สอบถามเรื่อง การฝึกมโนยิทธิ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย boy_kmutt, 29 กรกฎาคม 2013.

  1. boy_kmutt

    boy_kmutt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +227
    คือ ตอนนี้ผมกำลังฝึกมโนยิทธิตามแนงของหลวงพ่อฤาษี โดยฟังจากเทปที่หลวงพ่อสอน ให้ภาวนา พร้อมลมหายใจ ว่า นะมะพะทะ ในเทปหลวงพ่อให้ภาวนาไป 10 นาทีแล้วให้หยุด แล้วบอกว่าครูจะเข้าไปสอน จิตจะเป็นทิพย์ได้เมื่อครูเข้าไปสอน ครูจะสอนให้ตัดกิเลส คราวนี้ผมไม่มีครู (นั่งภาวนาที่บ้าน) ไม่รู้จะตัดกิเลสตามแนวทางท่านยังไง รบกวนผู้รู้ด้วยครับ หรือครั้งแรกให้ไปฝึกที่บ้านสายลมก่อน กำลังเตรียมจะไปครับ ภาวนานะมะพะทะ จิตเป็นสมาธิดีครับ
     
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    คำที่ถูกต้องคือ ... นะมะพะธะ ...

    ไม่ใช่ นะมะพะทะ ... อันนี้เป็นการเดินธาตุ



    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    อานิสงส์ของคำภาวนา

    ถาม : แล้วอานิสงส์ของคำภาวนา เช่นว่า พุทโธ นะมะพะธะ สัมมาอะระหัง มีอานิสงส์ต่างกันหรือเปล่า ?
    ตอบ : มีผลต่างกัน อย่างเช่น คำภาวนาเฉพาะอย่าง นะมะพะธะ สำหรับผู้ฝึกมโนมยิทธิ จะใช้กำลังของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ท่านช่วย ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ท่านให้พรเอาไว้ ถ้าหากว่าใครภาวนาก็เหมือนเป็นสัญญาณบอกอีกฝ่ายว่าเป็นพวกเดียวกัน แล้วก็ต้องการความช่วยเหลือ ท่านก็จะสงเคราะห์ให้ ก็จะมีความคล่องตัวมากกว่า

    แต่ว่าขณะเดียวกันถ้าหากว่าเรื่องอานิสงส์ทางด้านอื่น ๆ นี้ ถ้าหากไม่ใช่เป็นการระบุเฉพาะแล้ว ถึงเวลาถ้าหากภาวนาไปอารมณ์ใจทรงตัวเป็นฌานก็เท่ากัน แต่ถ้าเป็นการระบุเฉพาะก็จะต่างกัน

    ถาม : ถ้า นะมะพะธะ นี่อานิสงส์พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ทำไมไม่ท่อง “นะโมพุทธายะ” ไปเลย ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้ว นะโมพุทธายะนั่น ถ้าเวลาภาวนาเขาจะใช้กระดาษที่เขียนนะโมพุทธายะปิดหน้าอยู่แล้ว ส่วนนะมะพะธะตัวนี้จะเป็น พะ ธะ เขาจะใช้ พ. พาน ธ. ธง นะมะ ก็คือ นะโม พะธะ ก็คือ พุทโธ ...
    (หัวเราะ)... ไม่ใช่ นะมะพะทะ ที่เป็นตัวธาตุ ๔ นั่นใช้ ท. ทหาร ถ้าหากว่าเป็นตัวขอมจะเขียนคนละตัวกัน


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กรกฎาคม 2013
  3. Freddy_Kruger

    Freddy_Kruger เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +759
    อันดับแรกก่อนที่จะภาวนาให้ตัดสินใจไว้ตั้งแต่เวลานี้ ไม่ต้องไปรอเวลาอื่น เวลานี้ตัดสินใจไปเลยว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี่มันเต็มไปด้วยความทุกข์ หรือการทำมาหากินมันเต็มไปด้วยความเหนื่อยยากไม่สบาย การพบกับคนก็ไม่ใช่ดีเสมอไป บางครั้งก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน บางครั้งก็หน้านิ่วคิ้วขมวด คนที่เราเคยรักบางเวลาก็เป็นศัตรู คนที่เป็นศัตรู บางเวลาก็แสดงความเป็นมิตร ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรจริงจัง เราจะมีความสุขด้วยความเป็นอยู่มากเท่าไรก็ตาม อย่าลืมว่าเราก็แก่ทุกวัน วันเวลาที่ผ่านไปมันก็มากับความแก่ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า ลมหายใจ เข้าเมื่อไหร่มันก็ดึงความแก่มาหาเราเมื่อนั้น เราต้องแก่ตามลมหายใจ ลมหายใจเข้าเพิ่มชีวิตใหม่คือความแก่เข้ามา ลมหายใจออก หายใจออกพ่นความแก่น้อยมันก็ดึงความแก่มากขึ้นมาทุกที รวมความว่าความแก่ เข้ามาถึงเราทุกวันทุกวินาทีขณะที่ทรงตัวอยู่

    เมื่อความแก่เกิดขึ้นเรามีแต่ความทุกข์ และนอกจากนั้น ขณะที่ทรงตัวอยู่ก็มีความป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ ความทุกข์คืออาการใดที่ต้องทนคือทนในด้านของความที่ไม่ดี พระพุทธเจ้าเรียกว่าทุกข์ ทนกับ เสียงที่พูดจาไม่ชอบใจมันก็ทุกข์ ทนกับอาการป่วยไข้ไม่สบายมันก็ทุกข์ ไอ้ความตายจะเข้ามาถึงมันก็ทุกข์ ก็รวมความว่าไอ้โลกระยำนี่ไม่น่าจะมาอยู่

    ร่างกายเลว ๆ อย่างนี้ไม่ควรจะมีอีก ถ้าชีวิตนี้ร่างกายนี้ต้องพังเมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นคนไม่มีสำหรับเรา คือในโลกนี้จะเป็นคน จะเป็นสัตว์เราไม่มาอีก ถ้าการเป็นเทวดาหรอืพรหมก็ตามก็ไม่ดีสำหรับเราอีก เราไม่ต้องการมัน คือคำว่าไม่ต้องการมันเพราะอะไร เพราะว่าเป็นเทวดาหรอืพรหมมีความสุขจริง แต่สุขไม่นาน หมดบุญวาสนาก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ จุดที่เราต้องการนั่นคือ นิพพาน ขอให้ทุกคนตัดสินใจตามนี้นะ หวังนิพพานโดยเฉพาะ ให้ตัดสินใจไว้ตั้งแต่เวลานี้

    ก็รวมความว่า ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจรังเกียจร่างกาย ร่างกายนอกจากจะแก่ นอกจากจะป่วยทำให้มีความทุกข์แล้ว ร่างกายเราร่างกายคนอื่นเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกไม่น่ารัก ยิ่งนานวันเท่าไร ก็ไม่น่ารักเข้ามาทุกที ในที่สุดมันก็ตาย ตัดสินใจไว้เลยนะ อย่าลืมว่าตัดสินใจอย่างหนักก็คือ โลกนี้ไม่ต้องการมาอีก ร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ อย่างนี้เราไม่ต้องการ มันอีก ความเป็นเทวดาหรือพรหมเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน คนใหม่และคนเก่าตั้งใจแบบนี้นะ


    คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง จากหนังสือ การฝึกมโนมยิทธิ แบบเต็มกำลัง

    http://www.putthawutt.com/html/mano02.html
     
  4. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    แนะแนวก่อนการฝึก "มโนมยิทธิ" (ทั้งสองแบบ)

    หลังจากเสร็จงานหลวงพ่อแล้ว ทางวัดเหน็ดเหนื่อยกันมาก แต่ก็ปลื้มใจคนมากันเยอะ วันนี้มีเวลาว่าง คิดว่าน่าจะเข้ามาเขียนเรื่องนี้สักหน่อย จึงต้องขอลัดคิวทีมงานเวปมาสเตอร์ด้วยนะ ด้วยว่าส่วนใหญ่ที่ฝีก "มโนมยิทธิ" ได้เพราะทำยังไง ส่วนคนที่ยังฝึกไม่ได้ต้องแก้ไขยังไง จึงขอตั้งหัวข้อให้เข้ากับกระทู้นี้ว่า

    1. แนะแนวก่อนการฝึก "มโนมยิทธิ" (ครึ่งกำลัง)

    คนที่ฝึกได้ สาเหตุเพราะ

    ก. ฟังครูฝึกแล้วทำตามทันที
    ข. ขณะฝึกไม่สงสัย วางใจเป็นกลาง
    ค. ก่อนฝึกได้พักผ่อนเพียงพอ
    ง. เข้าใจคำว่า "ทิพจักขุญาณ" * (คืออารมณ์รู้สึก ไม่ใช่เอาตาไปเห็น)
    ฆ. เวลาฝึกไม่ตั้งใจเห็นจนเกินไป ได้ก็ได้..ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

    * ก่อนมาฝึกที่วัด ควรซ้อมคำภาวนา "นะมะพะทะ" ไว้ให้คล่องเสียก่อน เมื่อเวลาครูฝึกเข้าไปสอน ไม่ต้องภาวนา ใช้สมาธิเล็กน้อยแค่ฟังคำพูดของครูฝึกก็พอ (ให้มีสติรู้ทุกถ้อยคำ ทำตามทุกอย่างแบบโง่ๆ) สำคัญที่สุด คือ "ศรัทธา" ต้องมาก่อน หากไม่เชื่อไม่ไว้วางใจ หวังแค่ทดลอง หรือยังลังเลสงสัย ฝึกไปก็ไร้ผล สรุปแล้วต้องตัดทุกสิ่ง...ทิ้งทุกอย่าง...!

    คนที่ฝึกแล้วแต่ไม่ได้ สาเหตุเพราะ

    ก. จิตไม่สงบเท่าที่ควร ฟังครูฝึกแล้วไม่ทำตามทันที
    ข. สงสัยอารมณ์ตนเองขณะฝึก จึงไม่ได้อะไรเลย
    ค. ก่อนฝึกพักผ่อนไม่เพียงพอ ยังเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง
    ง. ไม่เข้าใจคำว่า "ทิพจักขุญาณ" * (คิดว่าเอาตาไปเห็น หรือเข้าใจว่าเป็นภาพลอยมา)
    ฆ. เวลาฝึกอยากได้จนเกินไป จึงไปไม่ได้
    จ. หาที่นั่งยังไม่ถูกใจ หรือนั่งทนจนเมื่อย ความจริงขณะนั้นเปลี่ยนท่านั่งได้
    - บางคนเลือกครูฝึก อยากจะฝึกกับครูที่ตนเองต้องการ
    - บางคนไม่เข้าใจเวลานั่งล้อมวง จะรอครูถามตรงตัว ความจริงครูฝึกถามใคร หมายถึงถามทุกคน เราต้องทำตามทันทีจึงจะได้ผล
    - บางคนยังลังเลไม่กล้าตอบ เพราะสัมผัสไม่เหมือนเขา เราต้องตอบไปตามที่รู้สึก ไม่จำเป็นต้องตรงกัน เพราะแค่เป็นการฝึกฝนเท่านั้น ผิดถูกครูจะแก้ไขให้ต่อไป

    2. แนะแนวก่อนการฝึก "มโนมยิทธิ" (เต็มกำลัง)

    คนที่ฝึกได้ สาเหตุเพราะ

    ก. ในขณะฝึกไม่สนใจเสียงร้องของคนข้างๆ
    ข. ภาวนา "นะมะพะทะ" โดยไม่ต้องรู้ลมหายใจ ร่างกายสั่นก็ไม่สนใจ
    ค. ไม่กังวลพิธีกรรม เช่น รอน้ำมนต์มาพรม หรือรอคฑามาแตะ
    ง. ตัดความห่วงใยในร่างกาย เมื่อเห็นแสงจึงพุ่งตามไปทันที
    ฆ. ตั้งอารมณ์ไว้ก่อน ว่าจะไปที่พระจุฬามณี แต่เวลาทำไม่อยากเกินไป
    จ. บางคนเคยฝึกได้แบบ "ครึ่งกำลัง" มาก่อนแล้ว จึงเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

    คนที่ฝึกแล้ว แต่ไม่ได้ สาเหตุเพราะ

    ก. จิตไปจับอยู่กับเสียงร้องของคนข้างๆ แล้วลืมตาดู
    ข. ภาวนาสับสน บางทีก็ "นะมะพะทะ" บางทีก็ "พุทโธ"
    ค. บางคนกังวลพิธีกรรม จิตจะหลุดไปแล้ว แต่รอน้ำมนต์ยังไม่มา คฑายังไม่ได้แตะ จึงทำให้ไปไม่ได้
    ง. ขณะภาวนา "นะมะพะทะ" คำภาวนาจะเร่งเองโดยอัตโนมัติ เหมือนใจจะขาด เกิดความกลัวตาย จึงไม่เห็นแสงสว่าง
    ฆ. มีอาการสั่น ร่างกายโยกโครง จิตไปจับอยู่แค่นั้น จึงหลุดไปไม่ได้ (ถ้าจะไปได้ ร่างกายจะค่อยหยุดสั่นไปเอง)
    จ. บางคนเคยฝึกได้แบบ "ครึ่งกำลัง" มาก่อน แต่ยังไม่เข้าใจวิธีทำ (วิธีแก้ไข คือไปรออยู่ที่นิพพานเลย โดยไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนพิธีกรรมเบื้องต้น เช่นพรมน้ำมนต์ หรือคฑามาแตะที่ศีรษะ สังเกตถ้าภาพชัดเจนสว่างไสวกว่าเดิม แสดงว่า "มโนมยิทธิ" ได้ปรับเป็นเต็มกำลังที่ข้างบนแล้ว)

    ถ้าวางอารมณ์ถูกต้องตามที่หลวงพ่อสอน จะได้ทุกคน ไปวันแรกก็ได้แล้ว วันที่สอง ฝึกท่องเที่ยว วันที่สาม ฝึกญาณ ๘ วันต่อไปกลับไปทำที่บ้าน ตั้งอารมณ์ไว้แค่ "พระโสดาบัน" หมั่นขึ้นไปที่วิมานบ่อยๆ ทำเล็กๆ น้อยๆ ดังนี้

    1. นึกถึงความตายอยู่เสมอ
    2. รักษาศีล 5 เป็นอัตโนมัติ จนไม่ต้องระวัง
    3. จิตนึกถึงคุณพระรัตนตรัย และ "คุณพระนิพพาน" อยู่เสมอ

    * ท่านแนะนำว่า ถ้าได้แล้ว ควรหาเวลาทำสมาธิเพียงอย่างเดียว ภาวนาตั้งเวลาไว้ครั้งละสัก 10 นาที โดยไม่ต้องรู้ต้องเห็นอะไร หรือไม่ต้องขึ้นไปข้างบน ต่อไปผลจากการตั้งสมาธิไว้อย่างนี้ เวลาออกไปท่องเที่ยว จะสามารถไปได้นานๆ

    * แต่ถ้าไปแล้วบางครั้งเห็นภาพไม่ชัดเจน จะต้องพิจารณาร่างกายให้ดีก่อน จำอารมณ์เดิมที่เคยได้ให้ถูกต้อง อย่าด่วนรีบร้อนเกินไป แล้วให้พระนำไปทุกครั้ง อย่างนี้ท่านว่า "อุปาทาน" ไม่ค่อยเล่นงานเท่าไร แต่ก็อย่าไว้ใจตนเองจนเกินไป พยายามทดสอบอารมณ์ไว้เสมอ

    * สนใจแค่สังโยชน์ 10 และ บารมี 10 เท่านั้น อย่างอื่นอย่าสนใจ โดยเฉพาะได้แล้วที่พังเป็นส่วนใหญ่ เพราะไปรู้เรื่องอดีตชาติว่าเคยเป็นไรกัน แล้วพัวพันกันไปจน "พัง" ทั้งคู่ นี่บอกกันไว้ก่อนนะ หากใครหนีพ้นได้ จะไม่มีอดีตและอนาคตกันอีกต่อไป

    * (ท่านยังบอกอีกว่า "ทานบารมี" ยังต้องทำนะ ไม่ใช่ทำแค่จิตอย่างเดียว เพราะทำทานบารมีแล้ว บารมีตัวอื่นก็จะเต็มตามไปด้วย)

    ถ้าทำอย่างนี้ทุกวัน วิชามโนมยิทธิไม่เสื่อม ตายแล้วไม่ไปอบายภูมิแน่นอน ถ้าเห็นทุกข์แน่นอน ชาตินี้ก็ไม่มีทางได้ผุดได้เกิดอีกแน่นอน (แต่ถ้ายังเห็นโลกเป็นสุขอยู่ ยังต้องเกิดอีก แต่คิดว่าคงไม่พ้นสมัยพระศรีอาริย์)

    หากปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าอยากลาก็ให้ตั้งจิตขอลาต่อหน้าพระพุทธรูป มีดอกไม้ธูปเทียนบูชาพร้อม หากยังไม่อยากลาก็ต้องทำบารมีให้เต็มทั้ง 30 ทัศ พร้อมกับคำอธิษฐานอย่างมั่นคง แต่ก็ต้องศึกษาเรื่องพระนิพพานเช่นกัน เผื่อจำเป็นจะต้องไปลาในชาติต่อๆ ไป

    ขอให้สมหวังและสมความปรารถนาทุกคนนะ (เอาชาตินี้เลยนะ ท่านว่าให้เกาะสูงไว้ก่อน)

    พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต

    29-09-53

    .....ปล. : "ถ้าอยากทำตัวให้หลุดพ้น จงอย่าสนใจจริยาผู้อื่น"
    - นี่คือคำสอนตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...