สมเด็จคะแนนหลังใบโพธิ์ลพ.กร่ายโภคทรัพย์ลพ.แพ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,117
    ค่าพลัง:
    +5,813
    จองครับ
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1731342915315.jpg FB_IMG_1731342882951.jpg


    พระครูพินิจยติกรรม (หลวงปู่แจ้ง)
    วัดใหม่สุนทร อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
    พระครูพินิจยติกรรม (หลวงปู่แจ้ง) ฉินฺนมนฺโท เจ้าอาวาสวัดใหม่สุนทร อ.โนนสูง นครราชสีมา พระสงฆ์สันโดษ มักน้อย ศิษย์รักหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้มีพรรษาสูงที่สุดในจังหวัดนครราชสีมา และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอกิตติมศักดิ์ อ.โนนสูง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงส่งของทางคณะสงฆ์ ในจังหวัดนครราชสีมา
    หลวงปู่แจ้งเกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๓๙ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านขาม ต.ขามสะแกแสง อ.ขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา บิดามารดาชื่อนายอ้าย นางขาว ดวงกลาง มีพี่น้องรวม ๙ คน หลวงปู่เป็นบุตรคนสุดท้อง เป็นเด็กที่มีนิสัยดี เรียนเก่ง เป็นที่ชื่นชมของครูอาจารย์ทั้งพระ และครูฆราวาส บิดามารดาประกอบอาชีพทำนาเมื่ออายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทที่วัดบ้านขาม มีหลวงปู่ทองวัดบ้านขามเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญ พระอาจารย์จันทร์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระคู่สวด ท่านได้มาศึกษาต่อที่วัดบึงร่วมกับสมเด็จพุฒจารย์ (อาส อาสภมหาเถร) วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ และหลวงปู่เขียว วัดบึง เรียนปฏิบัติธรรมและเจริญ วิปัสสนากรรมฐาน หลังจากนั้นได้มาจำพรรษาที่วัดบูรพ์ วัดโพธิ์ กรุงเทพฯ วัดมหาธาตุ และวัดปากน้ำ เพื่อศึกษาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
    ท่านหลวงปู่ได้ศึกาเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อ ณ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๕ โดยมีอาจารย์พระภาวนาโกศล (สมณศักดิ์ในสมัยนั้น) หรือเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในนาม “หลวงพ่อสด” วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นผู้แนะนำอย่างใกล้ชิด หลวงปู่ตั้งใจเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างไม่ย่อท้อเป็นเวลานาน
    ในวันหนึ่งหลังจากหลวงพ่อออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน (สมาธิ) หลวงพ่อสดท่านถามเป็นประโยคแรกว่า “ท่านพระครูสงบหรือยัง” หลวงปู่ก็ตอบตามที่ท่านสงบใจได้ว่า “ผมสงบแล้ว สงบแล้ว” หลวงพ่อสดท่านแสดงอาการพอใจในตัวหลวงปู่ที่มีความเพียรพยามยามเป็นอย่างสูงในการปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนสำเร็จธรรมกาย หลวงพ่อสดวัดปากน้ำภาษีเจริญเคยกล่าวชมหลวงปู่ทั้งต่อหน้าและลับหลังว่า “พระครูองค์นี้ท่านได้ธรรมกายแล้ว ทำอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ก็ขลัง” และได้เคยพูดกับโยมว่า “พระครูองค์นี้แทนฉันได้” เวลาสวดกล่าวชุมนุมเทวดา หลวงพ่อสดมักให้หลวงปู่แจ้งช่วยสวด ท่านว่าให้พระครูสวด พระครูได้ธรรมกายแล้วเทวดาได้ยิน
    หลวงปู่แจ้งได้กราบลาท่านหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ กลับมาที่จังหวัดนครราชสีมาและสอนปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้หลวงปู่อายุ ๙๔ ปี ท่านเปลี่ยนล้นไปด้วยเมตตา ผู้ที่มีโอกาสได้ไปกราบนมัสการท่านหลวงปู่แล้ว มักจะปลื้มปิติอย่างน่าอัศจรรย์และเมื่อรับวัตถุมงคลจากท่าน ท่านชอบพูดว่าจะไปช่วยเหลือเมื่อยามคับขัน ขอให้ทุกคนปลอดภัยและโชคดี
    วัตถุมงคลหลวงปู่แจ้งมีหลายรุ่น อาทิ
    ๑. ล๊อกเก็ต “หลวงพ่อแจ้ง” พ.ศ.๒๔๙๙
    ๒. เหรียญรุ่นแรก พ.ศ.๒๕๐๐
    ๓. เหรียญรุ่น ๒ (มีเลข ๑ ที่พื้นเหรียญ เหนือไหล่ขวา) พ.ศ.๒๕๐๓
    ๔. เหรียญรุ่น ครบรอบ ๙๐ ปี พ.ศ.๒๕๓๐
    ๕. รูปหล่อรุ่นแรก (อายุ ๙๑ปี) พ.ศ.๒๕๓๑
    ๖. รูปหล่อรุ่น ๒ (รุ่นอัยการ) พ.ศ.๒๕๓๒ เนื้อทองคำ ๕๐ องค์ เนื้อเงิน ๑๒๕ องค์ และเนื้อนวโลหะ ๕๒๕ ปลุกเสกเมื่อ ๕ ธ.ค.๓๒ มีโค๊ตตีกลับหัวเนื้อเงิน ๒ องค์
    ๗. เหรียญฉีดนาคปรก พ.ศ.๒๕๓๓ มีเนื้อทอง เงิน นาค และนวโลหะ
    อนึ่ง ในคราวเกิดสงครามอินโดจีน พ.ศ.๒๔๘๐ หลวงปู่แจ้งได้ร่วมกับเกจิอาจารย์ที่สำคัญหลายรูปปลุกเสกพระเนื้อดินผสมผงว่านและคลุกรัก เรียกว่า “พระกลีบบัว วัดบูรพ์” แจกทหารที่ไปสงครามมีพุทธคุณโด่งดั่งทางอยู่ยงคงกระพันจนเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ทหารและบุคคลทั่วไปเป็นอันมาก
    มรณภาพ วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ หลังจากที่หลวงปู่ไปกรุงเทพ เพื่อรับพระราชทานพัดยศพระราชาคณะชั้นสามัญยก หลวงปู่ก็มีอาการของไข้ เป็น ๆ หาย ๆ หลวงปู่ยังบอกเป็นลางสังหรณ์ไว้ว่า มีเกิด ก็มีตาย มียศ ก็เสื่อมยศ มีลาภ ก็เสื่อมลาภ จนในที่สุดอาการป่วยก็ไม่หาย ลูกศิษย์นำส่งโรงพยาบาลมหาราช พักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ จนเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลา ๐๑.๒๐ น. หลวงปู่ได้ละสังขารโดยสงบ รวมสิริอายุได้ ๙๕ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน พรรษา ๖๗ นับเป็นพระเถระที่มีพรรษากาลมากที่สุดในขณะนั้น

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงของขวัญสัมเร็จผลหลวงปู่แจ้งวัดใหม่สุนทร

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251102_191310.jpg IMG_20251102_191340.jpg IMG_20251102_191240.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    5845381-3.jpg


    ผงยาผีบอก แค่ชื่อก็ขลัง หลังวันฮาโลวีน

    พิธีพุทธาภิเษกใหญ่ พ.ศ.2535 มีเกจิดังร่วมปลุกเสกอาทิ
    -พระสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กทม.
    -พระเทพเมธี วัดเศวตฉัตร กทม.
    -พระราชสิงหคณาจารย์ (หลวงพ่อแพ) วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
    -พระราชมงคลมุนี (หลวงพ่อคอน) วัดชัยพฤกษมาลา กทม.
    -อาจารย์นอง วัดทรายขาว
    -พระสุขวโรทัย (หลวงพ่อห้อม) วัดคูหาสวรรค์ สุโขทัย
    -หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู นครสวรรค์
    -พระครูวิชาญชัยคุณ (หลวงพ่อสำราญ) วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    -หลวงปู่โง่น โสรโย วัดเขาไม้รวก พิจิตร
    -หลวงพ่อซ่วน ปัญญาธโร สำนักสงฆ์อาจารย์ซ่วน ฉะเชิงเทรา
    -พระครูพิทักษ์ พรหมวิหาร (หลวงพ่อตี๋) วัดพรหมวิหาร เชียงราย
    -หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือแกลง ระยอง
    -หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    -หลวงพ่อหมื่นอุดม วัดตูม อยุธยา
    -หลวงพ่อเมี่ยง วัดเกาะสมอ ปราจีนบุรี
    -หลวงพ่อฤษีลิงขาว วัดฤกษบุญมี สุพรรณ
    -หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว อยุธยา
    -หลวงพ่อสาลิโข อุทญานธรรมโกศล ปทุมธานีฯ
    -ลป.กาหลง เขี้ยวแก้ว
    -หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา เป็นต้น

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    สมเด็จพระร่วงเจ้าผงยาผีบอก วัดอินทรวิหาร พิธีดีพิธีใหญ่วัดหลวงมวลสารพิเศษ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251102_184053.jpg IMG_20251102_184116.jpg IMG_20251102_184012.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762086862751.jpg

    พระสมเด็จคะแนน๘๐ปี หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ

    หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ผู้สำเร็จวิชาลบผงวิเศษ ๑๒ นักษัตร
    ท่านเป็นพระเกจิเชื้อสายรามัญแห่งจังหวัดปทุมธานี สุดยอดพระเกจิผู้มีพุทธคมเข้มขลัง เป็นผู้ที่มีจิตสมาธินิ่งมาก สามารถเขียนผงทะลุกระดานชนวนได้เพียงอึดใจ

    ในการสร้างพระสมเด็จฯ นอกจากวิชาลบผงวิเศษทั้ง ๕ ประการแล้ว ท่านยังใช้วิชาลบผง ๑๒ นักษัตร อันเป็นวิชาของชาวมอญที่ตกทอดกันมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีพระเกจิอาจารย์รูปใดในยุคก่อนๆ ที่วงการรู้จักมีการทำผงชนิดนี้ นี่จึงเป็นของวิเศษอันสุดยอดของหลวงปู่เทียนที่พระเกจิอาจารย์รูปอื่นๆ ไม่มี

    ผง ๑๒ นักษัตร เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับโหราศาสตร์ที่อธิบายได้ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ต้องเกิดมาในปีนักษัตรใดนักษัตรหนึ่ง และในปีหนึ่งๆ นั้นประกอบไปด้วย ๑๒ ราศี ที่มีความเกี่ยวพันกับดวงดาว อันเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตของคนคนนั้น ที่เรียกว่า “ดวงชะตา”

    หลวงปู่เทียน ท่านศึกษาค้นคว้าวิชานี้จากตำราโบราณที่อาจารย์มอบให้จนสำเร็จด้วยตัวเอง วัตถุมงคลของท่านทุกองค์จะมีผง ๑๒ นักษัตรผสมอยู่ด้วย จึงมีอานุภาพในการหนุนส่งดวงชะตาในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และปกป้องไม่ให้ตกต่ำในยามที่ดวงไม่ดี

    ผงนี้กระบวนการทำนั่นยากมาก เป็นผงที่ลบจากยันต์ ๑๒ นักษัตร จึงเข้าได้กับผู้อาราธนาทุกปีเกิด มีศิษย์ที่ไปขอเรียนวิชานี้กับหลวงปู่จำนวนมาก แต่สามารถเรียนได้สำเร็จแค่ ๒ รูป คือ

    หลวงปู่เริ่ม วัดจุกกะเฌอ

    หลวงพ่อละมูล วัดเสด็จ

    คำว่า เนื้อ 12 นักษัตร นั้นหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ ท่านเล่าว่า ผง 12 นักษัตรเป็นผงที่สร้างยากต้องมีความมานะพยายามอย่างสูงกว่าจะรวบรวมวัตถุมงคลให้ครบตามตำราก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว เช่น

    - กระดูกม้าขาว
    - กระดูกไก่ดำ ซึ่งกระดูกออกเป็นสีชมพู
    - กระดูกนิ้วก้อยซ้ายขวาของผีตายวันเสาร์เผาวันอังคาร มาบดผสม

    เมื่อได้กระดูกสัตว์ทั้ง 12 ชนิด และวัสดุมลคลอื่นครบถ้วนตามตำราแล้ว ต้องบดผงเข้าด้วยกันแล้วปั้นเป็นแท่งดินสอเตรียมไว้ เมื่อเข้าพรรษาก็ให้เริ่มลงอักขระเลขยันต์ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของพรรษา ทำจนครบ 3 พรรษา

    พระครูสาทรพัฒนกิจ (หลวงพ่อลมูล) วัดเสด็จ อำเภอเมือง จ.ปทุมธานี ศิษย์เอกของหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ พระเกจิดังแห่งเมืองปทุมธานี ท่านเป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกในพิธี "จักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก" ณ พระวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ปี2515 หลวงพ่อลมูล ท่านเป็นยอดพระเกจิที่เก่งมากๆ พลังจิตของท่านดีมาก จนชาวบ้านยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งสวนพริกไทย หลวงพ่อละมูล ท่านเองก็ชอบสร้างพระสมเด็จเช่นกันครับ เหมือนอาจารย์ท่าน คือหลวงปู่เทียน โดยหลวงปู่เทียน นอกจากท่านจะสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษ ๕ ประการ คือ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห และ ผงพุทธคุณ แล้ว ท่านยังเป็นพระที่สำเร็จวิชา “ผง ๑๒ นักษัตร์” ซึ่งเป็นผงที่เขียนลบมาจากยันต์ ๑๒ นักษัตร์ ทั้ง ๑๒ ปี ดังนั้น พระเนื้อผงของท่านจึงดีเด่นสูงค่าไปด้วยพระพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม อุดมโชคลาภ มีกินมีใช้ทุกปี ไม่ขัดสน เข้าได้กับทุกผู้คน ทุกปีเกิด สามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาที่มีพระเครื่องของท่านพกพาอาราธนาติดตัวอยู่ เวลาดวงชะตาตกต่ำ ก็จะค้ำจุนไม่ตกอับจนเกินไป เวลาดวงชะตารุ่งโรจน์ ก็จะเสริมดวงชะตาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น หลวงปู่เทียนท่านได้ถ่ายทอดวิชาผง ๑๒ นักษัตร์นี้ให้แก่ศิษย์ คือ หลวงพ่อลมูล โดยหลวงพ่อลมูลท่านจะทำพิมพ์ให้ต่างจากหลวงปู่เทียน และท่านก็ลบผงพุทธคุณเองด้วยเช่นกัน พระท่านน่าแขวน รุ่นเก่าๆหาก็ไม่ค่อยง่ายเช่นกัน ทางพื้นที่นิยมกันมากครับ จำไว้ว่าตะกรุดที่ฝังจะไม่เรียบร้อยเช่นกัน ม้วนไม่ค่อยกลมนะครับ วัตถุมงคลของท่านนั้นสามารถใช้ป้องกันภัยอันตราย จากสัตว์มีพิษต่างๆ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ที่มีมากมายในสวนสมัยก่อนได้อย่างน่ามห้ศจรรย์ อีกทั้งยังมีพุทธคุณครบเครื่อง ไม่เป็นรองอาจารย์ของท่าน ทั้งคงกระพัน มหาอุด มหานิยม เมตตา โชคลาภ ลูกศิษย์ทั้งหลายล้วนทราบกันดี

    หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี
    หลวงพ่อลมูล ขันติพโล หรือท่านพระครูสาทรพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดเสด็จ ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มหาชนในยุคก่อนและยุคนี้ต่างก็ให้ความเคารพนับถือมากมาย หลวงพ่อลมูลท่านเป็นชาวมอญโดยกำเนิด เดิมชื่อลมูล จับจิตต์ เกิดวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2458 แรม 5 ค่ำ ปีเถาะ บิดาชื่อ นายติ่ง มารดาชื่อ นางแม้น จับจิต ท่านเกิดที่หมู่ 4 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน ท่านเป็นคนที่ 2 ของครอบครัว เมื่อท่านอายุได้ 3 ขวบ ท่านได้ย้ายตามบิดามารดามาอยู่ในคลองบางใหญ่หมู่ที่ 1 ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี เพราะโยมปู่เหลือ และโยมย่าแหวว จับจิตต์ ได้มอบมรดกที่ดินให้กับครอบครัวของท่านไว้ทำกิน ท่านจึงต้องย้ายมาอยู่ด้วย พอท่านอายุได้ 12 ปี โยมพ่อได้นำท่านไปฝากให้เรียนหนังสือกับ"พระอาจารย์ไม้" ที่วัดเสด็จ ท่านอยู่ได้ 1 ปี ทำให้ท่านได้ฝึกฝนนิสัยไปในทางอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่สูงที่ต่ำ ทั้งสิ่งที่ควรและไม่ควร ต่อมา "ครูชั้น ดำกลิ่น" ได้มาขอตัวท่านจากพระอาจารย์ไม้ไปเป็นศิษย์ โดยให้ไปเรียนหนังสือเพิ่มเติมที่วัดพระเชตุพน คณะ 20 ท่านศึกษาจนอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี โดยสมัยนั้นสมเด็จป๋าสมเด็จพระสังฆราช(ปุ่น ปุ่ณณสิริ) ยังคงเป็นครูสอนภาษาบาลีอยู่ ณ สำนักแห่งนี้ แต่ในการเรียนต่อของท่านในขณะนั้นได้ชะงักลง เพราะเหตุที่โยมพ่อต้องการให้กลับมาช่วยดูแลทำนาเพื่อช่วยครอบครัว ท่านจึงต้องกลับมาทั้งๆที่เสียดายมาก หลังจากที่ท่านกลับมาอยู่บ้าน ท่านก็ได้ช่วยโยมพ่อทำนาพร้อมกับได้เริ่มเรียนหนังสือต่ออีก เพราะอายุท่านนั้นไม่พ้นเกณฑ์ยังอยู่ในภาคบังคับ ต้องเรียนหนังสือต่อ หลวงพ่อลมูลจึงเรียนที่วัดเสด็จซึ่งได้มีการเปิดโรงเรียนประชาบาลภาคบังคับขึ้น ท่านจึงได้เริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาอีก ท่านเป็นนักเรียนคนที่ 38 ของโรงเรียนนี้ ท่านเรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น หลังจากที่ไม่ได้เรียนแล้ว ท่านก็ได้ช่วยเหลือบิดา มารดาทำนา ตามความประสงค์จนอายุได้ 18 ปี บิดามารดาของท่านได้ขอให้ท่านแต่งงานเปรียบเสมือนโซ่ตรวนผูกมัดไม่ให้บวช อีกประการหนึ่งท่านต้องการศึกษาหาความรู้ใส่ตนให้มากขึ้นกว่านี้ ประกอบกับจิตใจของท่านฝังลึกว่า การบวชนั้นเปรียบเสมือนทางไปสวรรค์ที่จะสามารถบันดาลให้พ้นทุกข์ได้
    ความตั้งใจของหลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี สัมฤทธิ์ผล คือโยมบิดา มารดา ไม่อาจขัดได้จึงได้นำท่านไปฝากเป็นนาคกับ พระอธิการเผือก สุกโก ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดเสด็จ ในขณะนั้นหลวงพ่อลมูล ขันติพโล ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2497 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 7 เวลา 14 นาฬิกา 50 นาที ที่พระอุโบสถวัดเสด็จ โดยมีหลวงปู่เทียนหรือท่านพระครูบาวรธรรมกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเผือก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ไม้ รุกขโก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ขันติพโลภิกขุ"
    หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้ตั้งใจแน่วแน่ว่า ท่านจะเล่าเรียนพระธรรมวินัยตามระเบียบของวัด คือการเรียนพระปริยัติธรรมและจะตั้งใจปฏิบัติกิจในพระบวรพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดชั่วชีวิต ในเพศพรหมจรรย์ของท่านจะขอถวายตัวเป็นพุทธบุตรผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาไปจนชีวิตจะหาไม่ พรรษาแรกท่านก็ได้เรียนนักธรรมชั้นตรี พรรษาที่ 2 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นตรีได้ ในพรรษาที่ 3 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นโท แต่สอบตก ท่านจึงอธิษฐานจิตจะไม่ขอเรียนนักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอกอีกต่อไป ท่านจะเปลี่ยนแนวทางมุ่งไปในทางปฏิบัติ เมื่อหลวงพ่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ท่านก็ออกเดินธุดงค์ มุ่งหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร แต่ก่อนเดินธุดงค์นั้นท่านได้ขอไปฝึกกรรมฐานเพิ่มเติมจาก หลวงปู่เทียน พระอาจารย์ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน ซึ่งท่านก็ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เต็มที่ หลังจากได้รับการฝึกฝนในด้านสมาธิอย่างเพียงพอ หลวงปู่เทียน ท่านได้มอบหมายให้หลวงปู่พร้อม เป็นหัวหน้านำในการธุดงค์ในครั้งนั้น ในด้านส่วนลึกของหลวงพ่อลมูล ท่านต้องการออกธุดงค์ไปองค์เดียวแต่ติดขัดในข้อบัญญัติทางพระธรรมวินัยว่าพระที่จะออกธุดงค์ถ้ามีพรรษาไม่ถึง 5 พรรษา ต้องมีพระพี่เลี้ยงนำไป แต่ถ้าเกิน 5 พรรษาไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมี จุดแรกที่ที่ท่านออกธุดงค์ ก็คือที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี เพราะสถานที่นี้เป็นที่อันศักดิ์สิทธิ์ มีความสงบ ร่มรื่นเหมาะในการบำเพ็ญเจริญภาวนา ต่อจากนั้นท่านก็มุ่งสู่ภาคเหนือ แม่สอด ตาก กำแพงเพชร เพราะท่านเห็นว่ามีภูเขามากเป็นแดนที่สงบ ในการเดินทางไปภาคเหนือครั้งนั้นท่านพบกับอุปสรรคอย่างมากมาย จากสัตว์ป่าบ้าง ตลอดจนอาหารที่ฉันท์เพราะไม่ค่อยมีหมู่บ้าน ท่านต้องฉันท์ผลไม้ป่าแทนแทบทุกวัน ฉันท์วันละเพียงมื้อเดียว ส่วนในด้านฝึกหัดปฏิบัติธรรมและจำวัดในตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านก็ต้องหาสถานที่ปลอดภัย หลวงพ่อลมูลตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หลังจากการเดินทางเข้าสู่พรรษาที่ 5 พระพี่เลี้ยงต่างก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ หลวงพ่อลมูล จึงออกเดินธุดงค์เพียงองค์เดียว เดินทางไปถึงประเทศพม่า ท่านได้ไปพบกับถ้ำประหลาดซึ่งอยู่ในภูเขาลูกเล็กๆ แต่มหัศจรรย์มากเพราะภายในถ้ำมีแต่ขี้ค้างคาว แต่ไม่มีกลิ่นเหม็นเลยสักนิดเดียว และมีค้างคาวเต็มไปหมด แต่ค้าวคาวก็ไม่เคยบินมาถูกท่านเลย การเดินทางเอาตัวรอดในป่าดงดิบก็ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อเนื่องและเคร่งครัดอำนาจบารมีของพุทธคุณ ธรรมคุณและสังฆคุณ เป็นอำนาจสูงสุด ผู้ปฏิบัติเคร่งครัดย่อมได้ผล แม้แต่ไปเจอสิงห์สาราสัตว์ที่ดุร้าย เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ด้วยอานุภาพบารมีดังกล่าวช่วยคุ้มภัยได้เป็นอย่างดี
    หลังจากที่หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ท่านได้ธุดงค์ได้ระยะหนึ่ง หลวงพ่อท่านก็ได้เดินทางกลับมายังวัดเสด็จ เพื่อมาช่วยเหลือกิจการของสงฆ์ในวัด ซึ่งในขณะนั้น หลวงปู่เผือกผู้ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสมีปัญหาเกี่ยวกับการปกครอง เนื่องจากมีพระภิกษุในวัดเดียวกันจะคิดกำจัด และปลดท่านจากการเป็นเจ้าอาวาส ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า บัญชีของวัดทำไม่ถูกต้อง และหย่อนสมรรถภาพในการปกครอง แต่ในข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นเพราะหลวงปู่เผือกเป็นพระที่มีความละเอียดรอบครอบ กระทำสิ่งใดๆไม่หวังผลประโยชน์มากเกินไป จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้างเสียผลประโยชน์ พากันกลั่นแกล้งท่าน หลวงปู่เทียนซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าคณะตำบลบ้านกลางจึงได้เรียกตัวหลวงพ่อลมูลไปปรึกษาและมอบหมายให้ช่วยเหลือหลวงปู่เผือก ในด้านภารกิจต่างๆท่านได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมาท่านจึงไม่มีโอกาสออกเดินธุดงค์อีกต่อไป เพราะหน้าที่บังคับและหลังจากนั้นท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ.2491 คือหลังจากที่พระอธิการเผือกได้มรณะภาพลงเมื่อปี พ.ศ.2490
    ในด้านผลงานของหลวงพ่อลมูล ท่านได้พัฒนาไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ถนนหนทาง จนถึงบ้านพักและสถานีตำรวจสวนพริกไทย อนามัย และโรงเรียน ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส ต่างก็ได้ส่งบุตรหลานของตนเข้ามาบวชอยู่กับท่านอย่างมากมาย ทุกคนได้หันหน้าเข้าวัดด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านมิได้ขาดเพราะชาวบ้านถือกันว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูง จากผลงานในด้านปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม ทำให้ทางคณะสงฆ์มีความเห็นขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูใบฏีกาลมูล เมื่อปี พ.ศ.2495 โดยฐานะนุกรมของท่านเจ้าคุณธรรมกิตติในปีพ.ศ.2500 ท่านได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
    ผลงานในด้านปริยัติธรรมหลวงพ่อลมูล ท่านก็ได้ตั้งสำนักเรียนนักธรรมตั้งแต่ชั้นตรี -โท- เอก ขึ้นรวมทั้งสอนแผนกบาลีด้วย ทางด้านปฏิบัตินั้นท่านได้ฝึกอบรมกรรมฐานเป็นประจำ จนมีญาติโยมเข้ามาฝึกกรรมฐานกันมากขึ้นทุกวันเพราะเชื่อกันว่า การฝึกกรรมฐานกับท่านแล้วทำให้เกิดศรัทธาแรงกล้า ส่วนในระยะที่อยู่ในพรรษาแต่ละพรรษาท่านต้องเป็นผู้นำพระใหม่ และเก่าฝึกกรรมฐาน รวมทั้งเป็นผู้นำสวดมนต์เช้าเย็นมิได้ขาดทุกวัน ตลอดจนสั่งสอนอบรมจริยวัตรในขณะที่เป็นสงฆ์และไปเป็นฆราวาส ด้านการพัฒนาวัด หลวงพ่อลมูลได้ทำต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่ท่านเข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเสด็จด้วยความสามารถนานาประการของหลวงพ่อลมูล จึงจัดว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งของเมืองไทยที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านมรณภาพเมื่อพ.ศ.๒๕๔๘ สิริอายุ ๘๙ ปี

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จพิมพ์คะแนนหลวงพ่อลมูลวัดเสด็จ ๘๐ ปี

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทครับ


    IMG_20251102_192743.jpg IMG_20251102_192757.jpg IMG_20251102_192719.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    1354606-48ac3.jpg

    พระชุดเทพมงคล หลังสก

    ที่ระลึก ครบ 6 รอบ ราชินี ครบชุด 5 องค์ พ.ศ.2547 มีขนาดสูง 2.5 x 1.9 ซ.ม. ประกอบด้วย

    1.พระพรหม บูชาเพื่อขอความสำเร็จ
    2.พระนารายณ์ (พระวิษณุ) บูชา เพื่อขอความคุ้มครองและช่วยขจัดภัยพิบัติ
    3.พระศิวะ (พระอิศวร) บูชา เพื่อขอความก้าวหน้า สมหวัง
    4.พระพิฆเนศ (พระพิฆเนศวร) บูชา เพื่อขอความสำเร็จพ้นจากความขัดข้องทั้งปวง
    5.พระฤาษี (พ่อแก่) บูชาเพื่อแสดงถึงความกตัญญูรู้คุณครูอาจารย์

    พุทธาภิเษก 7 เสาร์ 7 อังคาร 15 วัด รวมพุทธาภิเษก 16 ครั้ง

    บันทึกตำนาน พระชุดเทพมงคล หลัง สก. เฉลิมพระชนมพรรษา๖ รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
    เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคล พระสมเด็จนางพญา ส.ก. พระกริ่งจักรตรี และพระชุดเทพมงคล ซึ่งได้กำหนดพิธีอย่างถูกต้องตามประเพณีโบราณ ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่อให้ได้วัตถุมงคลที่เข้มขลังเอกอุไปด้วยพลังแห่งพุทธคุณ พร้อมทั้งงดงามสมบูรณ์ตามยุคสมัย โดยได้กำหนดให้มีพิธีพุทธาภิเษกมวลสาร ชนวนโลหะ ที่ใช้ในการสร้างวัตถุมงคลฯ พิธีเททองและพิธีมหาพุทธาภิเษกรวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง
    เริ่มต้นครั้งที่ 1 ณ พระอุโบสถวัดชนะสงคราม
    ครั้งที่ 2 วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
    ครั้งที่ 3 วัดใหญ่ชัยมงคล
    ครั้งที่ 4 วัดโสธรวรารามวรวิหาร
    ครั้งที่ 5 วัดมังกรกมลาวาส
    ครั้งที่ 6 วัดบวรนิเวศวิหาร
    ครั้งที่ 7 วัดสุทัศนเทพวราราม
    ครั้งที่ 8 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
    ครั้งที่ 9 วัดระฆังโฆสิตาราม
    ครั้งที่ 10 วัดห้วยมงคล
    ครั้งที่ 11 เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
    ครั้งที่ 12 วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร
    ครั้งที่ 13 วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
    ครั้งที่ 14 วัดนางพญา
    และครั้งที่ 15 ,16วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)
    รายนามพระเกจิอาจารย์ร่วมพิธี
    รายนามพระเกจิ ที่มาปลุกเสก
    หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    หลวงปู่ทิม วัดพระขาว
    หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง
    หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่
    หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูน
    หลวงพ่อเที่ยง วัดระฆัง
    หลวงพ่อสืบ วัดอินทรวิหาร
    หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว
    หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน
    หลวงปู่ทอง วัดจักรวรรดิ
    หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม
    หลวงพ่อรวย วัดตะโก
    หลวงพ่อเก๋ วัดปากน้ำ
    หลวงพ่อแวว วัดพนัญเชิง
    หลวงพ่อพูลทรัพย์ วัดอ่างศิลา
    หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร
    หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
    หลวงพ่อสมพงษ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว
    หลวงปู่ละมัย วัดป่าสมุนไพร
    หลวงปู่คีย์ วัดศรีลำยอง
    หลวงปู่นนท์ วัดเหนือวน
    หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม
    หลวงพ่อหล่อ วัดคันลัด
    หลวงพ่อเอียด วัดพิกุลทอง
    หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติการาม
    หลวงพ่อดำรงค์ วัดเขาปฐวี
    หลวงพ่อบุญธรรม วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร
    หลวงพ่อเงิน วัดถ้ำน้ำ
    หลวงพ่อทองสุข วัดเขาตะเครา
    หลวงพ่อไพโรจน์ วัดวังพงศ์
    หลวงพ่อสมชาติ วัดหนองยายอ่วม
    หลวงพ่อฟ้าลิขิต วัดเขาบัลลังก์
    หลวงพ่อสมศักดิ์ วัดโสธรวราราม
    หลวงพ่อป่วน วัดบรรหารแจ่มใส
    หลวงพ่อขาว วัดสาวชะโงก
    หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม
    หลวงพ่อพล วัดหนองยายหุ่น
    หลวงพ่อสมชาย วัดปริวาส
    หลวงพ่อพร วัดดอนยายหอม
    หลวงพ่อเพี้ยน วัดตุ๊กตา
    หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี
    หลวงพ่อบุญช่วย วัดเทพประสิทธิ์
    หลวงปู่นะ วัดปทุมธาราม
    หลวงพ่อบุญชุบ วัดนางพญา
    ครูบาพรหมเณศวร, ฯลฯ เป็นต้น
    พระชุดเทพมงคล สก ประกอบด้วย 5 องค์เทพมีดังนี้
    1.พระนารายณ์ (พระวิษณุ) บูชาเพื่อขอความคุ้มครองและช่วยขจัดภัยพิบัติ
    2.พระศิวะ (พระอิศวร) บูชาเพื่อขอความก้าวหน้าและสมหวัง
    3.พระพรหม บูชาเพื่อขอความสำเร็จ
    4.พระพิฆเณศ (พระพิฆเนศวร) บูชาเพื่อขอความสำเร็จพ้นจากความขัดข้องทั้งปวง
    5.พระฤาษี (พ่อแก่) บูชาเพื่อแสดงถึงความกตัญญูรู้คุณครูอาจารย์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251102_200139.jpg IMG_20251102_200207.jpg IMG_20251102_200110.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    fb_img_1761570616560-jpg.jpg

    พ่อท่านแปลกเคราเหล็ก
    พระปิดตามหาโภคทรัพย์ เนื้อผงผสมว่านเป็นพระปิดตารุ่นแรกที่พ่อท่านแปลกสร้างขึ้นจากเนื้อว่านทางโชคลาภมากมาย ผสมผงพุทธคุณทางเมตตา มหาเสน่ห์ สร้างน้อย ปัจจุบันหายากไม่ค่อยพบ
    พ่อท่านแปลก นั้นบุคลิกของท่านแปลก และพระเกจิอาจารย์สายเขา-อ้อ องค์นี้เก่งจริง แต่ไม่มีใครรู้จักท่านมากนัก ท่านท่านเป็นพระที่สมถะและเก็บตัว มักน้อย สันโดษ อยู่ที่วัดปากปรน กิ่งอำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง ทั้งวัดมีท่านอยู่เพียงองค์เดียวเรียบง่าย หนทางไปสุดแสนยาก ลูกศิษย์ที่ไปกราบท่าน ท่านจะมองดูลูกศิษย์ด้วยดวงตาแจ่มใส คนในพื้นที่และคนในจังหวัดตรัง จะรู้ถึงอภินิหาร มีสมาธิจิตอันแกร่งกล้า พุทธาคมก็ไม่เป็นสองรองใคร หลายต่อหลายครั้ง ที่ผู้คนประสบพบเจอในอภินิหารของท่านจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
    ท่านเดินท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแต่ไม่เปียกเลย
    เมื่อมีอายุครบบวชได้อุปสมบทที่วัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ท่านได้ศึกษาธรรมและได้เรียนรู้วิชา คาถา พระเวทย์ ไสยศาสตร์ และเกิดความสนใจวิชาเวทมนต์ คาถาอาคม และไสยศาสตร์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก ใฝ่ศึกษาวิชาต่างๆ และได้เรียนวิชากับครูบาอาจารย์มากมาย ได้พบอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่บัดนั้น ได้เรียนวิชาการต่างๆ มามากมาย
    ประวัติพ่อท่านแปลก วัดปากปรน
    ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์สายเขาอ้อ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งของชาวตรัง และชาวภาคใต้ แม้บางครั้งวัดที่จำวัดอยู่จะมีพ่อท่านอยู่เพียงแค่องค์เดียว เนื่องจากสถานที่ตั้งอยู่ห่างไกลทุรกันดาร และผู้คนที่อาศัยอยู่รายรอบส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยมุสลิม แต่พ่อท่านก็ยังยืนหยัดครองผ้าเหลืองมาจนถึงเวลานี้ถึง 45 พรรษา ในวัย 77 ปี ด้วยความสมถะ วิเวก เรียบง่าย น่านับถือ พร้อมทั้งยังมีอภินิหาร และแก่กล้าพุทธาคมอย่างยิ่งยวด
    "พ่อท่านแปลก" หรือ "พระครูสุเวชโกศล" เจ้าอาวาสวัดปากปรน อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง เกิดที่บ้านร่มเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2478 โยมบิดาชื่อ "ปาน ชูเท้า" โยมมารดาชื่อ "คุ้ม ชูเท้า" เมื่อวัยเยาว์ได้ช่วยทางบ้านประกอบอาชีพทำนา จนมีอายุครบบวช จึงได้อุปสมบทที่วัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เพื่อศึกษาธรรมและได้เรียนรู้วิชาไสยศาสตร์ด้วย จึงเกิดความสนใจวิชาเวทมนต์ และคาถาอาคมต่างๆ กระทั่งเมื่อไปพบ "หลวงพ่อปาน ปาลธัมโม" วัดเขาอ้อ จึงได้เรียนวิชาการต่างๆ อย่างมากมาย
    เมื่อออกพรรษา ทางบ้านได้ให้ให้ลาสิกขามาช่วยทำนาต่อไป จึงต้องสละเพศบรรพชิตทั้งที่จิตใจฝักใฝ่จะอยู่ต่อ แต่ก็ยังไปแสวงหาอาจารย์เรียนรู้วิชาทางไสยศาสตร์อยู่เสมอ จนพบกับ "พระอาจารย์นำ ชินวโร" แห่งวัดดอนศาลา จึงได้รับการชี้แนะแนวทางเวทมนต์และวิทยาคมมากมาย แม้ต่อมาพ่อท่านจะมีครอบครัว แต่เมื่ออายุ 33 ปี ได้เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก เพราะมีจิตใจใคร่ทางธรรมอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก จึงตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2510 ณ วัดควนขี้แรด จังหวัดพัทลุง โดยมี "พระครูมุทิตานุรักษ์" วัดท่าแค เป็นพระอุปัชฌาย์ "พระครูนิเทศน์ธรรมวินัย" วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ "พระมหาผัน" วัดโคกโพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า "ปุสฺสเทโว"
    ทั้งนี้ หลังจากจำวัดได้ 1 พรรษา พ่อท่านได้ขอย้ายไปอยู่ที่วัดดอนปรัง วัดควนโตนด และวัดบางขัน จังหวัดพัทลุง เพื่อค้นคว้าเรียนวิชาสายเขาอ้อกับ "หลวงพ่อปาน" อีกครั้งหนึ่ง จนเกิดความชำนาญและสามารถปฏิบัติได้เห็นจริง จึงออกธุดงค์เพื่อหาความสงบวิเวกภายในป่า บนเทือกเขาบรรทัด รอยต่อระหว่างจังหวัดตรัง กับพัทลุง เพื่อฝึกจิตให้กล้าแข็ง จนถึง พ.ศ.2512
    หลังจากนั้น พ่อท่านจึงออกธุดงค์อีกครั้ง มาจนถึงวัดปากปรน จังหวัดตรัง โดยพบว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระอยู่ มีเพียงกุฏิเก่าๆ และศาลาผุพัง กับป่ารกทึบ ในยุคสมัยที่ยังมีวัดเพียงแค่แห่งเดียวในอำเภอ ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็นับถือศาสนาอิสลาม พ่อท่านจึงได้จำพรรษาปฏิบัติธรรมอยู่ ณ วัดแห่งนี้เพียงองค์เดียว โดยระหว่างนั้น เริ่มมีชาวบ้านผ่านมาเข้าไปกราบนมัสการ และเริ่มรู้จักมากขึ้น เพราะพ่อท่านได้นำตำรารักษาโรคและตำรับเวทมนต์ จากถ้ำวัดในเขา จังหวัดพัทลุง มาช่วยรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน"พ่อท่านแปลก" ได้รับการกล่าวขานในเวลาต่อมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะวิชาคาถาอาคมและไสยศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมาจากสำนักเขาอ้อ ที่ก่อให้เกิดความอัศจรรย์ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เช่น หลายคราวที่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่กลับไปถูกจีวรของพ่อท่านเลยแม้แต่เม็ดเดียว อันเนื่องมาจากตะกรุดและคาถา "ฝนแสนห่า" ที่ส่งผลให้มีพุทธคุณปกป้องคุ้มครองกาย หรือแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง แต่หากไม่ฝึกปฏิบัติทางจิตอย่างจริงๆ จังๆ จนเข้มแข็งแล้ว ก็จะไม่สามารถทำได้ตามตำรา
    นอกจากนั้น ยังมีการพูดถึงคาถา "อาบน้ำในกา" ซึ่งเป็นวิชาช่วยย่นหนทางและย่อกาย จนทำให้พ่อท่านสามารถสรงน้ำได้ โดยไม่ต้องลุกขึ้นไปห้องน้ำ หรือไม่ต้องสรงน้ำเป็นเวลานานๆ ได้ โดยที่ไม่มีกลิ่นกาย แต่ผิวพรรณ ราศรี ยังผ่องใส เปล่งปลั่ง ดูสะอาด รวมทั้งคาถา "ปืนยิงไม่ออก" ที่เลื่องลือมานานแล้ว แต่ไม่ว่าเรื่องราวของพ่อท่านจะโด่งดังมากมายขนาดไหน พระเกจิอาจารย์ผู้เข้มขลังและปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปนี้ ยังคงถือสันโดษและปฏิบัติธรรมด้วยการพิจารณา "อสุภะกรรมฐาน" อยู่เป็นเนืองนิตย์ พร้อมทั้งยังมีกระแสจิตแก่กล้า แต่มีความเมตตาเป็นเลิศ
    อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเรื่องราวสำคัญของจังหวัดตรัง ที่เกิดขึ้นเมื่อเทศกาลสงกรานต์ ปี 2550 หรือเมื่อ 7 ปีที่แล้วก็คือ เหตุการณ์น้ำป่าถล่มน้ำตกสายรุ้ง และน้ำตกไพรสวรรค์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 38 ศพ เพียงแต่รายสุดท้ายที่เป็นหญิงสาววัย 31 ปี ชาวตำบลบางดี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง นั้น ไม่สามารถพบร่างได้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะระดมกำลังค้นหาต่อเนื่องกันมาหลายวัน และเป็นระยะทางยาวไกลนับสิบๆ กิโลเมตร แต่หลังจากที่มีการนิมนต์ "พ่อท่านแปลก" ไปทำพิธีบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา เพียงแค่ฮึดใจ ก็สามารถค้นพบศพของหญิงสาวเคราะห์ร้าย ในพื้นที่ตำบลโพรงจรเข้ อำเภอย่านตาขาว โดยอยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น
    ขณะที่วัตถุมงคลที่พ่อท่านได้ปลุกเสกเอาไว้หลายต่อหลายรุ่น เพื่อนำเงินมาก่อสร้างศาสนสถานต่างๆ ภายในวัดปากปรนนั้น ผู้ที่ได้ไปต่างก็มีประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์อย่างมากมาย โดยเหรียญรุ่นแรก ที่สร้างเมื่อ พ.ศ.2538 เป็นเหรียญทองแดงรมน้ำตาลรูปไข่ ต่อจากนั้น ก็ยังมีการสร้างล็อกเกตรูปพ่อท่าน รวมทั้งรูปหล่อเนื้อเซลลิก้าผสมผง หน้าตัก 5 นิ้ว รูปหล่อเนื้อทองเหลือง หน้าตัก 2 นิ้ว แหวนพิรอด สายคาดเอว และผ้ายันต์ โดยวัตถุมงคลรุ่นล่าสุดนั้น เป็นรูปเหมือนพิมพ์เตารีด เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ และเนื้อทองแดง ที่สร้างขึ้นเพื่อก่อตั้ง "มูลนิธิดุษฎีบุญ เพื่อการศึกษา" ซึ่งมีพ่อท่านเป็นประธานอุปถัมภ์
    นอกจากนั้น พ่อท่านยังได้รับการนิมนต์ไปร่วมปลุกเสก "จตุคามรามเทพ" รุ่นแรก ของ "ขุนพันธ์" หรือ "พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มือปราบผู้โด่งดัง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งยังได้เดินทางไปร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลอีกมากมาย ทั้งในภาคใต้ และทั่วทั้งประเทศ เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 100 รุ่น แต่ถึงแม้เวลานี้กระแสพระเครื่อง โดยเฉพาะ "จตุคามรามเทพ" จะเบาบางลงไปมาก แต่ที่วัดของพ่อท่านซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองตรังไปกว่า 60 กิโลเมตร กลับยังคงมีผู้คนที่เลื่อมใสศรัทธาจากทั่วทุกสารทิศเดินไปกราบนมัสการไม่เคยขาด และพ่อท่านก็ให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มอันมีไมตรีจิต ไม่ว่าผู้นั้นจะมีหน้าที่การงานหรือมีฐานะอย่างไร
    ถือเป็นอีกสุดยอดพระเกจิอาจารย์ที่น่านับถือยิ่ง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระปิดตารุ่นแรกพ่อท่านแปลกปากปรน

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    img_20251027_201831-jpg.jpg img_20251027_201856-jpg.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762263765781.jpg

    พระสมเด็จเนื้อผงหลวงพ่อพระเสริมสร้างโดยมูลนิธิศาลาพระราชศรัทธา-มูลนิธิถาวรจิตตถาวโร-วงศ์มาลัย โดยพระอาจารย์มหาถาวรหรือพระเทพวิมลญาณ (พระตาถาวร จิตฺตถาวโร) วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ เป็นผู้จัดสร้าง พิธีใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ เนื้อหามวลสารศักดิ์สิทธิ์จํานวนมาก**อีกหนึ่งพระดีพิธียิ่งใหญ่ เจตนาการจัดสร้างโปร่งใส เพื่อนํารายได้ไปสมทบทุนการก่อสร้างศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ซึ่งพระเครื่องรุ่นนี้แกะพิมพ์โดย นายช่างเกษม มงคลเจริญ
    เนื้อหามวลสารต่างๆ ที่นํามาจัดสร้างพระผงรุ่นนี้ มีดังนี้ พระผงธูปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดปทุมวนาราม วัดโสธรวนาราม วัดไร่ขิง วัดบ้านแหลม วัดป่าบ้านตาด วัดหินหมากเป้ง วัดหลวงพ่อโต(บางพลี) ศาลพระกาฬลพบุรี แผ่นอิฐประตูเมืองกบิลพัสด์ ด้านตะวันออก อันเป็นด้านที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จทรงผนวช ดินจากสถานพุทธประสูติลุมพินี ประเทศเนปาล ผงพระของขวัญหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ผงวัดระฆัง ผงปิโยมหาราช ผงตรีนิสิงเห และผงจากพระคณาจารย์สายพระกรรมฐานภาคอีสาน และภาคต่างๆ อีกมากมาย ฯลฯ จัดพิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พ.ค พ.ศ.2535 โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเป็นประธานจุดเทียนชัย และอธิษฐานจิต พระธรรมไตรโลกาจารย์(หลวงปู่รักษ์ เรวโต) วัดศรีเมือง จ.หนองคาย***ศิษย์เอกรุ่นใหญ่หลวงปู่มั่น*** เป็นประธานดับเทียนชัย พร้อมพระคณาจารย์ทั้งสายธรรมยุตและสายมหานิกายถึง 142 รูป ซึ่งเป็นพิธีใหญ่พิธีหนึ่งที่ไม่ธรรมดา
    ท่านเจ้าพระคุณพระอาจารย์ถาวร (พระอาจารย์มหาถาวร จิตฺตถาวโร) วัดปทุมวนารามฯ กรุงเทพฯ ท่านถือเป็นกําลังหลักในสายธรรมยุติ และเป็นศิษย์องค์สําคัญในสายพระอาจารย์มั่นได้รับการอบรมกรรมฐานจากครูบาอาจารย์พระกรรมฐานหลายรูป อาทิ เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , พระราชมุนี (โฮม โสภโณ) , หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น ท่านทั้งเป็นพระนักปฏิบัติและพระนักพัฒนาที่น่าเคารพกราบไหว้มาก
    หลวงพ่อพระเสริมวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ที่เกี่ยวพันกับองค์หลวงพ่อ พระใส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองชาวหนองคายมาช้านาน ตามประวัติได้กล่าวไว้ว่า จัดสร้างขึ้นพร้อม กันกับหลวงพ่อพระเสริม และหลวงพ่อพระสุก ซึ่งได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทร์ โดยลำเลียงมาทางลำน้ำโขง แต่ในระหว่างที่ล่องมา องค์พระสุกได้จมน้ำหายไปจึงเหลือพระเพียงสององค์ เท่านั้น องค์พระเสริมนั้นประดิษฐานอยู่ ณ วัดปทุมวนาราม กทม. ส่วนองค์พระใสนั้น ประดิษฐานอยู่ ณ วัดโพธิ์ชัย เป็นมิ่งขวัญปกป้องคุ้มครองพี่น้องชาวอีสานให้มีความสุขสงบ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน

    พิธีมหาพุทธาภิเษกท่านเจ้าพระคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเบิกพระเนตรพระพุทธปฏิมา และพิธีชัยมังคลาภิเษกในวันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ณ มณฑลพิธีศาลาพระราชศรัทธาวัดปทุมวนาราม โดยอาราธนาพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณทั่วประเทศ 142 รูป มาร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก อาทิเช่น
    1. หลวงปู่วิริยังค์ วัดธรรมมงคล
    2. หลวงปู่หลอด วัดสิริกมลาวาศ
    3. พระอาจารย์มหาถาวร วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
    4. หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี
    5. หลวงปู่ดี วัดพระรูป สุพรรณบุรี
    6. หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรี
    7. หลวงพ่อจำเนียร วัดดอนไร่ สุพรรณบุรี
    8. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    9. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    10. หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ สมุทรสงคราม
    11. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการม กาญจนบุรี
    12. หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์
    13. หลวงปู่เหรียญ วัดอรัญบรรพต หนองคาย
    14. หลวงปู่ศรีจันทร์ วัดเลยหลง เลย
    15. หลวงปู่คำพอง วัดพัฒนาราม อุดรธานี
    16. หลวงปู่ท่อน วัดถ้ำอภัยคีรีวัน อุดรธานี
    17. หลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิวาส ลำปาง
    18. หลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม เชียงราย
    19. หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า ระยอง
    20. หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเชอ ชลบุรี
    21. หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ระยอง เป็นต้น
    ที่มา : หนังสือมหามงคลแห่งแผ่นดิน โดย คุณอลุย์นันท์ทัต กิจไชยพร และ หนังสือ สระปทุมฯ ขอ

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลวงพ่อพระเสริมปี ๒๕๓๕

    ให้บูชา 200 ค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


    IMG_20251104_203735.jpg IMG_20251104_203756.jpg IMG_20251104_203711.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    1762264116300.jpg

    หลวงพ่อสิริ สิริวัฑฒโน พระเกจิวัดตาล-นนทบุรี

    ในยุค สมัยปัจจุบัน หากจะกล่าวถึงพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปหนึ่งแห่งจังหวัดนนทบุรี คงไม่มีใครไม่รู้จัก "หลวงพ่อสิริ สิริวัฑฒโน" แห่งวัดตาล ต.บางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

    ชื่อเสียงของท่าน เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองนนท์ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคล ที่สามารถพลิกผันสถานการณ์อันเลวร้าย ให้กลับกลายเป็นดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบัน หลวงพ่อสิริ อายุ 69 ปี พรรษาที่ 49

    อัตโนประวัติ หลวงพ่อสิริ เกิดในสกุล แก้วกาญจน์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2484 เป็นคนไทยเชื้อสายรามัญ ณ บ้านบางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นบุตรชายของนายเต๊ะ กับ นางนาค แก้วกาญจน์ บิดามีอาชีพช่างไม้ มารดามีอาชีพทำนา

    ในวัยเยาว์โยมบิดามารดาได้พาท่านมาฝากตัวเป็นลูก ศิษย์วัดคอยปรนนิบัติรับใช้พระสงฆ์ภายในวัดตาล ทำให้ท่านมีความผูกพันกับวัด ชอบศึกษาอ่านตำราทางพระพุทธศาสนาและนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม

    เมื่ออายุ ได้ 14 ปี ได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดตาล หลังจากบวชเป็นสามเณรได้เพียง 1 ปี มีเรื่องน่าประหลาด กล่าวคือ "หลวงพ่อโอภาสี" ซึ่งเป็นพระเกจิที่มีฌานสมาบัติสูงรูปหนึ่งในยุคนั้นได้ให้ลูกศิษย์พายเรือ เอาธงชาติผืนใหญ่มาฝากไว้ให้สามเณรสิริ เป็นเวลา 7 วัน ในธงชาตินั้นเขียนยันต์ล้อมรอบ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจต่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนักว่า ทำไมหลวงพ่อโอภาสีจึงให้ความสำคัญกับสามเณรสิริ ซึ่งบวชเป็นสามเณรได้เพียงแค่ 1 ปี ถึงขนาดนี้

    ครั้นเมื่ออายุค รบ 20 ปี จึงเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุโบสถ วัดตาล เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2504 โดยมีท่านเจ้าคุณพระอริยธัชเถระ วัดสวนมะม่วง จ.ปทุม ธานี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการเปลือย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดกัณหา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สิริวัฑฒโน

    ด้วยมีความสนใจ ศึกษาทางด้านพุทธาคมตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร เมื่อได้อุปสมบทแล้วท่านก็ได้กราบขอฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านเจ้าคุณพระอริย ธัชเถระ ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์สายตรงของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อสิริจึงมีโอกาสได้ศึกษาพุทธาคมสายวิชาของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า รวมทั้งศึกษาทางด้านวิปัสนากรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ อย่างลึกซึ้ง จนมีความแตกฉานในหลายด้าน

    ด้านศาสนกิจถือได้ว่าท่าน เป็นพระเกจิอาจารย์ซึ่งมากด้วยเมตตา คอยให้การอุปถัมภ์กิจกรรมของคณะสงฆ์ภายในวัดตาล และวัดวาอารามต่างๆ ที่มาขอความเมตตาจากท่าน หรือท่านพิจารณาแล้วว่ามีเจตนาดีบริสุทธิ์เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนาเห็นควร ให้การอุปถัมภ์ ท่านก็จะเมตตาช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถทุกครั้งไป

    นอกจากนี้ หลวงพ่อสิริ ยังได้นำปัจจัยส่วนหนึ่งไปพัฒนาสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับวัดตาลแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นศาลาการเปรียญ กุฏิ เป็นต้น ทำให้วัดตาล เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว รวมทั้งท่านได้พัฒนาบรรยากาศภายในบริเวณวัด โดยร่วมกันปลูกต้นไม้ในวันสำคัญตลอดปี ทำให้บริเวณวัดมีแต่ความสงบร่มเย็น เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมยิ่ง

    ทั้งนี้ วัดตาล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หมู่ที่ 1 เป็นวัดที่มีอุโบสถที่สวยงาม และเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชนในชุมชนบางตะไนย์ ในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา

    หลวงพ่อสิริ เป็นพระสุปฏิปันโน เป็นพระแท้ ที่น่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ชื่อเสียงของหลวงพ่อชาญโด่งดังมานาน เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ศิษย์ชาวปากเกร็ดและชาวเมืองนนท์ เป็นยิ่งนัก ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์และจริยวัตรของหลวงพ่อ ทำให้ท่านได้รับกิจนิมนต์ไปนั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคลในพื้นที่ภาคตะวันออกและ พิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลสำคัญทั่วประเทศ

    สำหรับวัตถุมงคลของ ท่านที่มีประสบการณ์และกล่าวขวัญกันถึงพุทธคุณ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระหลวงปู่ทวดผสมเกศาหลวงพ่อสิริ

    ให้บูชา 200 ค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251104_203503.jpg IMG_20251104_203526.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    1762265817479.jpg 1762265391547.jpg

    ประวัติหลวงปู่สรวง
    วัดไพรพัฒนา ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ

    หลวงปู่สรวงแต่เดิมเป็นชาวกัมพูชาและได้เดินทางมาอยู่บริเวณอำเภอขุนหาญและอำเภอขุขันธ์ แถบชายแดนตามเชิงเขาพนมดังรัก (พนมดองเร็ก) ซึ่งเป็นเขตกั้นกลางระหว่างประเทศกัมพูชา ท่านเป็นผู้ทรงศีลปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ และได้พักอาศัยอยู่ตามกระท่อมในไร่นาของชาวบ้านโคก และเวียนไปในที่ต่างๆ นานๆ ก็จะกลับมาให้เห็น ณ ที่เดิมอีก
    ในสายตาและความเข้าใจของชาวบ้านในสมัยนั้นมองท่านว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป และเรียกขานท่านว่า “ลูกเอ็อวเบ๊าะ” หรือ “ลูกตาเบ๊าะ” (เป็นภาษาเขมร หมายถึงพระดาบสที่เป็นผู้รักษาศีลอยู่ตามถ้ำตามป่าเขา)
    ในสมัยนั้น มีป่าเขาอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่านานาพันธุ์ มีลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เดินธุดงค์ตามป่าเขาแถบชายแดนไทย ตลอดจนถึงประเทศเขมร แต่ก็อยู่กับหลวงปู่ได้ไม่นานจำต้องกลับบ้าน เนื่องจากทนความยากลำบากไม่ไหว หลวงปู่จึงเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆโดยลำพัง ทำให้ไม่มีใครทราบถิ่นกำเนิดและอายุของหลวงปู่ที่แท้จริง รู้เพียงแต่ว่าหลวงปู่เป็นชาวเขมรต่ำ ได้เข้าอาศัยในประเทศไทยนานแล้ว คนแก่คนเฒ่าผู้สูงอายุที่เคยเห็นท่านต่างพูดว่า พอจำความได้ก็เห็นท่านอยู่ในลักษณะเหมือนที่เห็นในปัจจุบันนี้ ผิดไปจากเดิมบ้างเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งหลวงปู่เป็นคนพูดน้อยและไม่เคยเล่าประวัติส่วนตัวให้ใครฟัง จึงไม่มีใครทราบประวัติและอายุที่แท้จริงของท่านได้ ชาวบ้านแถบนี้เห็นหลวงปู่บ่อยๆ ที่ป่าบ้านตะเคียนราม วัดตะเคียนราม (อำเภอภูสิงห์) แถวบ้านลุมพุก ตำบลกันทรารมย์ อำเภอขุขันธ์ และตามหมู่บ้านอื่นๆ รอบชายแดน ท่านจะอยู่แถบนี้โดยตลอด แต่ก็จะไม่อยู่เป็นประจำในที่ใดที่หนึ่ง บางทีหายไป ๒-๓ ปีก็จะกลับมาใหม่อีกครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าหลวงปู่ไปไหน มาระยะหลังๆ นี้พบหลวงปู่เป็นประจำอยู่ในกระท่อมนาข้างต้นโพธิ์ บ้านขะยอง วัดโคกแก้ว บ้านโคกเจริญ กระท่อมนาระหว่างบ้านละลม กับบ้านจะบก กระท่อมนาบ้านรุน (อำเภอบัวเชด) และบ้านอื่นๆใกล้เคียง
    ในระยะนี้มีผู้ปวารณาเป็นลูกศิษย์อาสาขับรถให้หลวงปู่นั่งไปในสถานที่ต่างๆ ทำให้มีผู้รู้จักหลวงปู่มากขึ้นทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย แต่ละวันจะมีผู้ขับรถเข้ามากราบไหว้หลวงปู่เป็นจำนวนมาก บางคนก็สมหวังมีโอกาสได้กราบนมัสการ บางคนมาไม่พบก็ต้องนั่งรอนอนรอจนกว่าหลวงปู่จะกลับมา ถึงแม้ว่าจะพบความลำบากเพียงไรก็ยอมทนเพียงขอให้มีโอกาสกราบหลวงปู่สักครั้งหนึ่งในชีวิต
    หลวงปู่เป็นพระที่มักน้อย สันโดษ สมถะ มีอุเบกขาสูงสุด ให้ความเมตตากับผู้ที่ไปหาทุกคน ให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากันหมดไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน เป็นเศรษฐี ใครรู้จักหลวงปู่มานานขนาดไหน หรือได้ติดตามรับใช้หลวงปู่มานานก็ตาม ท่านไม่เคยเอ่ยปากนับว่าเป็นศิษย์ หรือใช้สิทธิพิเศษแก่คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะแม้แต่คนเดียว ทุกคนจะได้รับความเมตตาจากหลวงปู่เสมอมา จึงมีผู้มากราบไหว้หลวงปู่เป็นประจำ และกลับมาหาหลวงปู่อยู่เสมอ
    ความเป็นอยู่ของหลวงปู่นั้นท่านอยู่อย่างเรียบง่าย จำวัดอยู่ตามกร่ะท่อมนาเล็กๆ มีกระดานไม้ปูไม่กี่แผ่น (บางครั้งก็มีแค่ ๒-๓ แผ่น) แค่พอนอนได้ ทุกแห่งที่หลวงปู่จำวัดจะมีเสาไม้สูงปักอยู่ มีเชือกขาวขึงระหว่างกระท่อม เสาไม้หรือต้นไม้ข้างเคียงมีว่าวขนาดโตที่บุด้วยจีวรหรือกระดาษแขวนไว้เป็นสัญลักษณ์ ที่ขาดไม่ได้คือจะต้องให้ลูกศิษย์ก่อกองไฟไว้เสมอ บางครั้งลูกศิษย์เอาของถวายท่านก็จะโยนเข้ากองไฟฉะนั้น ถ้าเห็นว่ากระท่อมใดมีสิ่งของดังกล่าวก็หมายถึงว่าเป็นที่ที่หลวงปู่เคยจำวัดหรือเคยอยู่มาก่อน

    เหตุการณ์ในวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๒ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง)
    ตามปกติหลวงปู่จะมีสุขภาพแข็งแรง สามารถนั่งรถเดินทางไปไหนมาไหนได้เป็นเวลาติดต่อกันหลายวันโดยหยุดพักเพียงเล็กน้อยเท่านั้นท่านจะไม่ค่อยเจ็บป่วยหรือแสดงอาการว่าเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เป็นการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ และก็หายได้ในเร็ววัน เพิ่งจะมีอาการป่วยปรากฏไม่กี่เดือนหลังนี้ หลวงปู่มีอาการป่วยและฉันอาหารไม่ได้เป็นเวลาหลายวัน ท้ายสุดหลวงปู่ได้มาพักอยู่ที่กระท่อมนาข้างวัดป่าบ้านจะบก ในเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. อาการป่วยของหลวงปู่ก็กำเริบหนัก โดยหลวงปู่ได้บอกบรรดาศิษย์ว่าจะไปที่บ้านรุน และได้ให้นายกัณหาผู้เป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่ง ซึ่งอยู่บ้านละลมถอดเสื้อออกมาโบกพัดด้านหลังหลวงปู่
    หลังจากพัดอยู่นานพอสมควรก็ได้สั่งให้ลูกศิษย์ที่รวมกันอยู่ในกระท่อมในขณะนั้นช่วยกันงัดแผ่นกระดานปูกระท่อมที่หลวงปู่นั่งทับอยู่ออกมาหนึ่งแผ่น ทั้งๆที่ท่านเองก็ยังนั่งอยู่บนกระดานแผ่นนั้น พองัดออกมาหลวงปู่ได้พนมมือไหว้ทุกทิศ เสร็จแล้วก็ให้ศิษย์หามท่านออกมาจากกระท่อมวางบนพื้นดินด้านทิศเหนืออยู่ระหว่างกระท่อมกับต้นมะขาม โดยตัวท่านเองหันหน้าเข้ากระท่อม
    ขณะนั้น มีผู้นำน้ำดื่มบรรจุขวดมาถวายสองขวด หลวงปู่ได้เทราดตนเองจากศีรษะลงมาจนเปียกโชกไปทั้งตัว คล้ายกับเป็นการสรงน้ำครั้งสุดท้าย นายชัยผู้ขับรถให้หลวงปู่นั่งเป็นประจำได้นำรถมาเทียบใกล้ๆ แล้วช่วยกันพยุงหลวงปู่ขึ้นรถแล้วขับมุ่งตรงไปที่บ้านรุนซึ่งอยู่ในอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายสุข หรือนายดุง (คนบ้านเจ๊ก อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ) ขับรถติดตามไปเพียงคนเดียว พอถึงบ้านรุนนายชัยได้หยุดรถตรงหน้าบ้านนายน้อย เพื่อจะบอกให้นายน้อยตามไปแต่หลวงปู่ได้บอกให้นายชัยขับรถไปที่กระท่อมโดยด่วน โดยสั่งว่า “โตวกะตวม โตวกะตวม กะตวม” พอถึงกระท่อมนาก็ได้อุ้มหลวงปู่วางลงบนแคร่ที่ตั้งอยู่ในกระท่อมแล้วช่วยก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่หลวงปู่ นายสุขได้อาสาออกไปหาอาหารข้างนอกเพื่อมาถวายหลวงปู่และรับประทานกันเอง นายสุขไปที่บ้านโคกชาติ ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ ไปหานายจุก นางเล็ก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่เป็นประจำ โดยบอกให้นายจุกรีบไปบ้านรุนเพื่อให้ไปดูอาการหลวงปู่ ซึ่งมีอาการป่วยหนักกว่าปกติ ส่วนตัวเองกับสามีก็รีบขับรถตามมาทีหลัง พอมาถึงกระท่อมปรากฏว่าไม่มีรถของนายชัยจอดอยู่ พวกที่อยู่ก็ช่วยกันประกอบอาหารอย่างรีบเร่งเพื่อจะให้หลวงปู่ได้ฉัน โดยหวังว่าหากหลวงปู่ฉันแล้วก็คงจะทำให้หลวงปู่มีอาหารดีขึ้นบ้าง แต่หลวงปู่ไม่ยอมฉันเลย แม้จะพากันอ้อนวอนอย่างไรท่านก็นิ่งเฉย นายชัยที่ออกไปทำธุระข้างนอกได้กลับมาโดยขับรถตามนายน้อยที่นำของมาถวายหลวงปู่เหมือนเดิม เมื่อไม่สามารถที่จะทำให้หลวงปู่ฉันได้ ทุกคนก็พิจารณาหาวิธีการว่าจะช่วยหลวงปู่ได้อย่างไร
    ในที่สุดก็มีความเห็นว่าให้รีบแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปด (ดอกไม้ธูปเทียน) ขอขมาหลวงปู่โดยด่วนตามที่เคยกระทำมาแล้วและได้ผลมาหลายครั้ง หลวงปู่หายจากการป่วยทุกครั้งไป โดยการยืนยันของนายชัยว่าถ้าได้แต่งขันธ์ห้าขันธ์แปดขอขมาพร้อมนิมนต์แม่ชีมาร่วมสวดมนต์ให้ท่านฟังด้วยแล้วท่านก็จะหายเป็นปกติ ทุกคนเห็นชอบด้วยจึงให้นายชัยรีบไปดำเนินการโดยด่วน
    นายชัยขับรถออกไปที่บ้านขยุง เพื่อไปหาคนที่เคยแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปด เมื่อนายชัยออกไปแล้วลูกศิษย์ที่อยู่ในที่นั่น ซึ่งประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้านบ้านรุนและลูกน้องอีกหลายคน รวมทั้งเจ้าของกระท่อมนาที่หลวงปู่พักอยู่ด้วยได้ช่วยกันแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปดเฉพาะหน้าไปก่อนเพื่อเป็นการบรรเทาจนกว่านายชัยจะตามคนแต่งมาแต่งให้อีกทีหนึ่งโดยตัวนายน้อยเองได้อาสาไปหาธูปเทียนจากข้างนอก นายน้อยได้ขับรถไปประมาณ ๓๐๐ เมตรก็ไปติดหล่มไม่สามารถขับออกไปได้ ทั้งๆ ที่เป็นทางเข้าออกเป็นประจำไปมาได้สะดวกตลอดเวลา และด้วยความร้อนใจอยากจะได้ธูปเทียนมาโดยเร็ว นายน้อยได้จัดการล็อครถแล้วอุ้มลูกเดินออกไป
    ช่วงนั้นเอง นายชัยก็ได้ขับรถเข้ามาแต่ก็ผ่านเข้ามาไม่ได้เนื่องจากรถของนายน้อยจอดติดหล่มขวางไว้ จึงได้กลับรถแล้วเอาไปจอดไว้ที่บ้านนายน้อย
    ระหว่างที่กำลังคอยนายน้อยออกไปซื้อธูปเทียนนั้น บรรดาชาวบ้านบ้านรุน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านก็ได้ทยอยกันลากลับทีละคนสองคน มีชาวบ้านรุนซึ่งเป็นผู้หญิงพูดออกความเห็นว่า ถ้าจะให้ดีแล้วควรนำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลน่าจะเป็นการดีที่สุด แต่ก็กลับบ้านไปจนหมดไม่เหมือนทุกครั้งที่เขาเหล่านั้นจะอยู่กับหลวงปู่ตลอดเวลาไม่ยอมกลับกันง่ายๆ จะกลับไปก็ต่อเมื่อหลวงปู่ได้ไปที่อื่นแล้วเท่านั้น มีลูกศิษย์อยู่กับหลวงปู่ในกระท่อมแค่ ๘ คนเท่านั้น รวมทั้งเด็กที่เป็นลูกของนายจุกนางเล็กด้วย ทุกคนต่างก็หาวิธีการที่จะช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของหลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นเมื่อจับดูตามร่างกายของหลวงปู่จะเย็นจัดตลอดเวลา บางคนได้เอาหมอนไปอังไฟให้ร้อนแล้วนำมาประคบตามร่างกายของหลวงปู่ เอาผ้าชุบน้ำเช็ดนิ้วมือนิ้วเท้าหลวงปู่ ทำความสะอาดและเช็ดทั้งร่างกาย โดยย้ำว่าให้ทำความสะอาดดีที่สุด บางจุดที่เท้าของหลวงปู่ที่ลูกศิษย์เช็ดให้ไม่สะอาดพอ หลวงปู่ก็จะใช้นิ้วเกาออกอย่างแรงจนสะอาด เมื่อทำความสะอาดร่างกายพอสมควรแล้ว หลวงปู่เอ่ยออกเสียงแผ่วเบามาเป็นภาษาเขมรว่า “เนียงนาลาน” (นาง..ไหนล่ะรถ) ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบามาก ทุกคนเข้าใจว่าเนียงนั้นหมายถึงนางเล็ก จึงได้พากันอุ้มหลวงปู่ไปขึ้นรถของนายจุกนางเล็ก ผู้ที่อุ้มมีนายจุกและนายตี๋ นายสุขเป็นผู้เปิดประตูรถให้ พอนำหลวงปู่ขึ้นนั่งบนรถ ลูกศิษย์ได้ปรับเบาะเอนลงเพื่อจะให้หลวงปู่ได้เอนกายสบายขึ้น ท่านได้พยายามยื่นมือมาดึงประตูรถปิดเอง ลูกศิษย์ก็ได้ช่วยปิดให้ รถเคลื่อนออกจากกระท่อมเพื่อจะไปโรงพยาบาลบัวเชด ซึ่งใกล้ที่สุด แต่ไปได้ไม่ถึง ๕๐ เมตร อาการของหลวงปู่ก็เริ่มหนักขึ้นทุกที จนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยด้านหลังตกใจและร้องขึ้นว่า “หลวงปู่อาการหนักมากแล้ว” จึงจอดรถ ผู้ที่นั่งอยู่รถคันหลวงก็วิ่งเข้ามาดูแล้วก็บอกว่า อย่างไรก็ต้องนำหลวงปู่ไปส่งให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ รถจึงออกอีกครั้ง แต่ไม่สามารถจะไปได้ เพราะรถของนายน้อยติดหล่มขวางทางอยู่ นายจุกได้ร้องตะโกนบอกให้นายจันวิ่งไปสำรวจดูเส้นทางอื่นว่าจะนำรถออกไปทางไหนได้อีก
    เมื่อดูโดยทั่วแล้วก็เห็นว่ามีทางออกอีกเพียงทางเดียว ก็คือขับฝ่าทุ่งหญ้าออกไปหาถนน เมื่อดูสภาพทางแล้วก็ไม่น่าจะออกไปได้ แต่ก็ตัดสินใจขับออกไปและก็สามารถขับผ่านออกไปได้
    เหตุการณ์บนรถในขณะที่กำลังเลี้ยวรถเพื่อจะขับผ่านทุ่งหญ้าออกไปนั้น ได้มีอาการบางอย่างที่เป็นสัญญาณแสดงว่าหลวงปู่จะมรณภาพแน่นอนให้คนที่อยู่บนรถเห็น ต่างคนก็ร่ำไห้มองดูด้วยความอาลัยและสิ้นหวัง หลวงปู่เริ่มหายใจแผ่วลง ในที่สุดได้ทอดมือทิ้งลงข้างกายแล้วก็จากไปด้วยความสงบ อย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ก็ยังคงนำหลวงปู่มุ่งไปที่โรงพยาบาลด้วยความหวังว่าหมอจะสามารถช่วยให้หลวงปู่ฟื้นขึ้นมาได้ ระหว่างทางไปโรงพยาบาลนั้น นายสาด ชาวบ้านตาปิ่น อำเภอบัวเชด ก็ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมา นายจุกชะลอรถแล้วตะโกนบอกให้นายสาดตามไปที่โรงพยาบาลบัวเชดด่วน โดยบอกว่าอาการหลวงปู่นั้นแย่มาก ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ พอไปถึงโรงพยาบาลแพทย์และนางพยาบาลได้รีบนำหลวงปู่เข้าห้องฉุกเฉิน ทำการตรวจโดยละเอียด แล้วสรุปว่าหลวงปู่สิ้นลมไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๓-๔ ชั่วโมง แต่ลูกศิษย์ต่างก็ยืนยันว่าสิ้นลมไม่เกิน ๑๐ นาทีแน่นอน เพราะระยะทางจากบ้านรุนมาโรงพยาบาลบัวเชิดประมาณ ๑๐ กิโลเมตร และก็ได้ขับรถมาอย่างเร็วด้วย ลูกศิษย์ไม่ให้ทางโรงพยาบาลฉีดยา หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับร่างกายของหลวงปู่ทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะช่วงหลวงปู่ได้แน่นอนแล้วก็พากันนำร่างหลวงปู่กลับ
    พอมาถึงบ้านตาปิ่นก็ได้แวะจอดเอาจีวรเก่าของหลวงปู่ที่เคยให้นายสาดไว้ เพื่อนำมาครองหลวงปู่ให้อยู่สภาพที่เรียบร้อย นายสาดก็ได้นำขึ้นรถมาด้วย พอถึงบ้านรุนนายชัยและนายน้อยได้จอดรถรออยู่แล้วก็ได้แจ้งว่าหลวงปู่มรณภาพแล้ว ต่างคนต่างก็รีบขับรถออกมาโดยมุ่งหน้าไปทางบ้านละลม พอมาถึงบ้านไพรพัฒนา นายจุกได้ขับรถแวะเข้าที่วัดไพรพัฒนาเพื่อแจ้งข่าวให้หลวงปพ่อพุฒ วายาโมเจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนาได้ทราบว่าหลวงปู่ได้มรณาภาพแล้ว ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. หลวงพ่อพุฒกำลังนั่งสนทนากับพระลูกวัดอยู่ก็มีรถ ๔ คันวิ่งเข้ามาจอด มีนายสาด ตาปิ่น ซึ่งเป็นคนที่รู้จักขึ้นมาบนกุฎิแล้วบอกหลวงพ่อพุฒว่า หลวงปู่มรณภาพแล้ว หลวงพ่อพุฒอึ้งอยู่ขณะหนึ่งแล้วถามว่า มรณภาพที่ไหน นายสาดตอบว่า มรณภาพโรงพยาบาล และได้นำร่างของท่านมาพร้อมกับรถนี้แล้ว หลวงพ่อพุฒจึงลงไปที่รถแล้วเปิดประตูกราบลงบนตักหลวงปู่ แล้วเอามือจับตามร่างกาย และถามบรรดาลูกศิษย์ว่าจะดำเนินการกันต่อไปอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า จะนำศพหลวงปู่ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒบอกให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนจะตามไปทันที รถทั้งสี่คันเคลื่อนตัวออกจากวัดไพรพัฒนามุ่งหน้าไปยังบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒที่ได้เดินทางตามมาได้อธิษฐานว่า “สาธุ ถ้าหากหลวงปู่มีความประสงค์จะให้ลูกหลานได้เป็นผู้บำเพ็ญกุศล ก็ขอให้หลวงปู่ได้กลับมายังวัดด้วยเถิด” พอถึงหน้าวัดป่าบ้านโคกชาติ มีรถหลายคันจอดอยู่ ปรากฏว่าขบวนที่นำร่างหลวงปู่มาบอกว่าจะนำร่างหลวงปู่กลับมาบำเพ็ญกุศลที่วัดไพรพัฒนา หลังจากที่เดินทางกลับมาถึงวัดไพรพัฒนาแล้วหลวงพ่อได้ให้อัญเชิญร่างของหลวงปู่มาไว้ที่ศาลาพร้อมกับจุดธูปอธิษฐานว่า “หากเป็นความประสงค์ของหลวงปู่ที่จะให้ลูกหลานได้บำเพ็ญกุศลในที่นี่จริงก็ขอให้ดำเนินการไปโดยเรียบร้อย และก็ขอให้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่เดินทางมาร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วกันด้วย”
    ต่อจากนั้นก็ได้ดำเนินการบำเพ็ญกุศลให้กับหลวงปู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน นี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเหตุใดสรีระหลวงปู่สรวงจึงได้มาตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ

    จากหลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก มีศรัทธาญาติโยมรับฟังเรื่องราวของหลวงปู่สรวงในครั้งนั้นในครั้งนั้นเป็น จำนวนหลายร้อยคนเต็มศาลาพระราชศรัทธาไปหมด

    ท่านอาจารย์สมมรรคเริ่มเปิดประวัติของหลวงปู่สรวงจากคำบอกเล่าของหลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ดังนี้ว่า

    หลวงปู่สรวงเป็นชาวเขมรเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าชัยวรมัน องค์หลวงปู่สรวงท่านมีศักดิ์มีฐานันดรเป็นลูกชายคนโตครองตำแหน่งอุปราชผู้จะ ขึ้นครองราชย์สมบัติแห่งเมืองขอมคนต่อไป

    ท่านเป็นพี่ชายของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 และแน่นอนว่าถ้าท่านอยู่ตามทางโลกท่านย่อมเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

    แต่องค์หลวงปู่สรวงมีจิตใจใผ่ในทางเนกขัมมะคือออกบวชมาแต่เยาว์วัยด้วยวาสนา ที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ และไม่ปรารถนาจะอยู่ตามทางโลกอีกต่อไปทั้งเล็งเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ตามทาง โลกโดยเฉพาะการขึ้นครองราชย์สมบัตินั้นเป็นสิ่งที่มีภาระมากต้องตัดสินลง อาญา ต้องก่อกรรมทำบาปโดยใช่เหตุ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจออกบวช
    การออกบวชครั้งแรกของหลวงปู่สรวงนั้นท่านออกบวชเป็นฤาษี ท่านท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพรจนไปพบเจออาจารย์ที่เป็นมหาฤาษีผู้สำเร็จ อภิญญาสมบัติ มีอายุยืนยาวนับพันปี มีญาณสมาบัติกล้าแข็งมีฤทธิ์อภิญญาสามารถเหาะเหินเดินฟ้า เดินไต่น้ำ ดำดิน เดินทะลุภูผากอไผ่หินผาศิลาแลงที่ทึบทั้งแท่งก็เดินทะลุได้ มีตาทิพย์หูทิพย์ ล่วงรู้ในสิ่งต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์

    หลวง ปู่สรวงร่ำเรียนวิชากับองค์มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์จนสำเร็จวิชาต่าง ๆ ครบถ้วน ทรงอภิญญามีอายุยืนยาวนานไม่จำกัดกาลเวลาได้ ที่สำคัญคือองค์หลวงปู่สรวงมีอภิญญาแก่กล้าทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ต่าง ๆ หลวงปู่สรวงเมื่อสำเร็จเป็นมหาโยคีผู้มีฤทธิ์อำนาจทางจิตอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านก็เที่ยวโปรดชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
    องค์หลวงปู่สรวงท่านจะประจำอยู่ตามอโรคยาศาลาโดยอโรคยาศาลานี้เป็นปราสาทหิน ขนาดเล็กสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานพยาบาล แก่ประชาชนชาวบ้านทั้งหลาย ที่ได้รับทุกขเวทนาจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ องค์หลวงปู่สรวงท่านก็โปรดชาวบ้านด้วยเวทย์มนต์คาถา ตัวยาสมุนไพร พลังอำนาจจิต ทำให้ชาวบ้านพ้นจากทุกข์ของเจ็บไข้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
    ใน ช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที 1 ชนชาติขอมยังนับถือลัทธิพราหมณ์ บูชาเทพยดา และภูตผีเป็นสรณะ พระเจ้าแผ่นดินยอมให้สร้างปราสาทเพื่อบูชาเทพเจ้า การสร้างปราสาทต้องใช้แรงงานทั้งคนทั้งสัตว์จำนวนมากมาย นอกจากนี้การบูชาเทพเจ้าในสมัยนั้น ยังนิยมการบูชายัญ และพิธีกรรมอีกมากมาย ทัศนคติการใช้แรงงานคนในการสร้างปราสาทหินและการบูชายัญนั้นหลวงปู่สรวงไม่ เห็นด้วย เพราะเป็นการทรมานคน ทรมานสัตว์ เห็นแล้วเกิดความสังเวชใจ

    อย่างไรก็ตามหลวงปู่สรวงหรือมหาโยคีสรวงในครั้งนั้นก็ได้แต่เก็บความรู้สึก ไว้ภายใน และด้วยอำนาจฌานสมบัติที่ท่านสำเร็จสำเร็จแล้ว จึงทำให้ท่านสามารถมีชิวิตยืนยาวนับแต่รัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 จนมาถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 2,3,4,5,6และ 7
    ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี่เองความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาแบบมันตรยานกำลังก่อตัวและเจริญ อย่างสุงสุด ในช่วงต้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังนับถือลัทธิพราหมณ์ จนกระทั่งมหาโยคีสรวงได้ปลงใจว่าควรจะหันมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะเป็นศาสนาที่มีการบำเพ็ญสมณธรรมและมีหลักธรรมอันลึกซึ้ง เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับลัทธิโยคีที่ตนนับถืออยู่ แต่ดีกว่าลัทธิพราหมณ์ตรงที่ไม่เน้นการสร้างปราสาทเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีการบูชายัญ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    ดังนั้นองค์มหาโยคีสรวงจึงขอออกบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยมีพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นองค์ประธานในการบวชและเมื่อมหาโยคีสรวงกลายมาเป็นหลวงปู่สรวงแล้วท่านก็ ชักชวนให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หันมานับถือพระพุทธศาสนา
    จนกระทั่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง พระองค์ทรงนับถือในคติพระโพธิสัตว์ตามแนวมันตรยานที่นับถือองค์อวโลกิเตศวร พระองค์มีความเชื่อว่าพระองค์คือองค์อวตารของพระอวโลกิเตศวรเจ้า

    ทั้ง นี้จึงเกิดแรงบันดาลใจให้พระองค์จำหลักหน้าพระองค์เองไว้ตามปรางค์ปราสาท ต่างๆ เรียกหน้าแบบ “บายน” จัดเป็นกลุ่มๆละ 9 กลุ่มละ 72 กลุ่มละ 81 ทุกกลุ่มเมื่อเอาเลขสองตัวบวกกันจะรวมแล้วได้ 9 ทุกครั้งไปการสร้างการจำหลักพระพักตร์ของพระองค์ไปทุก ๆ ทิศเป็นไปตามคติที่ว่า องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงเป้นผู้มองสรรพสัตว์และเงี่ยหูฟังสรรพสัตว์ ทั้งหลายด้วยปรารถนาจะสงเคราะห์ช่วยเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง โดยเฉพาะทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั้นแล
    หลวงปุ่สรวงเมื่อบวชเข้ามาในบวรพระพุทธศาสนาแล้วก็เจริญกรรมฐานตามแนวทางของพระพุทธองค์จนบรรลุธรรมสูงสุด เป็น “จตุปฏิสัมภิทาญาณ” แก่กล้าในอิทธิฤทธิ์ในเดชสูงสุด ดำเนินตนตามแนวทางพระโพธิสัตว์ คือ แม้บรรลุหลุดพ้นแล้วก็ยังไม่เข้านิพพานจะยังโปรดสรรพสัตว์ผู้ยากทั้งหลาย ดูแลพระพุทธศาสนาต่อไปก่อน อีกนานเท่าไรไม่มีกำหนดแล้วแต่ความปรารถนาขององค์หลวงปู่สรวงท่านเอง
    หลวงปู่สรวงมีชีวิตอยู่อย่างไร้กาลเวลาไม่มีกำหนดเวลาถึงความสิ้นสุด ท่านชำนาญในการเข้านิโรธ เข้าสมบัติ 8 ถอดจิตชำนาญในมโนมยิทธิการแสดงฤทธิ์ทางใจ ชำนาญในกสิณอภิญญา ควบคุมบังคับธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างเด็ดขาด สามารถเนรมิตวัตถุ สามารถเรียกของจากอีกที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่งได้ สามารถชนะแรงโน้มถ่วงของโลก ชนะกาลเวลา มีความเป็นอิสระจากพันธนาการทุกชนิด ชนะกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกวัตถุทุกประการ นี่คืออภิญญาส่วนหนึ่งอันยกตัวอย่างมาน้อยนิดในองค์พระหลวงปู่สรวงมหามุนี ดาบสผู้ทรงอิทธิ์ฤทธิ์บุญฤทธิ์เหนือโลกเหนือวิลัยแห่งปถุชนคนธรรมดา

    หากจะนับอายุของหลวงปู่สรวงตั้งแต่เกิดมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน จนมาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุท่านก็นับพันปีแล้ว และหากนับช่วงระยะเวลาจากยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จนถึงปัจจุบันก็ไม่ต่ำกว่า 1,200 ปี

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จพยานาคมวลสารผสมผงกสินไฟ หลวงปู่สรวงวัดวังหิน ปี ๒๕๔๕

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251104_205523.jpg IMG_20251104_205543.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762441046683.jpg FB_IMG_1762441048934.jpg


    หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน "รุ่นวิเศษ 60" จัดสร้างขึ้นในวันครบรอบวันเกิด 60 ปี ของท่านพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุล รองสมุหราชองครักษ์ ในปี 2540 ทั้งนี้เนื่องจากตัวท่านมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้เป็นอย่างยิ่ง จึงต้องสร้าง พระเครื่องหลวงพ่อทวด เป็นวัตถุมงคล เพื่อมอบให้ญาติมิตร และผู้ที่เคารพนับถือไว้เป็นที่ระลึก และมอบให้แก่ผู้ร่วม สมทบ " กองทุน พ.ต. วิศาล คงอุทัยกุล " ซึ่งเป็นกองทุนที่บิดาของ พล.อ. วิเศษ คงอุทัยกุล ได้จัดตั้งขึ้นสำหรับเด็ก นักเรียนยากจนโรงเรียน หนองขาหย่างวิทยา อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานีด้วย
    วัตถุมงคลที่รวบรวมมาสร้างพระรุ่นนี้มี 61 รายการเช่น
    1. ผงว่านหลวงพ่อทวดฯ รุ่นกรรมการ ปี พศ 2497 วัดช้างไห้ ปัตตานี
    2. พระหลวงพ่อทวด ฯ รุ่นแรกปี พศ 2497 วัดช้างไห้ ที่แตกหักจำนวนหนึ่ง
    3. พระธาตุสิวลี ถ้ำแจง จ ยะลา
    4. ผงว่านล้วนๆ ของพระอาจารย์ นอง วัดทรายขาว
    5. พระหลวงพ่อทวดฯ รุ่นแรก ของวัดทรายขาว ปี พศ 2514 ที่แตกหัก
    6. ผงว่านวัตถุมงคลจากวัดเมืองยะลา จ ยะลา รุ่นแรกปี 2505
    7. ผงทรายที่สถูปหลวงพ่อทวดฯ วัดช้างไห้
    8. ทรายเสกของพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้
    9. เนื้อหัวว่านพระอาจารย์แสง วัดตาชี อ ยะหา จ ยะลา
    10. ดินกากยายักษ์ลำพะยา พระอาจารย์นองปลุกเสกหลายครั้ง
    11. ข้างสารดำ วัดลำพะยา จ ยะลา ( 6 ลิตร )
    12. ผงวิเศษหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี
    13. พระผงของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทราวาส ที่ทำแจกที่ จ ยะลา
    14. ว่านสาวหลง เสน่ห์จันทร์หอม เสน่ห์จันทร์เขียว เสน่ห์จันทร์ขาว ว่านม้า และว่านช้างผสมโขลง
    15. ข้าวสารดำ จาก อ พนัสนิคม ชลบุรีเป็นต้น ยังมีผงเปลือกหอย จำนวน 6 กระสอบปุ๋ยโดยนำมผงต่างๆ ทั้ง 61 ชนิด
    ดังกล่าง มาบดละเอียดผสมกันแล้วใช้น้ำยางรักเป็นตัวประสานกดเป็นพิมพ์หลวงพ่อทวดมีทั้งหมด 5 พิมพ์ด้วยกันด้งนี้
    1. พระพิมพ์กรรมการ มีประกวดทุกงาน
    2. พระพิมพ์ใหญ่
    3. พระพิมพ์จิ๋ว
    4. พระบูชาขนาด 5 นิ้ว
    5. พระบูชาขนาด 1.5 นิ้ว
    พิธีพุทธาภิเษก และพิธีกดพระพิมพ์
    เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 เวลา 06.29 น พล.อ. วิเศษ คงอุทัยกุล พร้อมด้วย พ.อ. หญิง คุณหญิง รัชนีกร คงอุทัยกุล
    ได้ไปทำพิธีขออนุญาติ หลวงพ่อทวด ณ สถูปหน้าวัดช้างไห้ จากนั้นได้ทำพิธีกดพระพิมพ์ ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร ( วัดตุยง )
    โดยท่านเจ้าคุณพระสิทธิญานมุณี ( พ่อท่านสุข สมงคโล ) วัดตุยงเป็นประธาน ได้นิมนต์พระคณาจารย์มาร่วมพิธีจำนวน 9 รูป
    1. พ่อท่านทอง พระครูพินิตนรัญญู วัดสำเภาเชย
    2. พ่อท่านแดง พระโสภณธรรมคณ วัดบูรพาราม
    3. พ่อท่านทอง พระครูวิจารณ์สารุกิจ วัดตะเคียนทอง
    4. พ่อท่านเขียว วัดอรัญญิกาวาศ
    5. พ่อท่านเมือง วัดนิกรชนาราม
    6. พ่อท่านหวิล วัดหลักเมือง
    7. พ่อท่านมุข วัดปิยาราม
    8. พ่อท่านพล วัดนาประดู่
    9. พ่อท่านจวน วัดยางแดง
    พระทั้งหมดได้เก็บไว้ในพระอุโบสถ วัดมุจลินทวาปีวิหาร ( วัดตุยง ) จนกระทั้งวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 ได้นำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก
    ที่วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังเนื่องในพิธีมหามงคลพุทธาภิเษก และพิธีชัยมงคลาภิเษก พระพุทธรูปบูชา
    และพระเครื่อง พระพุทธนวมมหาราชายุจฉับปริวัตนมงคล และ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 แล้วนำกลับ
    มาาว เป็นปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดช้างไห้ จ ปัตตานี ร่วมกับหลวงพ่อทวด รุ่น " คชสารหมื่นปี " ( ศิลปาชีพ ) รุ่นแรก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2541
    มีพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ 159 รูป ร่วมพธีปลุกเสกอฐิษฐานวัตถุมงคลโดยท่านพ่อ นอง พระครูธรรมกิจโกศล วัดทรายขระธาน
    จุดเทียนชัย เมื่อเวลา 13.09 และหลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา เป็นผู้ดับเทียนชัยเวลา 17.09 หลังจากนั้นได้นำมาเก็บไว้ในพระอุโบสถ
    วัดมุจลินทวาปีวิหารอีกครั้ง โดยท่านเจ้าคุณพระสิทธฺญานมุณี หลวงพ่อทองสุข ได้อธิษฐานจิตเพิ่มความเป็นศิริมงคลให้จน
    ถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดย่างปีที่ 60 ของ พล.อ. วิเศษ คงอุทัยกุล ที่ได้จัดสร้างขึ้นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วย
    วัตถุมวลสารต่างๆ อันเป็นมงคลยิ่ง ได้ผ่านพิธีปลุกเสกและอธิษฐานจิตด้วยพิธีการอันสมบูรณ์ถึง 3 ครั้งใน 3 พระอารามที่สำคัญ
    จึงนับได้ว่าเป็นวัตถุมงคล ที่ได้จัดสร้างขึ้นที่มีความถูกต้องสมบูรณ์ พร้อมด้วยมวลสารต่างๆ ที่นำมารวมกันเป็นส่วนผสมของเนื้อของ
    องค์พระ และมีรูปแบบที่สวยงามยิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวควรค่าแก่การบูชาอีกรุ่นหนีง
    นำเข้าพิธีปลุกเสก 3 ครั้ง คือ
    ครั้งแรกที่วัดตุยง ปัตตานี , พระทั้งหมดได้เก็บไว้ในพระอุโบสถ วัดมุจลินทวาปีวิหาร ( วัดตุยง ) จนกระทั้งวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541
    ครั้งที่2 ที่วัดพระแก้ว กรุงเทพ ,ได้นำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก
    ที่วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังเนื่องในพิธีมหามงคลพุทธาภิเษก และพิธีชัยมงคลาภิเษก พระพุทธรูปบูชา
    และพระเครื่อง พระพุทธนวมมหาราชายุจฉับปริวัตนมงคล และ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9
    ครั้งที่ 3 ที่วัดช้างไห้ ปัตตานี ,ร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดช้างไห้ จ ปัตตานี ร่วมกับหลวงพ่อทวด รุ่น " คชสารหมื่นปี " ( ศิลปาชีพ ) รุ่นแรก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2541
    มีพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ 159 รูป ร่วมพธีปลุกเสกอฐิษฐานวัตถุมงคลโดยท่านพ่อ นอง พระครูธรรมกิจโกศล วัดทรายประธาน
    พระรุ่นนี้ได้จัดสร้างขึ้นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วย วัตถุมวลสารต่างๆ อันเป็นมงคลยิ่ง ได้ผ่านพิธีปลุกเสกและอธิษฐานจิตด้วยพิธีการอันสมบูรณ์ถึง 3 ครั้งใน 3 พระอารามที่สำคัญ
    จึงนับได้ว่าเป็นวัตถุมงคล ที่ได้จัดสร้างขึ้นที่มีความถูกต้องสมบูรณ์ พร้อมด้วยมวลสารต่างๆ ที่นำมารวมกันเป็นส่วนผสมของเนื้อขององค์พระ และมีรูปแบบที่สวยงามยิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวควรค่าแก่การบูชาอีกรุ่นหนีงที่มี
    เนื้อหาเข้มข้น แก่มวลสารและอิทธิวัสดุหลายชนิด รวมทั้งผงเก่าสมเด็จบางขุนพรหมและวัดระฆังของสมเด็จโตด้วย เรียกว่าราคายังไม่แรงมาก พระสวย พิธีดี และมวลสารเพียบค๊าบบบ
    หลวงพ่อทวดซึ่งเป็นที่เคารพของชาวไทยและชาวต่างประเทศ เปี่ยมด้วยพุทธคุณ บารมีเข้ม ขลัง ควรค่าแก่การสะสม และสักการะบูชาให้ประชาชนชาวไทย มีไว้ประจำตัวคุ้มครองป้องกันภัย เพื่อความเป็นสิริมงคล แกตนเอง และครอบครัวค๊าบบบ^^
    ...เมื่อกล่าวถึงพระยอดนิยมอันดับหนึ่งของทางภาคใต้ เห็นจะได้แก่ พระเครื่องลป.ทวด ซึ่งตามประวัติ ท่านเป็นพระที่มีอายุพรรษาอยู่ในช่วงสมัยอยุธยา ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะช่วยคุ้มครอง ปัดเป่า ภัยร้ายแก่มนุษย์ และสิ่งมีชีวิต และ แม้ท่านจะถึงแก่มรณะกาลไปแล้วเมื่อประมาณ 400 กว่าปีมาแล้ว แต่สังฆบารมีของท่านหาได้หายไปไม่ แต่กลับช่วยคุ้มครองชีวิต ผู้คนที่บูชาและนับถือเคารพในองค์สมเด็จเจ้าพระโคะอย่างไม่เคยได้ขาดตกประการใดเลย ยิ่งนานวันก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่า ท่านเป็นพระของมหาชน ที่คอยช่วยคุ้มครองชาวไทย หรือแม้แต่ชาวต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ก็ยังให้ความเคารพบูชาท่าน มีเรื่องราวอภินิหารเกี่ยวกับลป.ทวด มากมายที่เกิดแก่ผู้นำพระเครื่องลป.ทวดไปสักการ หรือ ห้อยบูชา
    "นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"
    ...ขออาราธนา บารมีแห่งองค์พระโพธิสัตว์ลป.ทวด โปรดอภิบาล รักษา คุ้มครอง ช่วยเหลือ ดลใจให้ทุกท่านที่ประพฤติอยู่ในศีลธรรม มีความเคารพในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จงมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาลนานเทอญ.....
    การขอบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด : ด้วยการจุดธูป 16 ดอก บูชาวัตถุมงคลของท่านรุ่นใดก็ได้ หรือ ระลึกถึงท่าน ตั้งจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่และศรัทธา ท่อง " นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา " 16 จบ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ (ปิดรายการ)


    FB_IMG_1762441042399.jpg FB_IMG_1762441044589.jpg FB_IMG_1762441051744.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2025
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    1762448218796.jpg



    หลวงพ่อเฮ็น สิริวังโส วัดดอนทอง จ.สระบุรี

    ประวัติ หลวงพ่อเฮ็น สิริวังโส วัดดอนทอง

    "หลวงพ่อเฮ็น สิริวังโส" หรือ พระครูอรรถธรรมาทร วัดดอนทอง อ.ดอนพุด จ.สระบุรี เป็นพระเถราจารย์มีเชื้อสายเขมร ที่มีวิทยาคมแก่กล้ารูปหนึ่ง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนและคณะศิษยานุศิษย์อย่างยิ่ง

    หลวงพ่อเฮ็น อัตโนประวัติ หลวงพ่อเฮ็น เกิดในสกุล ศิริวงษ์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๕๔ ตรงกับปีกุน ที่หมู่บ้านจางคาง เมืองปาดวง กำปงธม ซึ่งเป็นเมืองชายแดนเดิมขึ้นอยู่กับสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อมาได้เสียดินแดนแถบนั้นไป โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอยู่และนางเขียว ศิริวงษ์ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาอยู่หมู่บ้านจางคาง

    เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ตรงกับ พ.ศ.๒๔๗๔ ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดพรรณราย เมืองกำพงธม มีหลวงพ่อแก้ว วัดพรรณราย เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์กุ่ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์หมั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สิริวังโส

    หลังอุปสมบท ได้ศึกษาพุทธาคมและพระธรรมวินัยและไสยาคมกับหลวงพ่อแก้ว เมื่อเรียนวิชาจนสำเร็จแล้ว ท่านได้ออกธุดงค์มายังเมืองไทย

    ระหว่างการเดินธุดงค์ตามป่าเขา ได้พบพระธุดงค์ด้วยกันหลายรูป จึงแลกเปลี่ยนวิชากัน อาทิ หลวงปู่สอน วัดเสิงสาง จ.นครราชสีมา, พระอาจารย์ต่วน วัดกล้วย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

    หลวงพ่อเฮ็น เคยปรารภว่า ได้ออกท่องธุดงค์รอนแรมตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาที่สงบวิเวกบำเพ็ญสมณธรรม และปฏิบัติวิปัสสนาระหว่างทางในป่าเขาให้ถ้ำบ้าง ขุนเขาบ้างเป็นที่พำนัก รักษาศีล และเจริญวิปัสสนา ได้พบกับความยากลำบากต่างๆ นานา พบกับภัยธรรมชาติก็อาศัยสรรพวิชาที่ได้ร่ำเรียนมากับอาจารย์สามารถปัดเป่าไปได้ ระหว่างทางพบกับความลี้ลับมหัศจรรย์มากมาย

    "สมัยเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีที่แล้ว ระหว่างชายแดนด้านประเทศเขมร มีแต่ป่าดงดิบทั้งนั้น ใครไม่แน่จริง เดินเข้าไปก็ไม่สามารถออกมาได้ กลายเป็นผีเฝ้าป่าไปเท่านั้น"

    หลวงพ่อเฮ็น เล่าว่า ในป่าดงดิบแถบนั้น การเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติ เป็นเรื่องมิใช่ง่าย นอกจากต้องมีพลังจิตกล้าแข็งแล้ว การผจญกับสัตว์ป่านานาชนิด บางครั้งต้องใช้วิชาไสยศาสตร์แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าไปด้วย

    หลวงพ่อเฮ็นท่านใช้เวลาธุดงค์ยาวนานหลายปีวนเวียนอยู่ในป่าเขา จนการปฏิบัติวิปัสสนาก้าวหน้ากล้าแข็งดีแล้ว จึงธุดงค์เข้ามาในเขตประเทศไทย ได้พบพระคณาจารย์ต่างๆ ของไทยหลายรูปที่ธุดงควัตรอยู่ในป่า ได้ศึกษาสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนกัน และธุดงค์เรื่อยเข้ามาผ่านเข้ามาทาง ทุ่งนาบ้าง บ้านคนบ้าง จนกระทั่งถึงเมืองสระบุรี ท่านเดินทางไปถึงบ้านดงตะงาว กิ่งอำเภอดอนพุด ได้พบวัดดอนทอง เห็นเป็นวัดที่มีความสงบวิเวกดี มีบ้านเรือนชาวบ้านอยู่ไม่มากนัก จากนั้นจึงได้อยู่จำพรรษาที่ "วัดดอนทอง" เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙ ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่นั่นได้เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านดอนทองมาก ด้วยมีศีลาจารวัตรงดงาม ครั้นเมื่อ หลวงพ่อแพ เจ้าอาวาสวัดดอนทอง มรณภาพ ชาวบ้านได้นิมนต์หลวงพ่อเฮ็น ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา พ.ศ.๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ "พระครูอรรถธรรมทร"

    ในชีวิตหลวงพ่อเฮ็น ได้สร้างมงคลวัตถุไว้หลายรุ่นหลายแบบ อาทิ ผ้ายันต์อุษาสวรรค์ มีพุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยม มีความเชื่อว่า เมื่อต้องการใช้ก่อนออกจากบ้าน ให้นำผ้ายันต์อุษาสวรรค์ เช็ดหน้าจากซ้ายไปขวาสามครั้ง ท่านจะมีเสน่ห์ไปตลอดทั้งวัน

    กล่าวกันว่า ผ้ายันต์อุษาสวรรค์ หลวงพ่อเฮ็นนั้น มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง โดยเฉพาะในทางเมตตามหานิยมเป็นเลิศ มีกิตติคุณกว้างไกล ท่านสร้างขึ้นตามตำรับโบราณ ด้วยพุทธาคมและพลังจิตอันกล้าแข็ง ด้วยได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อแก้ว แห่งวัดพรรณราย

    หลวงพ่อเฮ็น เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านดอนทองอย่างยิ่ง แม้กระทั่งทหารนักรบที่อาสาไปรบในสงครามเวียดนาม ต่างมาขอวัตถุมงคลจากท่าน เพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตราย

    หลวงพ่อเฮ็นมรณภาพเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ สิริอายุได้ ๘๙ ปี

    แม้วันนี้หลวงพ่อเฮ็นจะละสังขารไปนานแล้ว แต่คุณงามความดียังคงปรากฏอยู่สืบไป

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระชุด ๒ กล่อง ๕ องค์ แต่ มี ๑ กล่อง พระขาดหายไป ๑ องค์

    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251106_223229.jpg IMG_20251106_223248.jpg IMG_20251106_223211.jpg IMG_20251106_223332.jpg IMG_20251106_223306.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762677006696.jpg FB_IMG_1762676983307.jpg FB_IMG_1762676986116.jpg

    พระผงสมาธิ(ลพ.โยก) วัดจันทรังษี จ.อ่างทอง ปี ๒๕๑๔ เสกพร้อมปากน้ำรุ่น๔ (ผสมผงหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ)

    พระดีพิธีใหญ่ ปีลึก น่าเก็บมาก สร้างปี 2514 พร้อมรุ่น 4 วัดปากน้ำ ผสมผงหลวงพ่อสด วัดปากน้ำตั้งแต่รุ่น1-3 เนื้อเดียว และพิธีเดียวกัน ปลุกเสกพิธีใหญ่วัดปากน้ำ โดยมีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเป็นประธานปลุกเสก (พระผงทั้งหมดก่อนนำกลับมาอ่างทอง ได้แวะให้ หลวงปู่เทียม วัดกษัตรา จ.อยุธยาปลุกเสกเดียวอีกหนึ่งครั้ง)และหลวงปู่เทียมวัดกษัตรา เป็นพระสายเดียวกับหลวงปู่หน่ายวัดบ้านแจ้ง จ.อยุธยาที่ใครก็รู้จักกันทั้งประเทศ พิธีพุทธาภิเษก
    และได้นำเข้าร่วมปลุกเสกบรรจุวิชาธรรมกายวัดปากน้ำภาษีเจริญ อันเป็นพิธีเดียวกันกับการปลุกเสกพระผงของขวัญวัดปากน้ำรุ่น 4
    เมื่อได้รับการปลุกเสกพระเครื่องจนครบไตรมาส หรือ 1 พรรษาแล้ว จึงมีการนำพระเครื่องส่วนใหญ่มาเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติมซ้ำอีกครั้งที่วัดกษัตราธิราช เสร็จแล้วจึงนำมาที่วัดจันทรังษีเพื่อออกแจกจ่ายแก่ผู้สนใจต่อไป ในด้านประสบการณ์ของพระวัดจันทรังษี มีมากมายไม่แพ้พระเครื่องจากสำนักวัดปากน้ำเช่นกันเป็นแต่ว่ารู้จักกันในวงแคบกว่าเนื่องจากมีการแจกจ่ายกันอย่างเงียบๆ ที่วัดจันทรังษีเท่านั้น
    พระผงของขวัญ
    ด้านหน้าของพระผงของขวัญที่นายช่างจำลองแบบมาจากหลวงพ่อโยก สาเหตุที่ต้องใช้หลวงพ่อโยกเป็นต้นแบบนั้น มีที่มาตั้งแต่สมัยที่ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำฯ ได้เดินทางมาวางศิลาฤกษ์อุโบสถของวัดจันทรังษี ได้ดำริไว้ว่าหากทางวัดจะจัดสร้างพระเครื่องพระผงขึ้น ขอให้จำลองแบบจากหลวงพ่อโยก เพราะถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่วัด ศิลปะการออกแบบและพิมพ์ทรงขององค์พระจะมีความคล้ายคลึงกับพระปากน้ำรุ่น 4 เป็นอย่างมาก เนื่องจากนายช่างผู้แกะพิมพ์เป็นคนเดียวกัน

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251109_153941.jpg IMG_20251109_153959.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762677813815.jpg

    "อย่าเอาประวัติเราไปโฆษณาเลย มีอีกหลายท่านที่เก่งกว่าเรา ของเราถ้าจะดีก้อให้ดีกับตัวมันเอง"
    คำกล่าวของหลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ อ.แกลง จ.ระยอง

    ประวัติหลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ (พระครูสุนทรธรรมานุศาสก์ ) จนุทสิริ

    หลวงพ่อรวย นามเดิม ชื่อ รวย ประกอบเกื้อ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2449 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเมีย

    ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ตรงกับวันคล้ายวัดเกิดของท่าน พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) (อย่างที่เราท่านรู้จักกัน)..
    ที่มาของพระชุดเนื้อผงพิเศษ......
    หากจะกล่าวถึงเกจิภาคตะวันออก ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเช่น หลวงปู่หิน. หลวงพ่อโต. .หลวงปู่ทิม. และอีกหลายท่านที่เก่งๆๆ หนึ่งในนั้น คือ หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ จนมีซินแส ที่เคยทำนาย หลวงปู่ทิม ว่าจะได้รับความนิยมมาแล้ว ..หลวงพ่อรวยก้อเช่นกัน ..ซินแสผู้นั้นก็ได้ทำนายหลวงพ่อรวยไว้ว่าต่อไปจะมีผู้คนนิยมชมชอบเหมือนกัน.. หลวงพ่อรวยเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย แห่งภาคตะวันออก..........
    .......หลวงพ่อรวยนั้นได้เริ่ม เล่าเรียนวิชาไสย์เวส ตั้งแต่เป็นคาราวาส จนถึงตอนบวชเป็นพระ ก้อยังฝากตัวเป็นศิษย์ ขอเรียนวิชา กับเกจิดังๆๆมากมาย จนได้รับการยกย่อง จากเกจิช้ันแนวหน้า เช่น หลวงพ่อคูณ หลวงพ่อเปิ่น ครั้นร่วมงานพุทธาภิเษกพร้อมกัน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่ไว้ให้หนูครับ

    .....26 มิถุนายน 2449-2568 ขอร่วมน้อมรำลึกในวาระครบรอบ 119 ปีชาตกาลพระครูสุนทรธรรมานุศาสก์ หรือหลวงพ่อรวย จันทสิริ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าเรือ ต.แกลง จ.ระยอง.....พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่ชาวเมืองระยอง และพุทธศาสนิกชนให้ความเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2471 ณ พัทธสีมาอุโบสถวัดเขาดิน (วัดเก่า) โดยมีพระครูสุนทรสมานคุณ (หลวงพ่อแอ่ว) เจ้าคณะจังหวัดระยอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้นามฉายาว่า “จันทสิริ” ปี 2487 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าเรือ ซึ่งในขณะนั้นโยมมารดาได้ถึงแก่กรรมลง เมื่อหลวงพ่อจัดการงานศพมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ปรารภกับญาติโยมว่า “จะขอครองเพศบรรพชิตไปจนตลอดชีวิต” จากนั้นได้ฝึกฝนเจริญสมาธิถือศีลภาวนา ปฏิบัติธรรมสมาธิเก่งกล้า อีกทั้งยังได้จัดสร้างเหรียญ ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลังต่างๆ จนเป็นที่เลื่องลือในความเข้มขลัง มากด้วยพุทธคุณ กล่าวได้ว่าท่านเป็นพระเกจิอันดับต้นๆ ในยุคของหลวงปู่คร่ำ แห่งวัดวังหว้า, หลวงปู่บุญ แห่งวัดบ้านนา ฯลฯ สมัยนั้นถ้าเอ่ยชื่อหลวงพ่อรวย ต้องบอกว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักท่าน ฯ....ด้านวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังก็มีอาทิ พระบูชา พระกริ่ง-พระชัย พระรูปหล่อ พระนาคปรก พระปิดตา พระสังกัจจายน์ พระเนื้อผง พระเนื้อโลหะ พระสมเด็จ ล็อกเกต รูปถ่าย แหนบ ผ้ายันต์ และเหรียญออกตามวาระรุ่นต่างๆ ทุกรุ่นล้วนเป็นที่เลื่องลือในความเข้มขลังมากด้วยพุทธคุณทั้งโชคลาภ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย ปัจจุบันบางรุ่นบางพิมพ์ก็ยังหาบูชาได้เช่นกัน ฯ หลวงพ่อรวย มรณภาพอย่างสงบเมื่อวันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2536 สิริอายุ 87 ปี 65 พรรษา ท่ามกลางความเศร้าโศกของบรรดาศิษยานุศิษย์ แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในคุณงามความดีของท่านไม่เคยจางหายไปจากจิตใจของชาวบ้าน ปัจจุบันสรีระหลวงพ่อรวย บรรจุอยู่ในโลงไม้สักตั้งประดิษฐานที่ศาลาวิหารวัดท่าเรือ ให้ประชาชนพุทธบริษัทผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป ได้มากราบสักการะขอพรพร้อมปิดทองรูปหล่อหลวงพ่อรวย ขนาดเท่าองค์จริง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต คงเหลือไว้แต่เพียงคุณธรรมความดีงาม ตลอดจนความศักดิ์สิทธิ์ในวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ของหลวงพ่อให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ และศรัทธาญาติโยมชาวบ้านทั้งหลายสืบต่อไป.
    ***ขอขอบพระคุณบทความดีๆจากอาจารย์ฑีฆายุ คงอ่อน ผู้อำนวยการนิตยสารร่มโพธิ์มากๆครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หากจะกล่าวถึงเกจิภาคตะวันออก ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเช่น หลวงปู่หิน. หลวงพ่อโต. .หลวงปู่ทิม. และอีกหลายท่านที่เก่งๆๆ หนึ่งในนั้น คือ หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ จนมีซินแส ที่เคยทำนาย หลวงปู่ทิม ว่าจะได้รับความนิยมมาแล้ว ..หลวงพ่อรวยก้อเช่นกัน ..ซินแสผู้นั้นก็ได้ทำนายหลวงพ่อรวยไว้ว่าต่อไปจะมีผู้คนนิยมชมชอบเหมือนกัน.. หลวงพ่อรวยเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย แห่งภาคตะวันออก

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงสมเด็จหลวงพ่อรวยวัดท่าเรือ ปี ๒๕๓๕

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    ปิดรายการ

    IMG_20251109_154757.jpg IMG_20251109_154818.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2025
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762681107989.jpg

    พระผงรูปเหมือน หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล รุ่น พิเศษ 72 ปี 2535 ผสมเกศา ชัดเจน

    หลวงพ่อวิริยังค์ ท่านเป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น เป็นพระรุ่นเดียวกับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่หลอด หลวงตามหาบัว เป็นต้น หลวงพ่อวิริยังค์ ปัจจุบันได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระธรรมมงคลญาณ จึงนับเป็นศิษย์สายตรงรุ่นสุดท้ายของหลวงปู่มั่นที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นหลักชัยของพระกรรมฐานสายพระป่าในเมืองหลวงที่เหลืออยู่ ซึ่งได้พยายามถ่ายทอดสอนธรรมะและกรรมฐานให้กับประชาชนทั่วไปทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับหลวงพ่อวิริยังค์ แม้ว่าท่านมีลูกศิษย์นับถือเยอะ แต่หลวงพ่อก็ไม่ค่อยจะเน้นสร้างวัตถุมงคลมากนัก ถ้าจะสร้างก็เฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เมื่อท่านสร้างวัตถุมงคลก็ต้องทำโดยวัดเป็นผู้จัดสร้าง จะไม่มีเรื่องพุทธพาณิชย์มาเกี่ยวข้อง พระของท่านทุกรุ่นมีเจตนาการสร้างดี นอกจากท่านจะปลุกเสกเดี่ยวแล้ว ยังได้เชิญพระเกจิสายกรรมฐานมาร่วมปลุกเสกอีกมากมายในแต่ละครั้ง หลวงพ่อวิริยังค์ ท่านเป็นพระที่มีบารมีสูงมากๆ สามารถสร้างถาวรวัตถุต่างๆที่มีมูลค่านับร้อยนับพันล้านได้ภายในไม่กี่ปี

    สมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร)ปรารภว่า พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นของวิเศษนับว่าเป็นแก้วรัตนมงคลของโลก เมื่อประพฤติตามแล้วก็สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างเป็นระเบียบและมีความสุข เมื่อถึงขั้นอริยมรรค เขาทั้งหลายก็จะพ้นจากทุกข์ถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด หลวงพ่อประสงค์ให้พระพุทธศาสนานี้มีความยั่งยืนให้ยาวนานที่สุด มิใช่เพียงพัน ๆ ปี แต่ขอให้เป็นแสน ล้านปี การสร้างพระพุทธรูปที่เป็นองค์แทนองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เป็นรูปธรรมแต่ก็มีความสำคัญเพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงเป็นสื่อที่จะนำบุคคลผู้มีความเชื่อ ความเลื่อมใสให้เข้าไปถึงนามธรรม พระพุทธรูปจะต้องมีค่าสูงและน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพื่อจะเป็นศูนย์รวมของคนทั่วโลกต่อไปในอนาคต โดยคิดถึงวัตถุที่มีความคงทนและมีค่าสูงให้สมกับพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นของดีของวิเศษ นับว่าเป็นแก้วรัตนมงคลของโลก วัตถุเช่นทองเหลือง ทองแดง อิฐ ปูน ทราย วัตถุเหล่านี้จะเสื่อมสลายไปตามอายุของมันในเวลาอันไม่นานนัก ท่านจึงมีความคิดว่า หยกเขียว เป็นวัตถุอันหนึ่งที่มีอายุยิ่งยืนนานเท่าไหร่ยิ่งมีค่าสูงและวัตถุนั้นมีอายุนานนับแสนนับล้าน ๆ ปีไม่มีการเสื่อมสภาพ เพื่อให้เป็นสิ่งที่สูงค่ายิ่งขึ้นก็ต้องเป็นหยกเขียวบริสุทธิ์ที่มีก้อนใหญ่ที่สุดในโลก
    หลวงพ่อได้ใช้ความพยายามแสวงหาหินหยกอย่างเต็มที่ มาในภายหลังหลวงพ่อได้ทราบข่าวว่าที่ประเทศแคนนาดามีบริษัททำเหมืองหยก ท่านจึงได้เดินทางไปยังประเทศแคนาดาในปี พ.ศ. 2530 เพื่อไปสืบหาหยกเขียวมาแกะสลักให้ได้ แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วก็ยังไม่พบหยกตามต้องการ ท่านจึงเข้าพบเจ้าของบริษัททำเหมืองหยก ขอสั่งจองก้อนหยกขนาดใหญ่ไว้ หากขุดได้ท่านจะซื้อกลับมาเมืองไทย เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่มีข่าวดีสักทีเพราะแม้ทางเหมืองจะขุดพบหยกเขียว และนำขึ้นมาได้ก็ยังไม่ได้ขนาดตามที่หลวงพ่อต้องการ

    กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปี ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2534 ช่วงเวลา 03.00 น. ในขณะที่หลวงพ่อนั่งสมาธิก็ปรากฏเป็นนิมิตเห็นหยกสีเขียวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้เกิดขึ้นแล้ว หลังจากท่านได้นิมิตแล้วก็เกิดความเชื่อมั่นว่าก้อนหยกที่ต้องการนั้นใกล้จะเป็นจริงแล้ว ท่านจึงเดินทางไปยังประเทศแคนาดาอีกครั้ง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนผสมเกศา
    (เกศาพระอรหันต์)

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251109_164255.jpg IMG_20251109_164323.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    1762683643732.jpg
    หลวงปู่เส่ง พระครูโศภณกัลยาณวัตร
    หลวงปู่เส่ง พระครูโศภณกัลยาณวัตร เส่ง โสภโณ หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร เกจิ พระเกจิหลวงพ่อเส่ง
    พระครูโศภณกัลยาณวัตร(เส่ง โสภโณ) วัดกัลยาณมิตร วรวิหาร หลวงปู่เส่ง เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิ.ย. 2434 ที่บ้านย่านปากคลองตลาด เขตพระนคร กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายเพี้ยน และนางแดง นามสกุล เปี๊ยนสู่ลาภ มีพี่น้องร่วมท้องเดียว กัน 3 คน โดยหลวงปู่เส่งท่านเป็นบุตรคนโต
    หลวงปู่เส่ง โสภโณ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เจ้าพิธีตำรับน้ำมนต์บัวลอย
    วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พระอารามหลวงชื่อดังแห่งฝั่งธนบุรี ไม่เพียงเลื่องลือระบือไกลด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของ "พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต" (ซำปอกง) ซึ่งมากด้วยอภินิหารเท่านั้น ทว่า อดีตเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ ล้วนมากมีไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสายวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมที่สูงส่ง หนึ่งในนั้นก็คือ "พระสุนทรสมาจาร" (พรหม อินทโชติ) หรือ "เจ้าคุณพรหม" พระเกจิอาจารย์ที่เก่งทางวิชาอาคมขลัง เจ้าของพระปรกใบมะขามอันลือลั่นสนั่นกรุง
    ท่านมีศิษย์เอกองค์สำคัญ ที่สร้างชื่อเสียงและความเจริญให้แก่วัดกัลยาณ์อย่างมากคือ "พระครูโศภณกัลยาณวัตร" หรือสมญานามที่บรรดาศิษย์กล่าวขานถึงด้วยความเคารพว่า "หลวงปู่เส่ง โสภโณ"
    แม้ท่านจะอยู่ในฐานะพระลูกวัด แต่มีผู้คนให้ความเคารพศรัทธามากมาย เนื่องจากต่างเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดจากเจ้าคุณพรหม อีกทั้งเลื่อมใสในความเป็นพระผู้มากด้วยเมตตาบารมีโดยแท้ ท่านมรณภาพไปเมื่อวันที่ ๑๔ ม.ค.๒๕๒๖ สิริอายุได้ ๙๒ ปี ๗ เดือน ๔ วัน นับพรรษาได้ ๗๒ พรรษา รวมเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในคุณงามความดีของท่านไม่เคยจางหายไปจากจิตใจของชาว บ้าน
    "หลวงปู่เส่ง" เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ มิ.ย. ๒๔๓๔ที่บ้านย่านปากคลองตลาด เขตพระนคร กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายเพี้ยน และนางแดง นามสกุล "เปี๊ยนสู่ลาภ" มีพี่น้องร่วมท้องเดียว กัน ๓ คน ท่านเป็นคนโต สมัยที่ยังเยาว์วัย วัดกัลยาณมิตรซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปากคลองตลาด มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งมีบารมีทางธรรมสูงและมีความเชี่ยวชาญทาง ด้านพระวิปัสสนาธุระ-วิทยาคมคือ "พระสุนทรสมาจาร" (พรหม) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพินิตวิหารการ
    กิตติคุณทางไสยศาสตร์ของ ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชนจำนวนมาก จึงต่างพากันมาขอของดีและฝากตัวเป็นศิษย์ มีทั้งระดับชาวบ้านธรรมดาและชาววัง อาทิ พระยาศิริชัยบุรินทร์, พระยาสิงหเสนีย์, พระยาสุรเทพศักดิ์, พระยามนตรีสุริยวงศ์ และขุนหลวงพระยาไกรสีห์ (เปล่ง เวภาระ) เป็นต้น
    โยมบิดามารดาของหลวง ปู่เส่ง ก็เป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่พากันมาฝากตัวเป็นสานุศิษย์ในท่านเจ้าคุณพระสุนทร สมาจาร (พรหม) ทำให้ท่านได้ติดสอยห้อยตามเข้าวัดอยู่บ่อยครั้ง อาศัยที่ท่านมีใจฝักใฝ่ในทางธรรม-รักความสงบชอบความสันโดษ จึงเกิดความพอใจความสงบวิเวกภายในบริเวณวัด โดยมีคำบอกเล่าต่อๆ มาว่า ท่านมักจะหนีออกจากบ้านข้ามฟากมาวัดกัลยาณ์บ่อยๆ เพื่อหนีสภาพความสับสนวุ่นวายในย่านปากคลองตลาด
    บางครั้งก็แอบไป นั่งสมาธิทำความสงบในป่าช้าคนเดียว ซึ่งป่าช้านั้นติดอยู่กับด้านหลังของคณะ ๔ อันเป็นที่พำนักของท่านเจ้าคุณพระสุนทรสมาจาร (พรหม)
    ในขณะนั้น บิดามารดาเห็นว่าท่านไม่มีอุปนิสัยไปในทางค้าขาย ใฝ่ใจไปในทางธรรม จึงนำบุตรชายไปมอบถวายตัวเป็นสานุศิษย์ของเจ้าคุณพรหม
    กระทั่ง อายุ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๑ ปี ตรงกับปีพ.ศ. ๒๔๕๕ ณ วัดกัลยาณมิตร โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์ ธัมมสิริ) วัดอรุณราช วราราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมเทศา จารย์ (มุ้ย ธัมมปาโล) วัดราชโอรสาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสุนทรสมาจาร (พรหม) วัดกัลยาณมิตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า "โสภโณ"
    สำหรับตำแหน่ง สมณศักดิ์ เดิมได้รับตำแหน่งเป็นพระฐานานุกรมในท่านเจ้าคุณพระสุนทรสมาจาร (พรหม) เป็นพระปลัด ปีพ.ศ.๒๔๙๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท (จปร.) ที่ "พระครูโศภณกัลยาณวัตร" และอยู่ในสมณศักดิ์เดิมตราบจนสิ้นอายุขัย
    ตลอดระยะเวลาที่ดำรง ตำแหน่งพระปลัดนั้น หลวงปู่เส่งได้มีส่วนช่วยท่านเจ้าคุณพรหม ในด้านการพัฒนาต่างๆ เพราะพระอาจารย์ของท่านนอกจากจะเป็นพระเถระที่ทรงคุณธรรมในด้านพระวิปัสสนา ธุระและวิทยาคม ยังเป็นพระนักพัฒนารูปสำคัญอีกด้วย
    สิ่งที่ "ท่านเจ้าคุณพรหม" สร้างสรรค์ไว้และได้กลายมาเป็นอนุสรณ์อันสำคัญยิ่งก็คือ การที่จัดหล่อระฆังใบใหญ่เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งต่อมาปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรได้จารึกไว้ว่า "เป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"
    ภายหลังจากที่ท่านเจ้าคุณพรหมมรณภาพปี พ.ศ.๒๔๗๖ "หลวงปู่เส่ง" ได้รับภาระการสร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๑ ม.ค.๒๔๗๘ ทำพิธีนำระฆังไปประดิษฐานและฉลองเมื่อวันที่ ๑ ก.พ. ๒๔๗๘ โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เสด็จเป็นประธาน
    เนื่องจากท่านใช้เวลาส่วนมากในการช่วยงานพระอาจารย์พัฒนาวัด จึงไม่มีเวลาไปศึกษาทางด้านปริยัติธรรมอย่างจริงจัง ต้องอาศัยเวลาในยามว่างเล่าเรียนธรรมและวิทยาคมจากท่านเจ้าคุณพรหม แต่เป็นการเรียนเพื่อรู้ ไม่ได้เข้าสอบไล่ในสนามหลวงเอาใบประกาศวุฒิบัตร จึงเป็นไปในลักษณะเรียนรู้หลักธรรมเล่านั้น เพื่อที่จะได้นำมาปฏิบัติได้ถูกต้องตามขั้นตอนของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ ปริยัติ-ปฏิบัติ-และปฏิเวธ
    ส่วนทางด้านวิปัสสนาธุระและวิทยาคมนั้น เข้าใจว่าท่านเจ้าคุณพรหมคงจะถ่ายทอดให้หมด เพราะท่านเป็นสานุศิษย์เพียงรูปเดียว ที่อยู่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดตลอดมา แต่เนื่องด้วย อุปนิสัยที่สุขุมนุ่มนวลของท่าน ไม่ชอบโอ้อวด ไม่ค่อยแสดงออก จึงไม่เป็นที่เปิดเผยเท่าไรนัก
    ทั้งนี้ ปฏิปทาของหลวงปู่เส่งจะหนักไปในทาง "เมตตาธรรม" เป็นหลักใหญ่ ดังจะเห็นได้จากการที่ใครมีทุกข์เดือดร้อน เมื่อบากหน้ามาหา ท่านก็ไม่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือกับใครเลย ถ้าขอเป็นเงินท่านก็ให้เป็นเงินสงเคราะห์ไป ถ้าขอเป็นสิ่งของท่านก็ให้เป็นสิ่งของ บางรายที่ได้ทราบว่าท่านคือศิษย์ก้นกุฏิของท่านเจ้าคุณพรหม ผู้เรืองวิทยาคม ก็จะพากันมาขอรับน้ำมนต์-น้ำพร ท่านก็ไม่เคยขัดศรัทธา ฉลองศรัทธาทำให้ทุกๆ รายไป
    นานวันเข้า คำร่ำลือในความศักดิ์สิทธิ์จากน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงปู่เส่งปลุกเสกก็แผ่ออกไปในวงกว้างมากขึ้นทุกที จึงมีมหาชนเป็นจำนวนมากแห่กันมาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็น ถึงยามวิกาล ทำให้ท่านเป็นพระเถระที่ทรงวิทยาคมขลังไปในทางปลุกเสก น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย ปล่อยเคราะห์ไปโดยเหตุดังที่กล่าวมา
    สาเหตุที่เรียก "น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย" ปล่อยเคราะห์ ก็เพราะว่าผู้ที่ต้องการน้ำมนต์-น้ำพรจากหลวงปู่เส่งจะต้องนำดอกบัวขาว ๓ดอกเทียนขาว ๑ เล่ม มาให้หลวงปู่เส่งท่านทำพิธีปลุกเสกให้ที่บาตรน้ำมนต์ แล้วท่านจะรด "น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย" นั้นให้ เสร็จแล้วท่านก็จะให้ดอกบัวขาว ๒ ดอกนั้น แก่ผู้ที่นำมา นำดอกบัวขาวที่หักก้านออกแล้ว ๑ ดอกไปลอยลงในแม่พระคงคาเพื่อปล่อยเคราะห์เป็นอันเสร็จพิธี
    สำหรับวิทยาคมด้านอื่นๆ เนื่องจากท่านเป็นพระสมถะที่ไม่ค่อยแสดงออก จึงมักปรากฏผลและทราบก็แต่เฉพาะผู้ที่ท่านสงเคราะห์ไปให้เป็นรายๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ท่านได้ใช้เวลาว่างทำผ้ายันต์แจกศิษย์ โดยเขียนลงบนผืนผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสจารอักขระขอมและยันต์ต่างๆ ด้วยมือของท่านเองทุกๆ ผืน
    ส่วนวัตถุมงคลที่ท่านสร้างแจกแก่บรรดาศิษย์ทั่วไปในวาระต่างๆ มีพระสมเด็จ ปางสมาธิเนื้อผง พิมพ์ทรงฐาน ๕ชั้น, พระหลวงพ่อโตปางมารวิชัย เนื้อดินเผา พระนาคปรกเมล็ดข้าวเม่าหรือใบมะขามเนื้อทอง แดง-ทองเหลือง, พระเกศทองคำปางสมาธิ เนื้อเมฆพัด พระพิมพ์ขุนแผนปางมารวิชัย เนื้อผง และผ้ายันต์รูปสี่เหลี่ยม กว้างและยาวด้านละ ๙ นิ้ว เหรียญรูปเหมือน มีรูปแบบและขนาดแตกต่างกันไป เช่น เหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดง, เนื้อทองแดงชุบนิกเกิล, เหรียญรูปใบเสมาเนื้อทองแดง, เหรียญรูปอาร์มเนื้อทองแดง เงิน และทองคำ (ฉลองอายุ ๘๐ ปี) เหรียญรูปไข่ (เหรียญ ๒หน้า) เนื้อทองแดงรมดำ ลักษณะคล้ายเหรียญเจ้าคุณพรหม
    วัตถุมงคลของ "หลวงปู่เส่ง โสภโณ" วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ เล่าขานกันว่า ทรงคุณวิเศษทางเมตตามหานิยม ค้าขาย แคล้วคลาดจากสรรพภัยทั้งปวง และเป็นที่หวงแหน-เสาะหาในหมู่ลูกศิษย์อยู่เสมอ
    เครดิตอ้างอิงข้อมูล itti-patihan.com
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนเนื้อผงน้ำมันหลวงปู่เส่ง
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    IMG_20251109_170440.jpg IMG_20251109_170506.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762685125923.jpg

    ลูกอมที่ กันผีพรายน้ำได้

    หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ อยุธยา ท่านเคยกล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า มีพระอาจารย์ที่ท่านสัมผัสได้ว่าเก่งจริง ของจริง อยู่ 4 รูป

    1.หลวงพ่อจุ้ย วัดพงษาราม จ.ฉะเชิงเทรา
    2.หลวงพ่อเม็ด วัดบึงกระจับ จ.ฉะเชิงเทรา
    3.หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค จ.ชัยนาท
    4.หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน จ.ปราจีนบุรี

    สำหรับ 2 องค์แรก ท่านน่าจะรู้จักสนิทสนม คงเป็นช่วงที่ท่านได้หลบไปจำพรรษาอยู่ที่ฉะเชิงเทรา ในช่วงปี 2507-08 (ช่วงนั้นทางการขอให้หลวงพ่อเลิกสัก เพราะพวกที่สักไปเป็นโจรแล้วจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน)

    พระครูวิชัยบุญสาร นามเดิม บุญมี (เม็ด) นามสกุล จันทรสุวรรณ์ เกิดวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๔๙ ที่บ้านบึงกระจับ หมู่ที่ ๑๐๐ตำบลหนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา บิดาชื่อ เฉย มารดาชื่อ ชม นามสกุล จันทรสุวรรณ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม ๔ คนคือ ๑ นางเหลี่ยม ทัพมงคล ๒. นายล้วน จันทรสุวรรณ์ ๓. พระครูวิชัยบุญสาร (บุญมี หรือ เม็ด) ๔ นายหนู จันทรสุวรรณ์ ในวัยเด็กหลวงพ่อได้ศึกษาหาความรู้จนอ่านออกเขียนได้ เมื่ออายุครบเกณฑ์ได้เข้าอุปสมบท ที่วัดบึงกระจับในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๖๙ พระสมุห์ก้อย วัดมหาเจดีย์ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วได้เริ่มการทำวัติปฏิบัติ ฝึกการเจริญสมาธิ ใช้จิตภาวนาและเรียนวิปัสสนากัมมัฎฐานได้ออกธุดงค์วัตรเพื่อเสาะแสวงหาอาจารย์และสถานที่อันสงบวิเวก
    จวบจนกระทั่งปี ๒๔๘๐ ได้รับอาราธนาให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบึงกระจับ ซึ่งขณะนั้นจัดได้ว่าวัดกำลังอยู่ในช่วงต้องการผู้ดูแล เนื่องจากทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก เมื่อท่านได้เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแล้ว ได้สร้างผลงานเอาไว้เป็นอันมาก
    เป็นพระดังแบบเงียบๆไม่มีนักเล่นพระมาเชียร์ เพราะวัตถุมงคลของท่านสร้างน้อยมีไม่กี่สิบรุ่น ไม่มีนายทุนที่เป็นพุทธพาณิชย์มาจัดสร้างพระของท่าน หลวงพ่อเม็ด หรือ หลวงพ่อบุญมี ถ้าท่านเป็นพระไม่ดีจริง เชื่อว่า หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร คงไม่ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านแน่ โดยเฉพาะหลวงพ่อจำเนียร ไปที่วัดนี้บ่อยมากเพื่อขอเรียนวิชา ในสมัยที่ท่านมีชีวิต หลวงพ่อเม็ด ก็มักจะได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมปลุกเสกพระเครื่องตามวัดต่างๆโดยเฉพาะในเขตตะวันออก เช่น พิธีปลุกเสกพระกริ่งพุทธวิชิตมาก ของวัดท่าเกวียน ปี ๒๕๑๔ พิธีปลุกเสกเหรียญนวมหาราชปี๒๕๓๐ เป็นต้น

    สำหรับวิชาลูกอมนี้ นอกจากจะมีพุทธคุณทางคงกระพันแคล้วคลาดกันเขี้ยวงาแล้ว อาถรรพ์ในป่าลึกหรือสถานที่มีวิญญาณมาก ยัง กันพรายน้ำ และ กันสิ่งแปลกปลอมอาถรรพ์ที่ปะปนมากับสายน้ำด้วยการทำวิชาทำคุณไม่ได้ทำกันมาตามอากาศทางเดียว ใครที่ว่าแน่ๆเสร็จทางน้ำกับพวกพรายและวิชาที่ทำมาทางน้ำทั้งนั้น เพราะเมื่อหมดสติก็จมน้ำ ขาดอากาศหายใจน้ำแค่คืบก็ตาย

    เรื่องพรายน้ำหลวงพ่อเม็ดดังมาก มีหนังสือพระรายเดือนหลายปีก่อนเขียนประวัติท่านไว้ด้วย ว่าท่านสามารถจับ พรายน้ำ ขึ้นมาได้ โดยนำสายสิญจน์มีดินเหนียวเป็นลูกตุ้มหย่อนลงน้ำ ท่านอยู่บนแพแล้วลากแพไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายสิญจน์ มีอาการเหมือนปลาติดเบ็ด เมื่อดึงขึ้นมาปรากฏ มีสิ่งมีชีวิตตัวใสเหมือนแมงกะพรุน หน้าตาเหมือนเด็กเหี่ยวๆมีฟันแหลม ดิ้นไปมาปรากฏพ่อเด็กที่ถูกพรายน้ำตัวนั้นเล่นงานตรงเข้ามากระทืบเละคาเท้าเลย อาการเมื่อโดนพรายน้ำทำร้ายคือ ขาจะชาไม่มีแรงจมน้ำเข้าใจว่าพรายน้ำพวกนี้จะดูดเลือดเป็นอาหาร เพราะใครจมน้ำเสียชีวิตถ้าไม่นานตัวจะไม่ซีดมาก แต่ถ้าโดนพรายน้ำเล่นงานว่ากันว่าเลือดไม่รู้ไปไหนหมดไม่มีเอาเสียเลย ตัวจะซีดและเขียวมากทั้งที่จมน้ำไปไม่เกิน ช.ม. (ใช้วิจารณญาณในการอ่าน) สาเหตุที่ท่านเชี่ยวชาญวิชานี้เป็นพิเศษ เพราะหลังวัดท่านเป็นบึงชื่อ บึงกระจับ

    วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ตรงกับวันขึ้น ๗ ค่ำเวลา ๒๒.๒๐ น. ท่านได้มรณะภาพลง สิริอายุรวมได้ ๘๗ ปี พรรษานับได้ ๖๗
    ที่มา : ศรัทธา หลวงพ่อเม็ด (บุญมี) วัดบึงกระจับ / g-pra.com
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ลูกอมหลวงพ่อเม็ดวัดบึงกระจับ

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)

    IMG_20251109_175053.jpg IMG_20251109_175118.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2025 at 16:47
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762696037719.jpg FB_IMG_1762696040265.jpg FB_IMG_1762696042945.jpg FB_IMG_1762696045988.jpg FB_IMG_1762696051786.jpg FB_IMG_1762696054655.jpg FB_IMG_1762696057307.jpg FB_IMG_1762696062009.jpg FB_IMG_1762696064887.jpg


    วัตถุมงคลที่พระเกจิอาจารย์ปลุกเสกเดี่ยวถึง ๑๐ รูป

    พระสมเด็จชินบัญชร รุ่นประวัติศาสตร์ฯ ปี 2535 สมเด็จที่ระลึก 60 พรรษา สมเด็จพระบรมราชนีนาถจัดสร้างโดยมูลนิธิธรรมชีวินวัดอรุณราชวราราม มวลสามากมาย อาทิ ผงวัดระฆัง ผงวัดวัดบางขุนพรหม ผงวัดเกศไชโย ผงวัดสะตือ ผงวัดไก่จ้น ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ ผงธรรมคุณ ผงสังฆคุณ ผงมาตาปิตุปัจฐานมงคล เกษรดอกไม้จากพระอุโบสถ 108 วัด เช่น วัดพระแก้ว วัดโสธร วัดบ้านแหลม วัดพระธาตุพนม วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอกกาหลง ดอกกุหลาบแดง ดอกรักขาว ดอกกุหลาบขาว ดิน 7 ป่า ตะใคร่เสมา ฯลฯ
    เริ่มพิธีพุทธาภิเษกตลอด ปี 2534 ดังนี้

    ครั้งที่ 1 วันที่ 9 ม.ค.2534 หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 2 วันที่ 9 ก.พ.2534 หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จังหวัดนครปฐม ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 3 วันที่ 9 ม.ค.2534 หลวงพ่อเกษม สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 4 วันที่ 9 เม.ย.2534 หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จังหวัดสิงห์บุรี ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 5 วันที่ 9 พ.ค.2534 หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 6 วันที่ 9 มิ.ย.2534 หลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง จังหวัดเชียงใหม่ ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 7 วันที่ 9 ก.ค.2534 หลวงปู่ทองมา วัดสว่างท่าสี จังหวัดร้อยเอ็ด ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 8 วันที่ 9 ส.ค.2534 หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสูข จังหวัดสิงห์บุรี ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 9 วันที่ 9 ก.ย.2534 หลวงพ่ออุตมะ วัดวังวิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 10 วันที่ 9 ต.ค.2534 หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา ปลุกเสกเดี่ยว

    ครั้งที่ 11 วันที่ 9 พ.ย.2534 มหาพุทธาภิเษกที่วัดอรุณราชวราราม โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ พร้อมเกจิอาจารย์จากทั่วประเทศอีก 108 รูป

    ครั้งที่ 12 วันที่ 10 ธ.ค.2534 มหาพุทธาภิเษกที่มณฑณท้องสนามหลวงโดยมี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัยพร้อมด้วยเกจิอาจารย์ทั่วประเทศจำนวน 108 รูปเจริญสมาธิพุทธาภิเษก อาทิ

    1.) สมเด็จพระสังฆราช(สมเด็จวาส) วัดราชบพิตรฯ
    2.) สมเด็จพระญาณสังวร วัดบรวนิเวศวิหาร ( พระสังฆราชองค์ต่อมา
    3.) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
    4.) สมเด็จพระวันรัด วัดโสมนัสววิหาร
    5.) สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปธุมคงคา
    6.) พระพรหมคุณาภรณ์ (สมเด็จพุฒาจารย์เกี่ยว)วัดสระเกศ (รักษาการองค์พระสังฆราช)
    7.) พระมหาวีระ ถาวะโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
    8.) พระอาจารย์ชื้น พุทธสาโร วัดญาณเสน
    9.) หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    10.) พระครูสันติวรญาณ (หลวงปู่สิม) วัดถ้ำผาปล่อง
    11.) พระอุดมสังวรเถร (หลวงพ่ออุตตะมะ) วัดวังค์วิเวการาม เทพเจ้าแห่งสังขระบุรี
    12.) พระครูฐาปนกิจสุนทร (หลวงพ่อเปิ่น) วัดบางพระ
    13.) พระครูปริมานุรักษ์ (หลวงพ่อพูล) วัดไผ่ล้อม
    14.) หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก
    15.) พระครูเกษมธรรมนันท์ (หลวงพ่อแช่ม) วัดดอนยายหอม เป็นต้น
    และสมเด็จพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยาเป็นประธานดับ เทียนชัย
    โดยทหาร,หมอ,พญาบาลทุกคนที่ได้รับมอบให้เป็นของป้องกันตัวที่ประเทศติมอร์ทุกๆ คนกลับมาด้วยความปลอดภัยไม่มีใครได้รับอันตราย

    อ้างอิง : มูลนิธิธรรมชีวิน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251109_204555.jpg IMG_20251109_204617.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762697191012.jpg FB_IMG_1762697187818.jpg


    พระของหลวงปู่จะมีครบทุกด้านเเต่ที่เด่นนำออกมาคือลา ภเเละเมตตาร่มเย็น ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินไปกราบหลวงปู่หลายวาระพระองค์ท่านทรงมีพระบรมราชานุญาติให้ใช้ พระปรมาภิไธยย่อ ภปร. บนวัตถุมงคลของหลวงปู่คลี่อีกด้วย
    *ครั้งหนึ่งพระอาจารย์บ๊ะเคยพูดว่า “ของพ่อคลี่ใครไม่เก็บกูเก็บหมด ท่านปิดบังความเก่งตัวเอง ทั้งล.าภทั้งเมตตาเย็นนำออกมาก่อนเลย” บนโต๊ะพระอาจารย์บ๊ะจะมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อคลี่วางอยู่ชิ้นหนึ่ง หลายคนคงเคยเห็นเเต่ไม่รู้จักกัน ท่านบอกว่า”ลา ภโคตรดีเลยนะของพ่อคลี่เนี่ย”
    ใครไม่เอาตูเอา
    หลวงพ่อเอเคยถามพระอาจารย์บ๊ะว่า ความเมตตาของหลวงปู่คลี่ต่างจากเมตตาของอาจารย์ชุม ไชยคีรีอย่างไร ท่านตอบว่า “ ของหลวงพ่อคลี่ท่านจะเป็นในด้านของผู้ใหญ่ให้ความเมตตา เจ้านายเมตตา เพื่อนร่วมงานเมตตา ไม่มีเรื่องของชู้สาว”

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ล็อกเก็ตยุคเก่าหลวงพ่อคลี่

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251109_205527.jpg IMG_20251109_205547.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762948617122.jpg

    หลวงปู่บุญ วัดบ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง

    พระครูสุทธิวัตรสุนทร (บุญ สุสฺมโณ) วัดบ้านนา ต.บ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง
    พระผู้ถือสันโดษเป็นยิ่ง
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

    คนเก่าในเมืองระยองแทบสิ้น คึกเมื่อสิ้นหลวงปู่ทิม หลายคนพยายามมองหาพระเก่งเพื่อเพิ่มความคึก เล็งแลกันอยู่นานศิษย์รุ่นเก่าแก่ของหลวงปู่ทิมก็กระซิบกับผมว่า มีพระเก่งอยู่รูปหนึ่งนิสัยใจคอคล้ายกับหลวงปู่ทิม ความเก่งความชำนาญชาญเชี่ยวในเชิง ‘ฤทธิ์’ ก็ไม่น้อยไปกว่าหลวงปู่ทิมเท่าใดนัก

    ผมรีบกระซิบคืน “ใครครับ” ท่านว่า “หลวงปู่บุญ วัดบ้านนา”

    เมื่อผมไปเยี่ยมน้องสะใภ้ที่ ต.ซำฆ้อ ใน อ.แกลง ก็ได้ยินมารดาของสาวเจ้าเล่าความขลังของเกจิรูปหนึ่งให้ฟังว่า...

    มี ครอบครัวคนทำสวนยางใกล้บ้านครอบครัวหนึ่ง มีลูกเป็นเด็กทารกอายุไม่กี่เดือนอยู่ด้วย แต่ก่อนร่อนชะไรเจ้าตัวเล็กก็ไม่มีปัญหา แต่หลังจากที่พ่อไปทำสวนยางใหม่กลับมาลูกน้อยก็ร้องไห้อย่างไม่มีสาเหตุ ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็กลุ้มจนนอนไม่หลับ

    แต่ ‘โชคดี’ ยังให้ความเอ็นดูผู้เป็นพ่ออยู่บ้าง

    วัน หนึ่งของทำสวนยาง ผู้พ่อก็พบผ้ายันต์สีขาวผืนหนึ่งตกอยู่ในสวนของตน ไม่ทราบที่ไปและไม่ทราบที่มา แต่เมื่อเป็นรูปพระในฐานะที่เป็นคนพุทธก็ต้องให้ความเคารพไว้ก่อน ด้วยความไม่รู้จักมักจี่กับเจ้าของยันต์ก็เลยเอายันต์นั้นแปะไว้ที่หน้าบ้าน ตน

    ‘โชคดี’ ยังเป็นของเขาอยู่อีก

    เพราะ นับจากวันที่ยันต์ปริศนามาอยู่ร่วมชายคา หนูน้อยเสียงดีก็เป็นอันหยุดร้องสนิทราวกับปิดสวิทซ์เครื่องเทป ยังความปลาบปลื้มยินดีให้พ่อแม่เป็นอันมาก

    แต่ ‘โชคร้าย’ ก็ใช่ว่าจะหนีไปไกล

    เมื่อ วันหนึ่งของทำสวนยาง ผู้แม่ก็ล้มพับลงไปท่ามกลางป่ายาง ครั้นใครหลายคนจะเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหล่อนก็กลับลุกพรวดพราดทำตาขวาง พลางลุกขึ้นกรีดร้องเผ่นโผนออกจากสวนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หมู่พวกจึงพากันทิ้งงานกวดตามหลังอย่างตระหนกตกใจ

    พอ เจ้าหล่อนห้อตะบึงมาถึงบ้านก็ทำท่าจะวิ่งตรงเข้าประตูไป และก่อนที่จะเป็นดังนั้น ความอัศจรรย์ก็พลันเกิด เมื่อเธอหยุดกึก พลางจับจ้องไปที่ผ้าผืนน้อยสีขาวหน้าบ้านชนิดตาไม่กระพริบ แล้วทรุดฮวบลงกับพื้นพลางร้องไห้คร่ำครวญเหมือนจะขาดใจ

    หมู่ พวกที่ตามมาถึงก็พากันระส่ำระสายจะเข้าช่วยก็ไม่กล้า เพราะดูท่าแล้วมันไม่ใช่เรื่อง ‘ธรรมดา’ พอผู้เป็นสามีเข้าไปจับเนื้อต้องตัวเพื่อสอบถามเรื่องราว เจ้าหล่อนกลับสวนมาว่า

    “ฉันไม่ใช่เมียแก”

    เอาละสิ อยู่กันจนมีลูก จู่ ๆ มาบอกไม่ใช่เมีย ถึงตอนนี้ชาวบ้านชาวช่องก็พากันมารุมล้อมประสา ‘ไทยมุง’ คนเฒ่าคนแก่พากันซุบซิบให้ความเห็น

    “ผีเข้าแหง ๆ”

    หลาย คนแสดงตนเป็นผู้รู้ คอยปลอบประโลมจนคนผีเข้าคลายทุกข์โศกลงบ้าง คนผีสิงก็ปริปากว่าตนชื่อ ลำดวน (นามสมมุติ) ถูกฆ่าตายแล้วฝังเอาไว้ในป่ายาง ทุกข์ทรมานมากทั้งมืดทั้งหนาว คิดถึงลูกมากแต่ไปหาไม่ได้ เพราะตนถูกผู้ฆ่าเอากระโหลกไปให้คนมีวิชาทำพิธีสะกดวิญญาณ แล้วไปฝังในสวนยางจึงไปไหนไม่ได้ พอได้ยินเสียงเด็กเลยคิดถึงลูก จึงมาที่บ้านทุกวันเพื่อมาเล่นด้วย แต่ตอนนี้รักเด็กคนนี้มากจึงอยากเอาไปอยู่ด้วย

    ได้ยินอย่างนี้ผู้เป็นพ่อก็สะดุ้งตากลับ

    แล้วก็ใจชื้นขึ้นเป็นกอง เมื่อเมียรักชี้ไปที่ผ้าสีขาวแล้วเอ่ยว่า แต่ตอนนี้เข้าไปหาเด็กไม่ได้แล้วเพราะกลัวผ้ายันต์นี้มาก คนทำเก่ง ร้อนมาก สู้ไม่ได้ พอเห็นแม่เด็กเดินมาใกล้ ๆ จึงเข้าทับเพื่อมาหาเด็กเข้าใจว่าจะเข้าบ้านได้ แต่ก็เข้าไม่ได้อีก คิดถึงลูกเหลือเกิน

    จาก นั้นคนผีเข้าก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อไปอีก เป็นที่เวทนานัก ชาวบ้านจึงถามชื่อแซ่ เธอก็บอกเล่าให้ฟังหมด ถามถึงฆาตกรเธอก็เล่าด้วยความแค้นเคืองได้ความว่า คนฆ่าคือสามีของตัวเองที่เกิดไปมีเมียน้อยแต่ไม่รู้จะหนีไปอย่างไร จึงเอาจอบตีเมียตอนทำครัวจนสลบ ผัวเข้าใจว่าตายแล้วจึงเอายางรถยนต์เก่ามาซ้อน จับตนขึ้นนั่งแล้วเผาทั้งเป็นที่หลังบ้านของตัวเอง

    แล้วผัวตัวแสบก็ ไปแจ้งความทำทีว่าถูกโจรปล้นแล้วฆาตกรรมภรรยา ปรากฏว่าแผนสำเร็จด้วยดีสามีใจโหดเลยรอดตัว ได้ขายสวนยางและบ้านช่องให้คนอื่น ก่อนที่จะหอบผ้าผ่อนไปอยู่กับเมียที่ต่างตำบล

    ทุกคนได้ฟังก็ต่าง สงสาร รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยเหลือทุกทางจนวิญญาณแค้นพอใจแล้วออก จากร่างไป สิ่งที่ตามมาคือการทำบุญงานใหญ่อุทิศให้ผี และการตามสืบเรื่องผ้ายันต์จนได้ความว่าเป็นของ

    หลวงปู่บุญ วัดบ้านนา

    ทุกบ้านเลยเป็นอันมีผ้าขาวผืนน้อยติดกันพรึ่บไปหมด ผ้ายันต์เต็มองค์สีเหลือง ปี 2538 (มี 3 สี ขาว, แดง, เหลือง)


    ผ้ายันต์ครึ่งองค์สีขาว ปี 2538 (มี 3 สี ขาว, แดง, เหลือง)

    ผมเห็นว่าเรื่องนี้แปลกดีเลยนำมาเล่าสู่กันฟัง ผมเองก็ได้ไปดูใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุ พบว่าเปล่าเปลี่ยววังเวกดีพิลึก ก็น่าหรอกที่ผีจะดุ

    ใช่ว่าหลวงปู่จะเก่งกล้าสามารถในเรื่องผีอย่าง เดียวเมื่อไร ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้า ก็ประจักษ์กันมามากต่อมาก ขนาดฟันกันฉับ ๆ หน้าศาลาวัดบ้านนาก็มี แต่ไม่มีใครได้เลือดใคร เพราะมีพระหลวงปู่กันทุกคน

    พูดถึงความสันโดษอันเป็นเอกลักษณ์ของหลวง ปู่นั้น ผมขอยกนิ้วให้เลย ท่านสันโดษจริง ๆ ไปไหนมาไหนไม่ต้องประคองทั้งที่มีอายุถึง 93 ปีแล้ว ผมพบท่านครั้งแรกท่านก็ลุกหนีเลย สาเหตุเพราะผมมาผิดเวลา บอกกันก่อนเลยว่าท่านจะรับแขกตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงเที่ยง ขณะรอท่านถ้าเป็นเวลาฉันห้ามชวนคุย เวลาลุกอย่าเข้าไปประคอง เพื่อนผมเคยหวังดีตั้งท่าเข้าไปหา ท่านว่า

    “ไม่ต้องก็ได้มั้ง”

    เพื่อนผมเลยจ๋อยไป ท่านไม่ใคร่ให้ความสนิทใคร ไม่เอาใจใคร เป็นตัวของตัวเองที่สุด

    หลัง เที่ยงท่านจะเข้ากุฏิเงียบ หรือไม่ก็เอนหลังลงแถว ๆ หน้ากุฏิท่าน แต่อย่าเข้าไปคุยเชียวหนา นอกจากท่านจะเป็นฝ่ายทักก่อน หรือรอจนกว่าจะ 4 โมงเย็นอันเป็นเวลารับแขกไปเรื่อยสิ้นสุดที่ 5 โมงเย็น หากพรวดพราดเข้าไปพูดคุยอาจเป็นเหตุให้มี ‘ฟ้าผ่า’ แบบไม่มี ‘เค้าฝน’ ก็เป็นได้ ด้วยท่านถือเรื่อง กาละ และ เทศะ

    ท่าน ชอบทดสอบคนโดยให้เหตุผลว่า ถ้าเขาต้องการพบเราจริง เขาต้องรอได้ แต่เราเองกว่าจะมาถึงทุกวันนี้เราก็ต้องใช้ความอดทน ถ้าแค่นี้ทนไม่ได้จะไปทำอะไร

    บางคน ท่านเดินผ่านหน้าไป-ผ่านหน้ามาถึงครึ่งชั่วโมง ท่านก็ยังไม่ทัก แต่คนนั้นมาบ่อยรู้แกวท่านจึงนั่งเฉย ๆไม่ทักท่านก่อน สักพักท่านก็นั่งลงแล้วเอื้อนเอ่ย “มีธุระอะไรหรือ” แต่ถ้าใครคนนั้นหมดความอดทนถามท่านก่อนที่ท่านจะเป็นฝ่ายถาม การสนทนาวันนั้นเป็นอันจบ

    นี่คือพระที่ไม่ประจบโยม

    ครั้ง หนึ่งที่ท่านอาพาธด้วยโรคเกี่ยวกับหลัง ผมจึงเอาน้ำมันเลียงผาไปถวายท่านกับคุณสุมิทธิ์ ติสโส ขณะที่ท่านนอนตะแคงซ้ายคุยกับผมอยู่นั้น คุณสุมิทธิ์ก็เกิดความสงสารท่านจับใจคิดขึ้นมาว่า “เออหนอ...หลวงปู่ตั้ง 90 กว่ายังต้องมาเจ็บมาทรมาน ถ้าผมแบ่งความเจ็บมาจากหลวงปู่ได้บ้างสักครึ่ง ผมก็จะทำ” เมื่อจบห้วงความคิดนั้น หลวงปู่ก็พูดลอย ๆ ขึ้นว่า

    “ความเจ็บป่วยเป็นของเฉพาะตัว ใครจะมาช่วยแบ่งเบาก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากเจ้าของจะช่วยเหลือตัวเอง”

    คน งงคือผม เพราะผมกำลังคุยกับท่านเรื่องถนนไปบางแสน จู่ ๆ ท่านก็ปรารภเรื่องอะไรไม่รู้ งง!! แต่คนที่ปีติคือคุณสุมิทธิ์ เพราะเขาได้ประจักษ์ชัดว่า ท่านเก่งจริง

    หรือใครว่าการรู้ความคิดคนอื่นเป็นของธรรมดา!

    วัตถุมงคลที่เหลืออยู่เป็นรุ่นที่ 5 ในชีวิตท่าน เรียกว่ารุ่น ‘ซ่อมอุโบสถ’ ด้วยแต่เดิมทางวัดหมายใจจะซ่อมโบสถ์ที่ชำรุดทรุดโทรม ทว่า ความโทรมของโบสถ์มีมากเกินกว่าจะซ่อม จึงตัดสินใจเปลี่ยนโบสถ์เก่าเป็นวิหารไปเสีย แล้วสร้างโบสถ์ใหม่เสียเลย รุ่น ‘ซ่อม’ เลยกลายเป็นรุ่น ‘สร้าง’ โดยฉะนี้แล

    ใคร เช่าพระรุ่นนี้โชคดีนัก เพราะพระสร้างมาแต่ปี 2537 เมื่อเข้าพรรษาปี 37 ท่านอธิษฐานพระชุดนี้ให้ตลอด 3 เดือน เมื่อล่วงมาถึงปี 2538 ปรากฏว่าพระจำหน่ายไม่หมด หลวงปู่ก็เอาเข้ากุฏิเสกอีกตลอดพรรษาปี 38

    บัด นี้ล่วงเข้าพรรษาปี 2539 พระเครื่องทั้งหลายจะไม่มีจำหน่ายบนศาลาเลย ใครคิดไปเช่าช่วงนี้ขอให้ล้มคิดนั้นเสีย เพราะพระอยู่ในกุฏิท่านทั้งหมด ท่าน ‘ซ้ำ’ ให้อีก 3 เดือนตลอดพรรษาปี 39

    พิถีพิถันดีไหม? พระกริ่งบุญอุปถัมภ์ รุ่น 2 เนื้อนวโลหะ ปี 2537
    เหรียญรุ่น 3 เนื้อทองเหลือง ปี 2537
    เหรียญรุ่น 5 'ซ่อมอุโบสถ' เนื้อเงินลงยา ปี 2537
    ออกพรรษาปี 39 ค่อยไปเช่าละกัน เสกมาแล้วตั้ง 9 เดือน เรียกว่ายอดที่สุด ผมเช่าจนเกือบไม่มีตังค์กินหนมแล้ว กระซิบก่อนว่า พระกริ่งรุ่น 2, เหรียญเงินลงยา, พระสมเด็จดำ (พิมพ์ปรกโพธิ์) แน่นอนนัก

    อย่า ลืมแวะเวียนไปวัดหนองจระเข้ด้วยนะครับ ที่นั่นเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน ท่านอยู่ที่นั่นมาก่อนจะไปอยู่วัดบ้านนา วัตถุมงคลที่นั่นมากมายตาลายเลยแหละ สวย ๆทั้งนั้น ขลังมากด้วย เพราะท่าน ‘เต็มใจ’ ทำมาก ถ้ามีโอกาสจะเขียนให้ทราบอีกทีว่า ‘ขลัง’ อย่างไร...

    ขอความสวัสดีจงมีแก่ทุกท่านครับ
    หลวงปู่บุญ วัดบ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง

    พระครูสุทธิวัตรสุนทร (บุญ สุสฺมโณ) วัดบ้านนา ต.บ้านนา อ.แกลง จ.ระยอง
    พระผู้ถือสันโดษเป็นยิ่ง
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของระบบความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ นิตยสารศักดิ์สิทธิ์
    และคุณ รณธรรม ธาราพันธุ์

    พระสมเด็จพิมพ์คะแนนปรกโพธิ์หลังยันต์ตรีนิสิงเหรุ่นซ่อมโบสถ์

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251112_185347.jpg IMG_20251112_185412.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,794
    ค่าพลัง:
    +21,453
    FB_IMG_1762948026555.jpg

    หนึ่งในเกจิ ๑๖ รูปในพิธีจตุรพิธพรชัยที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง

    หลวงปู่ดู่_วัดสะแก ยกย่องท่านว่าเป็นพระอรหันต์ ในวันที่หลวงพ่อไวทย์ ท่านมรณะภาพไปแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวให้ศิษย์ไปเอาน้ำที่รดน้ำศพสังขารองค์ท่าน มาอาบกิน เพื่อความเป็นสิริมงคล
    หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย บอกหลวงพ่อไวย์เสกของได้ขลังที่สุด
    หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน บอกในอยุธยา หลวงพ่อไวย์ท่านเก่งสุดๆในแทบนั้น
    หลวงพ่อไวย์ ท่านเป็นศิษย์สุดยอดเกจิอาจารย์3ทหารเสือแห่งเมืองอยุธยา
    - หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    - หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
    - หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน

    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็นสหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัดรางจระเข้
    หลวงพ่อไวย์ ท่านยังเป็นอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์หลายยุคจนถึงยุคปัจจุบัน อาทิ หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก,หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว,หลวงพ่ออาด วัดบุญสัมพันธ์,หลวงปู่ธูป วัดลาดน้ำขาว และอีกหลายท่าน เป็นต้น
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส "สมภาร 3 วัด "
    -วัดบางซ้ายใน,
    - วัดสุทธาโภชน์ ,
    - วัดบรมวงศ์อิศรวราราม จ.อยุธยา
    หลวงพ่อไวทย์ ท่านเป็นพระที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่เคยดุ ไม่เคยด่า ใจดี เป็นพระที่สมถะเป็นอย่างมาก ขนาดท่านเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด แต่กุฏิของท่านก็ยังคงเป็นเพียงกุฎิเล็ก ๆ เล็กขนาดที่ว่า คนที่สูง ๆ ยืนนี่หัวชนเพดาน หลวงพ่อไวทย์ เป็นพระเกจิมากครู มากอาจาย์
    วิชาดูดวง วิชาผูกดวงชะตา เป็นหนึ่งในวิชาที่ท่านชำนาญ สมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศ ฯลฯ ท่านได้ สอนวิชาเหล่านี้ให้กับ หลวงพ่อไวทย์
    นอกจากวัตถุมงคลของท่านแล้ว ของดีอีกอย่างก็คือ "ยาไวทย์ประสิทธิ์" แต่ชาวบ้านจะเรียกว่า "ยาลมหลวงพ่อไวทย์"คล้ายยา วาสนาจินดามณี ของสายวัดกลางบางแก้ว นครปฐม ยาไวทย์ประสิทธิ์ จึงเปรียบเสมือนดั่ง ยาจินดามณี ฉบับจังหวัดอยุธยา (วัตถุมงคลเนื้อผงของท่าน ก็มียานี้ผสมอยู่)
    หลวงพ่อไวทย์ได้ตำรายาดีมาจาก หลวงพ่อชื่น วัดสระเกศ เป็นพระอาจารย์เรืองวิทยาคมสูงล้ำ และมีความเชี่ยวชาญทางด้านแพทย์แผนโบราณอย่างลึกซึ้ง พำนักอยู่คณะ 11 เช่นกัน ท่านไม่ค่อยชอบแสดงตัว จึงไม่มีใครค่อยรู้จักชื่อเสียงของท่านแต่อย่างใด หลวงพ่อชื่น มีความเมตตาต่อหลวงพ่อไวทย์มากถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้โดยไม่ปิดบัง
    ตำรายาจินดามณี ยาวาสนา น่าจะมาจากแหล่งวิชาเดียวกัน หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา กระทุ่มแบน สมุทรสาคร เรียนวิชาจากพระอาจารย์ของท่าน ที่เป็นน้องชายหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เลยได้วิชายาวาสนา
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็นสหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัดรางจระเข้
    หลวงพ่อไวทย์ ท่านอยู่มาหลายวัด ท่านนอกจากเป็นพระเกจิ ก็ยังเป็นพระนักพัฒนา ไปอยู่วัดไหนก็จะไปสร้างพระพุทธรูป ไปพัฒนาวัดนั้น จนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านแถบละแวกวัดนั้นๆ ที่ไปอยู่ อาทิ อยู่วัดสุธาโภชน์ (เสนา) ก็ไปสร้างวัด สร้างโรงเรียน ครั้งหนึ่งก็ไปอยู่ วัดบางซ้ายใน สร้างวัดจนเจริญ ชาวบ้านในแถบนั้นรักและนับถือท่านมาก
    สุดท้ายบั้นปลายของท่านก็ได้มาอยู่ วัดบรมวงศ์ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะ จังหวัดอยุธยา แต่ท่านก็ยังใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ไม่ถือตัว ใจดียิ้มแย้มกับทุกคน
    ครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม หลวงพ่อไวยท์ ว่า พระหรือวัตถุมงคลใดดีทีสุด หลวงปู่ท่านนิ่ง แต่แม่ชีอุปฐาก(ใครทันกราบท่าน น่าจะรู้จักแม่ชี รูปนี้ดี) บอกว่าให้หา เหรียญรุ่นแรกที่แตกๆ ไว้ เพราะหลวงปู่ท่าน เสก แรงไปหน่อย โบสถ์ลั่น กล่องใส่แตก และเหรียญบางเหรียญ ร้าวเลย ให้หาเหรียญนั้นไว้นะ
    หลวงปู่ ท่านก็ยิ้มๆ แล้วพูดเชิงเย้าแหย่ จริงไม่จริงไม่รู้ บอกว่า อืม เสกแรงไปหน่อย เป็นรุ่นแรก กลัวไม่ขลัง แล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ตามประสาของท่าน (ใครไปกราบท่าน ไม่เคยมีใครเห็นท่านทำหน้าบึ้งใส่เลย ท่านจะยิ้ม ตลอดเวลา)
    เคยมีผู้ถาม หลวงพ่อไวทย์ว่า พระอยุธยาสมัยก่อนใครเก่ง ท่านบอกเก่งหลายองค์หลวงพ่อปาน หลวงปู่กลั่น หลวงพ่อขัน ฯลฯ แต่ที่เรียนสมาธิ กรรมฐาน อยู่กับท่านนานสุด ก็หลวงพ่อจง หลวงพ่อจง ท่านเสกตะกรุดเล็กๆ ลอยน้ำ วิ่งวนรอบขัน ท่านยังให้ไว้ดอกหนึ่งเลย หลวงปุ่ไวทย์ท่านเหน็บตะกรุดหลวงพ่อจง ไว้จนมรณภาพ
    ในตอนที่หลวงพ่อไวทย์ ไปขอเรียนวิชาจากหลวงพ่อจง ท่านเคยถูก หลวงพ่อจง ตำหนิ ตอนไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านว่าคุณอยู่กับพระทองคำมาตั้งนาน แต่ไม่ขอเรียนอะไรมาจากท่านเลย หลวงพ่อห่วง น่ะ!!! ท่านเป็นพระอรหันต์ (หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท เป็นศิษย์พี่ ของหลวงพ่อจง เรียนวิชามาจากอาจารย์เดียวกัน คือ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคันธ์ พระอภิญญาบารมี แห่งทุ่งบางบาล สหายของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ)
    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ยังกล่าวชื่นชม ยกย่อง หลวงพ่อไวทย์ ว่าเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบ ท่านเป็นพระอรหันต์ ในวันที่หลวงพ่อไวทย์ ท่านมรณะภาพไปแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวให้ไปเอาน้ำที่ราดศพสังขารองค์ท่าน มาอาบกิน เพื่อความเป็นสิริมงคล

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ประสบการณ์พระเครื่องหลวงพ่อไวทย์
    ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องด้วยครับ
    "โจรปล้นบ้าน"
    คุณลุงโอด สุผล อยู่บ้านเลขที่ 9 ม.6 ต.บ้านเกาะ อ.พระนครศรีอยุธยา เล่าว่า "เมื่อก่อนมีฐานะยากจนมาก อาศัยชอบที่มีใจชอบทำบุญที่วัดบรมวงศ์ฯเป็นประจำ ฐานะก็ดีขึ้นตามลำดับจนสามารถส่งเสียลูกๆเรียนถึง นายแพทย์ พยาบาล และเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรหลายคน" "พอหลวงพ่อไวทย์ มาเป็นเจ้าอาวาส ก็เลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน จึงฝากตัวเป็นศิษย์มาจนบัดนี้" ผู้เขียนถามถึงของดี คุณลุงโอดตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "ของหลวงพ่อไวทย์ใช้ได้ดีทุกด้าน โดยเฉพาะทางเมตตาดีจริงๆ นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ทางด้านคงกระพันแคล้วคลาดสูงอีกด้วย" และกรุณาเล่าประสบการณ์ที่พบกับตนเองต่อไปว่า "เมื่อปี พ.ศ.2522 หลังจากที่ได้รับแจกเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อไวทย์ไปแล้ว ตกดึกของคืนวันนั้นมีโจรปล้นบ้าน โดยยิงปืนขู่ก่อน 2 นัด จึงตกใจกระโดดขึ้นคว้าปืนสู้ พวกโจรเลยกราดยิงเอ็ม 16 ยิงพรุนหมดทั้งฝาบ้าน เดชะบุญที่ลูกปืนไม่ถูกผู้ใดในบ้านเลยแม้แต่น้อย! นับเป็นบารมีของหลวงพ่อไวทย์ที่ช่วยให้ทุกๆคนแคล้วคลาดโดยแท้...!"
    (ขอขอบคุณข้อมูลจาก ส.สมบูรณ์ หนังสือพระเครื่องลานโพธิ์ และครอบครัว"สุผล")

    ...........

    ........ "#รถทับเด็กไม่ตาย" .........
    ..... คุณส่งเสริม สุภาเพียร อยู่บ้านเลขที่ 80 ม.4 ตลาดสวนมะเดื่อ ต.ห้วยขุนราม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งพาครอบครัวมากราบนมัสการหลวงพ่อไวทย์เล่าว่า เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2525 วันหนึ่งที่ตนขับรถปิคอัพออกไปส่งผลไม้ตามปกติ หลานชายชื่อ ด.ช.อภิเชษฐ์ (อายุ 4 ปี) วิ่งตามมาล้มลงเข้าไปใต้ท้องรถ ตนเองออกรถแล้วรู้สึกว่า รถวิ่งข้ามอะไรสักอย่างหนึ่ง พอดีได้ยินเสียงภรรยาร้องเสียงหลงอยู่ท้ายรถจึงรู้ว่า ทับหลานชายเข้าให้แล้วรีบดับเครื่องลงจากรถแล้วพาเด็กไปส่งโรงพยาบาลเพราะเห็นว่า "รอยยางล้อทับท้องเด็ก อย่างเห็นได้ชัด" นายแพทย์ที่โรงพยาบาลตรวจดูอาการแล้วยังไม่เชื่อว่าเด็กถูกรถทับ เพราะเด็กไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้นเลยแม้เเต่น้อย ภรรยาคุณส่งเสริมกล่าวยืนยันว่า "ตนเองวิ่งตามหลานออกมาเห็นล้มลงใต้ท้องรถแล้วล้อก็ทับข้ามไป" "ยังคงคิดว่าหลานชายคงตายแน่แล้ว" "แต่เด็กก็ไม่ได้ร้องสักแอะเดียว พอรถข้ามไปแล้วก็ลุกขึ้นเฉย" เมื่อคุณส่งเสริมเห็นรอยล้อบนหน้าท้อง จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล ดังนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เกิดจากอนินิหาร "เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อไวทย์" ที่คุณส่งเสริมให้หลานชายไว้ห้อยคออยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ที่ช่วยให้ ด.ช.อภิเชษฐ์รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ ขณะนั้นหลวงพ่อไวทย์ได้เล่าขึ้นว่า "มันก็ขำๆ อยู่เหมือนกัน เจ้าเสริมเขาพาหลานมาให้ฉันรับขวัญ ฉันยังกระเซ้าเด็กมันว่าทำไมรถทับไม่เป็นอะไร เด็กมันตอบว่า ...รถมันเบา..." ว่าแล้วท่านก็หัวเราะชอบใจอย่างผู้มีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ....
    (ข้อขอบคุณข้อมูลจาก ส.สมบูรณ์ หนังสือพระเครื่องลานโพธิ์ และครอบครัว"สุภาเพียร")

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปถ่ายหลังเกศาเลี่ยมพลาสติกเดิมหลวงพ่อไวย์วัดบรมวงศ์ อ. เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)

    IMG_20251112_184409.jpg IMG_20251112_184428.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2025 at 16:48

แชร์หน้านี้

Loading...