"สัจธรรม"กับ"สันนิษฐาน"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย มหาวัฎร, 8 กรกฎาคม 2012.

  1. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    สัจจธรรม คือธรรมะที่มีจริง เป็นจริงแท้ ไม่วิปริต
    พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 298

    ว่า ภาวะใด เมื่อบุคคลเพ่งอยู่ด้วยปัญญาจักษุ ย่อมไม่วิปริตเหมือนมายากล

    ไม่ลวงตาเหมือนพยับแดด ไม่เป็นสภาวะที่ใคร ๆ หาไม่ได้เหมือนอัตตาของ

    พวกเดียรถีย์ โดยที่แท้เป็นโคจร (อารมณ์) ของอริยญาณ โดยประการมี

    การเบียดเบียน (ทุกขสัจจ์) มีเหตุเป็นแดนเกิด (สมุทัยสัจจ์) มีความสงบ

    (นิโรธสัจจ์) มีการนำออก (มรรคสัจจ์) ซึ่งเป็นของแท้ ไม่วิปริต เป็นของจริง

    ทีเดียว ภาวะที่สัจจะเป็นของแท้ ไม่วิปริต เป็นของจริง เป็นดังลักษณะไฟ

    และเป็นดังธรรมดาของสัตว์โลก (ต้องเกิดแก่เจ็บตาย) นั้น บัณฑิตพึงทราบว่า

    เป็นอรรถของสัจจะ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า อิทํ ทุกฺขนฺติ โข ภิกฺขเว

    ตถเมตํ อวิตเมตํ อนญฺญถเมตํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า นี้ทุกข์

    ดังนี้แล นั่นเป็นของแท้จริง นั่นเป็นของไม่ผิด นั่นไม่เป็นไปโดยประการอื่น

    ________________ความแตกต่าง_______________


    สมมติฐาน (หรือสะกดว่า สมมุติฐาน) หรือ ข้อสันนิษฐาน คือการอธิบายความคาดหมายล่วงหน้าสำหรับปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตได้ มักใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผล การทดลอง หรือการวิจัย ในทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จะตั้งสมมติฐานจากสิ่งที่สังเกตการณ์ได้ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยทฤษฎีที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำหรับในความหมายอื่น สมมติฐานอาจเป็นบรรพบทหรือญัตติที่จัดตั้งขึ้น เพื่อใช้ในการสรุปคำตอบของปัญหาประเภท ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วจะเป็นเช่นไร


    __________________________________________________

    ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ หลักธรรมต่างๆขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้ เพื่อดำรงค์ไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ด้วยน้ำพระทัยอันมีเมตตาทรงเอ็นดูและอนุเคราะห์ แก่เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบัน ได้ถูกโยงมาเชื่อมต่อกันระหว่าง"สัจธรรมและสันนิษฐาน" เพราะเหตุผลเดียวคือ ไม่มีผู้ใดหรือหาผู้รู้จริงได้น้อยในการแสดงธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะมาจากในที่ใดก็ตาม นี่คือ"ภัยร้าย"ที่จักทำลายเหตุและผลของความเข้าใจใ นความหมายของคำว่า"สัจธรรม" หากเป็นอย่างนี้เรื่อยไป พระพุทธศาสนาจะหลงเหลือเพียงแค่ความหมายของคำว่า"สันนิษฐาน"เพียงเท่านั้น เพราะเหตุใด ? .....
    องค์คุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนแสดงธรรมโดยมีเหตุและผล ชัดเจน แต่ในปัจจุบันนี้ เหตุไฉน จึงมีคำว่า" ทำอย่างนั้นอาจมีผลอย่างนั้นก็ได้ , อาจจะเป็นอย่างนั้นบ้าง,อาจจะเป็นอย่างนี้บ้าง เหมือนสำนัก"อะไรก็ได้ เป็นอย่างนี้ก็ได้, เดี๋ยว ,ยัง ,ระวัง ,จะ เป็นอย่างนั้นก็ได้ ออกมาเพียบ ก็เพราะไม่เคยรู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งนั้นๆ เพราะเหตุใด ?เป็นภาระของผู้ใด มิใช่ภาระของเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายดอกหรือ ที่ได้สืบทอดพระพุทธศาสนาแล้วนำออกมาแสดง สั่งสอนอนุชนรุ่นต่อๆมาด้วยความเอ็นดูและอนุเคราะห์ ที่นี้สิ่งที่ควรระมัดระวังและควรจะใส่ใจคือ ไม่ควรประมาทในธรรม ก็คือในธรรมที่นำเอาออกมาแสดงแก่กันและกันนั่นเอง " ไม่เข้าถึงและเข้าใจหรืออย่างไรว่า" ที่สุดของการประพฤติพรหมจรรย์ของพุทธศาสนานี้ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพียงเท่านั้น ! " ฉนั้น เมื่อยังไม่รู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น ควรปฎิบัติ ควรแจกจ่าย ควรทำให้ถึงที่สุดก่อน ก็ไม่ควรนำมาแสดง นำมาสั่งสอน นำมาวิจาร์ณกันให้เสียกาล เพราะมาเสียเวลาเปล่าๆไปกับการค้นหา สืบหาข้อเท็จจริง ฉนั้น ในพุทธศาสนานี้ จึงไม่มีคำว่า" เป็นไปไม่ได้ คือ ทำอย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น อย่างแน่นอน ไม่มีคำว่า ทำอย่างนั้น แล้วจะได้อย่างอื่น อุปมา เหมือนแม่โคท้องย่อมออกลูกเป็นโค จัก ออกลูกเป็น พืชผักผลไม้ ได้ที่ไหน "

    { อยากให้หายไปจากเว็ปกัลยาณมิตรนี้เสียที "การสมมุติฐานและสันนิษฐาน"เหล่านี้ ไม่ควรมีอยู่ เพราะเป็นที่ตั้งของเหตุแห่งความเสื่อม ,เหตุแห่งความสงสัยคลางแคลงใจ หากรู้ว่าตนเองเป็นผู้มีปัญญามากหรือน้อยก็ตาม แต่ยังไม่ค่อยรู้ความใดๆ อย่างชัดเจน ชัดแจ้ง แสดงเหตุและผลอันเป็นที่กระจ่างแจ้ง ไตร่ตรองตามเห็นจริงได้ แก่พุทธบริษัททั้งหลายได้ ก็อย่าได้มาเพื่อทำลายสติปัญญาของผู้ใคร่ความเจริญในธรรมทั้งหลายเลย ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ อมนุษย์ ยักษ์มารใดๆก็ตามแต่ อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียนกันในสถานเจริญใจ ใฝ่ศึกษาธรรมเช่นนี้เลย แค่ความสับสนวุ่นวายของโลกในยุคปัจจุบันนี้ ก็เป็นเหตุยังให้มีผลเสีย แก่ผู้ศึกษาและปฎิบัติธรรมทั้งหลายมากพออยู่แล้ว ขออนุโมทนาบุญฯ }
    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...