สมาธิ ถามผู้รู้ ขอคำแนะนำ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย daisukearm, 12 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. daisukearm

    daisukearm สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +22
    ผมขออนุญาตินะครับ
    ก่อนที่จะนั่งสมาธิ เวลาหลับตา จะมีแสงสีขาว สีแดงพุ้งออกระหว่างคิ้วกลางหน้าผากเป็นวงกลมขยายใหญ่ แต่ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่เวลานั่งบ่อยๆก็จะเกิดแทบทุกครั้ง
    แต่พอได้สักพักก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอหลังจากแผ่เมตตาเส็จจะออกจากสมาธิผมจะพนมมือเอามาจรดที่หน้าผาก จะมีเกิดขึ้นอีกก่อนที่จะลืมตา
    ผมอยากรู้ว่ามันคืออะไร
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    สิ่งที่คุณถามมา ข้าพเจ้าจะไม่วิจารณ์ แต่จะแนะนำสั้นๆ พอให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิ ดังนี้.-

    การนั่งสมาธิ หรือการปฏิบัติสมาธิ คือ การควบคุมความคิด ความคุมสมอง ควบคุมใจ มิใช้ฟุ้งซ่าน มิให้เห็นภาพใดใด มิให้คิดใดใด สงบ นิ่ง ได้ยิน แต่ไม่สนใจ ไม่เห็น เพราะการเห็นคือการสร้างภาพจากสมอง รู้เมื่อได้รับการสัมผัส แต่ไม่คิดตามสิ่งที่ได้รับการสัมผัสนั้นๆ ฯลฯ ที่กล่าวไป คือ การนั่งสมาธิ หรือการปฏิบัติสมาธิ ..
     
  3. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +3,776
    ยากที่จะตอบว่าเป็นอะไร
    เพราะส่วนตัวแล้วก็ไม่เคยเป็น
    แต่อาศัยคำของครูบาอาจารย์
    ท่านว่า สมาธิ คืออารมณ์ตั้งใจ
    ถ้าตั้งใจในกรรมฐานใดๆแล้ว เรื่องอื่นก็ช่างมัน
     
  4. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    (ทำมากเจริญให้มากได้ครับ ดีไม่ดี ให้สังเกต ศีล๕เราดีขึ้นหรือแย่งลง ถ้าดีขึ้น ก็ทำให้มากเจริญให้มากเลยครับ)


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
    ความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ เป็นไฉน ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มน
    สิการอาโลกสัญญา ตั้งสัญญาว่าเป็นเวลากลางวันไว้ กลางวันอย่างใด กลางคืนอย่างนั้น กลาง
    คืนอย่างใด กลางวันอย่างนั้น มีใจเปิดเผยไม่มีอะไรหุ้มห่ออบรมจิตให้มีแสงสว่าง ด้วยประการ
    ฉะนี้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ
    ความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ ฯ


    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑

    [๔๕๑] พ. ดีละๆ อนุรุทธ ก็พวกเธอผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรม
    อยู่อย่างนี้ ย่อมมีคุณวิเศษคือ ญาณทัสสนะอันประเสริฐ สามารถกว่าธรรมของมนุษย์อันยิ่ง
    เป็นเครื่องอยู่สบายอันได้บรรลุแล้วหรือ ฯ

    อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเรื่องนี้ พวกข้าพระองค์ผู้ไม่ประมาท มี ความเพียร
    ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูป แต่ไม่ช้า เท่าไร แสงสว่างและการ
    เห็นรูปอันนั้นของพวกข้าพระองค์ ย่อมหายไปได้ พวกข้าพระองค์ยังไม่แทงตลอดนิมิตนั้น ฯ

    [๔๕๒] พ. ดูกรอนุรุทธ พวกเธอต้องแทงตลอดนิมิตนั้นแล แม้เราก็เคยมาแล้ว
    เมื่อก่อนตรัสรู้ ยังไม่รู้เองด้วยปัญญาอันยิ่ง ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการ
    เห็นรูปเหมือนกัน แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้
    เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แสงสว่างและการเห็นรูปของเรา
    หายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า วิจิกิจฉาแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็วิจิกิจฉา
    เป็นเหตุสมาธิของเรา จึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้
    เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉาขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    [๔๕๓] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นแลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
    ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูป แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา
    ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้แสงสว่างและ
    การเห็นรูปของเราหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า อมนสิการแล เกิดขึ้นแล้ว
    แก่เรา ก็อมนสิการเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ
    การเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา และอมนสิการขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    (ข้อสังเกต ดีไม่ดี ขั้นต่อไป)

    [๔๖๓] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นแล
    รู้ว่า วิจิกิจฉา เป็นเครื่องเกาะจิตให้ เศร้าหมอง จึงละ วิจิกิจฉา ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า อมนสิการ เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ อมนสิการ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ถีนมิทธะ เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ถีนมิทธะ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ความหวาดเสียว เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความหวาดเสียว ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ความตื่นเต้น เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความตื่นเต้น ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ความชั่วหยาบ เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความชั่วหยาบ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ความเพียรที่ปรารภเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความเพียรที่ปรารภเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบ เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละตัณหาที่คอยกระซิบ ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้
    รู้ว่า ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป เป็นเครื่องเกาะจิตให้ เศร้าหมอง จึงละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    มันเป็นอาการของจิต อาการแบบนี้เคยเกิดกับผม ผมแนะนำให้คุณ นำภาพที่ติดตามาพิจารณา ให้เข้าทางธรรมจะดีกว่า แสงสีต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนิมิตของดวงกสิณ ให้โน้มลง สู่ความเกิดดับ สิ่งที่ผมเคยเป็นไม่ว่าหลับตาลืมตาหรือแม้แต่พูดอะไรกับใคร ภาพของดวงกสิณจะมาลอยอยู่เบื้องบน ข้างๆถ้าไปสนใจ
    อาการของจิตแบบนี้ ธรรมจะไม่ก้าวหน้า จึงให้โน้มไปเพื่อพิจารณาความเกิดดับ
    จากนั้น คุณก็จะผ่านอาการของจิตไปได้ นี่ถ้าไม่เคยผ่านสมาธิแบบนี้มาจะแนะนำกันไม่ถูก มันเป็นแค่อาการของจิต ต่อไปคุณก็จะเจอกิเลสมาร กับขันธมาร
     
  6. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    เป็นนิมิตครับ นิมิตนี้เกิดได้ทั้ 6 ทวารทั้ง ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
    แต่ส่วนใหญ่จะพบกับนิมิตทางใจ(ตาใน)มากที่สุด
    สภาพนิมิต ๆ เป็นสภาพปรกติที่มีอยู่ในจิต ตัวอนุสัยก็เป็นนิมิตอีกแบบหนึ่ง เป็นนิมิตแห่งโลภะ โทษะ และโมหะ ในพุทธประวัติก็จะปรากฏเป็นนางรำหรือกองทัพพญามารเป็นต้น
    ทุกสิ่งที่เกิดในการปฏิบัติ หากว่าเราชอบเราก็ติด ไม่ชอบก็ติด ติดด้วยโลภะ ด้วยโทษะ โดยมีโมหะเกิดร่วมทั้งโลภะและโมหะด้วย
    โดยส่วนตัวผมเคยติดนิมิตโดยเข้าไปชอบและกลัวว่ามันจะหายก่อน ต่อมาแม้นจะอยากให้มันหายมมันก็ไม่หาย ผมติดอยู่หลายปีครับ
    บางทีมันก็หายไปบ้าง แต่เราเองกลับไปตามดูว่ามันหายไปจริงหรือเปล่า พอตามไปดูมันก็ยิ่งกลับมาบางทีมากกว่าเดิมอย่างนี้ก็มีครับ
    ทางแก้ก็อย่าไปสนใจ อย่าไปใส่ใจกับนิมิตนั้นๆ ในทุกกรณี
    เจริญในธรรมครับ
     
  7. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,653
    ค่าพลัง:
    +1,211
    หากท่านอยากดับในเรื่องทางโลกคือมืด
    หากท่านอยากดับในเรื่องทางธรรมคือควาสว่างของปัญญา
    ท่านที่มีปัญญาสว่างไสวนั่นแหละมืด
    เพราะปัญญานี้ต้องมืดก่อนแล้วสว่างหรือไม่อย่างไรขอรับ
    ดับให้สนิทท่านก็สว่างมากเท่านั้นหรือไม่อย่างไร

    มาที่กระทู้
    สิ่งที่ขัดขวางทางในการปฏิบัติ
    สิ่งที่มาล่อเรา
    สิ่งที่มาลวงเรา
    ไม่ว่าจะเป็นหูทิพย์ตาทิพย์
    เพื่อไม่ให้เราไปถึง
    เพื่อไม่ให้เราไปที่สุด
    สิ่งนั้นคือมารทั้งนั้นหรือไม่อย่างไร
    ดับให้มืดก่อนแล้วสว่างในความมืด

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  8. daisukearm

    daisukearm สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ดีๆ จากทุกท่านครับ..ผมจะนำไปปรับไช้ในการปฏิบัติต่อไป..ขอบคุณมากๆครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...