เสียงธรรม สังเกตพื้นเพของจิต

ในห้อง 'ธรรมเพื่อความหลุดพ้น' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 22 เมษายน 2011.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    กุฏินี่ก็จะค่อยเปลี่ยนเรื่อยๆ นะ ขึ้นบันไดหากุฏิลำบากแล้วเดี๋ยวนี้ ต่อไปก็เอาพื้นข้างล่างเป็นที่พักละ ขึ้นไม่ไหว จะเอาข้างล่างจัดเป็นที่พัก มาเข้าเลยออกเลย กำลังลด ได้คำนวณดูกำลังของเรานี้ อายุ ๒๓ ปีกำลังเต็มที่เลย อายุ ๒๓ ปีกำลังมีเต็มที่ แล้วมีกำลังเรื่อยๆ ยืนตัวไปเรื่อยๆ ถึง ๔๖ อายุ ๒๓ ถึง ๔๖ ปี เริ่มลดปี ๔๖ เหล่านี้เราวัดกันได้ แต่ก่อนไม่มีทางรถยนต์ เดินจากนี้ไปอุดรไปทางด้านนี้มันมีเครื่องหมายอันหนึ่ง มีสะพานเป็นเครื่องหมาย จากนี้ปั๊บไปถึงสะพานนั้นธรรมดาที่กำลังมันยืนตัว ๑ ชั่วโมงเป๋งถึงปั๊บๆ ไม่เคลื่อนนะ

    ทีนี้พออายุ ๔๖ ยังไม่ถึงสะพาน ได้ชั่วโมงแล้ว อ่อ ลดแล้ว อายุ ๔๖ กำลังลด จากนั้นมาเขากั้นเขื่อนเลยน้ำท่วมหมด สะพงสะพานที่เป็นเครื่องหมายก็ไม่มี แล้วรถพาไปด้วย ไม่ได้เท้าพาไปเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนเดินด้วยเท้า ไปถึงระยะไหนๆ ไม่เคลื่อนคลาดนะ อายุ ๔๖ เริ่มลด กำลังลดแล้ว ๒๓ ปีนี้กำลังเต็มที่เลย เวลาฉันจังหันนี้อ้าว เป็นจริงๆ นะ ในจิตเป็น คือหงุดหงิดโมโหให้เจ้าของ ก็กินเต็มท้องแล้วมันยังอยาก มันจะกินไปหาพ่อหาแม่มันอย่างไรนัก จะว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม ก็เต็มท้องไม่มีอะไรจะใส่มันยังอยาก แล้วเอาข้าวเปล่าๆ มากินหวานนะ ข้าวเปล่าๆ ไม่มีอะไร มีรสหวานนะ ขนาดนั้นละ

    นี่เวลามันดูดดื่มเต็มที่ ตั้งแต่ ๒๓ ปีไปถึง ๔๖ มีกำลังเต็มตัวๆ ไปถึง ๔๖ ลดๆ จากนั้นมาไม่กำหนด จะขึ้นกุฏิก็ลำบากแล้วเดี๋ยวนี้ลดหรือไม่ลด ต่อไปก็จะอยู่ใต้ถุนกุฏิ ให้จัดทำที่พักข้างล่างเลย เข้าใต้ถุนกุฏิบ้าง เดี๋ยวนี้ขึ้นกุฏิก็ลำบากแล้ว ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะลำบากอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เป็นแล้วชัดเจนมาก ขึ้นกุฏิลำบาก

    ก็ดีอย่างหนึ่งนะเราบวชมา เฉพาะอย่างยิ่งทางภาคปฏิบัตินี้ได้คำนึงคำนวณเรื่องความเป็นอยู่กำลังวังชาของเจ้าของได้ดี อายุ ๒๓ กำลังเต็มที่ ไปถึง ๔๖ ลด จากนั้นมาก็ลดเรื่อยๆ นิสัยเรามันเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว แข็งแรง เดี๋ยวนี้มันลดขนาดนั้นละ การปฏิบัติธรรมก็เริ่มแรกแต่บวชวัดโยธานิมิตร เวลาไปเป็นนาคอยู่วัดโยธา ท่านพระครูท่านพักอยู่ในโบสถ์ อยู่ข้างหลังพระพุทธรูป ท่านสวดมนต์เก่งนะ เราไปเป็นนาค เรานอนอยู่ในโบสถ์นั้นแหละแต่ประตูโบสถ์ข้างใน ท่านอยู่นู้น พวกเราพวกนาคสองสามคน ตอนเช้าท่านออกมาเดินจงกรม ตี ๔ ตี ๕ ท่านออกไปเดินจงกรม เราก็สังเกตดู ท่านสวดมนต์เก่ง ตอนอายุ ๒๓ นี่กำลังเต็มที่ละ ถึง ๔๖ ลด เดินไปถึงจุดนั้นเวลาเท่านั้น ทีนี้เวลามันลด มองเห็นยังไม่ถึงจุดเวลาถึงก่อนแล้ว ได้ ๑ ชั่วโมงอย่างนี้เป็นต้น จากนั้นก็ลดลงๆ เรื่อย ได้คิดอ่านตัวเองกำลังวังชา พื้นเพของจิตใจ จนกระทั่งออกมาบวชศึกษาความรู้นี่ค่อยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

    พอเข้าศึกษาความรู้จากอรรถธรรมนี่ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนดีอย่างหนึ่ง เปลี่ยนมีแต่เปลี่ยนระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ลด ความรู้สึกไม่ลด บวชทีแรกก็บวชธรรมดาจะสึกไป ครั้นบวชไปแล้วไปอ่านธรรมะ มันดูดดื่มเรื่อยๆ ทีนี้จิตเลยดื่มเรื่อยๆ ไม่ลดนะ เรียนหนังสือเข้าไปก็ดูดดื่มทางภาคปฏิบัติเรื่อยๆ ทีนี้พอหยุดเรียนแล้วเข้าปฏิบัติ นี่ละจะได้ดูจิตใจเจ้าของชัดเจนตอนนี้ ความหลุกหลิกของจิต ความคิดของจิตมันชอบคิดไปอย่างไรมากน้อยเพียงไร คิดพิจารณาธรรมะเป็นน้ำดับไฟ ธรรมะระงับลงๆ เรื่อยๆ เข้าภาคปฏิบัติเห็นจิตมีความสว่างมีความผ่องใสเรื่อยๆ สงบเย็น

    จิตมีความผ่องใส ระลึกได้เวลาอยู่บนภูเขาเงียบๆ อยู่หลังเขาเลย สูงที่สุดละไปอยู่หลังเขา ปรากฏว่าอากาศข้างบนหลังเขานี้ละเอียดมากเชียว เงียบเลย เวลาเราเข้าภาวนาทีแรกพอนั่งปั๊บจิตสงบ สติเข้ามาหาจิตแล้วจะได้ยินเสียงลมหายใจดังตุบตับๆ หัวใจทำงานมันดังตุบตับๆ อยู่ข้างใน พอเราเริ่มภาวนาแล้วอันนี้ก็หายไป ภาวนาไปจิตค่อยผ่องใสไปเรื่อยๆ สังเกตพื้นเพของจิตด้วยการภาวนาได้ดีนะ แล้วค่อยสงบค่อยผ่องใส อารมณ์ลดน้อยลง อารมณ์หยาบลดลงๆ ยังเหลือแต่อารมณ์ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ภาวนาเรื่อยไป อารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นที่เป็นภัยต่อจิตใจเรียกว่าอารมณ์ของกิเลสค่อยเบาลงๆ

    ทีนี้เวลาจิตมันได้รับผลมันก็ดูดดื่มทางด้านจิตตภาวนา ไปอยู่ที่สงัดเท่าไรยิ่งดี จิตที่มีความสงบเย็นใจแล้วไปอยู่ที่สงัดเท่าไรยิ่งดี ขึ้นอยู่บนภูเขา บางทีเหมือนโลกธาตุดับหมดเลย จิตมันลงเต็มที่ ไม่มีอะไรเหลือ แม้ที่สุดร่างกายก็หายไปตามๆ กันเลย เหลือแต่ความละเอียดอันหนึ่งที่พอพูดได้ว่ามี นอกนั้นสูญหมดเลย มีอันหนึ่งที่ปรากฏว่ามันละเอียดสุดขนาด พูดได้แต่ว่าสักแต่ว่ามี คือมีความรู้อันนี้ นอกนั้นหมดไม่มีอะไรเลย ก็มามีอยู่ที่ว่าสักแต่ว่ารู้ รู้อย่างละเอียดสุขุมมากทีเดียว

    ฝึกไปๆ จิตก็ยิ่งละเอียดเข้าไปๆ พิจารณาร่างกายนี้ฟาดแตกกระจัดกระจาย มันชำนาญ มีแต่อสุภะอสุภังเต็มโลกเต็มสงสาร เมื่อถึงขั้นอสุภะอสุภังพิจารณาอะไรเป็นแต่ป่าช้า เป็นป่าช้าผีดิบไปหมด เวลามันพิจารณาของมันมันผ่านของมันได้นะ คือพิจารณาร่างกายก็เป็นอย่างนั้นละ ไปที่ไหนมีแต่ป่าช้าผีดิบ จิตอยู่ในขั้นนี้พิจารณาอย่างนี้ พอจากนี้แล้วรูปนี้หมดนะ เรื่องร่างกายเรื่องอสุภะอสุภังไม่มี หมด นี่มันผ่านของมันแล้ว พิจารณาร่างกายหมด ยังเหลือแต่จิตกับอารมณ์ของจิตที่มันเกิดดับๆ แล้วก็พิจารณาเข้าไปๆ นี่เรียกว่าพูดอย่างย่นๆ เข้ามา เข้ามาหมดแล้วจิตก็ว่าง อะไรๆ ว่างหมดเลย ยังเหลือแต่ความรู้ จนกระทั่งเกิดความอัศจรรย์ในเจ้าของ

    เวลามันว่างมันเกิดความอัศจรรย์นะ คือมันว่างหมดจริงๆ ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่ง อิริยาบถใด เว้นแต่หลับ มันจะว่างของมันตลอด นี่เมื่อมันหมดสภาพ อนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตา นี้แล้วหมดด้านวัตถุ จะมีแต่ความละเอียดของจิตเรื่อยๆ เข้าไป ชัดเข้าไป สติสำคัญมาก ละเอียดเข้าไป มีแต่อารมณ์ของจิตที่เกิดแล้วดับๆ พิจารณาเข้าไปจนกระทั่งถึงตัวจิต ตัวจิตคืออวิชชาครอบอยู่นั้น

    พิจารณาเข้าไปถึงจุดที่อวิชชาจะพัง มันหมดที่พิจารณา อะไรก็ไม่มีหมด มันปล่อยหมด ยังเหลือแต่ความรู้ ความรู้ก็กิเลสก็อยู่ในนั้น อวิชฺชาปจฺจยาสงฺขารา พิจารณาเข้าไปตรงนั้นๆ เดี๋ยวก็พังอวิชชา พังอวิชชาออกหมดความรู้ล้วนๆ ทีนี้จ้าขึ้นมา อวิชชานี้ไม่ใช่ของเล่นนะ เรียกว่านางงามจักรวาล ละเอียดลออมาก ทำให้อัศจรรย์ได้เหมือนกัน พออันนี้ผ่านปั๊บลงไปอันนี้ จึงมารู้ว่าอวิชชานี้เหมือนกับกองขี้ควาย ตัวที่อยู่ใต้อวิชชานั่นละธรรมชาติที่เลิศเลอ

    ทีนี้จ้าขึ้นมาเลย อวิชชาดับหมด เหลือแต่อันนั้นจ้าขึ้นมา เป็นความรู้ธรรมชาติแท้ หมดมลทิน หมดสมมุติทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือแต่จิตล้วนๆ แล้วมันจ้าเลย นั่นละฤทธิ์เดชของจิตของธรรม จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน มันก็เลยจ้าไปเลย ถึงขีดถึงแดนแล้วโลกสมมุติดับหมดเลย มันดับอยู่ที่ใจไม่ดับที่ไหน สิ่งทั้งหลายเขาก็มีของเขาอยู่อย่างนี้ แต่มันเป็นที่ใจ ดับไปที่ใจแล้วว่างหมด ว่างภายนอก ทีแรกว่างภายนอก เป็นความอัศจรรย์ มันว่างไปหมดเลย แต่ยังไม่ว่างภายใน ยังติดตัวเอง ความรู้ของตัวเอง

    พอถอยเข้ามาถึงจิตดวงนี้ที่ไปยืนขวางอยู่ห้องโล่งๆ ว่าห้องนี้ว่างๆ สุดท้ายก็ว่าห้องนี้ยังไม่ว่าง เพราะเราไปยืนขวางห้องอยู่ในกลางห้องนั้น ห้องนี้จึงยังว่างไม่ได้ พอถอยมาพิจารณาอันนี้ถอนอันนี้ออกปั๊บทีนี้ว่างหมด ว่างทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน ปล่อยทั้งภายนอก ปล่อยทั้งภายใน ทีนี้หมดละ เรียกว่าเสมอหมดเลย นี่คือการภาวนา มันเห็นไปทุกระยะ ละเอียดไปๆ จนกระทั่งพิจารณาวัตถุอะไรเหล่านี้หมด พอถึงขั้นมันปล่อยมันรู้ของมันแล้วผ่านไปๆ ไปถึงขั้นอวกาศ อวกาศนี้มันว่างหมดเลย อวกาศของจิตเข้ามาถึงขั้นว่างตอนนี้ อวกาศของจิตปรากฏว่ามันว่างหมด ครั้งสุดท้ายกลายเป็นอวกาศของธรรม

    พอจิตนี้ปล่อยตัวเองปุ๊บเท่านั้น อวกาศของจิตคือว่างทั้งหมด แต่จิตยังไม่ว่าง คือยังไม่วาง พอพิจารณาเข้าถึงจิตนี้แล้วปล่อยสภาพทั้งหมดเสมอกันหมด เรียกว่าอวกาศของธรรม นี่ละอวกาศของธรรม นั่นคือถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มส่วน อวกาศของจิตนี้เราพูดทางภาคปฏิบัติ อวกาศของจิตนี้ยังไม่ว่างหมด ตัวเองยังขวางตัวเองอยู่ พอถอนตัวเองออกจากห้องนี้แล้วห้องก็ว่างหมด ทีนี้ถอนตัวเองออกจากความถือจิตจิตก็เลยว่าง ว่างเสมอกันหมดเลย นั่นการพิจารณาเป็นอย่างนั้นละ เลยว่างหมดเลยที่นี่ ว่างหมด วางหมดเลย นี่ละคุณค่าของการภาวนา เพราะฉะนั้นจึงได้ยกขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเลย

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา นั่นขึ้นแล้วนะ สาวกทั้งหลายที่เป็นสรณะของพวกเราบรรลุธรรมด้วยการภาวนา คือกลั่นกรองจิตเจ้าของเข้าไปๆ จนกระทั่งว่างหมดเลย สุดท้ายนี้หมด ไม่ได้มีป่าช้า หมด จะไปเกิดไปตายที่ไหนหมด ไม่มีเงื่อนต่อ ก็ยังเหลือแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พอขันธ์ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความบริสุทธิ์นี้ก็กลายเป็นธรรมธาตุไปเลย จะเรียกอะไรไม่ถูก เรียกได้แต่ว่าธรรมธาตุ คือจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว แต่ยังครองขันธ์อยู่ก็เรียกว่าจิตบริสุทธิ์ แต่เป็นธรรมธาตุอยู่ในตัวของมัน แทรกๆ อยู่ในนั้น พอขันธ์พังลงไปหมดแล้วนี้เป็นธรรมธาตุเด่นเต็มตัวเลย ทีนี้พูดอะไรไม่ได้ละ

    นี่ไม่สูญ จิตนี้ไม่สูญ ไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ ทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมสูญคือจิต เวลามันถอนตัวขึ้นมาจากหล่มลึกแล้วขึ้นมาสู่ข้างบน ทีนี้มันก็ละเอียดไปทางที่ดี ฝึกหัดเข้าไปจนกระทั่งถึงขั้นสุดท้ายของจิต ก็เลยกลายเป็นธรรมธาตุไปเลย อวกาศของจิตแล้วก็อวกาศของธรรม พอขึ้นถึงอวกาศของธรรมทีนี้เสมอหมด หมด อวกาศของจิตยังไม่เต็มที่ พอเป็นอวกาศของธรรมนี้เต็มครอบหมดเลย นั่นละท่านเรียกว่าจิตดวงนี้เป็นธรรมธาตุไปแล้ว นั่นละที่ว่าไม่สูญๆ ไปไหน จิตดวงนี้ไม่สูญไปไหน ไปเป็นธรรมธาตุ

    ท่านว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ตรงนั้นละ นิพพานเที่ยงกับธรรมธาตุนี้อันเดียวกัน ให้ชื่อว่านิพพานเที่ยง แล้วธรรมธาตุก็อยู่อันเดียวกัน ทีนี้ไม่มีกฎ อนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตา ของสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องเลย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ จิตนี้เมื่อถึงขีดสุดเต็มที่แล้วเป็นธรรมธาตุนะ ไม่ได้สูญ หากเป็นธรรมธาตุ นี่ละภาคปฏิบัติเห็นได้อย่างชัดเจนขนาดนั้น ใครจะพิสูจน์อะไรก็ตาม ถ้าไม่พิสูจน์จิตไม่มีหายสงสัยได้ ถ้าเข้าถึงจิตเต็มที่แล้วถึงขั้นธรรมธาตุของจิตแล้วหายสงสัยหมด หมดเลย เราจะว่าอะไรสูงอะไรต่ำไม่ได้ เป็นธรรมธาตุอย่างเดียวหมดเลย

    คำเหล่านี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินที่ไหนว่าซิ ศาสดาองค์เอกเป็นอย่างนี้ สาวกทั้งหลายเป็นอย่างนี้ เมื่อเข้าถึงขั้นนี้แล้วเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมด นี่ละคุณค่าของการฝึกหัดอบรมจิตใจของเรา ถึงขั้นเต็มที่แล้วก็เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ ครองขันธ์อยู่ก็เป็นธรรมธาตุอยู่ในขันธ์ พอขันธ์แตกอันนั้นก็เป็นธรรมธาตุของตัวล้วนๆ ไม่มีสมมุติใดเข้าไปเกี่ยวข้องเช่นขันธ์เป็นต้น วาระสุดท้ายขันธ์สลายออกไปจิตก็เป็นธรรมธาตุเต็มตัว

    ให้พากันจดจำเอา มาปฏิบัติธรรมให้ได้ธรรม อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งยกโทษยกกรณ์ คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี มาอยู่ในวัดเป็นที่อบรมศีลธรรมให้รู้ทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่ว วางตัวลงในศูนย์กลางไม่เอนไม่เอียง ต้องเป็นการอบรมธรรมเท่านั้น ทีนี้เข้ามานี้มากัดกันเหมือนหมาใช้ไม่ได้นะ เดี๋ยวทะเลาะกัน มองดูแต่เขาไม่มองดูเรามันใช้ไม่ได้ ตัวเรานี่เป็นตัวเสนียดเสียดแทงที่สุด ตัวนี้เป็นตัวก่อเหตุ พอมารู้ตัวนี้แล้วปล่อยโดยประการทั้งปวง ใครจะดีจะชั่วก็เป็นเรื่องของแต่ละรายละบุคคล เป็นสภาวธรรมไปตามๆ กันหมด ไม่ได้มีจะไปยกตรงไหนไปเหยียบย่ำทำลายอะไร ไม่มี หมด สภาพนี้ตัวดิ้นมันขาดสะบั้นไปหมด ความดิ้นไม่มี เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ อย่างมากก็แสดงออกความเมตตา เป็นอย่างนั้น ที่จะไปยกโทษยกกรณ์เขาจนมากระทบกระเทือนจิตใจของตนให้ได้รับทุกข์ด้วยนี้ไม่มี หมด นั่นละพากันจำเอา เอาละวันนี้จะให้พร

    ไปนี้ก็ไปทำประโยชน์ให้โลกทั้งนั้น ที่ดีดที่ดิ้นนี้ไม่ใช่เพราะอะไรนะ เพราะความเมตตา จิตสบาย ความเมตตานี้มันครอบไปหมดเลย เห็นอะไรสงสาร จิตนี้ถ้าลงบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็กลายเป็นจิตเมตตาอ่อนนิ่มไปหมดเลย ไม่มีพิษมีภัยกับผู้ใด ใครจะติจะชมก็เป็นเรื่องของเขา เราก็เต็มตัวด้วยความบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยเมตตาเท่านั้น

    ข้อปฏิบัติมีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ จิตตภาวนานี้จะเป็นงานที่ม้วนเสื่อ หมดงาน ลงจิตถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ เสร็จงานการประพฤติพรหมจรรย์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว พอกิเลสขาดจากใจหมด งานของใจก็หมด ถ้ากิเลสยังมีอยู่ในใจมากน้อยงานของใจยังมี ละเอียดก็มีงานถ้ากิเลสยังมีอยู่ ละเอียดขนาดไหนงานประจำใจยังมี พอกิเลสขาดสะบั้นลงหมดแล้วหมดงานของใจ นั่นละท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วคืองานแก้กิเลส งานอื่นที่จะให้ยิ่งกว่านี้ไปอีกไม่มี เสร็จตรงนั้นละ การประพฤติวัฏวนวัฏจิตก็สิ้นสุดลงในวุสิตํ พฺรหฺมจริยํ สิ้นสุดลงจุดนั้น กิเลสม้วนเสื่อจากใจไปหมดแล้วเรียกว่างานจบสิ้นหมด

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • m03-03-2551.mp3
      ขนาดไฟล์:
      8.5 MB
      เปิดดู:
      1,365
  2. WongsakornS

    WongsakornS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +9
    อนุโมทนาครับ
     
  3. EakChutidet

    EakChutidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +856
    ขออนุโมทนา ขอความเจริญในธรรมจงบังเกิดแก่ทุกท่าน
    ทุกรูปทุกนาม หากการกระทำใดๆ ของข้าพเจ้าล่วงเกิน
    ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวจีกรรม,มโนกรรม ข้าพเจ้าขอ
    อโหสิกรรมมา ณ ที่นี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...