สอบถามเรื่อง ดวงแสงขาว ณ ศูนย์กลางกาย(ลิ้นปี่) มีแรงดึงดูดมหาศาลดึงจิตให้เข้าไปคืออะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย กำลังเดินทาง, 16 สิงหาคม 2018.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 12
    +++ อ่านท่อนนี้ "ให้ดี ๆ นะ"

    +++ 1. การเดินของคุณ "ประดุจ การเดินอยู่ในปล้อง"
    +++ 2. แต่ละปล้อง "สว่างไม่เท่ากัน" และมี "เรื่องราวบันจุ ข้างในปล้อง เป็นเอกเทศ ของใครของมัน"
    +++ 3. เป็น ตัวคุณ แบบ ตัวเป็น ๆ เดินอยู่ในปล้อง แบบ "ไปทั้งชีวิต และ ความเป็น ตัวตน ที่ สมบูรณ์แบบ"
    +++ 4. ถ้าสังเกตุได้ดี หรือมี "สติ" ที่ชัดเจน จะรู้ได้เองว่า "แต่ละปล้อง มีรอยข้อต่อ ณ จุดสิ้นสุดปล้อง ทุกปล้อง"

    +++ หากเหตุการณ์ของคุณ "ตรงตามทั้ง 4 ข้อ ที่ผมกล่าวมา" มันไม่ใช่เรื่องของ "อุปปาทาน หรือ มโน"
    +++ และ คุณ อยู่ข้างใน "วงกลมสีขาว ของคุณ เรียบร้อยแล้ว" เพียงแต่คุณ "ไม่รู้จักมันเอง" เท่านั้น

    +++ เรื่องเล่า "ที่ผมจะข้ามไปของคุณ" ผมระบุได้ว่า "มันไม่ใช่ อุปาทาน มโน หรือ นิมิต"
    +++ ต่อให้คุณ "มโนจน ตาถลนออกมานอกเบ้า ตากระเด็นกลิ้งออกมาอยู่กับพื้น" มันก็ เกิดขึ้น "ไม่ได้"
    +++ เพราะมัน "ไม่ใช่ อุปาทาน มโน หรือ นิมิต" ท่อนที่ผมข้ามไปนั้น "ไม่ใช่มโน"
    +++ ตรงนี้แหละ คือ "มโนแทรก" และเป็น "ความเข้าใจเปรียบเทียบ ที่มาจาก มโนเอาเอง"
    +++ สิ่งที่คุณ "ได้ประสพการณ์" มานั้น การสอนใน "กลุ่มฝึก" ของผม "ผ่าน" ประสพการณ์ของคุณมาทั้งหมด รวมทั้ง "วิธีทำ" ทั้งหมดด้วย

    +++ เว้นแต่ "ผู้ที่ฝึกใหม่" เท่านั้นที่ ยังไม่ผ่าน แต่ "ในพรรษานี้" ผมจะให้ "ผ่านหมดทุกคน" ประสพการณ์ของคุณ เป็นเพียงแค่ "ส่วนหนึ่งเท่านั้น"

    +++ ประสพการณ์ของคุณนั้น มีตัวอย่าง และ "วิธีทำ" อยู่ใน กระทู้ และ โพสท์ ข้างล่างนี้ นะครับ
    +++ กดลูกศรที่นำไปสู่แหล่งอ้างอิง แล้วจะ "เจอ วิธีทำ" ได้เอง นะครับ
     
  2. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    แก้ไขการใช้คำใหม่
    ด้วยความเคารพการสนทนาธรรม
    กราบขออภัยทุกท่านและเวบพลังจิตด้วยน่ะครับ

    (ตัดคำว่าอุปาทานและคลิปออก เรียบเรียงประโยคใหม่และขยายบางคำให้ชัดเจนขึ้น)
    (เนื่องจากตอนแรกตัวตน จขกท ยังแคร์กับคำว่าบ้า ประสาทหรือเพ้อเจ้ออยู่ แต่เพื่อความเคารพในธรรมะของพระพุทธเจ้า และความไม่มีกรรมต่อกันกับทุกท่านในเวบพลังจิตหรือผู้ที่เข้ามาอ่าน จึงขอเล่าตามความรู้สึกของ จขกท ที่ได้รับสัมผัสตามความความรู้สึกที่แท้จริง ส่วนเรื่องราวต่างๆ เป็นจริงเท็จอย่างไรให้ท่านผู้อ่านใช้ดุลยพินิจของแต่ละท่านเองครับ)
    ..
    ขอบคุณครับ อจ ธรรม-ชาติ
    ขอบคุณอย่างสูงน่ะครับ
    ซาบซิ้งมากไม่นึกว่าจะได้รับการชี้แนะอย่างมากมายเช่นนี้
    เพราะตามหาคำตอบมาหลายสิบปีแล้ว
    ว่าเหตุการณ์เหล่านี้คืออะไร
    เพื่อจะได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกต้อง
    ..
    ..
    ตรงที่ผมเล่ามาตรงประเด็นนี้ต้องขออภัยด้วยน่ะครับ
    ที่เล่าเหตุการณ์ผิดไป
    อย่างที่ผมเคยเอยมาในโพสก่อนหน้าว่า
    ลักษณะการเกิดของเหตุการณ์ต่างๆ
    เหตุการณ์ถูกฉายออกมาในจิตเป็นเรื่องๆ (ฉายเรื่องราว -- > จิต -- > ผลลัพธ์ คือตอนที่ จขกท รำพึงอยู่ในใจหลังจากสัมผัสรับรู้เรื่องราวดังกล่าว
    ..........................................................................
    เหตุการณ์ 3 ตอนแรกถูกฉายขณะนั่งสมาธิ สัมผัสรับรู้ด้วยจิต
    1.เห็นแสงขาววาร์ปมาข้างหลังตอนนั่งสมาธิเหมือนพระอาทิตย์หรือไฟสปอร์ตไลท์สาดส่องมาหา
    2.เห็นลูกแก้วกลมใสกระเด็นกระดอนข้างตัว
    3.เห็นดวงกลมขาวโผล่ด้านล่างจากศูนย์กลางกายขึ้นมาและมีแรงดึงดูดเข้าหา

    .............................................................................
    เหตุการณ์ต่อไปเกิดขณะเดินข้างสนามฟุตบอล
    โดยเหตุการณ์ทั้งหมดถูกฉายแบบอัตโนมัติเหมือน 3 ตอนแรก
    - เหตุการณ์ตอน 4 มองเห็นด้วยตาเนื้อ
    ขอบฟ้าด้านบนและขอบล่างใต้พื้นพิภพโลก
    ค่อยๆ เคลื่อนม้วนเข้าหากันมาบรรจบที่ขอบแผ่นดินบนโลก
    สัมผัสด้วยตาเนื้อ ไม่มีเสียง เห็นแต่ความเคลื่อนไหว
    ขอบเส้นมีลักษณะใส ขนาดความหนาพอประมาณเหมาะสมกับท้องฟ้า
    ใสเหมือนเยื่อบางๆ ของขนมวุ้นเย็น ไม่มีแสงออร่าแบบฟ้าแลบ
    ลักษณะเหมือนเยื่อตามนุษย์ที่ลอกออกมา
    (คล้ายวิดีโอลอกเยื่อบุลูกตามนุษย์ที่เป็นโรคต้อ)
    เป็นแนวเส้นโค้งทาบสนิทตามความโค้งของท้องฟ้า
    ทั้งเส้นบนฟ้าและเส้นใต้พิภพ
    โดยวางเส้นในแนวลักษณะระนาบตามแนวนอนของผืนแผ่นดินโลก
    ..
    ความรู้สึกเหมือนดู effect ในภาพยนตร์ที่มักมีการเปลี่ยนฉากแบบรูดม่านปิด
    โดยความยาวของเส้นขอบฟ้าบน-เส้นขอบใต้พิภพ
    แต่ละเส้นไม่ได้เชื่อมต่อเป็นลักษณะเส้นวงกลม 360 องศา
    (แต่เป็นลักษณะเป็นครึ่งวง)

    ตอนยืนดู ได้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
    ก็จะปรากฎเห็นการเกิดเส้นเหล่านั้น ถนัดตามากว่า
    ด้านข้าง บนศีรษะและด้านหลัง ไม่ได้ ใส่ใจมาก
    แต่รู้สึกว่าเหมือนเส้นคลอบเคลื่อนผ่านศรีษะ ลักษณะเหมือนฝาชีครอบอาหารเป็นครึ่งวงกลม เส้นครึ่งวงกลมถูกลอกเปิดจากด้านหนึ่งไปอีกด้าน

    ..
    การเห็นนั้น
    เกิดขณะที่เดินพูดคุยกับเพื่อนมาข้างสนามบอล
    และปากคุยไป ตาก็มองโน่นมองนี่ไปแบบเรื่อยเปื่อย
    มองทางเดินบ้าง ด้านข้างบ้าง มองฟ้าบ้าง
    แวบแรกของการมองฟ้าแล้วก้มทันทีแบบไม่ได้สนใจ
    ก็ปรากฎเห็นสิ่งนี้ทันที
    คือเกิดเส้น วืปๆ วาบๆ บนท้องฟ้า (คล้ายๆ ฟ้าแลบแต่แนวเส้นไม่ได้หยิกงอและมีแสงสว่างออกมาแบบฟ้าแลบ
    ..
    ครั้งแรกที่มองเห็นแบบไม่ตั้งใจเส้นจะปรากฎแตกต่างกับตอนที่หยุดเพ่งมองดู ครั้งแรกจะเห็นเป็นเส้นวืบๆ วาบๆ ที่มีองศาการวางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบปรากฎเต็มท้องฟ้า
    จึงได้หยุดยืนดูดีๆ ว่านี่คืออะไร
    จึงได้พบเห็นเหตุการณ์ดังที่ได้เล่ามาข้างต้น
    ..
    ความรู้สึกที่จิตรับรู้หลังจากที่เส้นขอบฟ้าบนและเส้นขอบใต้พิภพเคลื่อนม้วนมาบรรจบพบกันที่เส้นขอแผ่นดินโลกแล้ว จิตสรุปรับรู้ว่าโลกทั้ง 3 เปิดเผยวัตถุข้างในให้ออกมาให้อยู่ในลักษณะผืนแผ่นภาพเดียวกันในการวางวัตถุแนวระนาบเดียวกับ ไม่ได้อยู่คนละที่กันแล้ว เหมือนรวมเป็น 1 โลกเดียวกันบนแผ่นกระดาษที่วางบนโต๊ะ ไม่มีแนวโค้งอีกแล้ว มีแต่วัตถุที่ถูกวางบนแนวระนาบที่ตาสามารถมองเห็นได้ทั่วถึง ทุกตำแหน่ง จิตรับรู้อย่างนั้น

    แต่การมองเห็นนั้นไม่ได้เห็นวัตถุภายในของเส้นขอบฟ้าบนและเส้นใต้พิภพล่าง ว่ามีวัตถุอะไรบ้างที่ถูกเปิดออกมา

    ..
    - เหตุการณ์ตอนที่ 5 สัมผัสมองเห็นภาพเกิดขึ้นในดวงจิต
    ขณะยืนข้างสนามบอล
    เหตุการณ์ฉายภาพแวบหนึ่งเนื้อหาเกิดภายในโรงลิเกบริเวณด้านบนเวที มีตัวละครลิเกใส่เครื่องทรงที่แสดงถึงบทบาทหน้าที่ต่างๆ กันไป
    เช่น ตัวพระเอก ตัวพระร้าย ตัวพระโกรธ ตัวพระโลภ ตัวพระหลงหรือตัวอารมณ์อื่นๆ ฯลฯ
    ไม่ได้แสดงออกมาเกี่ยวกับอาชีพ เพศชายหญิง ฐานะ หน้าที่การงานหรืออื่นๆ

    แสดงตามบทบาทในโหมดอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เท่านั้น

    โดยจิตรับรู้ว่าขณะนั้นกำลังยืนดูอยู่ด้านหลังของเวทีและมองออกไปยังด้านหน้าเวที

    ตรงตำแหน่งประตูด้านข้างเวที (ริมผ้าม่านเวทีลิเก)ที่นักแสดงใช้เดินเข้าออกระหว่างเวทีส่วนหน้าและส่วนหลังของเวที

    และเห็นตัวละครที่กำลังแสดงอยู่บนเวทีลิเกอยู่มากมายต่างกวาดแกว่ง แสดงกิริยาอยู่ในท่าทางต่างๆ กัน บ้างยกแข้ง ยกขา ยกมือ แสดงโหมดอารมณ์ของตนเอง อิจฉา ริษยา โกรธกันอย่างวุ่นวาย เต็มเวทีไปหมด

    บางตัวแสดงเสร็จแล้วกำลังเดินผ่านเข้ามายังด้านหลังเวทีเพื่อผลัดเปลี่ยนชุดการแสดงต่อไป

    ..
    ลักษณะของตัวละครจะใส่ชุดลิเก ผู้แสดงเป็นเพศชายเท่านั้น แตกต่างที่เครื่องทรง สีผิวใบหน้าและอารมณ์ที่แสดงออกเท่านั้น โดยจิตจะรับรู้ได้ไวมากๆ ว่าตัวละครแต่ละตัวแสดงบทบาทอะไร และเป็นการรับรู้ของจิตที่เข้าใจแบบแจ่มแจ้ง แดงแจ๋ ไม่เหมือนที่ตอนเราเรียนหนังสือกับอจ ที่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่นี่จิตเข้าใจลึกซึ่งและชัดเจนมากในเวลาที่รวดเร็วไม่ถึง 1 วินาที

    ..
    หลังจากรับรู้เรื่องราวนี้เสร็จ จิตของ จขกท ก็เลยคล้ายปลงตกและรำพึงออกมา เหมือนตรงประเด็นช่วงแรกที่ชี้แจงไปแล้ว
    ..
    - เหตุการณ์ตอนที่ 6 สัมผัสเห็นเป็นภาพฉายในดวงจิตแต่เน้นเป็นข้อมูลมากกว่า
    ลักษณะการสัมผัสจะเหมือนเหตุการณ์ที่ 5 ที่ภาพเรื่องราวถูกฉายให้รับรู้ทางจิต

    ซึ่งจะแตกต่างจากเหตุการณ์ที่ 4 บนท้องฟ้าที่รับสัมผัสได้จากตาเนื้อและถูกสรุปจากจิต

    คือ

    เหตุการณ์ประมาณนี้
    จู่ๆ ภาพถูกฉายขึ้นมาในจิต
    เป็นลักษณะการฉายภาพบนผืนจอภาพของจอโปรเจคเตอร์
    แต่ภาพฉายไวมากๆ แบบวืปๆ ภายใน 1 วินาที
    (อารมณ์เหมือนเรากรอภาพวิดีโอให้เคลื่อนที่แบบไวๆ 4x หรือ 8x อารมณ์ประมาณนั้นไวมาก)
    แต่แปลกที่จิตรับรู้เนื้อหาได้หมด ว่าเป็นเนื้อหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไร

    ข้อมูลที่จิตสรุปได้ในเวลาอันรวดเร็วคือ
    ให้ตนเองปฏิบัติตาม
    และต้องทำการเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
    โดยทำเป็นเครือข่ายกระจายออกไปทั่วโลก
    .....
    ปล. ขออภัยท่านทั้งหลาย ถ้าเรื่องที่เล่าเหล่านี้ไปกระทบกระทั่งจิตใจของท่านให้ขุ่นมัว
    เป็นการแชร์เหตุการณ์ที่อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับ ท่านใดท่านหนึ่ง
    ที่อาจจะปฏิบัติธรรมและเข้าไปพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้
    เพราะผมเองค้างคาใจกับสิ่งเหล่านี้มานานมาก แบบอยากรู้
    ดังนั้นจึงได้โพสกระทู้เพื่อจะเป็นข้อมูลให้กับทุกท่านที่พบเจอสิ่งเหล่านี้
    ได้ทราบว่า ควรจะทำอย่างไรบ้างต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ภาษาของคุณ กำลังเดินทาง เป็นการใช้ภาษาแบบ "คลิป/นิมิต/อุปปาทาน"
    +++ ซึ่งเป็นการใช้ภาษาแบบ "การแสดงหนัง ไม่ใช่ การแสดงธรรม"

    +++ เรื่อง ประสพการณ์ ของคุณนั้น "ผม+กลุ่มฝึก" รู้ดีชัดเจน เพราะ "ฝึกผ่านมาทางนี้ จน สิ้นสงสัยหมดแล้ว"

    +++ ผมฝึก "กลุ่มฝึก" ให้เริ่มต้นที่ "โภชฌงค์ 7" ดังนั้น "อาการ มโนแทรก" จะเกิดขึ้นไม่ได้ มาตั้งแต่ต้น
    +++ ในยามเดินจิต ที่จะต้องใช้ "เหตุการณ์ ต้องมีกาย ต้องสร้างกาย" หากเกิด "มโนแทรก" จะ "รู้" ทันที
    +++ การเดินจิต "ในหลุมขาว" จะมีการ "ย้อนอดีต แห่ง ตน" ว่า "เคยเป็นอะไรมาก่อน" นั้น "มีอยู่จริง"
    +++ ไม่ใช่ "มโน" ไม่ใช่ "นิมิต" และ ไม่ใช่ "อุปปาทาน" มัน "ตรง" กับที่ พระพุทธเจ้า กล่าวไว้ใน พระไตรปิฏก

    +++ การใช้ภาษา เป็นเรื่อง "คอขาดบาดตาย" ยิ่งในยามที่ต้องมี "การเดินจิต" ด้วยแล้ว มันจะ "กลับทิศ" ทันที

    +++ ให้คุณ กำลังเดินทาง "ปรับปรุง การใช้ภาษา ให้ตรง ตามอาการที่เกิดขึ้น กับตัวคุณเอง" ด้วยนะครับ
     
  4. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    ตรงข้อความนี้
    ขออนุญาตมาเล่าเพิ่มเติมในโพสถัดไปน่ะครับ
    มีเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง
     
  5. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    แก้ไขโพสก่อนหน้า
    และอับโหลดเนื้อหาใหม่
    ตามการรับรู้และสัมผัสของ จขกท แล้ว
    ตามคำชี้แนะและเอื้ออารี
    ที่ได้รับจากท่านอจ ธรรม-ชาติ แล้วน่ะครับ
    กราบขออภัยด้วยครับ
    ..
     
  6. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..

    ขออนุญาตเล่าต่อน่ะครับ

    กับประโยคของอจ ธรรมชาติ ดังอ้างอิงข้างต้น

    ..

    ก่อนจะเล่าเหตุการณ์เพิ่มเติมตรงจุดนี้

    ขอยกเนื้อหา เรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เคยเล่าและโพสไว้ก่อนหน้ามาเกริ่นก่อน

    คือเรื่องราว ปรากฏและมีรายละเอียดประมาณนี้

    ..

    ..

    ในเหตุการณ์ที่ยกมาอ้างอิงในข้างบนนี้

    กับประโยคคำพูดของอจ ธรรมชาติ

    ที่ว่า “คุณอยู่ในดวงกลมขาวมีแรงดึงดูด อยู่แล้ว” นั้น

    คือถูกต้องครับ

    แต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะเหตุการณ์เป็นดังนี้

    เริ่มแรก

    - นั่งสมาธิ

    - จิตตกและรวมศูนย์เข้าสู่ฐานกลางกาย (ตกแบบไม่เรียบร้อย แบบไม่ใช่มืออาชีพน่ะครับคือ แบบนั่งเครื่องบินและเครื่องตกหลุมอากาศคือ ตกแบบครึๆ ลงมาเป็นชั้นๆ มาแบบงงๆ คืออะไรประมาณนี้

    - หลังจากนั้นกายเนื้อหายไป เหลือแต่ความรู้สึกของกายในที่จิตสร้างหลอกออกมาว่าเป็นแก้วใสเหมือนกายเนื้อทุกอย่าง
    - เพ่งมองตรงศูนย์กลางของกายในต่อ (ขอข้ามแสงขาวสปอร์ตไลท์วาร์ปมาจากด้านหลังไป)
    - พบดวงแก้วใสกระเด็นกระดอนข้างลำตัว และเลิกสนใจดวงแก้ว
    - นำจิตมาเพ่งมองตรงศูนย์กลางกายในต่อ
    - สักแปปหนึ่งไม่เกิน 10 วินาที
    - ดวงกลมขาวนวลโผล่วาร์ปจากด้านล่างคือ ตรงศูนย์กลางกายขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว
    - ไวมากๆ ไม่ถึง 1 วินาทีแบบฟ้าแลบเลย
    - โผล่ขึ้นมาเขมือบกายในเข้าไปหมดเลย
    - ตกใจมากเพราะ
    - กายในหลุดเข้าไปอยู่ในดวงกลมขาวนวลหมดเลย
    - อารมณ์ตอนนี้คือ ตกใจ ถามตัวเองอะไรหรือ เกิดอะไรขึ้น และทวีความกลัวตาย ใจสั่นระทีกเต้นโครมครามมาก
    - กายในดิ้นรน ทุรน ทุรายมากมาย ทั้งเตะทั้งถีบเพื่อจากออกจากภายในดวงกลมขาวนั้น
    - อารมณ์แบบเสียวเท้ามากเพราะจิตมันบอกว่าเท้าถูกดูดไปก่อน ส่วนแขนและหลังพยายามจะเขยิบตัวเกาะไว้ที่ขอบของดวงกลมขาว
    - แต่หาที่เกาะหรือจับไม่มีเลย
    - ภายในดวงกลมขาวนวล สว่างไสว มองไปรอบด้าน จะพบแต่แสงขาวนวล ไม่มีหมอกควัน เป็นสีขาวนวล สม่ำเสมอกัน ทั่วทุกตำแหน่งของดวงกลมนั้น ไม่มีกลิ่น และไม่มีเสียงอะไร มีแต่แรงดึงดูดที่พยายามลากดวงจิตให้เข้าไปตรงศูนย์กลางมากขึ้นทุกที
    - ตอนหลังที่หลุดกระเด็นออกจากดวงกลมขาวนวล และมองกลับเข้ามาพบว่าดวงกลมขาวนวลเป็นลักษณะของดวงกลมแบบ 2 มิติ
    - แต่ตอนที่หลุดเข้าไปข้างในเหมือนตัวเราหลุดเข้าไปนั่งอยู่ในดวงกลมที่มีลักษณะ 3 มิติคือ กว้าง ยาว ลึก
    - ทุกอย่างเกิดไว ตกใจ ไม่รู้คืออะไร
    - แต่ก็เหมือนกับสุดปัญญา เพราะตรงศูนย์กลางของดวงกลมขาวมีแรงดึงดูดสูงมาก
    - ซึ่งขณะนั้นกายในสัมผัสได้ว่า แรงของมนุษย์ไม่สามารถมาหยุดแรงดึงดูดนั้นได้
    - เพราะมันดูดแรงมากๆ เหมือนจะฉีกจิตวิญญาณออกมาเป็นชิ้นๆ เลย เพราะแรงดึงดูดมันดูดไปทุกอณูของกายในแบบแรง
    - อารมณ์ตอนนั้นกลัวตายมาก เพราะเคยได้ยินมาว่า มีคนนั่งสมาธิและวิญญาณออกจากร่างไปและตายไปเลย เพราะวิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ จิตคิดไปสารพัดแบบกลัวตายอย่างเดียว
    - ตอนนั้นเป็นเด็ก ยังไม่เคยเรียนนั่งสมาธิ ไม่เคยศึกษาธรรมะลึกซึ้ง ไม่รู้จักวัดป่า การนั่งสมาธิแบบหลับตาคืออะไร ความรู้ธรรมะคือเด็กทั่วไป
    - แต่โชคดีที่เกิดในครอบครัวที่ผู้เป็นแม่สอนธรรมะแบบง่ายๆ ทั่วไปคือ กายวาจาและใจ ห้ามทำสิ่งที่ไม่ดี ประมาณศีล 5 ที่ค่อนข้างบริสุทธิ์สักมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เช่น พูดคำหยาบโดนตบปาก หรือ คิดไม่ดีในใจจะละเมิดศีล ก็จะโดนตำหนิ
    - และตัวของ จขกท ชอบดูจิตดูใจ มาแต่เด็กเพราะเวลามีความทุกข์มันจะหนักอกหนักใจ ตนเองก็จะพยายามหาวิธีมาแก้ไขด้วยตนเอง สิ่งที่ทำได้คือ หาวิธีไม่เจอหรอก แต่ก็ทำได้แต่เพียงดูและติดตามจิตแทบตลอดเวลา (ในช่วงที่ทำกิจกรรม ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่คนเดียว) ก็จะดูจิต เฝ้ามองดูเวทนาที่เกิดขึ้นในใจและหาวิธีกำจัดตลอดเวลา
    - ดังนั้นอารมณ์ตอนที่หลุดเข้าไปตรงขอบดวงกลมขาวนวล จึงมีอารมณ์ประมาณข้างบนน่ะครับ
    - ที่นี่จะมาเฉลยครับว่าแล้ว ทำอย่างไรถึงหลุดออกจากดวงกลมขาวนั้นได้
    - คือ
    - หลังจากที่ต่อสู้แบบสุดเหวี่ยงอยู่ภายในดวงกลมขาวนวล พร้อมกับคร่ำครวญ
    - ฉันยังไม่อยากตาย .. ฉันยังตายไม่ได้ ฉันกลัว กลัวมากๆ แบบขึ้นสมองแล้ว
    - มือไม้หาที่จับ ที่เกาะ ก้นก็เขยิบหนี ต่อต้านจากแรงดึงดูด
    - แต่ก็หาสู้แรงนั้นได้ไม่ ต่อสู้นานมาก ฉุกละหุกไปหมด
    - จนอ่อนอกอ่อนใจ ว่าเราคงต้องตายแน่นอนเลย
    - วินาทีสุดท้าย
    - จิตแวบคิดถึงแม่ขึ้นมา
    - รำพึงในใจตนเองว่า แม่ผมคงต้องตายล่ะ แต่ผมสงสารแม่มากน่ะครับ ถ้าผมตายไป แม่จะอยู่อย่างไร ภาพของแม่ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ พี่ๆ อีก 3 คน จะเป็นอย่างไรเนอ เพราะที่เรามาเรียนหนังสือป. ตรีนี้ก็คือ ความหวังของครอบครัวของเขาทั้งหมดเลย ถ้าเราเป็นอะไรไป พวกเขาจะอยู่อย่างไร อนาคตของพวกเขาอยู่ที่เราทั้งหมด เป็นอารมณ์ที่เศร้าสร้อยมาก หดหู่ ห่วงหา อาลัย อาวรณ์
    - แค่คิดประมาณนี้แหล่ะครับ
    - หลังจากนั้นก็กระเด็นหลุดออกมาจากดวงกลมขาวนวลได้เลย
    ..
    ถ้าจะถามว่าหลุดเข้าไปในดวงกลมขาวได้ในพื้นที่ประมาณกี่เปอร์เซนต์ นึกเอาเองน่ะครับว่าประมาณ 10-20 เปอร์เซนต์ที่ห่างจากจุดศูนย์กลางของดวงกลมขาวนั้น ซึ่งทุกวันนี้ จขกท ก็ยังไม่ทราบว่าที่สุดของแรงดึงดูดของดวงกลมขาวนวลนั้นจะลากไปสิ้นสุด ณ ที่ใด อีกไกลไหม แต่ที่ประมาณนั้นคือ ประมาณจากความรู้สึกของกายเนื้อตอนนี้ว่า ตอนหลุดนั้นได้เข้าไปในดวงกลมแล้ว แต่นั่งต่อสู้ตรงใกล้ๆ ขอบเท่านั้น จึงกะว่าจากขอบไปถึงจุดศูนย์กลางน่าจะแบ่งพื้นที่วงกลมเป็นสัก 4 ส่วนจาก 100 เปอร์เซนต์ ดังนั้นตนเองน่าจะอยู่ที่ส่วนพื้นที่แรก คือ 10-20 เปอร์เซนต์
    ..
    เดียวโพสถัดไปจะมาเล่าให้ฟังอีกเหตุการณ์น่ะครับ ที่ลืมเล่าไปจากตอนต้น และเป็นเหตุการณ์แรกที่ปรากฎขึ้นหลังจากออกจากสมาธิและช่วยเพื่อนๆ ปิดห้องชมรมพุทธศาสตร์แล้ว
    ..
    ปล. ขออภัยน่ะครับ ถ้าเรื่องราวไปกระทบกระทั่งจิตใจของเพื่อนๆ ท่านใด จขกท เพียงแต่มาแชร์ประสบการณ์ที่่เคยประสบเจอมา และไม่สามารถบอกได้ว่าจริงเท็จอย่างไร ติดค้างในใจมานานมาก แต่เผื่อเป็นประโยชน์กับท่านใดที่อาจบังเอิญไปพบเห็นเหมือนเช่น จขกท ดังนั้นขอเพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลายใช้ดุลยพินิจเองน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2018
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ จริง ๆ ก็ "ถูกทั้งหมด อยู่แล้ว" เพียงแต่ คุณงงในการเล่าเรื่องของ ตัวคุณนั่นเอง
    +++ ตรงนี้แหละ ที่ผมบอกว่า "คุณอยู่ในดวงกลมขาวมีแรงดึงดูด อยู่แล้ว"
    +++ นี่คือ "เหตุการณ์ข้างใน ดวงกลมขาว"
    +++ ก็นี่แหละ "ถูกทั้งหมด" เหตุการณ์ "ข้างใน" มันเป็นอย่างนั้น
    +++ ท่อนนี้ "หลุดออกมาแล้ว" ไม่เกี่ยวกับ "ข้างใน" อีก
    +++ บอกตามตรงว่า "ตรงนี้ ผมไม่ถามหรอก" เพราะความจริง มันอยู่ที่ 30-33% จากแหล่ง "กำเนิดแสง"

    +++ ณ จุดบริเวณ 30-33% คือ "จุดถอน ออกจากสมาธิ เข้าสู่ ปัจจุบัณขณะ" เพียงแต่ คุณ ไม่รู้จักมันเอง
    +++ เวลาเล่า "อย่าเล่าแบบ ติดกันเป็นพรืด" เพราะมันจะกลายเป็น "เล่าแล้ว เล่าอีก" ไม่รู้จบ

    +++ คุณลอง "กลับไปอ่าน ทวนอย่างละเอียด ตั้งแต่ต้นกระทู้" ก็จะพบได้เองว่า "เล่าซ้ำ ๆ กันมากี่รอบแล้ว"


    +++ จะบอกให้ก็ได้ว่า "เหตุการณ์ทั้งหมด" ที่คุณเล่ามา เป็นเหตุการณ์ "ภายในของ หลุมดำ" ในส่วนที่ "เลยภาคตัด X มาแล้ว"

    +++ ในช่วงที่ "เลยภาคตัด X มาแล้ว" นั้น เป็นส่วนของ "ด้านหลุมขาว" ตรงนี้ คำศัพท์ของคุณ ใช้คำว่า "ดวงกลมขาว" ซึ่งก็ไม่เป็นไร

    +++ อย่างที่ "เคยบอกไว้แล้ว" ว่า ประสพการณ์ของคุณนั้น ผมและกลุ่มฝึก "รู้จักเป็นอย่างดี"

    +++ ตั้งแต่ "ปากทางเข้าหลุมดำ" ตั้งสติให้ "แรงดึงดูด ถูกรู้ ส่วนเรา รู้อยู่" จากนั้น ปล่อยให้ไหลไปถึง "ศูนย์กลาง (ภาคตัด X)"

    +++ ผ่านแหล่งกำเนิดแสง (ดวงขาวของคุณนั่นแหละ) ไหลเลื่อนออกมาช้า ๆ สำรวจ "รู้" การก่อเกิด "อายตนะ" ทีละส่วน ๆ

    +++ ตั้งแต่ มีแต่ธรรมารมณ์อย่างเดียว (อรูป) ก่อกำเนิดอายตนะและรูป (รูป) จนมาเสพธรรมารมณ์จากอายตนะทั้ง 5 (กามาวจร)

    +++ ในแต่ละปล้อง จะมีเรื่องราวแตกต่างกันไป (น่าจะอยู่ในกระทู้อื่น) หากเป็น "ปล้อง" ก่อนจุดถอน มันจะเป็น "อดีต" ของจิตคุณเอง

    +++ หากคุณมีความสามารถ Jump ข้ามจุดถอน (30-33%) คุณก็จะ "เห็น" อนาคตของจิตคุณเองได้

    +++ เรื่องพวกนี้ "ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วย การอ่านเองคิดเอง" แต่จะ "รู้" ได้ด้วยการ "ลงมือทำ" เท่านั้น

    +++ ก็คงแค่นี้แหละ บางสิ่งบางอย่างโพสท์มากไป ในกระทู้สาธารณะ จะเป็น โทษมากกว่าคุณประโยชน์

    +++ อย่าลืมว่า ในที่สาธารณะนั้น มันเป็น นานาจิตตัง โพสท์เท่าที่ "สมควร" ก็พอ นะครับ
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    ดวงกลมใส ก็คือ กสินแสงสว่าง ของ วัดธรรมกาย ครับ

    ส่วน ไอ้ที่ไล่ดูดคุณ เหมือนหลุมดำ ก็เพราะว่า
    เป็นของเก่าในอดีตชาติของคุณที่คุณ
    ชอบเอาจิตของตัวเอง ใส่เข้าไปในกสินจนชิน
    ตายแล้วมาเกิดใหม่ ก็ยังทำได้เหมือนเดิมครับ

    อันนี้เป็นของดีของคุณเอง ไม่ต้องไปวิ่งหนีมัน
    วิ่งเข้าใส่เลย แล้วฝึกใช้ให้ชำนาญ
    ฝึกย่อกสินให้เล็กที่สุด ทำได้เท่า เม็ดข้าว ยิ่งดีใหญ่
     

แชร์หน้านี้

Loading...