สอบถามเรื่อง กสิณไฟ ครับ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พงษ์สนั่น, 16 พฤศจิกายน 2016.

  1. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    เราวางกำลังใจยังไงหรอครับ ถึงจะเข้าถึงวิชานี้ +_+
     
  2. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ผมก็ไม่ทราบว่า คำว่า วางกำลังใจนั้นหมายถึงอะไร

    หายยก นิยามว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
    การวางกำลังใจ สำหรับผม คือ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีครับ

    อย่าไปประคบประหงม โอ๋ๆ อะไรทำนองนี้

    กรรมฐานทุกกอง อาศัย ความพยายามตั้งใจไปก่อน ให้สุดๆ

    มันจะมีจังหวะในการสบช่อง โดยจะ รู้เฉพาะตน

    จากนั้นมันจะเห็นถึง ลักษณะ ของการตั้ง วสี ว่าจะ วางอย่างไร

    ฉะนั้น แล้ว
    พูดง่ายๆ หากขี้เกียจ เสียแล้ว
    เราจะไม่เห็นช่อง ในการจับจังหวะครับ

    มีความอดทน อดกลั้น อดออม ไม่พูดเพ้อเจ้อ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ๑.ตั้งจิตอฐิษฐานขอกับพระพุทธฯว่า ฝึกเพื่อเรียกคืนของเก่า
    ๒.ตั้งจิตอฐิษฐานว่า ข้าพเจ้ามุ่งเน้นเพื่อประโยชน์ทางธรรม
    และประโยชน์แก่บุคคลอื่นๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ..
    ๓.ระหว่างนี้รอลุ้นว่า ท่าน(ไม่ขอออกนาม เป็นอดีตหลวงพ่อ
    มีชื่อ ที่แค่เอ่ยนามใครก็รู้จัก เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงได้)
    ท่านนี้จะมาสอนเทคนิคเพื่อให้เข้าถึงผลสำเร็จครับ
    ๔.ระหว่างนี้ฝึกเมตตาให้ออกจากภายในไปภายนอก
    คือ ไม่เลือกข้าง แบ่งชั้น วรรณะ พูดง่ายๆเห็นทุกคนเท่าเทียมกันหมด
    ไม่แยกว่ามิตรหรือศัตรู
    ๕.ทำบุญอุทิศส่วนกุศลกับทางภพภูมิบ่อยๆ
    ๖.อย่าทำร้าย หรือรังแกสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข (เพราะท่านที่สอน
    เรื่องเทคนิคในการนำไปใช้งาน ท่านไม่ชอบบุคคลประเภทไม่รักสัตว์)
    ว่าท่านจะมาตาม มาแนะนำให้หรือไม่
    ๗.ถ้าได้ฝึกแล้ว ห้ามย้ำว่าห้ามและก็ห้ามอีก ห้ามไปเล่น หรือสนใจ
    เกี่ยวกับ วิชชา ๓ หรืออภิญญา ๕ ทุกๆกรณี
    ถ้ามันจะเกิดมันจะมี ก็ช่างมันอย่าสน ให้เฉยๆ
    จนกว่าจะฝึกถึงระดับใช้งานได้จริง...
    ๘.ให้ฝึกเมตตาเรื่อยๆ เพราะจะเจอด่านทดสอบจากฝ่ายภพภูมิ
    ในนิมิตหรือในฝัน
    โดยปกติจะสอบตก ให้ถือว่า สอบได้เรื่องตลก สอบตกเรื่องธรรมดา
    (แรกๆจะไม่เกี่ยวกับกสิณ พอผ่านขั้นแรกๆ จะเจอเกี่ยวกับกสิณ
    ให้จำเอาไว้ว่า หากเจออะไรแล้วซัดเลย คือ สอบตกครับ)
    ๙ ถ้าผ่าน ข้อ ๘ มา จะเจอด่านทดสอบเรื่องความเฉลียวในการ
    นำกสิณกองต่างๆไปใช้งาน (คือมีด่าน แล้วให้เราลองด้วยตัวเอง
    ว่าเราจะผ่านด่านนั้นได้หรือไม่ประมาณนี้) การทดสอบนี้คือ
    ในนิมิตหรือในฝัน หากเราสามารถสอบผ่านได้ หรือพอผ่าน
    เวลาลืมตาปกติเราถึงจะเรียก เป็นพลังงานขึ้นมาใช้งานได้
    ข้อ ๘ ข้อ ๙ ให้ทำใจเอาว่าเป็นหลายสิบรอบแน่นอนกว่าจะผ่าน
    เพราะฉนั้นไม่ต้องไปยึดติดอะไร
    ข้อ ๑๐ ถ้าเริ่มใช้งานได้แล้ว ก็จะมาถึง การดึง ดูด การฝึกเพิ่มความ
    หนาแน่น และจะมีพัฒนาการไปเรื่อยๆ ตามแต่การนำไปใช้งาน
    ที่มีประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆของเรา...
    ๑๑.ห้ามสนใจ กิริยาต่างๆที่สัมผัสได้ทุกๆกรณี
    จำเอาไว้ว่า ถ้ายังไม่สามารถปั่น ปฏิภาคนิมิตได้
    ไม่ว่าจะพบเจอ สัมผัสอะไรก็ตาม ให้ช่างหัวมันอย่างเดียว
    (ถ้าปั่นปฎิภาคนิมิตได้ จิตจะพอมีกำลังเรียกเป็นพลังงาน
    ขึ้นมาบนฝ่ามือได้(เป็นจุดเริ่มต้น ก่อนจะนำไปใช้งาน
    แต่ต้องฝึก เพิ่มความหนาแน่น ดึง ดูด อัดก่อนนะครับ))
    ๑๒.ถ้าท่านมาสอน จำเอาไว้ว่า อย่าขี้เกียจ อย่าทำเป็นเล่น
    ให้ฟิตที่สุดเท่าที่เจทำได้ และห้ามขาดให้ทำทุกวันครับ
    แรกๆของการฝึก จะเป็นอะไรที่ยากที่สุดครับ
    และถ้าพลาดช่วงนี้แล้ว ชาตินี้เราจะหมดสิทธิ์ที่จะสำเร็จครับ
    เพราะฉนั้นให้ระวังให้ดีครับ
    ปล และก่อนที่จะใช้งานได้จริง จะเจอด่านทดสอบสุดท้าย
    ก่อนที่จะใช้งานได้จริงอีกอย่าง
    ในระดับตาเปล่าๆย้ำว่าใช้แบบตาเปล่า
    และใช้งานแบบลืมตาเห็นๆ ถ้าผ่านตรงนี้ได้
    ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง เอาตัวให้รอดจากด่านสุดท้ายให้ได้ก็พอครับ(^_^)
    และฝากไว้อีกอย่าง ถ้าใช้งานได้แล้ว
    ให้จำเอาไว้ว่า อย่าไปเล่นแร่แปรธาตุนะครับ
    ถ้าปัญญาไม่มากพอ กิเลสไม่น้อยจริงๆ
    เราจะกลายพันธ์ได้ครับ พอเข้าใจนะครับ
    (เด่วมันจะมีนิมิต มีเหตุมายั่วๆให้เราไปทางนั้น
    โปรดระวังให้ดี เพราะจะกลายเป็นว่า
    เราจะติดใน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญได้ครับ)
    สุดท้ายจริง การวางอารมย์ในการให้เข้าถึงได้เร็วอีกอย่างคือ
    ๑.หลีกเหลี่ยงกับการคลุกคลีกับคนหมู่มาก การพูดมาก
    ไร้สาระ เพ้อเจ้อ หรือพูดเป็นเหตุให้เกิดความขัดแยังต่างๆ
    ๒.หลีกเหลี่ยงการไปในสถานที่ๆมีผลทำให้จิตใจไม่สงบ
    ๓.อย่าคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับทุกๆกรณี
    ไม่ว่าเราจะไปอยู่ในสังคมใดๆก็ตาม ด้วยเห็นว่าตน
    มีความสามารถเหนือกว่าผู้ใด..
    ทั้ง ๓ ข้อที่กล่าวมานี้ควรมีเป็นโดยธรรมชาติแห่งตน
    นอกจากเรื่องเมตตาและอีกเรื่องที่สำคัญนะครับ
    ในนิมิตไม่ว่าอะไรก็ตาม ยอมตายอย่างเดียว
    จะมีโอกาสเข้าถึงได้เร็วขึ้นครับ

    ขอให้โชคดีประสบความสำเร็จดังที่คาดไว้ครับ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ก็เอา กำลังใจ นั่นแหละ มาวาง

    ทำไมตอบแบบนี้

    เพราะคำถาม ยังไม่ใช่ตรงเรื่องกสิณ คำถามของเจ้าของกระทู้ อันเป็น
    (ข้อ)ปัญหาตรงหน้า(เฉพาะหน้า ปฏิสังเวที)คือ วาง "กำลังใจ" อย่างไร

    ก็เลยให้เอา กำลังใจ นั้นมายก พิจารณา

    กำลัง แปลกลับไปคาถาโบราณ คือ พละ

    ใจ แปลกลับไปคาถาโบราณจะได้ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
    หทัยบ้าง ปัณฑระบ้าง ฯ

    ทีนี้ ใจ จะใช้มุมไหน ก็ต้องพิจารณา ความคุ้นเคยในการเห็นใจ หรือ เห็นจิต

    เวลาที่ เจ้าของกระทู้ นึกถึง ใจ หรือ จิต ......อาการระลึกได้ใน สภาวะ
    ธรรมของจิต จะเป็นตัวไหน อาการไหน

    ถ้าเห็นเป็น อาการขับเคลื่อน เลื่อนออกไป ให้ใช้คำว่า มโน เป็นตัวสังเกตเห็น ใจ

    ถ้าเห็นเป็น อาการจุก เป็นจุด เป็นต่อมกลางหน้าอก ให้ใช้ หทัย/ใจ เป็น
    ตัวสังเกตเห็น ใจ(กลาง)

    ถ้าเห็นเป็น อาการสว่างโพลงรู้แจ้งสรรพสิ่ง ให้ใช้ ปัณฑระ(แสงขาว/ความผ่องแผ้ว) เป็นตัวสังเกตเห็น ใจ

    .......ละ...........


    สมมติว่า พอนึกถึง กสิณ ส่วนมากก็จะระลึก การเคลื่อน การกำกับ การเข้าไปแนบ
    กับธาตุแล้วรำพึงให้เกิดอะไรสักอย่าง อันนี้ให้ใช้ พละของมโน

    แต่ถ้านึกถึงกสิณไฟก็จริงอยู่ แต่เอาเข้าจริงๆเป็นเรื่อง การรู้แจ้งสรรพสิ่ง อันนี้ก็ต้อง
    พิจารณา พละของปัณฑระ ซึ่งก็คือ พลังความผ่องแผ้ว

    โดยส่วนตัว ถนัดใช้พลังความผ่องแผ้ว ก็จะ ขออธิบาย การวาง พละของความ
    ผ่องแผ้วที่เป็นกสิณไฟ ดังนี้

    เพื่อให้ใจ ผ่องแผ้ว มีกำลัง จิตหรือใจ จะต้อง ไม่มี ไฟ คือราคะ
    เพื่อให้ใจ ผ่องแผ้ว มีกำลัง จิตหรือใจ จะต้อง ไม่มี ไฟ คือโทษะ
    เพื่อให้ใจ ผ่องแผ้ว มีกำลัง จิตหรือใจ จะต้อง ไม่มี ไฟ คือโมหะ

    ถ้า จิตมีราคะก็ไม่รู้ จิตมีโทษะก็ไม่รู้ จิตมีโมหะก็ไม่รู้ พละ ก็ไม่เกิด

    ถ้า จิตมีราคะก็รู้ จิตมีโทษะก็รู้ จิตมีโมหะก็รู้ พละ จะเกิดอย่างห้ามไม่ได้ !!!

    เมื่อจิตมีราคะก็รู้
    จิตมีโทษะก็รู้
    จิตมีโมหะก็รู้

    พละ เกิด จิตมันจะรวม อย่าไปฝืน อย่าไปตื่นปิติ
    ให้พิจารณาถึงความรำงับของสังขาร

    พละ เกิด จิตมันจะรวม อย่าไปฝืน อย่าไปตื่นสุขโชยตัวเบาจิตเบา
    ให้พิจารณาถึงความรำงับของจิตสังขาร

    พละ เกิด จิตมันจะรวม อย่าไปฝืน อย่าไปตื่นความผ่องแผ้วของจิต
    ให้พิจารณาถึง เราจักปล่อยจิต

    เพียงเท่านี้ จิตจะนุ่มนวล ควรแก่การงาน สามารถน้อมจิตไปใน
    ความผ่องแผ้ว อันมี ไฟคือราคะดับ ไฟคือโทษะดับ ไฟคือโมหะดับ
    จะเกิด แสงขาวให้น้อมไป รู้แจ้งสรรพสิ่ง โอฬาริก(หยาบๆ)เหล่านั้น
    วั๊บ วั๊บ วั๊บๆ โดยที่ ไม่เกิด สมุทัย ย้อมติดจิต แบบ เนื้อติดฟัน

    สามารถเล่นกับ ไฟคือประทีบ ใช้เผาให้โลกธาตุ ราบเป็นหน้ากลอง
     
  5. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    ขอบคุณทั้ง 3 ท่านครับ
     
  6. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    เรื่องไม่พูดเพ้อเจ้อ ผมมาลองสังเกตตัวเองตอนนั่งดูละครับ
    เหมือนว่าเหตุที่ผมเริ่มเพ้อเจ้อนี้มักจะมาจากเวลาผมสงสัยอะครับ
    ตอนนี้ที่สงสัยมาขึ้นมาหน่อยคือ แสงเทียนสามารถมองผ่านน้ำ
    ผ่านอากาศได้ แต่ไม่สามารถผ่านดินได้ จะเป็นไปได้ใหมครับ
    ว่าคนที่ฝึกกสิณดินมาก่อน จะทำให้ฝึกกสิณไฟที่เป็นของละเอียดกว่า
    ได้ง่ายขึ้นอะครับ ผมก็ว่าจะไม่สงสัยแล้วแต่มันอดไม่ได้อะครับ
    ขอถามอีกนิดละครับ ท่านยอดคะน้า ^_^
     
  7. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    เราจะสังเกตยังไงครับท่านนิวรณ์ ว่าอันไหน ไฟในกาย อันไหน ไฟโทสะ
    มันร้อนเหมือนกันเหมือนที่ท่านนิวรณ์อุปมา เนื้อติดฟัน อะครับ
     
  8. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    ขอถามท่านนพเพิ่มเติมหน่อยครับ ในข้อ 4 อะครับ
    เรื่องการไม่แยกมิตรกับศัตรูอะครับหากมีธรรมที่เป็น 2 ข้าง
    ระหว่าง เมตตากับโทสะ เรานั้นจะอยู่ตรงส่วนไหนอะครับ
    เมตตาก็เหมือนธรรมะ โทสะก็เหมือนอธรรม ทีนี้เราไม่มีข้างเลย
    แล้วเราจะไปอยู่ส่วนไหนอะครับ ^_^
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ถ้าจะยกจิตเข้าสัมผัสรับรู้ ไฟที่อุปมาเนื้อติดฟัน

    ต้องปรับเปน. ไฟคือโมหะเข้ามาก่อน. มันจะมี สภาวะ. แน่นๆยิ๊บๆกลางอก

    พอเหนยิ๊บๆกลางอก. พอไปคว้ามันมันจะ. อึดอัดทนไม่ได้เผารนจนต้องถาม

    พอเอากระบวนการ. ไฟคือโมหะ ไฟคือโทษะ. มาเปนการ เคลื่อนขยับ
    ของจิต. ก้จะเกิดสภาวะธรรม. ที่เหมือนกับว่า. เกิดความเปนผู้ข้อง(สัตว์)
    ที่กำลัง. "สงสัยทนไม่ไหวขอถาม"

    ถ้ากำหนดรู้ สภาวะสงสัย(โมหะ). ก้จะเหนแล้วข้าม. ไม่ฉวยขึ้นมา

    ถ้ากำหนดรู้ สภาวะทยานออกขอถาม(ไฟ). ก้จะเหนแล้วข้าม. แต่จะไม่ดับ
    เพราะเหตุ คือโมหะ มันถลำไม่ได้กำหนดรู้ ต้องฝึกหัดสติ และสัมปชัญญะ
    ไม่ให้จิตไหลออกไปเกินกาย. ส่งจิตไปเหนว่ามีคนอื่นว่าจะช่วยดับ
    กล่อมให้โมหะซ้อนโมหะได้แล้วเชื่อตามๆกันไป. ก้จะทวนกระแสไป
    เหน เหตุคือโมหะดับได้

    โลกธาตุจะถูกเผาราบเปนหน้ากลอง.

    ถ้าไม่กำหนดรู้ ไฟ แบบนี้ พระพุทธองค์ตรัสกับ ฤาษีอุรุเวลกัสสปะนักกสิณไฟว่า

    ก้เหมือนคนที่ต้องการข้ามแม่น้ำ. แต่ไม่เคยข้ามฝั่งไปอีกฝาก มัวแต่สงสัย
    และถามถึง ไฟคือธาตุไฟดิน น้ำ ลม. อยู่ ณ ฝั่งเดิม

    ไม่รู้ฝั่งแม่น้ำ ว่า ข้ามหรือยัง

    ไม่รู้ท่าน้ำ ว่า. จะประกอบกิจใดเพื่อการข้าม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2016
  10. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    การสงสัยถามในข้อปฏิบัติเพื่อนำไปปฎิบัติ
    สำหรับผมเข้าใจว่า ไม่เพ้อเจ้อครับ

    ส่วน สิ่งที่เรียกว่าเพ้อ เจ้อ เช่น
    เราพูดในสิ่งที่เราเห็น ในสมาธิ
    มีรูปต่างๆ อะไรต่างๆ ไปพูดว่าระลึกชาติได้มั่ง
    ไประลึกชาติของคนอื่นมั่ง ไปเจอเทพพรหม จนพระพุทธเจ้ามามั่ง
    เอาเรื่องสิ่งที่ ได้เห็นได้ยินมา
    ซึ่ง มันรู้แต่เพียงคนเดียว ซึ่ง อาจจะเป็นจริงมั่ง ไม่จริงมั่ง
    แต่ก็ดันไปคุย เป็นสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร

    อันนี้ผมเรียกว่า เพ้อเจ้อ ครับ

    เพ้อเจ้อในลักษณะนี้ มันจะทำให้กรรมฐานตกต่ำ
    มันจะเป็นการพูดจาโกหกไปในที่สุด
    กลายเป็น พูดจาโกหก มุสาทุกวัน

    เห็นอะไร ได้ยินอะไร อ่านอะไรหน่อยก้กลายเป็น
    โดนของมั่ง โดนกระทำมั่ง โดนพลังแปลกๆอะไรพิศดารมั่ง
    อย่างนี้เป็นต้นครับ


    ส่วนเรื่องของกสิณ
    หาก ใครก็ตามที่สำเร็จกสิน ได้กองใดกองหนึ่ง
    มันจะเหมือนสำเร็จได้ทุกกอง

    ฉะนั้นแล้ว หากใครที่สำเจ็จกสิณดิน จะมาฝึกไฟก็ไม่ยากครับ

    สำคัญตรงที่ว่า เลือกฝึกกองใดกองหนึ่ง ให้สุดๆไปเลยได้หรือยัง
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035

    ไม่ต้องอยู่ซักข้างครับ วางใจเป็นกลาง ไม่อะไรกับอะไรครับ
    แค่เราเลือกว่านี้ดี แสดงว่าเรายึดแล้วว่าดี จิตเราจะเห็นอีกอย่าง
    ว่าไม่ดีทันทีครับ ถ้าเราเลือกว่านี้ใช่เราก็ยึดว่านี้ใช่และจิตเราจะเห็น
    อีกอย่างว่าไม่ใช่ทันทีครับ ต้องไม่อะไรกับมันทั้งดีและไม่ดี
    ทั้งใช่และไม่ใช่ครับ พอเข้าใจนะครับ
    และ
    รู้จักจบให้เป็น คือ จบเป็นจบ ณ ปัจจุบันนั้น ไม่ต่อ ไม่รื้อฟื้น
    วางให้ลง คือ ไม่ยึดว่าดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ
    อุเบกขารับรู้ให้เป็น ไม่หวังผลใดๆ ไม่คาดหวังใดๆ..
    ช่วยไม่ว่ามิตรหรือศัตรู หากถึงวาระที่ต้องช่วย..
    และช่วยแบบไม่หวังผลและคาดไว้อะไร(การคาด
    มันเป็นการปล่อยตัววิญญานรับรู้เราไปตามแบบไม่รู้ตัว
    มันเป็นการส่งออกทำให้จิตเราเกิดแบบคาดไม่ถึงครับ
    นานวันเข้า
    จะตายเอาง่ายๆ แบบตายแบบไม่น่าเชื่อว่าจะตาย
    คืออยู่ดีๆก็ล้มตายไปซะงั้น..บางทีก็ป่วยเอง
    รักษายังไงก็ไม่หาย
    เหมือนพวกหมอดูที่ชอบอ้างว่าตัวเป็นผู้วิเศษทั้งหลาย
    เช่น อ้างคุณสมบัติว่า ตัวมีโน้นนี่นั้นอะไรที่วิเศษๆ
    เช่น กะละมังวิเศษ ญานวิเศษ หมอนวิเศษ(ตัวอย่างเทียบนะครับ)
    หรือเหมือนพวกใช้พลังงานรักษาคนทั้งหลายแต่เคลียตัวเอง
    ไม่เป็นเพราะไม่เดินปัญญาและสร้างสติทางธรรม จิตเลยคลายไม่เป็น
    หรือพวกที่ชอบดูดวงช่วยเหลือคน แล้วลืมวางเรื่องการตามผล
    ทั้งหลายนั้นหละครับแถมซักพัก ให้ไปจัดขันธ์โน้นนี่นั้น
    ใช้เงินมากๆทั้งหลาย บางก็ให้ไปซื้อโน้นนี่นั้นเสียตังค์ทั้งนั้น
    หรือติดในลาภ ในยศ ในสุข
    สรรเสริญทั้งหลาย ที่เห็นได้ง่ายๆในสังคม
    ขาดที่พึ่งทางใจแบบบ้านเรานั้นหละครับ

    ปล.ถ้าผมเป็นคุณ จะขึ้นด้วยกสิณสีขาวครับ
    เพราะได้กองเดียวกองอื่นๆมันจะตามมาได้ของมันเองครับ
    ในอีก ๙ กองที่เหลือถ้าคุณไปขึ้นไปฝึกมันก่อนโอกาศที่จะสำเร็จ
    ในระดับที่จะถึงขั้นนำมาใช้งานได้จริงๆจะยากมากครับ
    ในชาตินี้ พอเข้าใจที่ผมสื่อนะครับ..
    ฝากไว้พิจารณาเอาเองนะครับ.
    ส่วนเหตุที่ทำให้เข้าถึงในระดับที่ใช้งานได้จริง
    ส่วนตัวเขียนไว้หมดแล้วครับใน #Rep ก่อนหน้า
    ไว้ทำให้ได้จริงๆก่อน จะมาแนะเทคนิค ในการพัฒนา
    ขั้นต่อไปให้ครับ (^_^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...