สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 8 ธันวาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 100
    พระจริยาวัตร

    [​IMG]
    ภาพนี้เป็นอิริยาบถพระจริยาวัตรที่น่าเลื่อมใสของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงมีน้ำพระทัยเอื้อเฟื้อเกื้อกูลอย่างยิ่ง ภิกษุสาวกรูปใดเจ็บป่วย พระองค์ก็ทรงไปอาบน้ำเอาน้ำลูบ โดยเสด็จไปพร้อมกับพระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอุบัฎฐาก โดยทรงพยายามเน้นหนักตรัสสั่งสอนพระอานนท์ไปในทางที่ว่า ใครที่มุ่งจะปฏิบัติต่อตถาคตแล้ว ขอให้ปฏิบัติกับภิกษุที่ป่วยไข้เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อพระองค์ นี่ก็แสดงถึงว่าเราเป็นเพื่อนภิกษุหรือว่าเป็น พุทธบริษัทร่วมกันแล้ว จะเหลียวแลกันเมื่อยามเจ็บยามไข้ ที่เรียกว่า ป่วยก็ช่วยกันรักษายามดีก็ช่วยกันที่จะประกอบกิจการงาน

     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 101
    อุปมาหม้อสี่ชนิด

    [​IMG]
    ครั้งหนึ่งพระองค์แสดงธรรมกับภิกษุสาวก โดยอุปมาด้วยหม้อ 4 อย่าง คือ หม้อเปล่าปิดฝา หม้อเปล่าไม่ปิดฝา หม้อน้ำเต็มปิดฝา และหม้อน้ำเต็มไม่ปิดฝา ซึ่งอุปมาได้กับภิกษุที่ไม่รู้อริยสัจแล้วก็มีความประพฤติไม่งาม (หม้อเปล่าเปิดฝา) ภิกษุที่รู้อริยสัจจ์แต่ว่ากิริยามารยาทไม่งามเลยนี้เปรียบเสมือนกับหม้อที่มีน้ำแต่ว่าเปิดฝา ส่วนหม้อที่เปล่าด้วยแล้วก็ไม่ปิดฝาด้วย ก็คือรูปร่างกิริยามารยาทก็ไม่ดี อริยสัจสี่ก็ไม่รู้ สุดท้ายหม้อที่เต็มน้ำด้วยปิดฝาด้วย นี่ก็คือภิกษุที่น่าเคารพเลื่อมใส ภายในจิตใจก็รู้อริยสัจสี่ ทรงอุปมาไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ภิกษุที่แม้จะรู้อริยสัจสี่แล้วแต่กิริยาไม่น่าเคารพเลื่อมใสนั้นก็ยังมีอยู่ในส่วนตัวนั้นหมดทุกข์ไป แต่กิริยาภายนอกไม่สร้างศรัทธาให้เกิดแก่ปวงชน

     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 102
    กุศโลบายสอนธรรม

    [​IMG]
    พระองค์ทรงแสดงธรรมสั่งสอนภิกษุด้วยการใช้อุปกรณ์ภายนอกที่เห็นได้ด้วยตา เช่น ไปเห็นหนูสี่ตัว ตัวหนึ่งขุดรูแต่ไม่อยู่ ตัวหนึ่งอยู่แต่ไม่ขุด ตัวหนึ่งขุดด้วยอยู่ด้วย ตัวหนึ่งไม่ขุดด้วยไม่อยู่ด้วย นี่แสดงอุปมาว่า ภิกษุบางรูปนั้นศึกษาสำนักนั้นสำนักนี้ แต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติ เรียกว่าขุดแต่ไม่อยู่ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง แต่ไม่ค่อยศึกษาธรรมวินัยให้ทั่วถึงเรียกว่าอยู่โดยไม่ค่อยได้ขุด ส่วนที่ศึกษาด้วยปฏิบัติด้วยอย่างจริงจังตามที่ศึกษานั้นและเผยแพร่ได้ด้วย เป็นประโยชน์ส่วนตน ส่วนรวม ก็เรียกว่าทั้งขุดด้วยทั้งอยู่ด้วย ส่วนที่ไม่ขดไม่อยู่นั้นก็ง่ายที่สุด คือพวกไม่เอาไหนเลย ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมศึกษา ไม่ยอมทดลองปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น นี่คือกุศโลบายของพระองค์ที่ทรงสั่งสอนภิกษุให้เข้าใจ

     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 103
    โปรดสิงคาลมาณพ

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสิงคาลมาณพ ซึ่งเชื่อตามที่พ่อได้สอนไว้ว่า ให้ไหว้ทิศทุกเช้า พระองค์ก็ทรงมาโปรดและตรัสถามว่า ทำไมต้องไหว้อย่างนี้ เขาก็ตอบว่าพ่อสั่งให้ทำ พระองค์ก็เลยบอกว่า มันมีทิศที่น่าจะไหว้อีก ทิศแปลว่าสิ่งที่จะต้องเหลียวดู เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราน่าจะเหลียวดูทุกเช้า ไม่ใช่ทิศเหนือทิศใต้ ทิศที่น่าเหลียวดูที่สุด ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ บิดา มารดา เป็นต้น ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตร ภรรยา แต่คนบางคนมันหันกลับทิศ มัวดูแต่บุตรและภรรยา บิดามารดาไม่ได้ดู อย่างนี้ก็เสียหาย ก็เรียกว่าดูให้ทั่วทิศที่เราควรเหลียวดู เช่น บุตร ภรรยา สามี เพื่อน บ่าว ไพร่ สมณะ ชี พราหมณ์

     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 104
    โปรดลัทธิชีเปลือย

    [​IMG]
    พระพุทธองค์เสด็จโปรดพวกลัทธิชีเปลือย ที่มีการประพฤติแบบอัตกิลมถานุโยค หรือเป็นพวก
    สีลัพพตปรามาส ซึ่งมีความเชื่อว่าการประพฤติให้หมดกิเลสจะมีวิธีเช่น การจับกิ่งไม้โหนไว้ไม่ไปไหน มือกำไว้แน่น พระองค์ก็มาถามว่า ทำไปทำไม เขาก็บอกว่าทำเพื่อใช้กรรมเก่า พระองค์ทรงถามว่า ไปทำกรรมอะไรมาไว้ เขาก็บอกว่าไม่รู้ ครั้นพอถามว่าใช้ไปได้เท่าไรแล้ว เขาบอกไม่รู้ ยังเหลืออีกเท่าไรที่จะใช้ต่อไป ก็ไม่รู้ แต่ทำไปตามที่เรียกว่าเถรส่องบาตร เขาบอกให้ทำยังไงก็ทำกันไปยังงั้น
    พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดโดยชี้ให้เห็นว่า ถ้าหากว่ามือนี้มัวมากำอยู่นั่น เพื่อไม่ให้มันทำกรรมต่อ นั่นมากำไม้กวาดกวาดวัดเสียยังดีกว่า อย่าเสียเวลาไปกำอยู่อย่างนั้นเลย บางคนก็เอามือลนย่างไฟ เพื่อไม่ให้มือนี้มันไปทำบาปทำกรรมใหม่ บางคนก็เดินบนหนาม นอนบนหนาม ยืนขาเดียว ยืนบิดตัว สารพัดอย่างที่จะทรมานกันไป

     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 105
    ธิดาช่างหูก พูดเล่นลิ้น

    [​IMG]
    ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมกับฝูงชนเป็นอันมาก มีลูกสาวช่างหูกคนหนึ่งมาพูดในลักษณะที่คนทั่วไปมองดูแล้วหาว่าพูดยวนพระพุทธเจ้า เรียกง่าย ๆ แบบชาวบ้านก็ว่า พูดเล่นลิ้น แต่ใจจริงของเธอที่พูดไปนั้น พูดไปตามความรู้สึกสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นในหัวใจ กล่าวคือ…
    พระองค์ทรงถามลูกสาวช่างหูกผู้นั้นว่า …มาจากไหน หญิงคนนั้นแทนที่จะบอกว่ามาจากบ้านหรือมาจากไหน นางกลับไม่ตอบแบบนั้น กลับตอบว่าไม่รู้ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามต่ออีกว่าแล้วจะไปไหน บอกรู้ จะไปเมื่อไร บอกไม่รู้
    พูดกันง่าย ๆ ก็สรุปว่า พระองค์ถามว่ามาจากไหน…ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ว่าตนเกิดมาจากไหนที่มาเกิดนี่ ทีนี้จะไปไหนก็รู้ล่ะ ไปตายแหละ ก็ต้องไปแหละ นี่รู้ ถามว่าไปเมื่อไร ตายวันไหน บอกไม่รู้อีก
    คนส่วนใหญ่นี่โมโหมาก นึกแค้นว่าผู้หญิงคนนี้มันพูดเล่นลิ้นกับพระพุทธเจ้า แต่ที่จริงนั้นไม่ใช่ เป็นเรื่องที่ดังได้กล่าวแล้วว่า เป็นการเข้าใจผิดกัน พวกชาวบ้านหาว่าพูดเล่นลิ้น แต่หญิงนั้นหมายถึงว่า การถามว่ามานี่ เกิดมานี้มาจากไหนไม่รู้ ส่วนจะไปไหน รู้ว่าไปสู่ความเกิด เจ็บ ตาย ส่วนไปเมื่อไรล่ะ บอกไม่รู้เหมือนกันจะไปเมื่อไร
    ลักษณะนี้เรียกว่าเป็นแบบเซ็นเลยทีเดียว แต่ว่าพระพุทธเจ้าเข้าใจ คนส่วนใหญ่ที่มาฟังวันนั้นไม่เข้าใจ จึงเกลียดชังโกรธแค้นมาก หาว่าลูกสาวช่างหูกผู้นี้พูดจาเล่นลิ้นกับพระพุทธเจ้า

     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 106
    โปรดชายไถนา

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมกับคนไถนา คนไถนาเขาต่อว่าพระสมณโคดมว่า ไม่เห็นทำมาหากิน ทำไร่ไถนาอะไร เที่ยวบิณฑบาตขอเขาอยู่เรื่อยไป พระองค์เมื่อได้ยินชายไถนากล่าวต่อว่าดังนั้น จึงทรงแสดงธรรมโปรดชายไถนาว่า เราก็ทำนาเหมือนกัน มีอมตะเป็นผล คือมีความไม่ตายนี้เป็นข้าวเปลือกเป็นผล เรามีขันติเป็นงอนไถ มีสติเป็นเหมือนเชือก มีผาลเป็นปัญญาที่จะไถพลิกความโง่ออกจากจิตใจ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสั้น ๆ ครั้นปรากฏว่าพอแสดงธรรมไปแล้ว พราหมณ์ผู้ทำนานี้เกิดเลื่อมใสศรัทธาเพราะว่าไอ้คันไถอย่างนั้น เชือกอย่างนั้น มันหายากเหมือนกันนะ ผาลไถนี่เราก็ทำกันได้ เดี๋ยวนี้ใช้เครื่องผาลไถพลิกกลับดินให้งอกงาม ทำให้ต้นไม้ขึ้นดี แต่ว่าพระองค์นั้นทรงใช้ปัญญา พระผู้มีพระภาคทรงไปโปรดพราหมณ์ผู้ทำนา ปรากฏว่าพราหมณ์ก็ได้พูดกับพระพุทธเจ้าว่า ท่านจะทำนาบ้างไม่ได้หรือไง ผู้ที่ทำนาก็ย่อมได้ข้าวกิน เมื่อไม่ได้ทำนาก็ไม่ควรจะกิน พูดตามภาษาบ้านเราก็ว่าอย่างนั้นเถอะ ปรากฏว่า พระองค์ก็บอกว่าเราก็ทำนาเหมือนกัน ชาวนาผู้เป็นพราหมณ์ก็ถามว่า เอ้า ไหนล่ะเครื่องมือในการทำนาไม่เห็นมีอะไร มีแต่บาตรลูกเดียวจะทำได้อย่างไร พระองค์ก็ทรงตอบว่าเรามีศรัทธาเป็นเสมือนพืชเป็นเหมือนเมล็ดที่จะเพาะปลูกงอกงามเป็นผลเรามีปัญญาเป็นเหมือนแอกและไถ มีหิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือกชัก สติของเราเป็นผาลและปฏัก เรามีกายคุ้มครอง ดีแล้ว มีทวารมีวาจาอันคุ้มครองดีแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการ ดายหญ้าด้วยคำสัตย์ โสรัจจะของเราเป็นเครื่องให้เสร็จงานความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากโยคะ คือปราศจากเครื่องผูกพันนั้น ไปไม่ถอยหลังยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่ต้องโศก มีอมตะเป็นผล
    นี้คือการทำนาของเรา บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เหมือนท่านต้องการข้าวไปแก้หิว เรานั้นก็มีคุณธรรมดังที่ได้กล่าวนี้เป็นเครื่องให้พ้นทุกข์ด้วยเช่นกัน

     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 107
    พราหมณ์ผู้ถือตน

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงโปรดพราหมณ์ผู้ถือตัวถือตน ได้ถือดอกไม้สองกำมาข้างละกำมือ เมื่อมาถึงพระองค์ก็ทรงบอกว่า วางสิ…พราหมณ์ พราหมณ์ได้วางดอกไม้ในมือข้างหนึ่งลง ยังเหลืออีกข้างหนึ่ง พระองค์ตรัสต่อไปว่า…วางสิพราหมณ์ พราหมณ์ก็ได้วางลงอีกข้างหนึ่ง พระองค์ก็ยังตรัสต่อไปอีกว่า วางสิ..พราหมณ์ ปรากฏว่าพราหมณ์ชักโมโห จะวางอะไรอีกล่ะ วางจนหมดแล้วนี่น่า จะให้วางอะไรอีกล่ะ พระองค์ก็ตรัสว่า วางการยึดมั่นถือมั่นถือตัวถือตนสิพราหมณ์ จะได้เบากว่านี้ ทำให้พราหมณ์ได้เกิดแวบขึ้นมาในหัวใจ และทำให้เกิดลดทิฏฐิมานะความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้มากทีเดียว

     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 108
    อุปมาเรื่องนิพพาน

    [​IMG]
    ภาพนี้เป็นภาพการอุปมานิพพานว่า…
    เหมือนกับการเรียกเด็กมากินข้ามต้ม ข้าวต้มนิพพานแล้ว ก็คือข้าวมันเย็นแล้วนั่นเอง

     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 109
    ม้านิพพาน

    [​IMG]
    ภาพนี้ เปรียบนิพพานเหมือนม้าที่มันเชื่องเยือกเย็นดีแล้ว คนเราเมื่อกิเลสหมดแล้วก็ย่อมสงบเย็น เหมือนม้าที่เชื่อง เรียกว่านิพพานคือ ม้านิพพาน
    เพราะฉะนั้น คำว่านิพพานนั้นไม่ใช่เรื่องหลังจากความตาย ผู้ที่ฟังหรือพบพระพุทธเจ้าแล้วก็จะได้เย็นใจในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ชีวิตนี้ ไม่ต้องรอต่อเมื่อตายแล้ว

     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 110
    ธรรมะกำมือเดียว

    [​IMG]
    ภาพนี้พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุที่ป่าประดู่ลาย โดยทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วถามภิกษุว่า ใบไม้ในกำมือของพระองค์ กับใบไม้ทั้งหมดในป่าประดู่นี้ ใบไม้ที่ไหนมีมากกว่ากัน ภิกษุก็ได้ตอบว่า ใบไม้ในป่านี้ทั้งหมดมีมากกว่าในกำมือของพระองค์
    พระองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า เรื่องที่เรารู้น่ะเท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่ที่นำมาสอนเธอเท่ากับใบไม้ในกำมือ คือสอนแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ปรากฏว่ามีคนสอนกันมากมาย ฉะนั้นพระองค์จึงมุ่งไปสอนแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์ ส่วนสูตรอื่นวิชาอื่นมีคนสอนแล้ว

     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 111
    แสดงธรรมโต้สัจฉกนิครนถ์

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโต้กับสัจฉกนิครนถ์ ที่ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี โดยมีพระเจ้าลิจฉวีเข้าร่วมฟังในครั้งนั้นด้วย พร้อมกับผู้ฟังอีกเป็นจำนวนมากมาย เนื่องจากว่าสัจฉกนิครนถ์นี่เป็นคนที่ค่อนข้างจะโม้คุยโวโอ้อวดศักดาสักหน่อย ได้ป่าวประกาศว่าวันนี้เราจะไปโต้กับสมณโคดมให้เหงื่อตก สั่นสะท้านดุจดังลูกนกทีเดียว เพราะสัจฉกนิครนถ์เคยพูดไว้ว่า เขาน่ะโต้กับเสาที่ไม่มีชีวิตนี่น่ะยังสั่นสะเทือน นี่เป็นถึงขนาดนั้น
    ปรากฏว่า เมื่อมาพูดโต้กันไปโต้กันมา ก็ได้ถามว่า ท่านสมณโคดมสอนอย่างไร?
    พระองค์ก็เน้นไปที่ว่า เราสอนว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน สัจฉกนิครนถ์ก็ได้ย้ำเน้น แน่นะ พระพุทธเจ้าบอกว่า แน่ สัจฉกนิครนถ์ก็บอกว่า ธรรมดาคนเขาสอนกันทั่วไป เขารู้กันว่าร่างกายนี่มันเป็นของตน ท่านมาสอนอย่างนี้มันก็ผิดน่ะสิ
    พระองค์กล่าวอุปมาว่า ในนครหนึ่งมีพระราชาเป็นเจ้าของแผ่นดิน ก็ยอมลงโทษบุคคลผู้ทำผิด เนรเทศให้ออกไปเสียก็ได้ บังคับให้ทำอะไร ได้รับอาชญาอย่างไรก็ได้ แต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราบังคับได้ไหม เราบังคับไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ป่วย ไม่ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้หรือไม่ สัจฉกนิครนถ์ก็บอกว่า ไม่ได้ พระองค์ก็บอกว่า ถ้างั้นคำแรกกับคำหลังมันก็ไม่ตรงกันซะแล้วนี่ ซัดส่ายไปส่ายมาเสียแล้ว ทีแรกว่าเป็นตนตอนนี้ว่าไม่ใช่ตนเสียแล้ว หนัก ๆ เข้าก็ให้ตอบให้ยืนยันมาว่า ที่พูดมานี่ถูกหรือไม่ถูก ชักจะนิ่งอึ้ง ปรากฏว่าถามถึงสามครั้งไม่ตอบ
    พระองค์ก็บอกว่า ถ้าหากว่าครั้งที่สามนี่ไม่ตอบ จะหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงทีเดียว พระองค์บอกว่าให้ตอบนะ ไม่ใช่ให้นิ่ง ปรากฏว่าสัจฉกนิครนถ์นี่นิ่ง คอตก สั่นสะท้านเหงื่อตกทีเดียว ทีแรกคิดว่าจะมาโต้กับพระองค์นี่ ต้อนให้พระองค์นิ่ง เหงื่อไหล ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ปรากฏว่าพระองค์ได้หยิบจีวรให้ดูว่า นี่เหงื่อเราไม่ได้ไหลเลย แต่ของท่านน่ะย้อยตั้งแต่หน้าผากมาทีเดียว ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมา สัจฉกนิครนถ์ถึงกับหมดทิฏฐิอันชูโรงว่าตนเองนั้นเด่นแน่ ชอบใช้วาทะข่มผู้อื่น เลยเกิดศรัทธานิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันยังสำนักของตน พระเจ้าลิจฉวีก็ได้ติต่าง ๆ นานาว่า เป็นคนที่ชอบใช้วาทะข่มผู้อื่น แต่แล้วเมื่อมาเจอพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าสยบไปเลยทีเดียว

     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 112
    โปรดพราหมณ์ ผู้สำคัญตนว่าโชคดี

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์ผู้สำคัญตนว่าเป็นคนมีโชคดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน พราหมณ์ผู้สำคัญตนว่าโชคดีนี้ เมื่อมาพบพระพุทธเจ้าก็ปรบมือแปะ ๆ บอกว่า แหม ข้าพเจ้านี่มันเป็นคนโชคดี ไม่มีโรคอะไรเสียเลย ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐว่าอย่างนั้นเถอะ
    พระพุทธองค์ทรงได้ยินดังนั้นก็ตรัสว่า หยุดก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้ไม่มีโรคเลยนั้นหาได้ยาก นอกจากพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่มีโรคเสียเลยโดยทางจิตใจแหละ หมายความว่า คนเรานี่มันมีสองอย่างด้วยกัน โรคทางกายเจ็บปวดหัวตัวร้อน มีแผล มีฝีมีหนอง ส่วนอีกทางหนึ่งเรียกว่า โรคทางวิญญาณ คือ โรคที่มันมีกิเลสเสียดแทง
    เพราะฉะนั้น…
    คนเราถ้ามีความโกรธ มีความอาฆาตมาดร้าย มันก็เสียดแทง มีราคะ มีความกำหนัดอยู่ก็เสียดแทง พระอรหันต์เท่านั้นแหละที่จะไม่ถูกโรคทางวิญญาณเสียดแทง
    นี่แหละพระองค์ทรงสอนให้รู้จักโรคอีกอย่างหนึ่งซึ่งเขานั่นเป็นคนไม่มีโรคเลยตั้งแต่เกิดมานี่ไม่ค่อยเจ็บปวดกับเขา จึงภูมิใจตบอกดังแปะ ๆ ว่า แหม ไม่มีโรคเลย แต่แล้วเมื่อพระองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงโรคภัยไข้เจ็บอีกชนิดหนึ่ง อย่าสำคัญไปว่ามีลาภอันประเสริฐที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บทางกาย ถ้าไม่มีโรคทางจิตใจ ทางวิญญาณ คือ มีกิเลสทิ่มแทงด้วยนั่นแหละถึงจะเป็นลาภอันประเสริฐของความเป็นมนุษย์

     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 113
    ทรงสอนราหุล

    [​IMG]
    พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสอนสามเณรราหุลถึงเรื่องศีล โดยหยิบอุปกรณ์โดยการใช้กะลา และก็เทียบให้ดูกะลาที่มีน้ำกับกะลาที่ไม่มีน้ำ กระลาที่มีน้ำเมื่อคว่ำเทลงไป…มันรดหกหมด ก็เหมือนกับที่เราได้เทศีลเทธรรม ไม่สำรวมระวังในวาจา เมื่อได้กล่าวคำเท็จเสียแล้ว ก็เท่ากับเทศีลของตนออกหมด เหมือนกับเทน้ำออกจากกะลา เพราะฉะนั้นการกล่าววาจาที่ไม่เป็นเท็จเป็นจริง นั่นแหละชื่อว่าเป็นการได้ตักตวงเอาศีลไว้ ตักน้ำไว้ในกะลาได้มากทีเดียว โดยย่อ ๆ ก็ว่าอย่างนั้น

     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 114
    ทรงเคารพพระธรรม

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงเคารพพระธรรมมาก วันหนึ่งพระองค์จะเข้าไปในวิหาร ซึ่งพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังแสดงธรรมกับภิกษุจำนานมาก พระองค์ก็ไม่ยอมเดินเข้าไป รอจนกระทั่งพระรูปนั้นเทศน์จบ เมื่อพระภิกษุรูปนั้นออกมาแล้วก็ถามว่า พระองค์มานานแล้วเหรอพระองค์บอกว่า มานานแล้ว ถามว่าทำไมพระองค์ไม่เดินเข้าไป พระองค์บอกว่า เรานั้นเป็นผู้เคารพธรรม ถ้าใครกำลังแสดงธรรม มีผู้รับธรรมอยู่ เราจะไม่เข้าไปกวนให้เขาเสียสมาธิ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัท บางทีกำลังแสดงธรรมอยู่ก็เดินป้วนเปี้ยน ไม่ได้เคารพธรรม พุทธประวัติตอนนี้เป็นพุทธานุสสติให้เราระลึกนึกถึง พระพุทธเจ้ายังเคารพพระธรรม พวกเราไฉนเล่าจะไม่เคารพธรรมตามพระพุทธองค์

     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 115
    คนสามตา

    [​IMG]
    พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุ โดยอุปมาเรื่องคน 3 ตา ตาที่บอดหมดทั้งสองข้าง กับอดข้างหนึ่ง และดีทั้งสองข้าง
    คำว่า คนตาบอดสองข้าง ก็คือคนที่ไม่มีปัญญาที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติ และก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้มนุษยสมบัติ หรือทำเครื่องออกจากทุกข์ คือโง่ทั้งการแสวงหาทรัพย์สมบัติ และก็โง่เรื่องการรู้เรื่องธรรมะไว้ดับกิเลส ไม่รู้ศีล สมาธิ ปัญญา ว่าเป็นเหตุให้ถึงความหลุดพ้น เป็นเหตุให้ดับทุกข์ เหล่านี้เป็นต้น
    ที่ว่าตาบอดข้างหนึ่ง ดีข้างหนึ่ง ก็หมายความว่า บางคนมีแต่ปัญญาที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติ แต่ไม่มีปัญญารู้ธรรมะไว้เป็นเครื่องดับทุกข์ หรือว่าบางคนมีแต่คุณธรรม แต่ว่าขาดความขยันขันแข็ง มีความรู้ที่จะดำรงอยู่แบบไม่เป็นทุกข์ในด้านจิตใจ แต่ว่าไม่ค่อยจะขวนขวายประกอบอาชีพ หมายความสลับกัน
    คราวนี้ที่ว่ามีตาดีทั้งสองข้าง คือมองเห็นช่องทางทำมาหากินที่จะได้ทรัพย์ด้วยสติปัญญา วิชาความรู้ในด้านอาชีพสาขาต่าง ๆ ประกอบกับความสามารถ แล้วก็มีคุณธรรมไม่มัวเมาลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติที่แสวงหามาได้ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคุณธรรมแห่งการที่จะบำเพ็ญตนให้อยู่เหนือทุกข์ทั้งปวงได้ อย่างนี้เรียกว่า มีสองตา
    เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะได้ให้ครบสมบูรณ์ทั้งสองตา รู้ทั้งวิชาทางโลกที่จะดำรงชีวิต มีอาชีพ มีฐานะ และก็ไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เรามี

     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 116
    กาลามสูตร

    [​IMG]
    คราวหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเดินผ่านมาทางหมู่บ้านที่เรียกว่า กาลามชน หรือหมู่บ้านกาลามะ หมู่บ้านนี้มักจะมีคนเดินผ่านมา ศาสดาต่าง ๆ มาสอนกันจนบ้านมึนหัวไม่รู้จะเชื่อใครถูก จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้มาพูดถึงหลักของความเชื่อ 10 ประการ ที่เรียกกันว่า กาลามสูตร คือ พระองค์ตรัสว่า..อย่าได้เชื่อถือถ้อยคำที่ได้ยิน ได้ฟัง โดยฟังตาม ๆ กันมา
    ข้อที่สอง ข้อที่สาม อย่าได้เชื่อถือโดยตื่นข่าว ได้ยินขึ้นว่าอย่างนั้นอย่างนี้
    ข้อที่สี่ อย่าได้เชื่อถือโดยอ้างเอาตำรา เขาอ้างว่ามีอยู่ในตำรา ก็เชื่อไป
    ข้อที่ห้า อย่าเชื่อถือโดยเดาเอาเอง คาดคะเนเดาเอา
    ข้อที่หก คือคาดคะเนและเดาเอา
    ข้อที่เจ็ด อย่าได้เชื่อถือโดยความตรึกตามอาการ ว่าอาการมันอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้
    ข้อที่แปด อย่าได้เชื่อถือโดยชอบใจว่ามันตรงกับทิฏฐิของเรา
    ข้อที่เก้า อย่าได้เชื่อถือโดยผู้พูดนั้นเป็นผู้ควรที่จะเชื่อได้
    ข้อที่สิบ อย่าได้เชื่อถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
    แล้วจะเชื่อถืออย่างไร ก็เรียกว่ามีหลักอยู่ว่า เชื่อถือไปแล้วกุศลธรรมเกิด ทำไปแล้ว เชื่อไปแล้วนี้ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เรียกว่าไม่ต้องเชื่อทั้งตามตำรา หรือใครที่มาพูด แต่ไม่ใช่ไม่ฟังนะ ไม่เชื่อกับไม่ฟังนี่คนละอย่าง บางคนนี่ แหม มันทั้งไม่เชื่อ ไม่ฟัง นี่ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน ท่านบอกให้ฟังแต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อโดยอาการอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ เชื่อเพราะเขาพูด ๆ กันมา ได้ยินเขาว่า เดาเอา คาดคะเนเอา ว่าสมณะผู้นี้เป็นครู เป็นอะไรของเรา อย่างนี้เป็นต้น ก็อย่าเพิ่งเชื่อ หมายความว่าฟังไว้ก่อน แล้วถ้าใคร่ครวญดูแล้วกุศลธรรมเกิด ทำดูแล้วกุศลธรรมเกิด ค่อยเชื่อทีหลัง

     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 117
    ความศรัทธาของเด็ก

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงนั่งอยู่ในป่าในท่ามกลางภิกษุเป็นจำนวนมาก พระมหากัสสปะนั้นเป็นที่รักของเด็ก ๆ พระพุทธเจ้านี่บางทีไปบิณฑบาต ปรากฏว่าเด็ก ๆ ใส่บาตรพระมหากัสสปะมากกว่าพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป เพราะว่าเรื่องความเลื่อมใสศรัทธานั้น ที่เป็นศรัทธาโดยรูป โดยการมีเสียง ที่เรียกว่าศรัทธาต่างกัน ศรัทธาในรูป ศรัทธาในเสียง ศรัทธาในธรรม เป็นต้น แต่ปรากฏว่าเด็ก ๆ นั้นเคารพนับถือศรัทธาพระมหากัสสปะมากกว่าพระพุทธเจ้า แต่ว่าถ้าเด็กคนไหนเขาโตขึ้น เขารู้เรื่องว่าผู้ที่ตรัสรู้ธรรม และรู้อริยสัจจ์อย่างแตกฉานแล้ว เขาจะศรัทธาพระพุทธเจ้ามากกว่ามหากัสสปะ

     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 118
    พราหมณ์ผู้ถูกลูกทอดทิ้ง

    [​IMG]
    ทรงแสดงธรรมสอนพราหมณ์ผู้ถูกลูกหญิงชายทอดทิ้งว่าลูกชนิดนี้เกิดมาเหมือนกับยักษ์เหมือนกับมาร ไล่พ่อไล่แม่เหมือนหมาไล่หมูทีเดียว พระองค์ก็ได้ทรงแนะนำให้พราหมณ์ผู้นี้ถือไม้เท้าไปในหมู่บ้านคน
    มาก ๆ แล้วก็ให้ท่องว่า มีไม้เท้าไว้กันสัตว์ร้าย ไว้หยั่งเวลาน้ำมันจะลึกหรือตื้น พูดง่าย ๆ ว่า มีไม้เท้าของคนเฒ่าดีกว่ามีลูกเต้าอกตัญญู เพราะว่ามีลูกที่ไม่เลี้ยงดู พูดไปอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ คนได้ยินมาก ๆ ก็ถึงกับอยากจะไปรุมประชาทัณฑ์ ลูกของพราหมณ์ที่เสือกไสไล่พ่อแม่ยามแก่ยามเฒ่า ปรากฏว่าลูกรู้ข่าวว่าคนชักไม่พอใจ ก็เลยรับพ่อพราหมณ์ผู้เฒ่านี้ไปเลี้ยงต่อไป ทำให้ผู้แก่ผู้เฒ่าได้มีที่พึ่งที่อาศัย นับว่าพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้ สร้างความสงบสุขให้แก่ปวงตนได้เป็นที่พึ่งเป็นอันมาก

     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 119
    ไล่ผลาญพรากตีชีวิตเขา

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงเตือนพวกเด็ก ๆ ที่แสวงหาความสนุกสนานในการไล่ผลาญพรากตีชีวิตเขาให้เจ็บปวด พระองค์ก็บอกว่า นี่หนู เธอรักสนุกเกลียดทุกข์กันบ้างไหม เด็ก ๆ ก็บอกว่าทุกคนก็รักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น แล้วหนูทำไปไปยื่นความทุกข์ให้ผู้อื่นเขาล่ะ เขามาทำความทุกข์อะไรให้เรา เด็ก ๆ ก็ได้คิด จริงสินะ ก็เลยทำให้ยั้งมือ
    พระองค์ทรงโปรดหมดตั้งแต่แก่ยันเด็ก เมื่อตะกี้โปรดแก่คราวนี้โปรดเด็กอีกแล้ว แหม มีชีวิตที่มีประโยชน์จริง ๆ ถ้าพระองค์เป็นฟ้าชายสิทธัตถะก็คงจะไม่มีประโยชน์อย่างนี้ นี่มาเป็นพระพุทธเจ้าของเรา ที่น่าเคารพนับถือ โปรดตั้งแต่แก่ยันเด็ก หนุ่มสาวไม่ต้องห่วงนับมากไม่ถ้วนเท่าเมล็ดทรายในผืนทะเลทีเดียว

     

แชร์หน้านี้

Loading...