอง ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ล้วนทำงานสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้น พลังงานจักรวาลนี้ เรามีอยู่ทุกคน



    พลังจักรวาลนี้ มีการค้นพบกันมานานแสนนาน จากการฝึกตน หรือใช้จิตวิญญาณ และการเพิ่มพลังให้กับตนเอง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2009
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ไฟในตัว

    ในร่างกายของมนุษย์นั้นยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถศึกษาและเข้าใจได้ แม้ว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ในปัจจุบันระรุดหน้าไปมากเพียงใดก็ตาม
    หนึ่งในอีกหลายเรื่องี่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้ก็คือการที่คนๆหนึ่งเกิด
    ร้อนระอุขึ้นมาในร่างกายจนถึงกับเกิดไฟลุกขึ้นท่วมตัวเอง ทำให้ร่างกายถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่านไป ซึ่งน่าจะเป็นกระบวนการเผาไหม้ในร่างกายมนุษย์( Human Combustion ) หรือที่คนโบราณเรียกว่า ภาวะลมปราณแตกซ่านนั่นเอง

    คำอธิบายของการเกิดภาวะลมปราณแตกซ่านนี้ผมใคร่ขออนุญาต คัดเอามาจากบทความ (ผมพิมพ์ตามหนังสือมันเขียนไงผมพิมพ์งั้น) ของ น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เรื่อง ภาวะลมปราณแตกซ่าน เรื่องจริงไม่อิงนิยาย ในมติชนสุดสัปดาห์ เดือนพฤษภาคม 2539 ซึ่งท่านอธิบายไว้อย่างชัดเจนดังนี้

    “ก่อนอื่นต้องรู้ว่า คนเรามีปราณภายในตัวอย่างแน่นอน มันคือพลังของชีวิตของเซลล์นับล้านๆๆ เซลล์ที่รวมกันเป็นประจุไฟฟ้าผ่านผนังเซลล์เอาโซเดียมออกและดึงโพแตสเซียมเข้า ผลก็คือเกิดศักดาไฟฟ้าเล็กๆขึ้นที่เยื้อหุ้มเซลล์ ซึ่งเราสามารถวัดได้ด้วยขั้วไฟฟ้าขนาดเล็กจิ๋ว( Micro Electrode)

    ทีนี้เมื่อเซลล์รวมกันเป็นเนื้อเยื่อ เป็นอวัยวะ เป็นระบบอวัยวะ และเป็นตัวเราทั้งตัว ก็เกิดเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งอาจตรวจจับได้เรียกกันในชื่อต่างๆว่า ออร่า รังสีเคอเลียน ลมปราณ พลังปราณ แน่นอน นอกจากกตัวคนเราแล้ว สรรพสิ่งในจักรวาลก็มีปราณอยู่ในธรรมชติทุกหนทุกแห่งเช่นเดียวกัน ปราณเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับตัวเรา เข้าและออกจากตัวเรา ดูดดึงและถ่ายทอดกับปราณของตัวเราอยู่ตรอดเวลา

    ปัญหามีอยู่ว่า ภาวะลมปราณแตกซ่านอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าปราณถูกเปิดรวดเร็ว หรือรุนแรกเกินไป หลังลมปราณดังกล่าวั้น “ เมื่อถูกเปิดขึ้น ไม่ว่าด้วยการทำสมาธิ ด้วยโยคะ ด้วยการท่อง บทสวด ด้วยการออกกำลังกาย ด้วยยากล่อมประสาท ด้วยวิกฤติทางร่างกายเช่การบาดเจ็บทางร่างกาย เสียคนรัก ภาวะใกล้ความตาย เหล่านี้ อาจเป็นเหตุกระตุ้นพลัง กุณฑาริรีถูกปลุกตื่น แล้วสำแดงตนอย่างการการควบคุม เกิดเป็นอาการต่างๆ

    ที่มา http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=57843
    <!--IBF.ATTACHMENT_771984--><!-- THE POST -->
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    บำบัดโรคโดยฝึกพลังคอสมิคฟรี !!!
    <HR SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->โดย ผู้จัดการออนไลน์

    ใครที่มีโอกาสได้เจอหญิงสูงวัยนาม “ เยาวเรศ บุนนาค ” เชื่อว่าคงเกิดความประทับใจในอากัปกิริยาทะมัดทะแมง แคล่วคล่องว่องไว แม้วัยจะล่วงเข้าสู่เลข 74 แล้วก็ตาม แต่ยังดูสดใสและสุขภาพดี ทำให้หลายคนอยากรู้เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ

    คุณย่าเยาวเรศและลูกศิษย์บรรยายให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่ผู้สนใจ ณ โครงการผู้จัดการสุขภาพ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ คุณย่าเยาวเรศ เล่าว่า เคล็ดลับนี้ได้มาโดยบังเอิญเมื่อท่านมีโอกาสรู้จัก พลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ ในช่วงที่ชีวิตเจอมรสุมเศรษฐกิจจนทำให้เกิดความเครียดและทุกข์ใจ ซึ่งหลวงสุวิชาญแพทย์ก็แนะนำให้ทำสมาธิ ตลอดจน ลด ละ เลิก กิเลส จนมีแรงสู้ต่อไป

    “ ท่านคงเห็นแววอะไรสักอย่างในตัวเรา จึงถามเราว่าสนใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นไหม แต่ต้องทำจริงจังและไม่หวังผลอะไรตอบแทน ตอนนั้นอายุเพิ่ง 28-29 เราก็รับฟังแต่ยังไม่ตัดสินใจ จนมาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เห็นว่าเราพร้อมแล้ว พออยู่พอกิน ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติม จึงหันมาศึกษาอย่างจริงจัง จนได้มีโอกาสไปเรียนเรื่องรังสีคอสมิคที่อเมริกา ใช้เวลาเรียนเพียงเดือนเศษๆ ก็กลับมาช่วยเหลือคนเจ็บป่วยได้ ”

    สดใสแข็งแรงแม้จะวัยล่วงเข้าวัย 74 ปีแล้ว คุณย่าเยาวเรศ อธิบายว่า พลังคอสมิคคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีพลังสูงยิ่งกว่ารังสีแกมมา การค้นพบพลังนี้ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของมาสเตอร์โซเซอร์ เมื่อประมาณ 5-6 พันปีที่แล้ว โดยแสงสว่างที่พวยพุ่งออกมาจากรังสีคอสมิคจะมีอำนาจพลังมหาศาล และเต็มไปด้วยตัวแร่ธาตุที่เป็นยารักษาโรคแก่มนุษย์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกนี้ ที่สามารถดูดซับเอาพลังนี้เข้าไปเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต

    องค์ประกอบของพลังคอสมิคนี้ ร้อยละ 90 เป็นโปรตรอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอิเลคตรอนอนุภาคอัลฟา ที่เกิดจากอวกาศนอกโลกที่พุ่งลงมาสู่โลกมนุษย์ คนสมัยก่อนใช้ประโยชน์จากพลังงานนี้อย่างแพร่หลาย แต่เมื่อโลกมีวิวัฒนาการมากขึ้นมนุษย์ก็เริ่มละเลยสิ่งใกล้ตัวและหันไปไขว่คว้าสิ่งอื่นมาทดแทนยามเจ็บป่วย พลังนี้จึงค่อยๆ เลือนหายไป จนกระทั่ง อาจารย์ดาสิรา นาธะ แห่งประเทศอินเดีย ได้นำสิ่งที่สูญหายหลายพันปีนี้กลับมาเผยแพร่ใหม่

    “ พลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ ถือเป็นคนไทยคนเดียวที่ได้รับถ่ายทอดวิชา โดยตรง ย่าเองก็ได้มาจากคุณหลวงเหมือนกัน ” ย่าเยาวเรศ กล่าวและว่า มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั่นคืออำนาจสมาธิ อำนาจจิต และกลไกภายในกายเนื้อนั้นจะสามารถติดต่อดึงดูดพลังที่มีคุณค่ามหาศาลนี้เข้าสู่ร่างกายได้ แรงสั่นสะเทือนของอำนาจจิตและอำนาจสมาธิมีคลื่นความถี่สูง จนสามารถเข้ากับคลื่นความสั่นสะเทือนของพลังคอสมิคได้อย่างรวดเร็ว

    รศ.อาภรณ์ ภูมิพรรณา กำลังบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิคโดยใช้วิธีจับจักระต่างๆที่เสื่อมสมรรถภาพ “ เรื่องของพลังกายทิพย์ หรือคอสมิคนั้น เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ไสยศาสตร์อย่างที่หลายคนเข้าใจ เป็นส่วนหนึ่งในแขนงฟิสิกส์ และจากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้พบว่า มนุษย์นั้นมีกายอยู่ 2 กาย คือ กายเนื้อและกายทิพย์ (Etheric Body) ที่ซ้อนกันอยู่ หากเปรียบแล้ว กายเนื้อก็เสมือนพาหนะห่อหุ้มทั้งหมดเอาไว้ ส่วนกายทิพย์จะเป็นกายที่โปร่งใสมีกลไกดูดซับจากธรรมชาติ เราเรียกกลไกนี้ว่าจักระ มีหน้าที่เหมือนเครื่องจักรคอยส่งพลังงานไปหล่อเลี้ยงกายเนื้อให้เจริญเติบโต มีสุขภาพจิตสุขภาพกายแข็งแรง ซึ่งร่างกายคนเราจะประกอบไปด้วย 7 จักระ และจะมีสีของแต่ละจักระโดยเฉพาะ ”

    โดยสีของจักระต่างๆ มีดังนี้ จักระที่ 1 สีแดง, จักระที่ 2 สีส้ม, จักระที่ 3 สีเหลือง, จักระที่ 4 สีเขียว, จักระที่ 5 สีฟ้า, จักระที่ 6 สีไพลิน และ จักระที่ 7 สีม่วงและสีทอง

    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_1 width=223><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">กดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม</TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    แต่ละจักระนี้จะมีอยู่ตามส่วนสำคัญของร่างกาย หากมีจุดใดจุดหนึ่งหมดพลังหรือหมดแสงไป จะส่งผลให้อวัยวะส่วนนั้นๆ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหยุดทำงานไปเลย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความจำเสื่อม เป็นไซนัส เป็นต้น คนที่สุขภาพดีและแข็งแรง ร่างกายจะเปล่งรัศมีแห่งแสงสีทั้ง 7 แต่จะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งที่จะเห็นจากการมองภายนอกคือ ดูเป็นคนมีสุขภาพดี สดใส ร่าเริง

    สำหรับคนที่สนใจจะรับการบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิค หรือสนใจเป็นผู้ให้การบำบัดรักษาเอง สิ่งที่ต้องมีคือ จะต้องถือศีลให้จิตใจสงบ งดเว้นอบายมุขทั้งปวง และมีระเบียบวินัยในตนเอง เพราะศาสตร์ทางเลือกนี้ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจึงจะได้ผล และหากมีความเชื่อในสิ่งที่ทำก็จะยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้น โดยสามารถบำบัดได้ทุกอาการ ยกเว้นการเจ็บป่วยที่รุนแรงจนเกินเยียวยา เช่น โรคเอดส์

    ระหว่างการให้พลังคอสมิค ผู้ได้รับการบำบัดต้องมีสมาธิและจิตจดจ่ออยู่ที่จุดที่ได้รับการสัมผัส การบำบัดรักษาด้วยพลังคอสมิคนี้ จะไม่มีการจ่ายยาใดๆ และผู้ให้การบำบัดจะไม่วิเคราะห์โรคด้วยตนเอง แต่จะให้แพทย์แผนปัจจุบันเป็นผู้วินิจฉัย จากนั้นจึงจะให้การบำบัดในส่วนที่เจ็บป่วย

    “ การบำบัดลักษณะนี้ปราศจากต้นทุน เป็นการบำบัดที่เกิดจากมือเรา เกิดจากการสัมผัส วันหนึ่งที่เราแก่ตัวไป หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ก็สามารถบำบัดรักษาตัวเองโดยไม่ต้องกลายเป็นภาระของผู้อื่น ”

    ด้าน รศ.อาภรณ์ ภูมิพรรณา นักวิชาการที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์ทางเลือก และเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยพลังคอสมิค ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พลังคอสมิคสามารถตอบโจทย์และข้อสงสัยได้หมด มีข้ออธิบายในตัวเอง อยู่ที่ว่าใครจะเปิดใจรับฟังหรือไม่ และสิ่งที่ทำให้ตนเองมาทดลองใช้พลังคอสมิค เพราะความรักตัวเองและเชื่อว่าถึงวันนี้เราไม่ป่วย แต่สักวันหนึ่งก็ต้องป่วย หากเราลองซ่อมเสริมสุขภาพของเราเองก่อน ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ จึงเริ่มเข้าเรียนกับคุณย่าเยาวเรศ เป็นเวลา 6 วัน จากนั้นก็ฝึกฝนมาเรื่อย จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 4-5 ปีแล้ว และพบว่าตัวเองมีสุขภาพดีและไม่มีท่าทีว่าจะป่วยไข้

    ผู้ที่สนใจเข้ารับการบำบัดรักษาด้วยศาสตร์แพทย์ทางเลือกแขนงนี้ สามารถติดต่อได้ที่ สมาคมสถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ โทรศัพท์ 0-2580-3388 , 0-2591-5271 , 0-2591-5272
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 bgColor=#ffffff>

    [​IMG]


    [​IMG]



    </TD><TD vAlign=top borderColor=#ffcc66 bgColor=#ffffff colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD align=right>วันที 02 - ส.ค.- 49</TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD align=right></TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD align=right>
    พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ​
    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD align=right></TD><TD></TD></TR><TR><TD width="6%"></TD><TD align=right width="93%">โดย : คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค</TD><TD width="1%"></TD></TR><TR><TD vAlign=top></TD><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top></TD><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top></TD><TD><HR width="80%">
    <DD>ารเจ็บป่วยของมนุษย์นี้มีหลายสาเหตุ สิ่งแรกเกิดจากกรรมที่ต้องยอมรับว่าชาติก่อนเราเบียดเบียนสัตว์ มาชาตินี้เราต้องเจ็บป่วย ถูกผ่าตัด สิ่งต่อมาคือ การประพฤติปฏิบัติในชาติปัจจุบัน โดยเอา อารมณ์ กิเลส ตัณหา เข้ามารุมล้อมก็ทำให้ภายในร่างกายทำงานผิดปกติ วิชาพลังกายทิพย์สอนให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาติของร่างกายสามารถที่จะนำมาบำบัดรักษาโรค ธรรมชาติที่ทำให้เราแข็งแรงด้วยอารมณ์ของเรา ด้วยการปรับกิจวัตรของเราที่ปฏิบัติมาผิดๆให้ถูกต้อง โรคนั้นก็จะหายได้ การให้ผู้ป่วยเรียนวิชานี้เพื่อชำระล้าง เปรียบเหมือนทุกคนมีเครื่องจักรอยู่ในตัวขับเคลื่อนมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งควรให้ความสนใจดูแล ทำอย่างไรจึงจะทำให้ภายในร่างกายของเราสมดุล วิชาพลังกายทิพย์ที่สอน 6 วัน จะสอนธรรมชาติในจักรวาลกับธรรมชาติในกายมนุษย์ พลังสำคัญรอบตัวเราที่เรียกว่า พลังคอสมิค ซึ่งหากได้เรียนรู้แล้วก็จะสามารถนำพลังคอสมิคออกมาใช้บำบัดรักษาโรคได้
    <DD>พลังคอสมิคมีความแรงมากเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่รอบกายมนุษย์ หากฝึกวิชาพลังกายทิพย์แล้วก็สามารถที่จะรับพลังคอสมิกให้เข้ามาสู่ร่างกายตามตำแหน่งจักระทั้ง 7 แห่ง จักระสามารถเปิดรับพลังคอสมิครอบๆ ตัวเราเข้าสู่ร่างกาย นำไปพัฒนาจิต พัฒนาร่างกายที่เจ็บป่วยให้หายได้อย่างมหัศจรรย์
    <DD>พลังคอสมิคทั้ง 7 สี คือ สีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง เมื่อรวมกันแล้วเป็นสีขาว Spectrum ซึ่งเห็นเสมอในระบบจักรวาลคือ สีของสายรุ้ง สีเหล่านี้เป็นตัวยาทั้งสิ้น จักระมนุษย์จะเปิดหมุนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยปิด จะหมุนเร็วช้าอยู่ที่การปฏิบัติตัวของมนุษย์ จักระในร่างกายมนุษย์ มี 7 แห่ง

    <DD>จักระที่ 1 มี 4 เส้นแสง สีแดง ชื่อ มูลลัดดา เป็นรากฐานของระบบจักระ ตั้งอยู่ที่ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก จักระนี้เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่จะทำให้ชีวิตอยู่ได้ จักระนี้ทำหน้าที่ดูดซับพลังคอสมิคที่พุ่งขึ้นมาจากใจกลางโลกตลอดเวลาเพื่อทำงานร่วมกับจักระที่ 2
    <DD>จักระที่ 2 มี 6 เส้นแสง สีส้มสด ชื่อ สวัสดิ์ธนา ตั้งอยู่ที่ปลายกระดูกสันหลังใต้ก้นกบ เป็นจุดศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศ มีหน้าที่ดูดซับพลังที่ได้รับจากดวงอาทิตย์มาเก็บไว้ และกระจายพลังที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ ตรงกับต่อมเพศ (Gonads)
    <DD>จักระที่ 3 มี 10 เส้นแสง สีเหลือง ชื่อ มณีปุระ ตั้งอยู่ที่บริเวณสันหลังบริเวณเอวระดับที่ตรงกับสะดือ เป็นที่เก็บพลัง เป็นคลังมหึมาของพลังเหมือนเตาปรมาณู ดูแลส่งพลังให้เลื่อนขึ้นไปตรงกลางอก จักระนี้เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ผลิตเม็ดโลหิต ตรงกับต่อมหมวกไต Adrenal gland จักระนี้ควบคุมอวัยวะใน ท้อง ตับ กระเพาะ และ ลำไส้
    <DD>จักระที่ 4 มี 12 เส้นแสง สีเขียว ชื่อ อนัตตา ตั้งอยู่ที่ตรงกลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ เป็นศูนย์รวมของความรัก การพัฒนาจิตใจ ความเมตตา กรุณา และความเสียสละ จักระนี้ควบคุม หัวใจ เส้นเลือดหัวใจ ควบคุมไขมันในเส้นเลือด ตรงกับ Thymus gland จักระนี้ควบคุม หัวใจ และระบบหมุนเวียนของโลหิต
    <DD>จักระที่ 5 มี 16 เส้นแสง สีฟ้า ชื่อ วิสุทธิ ตั้งอยู่ที่บริเวณตรงกระดูกต้นคอระดับตรงกับคอหอย เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง ตรงกับ Thyroid gland จักระนี้ควบคุม ปอด
    <DD>จักระที่ 6 มี 96 เส้นแสง สีไพลิน (น้ำเงิน) ชื่อ อัจนา ตั้งอยู่ที่กลางหน้าผาก เป็นจักระที่เปรียบเสมือนดวงตาของปัญญา จักระนี้ใช้เป็นดวงตาที่สาม และ พาหนะแห่งญาณวิเศษสำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ตรงกับ Pituitary gland จักระนี้ควบคุม สมองส่วนล่าง และ ระบบประสาท
    <DD>จักระที่ 7 มีทั้งหมด 972 เส้นแสง ตรงกลางเป็นสีทอง มี 12 เส้นแสง รอบๆ คลุมด้วยเส้นแสงสีม่วง 960 เส้นแสง ชื่อ สหัสรา ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม เป็นจักระที่เปรียบเสมือน มงกุฎดอกบัว เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในร่างกาย เป็นสถานที่รับพลังคอสมิค และกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ซึ่งจักระอื่นๆไม่สามารถจะรักษาได้โดยตรง เป็นฐานใหญ่ของมนุษย์ ทุกครั้งที่กำหนดจิตอยู่ที่จักระที่ 7 จะทำให้จักระที่ 7 นี้ หมุนเร็วขึ้น และจะทำให้จักระอื่นๆในร่างกายหมุนตามด้วย จักระที่ 7 ตรงกับ Pineal gland จักระนี้ควบคุมอวัยวะสมองส่วนบน ระบบประสาท ระบบโครงสร้าง ระบบหมุนเวียนทั่วร่างกาย Pineal gland ที่จักระที่ 7 เชื่อมต่อกับ Hypothalamus คือ สถานีเรดาร์ คอยแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกาย และเป็นตัวสั่ง Hypothalamus ให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกายมนุษย์ มีเชื้อโรคอะไรแอบเข้ามาก็จะสั่งไปที่ต่อมใต้สมอง ต่อมใต้สมองก็จะสั่งให้ต่อมของร่างกายในส่วนนั้นไปต่อต้าน และ จะสั่งเม็ดเลือดขาวไปจัดการกับเชื้อโรคดังกล่าว ในสมองมนุษย์มีเส้นประสาท 12 คู่ เส้นประสาทที่ ASTRARA ยกย่องมาก คือ คู่ที่ 10 เรียกว่า Vagus Nerve เป็นคู่ที่สำคัญที่สุด <DD>ปัจจุบันมีหน่วยงานที่เห็นความสำคัญของวิชาพลังกายทิพย์ คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้จัดให้คณะของคุณย่าเยาวเรศไปสอนวิชาพลังกายทิพย์ให้แก่พนักงานขององค์กรดังกล่าว โดยมีการสนับสนุนให้เปิดการสอนไปแล้วหลายรุ่น ทำให้งบประมาณค่ารักษาพยาบาลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคลดลงได้
    <DD>มีการยกตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้รับผลดีจากการรักษาด้วยพลังกายทิพย์ 2-3 ตัวอย่าง ประวัติวิทยากร

    <DD>คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค เป็นผู้ก่อตั้ง สมาคมสถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพได้ดำเนินการสอนมาแล้ว 8 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2538 อบรมลูกศิษย์ไปแล้วประมาณ 50,000 คน ก่อตั้งเป็นสมาคมเมื่อ พ.ศ.2544 วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสมาคมเพื่อการรักษาโรคร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าวิชา สมาคมได้เปิดอาคารที่ทำการของสมาคมเป็นที่บำบัดรักษาโรค โดยใช้อำนาจสมาธิและอำนาจพลังธรรมชาติมาช่วยบำบัด สอนวิชาพลังกายทิพย์ในระดับปฐมจักระใช้เวลา 6 วัน ซึ่งผู้ที่เรียนจบแล้ว หากนำวิชาที่ได้เรียนไปฝึกต่อไปทุกวันก็จะทำให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บเล็กๆน้อยๆของตน ตลอดจนบุคคลในบ้านและเพื่อนบ้านได้
    นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์ บันทึกรายงาน
    <HR width="80%">
    พลังคอสมิค
    <DD>ค.ศ.1925 โรเบิร์ต เอ มิลิแคน นักฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ค้นพบ รังสีคอสมิค และ สันนิษฐานว่าดวงดาวชื่อ พัลซาร์ ใน เนบูลารูปปู เป็นต้นกำเนิด เนื่องจากมันกระพริบส่งพลังงานเหมือนกับเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในจักรวาล <DD>รังสีคอสมิค เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีช่วงคลื่นสั่นแรงกว่า รังสีแกมม่า องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตอน 90% และ พบอิเล็กตรอน อนุภาคแอลฟ่า 9-10 Herzt ด้วย จึงมีทั้งขั้วบวก และ ขั้วลบ หมุนเวียนวิ่งวนเป็นคู่ ล่างบน ซ้ายขวา หน้าหลัง สะท้อนกระจกเงาได้ มีคุณสมบัติเหมือนพลังงานอื่นๆ แต่เข้มข้นกว่า ปริมาณมากกว่า หนาแน่นกว่า พบได้ในทุกชั้นบรรยากาศของโลก สามารถซึมซับ ทะลุทะลวงผ่านสรรพสิ่ง เครื่องกีดขวางไปได้ทุกแห่ง รังสีนี้แผ่กระจายจากนอกโลก รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแสงอาทิตย์ บางส่วนผ่านดวงดาวต่างๆ จึงดูดซับแร่ธาตุแสงสีต่างๆ พุ่งเข้าสู่ใจกลางโลกด้วยความเร็วและความถี่มากกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า และสะสมเป็นวงล้อมเปลือกโลก สูงจากพื้นดิน 15,000 เมตร ซึมซับเข้าไปในสรรพสิ่งต่างๆสะสมอยู่ในทั้งสิ่งไม่มีชีวิตและมีชีวิตบนโลก แร่ธาตุ พืช สัตว์ และ มนุษย์ <DD>รังสีนี้เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ สุริยจักรวาล และ จักรวาลทั้งหมดเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการไหลเวียนไปทั่วทั้งจักรวาล รวมเรียกว่า พลังงานชีวิต <DD>รังสีคอสมิคมีปริมาณเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ มีมากที่สุดในแสงแดดตอนเที่ยงวัน มีลักษณะเป็นพยับแดด แวววาว ระยิบระยับ เป็นแสงสีทอง มองเห็นด้วยตาเปล่า บนท้องฟ้ารังสีจะแยกชัดเจน หลังฝนตกมองเห็นเป็น สีรุ้ง 7 สี สีแดงจากพลังคอสมิคให้พลังมากที่สุด เป็นพลังงานที่จะปรับทุกอย่างให้มีความสมดุล <DD>มนุษย์รับรู้การเคลื่อนไหลของพลังชีวิตด้วยประสาทสัมผัสภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น และ กาย และ สัมผัสละเอียดภายใน คือ จิต เพียงแต่มนุษย์ได้ปล่อยปละละเลยความละเอียดภายในกายและจิต ทำให้อ่อนล้าเสื่อมสลายไปเกือบหมด คนที่มีพลังสมาธิจิตสามารถควบคุมและนำส่งพลังคอสมิคไปที่เป้าหมายได้ทั้งใกล้และไกล ทั้งในทางสร้างสรรดีงาม หรือ ในทางชั่วร้าย พลังจะย้อนกลับมาที่ผู้ใช้ 3 เท่า พุ่งออกจากทุกส่วนของร่างกาย สัมผัสได้โดยเฉพาะทางฝ่ามือและปลายนิ้วมือ รังสีนี้สามารถปรับอาการผิดปกติ หรือ การเสียสมดุลของอวัยวะในร่างกายคนและสัตว์ได้ (Healing Power) <DD>การทดสอบพลังคอสมิคในร่างกาย ศาสตราจารย์ นพ.ชิน บูรณธรรม กล่าวว่าคนทั่วไปอาจทดสอบได้ดังนี้
    <DD>1. ลองเอานิ้วชี้ของมือข้างหนึ่ง จี้ตรงใกล้ๆฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง (อย่าให้ชิด) จะรู้สึกว่าเกิดความรู้สึกซู่ซ่าขึ้น ณ จุดนั้น และเมื่อเราวนปลายนิ้วชี้นั้นเป็นวงกลม ก็จะรู้สึกซู่ซ่าไปตามแนววงกลม <DD>2. เอาปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างมาจ่อชนกัน แล้วแยกห่างออกมา เข้าๆออกๆ จะมองเห็นคล้ายฝ้าของไอน้ำสีน้ำเงินอ่อน วิ่งเป็นเส้นระหว่างนิ้วนั้นๆ และถ้ารวบนิ้วของแต่ละมือมาชิดกันแล้วมองภาพอะไรก็ได้ ผ่านทางช่องนิ้วของมือทั้ง 2 จะเห็นภาพนั้นมัวๆคล้ายผ้าไอน้ำมาบัง (อย่ามองย้อนแสง) <DD>3. ลองเอาฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง เข้ามาใกล้กันที่สุด แล้วแยกห่างราว 4-5 นิ้ว เข้าๆออกๆหลายๆครั้ง ในที่สุดลากเข้าให้ชิดกันอีกจะรู้สึกว่ามีแรงต้านเกิดขึ้น
    พญ.กานดา ปัจจักขะภัติ รายงาน
    ที่มา : การบรรยาย เรื่อง “พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ” โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค ณ ห้องประชุมเบญจกูล สถาบันการแพทย์แผนไทย วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2546 เวลา 10.00-12.00 น.
    สร้างเมื่อ 02 - ส.ค.- 49
    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การเพิ่มพลังชี่ด้วยมวยไท้เก๊ก


    <TABLE style="WIDTH: 626px; HEIGHT: 159px" cellSpacing=1 cellPadding=1 width=626 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>จากการสำรวจพบว่า ผู้ที่เล่นมวยไท้เก๊กมีสภาพจิตและรูปร่างภายนอกที่ดูอ่อนกว่าอายุจริง และความสามารถในการเข้ากับสิ่งแวดล้อมและการควบคุมอารมณ์ก็ดีกว่าคนทั่วๆไป การเล่นมวยไท้เก๊กสามารถคงความหนุ่มสาวได้
    นอกจากนี้ มวยไท้เก๊ก ยังช่วยพัฒนาการควบคุมสมดุลของผู้สูงอายุ ยังสามารถเพิ่มความอดทนและการประสานเข้ากันของร่างกาย
    </TD><TD vAlign=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 622px; HEIGHT: 785px" cellSpacing=1 cellPadding=1 width=622 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ของมวยไท้เก๊กในการควบคุมท่าทีร่างกาย
    หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาได้ศึกษาลักษณะการเคลื่อนไหวของมวยไท้เก๊กแล้ว พบว่ามีคุณลักษณะที่เหมาะสำหรับฝึกฝนความสามารถการตอบสนองของระบบกล้ามเนื้อและทำให้รูปร่างของคนมีความสมดุลเพียงพอ
    การเคลื่อนไหวของมวยไท้เก๊กสามารถพัฒนาการกับควบคุมสมดุลของร่างกาย
    การเคลื่อนไหวขณะเล่นมวยไท้เก๊กสามารถพัฒนาข้อกระดูกข้อศอกและกล้ามเนื้อต้นแขน การฝึกมวยไท้เก๊กจะช่วยลดไขมันในเส้นเลือดให้ผู้สูงอายุ และยังกระตุ้นปฏิกิริยาขับถ่ายของเก่าและเสริมสร้างของใหม่ให้ระบบร่างกาย ช่วยในการชะลอความแก่ นอกจากนี้ การเล่นมวยไท้เก๊กบ่อยครั้ง สามารถช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่หัวใจและปอด ป้องกันไม่ให้มีโรคร้ายแรงในหลอดเลือดหัวใจ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ขยันฝึกมวยไท้เก๊กเป็นเวลาสองเดือน ความดันโลหิตจะกลับมาสู่ภาวะปกติ
    ที่มาของมวยไท้เก๊ก
    มวยไท้เก๊ก ได้รับการยืนยันว่า คิดค้นขึ้นโดยคุณ เฉินหวังถิง (ค.ศ. 1600 - 1680) ในช่วงปลายราชวงค์หมิงคาบเกี่ยวกับช่วงต้นราชวงค์ชิง ท่านเป็นผู้ที่มีความสนใจและศึกษาวิชาต่อสู้หลายประเภท หลังจากเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแต่ละวิชาและค้นคว้าหลักความคิดของลัทธิเต๋าแล้ว คุณเฉินวังถิงประยุกต์วิชาบำรุงร่างกายหรือมวยไท้เก๊กขึ้นมา โดยใช้เหตุผลทั้งด้านวิธีการต่อสู้ หลักความคิดลัทธิเต๋า และการแพทย์แผนโบราณของจีน ซึ่งให้ความสำคัญแก่การหันหน้าหันหลังเข้าหากันของฝ่ามือ การปรับปรุงหยินหยาง การผสานความแข็งแกร่งและความอ่อนช้อยเข้าเป็นหนึ่งเดียว และการเข้ากันระหว่างลมหายใจกับการเคลื่อนไหว
    [​IMG]
    ทฤษฎีของมวยไท้เก๊ก
    มวยไท้เก๊กเป็นการรวมถึงการเปลี่ยนแปลงระหว่างหยินกับหยาง เคลื่อนไหวกับอยู่นิ่ง แข็งแกร่งกับอ่อนช้อย เร็วกับช้า ซึ่งใช้เทคนิคในวิชาต่อสู้และเหตุผลของการแพทย์แผนโบราณจีนที่เกี่ยวกับเส้นประสาท ฉะนั้น นอกจากสามารถนำมารักษาโรคแล้ว ยังสามารถเป็นวิธีที่บำรุงสุขภาพและ เสริมสร้างร่างกายที่มีประสิทธิภาพ
    ลักษณะและข้อสังเกตของมวยไท้เก๊ก
    การเคลื่อนไหวของมวยไท้เก๊กมีลักษณะเป็นแนวโค้งแนวหมุนเป็นเกลียว ใช้ความคิดนำพา Qi ให้หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย ขับแรงออกจากจุดเลือดลมที่อยู่ใต้สะดือ (จุดเลือดลมตันเถียน) หมุนรอบกระดูกสันหลัง หมุนแขนรอบไหล่ และหมุนน่องรอบขา ซึ่งบางทีก็ป็นการนวดอวัยวะภายใน ดังนั้น ลักษณะสำคัญของมวยไท้เก๊กก็คือ การคิด การเคลื่อนไหว และลมหายใจต้องประสานกัน และเป็นหนึ่งเดียว
    มวยไท้เก๊กต้องการให้มีการประสานระหว่างตา มือ ร่างกายและเท้า เพื่อให้การหายใจสามารถสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในแต่ละขั้น นับเป็นการออกกำลังกายทั้งภายในและภายนอก และทำให้ภายในกับภายนอกรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ การที่ไหวตัวเป็นแนวโค้งและแนวหมุนเป็นเกลียวนั้น ก็เป็นการปฏิบัติตามทฤษฎีการแพทย์ทางด้านระบบประสาท ซึ่งใช้ความคิดนำ Qi ให้เดินไปทั่วร่างกาย พร้อมกับการไหวตัวเพื่อให้ระบบประสาททำงานได้อย่างคล่องแคล่วจนถึงทุกปลายสายของประสาท
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พลังปราณบำบัดเเละรับพลังปราณ ด้วยวิธีง่ายq

    <!-- Main -->
    พลังปราณ บำบัด คือ ถือว่าเป็น ยาขนานหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเเข็งเเรง
    จากการที่ป่วย เป็นเนื้องอก เราใช้พลังปราณ นีเเหละ ในการบำบัด รักษาตัว
    ก่อนอื่น อยากจะเล่าให้ฟังก่อนว่าปราณ คืออะไรเเละปราณนั้น สำคัญไฉน

    ปราณ หรือชี่ นั้นคืออะไร

    นักวิทยาศาสตร์ ได้อธิบายถึงพลังปราณหรือชี่ ไว้ดังนี้ ปราณหรือชี่นั้น คือ คลื่นพลังงานไฟฟ้า ชีวภาคหรือ หรือเรียกอีกอย่าหนึ่งว่าพลังชีวิต คนไทย เรียกว่าปราณ ซึ่งมาจากภาษา สันสกฤต หากสิ้นลมปราณเเล้ว ก็หมายความว่า สิ้นใจชาวจีน เรียกว่าชี่ ปราณนั้นมิได้หมายถึงอากาศ เเต่มีอยู่ในอากาศ จะมีอยู่ทั่วไป จะมีอยู่มากในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ปราณบริสุทธิ์ จะมีมากในช่วงเช้า เเสงเเดดไม่เเรง ปราณมี ในสวน ในป่าในเขา หรือชายทะเล โดยทั่วไป พลังงานนี้ มีอยู่ทุกที่ ทั้งในน้ำ ในดิน เเละ ในอาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปนั่นเอง พลังปราณนี้สามารควบคุมได้ด้วยจิต ดังคำกล่าวที่ว่า จิตอยู่ที่ไหนพลังอยู่ที่นั่น พลังปราณ(ชี่)นี้ หากผู้ใด สามารถ ฝึกฝนรับพลังเเละเดินพลังปราณในกายสม่ำ เสมอ ก็จะช่วยขจัด โรคภัยไข้เจ็บ สุขภาพ เเข็งเเรงมีชีวิตชีวา อ่อนเยาว์ไม่เเก่ไม่เฒ่า นอกจากนี้ ผู้ที่เก็บกักพลังปราณไว้ในกายได้ยังสามารถ ถ่ายทอดพลังปราณไว้รักษาผู้อื่น ให้หายจากโรค ภัยไข้เจ็บได้ พลังปราณ เป็นบ่อเกิดกำลังภายใน ในวิชามวยไทจี๋

    การสัมผัสพลังปราณ(ชี่)

    เมือหลายปีก่อน เรา ได้เข้าไปศึกษาพลังปราณเเละพลังเเห่งธรรมชาติเพื่อการบำบัด ที่สถาบันพัฒนาจิต ของท่านอาจารย์ มล.อัคนี นวรัตน์ อาจารย์เเนะนำสำหรับผู้ฝึกใหม่ให้รู้จักกับพลังปราณ ท่านให้นั่งหรือยืนก็ได้ ตั้งจิตให้สบาย ไม่ต้องเกร็ง ถูมือทั้งสองข้างให้เกิดความร้อน เพื่อว่ามือของท่านจะไวต่อความรู้สึก จากนั้นให้ยกมือทั้งสองขึ้น ประกบกัน เเล้วค่อยๆ เคลื่อนมือออกจาก กันอย่างช้าๆ แผ่วๆ เบาๆ เเละให้เคลื่อนมือเข้ามาหาใกล้กันอีก เเละเคลื่อนเข้าเคลื่อนออก จน รู้สึกว่าตรงกลางผ่ามือทั้งสองนั้นมี คลื่นน้ำ หรือคลื่นเเม่เหล็ก ดูดเข้าหาฝ่ามือทั้งสอง บางท่านจะรู้สึกร้อนๆ ยิบๆ ที่กลางฝ่ามือทั้งสอง ถ้าท่านสัมผัสได้ สิ่งนั้นเเหละคือพลังปราณ หรือพลังชี่นั่นเอง

    ในวิชาโยคะ ท่านโยคีรามจักร ได้เขียนไว้ในหนังสือ วิทยาศาสตร์การหายใจ ว่า ให้ท่านหายใจให้ลึกๆ ให้ถึงศูนย์ กลางกาย โยคะเรียกศูนย์กลางตรงนี้ว่า มณีปุระจักระ ในทางมวยไทจี๋เรียกว่าจุดตังเถียน จุดมณีปุระจักกระ นี้จะอยู่เหนือสะดือขึ้นมาเล็กน้อย ในความเข้าใจส่วนตัวของผู้เขียน จุดตังเถียนนี้น่าจะอยู่จุดเดียวกัน กับมณีปุระจักระ ดังนั้นเมื่อท่านหายใจเข้าช้าๆลึกๆ จิตกำหนดไปว่า พลังปราณนั้น ผ่านเข้าทางลมหายใจ สถิตลึกมาถึงกลางท้อง เก็บลมหายใจไว้ เหมือนดั่งเก็บกักปราณ ไว้ที่กลางท้องนั้น สัก๒-๓อึดใจเเละหายใจออกให้ยาวๆ ช้าๆ ท่านจะรู้สึกถึงความสดชื่น เเละมีกำลังเพิ่มขึ้นมาทันที ลดอารมณ์ตึงเครียด ให้ท่านลองฝึกปฏิบัติอย่างน้อย ๕รอบลมหายใจ เเละทุกครั้งที่ฝึกท่านต้องใชัจิตกำกับไปด้วยเสมอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2009
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ฉัพพรรณรังษี-แสงทิพย์-จิตวิญญาณ-กายทิพย์



    ออร่า(แสงกายทิพย์)-จักระ-พลังจักระ


    แสงกายทิพย์หรือออร่าคืออะไรคะ เกิดจากอะไร และเกี่ยวข้องกับบุญบารมีหรือเปล่าคะ?


    ดาราไทยใฝ่ธรรมะ


    ธรรมญาณ


    แสงกายทิพย์หรือออร่า(Aura) เกิดจากพลังของจิต ผู้มีพลังจิตสูง แสงของกายทิพย์ก็จะสว่างตามพลังของจิต บุญบารมีก็เกิดจากการสะสมของพลังจิตที่กระทำแต่ความดีครับ....


    ลุงใหญ่


    ข้าพเจ้าไม่ได้คัดค้านเรื่องแสงออร่า อะไรนั่น แต่จะขอบอกว่า ใครเป็นคนตั้งชื่อแสงชนิดนี้ขึ้นมา
    มนุษย์จะมีพลังงานแสงอยู่หลายชนิดมีทั้งแสงที่มนุษย์ด้วยกันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และแสงที่มนุษย์ด้วยกันไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    แสงที่มนุษย์มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สัตว์บางชนิดโดยเฉพาะไก่ สามารถมองเห็นได้ ดังนั้น ไก่จะขันในเวลามิควรขัน เช่นไก่ขันเวลา ตี 2 ตี 3 อย่างนี้เป็นต้น
    แสงออร่ามาจากไหน
    หลักการของข้าพเจ้าไม่มีแสงออร่า มีแต่การขจัดคลื่นแห่งความคิด,อารมณ์,ความรู้สึก ,และจะเปล่งออกมาเป็นแสงทั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    แสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ไม่ใช่จะมีมนุษย์ในโลกคนใดจะทำได้ และไม่มีทางทำให้เกิดได้อย่างเด็ดขาด
    ส่วนแสงที่มนุยษ์มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่านั้น ไม่ค่อยดี เพราะสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านเขา เหตุเพราะเวลาสดุ้งตื่น ตี 2 ตี 3 ไก่ขันเซ็งแซ่ บางคนไม่ดูนาฬิกา ลุกมาหุงหาอาหาร เพราะอาศัยเสียงไก่ขันเป็นปกติเวลาประมาณ ตี 5 ฉะนี้


    อ.วรรณา ประสาทพร


    ออร่า(แสงแห่งเรือนกาย).....ล้อมรอบกายเป็นรูปไข่ค่ะ ต้องหรี่ตาดู แสงออร่า เป็นที่สนใจในต่างประเทศมากและในประเทศไทยก็มีมากพอสมควร
    หน้าที่ของออร่า - เป็นเกราะป้องกันโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
    แสงออร่า -เป็นรูปไข่ มี 7 ชั้น รอบกาย ซ้อนกันอยู่ 7 วงเหมือนสีรุ้งกินน้ำหรือแสงอาทิตย์นั่นเองค่ะ
    -มีสีออร่าพิเศษอยู่อีก 2 ชั้น คือชั้นที่ 8และชั้นที่ 9 ลอยอยู่เหนือศีรษะซ้อนกันอยู่ มีแสงเป็นรอบๆ สีทอง ชมภู ม่วง เหลือง มีไว้เพื่อวางแผนชีวิตในชาติต่อไป ชั้นในสุดคือชั้นที่ 9 ค่ะ

    แสงออร่า-มีทั้งในพืช สัตว์ คน มีหมดค่ะ.....
    อย่างคนทำแท้ง แสงออร่า(ของลูก)ยังคงมีอยู่ในท้องของแม่ อยู่ได้เป็น100 ปี เฉพาะชาตินี้ ชาติเก่าๆยังเรียนไม่ถึงค่ะ ดิฉันเรียนมาจากอาจารย์ที่ประเทศอังกฤษค่ะ ชื่อ อาจารย์กมลทิพย์ เอฟเว่น ท่านเก่งมากค่ะ สอนให้รักษาคนด้วยแสงออร่าน่ะค่ะ......
    สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็มีแสงออร่าด้วย คนเสียชีวิตแล้วออร่าจะเป็นสีดำเลยค่ะ หินบางก้อนก็มีออร่าได้ เพราะมีเทพอยู่ มีพลังอยู่ คนแขนขาดก็มีแสงออร่า.....
    แสงออร่า มองไม่เห็น ต้องใช้จิตมองค่ะ สีของออร่ากับสีจักระ ไม่เหมือนกันนะคะ.....
    สีของออร่า มี 7 ชั้น ดังนี้
    1.สีเทา,น้ำเงิน วงรีข้างในสุด ติดตัวกายเลยค่ะ
    2.หลายสี คล้ายหมอก(ออกขาว)
    3.สีเหลือง ซับซ้อนกันอยู่ในจักระ
    4.สีชมภู
    5.สีน้ำเงิน
    6.สีเหลือบมุก(เงาๆเงินๆ) เป็นเงาๆค่ะ
    7.สีเงิน,สีทอง อยู่ชั้นเดียวกัน

    การรักษาโรคด้วยแสงออร่าทำได้ค่ะ ดิฉันรักษา(ฟรี)มานานหลายปีแล้วค่ะ การรักษาวิธีนี้มีประโยชน์ 5 ข้อค่ะ
    1.แสงออร่าจะสว่างและกว้างขึ้น
    2.ขจัดสิ่งติดขัดที่อยู่ในแสง โรคเครียดๆจะน้อยลง
    3.ทำให้ภูมิต้านทานโรคมีมากขึ้น
    4.โรคบางชนิดอาจหายขาดได้
    5.ผู้เข้ารับการรักษาจะมีสุขภาพดีขึ้น(ทั้งกายและใจ)
    ผู้ค้นพบแสงออร่านำมาใช้รักษาโรคได้ เป็นชาวลาตินค่ะ....ถ้าสนใจรักษาโรคด้วยแสงออร่ากับดิฉันก็ติดต่อผ่านคุณเนิน นราธร/ชัย กรุงศรีได้เลยค่ะ เขาจะแนะนำให้เองค่ะ......



    ฐานนท์ ปัญโญ (panyo43@yahoo.com)


    คุณลุงใหญ่คงเข้าใจไม่หมดในบางเรื่องครับ การใช้แสงออร่ามารักษาโรคนั้น ก็คือการใช้พลังจิตรักษาโรคนั่นเอง เพราะพลังจิตสามารถกำหนดได้หลายแบบหรือหลายแสงนั้นเอง พลังจิตสามารถส่งเข้าไปขับเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดโรคได้ ในบางโรค สำหรับที่ว่าเป็นเกราะป้องกันโรคนั้น ถ้ามองว่าแสงออร่าคือพลังจิต และเป็นฌาณ ก็ถือว่าเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคได้
    ยกเว้นเชื้อโรคจากแรงกรรม อย่าว่าแต่เชื้อโรคเลย ลูกปืนยังเจาะเกราะแห่งฌาณ ไม่ได้เลย เพราะบริเวณที่ฌาณคลุมอยู่ ถือเป็นสุญญากาศ แม้แต่ไฟก็ไม่ใหม้
    ขอให้คุณลุงใหญ่ศึกษาให่มากขึ้นอีกครับ อย่าเพิ่งใปแย้งเขาครับ จนกว่าเราจะมองเห็นว่า ทุกสิ่งคือเรื่องเดียวกัน


    พุทธญาโณ


    ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคุณฐานนท์นะ ผมเองน่ะเรียนมาทางเอนจิเนียร์ทำงานด้านนี้มาก็ร่วม40ปีเกือบตลอดชีวิต เข้าใจเรื่องคลื่นวิทยุไฟฟ้าโทรคมนาคมเป็นอย่างดีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ(รวมทั้งการบริหารงานนั้นๆด้วย) ก่อนจะมาเรียนก็ผ่านวิชาวิทยาศสตร์ทั้งหลายแหล่มาหมด
    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 1
    แล้วเหมือนกะคุณฐานนท์แหละนะ เราไม่เชื่ออะไรง่ายๆหรอกถ้าไล่ไม่ครบวงจรเราก็ไม่เชื่อ ผมศึกษาและปฏิบัติธรรมจริงจังมากว่า15ปีแล้วบวชเรียนมาแล้ว ไม่เคยเห็นอะไรเลย อยู่ๆวันหนึ่งก็รับพลังพระ ดูแสงออร่าของคน ของเทพ พรหมหรือพระได้ รู้ด้วยว่าแรงมากน้อยแค่ไหน เป็นพลังด้านใด(ใครทราบบ้างว่าเป็นเพราะอะไร?ช่วยบอกทีนะ) ผมสมัครเข้าไปเรียนรู้พลังออร่ารักษาโรคกับอ.วรรณา ประทุมพร ที่มหาวิยาลัยราชภัฎพระนคร(หลักสูตรพิเศษของสถาบันพัฒนาทางจิต)เมื่อ 18 ธค47นี้เอง เพราะเชื่อมั่นว่าแสงออร่าหากบวกกับพลังทิพย์จากเบื้องบนมารวมตัวกันก็ช่วยเหลือคนอื่นได้แน่ๆ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ผมคาดไว้ไม่มีผิด อ.วรรณาฯมีองค์ในเป็นพระแม่อุมา ส่งพลังกายทิพย์มาช่วยรักษาโรคให้ทุกครั้ง รักษาโรคได้จริงๆยกเว้นโรคกรรมหนักๆ เรียนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ จับกันเป็นคู่ๆ ให้รักษาได้จริงๆ แต่คงต้องใช้ความชำนาญ ประสบการณ์ช่วยด้วยจึงจะได้ผลดี อาจารย์รักษาหญิงสาวคนหนึ่งให้ดูเป็นตัวอย่างก็ได้ผลชะงัดมาก เธอเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ พอตรวจ(ใช้มือแบคว่ำเคลื่อนที่ไปเหนือร่างกายจากเท้าถึงศีรษะ)ไปถึงอวัยวะเพศส่วนล่าง(บนคือมดลูก ล่างคือกระเพาะปัสสาวะ)มือก็สะดุดหยุดลงเคลื่อนที่ไปไม่ได้ อาจารย์ต้องเพิ่มแสงออร่าสีแดงจากเบื้องบนและของท่านเข้าไปเสริมเติมส่วนที่บกพร่องไปจนเต็ม แล้วปิดแสงให้ ถามเธอๆก็ยอมรับว่าเป็นโรคนั้นจริง เสร็จการตรวจเธอก็บอกว่าเธอสบายดีขึ้นมากแล้ว(หายแล้วก็ได้) ที่ลุงใหญ่บอกว่าหลอกลวงหาเงินเข้ากระเป๋า นี่เป็นบาปเปล่าๆนะลุงนะ อ.วรรณามาสอนไม่ได้ค่าจ้างสักบาทเดียวนะ แถมต้องนั่งรถขนส่งมาจากนครปฐมทั้งไปและกลับ นั่งแท็กซี่ด้วย ขากลับผมยังรับอาจารย์มาส่งที่นอกถนนให้ท่านต่อรถแท้กซี่ไปเอกมัยสายใต้เพื่อกลับบ้านนครปฐมเลย ค่ารถก็ไม่ได้เพราะเป็นงานการกุศลทั้งหมด อาจารย์สอนและรักษาคนมาหลายปีแล้ว ไม่เคยเรียกร้องเงินทองจากใคร รักษาเป็นวิทยาทาน เป็นการสร้างบุญบารมีโดยตรง อาจารย์บอกว่าอาจารย์ก็เหมือนผมไง คือชีวิตบั้นปลายอุทิศให้กับงานพระพุทธศาสนาอย่างเดียว ไม่สนอะไรหมด ไม่ว่าเงินทอง ค่าจ้างอะไร เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่ารวยแล้วไง รวยทั้งกายทั้งใจ .....อาจารย์บอกว่าสำหรับผมไม่ต้องมาเรียนก็รักษาคนได้แล้ว(อ.อาชวินก็บอกและยืนยัน) แถมยังอัญเชิญบารมีพระโพธิสัตว์หลายๆองค์มาช่วยยังได้เลย เพราะท่านมาอยู่กับผมตั้งหลายองค์นะ ชายก็มีหลายองค์หญิงก็มี แถมมีปู่ใหญ่ฤๅษีอีกต่างหาก(อะไรจะขนาดนั้น) ผมไม่สงสัยและไม่ได้ดีใจอะไรหรอก เฉยๆ ก็เพราะผมรู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นยังไงล่ะครับ.....

    ลุงใหญ่


    อีกประการหนึ่ ฌาน เป็นเพียงสภาพจิตใจอย่างหนึ่งไม่มีทางเปล่งแสงอะไรออกมาได้อย่างเด็ดขาด
    ส่วนที่คุณอ้างว่าสามารถถ่ายรูปแล้วเห็น กล้องธรรมดาถ่ายไม่ได้หรือคุณ ลองเอามาพิสูจน์ซิ อยากเห็นว่ามันมีเทคนิคสร้างแสงได้อย่างไรผิดหลักการทางธรรมชาติ เพราะแสงรัศมีภายในสรีระร่างกายมนุษย์ จะมีที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพียง 6 ชนิด ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีก 3 ชนิด
    ความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวดอกนะ เพราะทางใครทางมัน แต่อย่าเรียนแบบข้าพเจ้าโดยที่พิสูจน์ไม่ได้ ปัดโธ่ แสงหลอกลวงมี 7 สี หลอกลวงชัดๆ


    ฐานนท์ ปัญโญ


    ขอให้คุณลุงใหญ่ มีความสุขไปกับความรู้ที่ตนเองมี ...ต่อไปเถิด

    Admin ( )


    สีของจักระกับสีของแสงกายทิพย์(ออร่า)

    สีของจักระตามจุดต่างๆในร่างกายคนกับแสงกายทิพย์(ออร่า)ของคน เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร??


    ธรรมะธรรโม


    ลุงใหญ่


    สรีระร่างกายของมนุษย์ มีเซลล์ ในแต่ละเซลล์มีอะตอม มีนิวเคลียส
    เมื่อเกิดปฏิกริยาทางเคมี ภายในสรีระร่างกาย อันเกิดจากความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะสามารถเปล่งพลังงานแสงออกมา สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 6 สี ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 2 ชนิด หรือ 3 ชนิด
    แสดงออร่า เป็นสิ่งทีใครตั้งขึ้นมา เรียนแบบฝรั่งหรือ ข้าพเจ้าอยู่เชียงใหม่ พวกฝรั่ง เห็นข้าพเจ้าบ่อยครั้ง ฝรั่งไม่รู้จริงเสมอไปนะคุณ
    อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าสามารถขับดันความรู้ความเข้าใจ หรือความดีของบุคคลอื่นให้สามารถเปล่งแสงทั้ง 6 แสงออกมาได้แต่อาจจะเป็นแสงสีใดสีหนึ่ง แล้วแต่สภาพความคิด สภาพอารมณ์ สภาพความรู้สึก
    ซึ่งข้าพเจ้าเรียกแสงเหล่านั้น ตามศัพท์ที่มีอยู่ว่า "ฉัพพรรณรังสี"


    ฐานนท์ ปัญโญ


    ทำไม คุณลุงใหญ่ ชอบเน้นเรื่องปล่อยแสง บ่อยจัง
    กล้องถ่ายภาพออร่า ถูกคิดค้น โดยองค๋การนาซ่า
    เป็นการโปรแกรมสีต่างๆ ลงบนฟิลม์ ที่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้าของร่างกาย โดยวัดผ่านค่าความต้านทานของผ่ามือ ดังนั้นเมื่อจิตใจแต่ละคนเป็นอย่างไร ก็จะได้สีแตกต่างกันไป ปกติแล้วทุกสรรพสัตว์ที่มีจิตและวิญญาณ ย่อมมีแสงอยู่รอบตัวเสมอ แสงนี้จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับพลังงานของจิต
    ส่วนเป็นสีใด จะขึ้นกับอารมณ์ของผู้นั้น สำหรับกล้อ
    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 2
    งออร่านั้นก็สร้างเลียนแบบแสงของจิต เพื่อให้มองเห็นเป็นรูปธรรม

    ลุงใหญ่


    ไม่มีดอกกล้องของนาซ่านะ เขามีแต่กล้องอินฟาเรดทึ่อาศัยความร้อนจากวัตถุเป็นตัวนำทำให้มองเห็นในเวลากลางคืน
    แล้วก็อย่าคิดเรียนแบบฉัพพรรณรังสี ที่จะมีสีตามแต่สภาพอารมณ์
    แสงอะไรของพวกคุณนะสามารถสร้างเทคนิคใส่เข้าไปได้เพราะมันไม่ได้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มนุษย์ย่อมมีพลังงานความร้อนอยู่ในตัว กล้องอินฟาเรคที่อาศัยพลังงานความร้อนในตัวคนยังใช้มองในเวลากลางคืนได้อย่างชัดเจนเพียงแต่มันจะมองเห็นเป็นแสงรูปตัวคน
    อย่าเอามาหลอกลวง คงจะเปลี่ยนแปลงมาจากโยเร เพื่อหวังผลประโยชน์ละซิ ข้าพเจ้าไม่ยุ่งเกี่ยวดอกนะ แต่อย่าเรียนแบบหลักการหรือคำสอน หรือสิ่งที่เกิดมีในตัวข้าพเจ้า เพราะฉัพพรรณรังสีของข้าพเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่า อีกทั้งถ้าคุณอยากพิสูจน์ว่าตัวคุณมีความดีหรือไม่ ก็มาได้เลยข้าพเจ้าจะทดลองให้คุณดูโดยจะบังคับให้เกิดแสงรัศมีหรือฉัพพรรณรังสีในตัวคุณเปล่งออกมา สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวคุณก็สามารถมองเห็นได้ด้วยเช่นกัน ลองดูไหม กล้าไหมพิสูจน์ไหมคุณ ถ้าไม่กล้าอีกไม่นานก็ คงจะมีคนไปแจ้งสำนักงานพุทธศาสนา หรือตำรวจให้ไปห้ามปรามพวกคุณเหมือนกับพวกโยเรนั่นแหละคุณ


    ธรรมญาณ


    จักระ มี 7 จุด ตั้งแต่กลางกระหม่อม จนถึงก้นกบจุดที่7 แต่ละจุดมีแต่ละสี ตั้งแต่ แดง-เหลือง-ชมพู-เขียว-ส้ม-ฟ้า-ม่วง......แต่ละจักระ จะมีรูปกรวยคล้ายๆรูปสามเหลี่ยม หมุนอยู่รอบตัว มีการหมุนขวาเปิดจักระ และหมุนซ้ายปิดจักระ ส่วนกายทิพย์หรือออร่า คือแสงที่ออกจากจักระ แต่ละจุดออกจากกาย เป็นรัศมีรูปไข่....
    รัศมีจิต คือ รัศมีของจักระ แต่ละจุดรวมตัวกันเป็น 7 สี เราเรียกว่า "ดวงจิต" มีที่ตั้งอยู่ 3 แห่งคือ 1.กลางหน้าอก2.ศูนย์กลางกายเหนือสะดือ 2 นิ้ว และ 3.ตาที่สาม อยู่เหนือหว่างคิ้ว ที่เราเรียกว่า อุณาโลม.....

    ฐานนท์ ปัญโญ


    สมัยนี้ นาซ่าเขาจะไปอยู่ดาวอังคารกันแล้ว แต่คุณลุงใหญ่ เพิ่งไปถึงกล้องอินฟาเรด ผมว่ายอมรับรู้สิ่งใหม่ ๆ บ้างก็ได้นะ


    ลุงใหญ่


    แค่ดวงจันทร์ ยังไปไม่ได้ ยังจะมาคุยอะไร
    แล้วคุณรู้ไหมว่า ***แสงออร่านะไม่มีในมนุษย์ ***กล้องที่คุณว่านะมันหลอกลวง ใช้เทคนิคภาพซ้อน ดูแปลบเดียวก็รู้แล้ว แถมยังมีหน้าเอามาทำนายอุปนิสัยคนจากแสงที่มันเอามาหลอกลวงชาวโลกอีก ไม่มีทางดอกคุณ




    ฐานนท์ ปัญโญ


    แสงออร่า ก็คือแสงที่ลุงใหญ่ชอบเรียกว่า "ฉัพพรรณรังสี" นั่นเอง เพียงแต่ฝรั่งเขาเรียกชื่อใหม่ให้เพราะๆ
    ครับ

    โอ่


    ถ้าพูดเรื่องสรีระแล้วเปล่งแสง ไม่ใช่ฉัพพรรณรังสีแน่ แต่ผมเคยเห็นรายการมนุษย์ไฟฟ้าให้ไฟฟ้าผ่านตัวได้ ถ้าเอาหลอดไฟไปต่อเข้าก็มีแสงไฟ อันนี้แปลก และมีแสงแต่แบบนี้มิใช่ฉัพพรรณรังสี คือปลาไหลไฟฟ้าก็ทำได้ มีแสงเหมือนกัน และไม่ใช่ฉัพพรรณรังสีเช่นกัน การเกิดแสงมีในสัตว์อื่นก็มี เช่นหิ่งห้อยก็มีแสง แต่มิใช่ฉัพพรรณรังสี ฉัพพรรณรังสี เป็นของพระพุทธเจ้าผู้เดียว พราะฉะนันถ้าคนจะมีแสงต้องดูให้เข้าใจอย่าไปทุกทักว่าเป็นฉัพพรรณรังสี คือเหมาะที่จะบันทึกในกินเนสบุ๊คมากกว่า


    ฐานนท์ ปัญโญ


    ถูกต้องแล้วครับ ฉัพพรรรังสี นี้ใช้เฉพาะกับพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว เท่านั้น แต่ลุงใหญ่ชอบเรียกแสงของตัวเองว่า ฉัพพรรรังสี ผมว่าเริ่มเพี้ยนแล้วครับ



    ธรรมวิมุติ


    ผมก็สงสัยมาตั้งนานว่าฉัพพรรณรังสีของลุงท่านคืออะไร?? ตั้งแต่ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นใครบังอาจบอกว่ามีฉัพพรรณรังสีนอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระโพธิสัตว์เองก็ทราบว่ามี 7 สีไม่ใช่ 6 สีแบบฉัพพรรณรังสี ของพระพุทธเจ้าที่มี 6 สี ไม่มีสีแดงเพราะพระองค์ตัดขาดไปแล้วเด็ดขาด แต่พระโพธิสัตว์ยังมีอยู่เพราะต้องมาผจญกับมาร สู้กับมาร รบกับมาร เพราะลงมาเกิดช่วยเหลือมนุษย์สร้างบารมีของท่านต่อไปอีก......ขอให้ทุกท่านจงมีความเจริญในธรรม เทอญ ฯ


    ลุงใหญ่


    คุณธรรมวิมุตติ คุณมีความเข้าใจผิดเป็นอย่างมาก ฉัพพรรณรังสีไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าในความคิดของคุณดอกนะ หากพระพุทธเจ้าของคุณเป็นมนุษย์ ผู้ที่ได้เล่าเรียนศึกษาจากพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ก็ย่อมมีฉัพพรรณรังสีได้เช่นกัน
    อนึ่ง ฉัพพรรณรังสีที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการขจัดคลื่นแห่งกิเลสออกมาจากสรีระร่างกาย ดังนั้น สีแห่งฉัพพรรณรังสีจึงแตกต่างไปตามกิเลส และยังมีฉัพพรรณรรังสี ที่เปล่งออกมาเป็นสีใสใสคล้ายแก้ว เพื่อป้องกันคลื่นจากบุคคลอื่นๆ ฉัพพรรณรังสีสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และมีที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อีก 3-4 ชนิด ฉะนี้


    พุทธญาณ ( buddhayan.tha@gmail.com )

    ออร่า-แสงกายทิพย์

    ออร่าหรือแสงกายทิพย์คืออะไรคะ?


    เอมอร ณ เชียงใหม่


    ลุงใหญ่

    </TD><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 3
    >

    ที่คุณกล่าวมาข้าพเจ้าไม่ทราบว่าหมายถึงสิ่งใด
    เพราะจากประสบการณ์ในการฝึกตนของข้าพจ้า แสงหรือฉัพพรรณรังสี เป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่อยู่ภายในสรีระร่างกายของเรา หากเรามีความรู้และฝึกได้ถูกวิธี แสงหรือรัศมี หรือฉัพพรรณรังสี จะสามารถเปล่งแสงออกมาจากสรีระร่างกายของเราเพราะ เซลล์ในร่างกายของเป็นมีอะตอม มีนิวเคลียส
    ส่วนกายทิพย์นั้น ความจริงก็คืออะตอมที่แยกตัวออกจากกัน อันนี้อธิบายอยาก เพราะหากบุคคลฝึกได้ฤทธิ์ในระดับหนึ่ง จะสามารถบังคับให้เซลล์หรืออะตอมภายในร่างกายแยกตัวได้ขอรับ และที่กล่าวไปนี้ไม่ใช่พูดเล่นหรือเพ้อเจ้อนะขอรับ ไม่ทราบว่าคุณอยู่เชียงใหม่หรือเปล่าถ้าอยู่เชียงใหม่คงเคยเห็นข้าพเจ้าบ้างก็เป็นได้


    เอมอร ณ เชียงใหม่


    เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกทางวิชาการน่ะค่ะ อาจจะไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงก็ได้ ณ บางแห่งอาจเรียกว่ารัศมีจิต(วิญญาณ)ก็ได้กระมังคะ...ดิฉันก็ไปๆมาๆกรุงเทพ เชียงใหม่ ลำพูนอยู่นี่แหละค่ะ ยังไม่เคยพบเห็นท่านเลย มีใครเคยพบท่านบ้างคะที่พอจะสอบถามได้.......


    ลุงใหญ่


    ตอนนี้ข้าพเจ้ายังคงพักอยู่ในค่ายกาวิละ อีกไม่นานก็จะย้ายไปแล้วขอรับ


    โอ่


    เมื่อเราส่งกายทิพย์ออกไปสู่จักรวาลอื่นหรือที่อื่นไกล ในพริบตา ถ้ากายทิพย์เป็นอะตอมเราก็ส่งอะตอมเดินทางไปในพริบตามเหมือนกัน เราไปสวรรค์นรกก็ส่งอะตอมไปยังภพนั้นได้จนกระทั่งถึงพรหมโลกได้ และเดินทางเร็วกว่าแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้เป็นอะตอม เพราะกายทิพย์ของลุงใหญ่นั้นเอามาตรฐานของวัตถุบนโลกที่ลุงใหญ่เห็นว่ามีการค้นพบมาเป็นเกณฑ์ แล้วทางวิทยาศาสตร์นั้นอะตอมจะวิ่งผ่านวัตถุต่างๆได้อย่างง่ายดายด้วยหรือ?


    Admin ( )


    ออร่าอาเนิน


    ออร่าของอาเนินเป็นสีอะไรคะ แล้วมีองค์เทพคุ้มครององค์ไหนบ้าง


    ชมพูเกสร


    ชัย กรุงศรี



    ปี46 เป็นสีเหลืองอมแสด แล้วมีสีขาวปนอยู่สัก1ใน3 มีสีชมพูแซมด้วย ข้างในบริเวณหัวใจสีม่วงและสีแดง แต่ปี47 ยังไม่ได้ถ่ายรูปออร่าไว้แต่ไปให้ อ.อาชวินดูให้ด้วยตาที่3(ตาทิพย์)กลายเป็นสีม่วงระดับปานกลางไปหมดแล้ว......มีเทพ พรหมอยู่ด้วย2-3องค์ มีองค์บารมี2องค์ครับ.....ภาพนี้ปี46ครับ


    ชัย กรุงศรี


    ตอนนี้ปี47 เปลี่ยนไปจากเดิมแล้วครับ ลองเปรียบเทียบกันดูก็แล้วกัน มีเทพ พรหมและองค์บารมีเสด็จมาเพิ่มด้วยอีก3-4องค์ครับ อ.วีรยุทธ โกยทาอัญเชิญมาให้ 2 องค์ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตเมื่อธค.47นี้แหละครับ นอกนั้นท่านเสด็จมาโปรดเอง.....


    ชัย กรุงศรี



    มีพระพรหม4หน้า อดีตชาติเป็นพระฤาษีชราเป็นพรหมระดับหัวหน้า1องค์ ส่วนองค์บารมีเดิมมีสมเด็จโต กับหลวงปู่ศุข(เข้ามาเป็นบางครั้งมาสอนทำสมาธิเวลาปฏิบัติ) แต่ปัจจุบันเสด็จมาโปรดอีก3องค์คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ทวด(2องค์หลัง อ.วีรยุทธอัญเชิญมาให้)....ทุกอย่างอยู่ที่การปฏิบัติครับ ถ้าศีลดี ปฏิบัติดีสม่ำเสมอ พูดจริงทำจริง สิ่งดีๆก็จะเข้ามาหาเราเองครับ......ภาพนี้เป็นออร่าปี47ที่ถ่ายไว้อีกภาพหนึ่งด้วยกล้องพิเศษคุณภาพเยี่ยมของ อ.ฉาดฉาน บุนนาค เป็นภาพปกติไม่ได้เข้าสมาธิเหมือนรูปแรก เป็นภาพเต็มตัวออร่าออกไปทางสีทอง-เหลืองครับ.....


    ชัย กรุงศรี



    อ.อาชวินบอกว่าตอนนี้ผมรักษาคนได้แล้วนะ ห้ามด่า/แช่ง/ตำหนิใคร จะเป็นจริงตามนั้น ให้เปลี่ยนเป็นให้พรแทน.....อ.วีรยุทธฯบอกว่าขณะนี้ผมจะอัญเชิญองค์ไหนมาได้หมด บอกคาถาพิเศษเป็นโองการสวรรค์ให้ด้วย.....อ.อาชวินผมถามท่านว่าผมมีเทพ พรหมชื่ออะไร(รู้แต่ปีกลายแล้ว แต่ไม่ได้ถามชื่อท่าน) ท่านไม่ตอบ (เดิมมี2-3องค์เป็นเทพประจำตัว) แต่บอกว่ามีองค์หนึ่งสำคัญมากเป็นพระพรหม4หน้าเป็นระดับหัวหน้าใหญ่1ใน4 มีองค์นี้แล้วไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว.....ที่บ้านผมมีพรหม 2 องค์มาช่วยดูแลคุ้มครองให้องค์ชายทรงอาภรณ์สีแดง ทั้ง2องค์มีวิมานสวยงามมาด้วยพร้อมเสร็จ ชุดประดับด้วยเพชร นิล จินดา ทองคำ พลอยสีต่างๆวูบวาบทั้ง2องค์ ใจดีมากทั้งคู่ยิ้มอยู่เสมอ มีทั้งพระและคนธรรมดาที่มีตาทิพย์มองเห็นแล้วบอกผมครับ ผมเองไม่เห็นหรอกเห็นแต่ออร่าของท่าน ซึ่งมีหลายสีครับ สีเหลือง สีส้ม สีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียว สีแดงเป็นบางเวลาครับ.....ผมทำบุญกุศลอะไร แม้ทำสมาธิภาวนาไปทุกวันก็แผ่บุญกุศลไปให้ทุกๆท่านเป็นประจำแหละครับ ท่านก็คงเมตตาสงสารเรา ก็ลงมาช่วยดูแลน่ะครับ ผมเองไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นอะไร ก็ยังคงปฏิบัติตนไปตามปกติครับ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง......พร้อมกับรักษากุศลกรรมบถ40ให้ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก........



    ชัย กรุงศรี ( chaikrungsri@hotmail.com )


    เรื่องฉัพพรรณรังสีของลุงใหญ่(เทวดา) ที่ท่านชอบพูดถึงบ่อยๆ จนพวกเราชักจะเฉยๆไม่ได้แล้วกระมัง เพราะชักจะเข้าเค้าแล้วซี ผมไปอ่านหนั
    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 4
    งสือหลายเล่มเกี่ยวกับ พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ แห่งวัดพระพุทธชินราช แคลิฟอร์เนีย อเมริกา ที่ลูกศิษย์ท่านหลายคนบอกว่าท่านมีฉัพพรรณรังสีเหมือนกัน เวลาท่านสวดมนต์ จะไม่เห็นตัวท่าน แต่จะเห็นแต่รังสีสดใสเท่านั้น พระอาจารย์ท่านเองได้ชี้แนะว่าให้ไปหาผู้ที่มีญาณพิเศษทุกชาติมาดูตัวท่านโดยตรงว่า ท่านคือใคร มีบารมีบำเพ็ญมาในอดีตเป็นอย่างไร ขณะนี้บารมีเป็นอย่างไร? แหม่มรัสเซียคนหนึ่งชื่อแหม่มตา เอ็กซเรย์ก็เคยเห็นฉัพพรรณรังสีของท่านนัยว่าเป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นแบบเดียวกับที่ลุงใหญ่ว่าก็เป็นได้......พระอาจารย์สิงห์ทน เกิดปีชวด หินะ เป็นมรณะ หมายถึงความเลวไม่มีตายหมด คือ อริเป็นมรณะ เหมือนสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน หลวงพ่อสด วัดปากน้ำศัตรูเป็นมรณะเหมือนกัน ใครคิดร้ายกับท่านจะมีอันเป็นไปอย่างหนักทุกคนไปทั้งตัวเองและญาติพี่น้องด้วย...ดวงของพระอาจารย์สิงห์ทน เป็นมหาอุจจ์ ทั้งมือและเท้าเป็นก้นหอยทั้งหมด!!.....มีบางคนที่พระอาจารย์ไปช่วยจนฟื้นคืนชีพมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ก็มี......ท่านลุงใหญ่ เมื่ออ่านข้อความนี้แล้ว กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่านอกจากฉัพพรรณรังสีที่ท่านเปล่งออกมาได้นั้นเป็นขณะ/เวลาใดบ้าง และท่านมีคุณลักษณะพิเศษอะไรในตัวท่านอีกบ้าง(แบบพระอาจารย์สิงห์ทนฯซึ่งเป็นชาวเหนือเหมือนท่านเหมือนกัน)........แต่ถ้าข้อมูลใดที่อาจเป้นการละลาบละล้วงและไม่สมควรที่ท่านจะเปิดเผย ก็ไม่เป็นไรและผมขออภัยด้วยครับ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร นอกจากต้องการทราบข้อมูลประกอบการศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เท่านั้นครับ.......




    เนิน นราธร ( nern_naratorn@hotmail.com )



    เราสามารถขอบารมีจากผู้ทรงอภิญญาที่บำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ว่าอยู่บนพรหมโลก เทวโลก แม้อยู่ในมนุษย์โลก ก็ขอบารมีจากท่านได้ เมื่อสวดมนต์ภาวนาจนกระทั่งเปิดศูนย์พลังของตนเอง รับพลังบารมีจากท่าน นั่นคือ ทำตัวให้ว่างจากนิวรณ์ คือ ความรักแบบลุ่มหลง ความชัง เคียดแค้น พยาบาท ความง่วงซึมสลดหดหู่ใจ ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย ทำตัวให้ว่าง เหมือนตู้ที่ว่าง จึงสามารถบรรจุพลังเข้าไปใช้ได้อย่างแท้จริง.......หากไม่สามารถทำใจให้ว่าง ก็เหมือนกับตู้ที่เต็ม ก็ไม่สามารถบรรจุสิ่งของเข้าไปได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.........เรื่องลาภยศสรรเสริญสุข ช่วยกันได้ แต่เรื่องสวรรค์นิพพาน ต้องปฏิบัติอยู่ในศีลธรรมด้วยตนเอง หรือปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปฏิบัติไปตามทางที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบและนำมาตรัสแสดงไว้ที่มีชื่อว่า"มรรคมีองค์8"..........ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า เมื่อพระองค์ได้ค้นพบธรรม คือมรรคมีองค์8แล้ว ทำธรรมะนั้นให้เกิดขึ้น ก็ปรากฏมี"ฉัพพรรณรังสี"เกิดขึ้นสว่างไสวไปถึง อกนิฏฐพรหม ไม่มีพลังอื่นใดทัดเทียมได้ ไม่ว่าพรหม เทพ พญามาร จนกระทั่ง เจ้าลัทธิต่างๆที่มีอยู่แล้วเวลานั้น ไม่มีใครทำได้เช่นพระองค์ พลังนี้เอง ที่เรียกกันภายหลังว่า "AURA"สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งในด้านโลกียะและโลกุตตระ........ฉะนั้น ที่เอามาสอนกันในปัจจุบันว่า พลังจักระ พลังจักรวาล พลังปราณ พลังฉี้กง เป็นต้น ต้องอาศัยธรรมะ หากไม่มีธรรมะหรือธรรมจักร จะมีอันตรายเกิดขึ้นในภายหลังแน่นอน ดังที่ปรากฏกับหลายท่านเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว น่าสงสารบางท่านไปฝึกพลังต่างๆมาแล้ว ไปช่วยรักษาคน ถูกเจ้ากรรมนายเวรของผู้ที่ไปรักษาลงโทษ ทั้งตัวเองและญาติพี่น้อง ต่างก็ได้รับภัยอันตราย เจ็บป่วยไปตามๆกัน โปรดได้ใช้วิจารณญาณ ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดี มิฉะนั้นจะสายเกินแก้.......


    พุทธญาณ ( buddhayan@hotmail.com )



    ฉัพพรรณรังสี


    ฉัพพรรณรังสี แปลว่า รัศมีหกประการ(บางคนนึกว่าเจ็ด ก็แปลกดีที่คิดอย่างนั้น) ซึ่งเปล่งออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า (อัครสาวกทั้งหลายไม่มีฉัพพรรณรังสี เพราะเป็นของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ถ้าใครคิดว่าตนเองมีฉัพพรรณรังสีเท่ากับเอาตัวเองไปเทียบกับพระพุทธเจ้าเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง) คือ 1 นีล เขียวเหมือนดอกอัญชัน 2 ปีต เหลืองเหมือนหรดาลทอง 3 โลหิต แดงเหมือนตะวันอ่อน 4 โอทาต ขาวเหมือนแผ่นเงิน 5 มัญเชฐ สีหงสบาท เหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่ 6 ประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก

    ฉัพพรรณรังสีนี้พระพุทธองค์จะเปล่งหรือไม่เปล่งออกก็ได้ ถ้าเปล่งก็เป็นรัศมีที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าปรากฏแก่คนทั่วไป และทำให้เกิดความศรัทธาสูงสุด


    โอ่

    ลุงใหญ่


    แล้วคุณอยากเห็นฉัพพรรณรังสีของจริงไหมละ ถ้าอยากเห็นก็มาดูได้ที่เชียงใหม่นะ
    อีกประการหนึ่ง ถ้าพระพุทธองค์เป็นมนุษย์เช่นเราเช่นท่าน พระพุทธองค์มีได้ มนุษย์ทุกคนก็ย่อมมีได้เช่นกัน เพราะสรีระ
    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 5
    ร่างกายเหมือนกัน เว้นเสียแต่มีความรู้ไม่ถึงหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องเท่านั้นจึงไม่มี
    และขอยืนยันว่า ฉัพพรรณรังสี ไม่มีเฉพาะพระพุทธเจ้า ทุกคนที่มีหลักการหรือธรรมะรวมไปถึงวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ย่อมมีฉัพพรรณรังสีได้เช่นกัน
    ถ้าคุณอยากพิสูจน์ ก็มาได้ที่ "วิทยาลัยสารพัดช่างห้วยแก้วเชียงใหม่ " เวลา 09.00-12.00 น ข้าพเจ้าศึกษาหลักสูตรระยะสั้นอยู่ที่นั่น จันทร์ถึงศุกร์ ท้าให้พิสูจน์ได้เลยนะ


    ชัย กรุงศรี



    พิสูจน์กันได้ก็ดีครับ ผมเองก็อยากไปพิสูจน์จะไปเชียงใหม่ราวๆกลางเดือนแต่ผ่านไปจีนไปพม่า คงไม่มีโอกาสไปพบท่านลุงใหญ่หรือเทวดาในเวลาดังกล่าวได้ แต่ก็คิดว่าคงจะได้พบท่านสักวันหนึ่งข้างหน้า ผมและธรรมญาณอยากพบท่านมากเหมือนกัน.....ตามที่ทราบกันมาบุคคลธรรมดาหรือพระอริยะทั่วไปก็มีกันได้ไม่เกิน7สี ผู้มีรัศมี7สีก็ต้องเป็นผู้สำเร็จกิจระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นพระโพธิสัตว์หรือพระอรหันต์ นอกนั้นก็มีสีต่างๆแตกต่างกันไป พระอาจารย์วสันต์ฯองค์หนึ่งที่ตอบคำถามของศิษย์คนหนึ่งที่ถามว่าแล้วออร่าพระอาจารย์เป็นสีใด? ท่านตอบว่าของท่านมี7สี......บางคนชอบทำพิธีการหล่อพระต่างๆบอกว่าน้ำมนต์ของเขามี7 สีเหมือนสีรุ้ง สีของแสงอาทิตย์ เราก็งงอีก ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร?.....พระอาจารย์หลายองค์ก็ยืนยันในหนังสือหลายเล่มว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มีฉัพพรรณรังสี(6สี)เหมือนกันทุกองค์ พระพุทธเจ้าไม่ไหว้กัน นอกจากพระพุทธเจ้าองค์ปฐมองค์เดียว ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องไหว้ท่าน......เหตุผลของลุงใหญ่เราก็รับฟังไว้ แต่ขอผู้รู้คนใดทราบเรื่องจริงๆก็ช่วยบอกเป็นธรรมทานด้วย และขอให้อธิบายด้วยว่า6สีรัศมีพระจิตของพระพุทธเจ้าแต่ละสีนั้นหมายความว่าอย่างไร ทำไมไม่เหมือนสีพระอาทิตย์ แม้จะตัดไป1สีเหลือ6สีก็ตาม ก็น่าจะเหลือ6สี ซึ่งตัดสีใดสีหนึ่งเป็นวงในหรือวงนอกไป......ส่วนท่านลุงใหญ่ขอช่วยอธิบายรายละเอียดในเหตุผลของท่านต่อไปด้วยว่า เป็นไปได้อย่างไร ฉัพพรรณรังสีของคนทั่วไปจะมีเหมือนพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เมื่อใด เพราะเหตุใด? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพูดกันไปเรื่อย ต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้ พิสูจน์กันได้ ไม่งั้นก็เข้าตัวเองได้เหมือนกันนะครับ.....ยิ่งของลุงใหญ่บอกว่าเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆด้วยผู้คนไม่แตกตื่นกันแย่ไปหรือครับ?หรือให้เห็นก็ได้ ไม่ให้เห็นก็ได้ อย่างพระอาจารย์วสันต์ฯ อ.อาชวินจะดู ท่านยังปิดไม่ให้ดูได้เลยครับ ทำนองนั้นหรือเปล่าครับ?


    ชัย กรุงศรี


    เอาขั้นแรกพิสูจน์กันง่ายๆก่อนก็ได้ครับในระดับหนึ่ง ถ้าผ่านก็ค่อยรอพิสูจน์ตัวจริงๆกันต่อไป ขอให้ลุงใหญ่หรือลุงเทวดา Postรูปภาพถ่ายของท่านที่มีฉัพพรรณรังสีให้พวกเราได้ชมทั่วกันหน่อยได้ไหมล่ะในเว็บบอร์ดนี้แหละครับ ถ้าได้เชื่อว่าจะมีหลายคนต้องการไปพิสูจน์หาท่านที่เชียงใหม่แน่นอนครับ เพราะเว็บฯนี้มีผู้เข้าชมวันละไม่น้อยครับ......


    โอ่


    ถ้ามี 7 สีต้องเรียกว่าสัตตพรรณรังสีซีครับ นี่เขาเรียกฉัพพรรณรังสี ฉัพนี่แปลว่าหกครับ ไม่ได้แปลว่าเจ็ด


    โอ่


    ผมไม่กล้าพูดว่าพระอรหันต์แม้พระสารีบุตหรือพระโมคคัลลานะว่าสามารถจะมีฉัพพรรณรังสีได้ เพราะสาวกทั้งสองยิ่งใหญ่กว่าพระในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถจะมีฉัพพรรณรังสีได้ คนธรรมดาจะมีได้ก็มีกันไป ใครเชื่อก็เชื่อไปครับ แต่ผมไม่ขอเชื่อคงไม่ว่าอะไรนะครับ ฉัพพรรณรังสี ก็เหมือนสัพพัญญุตาญาณ เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้าผู้บำเพ็ญบารมีมาจนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก่อนนั้นพระองค์ก็ไม่สามารถจะมีเหมือนกัน ใครอยากจะใหเเหขึ้นหัวก็ว่ากันไปเถอะครับ


    ลุงใหญ่


    โอ้โห จะให้โพสรูปให้หรือขอรับ มาดูเอาด้วยตาดีกว่า เพราะข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่า ถ้าถ่ายรูปจะติดหรือไม่ อีกประการหนึ่ง ฉัพรรณรังสีนั้น ไม่ใช่อยู่เฉยๆจะเปล่งออกมาให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ฉัพพรรณรังสีแม้จะเปล่งตลอดเวลา แต่อาจจะมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อได้สัมผัสหรือกระทบกับสภาพหรือสภาวะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ฉัพพรรณรังสีจึงจะเปล่งให้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    จริงอยู่ ฉัพรรณรังสี มีอยู่ 6 ชนิด ข้าพเจ้าก็มีฉัพพรรณรังสีอยู่ 6 รูปแบบ ตามแต่สภาพสภาวะอารมณ์หรือคลื่นที่ได้รับ แต่ยังมีปรากฏการณ์ของสรีระร่างกายอีก 2 รูปแบบ คือสรีระร่างกายโปร่งแสง ซึ่งก็เปล่งแสงด้วยเหมือนกัน
    และอีกรูปแบบหนึ่งคือ เป็นคล้ายกระจกเงา ซึ่งก็เปล่งแสงด้วยเหมือนกัน
    เรื่องจริงเขาเห็นกันไปทั่วยิ่งเป็นฤดูฝนจะเห็นมากกว่าฤดูอื่นๆ ส่วนเขาจะแตกตื่นหรือไม่แตกตื่น ข้าพเจ้าไม่รู้นะ เพราะการมีฉัพพรรณรังสีไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้กับพวกเขา พวกเขาก็ได้แต่เห็นได้แต่ดู ก็เท่านั้นแหละคุณ
    ส่วนฉัพพรรณรังสีหากเกิดกับบุคคลทั่วไปย่อมเป็นเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ก็ด้วยเหตุผลง่ายๆ ถ้าได้เรียนรู้หลักการหรือธรรมะของพระองค์ได้ปฏิบัติเยี่ยงที่พระองค์สอน ฉัพพรรณรังสีย่อมเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
    แยกเป็น
    1.ถ้าได้รับคล
    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 6
    ื่นความโกรธหรือความไม่พอใจหรือคลื่นชนิดที่จะทำให้เกิดความขัดเคือง ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสี เป็นสีเกือบดำ จนไปถึงดำ
    2.ถ้าเป็นการขจัดความโลภ หรือไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสี สีออกส้มหรือแดงส้มจำสีไม่แน่ชัดแต่ใกล้เคียง
    3.ถ้าเป็นการขจัดหรือป้องกันความหลงซึ่งความหลงนี้มีหลายชนิดหลายรูปแบบ เพียงได้รู้ก็เป็นความหลงชนิดหนึ่ง ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสี คล้ายๆสีขาว
    4.ถ้าเป็นการขจัดความอยากในกามารมณ์หรือขจัดคลื่นแห่งกามารมณ์ ฉัพพรรณรังสีก็จะเปล่งเป็นสีขาวสว่างๆ
    5.ถ้าเป็นการขจีดความคลื่นความกลัวคลื่นความตกใจ หรือคลื่นที่ทำให้เกิดความหวาดเสียวอะไรทำนองนี้ ฉัพพรรณรังสี ก็จะเปล่งเป็นสีออกแดงๆ
    6.ถ้าเป็นการเห็นผู้อื่นได้ดี ก็มีดีใจตามเขาซึ่งสภาวะเช่นนี้เป็นทั้งความหลงและเป็นสภาวะจิตใจคล้ายอยากมีเช่นเขา ฉัพพรรณรังสีก็จะเปล่งเป็นคล้ายๆสีดำแต่ไม่ใช่สีดำบอกไม่ถูก เพราะสีนี้นานๆครั้งจึงจะปรากฎ


    เนิน นราธร


    ฉัพพรรณรังสีของท่านเทวดาลุงใหญ่นี่มี6สีมีสีอะไรบ้าง ถ้าตามที่ท่านบอก1.สีเทา2.สีส้ม3.สีขาว4.สีสว่างขาว5.สีแดง6.สีดำ....แล้วแต่ละสีอยู่วงใน-นอกเรียงกันอย่างไร......คำว่าฉัพพรรณรังสีแบบพระพุทธเจ้าต้องออกเป็นรัศมีวงกลมออกรอบศีรษะมีวงในถึงวงนอกพร้อมกันทั้ง6สีๆ เหล่านี้คือสีออร่า แสงกายทิพย์หรือรัศมีของจิตวิญญาณ ตามที่ท่านบอกมาว่ามี6แบบ แต่ละแบบหากมีสีเดียว ก็ธรรมดามากครับ ใครๆก็มีทั้งนั้น ผมเองก็ดูได้ว่าใครมีออร่าสีอะไร มีจิตใจหรือไม่ อย่างไร?


    โอ่


    ฉัพพรรณรังสีต้องเปล่งทีเดียวหกสี และรัศมีนั้นสว่างไสวทีเดียว ไม่ได้เปล่งครั้งละสี และพระพุทธเจ้าไม่มีอารมณ์แบบคนธรรมดาที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะจิตท่านปล่อยวางหมด มีแต่พระกรุณาต่อสัตว์โลก
    แต่สัตว์บางชนิด คือ รุ้งก็มีสีคล้ายฉัพรรณรังสี เหมือนรุ้งกินน้ำที่เราเห็น แต่รุ้งที่ว่านี่เป็นสัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ เป็นสัตว์ที่ทำร้ายเราได้ เหมือนวิญญาณชนิดหนึ่ง สัตว์พวกนี้ตัวยาวประมาณ 1 ศอกเวลาเคลื่อนที่เหมือนปลาว่ายน้ำ ปลายสองข้างแหลม แต่มันก็ทำร่างกายโค้งเหมือนรู้งกินน้ำในโลกได้ ด้วยคงามยาวประมาณศอกกว่าๆ รุ้งนี่อยู่ในโลกลี้ลับอีกแห่งหนึ่ง และเห็นด้วยการทำสมาธิ


    ลุงใหญ่


    ทำอย่างกับเคยเห็นของจริงอย่างนั้นแหละ คุณจะอยากเห็นกี่สีก็ได้ทั้งนั้นแหละ
    สำหรับฉัพพรรณรังสีที่แท้จริงก็คือที่ข้าพเจ้ากล่าวไปนั่นแหละ แต่จะเกิดเฉพาะที่ศีรษะ หรือจะเกิดทั้งวรกายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอันนี้ไม่ขออธิบาย


    โอ่


    แต่ผมไม่อยากดูหรอก เพราะไม่รู้จะดูไปทำไม แล้วไม่อยากพิสูจน์ดูอะไร ถ้าเจ้าตัวอยากอวดก็ไปออกทีวีช่องไหนก็ได้ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่ผมก็ไม่อยากจะดูเพราะไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์อะไรตรงไหน



    ลุงใหญ่


    ถูกต้อง ฉัพพรรณรังสีไม่มีประโยชน์เพราะไม่ก่อให้เกิดรายได้ ธรรมดาของมนุษย์ย่อมต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทองนั่นเป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ที่กล่าวไปทั้งหมดไม่ใช่เป็นเรื่องโอ้อวด แต่เป็นเรื่องทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ล
    ไม่ใช่ไม่เคยเห็นปฏิบัติก็ไม่ได้ แต่ดันบอกว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ พอเรียนเชิญมาให้พิสูจน์ก็มีข้ออ้างขึ้นมา ธรรมดา ขอรับ ธรรมดา



    อาลาดิน


    นั่นสิ...สงสัยคนตั้งกระทู้คงกลัวจะได้เห็นของจริงละมั้ง !!!


    โอ่


    เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจะถกเถียงกันมากมาย ถ้าใครอยากแสดงอุตริมนุสสธรรมของตนก็ทำได้ ไม่มีใครไปว่าอะไรหรอก เพราะเป็นสิทธิของผู้นั้น และเมื่อบอกให้ผู้อื่นทราบแล้วก็ควรแสดงให้คนอื่นๆที่เขาอยากดูไปดู ผมเพียงคนไม่อยากดูเท่านั้น จะมาทำให้ผมอยากดูหรือท้าทายให้ผมดูจะเป็นประโยชน์อะไร ของจริงหรือไม่จริงผมย่อมมีวิจารณญาณพิจารณาได้ ที่ตั้งกระทู้เพราะว่าโดยรูปศัพท์นั้น คำว่า ฉัพพะแปลว่าหกเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาไปท้าทายใครเลย



    ธรรมญาณ


    ***ฉัพพรรณรังสีคืออะไร? มีเฉพาะพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร??***

    ฉัพพรรณรังสี คือ รัศมีจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มี6 สี ขาดสีแดง มีสีม่วง-ฟ้า-ส้ม-เขียว-ชมภู-เหลือง ไม่มีสีแดงครับ เพราะดับไฟ3กองได้ คือ โลภะ-โทสะ-โมหะ(โลภ-โกรธ-หลง).......ส่วนพระโพธิสัตว์มี 7 สี เพราะต้องอยู่รักษาโลก มิให้มารมาทำลาย จึงต้องมีไฟคือสีแดงอยู่ เพื่อปราบมาร แต่มิใช่เพราะมีโลภ-โกรธ-หลงผิด.....ส่วนคนธรรมดาหรือพระอริยสงฆ์ พระอริยบุคคล ก็มีสีต่างๆกันไป......คนชั่วก็ยังมีเลยครับคือ สีดำ(ความมืด)ไงครับ......


    ธรรมญาณ ( dhammayan@sanook.com )

    ฝ่ามือ-ฝ่าเท้า กับจักระ

    ฝ่ามือกับฝ่าเท้าเกี่ยวกับจักระอย่างไรบ้างคะ?


    เจนนี่


    ธรรมญาณ


    ฝ่ามือ คือ ประตูที่พลังจากจักระผ่านเข้าออก.....
    ฝ่าเท้า คือ ศูนย์รว
    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ความคิดเห็นที่ 7
    มประสาทของอวัยวะน้อยใหญ่ในตัวเรา.........การนวดฝ่าเท้าเพื่อกระตุ้นจักระต่างๆ ที่ทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยการส่งสัญญาณ จากจุดต่างๆใต้ฝ่าเท้า ผ่านการนวดหรือการเดิน หรือการวิ่ง ถ้าหากมนุษย์ฝึกจักระต่างๆ ให้ทำหน้าที่ได้โดยไม่บกพร่อง ชีวิตในการเกิดมาเป็นมนุษย์จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะระบบต่างๆ ถูกควบคุมด้วยจักระแต่ละจุด.........



    พุทธจักร ( buddhajakkra@hotmail.com )


    รัศมีของดวงวิญญาณ.....ถ่ายทอดจากแม่สงฆณีวรมัย กบิลสิงห์ วงศ์ศากยะโพธิสัตต์



    ความรู้นี้แม่สงฆณีท่านบอกว่าได้รับจากหลวงพ่อเพชร พิษณุโลกและขณะนี้ประทับอยู่ ณ วัตรทรงธรรมกัลยาณี อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อ 1 พฤษภาคม 2509
    1.ดวงวิญญาณที่มีรัศมีสีเหลืองอ่อน หมายถึง เจ้าของวิญญาณมีความเมตตากรุณา ยิ่งมีมาก สีก็จะเหลืองแก่มากขึ้น
    2.สีขาว หมายถึง ผู้มีศีล ถือพรตพรหมจรรย์บริสุทธิ์ จึงมีความผ่องใสเป็นประกายรัศมีสีขาว
    3.สีเขียวอ่อน หมายถึงผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา มีเมตตาต่อสัตว์และมนุษย์ทั่วไป เป็นผู้ยึดภูมิอันประเสริฐ บำเพ็ญทางโพธิสัตต์ เมื่อบารมีแก่กล้าขึ้น สีเขียวก็จะแก่ขึ้นและมีประกายรัศมีมาก
    4.สีแดงอ่อน แดงแก่ หมายถึงอิทธิฤทธิ์มากน้อย
    5.สีม่วงอ่อน ม่วงแก่ หมายถึงบุญฤทธิ์ปนอิทธิฤทธิ์และหมายถึงปัญญา
    6.สีน้ำเงินแก่ ไม่เลวนักแต่ไม่ดี
    7.สีดำ สีคล้ำ สีมัวๆ ยังมีกรรมชั่วหนักอยู่ หรือกรรมเก่าทางชั่วร้ายกำลังตามทัน


    Mr.Vichai



    รัศมีของดวงวิญญาณ ก็คือ แสงกายทิพย์หรือแสงออร่าที่เขามีเครื่องวัดทางวิทยาศาสตร์ได้แล้ว แต่เขาจะมีสีเพิ่มไปอีก เช่นสีแสด สีทอง เป็นต้น ซึ่งเคยมีคนสอบถามมาและได้นำลงตอบไว้ในเว็บบอร์ดแล้วนะครับ บางคนที่มีตาที่3(มีตาทิพย์-อภิญญา)แบบ อาจารย์ อาชวิน ฯ นั้นใช้ตาที่3ดูได้เลยครับ ไม่ต้องใช้เครื่องมือตรวจสอบ แถมยังรู้อีกว่ามีรัศมีออกไปโดยรอบตัวกี่เมตรๆ ถ้าเป็นพระเครื่อง พระบูชาก็ดูได้ไกลยิ่งกว่านั้น รู้เลยว่ามีองค์ท่าน มีเทพรักษาอยู่หรือไม่ และมีรูปแบบของพลังบรรจุไว้รูปใด อย่างไร?ด้วยครับ.....สีแสด เป็นสีเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ความเชี่ยวชาญงานศิลปะต่างๆ เป็นสีของครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ ส่วนสีทองเป็นสีแห่งความสมดุล เป็นคนมีบุญเก่าที่บำเพ็ญมาดีครับ......ดูของผมเป็นแซมเปิลหน่อยก็ได้ เป็นรูปถ่ายไว้เมื่อปีที่แล้วตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ......


    พุทธะปัญโญ


    อ.อาชวินเล่าให้ฟังแบบขำๆว่า ไปเดินดูพระเครื่องเล่นแถวๆท่าพระจันทร์สนามพระแผงลอย ข้างฟุตบาท มีแสงออร่าสีดำมืดครึ้มไปหมดเหมือนเมฆหมอก ยังไงยังงั้น ก็พวกซื้อขายพระเครื่องกันไงครับ ของจริงของปลอมล่อกันให้มั่วไปหมดละครับ คนมีแต่ความโลภ คดโกง เห็นแก่เงิน เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ทั้งนั้นละครับ.....ไปเดินแถวนั้นต้องระวังตัว ระวังกระเป๋าด้วยครับ.....เหล่ามิจฉาชีพแฝงตัวอยู่เต็มไปหมด.......



    ธรรมชัย


    ออร่าของผมเองดูครั้งที่2ในปี47โดยอ.อาชวิน กับ อ.นก ตรงกันคือเป็นสีม่วงระดับปานกลาง ต่อมาเมื่อเร็วๆนี้ โดยอ.อาชวิน เป็นสีเหลือปนกับสีแสดครับ.....วันหลังมีโอกาสไปถ่ายออร่าด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ต้องไปถ่ายอีกทีครับ เอาไว้ดูว่าแสงออร่าพลังจิตของเรามีการพัฒนาไปบ้างอย่างไรหรือไม่ครับ......(ค่าถ่ายรูปละ400บาท ถ่ายปุ๊บรอเดี๋ยวก็ได้ครับแบบคล้ายๆโพราลอยด์).....



    พรหมเรศร์ ( promres@gmail.com )

    พลังแสงออร่า เป็นพลังที่อยู่ข้างในร่างกายของเราเราทุกคนมีออร่าอยู่ในตัว

    อยู่ที่ว่าเราจะเอาออกมาใช้ได้มัย พลังออร่าสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง

    ไม่ใช่เเค่รักษาโรค แต่ถ้าใช้ในทางที่ผิดก็คงไม่ดีแน่

    การที่เราจะควบคุมพลังออร่าได้นั้นต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก คนปกติต้องใช้เวลาเป็นปี


    auy2006 ( auy2006@hotmail.com )



    เจริญพรท่านทั้งหลาย............อริยะเจ้าระดับใดก็ตามท่านจะไม่บอกว่าท่านสำเร็จ

    ขั้นใด....มิควรจาบจ้วงองค์พระศาสดา...เพราะมีผลเสียทำให้มีการแยกนิกาย................เจริญพร


    ครุ ( )


    ทำอย่างไรเราถึงสามารถมองเห็นออร่าได้บางคับผมอยากมองเห็น

    123 ( tuy15110@hotmail.com )



    แสงออร่า มีอยู่ในทุกคน สัตว์หรือพืช ออร่าที่ดีจะสีสวยสด และขนาดใหญ่ สำหรับมนุษย์แล้ว ออร่าจะสีสวยสดหรือมัวหมองขึ้นอยุ่กับสุขภาพ ความคิด และอารมณ์ นิสัย ฯวันที่ 9-12 ธันวาคมนี้ จะมีงานวิทยาศาสตร์ทางจิตประจำปี 2548 มีอาจารย์มากมาย มาบรรยายให้ฟังฟรีตลอด 4 วัน มีกล้องถ่ายรูปออร่ามาหลายเครื่อง มีอยู่ เครื่องน
    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: [0 3] ( IP )</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>
    <!-- google_ad_section_start -->[​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]“เรคี” เป็นเทคนิควิธีการบำบัดความเจ็บไข้ได้ป่วยโดยใช้มือสัมผัส คือผนึกลมปราณส่งผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย โดยหลักการใหญ่ของเรคีก็เหมือนกับการบำบัดทางเลือกอื่นๆ ของโลกตะวันออก นั้นก็คือมีศูนย์กลางอยู่ที่พลังแห่งชีวิต คือ “ชิ” ของจีน หรือ “ปราณ” ของอินเดีย

    นักเรคีแจงว่า พลังแห่งชีวิตของคนเรานั้นได้มาจากพลังงานที่เหนือกว่าตัวเราออกไปมากมาย ทั้งจากอากาศ มหาสมุทร ต้นไม้ ใบหญ้า อาหาร ตลอดสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เรคีเป็นกระบวนการรวบรวมพลังในทางบวกเหล่านี้มาควบแน่นให้มีอำนาจในการเยียวยารักษาโรคสารพัด ตั้งแต่โรคเครีด นอนไม่หลับ ปวดหัว ข้อเคล็ด อ่อนเพลียจากการโดยสารทางอากาศ อาการไม่สบายตัวไม่สบายใจก่อนมีประจำเดือน หรือแม้แต่คนอ้วนก็สามารถใช้เรคีลดความอยากอาหารขยะลงได้
    เทคนิคการบำบัดของเรคี ได้แก่การวางมือลงบนตำแหน่งจ่างๆ ของร่างกาย ทั้งด้านหน้าและด้านหลังลำตัวรวม 15 ท่าด้วยกัน ในรายที่ป่วยไม่รุนแรงอาจใช้เพียงสองสามกระบวนท่าและใช้เวลาไม่นานนักก็ทุเลาได้
    ผู้ที่เคยรับเรคีบำบัดมาแล้วเล่าว่าพวกเขามักรู้สึกร้อนหรือซ่า และบางรายเย็นวาบในบริเวณที่ได้รับพลังลมปราณเข้มข้นที่สุด ซึ่งก็คือจุดที่เจ็บป่วยมากที่สุดนั้นเอง
    และในเวลาที่นักเรคีตรวจอาการ โดยวาดมือลงไปเหนือร่างกายของผู้ป่วย จะรับรู้ถึงความร้อนหรือความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้ยบางจุดได้ เช่น ถ้าเกิดบริเวณคอ ผู้นั้นมักมีปัญหาที่ไม่อาจพูดเรื่องอึดอัดคาใจออกมาได้ ถ้าเกิดแถวๆ หัวใจ เขาหรือเธอคนนั้นก็มักมีความทุกข์เศร้าบางประการที่ปลดไม่ออกเปลื้องไม่ได้ และถ้าเกิดบริเวณตา อาจเพราะมีการใช้สายตามากเกินไป เช่นจ้องจอคอมพิวเตอร์ หรืออ่นหนังสือนานเกินควร เป็นต้น
    ในสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลหลายแ่งเริ่มใช้เรคีกันอย่างเปิดเผย ส่งผลให้มหาวิทยาลัยทางด้านการแพทย์หลายแห่งเริ่มสอนเรคีให้กับนักศึกษาด้วย นอกจากนั้นยังมีการศึกษาพบว่าวิสัญญีแพทย์ที่ทำเรคีให้คนไข้ก่อนและหลังผ่าตัด ทให้คนไข้ลดความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด และฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังกานผ่าตัด นอกจากนี้ การบำบัดด้วยเรคีเป็นวิธีการที่นุ่มนวล ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อและไม่มีผลข้างเคียงเลวร้ายใดๆ


    ที่มา “เรคี” พลังฝ่ามือรักษาโรค | HBWellness<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=28098[/MUSIC]​
     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE class=tborder id=post2211168 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 08:44 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #31 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sare.ewan<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2211168", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2007
    ข้อความ: 43
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2211168 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->พลังเอกภพยูเรอัส<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->สวัสดี ค่ะ พี่ดาวทะเลทราย และท่านอื่นๆ

    ดิฉันได้ทราบว่ากระทู้เก่าของพลังเอกภพได้ถูกลบไปซึ่งน่าเสียดายมาก

    ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ได้เรียนวิชาพลังยูเรอัส ถึงแค่ระดับ 3 และได้ติดตามอ่านกระทู้เก่ามา

    โดยตลอด และได้ copy ข้อความที่สำคัญเก็บไว้ จึงอยากจะให้สิ่งที่ copy เก็บไว้

    เป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่สนใจค่ะ โดยทำในรูป Microsoft Word ค่ะ

    พยายามที่จะแนบมาในกระทู้นี้ ถ้าแนบไฟล์ไม่ได้ขอผู้รู้ช่วยแนะนำวิธีด้วยค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>ไฟล์แนบข้อความ</LEGEND><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>พลัง ยูเรอัส.doc (8.33 MB, 7 views)</TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พระพุทธองค์ สอน สติปัฏฐานสี่ ดู กาย เวทนา จิต ธรรม

    หลวงปู่ดุลย์สอน ให้ดูจิต

    หลวงพ่อปราโมทย์ สอนให้ฝึกดูจิต ดูกาย ตลอดเวลา นั้นคือ ปฏิบัติ

    พระอาจารย์มหาสีไพร สอนเรื่องการนั่งสมาธิหมุน(รักษาโรค)

    ท่านบอกว่าเวลานั่งถ้าอยากนั้นถึงขั้นที่ 6

    จุดที่สื่อสารติดต่อ กับคลื่นพลังงานหรือ จักรวาลได้ ก็นั่ง ต่อเนื่อง12 ชั่วโมง ขึ้นไป

    ที่เเท้ เป็น กุศโลบาย ของ พระอาจารย์มากกว่า

    เพราะ ไม่มีใครหรอกที่จะนั่งสมาธิได้นานขนาดนั้น 12 ชม.

    สันโดษลองทำดูโดยคิดว่าจะลางานไม่คิดอะไรเลย

    ตื่นมาปุ๊บดูกาย ดูจิตว่าวันนี้มันจะทำอะไรมั้ง ทั้งวัน

    จะนั่งสมาธิหมุนทั้งวันละ จะนั่งดูเจ้ากรรมนายเวร ทั้งวันซิ

    (เพราะติดใจกับสมาธิหมุนมากๆ)

    เเต่ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ มันไม่ได้หมุนนะซิ เเล้วก็ไม่ได้รำไทเก๊ก

    เเต่ เดินทางมาทำงานเอง

    ทำทุกอย่างเหมือนปกติ นั้นล่ะ ความมหัศจรรย์ของ สติ

    ที่เเท้ สันโดษ ก็เข้าใจเเล้วว่า สันโดษ ไม่ได้บ้า เเต่ มันคือ จิตที่เขาทำงานเอง

    เคลื่อนไหวเอง เเละ ทำงานเอง เรามีหน้าทีในการดูจิตเพียงเท่านั้นจริงๆ

    ปัญหาของสันโดษ คือ ดูเเต่จิตเเต่ไม่เคยดูกาย!!! นั้นเอง

    ทำให้ปวดหัวอย่างรุนเเรง เพราะจิตว่าง มีเเต่พลังจิตไหลเข้ามาในร่าง

    หรือ จิตคนอื่นวิ่งเข้ามาหาเรา

    ดังนั้น พลังจิตไม่ได้ถ่ายเทออกไปจากกาย จึงทำให้ธาตุไฟเเตก

    วิธีแก้ คือ นั่งสมาธิ หมุน (หรือ การเดินลมปราณนั้นเอง)
     
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 11:44 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>dhammashare<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Aug 2008
    โพสต์: 50
    ได้ให้อนุโมทนา: 4
    ได้รับอนุโมทนา 236 ครั้ง ใน 44 โพส



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">[​IMG] <CENTER>วีดีโออัปเดทใหม่


    พื้นฐานการฝึกสมาธิ เพื่อการผ่อนคลายรักษาสุขภาพกายและจิตโดยองค์รวม
    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>http://vdo.palungjit.org/video/2498/...??์รวม

    http://vdo.palungjit.org/video/2501/...??าธโร
    __________________


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2009
  15. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พื้นฐานการฝึกสมาธิ เพื่อการผ่อนคลายรักษาสุขภาพกายและจิตโดยองค์รวม

    หรือ วิธีการปฏิบัติสมาธิอายตนะวิปัสสนากรรมฐาน
    (กรรมฐานเเก้กรรม)
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    วิธี นี้เป็นอายตนะวิปัสสนา เริ่มต้นจากได้ยินเสียงที่หูมารู้ที่ใจ แล้วหมุนไปที่หู กลับมารู้ที่ใจ หมุนเป็นรอบ ๆไป เป็นวงกลม วงรี หมุนซ้ายหมุนขวาก็ได้ หมุนนอกหมุนในก็ได้ ตอนแรกๆอาจต้องช่วยโยกตัวไปตามแรงหมุน แล้วให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับการหมุน จะเกิดพลังแรงหมุน เป็นทอร์นาโดแรงมาก


    ดยธรรมชาติแล้วจิตของเราจะอยู่ที่สมอง และที่หัวใจ ถ้าอยู่ที่สมองแล้วจะคิดไม่หยุด คิดจนปวดหัว สมองไม่สามารถสั่งใจได้ สมองควบคุมสั่งงานได้แค่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สั่งใจไม่ได้ ถ้าจิตอยู่ที่หัวใจแล้วจะเป็นทาสของความรู้สึกชอบไม่ชอบ แรงหมุนตัวนี้จะไปล่อจิตออกจากใจ ล่อจิตออกจากสมอง สมองไม่มี ใจไม่มี เหลือสติกับจิต สติกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน พลังจะเกิดอย่างมหาศาลเข้าไปจิตในจิตใต้สำนึก จิตเสวยเวทนา เวทนาส่งผลมาที่กาย ต่อไปนี้ก็เป็นผลของกรรม ถ้าเป็นกรรมดีเขาจะร่ายรำวิชาต่างๆ ออกมาปฏิบัติอย่างมีความสุข ถ้ากรรมชั่วเขาจะแสดงความทุกข์ทรมานออกมาเป็นเรื่องราวใช้หนี้กรรม จะเห็นชัดๆเลยว่าสวรรค์หรือนรกอยู่ในจิต สติในปัจจุบันพิจารณาธรรมารมณ์ที่เกิด จิตรู้ผลบาปบุญคุณโทษ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง เราไม่เสียเวลาพิจารณา ว่า “นั่นดีนี่ชั่ว” เหวี่ยงทิ้งดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา เหวี่ยงทิ้งๆๆ.... ดีใจ เสียใจ สงบ นิ่ง ว่าง ก็เหวี่ยงทิ้ง เจ็บตรงไหนปวดตรงไหนเหวี่ยงทิ้ง.....เราจะเห็นอุปาทานของจิตที่ยึดติด ถ้ายึดมากแรงเหวี่ยงแรงหมุนก็ต้องแรงมาก บางท่านจะหมุนทรมานมาก อะไรที่ยึดติดจะถูกเหวี่ยงจนหมด จนจิตไม่มีอะไรในอารมณ์ จิตจะใสเป็นกระจก ในขณะที่จิตพิจารณาธรรมอารมณ์อยู่นั้น จิตจะยอมรับการใช้หนี้ผลของกรรม

    เมื่อใช้หนี้ผลของกรรมหมดแล้ว ความรู้สึกที่ดีๆปลอดโปร่งโล่งใจก็เกิดขึ้น สมองก็หลั่งสารเอ็นโดรฟินร่างกายก็เกิดปิติสุขชุ่มเย็น สุขกายสบายใจ เมื่อจิตดี ความรู้สึกดีๆก็เกิดขึ้น ทำให้เราไม่โง่ที่จะทำให้ตัวเองทุกข์อีกต่อไป ถ้าทุกข์กาย-ทุกข์ใจเกิดขึ้น จิตจะหมุนของเขาเองเป็นกงล้อธรรมจักรขจัดขัดเกลาจิตใจเป็นออร์โต้รันเอง ทุกระบบของร่างกายและจิตใจจะมีการทำงานแบบบูรณาการควบคู่กันไป มันเป็นกลไกลที่สัมพันธ์ต่อเนื่องกันทุกระบบ ไม่ใช่แยกส่วนกันทำ “ทุกวันนี้เราปฏิบัติไม่ได้ผลเพราะเราปฏิบัติแบบแยกส่วน” การเข้าสู่กระบวนนี้เรียกว่าเจริญมรรค ๘ คือ ศีล สมาธิ ปํญญา จะสัมพันธ์เกื้อกูลกันไป

    สติ ญาณ ปํญญา การรู้ใจรู้จิตรู้ความนึกคิดก็เกิดขึ้นเอง การรู้ผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำ การระลึกชาติ เป็นเรื่องปกติของการปฏิบัติ เรื่องของจิตวิญญาณ บุญบารมีเป็นเรื่องของการสั่งสมอบรมมา จะมาถามว่าเธอปฏิบัติกี่ปีแล้วไม่ถูกนะ ต้องถามว่าเธอปฏิบัติมากี่ภพกี่ชาติแล้ว บุญบารมีที่เราสั่งสมกองเป็นภูเขา เป็นฟอสซิล เป็นพรสวรรค์อยู่ในจิตใต้สำนึก เรามัวแต่หาพรแสวง จนลืมพรสวรรค์ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ชีวิตที่เหลือควรจะทำอะไร สุดท้ายก็เสียชาติเกิด
    ในขณะที่ปฏิบัติจิตจะหมุน-วิ่ง-วน-เหวี่ยง-วาง-ว่าง โดยใช้เสียงเพลงธิเบต เพลงแขก และบทสวดต่างๆ ที่สรรเสริญคุณงามความดี เป็นตัวช่วย ตลอดเวลาของการปฏิบัติ จะใช้เสียงเพลงตลอด พอเราเริ่มหมุนได้แล้ว พลังแรงหมุนจะหมุนไปตามร่างกาย จะเกิดการเหวี่ยงแขน ขา มือ เท้าไปตามอวัยวะร่างกาย เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน ไม่สบายตรงไหน มีสารพิษตรงไหน เขาจะไปหมุนตรงนั้นรักษาตรงนั้นทันที ผลที่ออกมา บ้างก็อาเจียน น้ำมูก น้ำตาไหลออกมา ถ้าไม่อาเจียนก็จะฉี่ออกมาเป็นสีขาวขุ่นหรือ เป็นก้อนนิ่วออกมา หรือถ่ายอุจาระมาเป็นสีดำ บางท่านอาเจียนออกมาเป็นหนองเหม็นเน่าก็มี บางท่านจะผายลมออกมา “บรื๊ด....ยาวๆออกมา” ท้องจะโล่งเบาสบาย บางท่านจะขับออกมา ทางกลิ่นตัว เรียกว่าอะไรที่เป็นส่วนเกิน เป็นของเสียจะถูกเหวี่ยงออกมา
    ในขณะที่จิตเหวี่ยงแล้ว บางท่านจะเข้าไปในจิตใต้สำนึก ไปรับรู้ผลกรรมที่กระทำมาในอดีตถ้าเป็นบาป เวทนาที่แสดงออกมาทางร่างกายเช่น ถูกฆ่าตาย ถูกยาพิษ ถูกทรมานต่าง ๆ แสดงผลกรรมให้เห็นกันเลย ถ้าเป็นความสุขก็จะร่ายรำออกมาเป็นท่าต่างๆ เหมือนวิชาเจ้าแม่กวนอิม พระแม่อุมาเทวี สวยงามมาก อาจจะมีทั้ง ไท้เก๊ก เส้าหลิน โยคะ

    การเข้าไปรู้ผลกรรม การระลึกชาติย้อนหลังเป็นเรื่องง่ายสำหรับวิธีนี้ ซึ่งเป็นไปตามเหตุของทุกข์ เพราะจิตจะไหลไปตามอริยสัจ 4 ผลที่ผู้ปฏิบัติเกิดสภาวะ หมุน-เหวี่ยง ได้แล้วผลที่ตามมาจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องทานยาอะไร พลังตัวนี้จะไปทำให้เลือดลมไหลสะดวก ถ้าจุดไหนติดขัดเขาจะเข้าไปทะลุทะลวงเปิดชีพจรให้ เมื่อเลือดไหลสะดวกเลือดก็จะนำอาหารไปให้เซลล์ตามร่างกายได้ แล้วเลือดดำก็นำของเสียมาฟอกใหม่ หรือขจัดทิ้งไป เพียงแค่นี้ร่างกายก็เกิดภูมิคุ้มกันขึ้นเองตามธรรมชาติ
    *ขอย้ำว่า... วิธีนี้ไม่ใช่เราไปรักษาท่าน แต่เราสอนให้ท่านหมุนได้ เหวี่ยงได้แล้วรักษาตัวเอง ถ้าท่านทำได้ก็หายได้แน่นอน ถ้าทำไม่ได้ก็แล้วแต่วาสนา เราช่วยได้แค่นี้ บุญของท่านยังมีอยู่เพียงแต่กรรมมันบังไว้ ทำดีต่อไปอย่าท้อก็แล้วกัน “สักวันหนึ่งเราต้องพบทางสว่าง เท่าที่เราสอนมา ถ้าเข้าปฏิบัติครบ ๓ วัน ไม่หนี ไม่กลัว ไม่ขี้เกียจ ได้หมดทุกคน ยกเว้นอย่างเดียว คือพวกที่ไปดูเขา แล้วไม่ปฏิบัติ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2009
  16. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    สมาธิเพื่อการผ่อนคลายรักษาสุขภาพกายและจิตโดยองค์รวม...โดย พระมหาสีไพร อาภาธโร

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  17. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
  18. แผ่นฟ้า

    แผ่นฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +428
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%"><TBODY><TR><TD></TD><TD width="12%"><LABEL for=rb_iconid_21>[​IMG]</LABEL></TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG][​IMG][​IMG]

    [​IMG]
     
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พระอาจารย์มหาสีไพร มาสอนที่สวนลุม วันอาทิตย์นี้


    ขอเชิญผู้สนใจ
    สมาธิเพื่อการผ่อนคลายรักษาสุขภาพกายและจิตโดยองค์รวม
    งานนี้ฟรี...ไม่เก็บค่าเรียน


    พระอาจารย์มหาสีไพร อาภาธโร ท่านได้รับนิมนต์ เป็นครั้งพิเศษ
    เพื่อมาสอนการปฏิบัติธรรมให้ผู้สนใจในกรุงเทพฯ
    ในวัน อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2552 นี้

    ณ บริเวณ ศาลาแปดเหลี่ยม
    และบริเวณใกล้เคียง ภายในสวนลุมพินี
    (สถานที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่)
    เริ่มตั้งแต่เวลา 7:00
    (กำหนดการต่างๆ อาจปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้สนใจด้วย)

    รายละเอียด
    ติดต่อสอบถามโดยตรง
    พระมหาสีไพร อาภาธโร โทร.081-00605404
     
  20. keatichai007

    keatichai007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +83
    แล้วมี วิชานี้ปะ วิชาห้ามคิดถึง นะ สอนหน่อยนะ ทำไงsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rb
     

แชร์หน้านี้

Loading...