สัทธรรมปุณฑริกสูตร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Pariotha, 25 สิงหาคม 2020.

  1. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    สัทธรรมปุณฑริกสูตร

    บทที่ ๑
    บทนำ

    ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้
    ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุชั้นนำหมู่ใหญ่จำนวน ๑๒,๐๐๐ รูป ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์อันอาสวะหมดสิ้นแล้ว กิเลสไม่มีอีกแล้ว ได้บรรลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว ยุติเครื่องผูกมัดแห่งภพได้แล้ว และมีจิตเป็นอิสระแล้ว
    ชื่อของท่านเหล่านี้ อาทิ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระมหากัสสปะ พระอุรุเวลากัสสปะ พระคยากัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัจจายนะ พระอนิรุทธะ พระกัปปินะ พระควัมปติ พระเรวัต พระปิลินทวัตสะ พระวักกุละ พระมหาโกษฐิละ พระนันทะ พระสุนทรนันทะ พระปุณณมันตานีบุตร พระสุภูติ พระอานนท์ และพระราหุล ท่านเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นพระมหาอรหันต์ อันคนทั้งหลายรู้จักกันดี
    ยังมีพระสาวกอีก ๒,๐๐๐ รูป อันบางรูปยังเป็นพระเสขะและบางรูปเป็นพระอเสขะแล้ว
    มีพระมหาปชาบดีภิกษุณีพร้อมด้วยผู้ติดตาม ๖,๐๐๐ คน และมีมารดาของพระราหุล พระยโสธราภิกษุณีพร้อมด้วยผู้ติดตามของพระนาง
    มีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ๘๐,๐๐๐ องค์ ทั้งหมดไม่เคยเสื่อมถอยจากการแสวงหาอนุตตรสัมมาสัมโพธิเลย ทุกองค์ได้รับธารณี ยินดีในการสอน มีปฏิภาณโวหารคล่องแคล่ว และหมุนธรรมจักรอันไม่มีการถอยกลับ ท่านเหล่านี้ได้ทำการบูชาพระพุทธะมาแล้วมากมายหลายแสนพระองค์ และภายใต้พระพุทธะเหล่านั้นได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีไว้มาก ได้รับการยกย่องจากบรรดาพระพุทธะอยู่เสมอ ได้อบรมตนแล้วในความกรุณา มีความสามารถในการเข้าสู่พุทธปัญญา รู้แจ้งสมบูรณ์ในมหาปัญญาและเข้าถึงฝั่งโน้นแล้ว ชื่อเสียงของท่านเหล่านี้ได้แพร่กระจายทั่วไปในโลกธาตุมากมาย และท่านเหล่านี้สามารถช่วยสรรพสัตว์ได้หลายแสนนับไม่ถ้วน
    พระนามของพระโพธิสัตว์เหล่านี้ เช่น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พระนิตโยทยกตะโพธิสัตว์ พระอนิกษิปตธุระโพธิสัตว์ พระรัตนปาณีโพธิสัตว์ พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ พระประทานสุระโพธิสัตว์ พระรัตนจันทร์โพธิตว์ พระรัตนประภาโพธิสัตว์ พระปูรณจันทร์โพธิสัตว์ พระมหาวิกรามินโพธิสัตว์ พระอนันตวิกรามินโพธิสัตว์ พระไตรโลกยวิกรามินโพธิสัตว์ พระภัทรปาลโพธิสัตว์ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระรัตนากรโพธิสัตว์ พระสุสารถาวาหะโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์อย่างนี้มีจำนวน ทั้งหมด ๘๐,๐๐๐ องค์ด้วยกัน
    ครั้งนั้น ท้าวศักระ เทวนัม อินทรา ก็มาร่วมประชุมพร้อมด้วยเทพบุตรบริวาร ๒๐,๐๐๐ องค์ ยังมีอริยจันทรเทพบุตร สมันตคันธเทพบุตร รัตนประภาเทพบุตร และจตุมหาเทวราช มาพร้อมด้วยเทพบุตรบริวาร ๑๐,๐๐๐ องค์
    ในที่นั่นยังมีอิศวรเทพบุตร และมเหศวรเทพบุตร พร้อมด้วยเทพบุตรบริวาร ๓๐,๐๐๐ องค์ มีพระพรหมราชผู้เป็นใหญ่แห่งสหาโลกธาตุ มหาพรหมศิขิน และมหาพรหมชโยติษประภา พร้อมด้วยพรหมเทพบุตรบริวาร ๑๒,๐๐๐ องค์
    มีนาคราช ๘ ตน ชื่อ นันทนาคราช อุปนันทนาคราช สาครนาคราช วาสุกีนาคราช ตัษกนาคราช อนวตัปตนาคราช มนัสวินนาคราช และอุตปลกนาคราช แต่ละตนมาพร้อมด้วยนาคบริวารหลายแสนตน
    มีกินนรราช ๔ ตน ชื่อ ธรรมกินนรราช สุธรรมกินนรราช มหาธรรมกินนรราช และธรรมธรกินนรราช แต่ละตนมาพร้อมด้วยกินนรบริวารหลายแสนตน
    มีคนธรรพราช ๔ ตน ชื่อ มโนชญคนธรรพราช มโนชญัสวรคนธรรพราช มธุรคนธรรพราช และ มธุรัสวรคนธรรพราช แต่ละตนมาพร้อมด้วยคนธรรพ์บริวารหลายแสนตน
    มีอสูรราช ๔ ตน ชื่อ พลินอสูรราช ขรสกันธอสูรราช เวมจิตรินอสูรราช และ ราหูอสูรราช แต่ละตนมาพร้อมด้วยอสูรบริวารหลายแสนตน
    มีครุฑราช ๔ ตน ชื่อ มหาเตชครุฑราช มหากายครุฑราช มหาปูรณครุทราช และมหาฤทธิปราปตครุฑราช แต่ละตนมาพร้อมด้วยครุฑบริวารหลายแสนตน และมีพระเจ้าอชาตศัตรูโอรสของพระนางไวเทหิ ได้เสด็จมาพร้อมด้วยข้าราชบริพารหลายแสนคน
    ผู้ที่มาร่วมประชุมเหล่านี้ แต่ละคนหลังจากเข้าถวายบังคมแทบเบื้องยุคลบาทของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ถอยออกมาถือที่นั่งอันสมควรทางด้านหนึ่ง
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งแวดล้อมอยู่แล้วด้วยบริษัท ๔ ทรงรับเครื่องสักการะและเครื่องแสดงความเคารพ ทรงรับการถวายพระเกียรติและการสรรเสริญแล้ว เพื่อโปรดบรรดาพระโพธิสัตว์ พระองค์ได้เทศนามหายานสูตรชื่อ อมิตอรรถ อันเป็นพระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์และเป็นพระธรรมที่พระพุทธะทั้งหลายทรงเฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาพระสูตรนี้จบลงแล้ว พระองค์ได้ประทับนั่งขัดสมาธิในท่าปทุมอาสน์ แล้วได้เสด็จเข้าสู่สมาธิชื่อว่า อมิตอรรถประดิษฐานสมาธิ อันกายและใจของพระองค์สงบนิ่ง ในเวลานั้น สวรรค์ได้โปรยดอกมณฑารพ ดอกมหามณฑารพ ดอกมัญชูษกะ ดอกมหามัญชูษกะ ลงมาประพรมพระพุทธเจ้าและที่ประชุมใหญ่ ทั่วทุก
    แห่งในพุทธเกษตรสั่นไหวไปใน ๖ วิถี
    เวลานั้น ในที่ประชุมอันมีเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์และอมนุษย์รวมทั้งพระราชาน้อย และพระเจ้าจักรพรรดิราช ทั้งหมดในที่ประชุมใหญ่ต่างได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ล้วนเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดี ทุกคนต่างยกสองมือขึ้นประนม เพ่งมองที่พระพุทธเจ้าด้วยใจเดียว
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้เปล่งลำแสงออกจากพระอุณาโลมสีขาวอันเป็นหนึ่งในมหาปุริสลักษณะของพระองค์ ยัง ๑๔,๐๐๐ โลกธาตุทางทิศตะวันออกให้สว่างไสว ไม่มีที่ใดที่แสงนี้ส่องไปไม่ถึง เบื้องล่างถึงนรกอเวจีและเบื้องบนถึงสวรรค์ชั้นอกนิษฐ์
    จากโลกนี้ ทุกคนสามารถเห็นสรรพสัตว์แห่ง ๖ ภูมิ ในโลกธาตุเหล่านั้นได้ทั้งหมด ทุกคนยังสามารถเห็นพระพุทธะทั้งหลายที่อยู่ในดินแดนเหล่านั้นเวลานั้น และได้ยินการสอนพระสูตรที่พระพุทธะเหล่านั้นกำลังทรงแสดงอยู่ ในเวลาเดียวกันทุกคนก็สามารถเห็นบรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ที่ได้ปฏิบัติศาสนกิจและได้บรรลุมรรค ทุกคนยังสามารถเห็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ซึ่งโดยอาศัยเหตุและปัจจัยต่างๆ ความเชื่อและความเข้าใจชนิดต่างๆ และด้วยรูปแบบและลักษณะต่างๆ กำลังปฏิบัติโพธิสัตว์มรรค ทุกคนยังสามารถเห็นบรรดาพระพุทธะที่ได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว และได้เห็นการที่หอสถูปประดับด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง ถูกสร้างขึ้นหลังจากพระพุทธะเหล่านั้นได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานเพื่อบรรจุพระสารีริกธาตุของพระองค์
    ในเวลานั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ได้เกิดความคิดขึ้นดังนี้ว่า “บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงนิมิตอันน่าอัศจรรย์ให้ปรากฏแล้ว แต่อะไรหนอเป็นเหตุให้เกิดลางประหลาดอันเป็นมงคลยิ่งเหล่านี้ เวลานี้ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จเข้าสู่สมาธิเสียแล้ว เหตุการณ์อันไม่อาจเข้าใจได้นี้ ยากนักจักได้พบ ข้าพเจ้าจะถามเรื่องนี้กับใคร ผู้ใดสามารถที่จะให้คำตอบแก่ข้าพเจ้าได้”
    ขณะเดียวกัน ท่านยังได้เกิด ความคิดขึ้นอีกดังนี้ว่า “อันพระมัญชุศรีธรรมราชบุตรผู้นี้ ในอดีตท่านได้ติดตามรับใช้โดยใกล้ชิดและได้ถวายทานแด่พระพุทธะจำนวนมากมายมาแล้ว ท่านจะต้องเคยเห็นนิมิตอันพบได้ยากเหล่านี้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะไต่ถามท่านเดี๋ยวนี้”
    ในเวลาเดียวกันนั้นบรรดาพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา รวมทั้งบรรดาเทพ นาค ภูตผี และคนอื่นๆ ต่าง ก็มีความคิดดังนี้ว่า “ลำแสงสว่างจากพระพุทธเจ้านี้ นิมิตแห่งอภิญญาเหล่านี้ ในเวลานี้เราจะไต่ถามเรื่องนี้กับผู้ใด”
    ครั้งนั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ปรารถนาที่จะขจัดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ของท่านเอง อีกทั้ง ท่านยังทราบความคิดสงสัยที่อยู่ในใจของพวกบริษัท ๔ อันมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา รวมทั้งเทพ นาค ภูตผี และคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่ประชุมด้วย ดังนั้น ท่านจึงได้เอ่ยถามพระมัญชุศรีว่า “ท่านผู้เจริญขอรับ อะไรเป็นเหตุให้เกิดลางประหลาดอันเป็นมงคลเหล่านี้ นิมิตแห่งอภิญญาเหล่านี้ การเปล่งลำแสงใหญ่อันสว่างนี้ ที่ทำให้เกิดความสว่างไสวไปทั่ว ๑๘,๐๐๐ ดินแดนในทิศตะวันออก จนเราสามารถเห็นเครื่องประดับทั้งหลายของพุทธเกษตรที่นั้น”
    ครั้งนั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ถามปัญหาเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ท่านมัญชุศรี
    ทำไมจากพระอุณาโลมสีขาว
    ของพระผู้นำและมหาศาสดาของเรา
    ลำแสงใหญ่นี้จึงส่องไปทั่ว
    ทำไมดอกมณฑารพ
    ดอกมัญชูษกะจึงโปรยลงมา
    และสายลมหอมกลิ่นไม้จันทน์
    ยังความยินดีให้แก่ทุกคนในที่ประชุม
    เพราะเหตุแห่งสิ่งเหล่านี้
    พื้นดินทุกแห่งถูกประดับและทำให้บริสุทธิ์
    และโลกนี้สั่นไหวใน ๖ วิถี
    เวลานี้บริษัท ๔
    ทั้งหมดล้วนเต็มตื้นด้วยความปีติยินดี
    พวกเขามีความสุขทั้งกายและใจ
    กับการได้รับสิ่งที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน
    ลำแสงสว่างจากพระอุณาโลม
    ยังความสว่างให้แก่ทิศตะวันออก
    และ ๑๘,๐๐๐ ดินแดน
    ทั้งหมดมีสีเป็นสีทอง
    จากนรกอเวจี
    สูงขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ
    ทั่วทั้งโลกธาตุต่างๆ
    สรรพสัตว์ใน ๖ ภูมิ
    แดนที่พวกเขาจะไปเกิดและตาย
    การทำดีและการทำชั่วของพวกเขา
    ผลตอบแทนที่น่ายินดีและน่ากลัวที่พวกเขาได้รับ
    สิ่งทั้งหมดเหล่านี้สามารถเห็นได้จากที่นี่
    เรายังสามารถเห็นพระพุทธะทั้งหลาย
    พระอริยเจ้า พระชินสีห์เหล่านั้น
    กำลังแสดงและเทศนาพระสูตร
    อันละเอียดอ่อน มหัศจรรย์ และ เป็นที่หนึ่ง
    เสียงของพระองค์ชัดเจนและบริสุทธิ์
    เปล่งออกมาเป็นเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยน
    ในเวลาที่พระองค์ทรงสอนพระโพธิสัตว์
    จำนวนหลายหมื่นล้านนับไม่ถ้วน
    เสียงพรหมของพระองค์ลึกซึ้งและมหัศจรรย์
    ทำให้ประชาชนยินดีที่ได้ฟัง
    พระพุทธะแต่ละองค์ในโลกของพระองค์เอง
    ทรงสอนพระธรรมที่ถูกต้อง
    ดำเนินการตามเหตุและปัจจัยต่างๆ
    และใช้การอุปมานับไม่ถ้วน
    ทำความกระจ่างให้แก่พระธรรมของพระพุทธเจ้า
    นำทางสรรพสัตว์ไปสู่ความรู้แจ้ง
    ถ้าผู้ใดได้พบกับความทุกข์
    เกลียดชังความแก่ ความเจ็บ และความตาย
    พระพุทธองค์จะทรงสอนนิพพานแก่เขา
    อธิบายการทำความทุกข์ทั้งหลายให้หมดสิ้นไป
    ถ้าผู้ใดมีความโชคดี
    ในอดีตได้ทำการบูชาบรรดาพระพุทธะมาแล้ว
    ตั้งใจแสวงหาพระธรรมที่สูงกว่าแล้ว
    พระพุทธองค์จะทรงสอนปัจเจกพุทธมรรคให้
    ถ้าจะพึงมีเหล่าพระพุทธบุตร
    ผู้ปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ
    แสวงหาการบรรลุปัญญาอันสูงสุด
    พระพุทธองค์จะทรงสอนมรรคแห่งความบริสุทธิ์
    ท่านมัญชุศรี
    ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่
    ได้เห็นและได้ยินอย่างนี้
    สิ่งต่างๆ มากมายหลายพันหลายล้าน
    ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะมีจำนวนมาก
    แต่เวลานี้ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงแต่โดยย่อ
    ข้าพเจ้าเห็นในดินแดนเหล่านี้
    พระโพธิสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ทำให้สอดคล้องกับเหตุและปัจจัยต่างๆ
    และการแสวงหาพุทธมรรค
    บางองค์บริจาคทานอันมี
    ทอง เงิน หินปะการัง
    ไข่มุก มณี
    หอยสังข์ หินโมรา
    เพชรและสิ่งหาได้ยากอื่นๆ
    คนรับใช้ชายหญิง รถม้า
    รถลากและเกี้ยวประดับอัญมณี
    มอบสิ่งเหล่านี้ให้ด้วยความยินดี
    ของถวายเช่นนั้นพวกเขาถวายให้แก่พุทธมรรค
    ด้วยความปรารถนาที่จะได้ยานนี้
    อันเป็นยานยอดเยี่ยมที่สุดในสามโลก
    และได้รับการยกย่องจากพระพุทธะทั้งหลาย
    มีพระโพธิสัตว์บางองค์
    บริจาครถม้าประดับอัญมณีเทียมด้วยม้าสี่ตัว
    อันมีราวลูกกรงและเครื่องคลุมลายดอกไม้
    ประดับด้านบนและด้านข้าง
    อนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นเหล่าพระโพธิสัตว์
    บริจาคเนื้อ มือ และเท้าของตน
    หรือภรรยาและบุตรธิดาของตน
    กำลังแสวงหามรรคอันสูงสุด
    ข้าพเจ้ายังเห็นเหล่าพระโพธิสัตว์
    ผู้ซึ่งบริจาคทานอย่างมีความสุข
    ด้วยศีรษะ ตา ร่างกาย และแขนขาของตน
    ในการค้นหาพุทธปัญญาของพวกเขา
    ท่านมัญชุศรี
    ข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระราชา
    เสด็จไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้า
    เพื่อที่จะทูลถามเกี่ยวกับมรรคอันสูงสุด
    ครั้นแล้วได้สละดินแดนอันสุขสำราญ
    ปราสาทราชวัง ข้าราชบริพารชายหญิง
    ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ
    แล้วทรงสวมพระภูษาแห่งธรรม
    หรือข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    ผู้ได้บวชเป็นพระภิกษุ
    อาศัยอยู่คนเดียวในความเงียบสงัด
    มีความยินดีในการท่องพระสูตรต่างๆ
    อนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    พยายามอย่างกล้าหาญวิริยะ
    เข้าไปในภูเขาลึก
    ความคิดตั้งอยู่ที่พุทธมรรค
    และข้าพเจ้าเห็นพวกเขาขจัดตัณหาออกจากตน
    ดำรงอย่างคงที่อยู่ในความว่างและความนิ่ง
    ก้าวล่วงลึกลงไปในการปฏิบัติฌาน
    จนกระทั่งได้อภิญญา ๕
    และข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    พักอยู่ในฌาน สองมือประนม
    ด้วยบทสดุดีพันหมื่นคาถา
    กำลังสรรเสริญพระราชาแห่งคำสอน
    อนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    ลึกซึ้งในปัญญา มั่นคงในความตั้งใจ
    เป็นผู้รู้การที่จะถามปัญหากับพระพุทธเจ้า
    แล้วยอมรับและยึดถือสิ่งที่ได้สดับทั้งหมด
    ข้าพเจ้าเห็นเหล่าพระพุทธบุตร
    เชี่ยวชาญในฌานและปัญญา
    ใช้การอุปมาจำนวนมากมาย
    ในการแสดงธรรมแก่ที่ประชุม
    มีความพอใจในการสอนธรรม
    เปลี่ยนแปลงเหล่าพระโพธิสัตว์
    ยังความพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพมาร
    และตีกลองแห่งธรรม
    และข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    อยู่นิ่งและเงียบอย่างลึกซึ้ง
    ได้รับความเคารพจากเทวดาและนาค
    แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรยินดี
    และข้าพเจ้าเห็นเหล่าพระโพธิสัตว์
    อาศัยอยู่ในป่า เปล่งแสงสว่าง
    ช่วยเหลือผู้ที่รับทุกข์อยู่ในนรก
    ทำให้พวกนั้นได้เข้าสู่พุทธมรรค
    และข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระพุทธบุตร
    ผู้ไม่เคยนอนหลับเลย
    เอาแต่เดินวนเวียนอยู่ในป่า
    แสวงหาพุทธมรรคด้วยความพากเพียร
    และข้าพเจ้าเห็นพวกที่รักษาศีล
    จริยวัตรไม่มีมลทินด่างพร้อย
    บริสุทธิ์ดุจเพชรและพลอย
    ด้วยวิธีนั้นกำลังแสวงหาพุทธมรรค
    และข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระพุทธบุตร
    ยึดมั่นอยู่ในพลังแห่งความอดกลั้น
    ยอมรับการด่าและการทุบตี
    ของคนหยิ่งยโสทั้งหลาย
    โดยตั้งใจที่จะอดทนกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
    ด้วยวิธีนั้นกำลังแสวงหาพุทธมรรค
    ข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    ผู้ปลีกตนออกจากความคึกคะนองและการหัวเราะ
    เลิกคบหากับคนโง่เขลา
    ใฝ่คบหาสมาคมกับบัณฑิต
    รวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียว กำจัดความสับสน
    ควบคุมความคิดของตนในภูเขาและป่า
    เป็นเวลาล้านพันหมื่นปี
    ด้วยวิธีนั้นกำลังแสวงหาพุทธมรรค
    หรือข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    ด้วยอาหารและเครื่องดื่มอันเลิศ
    และยาต่างๆ นับร้อยชนิด
    ถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ของพระองค์
    จีวรเนื้อดีและเสื้อผ้าอันเลิศ
    มีราคาหลายพันหรือหลายหมื่น
    หรือผ้าจีวรที่ประมาณราคามิได้
    ถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ของพระองค์
    กุฏิประดับเพชรพลอยทำด้วยไม้จันทน์
    พัน หมื่น ล้านชนิด
    พร้อมด้วยเครื่องนอนอันมหัศจรรย์มากมาย
    ถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ของพระองค์
    สวนไม้ดอกและสวนไม้ผลอันสะอาดบริสุทธิ์
    อุดมด้วยดอกไม้และผลไม้
    น้ำพุไหลรินและสระอาบน้ำ
    ถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ของพระองค์
    ของถวายทั้งหลายชนิดนี้
    อันเป็นสิ่งของวิเศษต่างๆ มากมาย
    ได้ถวายให้ด้วยความยินดีและไม่มีความเสียดาย
    ขณะที่พวกเขาแสวงหามรรคอันสูงสุด
    หรือมีบรรดาพระโพธิสัตว์
    ผู้แสดงธรรมแห่งความดับสงบ
    ทำการสอนด้วยวิธีต่างๆ
    แก่สรรพสัตว์มากมายนับไม่ถ้วน
    หรือข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    มองธรรมชาติของปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    ว่าไม่มีลักษณะเป็นคู่
    แต่เป็นเหมือนอวกาศอันว่างเปล่า
    และข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระพุทธบุตร
    ผู้มีจิตไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ได้ใช้ปัญญาอันมหัศจรรย์นี้
    ทำการแสวงหามรรคอันสูงสุด
    ท่านมัญชุศรี
    ยังมีบรรดาพระโพธิสัตว์
    ผู้ซึ่งหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ได้กระทำการบูชาแด่พระสารีริกธาตุของพระองค์
    ข้าพเจ้าเห็นบรรดาพระพุทธบุตร
    สร้างหอสถูปอนุสรณ์จำนวนมากมาย
    เท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ประดับแต่ละดินแดนด้วยหออนุสรณ์สถูปนั้น
    หอประดับอัญมณีเหล่านั้นสูงตระหง่านและมหัศจรรย์
    ด้วยความสูงห้าพันโยชน์
    ความกว้างและความยาว
    ด้านละสองพันโยชน์
    หออนุสรณ์เหล่านี้แต่ละองค์
    ประดับด้วยป้ายและธงพันผืน
    ม่านถักประดับด้วยเพชรพลอยเหมือนหยาดน้ำค้าง
    และระฆังประดับอัญมณีส่งเสียงประสานกัน
    ที่นั้นหมู่เทพ นาค ภูตผี
    มนุษย์และอมนุษย์
    ด้วยเครื่องหอม ดอกไม้ และดนตรี
    กระทำการสักการะบูชาอยู่เป็นนิจ
    ท่านมัญชุศรี
    พระพุทธบุตรเหล่านี้
    เพื่อที่จะทำการสักการะพระสารีริกธาตุ
    ได้ตกแต่งองค์หออนุสรณ์สถูปให้สง่างาม
    ดังนั้นแต่ละดินแดนจึงเป็นดังที่มันเป็น
    คือมหัศจรรย์อย่างโดดเด่นและสวยงาม
    ดุจดังราชาแห่งต้นไม้สวรรค์
    ยามที่ดอกของมันกำลังเบ่งบานเต็มที่
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเปล่งลำแสง
    ข้าพเจ้าและทุกคนแห่งที่ประชุมนี้
    สามารถเห็นดินแดนเหล่านี้
    และสิ่งมหัศจรรย์อันโดดเด่นต่างๆ ของมันทั้งหมด
    พลังอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธะทั้งหลาย
    และปัญญาของพระองค์ช่างหาได้ยากจริงๆ
    ด้วยการเปล่งลำแสงอันบริสุทธิ์เพียงลำเดียว
    พระพุทธองค์ทรงทำให้ดินแดนนับไม่ถ้วนสว่างไสว
    ข้าพเจ้าและคนอื่นๆ ได้เห็นสิ่งนี้แล้ว
    เป็นการได้รับบางสิ่งที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อน
    พระพุทธบุตร ท่านมัญชุศรี
    ข้าพเจ้าขอให้ท่านช่วยขจัดความสงสัยของที่ประชุมนี้
    บริษัท ๔ แหงนมองด้วยความคาดหวังที่เป็นสุข
    พวกเขากาลังจ้องมองที่ท่านและข้าพเจ้า
    ทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้า
    จึงเปล่งลำแสงสว่างนี้
    พระพุทธบุตร ได้โปรดให้คำตอบที่เหมาะสมด้วยเถิด
    เพื่อขจัดความสงสัยเหล่านี้และทำให้เกิดความปีติยินดี
    จะได้ผลประโยชน์มากมายอะไรนักหนา
    จากการเปล่งลำแสงอันสว่างไสวนี้ออกไป
    มันต้องเป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์จะแสดง
    พระธรรมมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้บรรลุแล้ว
    เมื่อพระองค์ได้ประทับนั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติ
    พระองค์จะต้องมีคำพยากรณ์ที่จะประทาน
    พระองค์ได้แสดงให้เราเห็นดินแดนพระพุทธะเหล่านั้น
    พร้อมด้วยเครื่องประดับและความบริสุทธิ์ของสิ่งมีค่ามากมาย
    และเราก็ได้เห็นพระพุทธะของดินแดนเหล่านั้นแล้ว
    เรื่องนี้คงมิได้เป็นเพราะเหตุผลเพียงเล็กน้อยเลย
    ท่านมัญชุศรี ท่านจะต้องทราบ
    บริษัท ๔ นาค และภูตผี
    ต่างเพ่งมองท่านด้วยการคาดคะเน
    ประหลาดใจว่าท่านจะอธิบายอย่างไร
    เวลานั้น พระมัญชุศรีได้กล่าวแก่พระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์และมหาบุรุษอื่นๆ ว่า “ท่านสาธุชนทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลานี้ทรงมีพระประสงค์ที่จะแสดงพระธรรมอันยิ่งใหญ่ หลั่งฝนแห่งพระธรรมอันยิ่งใหญ่ เป่าสังข์แห่งพระธรรมอันยิ่งใหญ่ ตีกลองแห่งพระธรรมอันยิ่งใหญ่ อธิบายความหมายของพระ
    ธรรมอันยิ่งใหญ่ ท่านสาธุชนทั้งหลาย ในอดีตกาล ข้าพเจ้าเคยเห็นลางประหลาดอันเป็นมงคลยิ่งนี้ในหมู่พระพุทธะมากมายมาแล้ว พระพุทธะเหล่านั้นได้เปล่งลำแสงอย่างนี้ แล้วหลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น เราควรจะทราบว่า ในเวลานี้ เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงแสดงให้เห็นแสงนี้แล้ว พระองค์ก็คงจะทรงกระทำการเช่นเดียวกัน คือพระองค์ทรงพระประสงค์ที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้ง
    หลายได้สดับและเข้าใจพระธรรม อันเป็นพระธรรมที่โลกทั้งหลายเชื่อได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงแสดงให้เห็นลางประหลาดอันเป็นมงคลยิ่งนี้”
    “สาธุชนทั้งหลาย ครั้งหนึ่งในอดีตอันนาน จำนวนอสงไขยกัปนับไม่ถ้วนไม่มีขอบเขตจำกัด เหลือที่จะคาดคะเนได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สุริยจันทรประทีปตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้นำอันยอดเยี่ยมอันหาเสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงแสดงพระธรรมที่ถูกต้อง การแสดงธรรมของพระองค์งามในตอนต้น งามในตอนกลาง งามในตอนปลาย ความหมายลึกซึ้งและมีผลแผไปไกล คำตรัคล่องแคล่ว และน่าอัศจรรย์ บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งเจือปน ครบถ้วนบริบูรณ์ สะอาดไร้มลทิน และแสดงเครื่องหมายแห่งพรหมจรรย์”
    “เพื่อทรงโปรดผู้ที่แสวงหาสาวกภาวะ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมแห่งอริยสัจจ์ ๔ อันทำให้พวกเขาสามารถอยู่เหนือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และได้บรรลุนิพพาน เพื่อโปรดผู้ที่แสวงหาปัจเจกพุทธภาวะ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เพื่อโปรดเหล่าพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงสนองตอบด้วยการแสดงธรรมแห่งบารมี ๖ อันทำให้พวกเขาได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และได้มาซึ่งปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิด”
    “ต่อจากนั้น มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งพระนามว่า สุริยจันทรประทีป เช่นกัน และต่อจากนั้น ยังมีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งพระนามว่า สุริยจันทรประทีป อีกเช่นกัน มีพระพุทธเจ้าเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด ๒๐,๐๐๐ พระองค์ ล้วนมีพระนามเดียวกันคือ สุริยจันทรประทีป และพระโคตรเดียวกันคือ ภารัทวาช ท่านเมตไตรย ท่านพึงเข้าใจว่า จากพระพุทธเจ้าองค์แรกถึงองค์สุดท้าย ล้วนมีพระนามเดียวกันคือ สุริยจันทรประทีป ทุกพระองค์ทรงมีคุณค่าควรแก่พระสมัญญานามทั้ง ๑๐ ประการ และพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ล้วนงามในตอนต้น งามในตอนกลาง และงามในตอนปลาย”
    “พระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย เมื่อพระองค์ยัง มิได้เสด็จออกผนวช พระองค์ทรงมีพระราชโอรส ๘ องค์ องค์แรกนามว่า มติ องค์ที่สองนามว่า สุมติ องค์ที่สามนามว่า อนันตมติ องค์ที่สี่นามว่า รัตนมติ องค์ที่ห้านามว่า วิเศษมติ องค์ที่หกนามว่า วิมติสมุทฆาติ องค์ที่เจ็ดนามว่า โฆษมติ องค์ที่แปดนามว่า ธรรมมติ เกียรติและความดีมีมาสู่เจ้าชายทั้งแปดได้โดยง่าย และแต่ละองค์ทรงมีอำนาจ ทรงปกครองในอาณาจักร ๔ ทวีป”
    “เมื่อเจ้าชายเหล่านี้ได้ข่าวว่าพระราชบิดาได้เสด็จออกผนวช และได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิแล้ว เจ้าชายทั้ง ๘ องค์จึงได้สละตำแหน่งเจ้าชายของพระองค์และปฏิบัติตามพระราชบิดาด้วยการออกผนวช และด้วยการเกิดจิตปรารถนาในมหายาน พวกเขาได้ลงมือปฏิบัติพรหมจรรย์อย่างสม่ำเสมอ และทุกพระองค์ได้เป็นผู้สอนธรรม พวกเขาได้ปลูกฝังรากเหง้าดีไว้แล้วในหมู่พระพุทธะพันหมื่นพระองค์”
    “เวลานั้น พระสุริยจันทรประทีปพุทธเจ้า ได้เทศนามหายานสูตรชื่อ อมิตอรรถ อันเป็นพระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์ และเป็นพระธรรมที่พระพุทธะทั้งหลายเฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ เมื่อพระอง์ได้เทศนาพระสูตรนี้จบลงแล้ว พระองค์ได้ประทับนั่งขัดสมาธิในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ แล้วได้เสด็จเข้าสู่สมาธิชื่อ อมิตอรรถประดิษฐานสมาธิ อันกายและใจของพระองค์ไม่เคลื่อนใหวเลย ณ เวลานั้นสวรรค์ได้โปรยปรายดอกมณฑารพ ดอกมหามณฑารพ ดอกมัญชูษกะ และดอกมหามัญชูษกะ ลงมาประพรมพระพุทธเจ้าและที่ประชุมใหญ่ และทั่วทั้งพุทธเกษตรสั่นไหวไปใน ๖ วิถี”
    “เวลานั้นเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหระ มนุษย์ และอมนุษย์ รวมทั้งพระราชาน้อยและพระเจ้าจักรพรรดิราช ทั้งหมดในที่ประชุมใหญ่นี้ ล้วนได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างเต็มตื้นไปด้วยความยินดี ได้ประนมมือและเพ่งมองที่พระพุทธเจ้าด้วยใจเดียว”
    “ครั้งนั้น พระตถาคตเจ้าได้เปล่งแสงลำหนึ่งออกจากพระอุณาโลมสีขาว อันเป็นหนึ่งในมหาปุริสลักษณะของพระองค์ ทำให้ ๑๘,๐๐๐ พุทธเกษตรในทิศตะวันออกสว่างไสวไปทั่วไม่มีที่ใดที่แสงนี้เข้าไปไม่ถึง เหมือนที่ท่านได้เห็นพุทธเกษตรเหล่านี้สว่างไสวอยู่ในเวลานี้”
    “ท่านเมตไตรย ท่านพึงเข้าใจดังนี้ว่า ครั้งนั้นในที่ประชุมมีพระโพธิสัตว์ ๒๐ ล้านองค์ ต่างมีความสุขและมีความปรารถนาใคร่สดับพระธรรม เมื่อพระโพธิสัตว์เหล่านี้ได้เห็นลำแสงที่ทำให้ดินแดนพระพุทธะสว่างไสวไปทั่วทุกแห่ง พวกเขาได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างมีความปรารถนาที่จะรู้เหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดแสงนี้”
    “ครั้งนั้น มีพระโพธิ สัตว์องค์หนึ่งนามว่า วรประภา เขามีลูกศิษย์ ๘๐๐ คน ณ เวลานี้ พระสุริยจันทรประทีปพุทธเจ้าได้เสด็จออกจากสมาธิ และเพราะพระวรประภาโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ได้เทศนามหายานสูตรที่ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑริก อันเป็นพระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์ และเป็นพระธรรมที่พระพุทธะทั้งหลายเฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ พระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งแสดงธรรมโดยมิได้ลุกจากพระอาสน์เลย เป็นเวลา ๖๐ จุลกัป และผู้ฟังในที่ประชุมก็มิได้ลุกจากที่นั่งเป็นเวลา ๖๐ จุลกัปเช่นกัน ทั้งหมดมิได้เคลื่อนไหวทั้งกายและใจ และทุกคนยังรู้สึกว่าเวลาที่กำลังฟังพระพุทธเจ้าเทศนาธรรมนั้น ไม่นานไปกว่าเวลากระทำภัตตกิจเลย ตลอดเวลานั้น ในที่ประชุมไม่มีแม้คนเดียวจะมีความ
    รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกายหรือใจเลย”
    “เมื่อพระสุริยจันทรประทีปพุทธเจ้าได้เทศนาพระสูตรนี้จบลงในเวลา ๖๐ จุลกัปแล้ว พระองค์ได้ตรัสแก่หมู่พระพรหม มาร สมณะและพราหมณ์ รวมทั้งเทวดา มนุษย์ และอสูรทั้งหลายในที่ประชุม โดยตรัสว่า “คืนนี้ในเวลาเที่ยงคืนตถาคตจะเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว”
    “ในเวลานั้น มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งนามว่า ศรีครรภะ พระสุริยจันทรประทีปพุทธเจ้าได้ประทานคำพยากรณ์แก่เขา โดยได้ประกาศแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า “ศรีครรภะโพธิสัตว์ผู้นี้ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปมีพระนามว่า วิมลกายตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ” หลังจากพระพุทธเจ้าได้ประทานคำพยากรณ์นี้จบแล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานในเวลาเที่ยงคืนของวันนั้นเอง”
    “หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระวรประภาโพธิสัตว์ได้ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตรต่อมา และตลอดเวลา ๘๐ จุลกัปเต็มได้แสดงพระสูตรนี้แก่ผู้อื่น ราชโอรสทั้ง ๘ องค์ ของพระสุริยจันทรประทีป ได้ยอมรับเอาพระวรประภาโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ของตน พระวรประภาโพธิสัตว์ได้สั่งสอน เปลี่ยนแปลง และปลุกเร้าให้พวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ต่อการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ราชโอรสทั้ง ๘ องค์ได้ถวายเครื่องสักการะแด่พระพุทธะมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านพระองค์ และหลังจากนั้น ราชโอรสทั้ง ๘ องค์ สามารถบรรลุพุทธมรรคได้ องค์สุดท้ายได้เป็นพระพุทธะองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ทีปังกร”
    “ในหมู่สานุศิษย์ ๘๐๐ คนของพระวรประภาโพธิสัตว์ มีศิษย์คนหนึ่งชื่อ ยศกาม เขามีความละโมบในผลประโยชน์และการครองชีพ แม้เขาจะได้อ่านและสวดพระสูตรมากมาย เขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในมัน แต่จะลืมมันเสียเป็นส่วนมาก ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่า ยศกาม แต่เนื่องจากคนผู้นี้ได้ปลูกฝังรากเหง้าดีต่างๆ ไว้มากด้วย เขาจึงมีโอกาสได้พบพระพุทธะมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านพระองค์ ได้ทำการบูชา ได้ถวายความเคารพ ได้ถวายพระเกียรติ และสรรเสริญพระพุทธะเหล่านั้น”
    “ท่านเมตไตรย ท่านจงเข้าใจดังนี้ พระวรประภาโพธิสัตว์ผู้มีชีวิตอยู่ในครั้งนั้น ท่านรู้จักเขาหรือไม่ เขาคือตัวข้าพเจ้าเอง และพระโพธิสัตว์ยศกามในครั้งนั้น ก็คือตัวท่านเอง”
    “เวลานี้ เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นลางประหลาดอันเป็นมงคลยิ่งนี้ เรื่องนี้มิได้แตกต่างไปจากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นมาก่อน เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าเวลานี้ พระตถาคตเจ้ากำลังจะเทศนามหายานสูตรที่ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑริก อันเป็นพระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์ และเป็นพระธรรมที่พระพุทธะทั้งหลายเฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ”
    ในเวลานั้น พระมัญชุศรีปรารถนาที่ จะกล่าวความหมายของท่านต่อที่ประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ข้าพเจ้าระลึกได้ ถึงสมัยหนึ่งในอดีต
    เวลาเป็นกัปมากมายนับไม่ถ้วนมาแล้ว
    มีพระพุทธเจ้าที่เคารพสูงสุดของมนุษย์พระองค์หนึ่ง
    ทรงพระนามว่า สุริยจันทรประทีป
    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ได้ทรงแสดงธรรม
    ช่วยสรรพสัตว์มากมายเหลือคณานับ
    และพระโพธิสัตว์มากมายหลายล้านองค์
    ทำให้พวกเขาได้เข้าสู่พุทธปัญญา
    เจ้าชาย ๘ องค์เป็นราชโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
    ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกทรงผนวช
    เมื่อพวกเขาได้เห็นพระมหามุนีทรงผนวชแล้ว
    จึงได้กระทำอย่างเดียวกัน ออกปฏิบัติพรหมจรรย์
    ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้เทศนามหายานสูตร
    พระสูตรหนึ่งชื่อ อมิตอรรถ
    และในท่ามกลางที่ประชุม
    เพื่อโปรดประชาชน พระองค์ได้บัญญัติลักษณะเฉพาะต่างๆ
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาพระสูตรนี้จบลงแล้ว
    พระองค์ได้เข้าประทับนั่งในอาสนะแห่งธรรม
    โดยทรงนั่งขัดสมาธิแล้วเข้าสู่สมาธิ
    ชื่อ อมิตอรรถประดิษฐานสมาธิ
    สวรรค์โปรยดอกมณฑารพลงมา
    กลองสวรรค์มีเสียงดังขึ้นมาเอง
    ปวงเทวดา นาค ภูติผี
    ได้ทำการบูชาแด่ที่เคารพสูงสุดของมนุษย์
    ดินแดนพระพุทธะทั้งหลาย
    สั่นไหวอย่างแรงในทันที
    พระพุทธเจ้าได้เปล่งแสงออกจากระหว่างพระขนง
    เป็นการแสดงนิมิตที่ยากนักจักได้เห็น
    แสงนี้ทำให้ทิศตะวันออกสว่างไสว
    ไปทั่ว ๑๘,๐๐๐ ดินแดนพระพุทธะ
    แสดงให้เห็นการที่สรรพสัตว์ที่นั่น
    รับผลของอดีตกรรมในการเกิดและการตาย
    เราสามารถเห็นการที่ดินแดนพระพุทธะเหล่านี้
    ถูกประดับด้วยเพชรพลอยมากมาย
    ส่องสว่างด้วยสีต่างๆ ของแก้วไพฑูรย์และแก้วผลึก
    อันเกิดจากความสว่างแห่งแสงของพระพุทธเจ้า
    เรายังสามารถเห็นเทวดาและมนุษย์
    นาค ภูติผี และยักษ์มากมาย
    คนธรรพ์และกินนร
    ต่างกระทำการบูชาแด่พระพุทธเจ้าของตน
    เรายังสามารถเห็นพระตถาคต
    บรรลุมรรคตามธรรมชาติ
    พระวรกายสีดั่งภูเขาทอง
    ตั้งตรง สง่างาม ประณีต และมหัศจรรย์
    ราวกับว่าในตรงกลางของแก้วไพฑูรย์บริสุทธิ์
    รูปปฏิมาทองแท้ได้ปรากฏขึ้น
    ท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ทรงแสดงหลักการของพระธรรมอันลึกซึ้ง
    ในดินแดนพระพุทธะแต่ละดินแดน
    พระสาวกหมู่ใหญ่นับไม่ถ้วน
    เพราะความสว่างแห่งแสงของพระพุทธเจ้า
    ทั้งหมดสามารถเห็นได้พร้อมกับที่ประชุมใหญ่ของพวกเขา
    ยังมีบรรดาพระภิกษุ
    อาศัยอยู่กลางป่า
    บำเพ็ญเพียรและรักษาศีลบริสุทธิ์
    ราวกับว่ากำลังเฝ้ารักษามณีอันสุกใส
    เรายังสามารถเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    ปฏิบัติทานบารมี ขันติบารมี และอื่นๆ
    จำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    เพราะความสว่างแห่งแสงของพระพุทธเจ้า
    เรายังสามารถเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    เข้าลึกสู่การปฏิบัติฌาน
    อันกายและใจแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
    ด้วยวิธีนั้นกำลังแสวงหามรรคอันสูงสุด
    เรายังสามารถเห็นบรรดาพระโพธิสัตว์
    ผู้ว่าความสงบและความดับเป็นเครื่องหมายของปรากฏการณ์
    แต่ละองค์ในเขตแดนของตน
    กำลังสอนพระธรรมและแสวงหาพุทธมรรค
    ครั้งนั้น บริษัท ๔
    เมื่อได้เห็นพระสุริยจันทรประทีปพุทธเจ้า
    แสดงอภิญญาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
    ต่างมีความปลื้มปีติในหัวใจ
    และทุกคนต่างไต่ถามซึ่งกันและกัน
    ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้
    พระผู้ได้รับความเคารพจากเทวดาและมนุษย์
    ตอนนั้นเพิ่งเสด็จออกจากสมาธิ
    ได้ตรัสยกย่องพระวรประภาโพธิสัตว์ว่า
    “เธอเป็นดวงตาของโลก
    เป็นผู้ที่ทุกคนสามารถศรัทธาและเชื่อถือได้
    สามารถรับและยึดถือคลังแห่งธรรม
    พระธรรมที่เราสอน
    เธอเพียงคนเดียวที่รู้การที่จะรับรองได้”
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทานการสรรเสริญนี้
    ทำให้พระวรประภาปลาบปลื้มใจแล้ว
    พระองค์ได้เทศนาธรรมปุณฑริกสูตร
    เป็นเวลา ๖๐ จุลกัปเต็ม
    พระองค์มิได้ลุกขึ้นจากพระอาสนะนี้เลย
    และพระธรรมอันสูงสุดและมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงสอน
    ได้ถูกน้อมรับและเทิดทูนไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
    โดยพระธรรมาจารย์วรประภา
    หลังจากพระพุทธเจ้าได้เทศนาธรรมปุณฑริก
    ทำให้ทุกคนในที่ประชุมมีความปีติยินดีแล้ว
    ในวันเดียวกันนั้น
    พระองค์ได้ประกาศแก่ที่ประชุมแห่งเทวดาและมนุษย์ว่า
    “เราได้แสดงให้แก่พวกเธอเรียบร้อยแล้ว
    ถึงความหมายของตัวตนแท้แห่งปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    ในวันนี้เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน
    เราจะเข้าสู่นิพพาน
    พวกเธอจะต้องเพียรพยายามจนสุดหัวใจ
    และขจัดความเหลวไหลตามใจตัวออกจากตน
    มันเป็นการยากที่จะพบพระพุทธะสักองค์หนึ่ง
    เธอจะพบได้สักองค์หนึ่งในเวลาหนึ่งล้านกัป”
    เมื่อบรรดาบุตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จเข้าสู่นิพพาน
    ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
    ประหลาดใจว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงแสวงหาความดับเร็วนัก
    พระมหาศาสดาเจ้า ราชาแห่งพระธรรม
    ทรงปลอบใจและทำให้หายกังวลแก่หมู่ชนนับไม่ถ้วน
    โดยตรัสว่า “เมื่อเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    พวกเธอไม่ต้องมีความกังวลหรือหวาดกลัว!
    เพราะศรีครรภะโพธิสัตว์นี้
    เขามีความเข้าใจสมบูรณ์
    ในลักษณะที่เป็นจริงซึ่งปราศจากอาสวะแล้ว
    เขาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
    ทรงพระนามว่า วิมลกาย
    และพระองค์จะช่วยหมู่ชนมากมายด้วยเช่นกัน”
    คืนนั้นพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าสู่ความดับ
    ดุจดังไฟดับไปเมื่อหมดฟืนฉันนั้น
    พวกเขาได้แบ่งปันพระสารีริกธาตุของพระองค์
    และได้สร้างหอสถูปอนุสรณ์จำนวนมากมาย
    เหล่าพระภิกษุและภิกษุณี
    จำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ต่างเพิ่มความพยายามของตนขึ้นเป็นทวีคูณ
    ด้วยวิธีนั้นแสวงหามรรคอันสูงสุด
    พระธรรมาจารย์วรประภานี้
    ได้รับและยึดถือคลังแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า
    ต่อมาตลอดเวลา ๘๐ จุลกัป
    ทำการเผยแผ่ธรรมปุณฑริกสูตรไปอย่างกว้างขวาง
    ฝ่ายเจ้าชายราชบุตรทั้ง ๘ องค์นี้
    อันพระวรประภาโพธิสัตว์เปลี่ยนแปลงแล้ว
    ได้ยึดอยู่อย่างมั่นคงในมรรคอันสูงสุด
    และด้วยเหตุนั้นจึงสามารถได้พบพระพุทธะนับไม่ถ้วน
    และหลังจากพวกเขาได้ทำการบูชาพระพุทธะเหล่านี้แล้ว
    พวกเขาได้ปฏิบัติตามพระองค์ในการปฏิบัติมหามรรค
    และองค์แล้วองค์เล่าได้สำเร็จเป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง
    แต่ละองค์ได้ผลัดกันให้คำพยากรณ์แก่ผู้สืบทอด
    องค์สุดท้ายได้เป็นเทพในหมู่เทพ
    มีพระนามว่า พระทีปังกรพุทธะ
    ในฐานะที่เป็นผู้นำและครูของฤาษีทั้งหลาย
    พระองค์ได้ช่วยหมู่ชนมากมายนับไม่ถ้วน
    พระธรรมาจารย์วรประภานี้
    ในครั้งนั้นมีศิษย์คนหนึ่ง
    เป็นผู้ที่มีจิตใจถูกครอบงำด้วยความเกียจคร้านอยู่เสมอ
    มีความโลภในชื่อเสียงและประโยชน์
    เขาแสวงหาชื่อเสียงและประโยชน์อย่างไม่รู้จักพอ
    ติดใจการหาความสุขในตระกูลสูงศักดิ์
    ทอดทิ้งในสิ่งที่ตนได้เล่าเรียนมา
    จึงลืมมันเสียหมดและไม่เข้าใจอะไรเลย
    เพราะเหตุนี้
    เขาจึงได้ชื่อว่า ยศกาม
    แต่เนื่องจากเขาได้ทำกรรมดีไว้มากด้วย
    เขาจึงสามารถได้พบพระพุทธะนับไม่ถ้วน
    เขาได้ทำการบูชาแด่พระพุทธะเหล่านั้น
    และปฏิบัติตามพระองค์ในการปฏิบัติมหามรรค
    ปฏิบัติบารมี ๖
    และบัดนี้เขาได้พบกับพระศากยสิงห์แล้ว
    หลังจากนี้เขาจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง
    มีพระนามว่า เมตไตรย
    ซึ่งพระองค์จะได้ช่วยสรรพสัตว์อย่างกว้างขวาง
    เป็นจำนวนมากมายเหลือคณานับ
    หลังจากพระพุทธเจ้านั้นได้เข้าสู่ความดับ
    คนเกียจคร้านคนนั้น เขาคือตัวท่าน
    และพระธรรมาจารย์วรประภาในเวลานั้น
    คือตัวข้าพเจ้าในเวลานี้นี่เอง
    ข้าพเจ้าได้เคยเห็นพระสุริยจันทรประทีปพุทธเจ้า
    แต่ปางก่อนได้แสดงลางประหลาดอันเป็นมงคลยิ่งนี้
    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรู้ว่าเวลานี้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
    ก็กำลังจะเทศนาสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    นิมิตในเวลานี้เป็นเหมือนกับลางประหลาดแต่ก่อน
    นี่เป็นกุศโลบายที่พระพุทธะทั้งหลายทรงใช้
    เวลานี้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเปล่งลำแสงนี้
    เพื่อช่วยในการเปิดเผยความหมายของลักษณะที่เป็นจริง
    ของปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    บัดนี้ ถึงเวลาที่มวลมนุษย์จะได้รู้จัก
    ขอให้พวกเราประนมมือและคอยด้วยใจเดียว
    พระพุทธเจ้ากำลังจะหลั่งฝนแห่งธรรม
    เพื่อยังความพึงพอใจอย่างเต็มที่แก่ผู้แสวงหามรรคทั้งหลาย
    ท่านผู้แสวงหาสามยาน
    ถ้าท่านมีความสงสัยและมีความเสียใจ
    พระพุทธเจ้าจะทรงขจัดสิ่งเหล่านี้ให้แก่ท่าน
    ทำให้ความสงสัยและความเสียใจหมดไปโดยสิ้นเชิง


    --------------------
     
  2. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒
    บทกุศโลบาย

    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จออกจากสมาธิโดยสงบ แล้วได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “ปัญญาของพระพุทธะทั้งหลายลึกซึ้งมากมายและมิอาจหยั่งได้ ประตูสู่ปัญญานี้ ยากที่จะเข้าใจและยากที่จะเข้าไปได้ ไม่มีพระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธะใดที่สามารถจะเข้าใจได้”
    “อะไรคือเหตุผลของเรื่องนี้ พระพุทธะพระองค์หนึ่ง โดยส่วนพระองค์ได้อยู่ร่วมกับพระพุทธะร้อยพันหมื่นล้านจำนวนนับไม่ถ้วนพระองค์มาแล้ว และได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมจำนวนมากมายมาอย่างสมบูรณ์แล้ว พระองค์ได้บำเพ็ญเพียรอย่างกล้าหาญและอย่างวิริยะมาแล้ว อันทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักกันทั่วไป พระองค์ทรงเข้าใจพระธรรมอันลึกซึ้งที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อนดีแล้ว และทรงสอนพระธรรมนั้นตามความเหมาะสม แต่เจตนาของพระองค์นั้นยากที่จะเข้าใจได้”
    “สารีบุตร ตั้งแต่เราได้บรรลุพุทธภาวะเป็นต้นมา เราได้แสดงคำสอนของเราอย่างกว้างขวางโดยการใช้เหตุและปัจจัยต่างๆ และการอุปมาหลากหลาย และเรายังใช้กุศโลบายนับไม่ถ้วนในการชี้นำสรรพสัตว์ ทำให้สรรพสัตว์เหล่านั้น ละความยึดมั่นถือมั่นของตนเสียได้ ทำไมหรือ เพราะว่า พระตถาคตเจ้าทรงมีทั้งกุศโลบายและปัญญาบารมีอย่างครบถ้วน”
    “สารีบุตร ปัญญาของพระตถาคตเจ้านั้น กว้างขวางและลึกซึ่งนัก พระองค์ทรงมีมหากรุณา มิอาจวัดได้ ปฏิภาณโวหารของพระองค์ไม่มีขีดจำกัด พละ ความไม่กลัว ฌาน วิโมกข์ สมาธิ และได้เข้าสู่ความไม่มีขอบเขตอย่างล้ำลึกแล้ว และได้ตื่นแล้วสู่พระธรรมอันไม่เคยได้บรรลุมาก่อน”
    “สารีบุตร พระตถาคตเจ้าทรงรู้การที่จะทำให้เป็นลักษณะเฉพาะชนิดต่างๆ และการที่จะแสดงคำสอนต่างๆ อย่างเชี่ยวชาญ พระวาจาของพระองค์อ่อนโยนสุภาพ และสามารถทำความยินดีให้แก่ทุกคนในที่ประชุม”
    “สารีบุตร โดยสรุป พระพุทธะทรงเข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้วซึ่งพระธรรมอันไม่จำกัด ไม่มีขอบเขต ไม่เคยได้บรรลุมาก่อน”
    “แต่หยุดก่อน สารีบุตร เราจะไม่พูดต่ออีกแล้ว ทำไมหรือ เพราะว่าที่พระพุทธะทรงบรรลุแล้วนั้น เป็นพระธรรมที่หายากที่สุดและเข้าใจยากที่สุด เฉพาะพระพุทธะเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ในลักษณะที่เป็นจริงของปรากฏการณ์ทั้งหลาย กล่าวคือ เป็นลักษณะเช่นนี้ สันดานเช่นนี้ ตัวตนเช่นนี้ พลังเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ เหตุเช่นนี้ ปัจจัยสัมพันธ์เช่นนี้ ผลแฝงเช่นนี้ ผลสำแดงเช่นนี้ และต้นปลายสอดคล้องเข้ากันได้อย่าถี่ถ้วนเท่าเทียมกันเช่นนี้ ของปรากฏการณ์ทั้งหลาย”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    วีรบุรุษของโลกเป็นสิ่งที่มิอาจหยั่งถึงได้
    ในหมู่เทวดาหรือประชาชนแห่งโลก
    ในหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจพระพุทธะได้
    พละความไม่กลัว
    วิโมกข์และสมาธิของพระพุทธะ
    และคุณสมบัติอย่างอื่นของพระพุทธองค์
    ไม่มีผู้ใดสามารถคำนวณหรือหยั่งถึงได้
    แต่ปางก่อนภายใต้การชี้แนะของพระพุทธะนับไม่ถ้วน
    พระองค์ได้รับและได้ปฏิบัติมรรคต่างๆ อย่างครบถ้วนแล้ว
    ซึ่งคำสอนอันลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน และมหัศจรรย์ทั้งหลาย
    อันยากที่จะพบเห็นและยากที่จะเข้าใจ
    ตลอดเวลามากมายหลายล้านกัป
    พระองค์ได้ปฏิบัติมรรคเหล่านี้
    จนกระทั่งได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ณ สถานแห่งการปฏิบัติ
    เราได้เห็นแล้วและรู้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
    เป้าหมายและผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่นี้
    ความหมายของธรรมชาติและลักษณะพิเศษต่างๆ เหล่านี้
    เราและพระพุทธะอื่นๆ แห่งสิบทิศ
    เวลานี้สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว
    พระธรรมนี้ไม่สามารถบรรยายได้
    ไม่มีคำพูดใดใช้ได้กับพระธรรมนี้
    ในหมู่สรรพสัตว์ชนิดอื่นๆ
    ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจมันได้เลย
    ยกเว้นพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
    ผู้มั่นคงในพลังแห่งความศรัทธา
    หมู่ศิษย์มากมายของพระพุทธะทั้งหลาย
    ในอดีตได้ถวายเครื่องสักการะแด่พระพุทธองค์มาแล้ว
    ได้กำจัดอาสวะทั้งหลายออกหมดแล้ว
    และเวลานี้กำลังอาศัยอยู่ในชาติสุดท้าย
    แต่แม้จะเป็นคนเช่นพวกเขาเหล่านั้น
    ก็ยังไม่มีกำลังเพียงพอ
    ถึงแม้จะเอาโลกทั้งโลก
    บรรจุให้เต็มด้วยคนเช่นสารีบุตร
    แม้พวกเขาใช้ความคิดจนหมดและรวมความสามารถกัน
    พวกเขาก็ไม่สามารถหยั่งถึงความรู้ของพระพุทธะได้
    แม้ว่าในทิศทั้งสิบ
    บรรจุให้เต็มด้วยคนเช่นสารีบุตร
    หรือเช่นศิษย์คนอื่นๆ
    แม้พวกเขามีเต็มในดินแดนทั้งสิบทิศ
    แล้วรวมกันใช้ความคิดจนหมดและรวมความสามารถกัน
    แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจมันได้
    ถ้าพระปัจเจกพุทธะมีความเข้าใจเฉียบแหลม
    ปราศจากอาสวะอยู่ในชาติสุดท้าย
    บรรจุให้เต็มโลกทั้งหมดในสิบทิศ
    จำนวนมากมายเท่าต้นไผ่ในป่าละเมาะ
    แม้พวกเขาจะรวมกันด้วยใจเดียว
    ตลอดเวลาหนึ่งล้านหรือนับไม่ถ้วนกัป
    ด้วยหวังที่จะคิดปัญญาที่แท้จริงของพระพุทธะให้ได้
    พวกเขาก็มิอาจเข้าใจแม้ส่วนน้อยที่สุดของมัน
    ถ้าพระโพธิสัตว์ที่เข้ามาสู่มรรคใหม่ๆ
    ได้ถวายเครื่องสักการะแด่พระพุทธะนับไม่ถ้วน
    เข้าใจอย่างถ่องแท้ในจุดมุ่งหมายของคำสอนต่างๆ
    และยังสามารถสอนพระธรรมอย่างได้ผล
    มากมายเหมือนต้นหญ้าและต้นปอ ต้นไผ่และต้นอ้อ
    บรรจุให้เต็มดินแดนในสิบทิศ
    ด้วยใจเดียวและด้วยความรู้มหัศจรรย์ของพวกเขา
    ตลอดกัปมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    แม้ทั้งหมดจะได้รวมความคิดและความสามารถ
    พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความรู้ของพระพุทธะได้
    ถ้าพระโพธิสัตว์ผู้ไม่มีการถอยกลับ
    มีจำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    จะร่วมกันขบคิดและแสวงหาด้วยใจเดียวกัน
    พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้เช่นกัน
    สารีบุตร เราขอประกาศแก่เธออีกว่า
    พระธรรมอันลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน และมหัศจรรย์
    ปราศจากอาสวะอันไม่สามารถ เข้าใจได้นี้
    บัดนี้ เราได้บรรลุอย่างสมบูรณ์แล้ว
    เราเท่านั้นที่เข้าใจลักษณะพิเศษของมัน
    และพระพุทธะแห่งสิบทิศก็เข้าใจแล้วเช่นกัน
    สารีบุตร เธอพึงทราบว่า
    พระวาจาของพระพุทธะทั้งหลายมิได้แตกต่างกันเลย
    ต่อพระธรรมที่ทรงสอนโดยพระพุทธะทั้งหลาย
    เธอจะต้องบ่มเพาะพลังแห่งความศรัทธาอันยิ่งใหญ่
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงคำสอนของพระองค์มานานแล้ว
    ในเวลานี้จะต้องเปิดเผยความจริง
    เราขอประกาศเรื่องนี้แก่ที่ประชุมแห่งพระสาวก
    และแก่พวกที่แสวงหาปัจเจกพุทธยานดังนี้
    เราได้ช่วยให้ประชาชนรอดพ้นจากเครื่องผูกแห่งความทุกข์
    และบรรลุนิพพาน
    พระพุทธเจ้า ด้วยพลังแห่งกุศโลบาย
    ได้แสดงให้พวกเขาเห็นคำสอนแห่งสามยาน
    ทำให้สรรพสัตว์คลายจากการยึดมั่นในสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น
    และช่วยให้พวกเขาได้รับการปลดปล่อย
    เวลานั้น ในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ มีพระสาวก พระอรหันต์อันอาสวะหมดสิ้นแล้ว พระอัญญาโกณฑัญญะ และคนอื่นๆ จำนวน ๑,๒๐๐ รูป และมีหมู่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความคิดอยากจะเป็นพระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธะ คนเหล่านี้ต่างมีความคิดดังนี้ “เวลานี้ เพราะเหตุผลอะไรพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสสรรเสริญกุศโลบายอย่างจริงจังนักหนา และตรัสว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุแล้วนั้น ลึกซึ้ง
    มากมายและยากที่จะเข้าใจได้ และยังตรัสว่ามันเป็นการยากที่จะเข้าใจความหมายของถ้อยคำที่พระองค์ทรงสอน อันไม่มีพระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธะใดสามารถเข้าใจได้ ถ้าพระพุทธองค์ทรงสอนแต่เพียงคำสอนแห่งความหลุดพ้นอย่างเดียวแล้ว พวกเราก็น่าจะได้บรรลุพระธรรมนี้ และได้เข้าถึงสภาพแห่งนิพพานแล้ว พวกเราไม่อาจเข้าใจประเด็น
    สำคัญของสิ่งที่พระองค์ตรัสสอนในเวลานี้ได้”
    เวลานั้น พระสารีบุตรทราบความสงสัยที่เกิดขึ้นในจิตใจของบริษัท ๔ กับทั้งตัวท่านเองก็มิได้มีความเข้าใจถ่องแท้นัก ดังนั้น ท่านจึงได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า อะไรเป็นเหตุและปัจจัยที่ชักนำให้พระองค์ตรัสสรรเสริญกุศโลบาย กลอุบายที่สำคัญที่สุดของพระพุทธะทั้งหลายอย่างจริงจัง พระธรรมอันลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์ที่ยากจะเข้าใจได้ จากอดีตกาลมา ข้าพระองค์ไม่เคยได้เห็นการสอนชนิดนี้จากพระพุทธเจ้าเลย เวลานี้บริษัท ๔ ล้วนมีความสงสัย พวกข้าพระองค์ ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงเรื่องนี้ เพราะเหตุผลอะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสรรเสริญพระธรรมนี้ว่าเป็นพระธรรมที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน และมหัศจรรย์ ยากที่จะเข้าใจได้นักหนา พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระสารีบุตรปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ดวงอาทิตย์แห่งปัญญา มหามุนี และผู้ควรแก่การเคารพ
    ในที่สุดพระองค์ก็ได้สอนพระธรรมนี้
    พระองค์เองประกาศว่า พระองค์ได้บรรลุแล้วซึ่ง
    พละ ความไม่กลัว สมาธิ
    ฌาน วิโมกข์ คุณสมบัติอื่นๆ เหล่านี้
    และพระธรรมที่อยู่เหนือความเข้าใจได้
    พระธรรมนี้ที่พระองค์ได้บรรลุ ณ สถานแห่งการปฏิบัติ
    ไม่มีผู้ใดสามารถไต่ถามพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้
    “ความตั้งใจของเรายากที่จะหยั่งถึงได้
    และ ไม่มีผู้ใดสามารถไต่ถามเราได้”
    แม้ไม่มีผู้ใดถาม แต่พระองค์ทรงสอนเอง
    สรรเสริญวิถีทางที่พระองค์ดำเนินอยู่
    ปัญญาของพระองค์ละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์ยิ่ง
    อันเป็นสิ่งที่พระพุทธะทั้งหลายได้บรรลุแล้ว
    พระอรหันต์ผู้ปราศจากอาสวะ
    และผู้ที่แสวงหานิพพาน
    ในเวลานี้ ทุกคนต่างตกอยู่ในข่ายแห่งความสงสัย
    แปลกใจว่าเพราะเหตุผลใด พระพุทธองค์จึงทรงสอนอย่างนี้
    พวกที่แสวงหาการเป็นพระปัจเจกพุทธะ
    บรรดาภิกษุและภิกษุณี
    เทพ นาค และภูตผี
    พร้อมทั้งคนธรรพ์และพวกอื่นๆ
    ต่างมองหน้ากันเต็มไปด้วยความสับสน
    เพ่งมองยังที่เคารพสูงสุดของเทวดาและมนุษย์
    อะไรคือความหมายของสิ่งเหล่านี้
    ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงอธิบายเรื่องนี้แก่พวกเรา
    ในท่ามกลางที่ประชุมของพระสาวก
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศสุด
    แต่เวลานี้ ข้าพระองค์ไม่มีปัญญาพอ
    ที่จะแก้ความสงสัยและความสับสนเหล่านี้
    อันที่จริงข้าพระองค์ได้เข้าใจธรรมอันสูงสุดแล้ว
    หรือข้าพระองค์ยังอยู่ในทางแห่งการปฏิบัติ
    บรรดาบุตรอันเกิดจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
    ต่างประนมมือ เพ่งมอง และรอคอย
    ขอให้พระองค์ทรงเปล่งเสียงอันละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์
    ในเวลานี้ อธิบายให้พวกเราทราบว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไร
    ปวงเทพ นาค ภูตผี และพวกอื่นๆ
    จำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    พระโพธิสัตว์ผู้แสวงหาการเป็นพระพุทธะ
    หมู่ใหญ่จำนวน ๘๐,๐๐๐ องค์
    รวมทั้งพระเจ้าจักรพรรดิราช
    ที่มาจากหมื่นล้านดินแดน
    ต่างประนมมือและด้วยใจเคารพ
    ปรารถนาที่จะได้สดับการสอนมรรคอันสมบูรณ์
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “หยุดก่อน หยุดก่อน! ไม่จำเป็นที่จะพูดอีกต่อไป ถ้าเราพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เทวดาและมนุษย์ทั่วโลกทั้งหลายจะพิศวงและสงสัยกันไปหมด”
    พระสารีบุตรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงสอน! พวกข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงสอน! เพราะเหตุใดหรือ เพราะเหตุว่าสรรพสัตว์หลายร้อยพันหมื่นล้านอสงไขยนับไม่ถ้วนแห่งที่ประชุมนี้ ในอดีตได้พบพระพุทธะมากมายมาแล้ว มีอินทรีย์เข้มแข็งและปัญญาเฉียบแหลม ถ้าพวกเขาได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเขาย่อมสามารถที่จะเชื่อด้วย
    ความเคารพได้ พระเจ้าข้า”
    ในเวลานั้น พระสารีบุตรปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระธรรมราชา อันไม่มีผู้ใดได้รับเกียรติสูงกว่า
    ได้โปรดตรัสสอนโดยปราศจากความกังวลเถิด!
    ในที่ประชุมแห่งสรรพสัตว์นับไม่ถ้วนนี้
    มีผู้ที่สามารถเชื่อด้วยความเคารพ พระเจ้าข้า
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสย้ำอีกว่า “หยุดก่อนสารีบุตร! ถ้าเราพูดถึงเรื่องนี้ เทวดา มนุษย์ และอสูรทั่วโลก ทั้งหมดจะพิศวงและสงสัย พวกภิกษุผู้มีความหยิ่งยโสจะตกนรกขุมใหญ่”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส ซ้ำสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสมาแล้วเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    หยุดก่อน หยุดก่อน ไม่จำเป็นต้องพูดอีก!
    พระธรรมของเรามหัศจรรย์และยากที่จะขบคิด
    พวกที่มีความหยิ่งยโส
    เมื่อได้ฟังจะไม่แสดงให้เห็นความเชื่อโดยเคารพ
    ในเวลานั้น พระสารีบุตรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ขออาราธนาให้พระองค์ทรงสอน! พวกข้าพระองค์ขออาราธนาให้พระองค์ทรงสอน! ในที่ประชุมนี้เวลานี้ มีคนเช่นข้าพระองค์จำนวนหลายร้อยพันหมื่นล้าน ในยุคแล้วยุคเล่า พวกข้าพระองค์ได้ติดตามพระพุทธะทั้งหลายและได้รับคำแนะนำมาแล้ว หมู่ชนอย่างนี้ย่อมสามารถที่จะเชื่อด้วยความเคารพได้อย่างแน่นอน ตลอดราตรีอันยาวนาน พวกเขาจะได้รับความสงบและการพักผ่อน และจะพึงพอใจกับคุณประโยชน์มากมาย พระเจ้าข้า”
    เวลานั้น พระสารีบุตรปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระผู้มีเกียรติสูงสุดในหมู่เทวดาและมนุษย์
    พวกเราขอให้พระองค์ได้โปรดสอนพระธรรมอันยอดเยี่ยมที่สุดนี้
    ข้าพระองค์ซึ่งถือว่าเป็นโอรสองค์ใหญ่ของพระพุทธเจ้า
    ขอให้พระองค์ทรงช่วยด้วยการสอนลักษณะเฉพาะต่างๆ
    ผู้คนนับไม่ถ้วนแห่งที่ประชุมนี้
    สามารถที่จะเชื่อตามด้วยความเคารพในพระธรรมนี้
    พระพุทธองค์ในยุคแล้วยุคเล่า
    ได้สอนและได้เปลี่ยนแปลงพวกเขามาแล้วในวิธีนี้
    ทุกคนด้วยใจเป็นหนึ่งเดียวและสองมือประนม
    ปรารถนาที่จะได้สดับและรับพุทธวาจา
    ข้าพระองค์และคนอื่นๆ อีก ๑,๒๐๐ รูปในกลุ่มพวกเรา
    รวมทั้งผู้ที่แสวงหาการที่จะเป็นพระพุทธะ
    ขอพระองค์ได้ทรงโปรด เพื่อประโยชน์ของที่ประชุมนี้
    ได้สงเคราะห์พวกเราด้วยการสอนลักษณะเฉพาะต่างๆ
    เมื่อพวกเราได้สดับพระธรรมนี้
    พวกเราจะเกิดความปิติยินดีอันยิ่งใหญ่
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “เมื่อเธอได้กล่าวขอร้องเราอย่างจริงจังสามครั้งแล้ว เราจะไม่สอนได้อย่างไร บัดนี้เธอจะต้องตั้งใจฟังให้ดีและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์ของเธอ เราจะวิเคราะห์และอธิบายเรื่องนี้ ณ บัดนี้”
    เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสพระวาจาเหล่านี้จบแล้ว มีพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในที่ประชุม ๕,๐๐๐ คน ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที ถวายบังคมแด่พระพุทธเจ้าแล้วถอยออกไป อะไรเป็นเหตุผลของเรื่องนี้ คนเหล่านี้มีรากเหง้าแห่งความผิดติดอยู่ลึกและจำนวนมาก นอกจากนั้นพวกเขายังหยิ่งยโสอีกด้วย สิ่งที่พวกเขามิได้บรรลุแต่เชื่อ
    ว่าตนได้บรรลุแล้ว สิ่งที่พวกเขามิได้เข้าใจแต่เชื่อว่าตนได้เข้าใจแล้ว และเพราะพวกเขามีข้อบกพร่องอย่างนี้ พวกเขาจึงมิได้อยู่ในที่ที่พวกเขาเคยอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอยู่ในอาการนิ่งเงียบ และมิได้ทรงพยายามที่จะยับยั้งพวกเขา
    ณ เวลานี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “บัดนี้ ที่ประชุมของเรานี้ไม่มีกิ่งไม้และใบไม้แล้ว คงเหลือแต่ผู้ที่มีความแน่วแน่และซื่อสัตย์ สารีบุตร เป็นการดีแล้วที่คนหยิ่งยโสเหล่านี้ถอนตัวออกไป จงตั้งใจฟังให้ดี เราจะสอนแก่พวกเธอ ณ บัดนี้”
    พระสารีบุตรได้กราบทูลรับพระดำรัสว่า “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ปรารถนาใคร่ที่จะได้สดับอยู่แล้ว พระเจ้าข้า!”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “ธรรมมหัศจรรย์เช่นนี้ พระพุทธะ พระตถาคตเจ้า จะทรงสอนในบางเวลาเท่านั้น เหมือนกับการบานของดอกอุทุมพร แต่เวลาเช่นนั้นมาถึงได้ยากจริงๆ สารีบุตร เธอและคนอื่นๆ จะต้องเชื่อเรา ถ้อยคำที่พระพุทธะทั้งหลายทรงสอนนั้น ไม่เป็นของไร้สาระหรือเป็นเท็จ”
    “สารีบุตร พระพุทธะทั้งหลายทรงสอนพระธรรมตามโอกาสอันเหมาะสม แต่ความหมายนั้นยากที่จะเข้าใจได้ ทำไมเป็นเช่นนี้ เพราะว่าเราใช้กุศโลบายนับไม่ถ้วน อภิปรายเหตุและปัจจัย ใช้ถ้อยคำอุปมาและการเปรียบเทียบในการแสดงคำสอน พระธรรมนี้มิได้เป็นบางสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ด้วยการไตร่ตรองหรือการวิเคราะห์ เพียงแต่
    ผู้เป็นพระพุทธะเท่านั้นที่สามารถเข้าใจพระธรรมนี้ได้ ทำไมเป็นเช่นนี้ เพราะว่า พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย อุบัติขึ้นในโลกด้วยเหตุผลอันยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว สารีบุตร มันหมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่า พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย อุบัติขึ้นมาในโลกด้วยเหตุผลอันยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว”
    “พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ปรารถนาที่จะเปิดประตูแห่งพุทธปัญญาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเพื่อที่จะช่วยให้พวกเขาได้บรรลุความบริสุทธิ์ นั่นคือเหตุผลที่พระองค์อุบัติขึ้นมาในโลก พระองค์ปรารถนาที่จะแสดงพุทธปัญญาให้สรรพสัตว์ได้เห็น เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงอุบัติขึ้นมาในโลก พระองค์ปรารถนาที่จะทำให้สรรพสัตว์รู้แจ้งเข้าใจในพุทธปัญญา เพราะเหตุนั้นพระองค์จึงอุบัติขึ้นมาในโลก พระองค์ปรารถนาที่จะชักนำสรรพสัตว์ให้เข้าสู่หนทางแห่งพุทธปัญญา เพราะเหตุนั้นพระองค์จึงอุบัติขึ้นมาในโลก สารีบุตร นี่คือเหตุผลอันยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้พระพุทธะทั้งหลายอุบัติขึ้นมาในโลก”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “พระพุทธะ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ทรงสอนและเปลี่ยนแปลงแต่พระโพธิสัตว์เท่านั้น สิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำมาตลอดเวลา ก็เพื่อความมุ่งหมายหนึ่งเดียวนี้ พระองค์เพียงแต่ทรงปรารถนาที่จะแสดงพุทธปัญญาให้สรรพสัตว์ได้เห็น และทำให้สรรพสัตว์ได้รู้แจ้งในพุทธปัญญานี้เท่านั้น”
    “สารีบุตร พระตถาคตเจ้าทรงมีพุทธยานเพียงยานเดียวเท่านั้น ที่พระองค์ทรงใช้ในการสอนพระธรรมแก่สรรพสัตว์ พระองค์ไม่มียานอื่นใด ไม่ว่ายานที่สองหรือยานที่สาม สารีบุตร พระธรรมที่สอนโดยพระพุทธะทั้งหลาย แห่งสิบทิศก็เป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน”
    “สารีบุตร พระพุทธะแห่งอดีตได้ทรงใช้กุศโลบายนับไม่ถ้วน เหตุและปัจจัยมากมาย การอุปมาและการเปรียบเทียบ เพื่อแสดงคำสอนโปรดสรรพสัตว์ คำสอนเหล่านี้ล้วนเพื่อเป็นประโยชน์แก่เอกพุทธยานทั้งสิ้น สรรพสัตว์เหล่านี้โดยการได้ฟังคำสอนของพระพุทธะทั้งหลาย ทั้งหมดสามารถบรรลุปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิดได้ในที่สุด”
    “สารีบุตร เมื่อพระพุทธะแห่งอนาคตทรงอุบัติขึ้นมาในโลก พระองค์ก็จะทรงใช้กุศโลบายนับไม่ถ้วน เหตุและปัจจัยมากมาย การอุปมาและการเปรียบเทียบในการแสดงคำสอนเพื่อโปรดสรรพสัตว์ คำสอนเหล่านี้ล้วนเพื่อประโยชน์แก่เอกพุทธยานทั้งสิ้น สรรพสัตว์เหล่านี้ โดยการได้รับฟังคำสอนของพระพุทธะทั้งหลาย ทั้งหมดสามารถที่จะบรรลุปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิดได้ในที่สุด”
    “สารีบุตร พระพุทธะ พระผู้พระภาคเจ้าทั้งหลาย ผู้ดำรงอยู่ ณ ปัจจุบันในพุทธเกษตรมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านในสิบทิศ ยังประโยชน์ นำความสงบ และความสุขสู่สรรพสัตว์จำนวนมากมาย พระพุทธะเหล่านี้ก็ทรงใช้กุศโลบายนับไม่ถ้วน เหตุและปัจจัยหลากหลาย การอุปมาและการเปรียบเทียบ ในการแสดงคำสอนเพื่อโปรดสรรพ
    สัตว์ด้วยเช่นกัน คำสอนเหล่านี้ล้วนเพื่อประโยชน์แก่เอกพุทธยานทั้งสิ้น สรรพสัตว์เหล่านี้โดยการได้รับฟังคำสอนของพระพุทธะทั้งหลาย ทั้งหมดก็สามารถบรรลุปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิดได้ในที่สุด”
    “สารีบุตร พระพุทธะเหล่านี้ทรงสอนและเปลี่ยนแปลงแต่พระโพธิสัตว์เท่านั้น พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น เพราะว่าพระองค์ทรงปรารถนาที่จะชี้และแสดงพุทธปัญญาให้สรรพสัตว์ได้เห็น พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น เพราะว่าพระองค์ทรงปรารถนาที่จะใช้พุทธปัญญาทำให้สรรพสัตว์ได้รู้แจ้ง พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น เพราะว่าพระองค์ทรง
    ปรารถนาที่จะทำให้สรรพสัตว์ได้เข้าสู่ทางแห่งพุทธปัญญา”
    “สารีบุตร เราในเวลานี้ก็จะกระทำเช่นเดียวกัน เรารู้ว่าสรรพสัตว์มีความปรารถนาหลากหลาย อุปาทานต่างๆ ที่ฝังลึกอยู่ในใจของพวกเขา ด้วยการยอมรับธรรมชาติพื้นฐานนี้ของพวกเขา เราจึงได้ใช้เหตุและปัจจัย การอุปมาและการเปรียบเทียบต่างๆ และแสดงพระธรรมเพื่อพวกเขา สารีบุตร เรากระทำดังนี้ เพื่อว่าพวกเขาทั้งหมดสามารถบรรลุเอกพุทธยานและปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิดได้”
    “สารีบุตร ในโลกแห่งสิบทิศ ไม่มีสองยาน จึงไม่ต้องกล่าวถึงสามยาน! สารีบุตร พระพุทธะทรงอุบัติขึ้นมาในโลกอันชั่วร้ายแห่งความไม่บริสุทธิ์ ๕ ประการ ความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ได้แก่ ความไม่บริสุทธิ์แห่งยุค ความไม่บริสุทธิ์แห่งกิเลส ความไม่บริสุทธิ์แห่งสัตว์ ความไม่บริสุทธิ์แห่งทิฐิ และความไม่บริสุทธิ์แห่งอายุขัย”
    “สารีบุตร เมื่อยุคไม่บริสุทธิ์และอยู่ในสมัยกลียุคแล้ว สรรพสัตว์จะมีมลทินหนัก เต็มไปด้วยความโลภและความอิจฉาริษยา และปลูกฝังไว้แต่รากเหง้าที่ไม่ดี เพราะเหตุนี้ พระพุทธะทั้งหลายจึงทรงใช้พลังแห่งกุศโลบาย ประยุกต์ใช้ลักษณะเฉพาะต่างๆ แก่เอกพุทธยาน และทรงสอนให้ดูเหมือนว่าเป็นสามยาน”
    “สารีบุตร ถ้ามีศิษย์ของเราคนใดจะมากล่าวอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์หรือพระปัจเจกพุทธะ แต่เขายังมิได้เอาใจใส่หรือเข้าใจว่า พระพุทธะ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ทรงสอนและเปลี่ยนแปลงแต่เพียงพระโพธิสัตว์แล้ว เขาก็หาได้เป็นศิษย์ของเราไม่ อีกทั้ง เขายังมิได้เป็นพระอรหันต์หรือพระปัจเจกพุทธะด้วย”
    “อนึ่ง สารีบุตร ถ้าจะพึงมีพวกภิกษุหรือภิกษุณี ผู้ซึ่งอ้างว่าเขาได้บรรลุอรหันตภาวะอันมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ได้บรรลุนิพพานเด็ดขาดแล้ว และเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีความตั้งใจที่จะแสวงหาอนุตตรสัมมาสัมโพธิต่อไปอีกแล้ว เธอพึงเข้าใจเถิดว่า คนเช่นนั้นเป็นคนหยิ่งยโส ทำไมเราจึงกล่าวดังนี้ เพราะว่าถ้ามีพระภิกษุผู้ที่ได้บรรลุอรหันตภาวะจริงแล้ว ก็จะไม่คิดว่าพวกเขาไม่ควรเชื่อพระธรรมนี้ อาจมีข้อยกเว้นในกรณีหลัง
    จากพระพุทธเจ้าใด้เสด็จดับขันธ์ไปแล้ว เมื่อไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในโลก ทำไมจึงเป็นดังนี้ เพราะว่า หลังจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ไปแล้ว เป็นการยากที่จะได้พบผู้ที่สามารถยึดถือ สวด และเข้าใจความหมายของพระสูตรเช่นนี้ แต่ถ้าในเวลานั้น ผู้ใดได้พบพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งแล้ว พวกเขาจะได้บรรลุความเข้าใจเกี่ยวกับพระธรรมนี้แน่นอน”
    “สารีบุตร เธอและคนอื่นๆ ควรเชื่อและยอมรับพระพุทธวาจาด้วยใจเดียว พระวาจาของพระพุทธะ พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เป็นของไร้สาระหรือเป็นเท็จ ไม่มียานอื่น มีพุทธยานเพียงยานเดียวเท่านั้น”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    มีเหล่าภิกษุและภิกษุณี
    ผู้มีความประพฤติหยิ่งยโส
    อุบาสกเต็มไปด้วยความทะนงตัว
    อุบาสิกาผู้ขาดความศรัทธา
    ในหมู่บริษัท ๔ มีคนอย่างนี้
    จำนวน ๕,๐๐๐ คน
    พวกนี้มองไม่เห็นความผิดของตนเอง
    ไม่สนใจและไม่สำรวมในเรื่องศีล
    ยึดติดอยู่กับปมด้อยของตนและไม่คิดที่จะเปลี่ยน
    แต่คนปัญญาน้อยเหล่านี้ได้ออกไปแล้ว
    พวกแกลบพวกฟางในที่ประชุมนี้
    ได้จากไปแล้วเมื่อเผชิญกับพลังของพระพุทธเจ้า
    คนเหล่านี้เป็นพวกมีบุญน้อยและมีความดีน้อย
    จึงไม่สามารถที่จะรับพระธรรมนี้ได้
    เวลานี้ ที่ประชุมนี้ไม่กิ่งไม้และใบไม้แล้ว
    คงเหลือแต่ผู้ที่มีความมั่นคงและซื่อสัตย์
    สารีบุตร จงตั้งใจฟังให้ดี
    เพราะพระธรรมที่พระพุทธะทั้งหลายได้บรรลุแล้ว
    โดยการใช้พลังแห่งกุศโลบายนับไม่ถ้วน
    พระองค์ทรงสอนเพื่อโปรดสรรพสัตว์
    ความคิดที่อยู่ในใจของสรรพสัตว์
    ทางชนิดต่างๆ ที่พวกเขาดำเนินตามอยู่
    ความอยากและธรรมชาติต่างๆ ของพวกเขา
    กรรมดีและกรรมชั่วที่พวกเขาทำไว้แต่ปางก่อน
    พระพุทธองค์ทรงทราบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
    ครั้นแล้วพระองค์ทรงใช้เหตุ
    การอุปมาและการเปรียบเทียบ
    ถ้อยคำประกอบด้วยพลังแห่งกุศโลบาย
    เพื่อทำให้ดีใจและพอใจแก่พวกเขาทั้งหลาย
    บางครั้ง พระองค์ทรงสอนพระสูตรบ้าง
    คาถาบ้าง เรื่องอดีตชาติของศิษย์บ้าง
    เรื่องชาดกบ้าง เรื่องที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนบ้าง
    บางครั้ง พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับเหตุและปัจจัย
    ใช้การอุปมา การเปรียบเทียบ ข้อความร้อยกรอง
    หรือสอนในรูปของการสนทนา
    สำหรับคนที่มีสติปัญญาทึบ พอใจในธรรมเล็กน้อย
    ยึดมั่นอย่างละโมบในความเกิดและความตาย
    ผู้ซึ่งแม้จะได้พบพระพุทธะนับไม่ถ้วน
    กลับมิได้ปฏิบัติมรรคอันลึกซึ้งและมหัศจรรย์
    แต่ถูกทำให้งุนงงและสับสนโดยกองทุกข์
    เพื่อคนเหล่านี้เราสอนนิพพาน
    เราใช้กุศโลบายเหล่านี้
    ทำให้พวกเขาเข้าไปสู่พุทธปัญญา
    จนกระทั่งบัดนี้เราไม่เคยบอกเธอ
    ว่าเธอจะได้บรรลุพุทธมรรคแน่นอน
    เหตุผลที่เราไม่เคยสอนเช่นนั้น
    เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะสอนเช่นนั้น
    แต่บัดนี้ เวลานั้นได้มาถึงแล้ว
    ที่เราต้องสอนมหายานอย่างแน่นอนแล้ว
    เราใช้วิธีการ ๙ อย่างเหล่านี้
    ดัดแปลงให้เหมาะสมแก่สรรพสัตว์ที่เราสอน
    จุดหมายหลักของเราอยู่ที่การชักนำพวกเขาเข้าสู่มหายาน
    และนั่นคือเหตุผลที่เราสอนพระสูตรนี้
    มีบรรดาพุทธบุตรผู้มีจิตบริสุทธิ์
    มีความสุภาพอ่อนโยนและความสามารถเฉียบแหลม
    ผู้ซึ่งภายใต้พระพุทธะนับไม่ถ้วน
    ได้ปฏิบัติมรรคอันลึกซึ้งและมหัศจรรย์มาแล้ว
    เพื่อบุตรของพระพุทธะเหล่านี้
    เราสอนพระสูตรแห่งมหายานนี้
    และเราได้พยากรณ์ว่าคนเหล่านี้
    ในชาติอนาคตจะได้บรรลุพุทธมรรค
    เพราะว่าในส่วนลึกแห่งจิต พวกเขาคิดถึงพระพุทธเจ้า
    กับทั้งยังได้ปฏิบัติและเทิดทูนศีลบริสุทธิ์
    พวกเขาจึงมั่นใจได้ว่าจะต้องได้บรรลุพุทธภาวะแน่นอน
    การได้ฟังดังนี้ทั่วทั้งกายเต็มไปด้วยความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่
    พระพุทธเจ้าทรงทราบจิตใจและการปฏิบัติของพวกเขา
    และเพราะเหตุนั้นจึงทรงสอนมหายานแก่พวกเขา
    เมื่อเหล่าพระสาวกและพระโพธิสัตว์
    ได้สดับพระธรรมนี้ที่เราสอน
    ในทันทีที่พวกเขาได้ฟังคาถาหนึ่งแล้ว
    พวกเขาทั้งหมดจะได้บรรลุพุทธภาวะโดยมิต้องสงสัย
    ในแดนพระพุทธะแห่งสิบทิศ
    มีเพียงพระธรรมแห่งหนึ่งยานเท่านั้น
    ไม่มีสอง ไม่มีสาม
    ยกเว้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนเป็นกุศโลบาย
    อันเป็นการใช้ชื่อและถ้อยคำเพียงชั่วคราวเท่านั้น
    เพื่อที่จะนำทางและบอกทางแก่สรรพสัตว์
    และสอนพุทธปัญญาแก่พวกเขา
    พระพุทธะทั้งหลายทรงอุบัติขึ้นมาในโลก
    ด้วยเหตุผลหนึ่งนี้เท่านั้นที่เป็นความจริง
    ส่วนอีกสองไม่เป็นความจริง
    พระพุทธองค์ไม่เคยใช้หินยาน
    ในการช่วยสรรพสัตว์และส่งพวกเขาข้ามฟาก
    พระพุทธเจ้าเอง พระองค์ทรงอาศัยอยู่ในมหายานนี้
    ประดับพระองค์ด้วยพลังแห่งฌานและปัญญา
    อันเหมาะสมกับพระธรรมที่พระองค์ได้บรรลุแล้ว
    พระองค์ทรงใช้ยานนั้นในการช่วยสรรพสัตว์
    พระพุทธองค์เองทรงเป็นพยานให้แก่มรรคอันสูงสุด
    มหายานธรรม ที่ซึ่งสิ่งทั้งหลายเสมอภาคกัน
    ถ้าเราใช้หินยาน
    เปลี่ยนแปลงได้แม้เพียงคนเดียว
    เราก็จะมีความผิดแห่งความใจแคบและความโลภ
    แต่เรื่องอย่างนั้นไม่อาจเป็นไปได้
    ถ้าผู้ใดเชื่อและถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้ว
    พระตถาคตเจ้าจะไม่หลอกลวงเขาเลย
    หรือพระองค์จะไม่แสดงให้เห็นความโลภหรือความริษยา
    เพราะพระองค์ได้ถอนความชั่วร้ายออกจากปรากฏการณ์แล้ว
    เพราะฉะนั้นทั่วทั้งสิบทิศ
    พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ไม่มีความกลัว
    เราประดับกายของเราด้วยคุณลักษณะพิเศษ
    และส่องความสว่างของเราไปยังโลก
    เราได้รับความเคารพจากหมู่ชนนับไม่ถ้วน
    และเพื่อพวกเขา เราสอนตราแห่งความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย
    สารีบุตร เธอควรจะทราบว่า
    ตั้งแต่ต้นมาเราได้ตั้งปณิธาน
    หวังที่จะทำให้คนทั้งหลาย
    ได้เท่าเทียมกับเรา โดยไม่มีความแตกต่างกันเลย
    และสิ่งที่เราได้หวังไว้นานมาแล้วนั้น
    บัดนี้ เราได้ทำให้บรรลุผลแล้ว
    เราเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์ทั้งหลายได้แล้ว
    และทำให้พวกเขาทั้งหลายเข้าไปสู่พุทธมรรคแล้ว
    ถ้าเมื่อใดเราได้พบสรรพสัตว์
    ในทุกกรณีเราได้สอนพุทธมรรคแก่พวกเขา
    พวกที่ไม่มีปัญญาจะเกิดความสับสน
    และด้วยความสับสนทำให้พวกเขาไม่ยอมรับคำสอนของรา
    เรารู้ว่าสรรพสัตว์เช่นนั้น
    ในอดีตไม่ได้ปลูกฝังรากเหง้าดีไว้เลย
    เอาแต่ยึดมั่นอย่างงมงายอยู่กับกามคุณ ๕
    ความโง่และความอยากได้ทำให้เกิดความทุกข์
    ความอยากได้เป็นมูลเหตุ
    ทำให้พวกเขาตกลงสู่อบายภูมิ ๓
    หมุนวนเหมือนกงล้ออยู่ใน ๖ ภูมิ
    ทนรับทุกร์และความเจ็บปวดทุกชนิด
    การได้รับรูปเล็กๆ เข้าไว้ในครรภ์
    ชาติแล้วชาติเล่า พวกเขาเจริญขึ้นเรื่อยๆ จนโตเต็มที่
    คนมีความดีน้อยและมีบุญน้อย
    ได้รับความลำบากและถูกกลุ้มรุมด้วยความทุกข์มากมาย
    พวกเขาพลัดหลงเข้าไปในป่าลึกแห่งความเห็นผิด
    โต้เถียงกันแต่เรื่องสิ่งมีอยู่ และสิ่งไม่มีอยู่
    แล้วในที่สุดก็ติดยึดอยู่กับความเห็นเช่นนั้น
    รวมทั้งหมด ๖๒ อย่างด้วยกัน
    พวกเขายึดมั่นอย่างลุ่มลึกอยู่กับคำสอนที่ผิดและว่างเปล่า
    พวกเขายึดมันไว้อย่างมั่นคงไม่สามารถละทิ้งมันเสียได้
    หยิ่งยโสและภูมิใจในความสำคัญของตัวเอง
    ประจบสอพลอและคดโกงไม่มีความจริงใจ
    ตลอดเวลาพันหมื่นล้านกัป
    พวกเขาจะไม่ได้สดับพระนามของพระพุทธเจ้า
    หรือจะไม่ได้สดับพระธรรมที่ถูกต้อง
    คนเช่นนั้นยากที่จะช่วยเหลือได้
    เพราะเหตุผลเหล่านี้ สารีบุตร
    เพื่อพวกเขา เราจึงได้บัญญัติกุศโลบาย
    สอนแนวทางที่จะยุติความทุกข์ทั้งหลาย
    และแสดงนิพพานให้พวกเขาได้เห็น
    แต่ถึงแม้เราจะสอนนิพพาน
    นี่ก็มิใช่ความดับที่แท้จริง
    ปรากฏการณ์ทั้งหลายตั้งแต่ต้นตลอดเวลา
    ตัวมันเองทรงไว้ซึ่งเครื่องหมายแห่งความดับสงบอยู่แล้ว
    เมื่อใดพุทธบุตรทั้งหลายได้ปฏิบัติทางนี้แล้ว
    ในชาติอนาคตพวกเขาสามารถที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า
    เราใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    ในการเปิดเผยและแสดงให้เห็นคำสอนแห่งสามยานนี้
    แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆ พระองค์
    ล้วนสอนแต่เอกยานมรรคทั้งนั้น
    ในเวลานี้ ต่อที่ประชุมใหญ่นี้
    เราจะต้องขจัดความงุนงงสงสัยทั้งหลายให้หมดสิ้นไป
    ไม่มีความขัดแย้งกันในพระวาจาของพระพุทธะทั้งหลาย
    มียานเพียงยานเดียวเท่านั้น ไม่มีสอง
    ตลอดกัปนับไม่ถ้วนในอดีต
    พระพุทธะมากมายที่เวลานี้ได้เข้าสู่ความดับแล้ว
    ร้อยพันหมื่นล้านพระองค์
    จำนวนมากมายอันไม่อาจคำนวณได้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเช่นนั้น
    ทรงใช้ชนิดต่างๆ ของเหตุ การอุปมาและการเปรียบเทียบ
    พลังแห่งกุศโลบายนับไม่ถ้วน
    แสดงลักษณะพิเศษของคำสอน
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านี้
    ล้วนแต่สอนคำสอนแห่งเอกยาน
    เปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์นับไม่ถ้วน
    และทำให้พวกเขาเข้าไปในพุทธมรรค
    และพระมหามุนีเจ้าเหล่านี้
    ด้วยการรู้สิ่งที่ปรารถนาที่อยู่ลึกในจิตใจ
    ของเทวดา มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
    ตลอดทั่วโลกทั้งหมด
    ก็ยังต้องใช้กุศโลบายอื่นๆ
    เพื่อช่วยทำความแจ่มแจ้งให้แก่ความจริงอันสูงสุด
    ถ้ามีสรรพสัตว์
    ผู้ได้พบกับอดีตพระพุทธะเหล่านี้
    และถ้าพวกเขาได้ฟังพระธรรมของพระองค์แล้วได้ถวายทาน
    หรือรักษาศีล แสดงความอดกลั้น
    มีความเพียร ปฏิบัติฌานและปัญญา และอื่นๆ
    ปลูกฝังบุญกุศลและคุณความดีนานาชนิดแล้ว
    คนเช่นนั้นเหล่านี้
    ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    หลังจากพระพุทธะต่างๆ ได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้ามีคนจิตใจดีและสุภาพ
    แล้วสรรพสัตว์เช่นนั้นเหล่านี้
    ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    หลังจากพระพุทธะต่างๆ ได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้าผู้ใดทำการบูชาแด่พระสารีริกธาตุ
    สร้างหอสถูปหมื่นหรือล้านชนิด
    ใช้ทอง เงิน และแก้วผลึก
    หอยสังข์และหินโมรา
    พลอยแดง ไพฑูรย์ และไข่มุก
    ทำให้บริสุทธิ์ แล้วประดับหอสถูปทั่วทั้งองค์
    ทำการสร้างหอสถูปขึ้นด้วยวิธีนี้
    หรือถ้าพวกเขาสร้างสุสานด้วยหิน
    หรือทำด้วยไม้จันทน์ หรือไม้กฤษณา
    ไม้โฮเวเนีย หรือไม้ชนิดอื่นๆ
    หรือก่อด้วยอิฐ กระเบื้อง ดินเหนียว หรือดิน
    ถ้าในกลางทุ่งกว้าง
    พวกเขากองดินให้เป็นสุสานของพระพุทธเจ้า
    หรือแม้แต่เด็กน้อยที่กำลังเล่นกันอยู่
    เอาทรายมากองทำเป็นหอสถูปของพระพุทธะแล้ว
    คนเช่นนั้นเหล่านี้
    ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    ถ้ามีคนผู้เห็นแก่พระพุทธเจ้า
    สร้างเป็นรูปและก่อเป็นพระพุทธรูป
    แกะสลักด้วยพุทธลักษณะหลายอย่างแล้ว
    ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    หรือถ้าพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง
    ด้วยทองแดง ทองเหลือง หรือทองขาว
    ขี้ผึ้ง ตะกั่ว ดีบุก
    เหล็ก ไม้ หรือดินเหนียว
    หรือใช้ผ้าชุบครั่งหรือน้ำมันสน
    ประดับและทำให้เป็นพระพุทธรูปแล้ว
    คนเช่นนั้นเหล่านี้
    ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    ถ้าพวกเขาใช้สีต่างๆ วาดพระพุทธรูป
    ให้มีพุทธลักษณะแห่งบุญกุศลเป็นร้อย
    ถ้าพวกเขาทำด้วยตนเองหรือจัดให้คนอื่นทำแล้ว
    ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    ถึงแม้เด็กน้อยที่กำลังเล่นกันอยู่
    ใช้ต้นหญ้า หรือกิ่งไม้ หรือพู่กัน
    หรือบางทีใช้เล็บมือ
    วาดเป็นพระรูปของพระพุทธเจ้า
    คนเช่นนั้นเหล่านี้
    จะสะสมกองบุญทีละน้อย
    และจะกลายเป็นคนมีจิตเต็มด้วยมหากรุณา
    พวกเขาทั้งหลายได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    เพียงแต่โดยการเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์
    พวกเขาช่วยปลดปล่อยหมู่ชนเหลือคณานับ
    และถ้าผู้ใดต่อหน้าหออนุสรณ์สถูปเช่นนั้น
    พระพุทธรูปประดับอัญมณีและพระพุทธรูปวาดเช่นนั้น
    ด้วยจิตเคารพนับถือ กระทำการบูชา
    ด้วยดอกไม้ เครื่องหอม ธงหรือฉัตร
    หรือถ้าพวกเขาใช้ให้คนบรรเลงดนตรี
    ตีกลอง หรือเป่าเขา หรือเป่าสังข์
    เป่าปี่ เป่าขลุ่ย ดีดพิณนอน ดีดพิณตั้ง
    ดีดพิณน้ำเต้า ตีฉิ่ง และตีฆ้อง
    และถ้าเสียงมหัศจรรย์ของเครื่องดนตรีเหล่านี้
    ทั้งหมดตั้งใจให้เป็นเครื่องสักการะ
    หรือถ้าผู้ใดด้วยใจร่าเริง
    ขับร้องเพลงสรรเสริญคุณความดีของพระพุทธเจ้า
    แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเสียงน้อยๆ เพียงเสียงเดียวแล้ว
    คนทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    ถ้าผู้ใดด้วยใจสับสนและว้าวุ่น
    ถือเอาดอกไม้แม้เพียงดอกเดียว
    ถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระพุทธรูปวาด
    ในไม่ช้า เขาจะได้พบพระพุทธะนับไม่ถ้วน
    หรือถ้าผู้ใดได้โค้งคำนับหรือกระทำความเคารพ
    หรือเพียงแต่ประนมมือ
    หรือแม้จะได้ยกมือเพียงข้างเดียว
    หรือทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อย
    และถ้านี้เป็นการกระทำเพื่อถวายแด่พระพุทธรูปแล้ว
    ในไม่ช้า เขาจะได้พบพระพุทธะนับไม่ถ้วน
    และถ้าตัวเขาเองได้บรรลุมรรคอันสูงสุด
    แล้วขยายความช่วยเหลือออกไปสู่หมู่ชนนับไม่ถ้วน
    เขาจะเข้าสู่นิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือ
    เหมือนไฟดับไปเมื่อหมดฟืนฉันนั้น
    ถ้าคนใดด้วยใจสับสนและวุ่นวาย
    เข้าไปในอนุสรณ์สถูป
    แล้วร้องขึ้นคำเดียวว่า “นมัสการ พระพุทธเจ้า"
    ทั้งหมดได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    ถ้าจากพระพุทธะทั้งหลายแต่อดีต
    เมื่อพระองค์ยังอยู่ในโลกหรือหลังจากพระองค์เข้าสู่ความดับแล้ว
    มีพวกที่ได้สดับพระธรรมนี้แล้ว
    ทั้งหมดนั้นได้บรรลุพุทธมรรคแล้ว
    พระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งอนาคต
    จำนวนมากมายเหลือคณานับ
    พระตถาคตเจ้าเหล่านี้
    ก็จะทรงใช้กุศโลบายในการสอนพระธรรมด้วยเช่นกัน
    และพระตถาคตเจ้าทั้งหมดเหล่านี้
    โดยอาศัยกุศโลบายนับไม่ถ้วน
    จะช่วยเหลือและนำอิสรภาพสู่สรรพสัตว์
    เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่พุทธปัญญาอันปราศจากอาสวะ
    ถ้ามีผู้ที่ได้สดับพระธรรมนี้แล้ว
    ไม่มีผู้ใดที่จะไม่ได้บรรลุพุทธภาวะ
    ปณิธานดั้งเดิมของพระพุทธะทั้งหลาย
    คือพุทธมรรค ซึ่งพระองค์เองก็ปฏิบัติ
    และควรจะได้ปฏิบัติทั่วกันในหมู่สรรพสัตว์
    เพื่อว่าสรรพสัตว์จะได้บรรลุมรรคเดียวกันนี้ด้วย
    พระพุทธะทั้งหลายในสมัยอนาต
    แม้พระองค์จะทรงสอน
    หลายร้อยพันล้านคำสอนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ตาม
    อันที่จริงทรงทำเช่นนั้นเพื่อประโยชน์แก่เอกยานเท่านั้น
    พระพุทธะทั้งหลายที่เคารพสูงสุดของเทวดาและมนุษย์
    ทรงรู้ว่าปรากฏการณ์ทั้งหลายไม่มีธรรมชาติคงที่ตลอดไป
    และทรงรู้ว่า เมล็ดพุทธภาวะงอกได้จากปัจจัย
    และด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนเอกยาน
    แต่ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นส่วนของพระธรรมที่ถาวร
    ดังนั้นลักษณะของโลกจึงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
    พระองค์ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว ณ สถานแห่งการปฏิบัติ
    และในฐานะที่เป็นผู้นำและเป็นครู พระองค์ทรงสอนกุศโลบาย
    พระพุทธะแห่งสิบทิศที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน
    อันเทวดาและมนุษย์ได้ทำการบูชาแล้ว
    จำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลก
    เพื่อนำความสงบและความสุขสบายมาให้สรรพสัตว์
    และพระองค์ก็ทรงสอนพระธรรมด้วยวิธีนี้เหมือนกัน
    พระพุทธะเหล่านี้เข้าใจความจริงที่สุดของความดับสงบ
    ดังนั้นพระองค์ก็จะทรงใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    แม้ว่า พระองค์จะทรงชี้ทางต่างๆ หลายทาง
    อันที่จริงพระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่อพุทธยานเท่านั้น
    พระองค์ทรงเข้าใจการกระทำของสรรพสัตว์
    ความคิดที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขา
    กรรมต่างๆ ที่พวกเขาได้กระทำเอาไว้ในอดีต
    ความอยากได้ ธรรมชาติ พลังความพยายามของพวกเขา
    และความสามารถแหลมคมหรือทึบทื่อของพวกเขา
    ครั้นแล้วพระองค์ทรงใช้เหตุและปัจจัยต่างๆ
    การอุปมา การเปรียบเทียบ ถ้อยคำ และวลีอื่นๆ
    ดัดแปลงตามกุศโลบายที่เหมาะแก่การสอนของพระองค์
    เวลานี้เราก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
    เพื่อที่จะนำความสงบและความสุขสบายมาให้แก่สรรพสัตว์
    เราใช้คำสอนต่างๆ มากมาย
    ในการเผยแพร่พุทธมรรค
    โดยอาศัยพลังแห่งปัญญาของเรา
    เรารู้จักธรรมชาติและความต้องการของสรรพสัตว์
    แล้วด้วยกุศโลบาย เราสอนคำสอนเหล่านี้
    ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้รับความปีติยินดี
    สารีบุตร เธอควรจะเข้าใจว่า
    เรามองสิ่งทั้งหลายด้วยพุทธจักษุ
    เราเห็นสรรพสัตว์ใน ๖ ภูมิ
    พวกเขายากจนและเดือดร้อน ไม่มีบุญหรือปัญญาอย่างไร
    เข้าไปในถนนอันตรายแห่งความเกิดและความตายอย่างไร
    ได้รับความทุกข์อย่างต่อเนี่องไม่มีเวลาหยุด
    และการที่พวกเขายึดมั่นอย่างดื่มด่ำอยู่กับกามคุณ ๕
    เหมือนจามรีหวงพวงหางของมัน
    ทำให้ตาบอดด้วยความโลภและความหลงใหล
    สายตาถูกทำลายจนบอดไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้
    พวกเขาไม่แสวงหาพระพุทธเจ้า
    กับอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
    หรือพระธรรมที่สามารถนำไปสู่ความสิ้นทุกข์
    แต่กลับหลงลึกเข้าไปในความเห็นที่ผิด
    หวังที่จะขจัดความทุกข์ด้วยความทุกข์ที่ยิ่งกว่า
    เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์เหล่านี้
    เราได้ปลุกเร้าจิตแห่งความกรุณาอันยิ่งใหญ่
    เมื่อเราได้นั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติเป็นครั้งแรก
    เราได้เพ่งมองที่ต้นไม้และเดินไปรอบๆ
    เป็นเวลาสามสัปดาห์
    เราได้ไตร่ตรองเรื่องราวในแนวทางนี้
    เราคิดว่า ปัญญาที่เราได้บรรลุแล้ว
    ละเอียดอ่อน มหัศจรรย์ และ เป็นที่หนึ่ง
    แต่สรรพสัตว์มีความสามารถทึบทื่อ
    หลงติดอยู่กับความสุขสบายและมืดบอดด้วยความโง่เขลา
    กับคนอย่างนี้
    เราจะพูดอย่างไร เราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร
    ครั้งนั้น พระพรหมราช
    พร้อมด้วยท้าวศักระเทวราช
    จตุโลกบาลเทวราช
    และมเหศวรเทวราช
    มาด้วยกันกับเทพองค์อื่นๆ
    และผู้ติดตามหลายร้อยหลายพันหลายหมื่น
    ประนมมือและถวายบังคมด้วยความเคารพ
    อาราธนาให้เราหมุนธรรมจักร
    ทันใดนั้นเราได้คิดกับตนเองว่า
    ถ้าเราเอาแต่ยกย่องพุทธยานแล้ว
    สรรพสัตว์ที่ยังจมอยู่ในความทุกข์
    จะไม่สามารถเชื่อในพระธรรมนี้ได้
    และเพราะพวกเขาปฏิเสธจึงไม่มีความเชื่อในพระธรรม
    พวกเขาจะตกลงสู่อบายภูมิ ๓
    จะเป็นการดีกว่าถ้าเราไม่สอนพระธรรมนี้
    แต่รีบเข้าสู่นิพพานเสียโดยเร็ว
    ครั้นแล้วเราหวนคิดถึงพระพุทธะทั้งหลายแห่งอดีด
    และพลังแห่งกุศโลบายที่พระองค์ทรงใช้
    เราจึงได้คิดว่า มรรคที่เวลานี้เราได้บรรลุแล้ว
    ควรจะต้องสอนเป็นสามยานเช่นเดียวกัน
    เมื่อเราคิดได้ในอาการอย่างนี้
    พระพุทธะแห่งสิบทิศทั้งหมดได้ปรากฏขึ้น
    และด้วยเสียงพรหมทรงปลอบใจและให้คำแนะนำแก่เรา
    โดยตรัสว่า “ดีแล้ว พระศากยมุนี!"
    “พระผู้นำและพระศาสดาอันประเสริฐสุด
    พระองค์ได้บรรลุพระธรรมอันสูงสุดแล้ว
    แต่ในการปฏิบัติตามตัวอย่างของพระพุทธะอื่นทั้งหลาย
    พระองค์จะต้องใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    พวกเราทั้งหลายได้บรรลุแล้วเช่นกัน
    ซึ่งพระธรรมอันมหัศจรรย์ที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด
    แต่เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์
    เราทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ และสอนเป็นสามยาน
    คนมีปัญญาน้อยพอใจในพระธรรมเล็กๆ
    ไม่อาจเชื่อได้ว่าพวกเขาเองสามารถเป็นพระพุทธะได้
    เพราะฉะนั้น เราจึงใช้กุศโลบาย
    ทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ และสอนเป้าหมายหลายอย่าง
    แต่ถึงแม้เราสอนสามยาน
    เราทำเช่นนั้นเพียงเพื่อที่จะสอนพระโพธิสัตว์เท่านั้น”
    สารีบุตร เธอควรจะเข้าใจดังนี้
    เมื่อเราได้สดับพระอริยสิงห์เหล่านี้
    และพระสุรเสียงอันลึกซึ้งบริสุทธิ์
    ละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์ของพระองค์
    เราดีใจนัก กล่าวว่า “นมัสการ พระพุทธะทั้งหลาย!”
    ครั้นแล้ว เราได้คิดกับตนเองว่า
    เรามาสู่โลกอันไม่บริสุทธิ์และชั่วร้ายนี้
    และตามที่พระพุทธะเหล่านี้ได้สอนแล้ว
    เราจะต้องปฏิบัติตามตัวอย่างนั้นในการกระทำของเรา
    หลังจากที่เราได้คิดในแนวทางนี้แล้ว
    เราได้ออกเดินทางไปเมืองพาราณสีในทันที
    เนื่องจากเครื่องหมายแห่งความดับสงบ
    ของปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด
    ดังนั้นเราจึงใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    ทำการสอนแก่นักบวชทั้งห้า
    นี่เราเรียกว่า การหมุนธรรมจักร
    และยังมีเรื่องเกี่ยวกับ “เสียงแห่งนิพพาน”
    “พระอรหันต์” “พระธรรม” และ “พระสงฆ์”
    เราใช้คำเหล่านี้เพื่อบอกลักษณะเฉพาะต่างๆ
    “จากกัปนับไม่สิ้นในอดีต
    เราได้ยกย่องและสอนนิพพานธรรม
    ทำความทุกข์อันยาวนาน
    แห่งความเกิดและความตายให้สิ้นสุดลง
    นี่เป็นเรื่องที่เราได้สอนจนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
    สารีบุตร เธอควรจะทราบดังนี้
    เมื่อเรามองที่พวกพุทธบุตร
    เราได้เห็นคนหลายพันหมื่นล้านเหลือคณานับ
    ผู้ที่ได้ตัดสินใจแสวงหาพุทธมรรค
    ทุกคนด้วยใจเคารพและนับถือ
    ต่างมายังที่ประทับของพระพุทธเจ้า
    คนที่ในอดีดได้ฟังพระพุทธะ องค์อื่นมาแล้ว
    ได้สดับพระธรรมที่สอนโดยกุศโลบายมาแล้ว
    ในทันทีความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
    เหตุผลแห่งการอุบัติขึ้นของพระตถาคต
    เพื่อพระองค์จะ ได้สอนพุทธปัญญา
    เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องทำดังนั้นแล้ว
    สารีบุตร เธอควรจะเข้าใจว่า
    คนที่มีความสามารถต่ำและปัญญาน้อย
    ผู้ที่ยึดติดอยู่กับสิ่งที่เห็น ถือตัว และหยิ่งยโส
    ไม่สามารถที่จะเชื่อในพระธรรมนี้ได้
    บัดนี้เรา ด้วยความยินดีและความไม่กลัว
    ในท่ามกลางแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
    ขอสลัดกุศโลบายทิ้งไปอย่างซื่อตรง
    และจะสอนแต่มรรคอันสูงสุดเท่านั้น
    เมื่อพระโพธิสัตว์ได้สดับพระธรรมนี้
    พวกเขาจะถูกปลดปล่อยจากการติดกับดัก
    แห่งความสงสัยทั้งปวง
    พระอรหันต์ ๑,๒๐๐ รูป
    ทั้งหมดจะได้บรรลุพุทธภาวะด้วย
    โดยการปฏิบัติตามแบบที่พระพุทธะแห่งสามชาติ
    ทรงใช้ในการสอนพระธรรม
    เราในเวลานี้ก็จะกระทำเช่นเดียวกัน
    ทำการสอนพระธรรมที่ไม่มีลักษณะเฉพาะต่างๆ
    เวลาที่พระพุทธะอุบัติขึ้นมาในโลกนั้น
    ห่างกันมากและยากที่จะได้พบ
    และแม้เมื่อพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกแล้ว
    ก็เป็นการยากสำหรับพระองค์ที่จะสอนพระธรรมนี้
    ตลอดกัปนับไม่ถ้วนคำนวณไม่ได้
    เป็นการยากที่เราจะได้สดับพระธรรมนี้
    และคนที่สามารถฟังพระธรรมนี้ได้
    คนเช่นนั้นก็หาได้ยากเช่นกัน
    เปรียบเหมือนกับดอกอุทุมพร
    ที่โลกทั้งมวลรักและพอใจใคร่พบ
    อันมวลเทวดาและมนุษย์มองว่าเป็นสิ่งที่หายาก
    ซึ่งจะปรากฏขึ้นแต่ละครั้งในช่วงเวลานานมาก
    ถ้าผู้ใดได้สดับพระธรรมนี้ ยินดีและยกย่องแล้ว
    แม้ว่าเขากล่าวออกมาเพียงคำเดียว
    เมื่อนั้น เขาได้ทำการสักการบูชา
    แด่พระพุทธะทั้งหลาย แห่งสามชาติแล้ว
    แต่คนอย่างนี้หาได้ยากยิ่งนัก
    หาได้ยากยิ่งกว่าการหาดอกอุทุมพรเสียอีก
    เธอไม่ควรจะมีความสงสัยใดๆ
    เรา ในฐานะที่เป็นพระราชาแห่งคำสอน
    ขอประกาศเรื่องนี้แก่ที่ประชุมใหญ่ทั้งหมด
    เราใช้เพียงเอกยานมรรคเท่านั้น
    ในการสอนและการเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์
    เราไม่มีศิษย์เป็นพระสาวกเลย
    เธอ สารีบุตร
    พระสาวกและพระโพธิสัตว์
    พวกเธอควรจะเข้าใจว่าพระธรรมมหัศจรรย์นี้
    เป็นจุดสำคัญอันเร้นลับของพระพุทธะทั้งหลาย
    ในโลกอันชั่วร้ายแห่งมลทินห้าประการนี้
    ผู้ที่เอาแต่พอใจและยึดติดอยู่กับความอยากได้
    สรรพสัตว์เช่นนี้
    จะไม่คิดแสวงหาพุทธมรรคเลย
    เมื่อคนชั่วในยุคข้างหน้า
    ได้ฟังพระพุทธองค์ทรงสอนเอกยาน
    พวกเขาจะสับสน ไม่เชื่อ หรือไม่ยอมรับ
    จะปฏิเสธพระธรรมและตกลงสู่ทางชั่ว
    แต่เมื่อมีพวกที่มีความสงบเสงี่ยม มีความบริสุทธิ์
    ผู้ซึ่งได้ตัดสินใจที่จะแสวงหาพุทธมรรคแล้ว
    เพื่อประโยชน์ของพวกคนเช่นนี้
    เราควรจะยกย่องมรรคแห่งเอกยานให้กว้างขวาง
    สารีบุตร เธอควรที่จะเข้าใจดังนี้
    พระธรรมของพระพุทธะทั้งหลายเป็นเหมือนอย่างนี้
    โดยการใช้กุศโลบายหมื่นล้านประการ
    พระองค์ทรงสอนพระธรรมตามความเหมาะสม
    พวกที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้
    ไม่สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ได้
    แต่เธอและคนอื่นๆ ได้รู้กันแล้ว
    ถึงการที่พระพุทธะทั้งหลาย พระศาสดาของโลก
    ทรงใช้กุศโลบายตามโอกาสที่เหมาะสม
    เธอจะไม่มีความสงสัยหรือ แคลงใจอีกต่อไป
    แต่จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่
    ที่รู้ว่าตัวเธอเองจะได้บรรลุพุทธภาวะ แน่นอน
     
  3. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๓
    บทการอุปมาและการเปรียบเทียบ

    เวลานั้น ใจของพระสารีบุตรเต้นด้วยความปีติยินดี ท่านได้ลูกขึ้นในทันที ประนมมือจ้องมองด้วยความเคารพที่พระพักตร์ของพระมีพระภาคเจ้า แล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ในเวลานี้ เมื่อข้าพระองค์ได้สดับเสียงแห่งธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ในใจของข้าพระองค์เต็มตื้นไปด้วยความปิติยินดี กับการได้รับสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเหตุใดข้าพระองค์จึงกล่าวเช่นนี้ เพราะเหตุว่าในอดีต เมื่อข้าพระองค์ได้สดับพระธรรมชนิดนี้จากพระพุทธเจ้า และได้เห็นการที่บรรดาพระโพธิสัตว์รับคำพยากรณ์ว่า ในที่สุดพวกเขาจะได้บรรลุพุทธภาวะ ข้าพระองค์และคนอื่นๆ รู้สึก
    ว่าพวกเราไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเราเสียใจอย่างสุดซึ้งเมื่อคิดว่าพวกเราจะไม่ได้รับความหยั่งรู้อันไม่อาจวัดได้ของพระตถาคตเจ้าเสียแล้ว”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตลอดเวลาที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ในป่าบนภูเขา หรืออยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ บางครั้งนั่งอยู่ บางครั้งกำลังเดินไปรอบๆ ข้าพระองค์มักจะเกิดความคิดดังนี้ “เนื่องจากข้าพระองค์และคนอื่นๆ ได้เข้าไปมีส่วนในธรรมชาติแห่งพระธรรมเหมือนกันแล้ว ทำไมพระตถาคตเจ้าจึงทรงช่วยพวกเราให้รอดพ้นด้วยการใช้หินยานธรรมเล่า”
    “แต่ความผิดนี้เป็นของพวกเรา หาได้เป็นของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ ทำไมข้าพระองค์จึงกล่าวเช่นนี้ เพราะว่าถ้าเราตั้งใจคอยจนกระทั่งพระพุทธองค์ทรงสอนวิธีที่แท้จริงเพื่อการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว เราน่าจะได้รับการปลดปล่อยด้วยมหายานอย่างแน่นอน แต่พวกเราไม่เข้าใจเองว่า พระพุทธองค์ทรงใช้กุศโลบายและทรงสอนตามความเหมาะสมกับสถานการณ์แวดล้อม ดังนั้น เมื่อเราได้สดับพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก พวกเราเชื่อและน้อมรับไว้ในทันที และคิดเอาเองว่าเราได้เข้าถึงความเข้าใจแล้ว”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเวลานานมาแล้วจนถึงเวลานี้ ตลอดทั้งวันและตลอดทั้งคืน ข้าพระองค์ได้แต่คอยตำหนิตัวเองด้วยความคิดนี้ แต่บัดนี้เมื่อข้าพระองค์ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เคยได้ยินมาก่อน พระธรรมที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในอดีต มันทำให้ความสงสัยและความเสียใจของข้าพระองค์หมดสิ้นไป อันกายและใจของข้าพระองค์มีความสบายแล้ว และข้าพระองค์ได้รับความรู้สึกมหัศจรรย์ของความสงบและความปลอดภัยแล้ว วันนี้ในที่สุดข้าพระองค์เข้าใจแล้วว่า ข้าพระองค์เป็นบุตรที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เกิดจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า เกิดด้วยการเปลี่ยนใจมาสู่พระธรรม ข้าพระองค์ได้รับส่วนแบ่งแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระสารีบุตรปรารถนาที่กล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    เมื่อข้าพระองค์ได้สดับเสียงแห่งพระธรรมนี้
    ข้าพระองค์ได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
    ใจของข้าพระองค์เต็มตื่นไปด้วยความยินดียิ่งนัก
    ข้าพระองค์ได้หลุดจากเครื่องผูกมัดแห่งความสงสัยแล้ว
    จากอดีตข้าพระองค์ได้รับคำสอนของพระพุทธเจ้า
    และไม่เคยปฏิเสธมหายานเลย
    เสียงของพระพุทธเจ้ายากนักจักได้ฟัง
    แต่สามารถทำให้สรรพสัตว์เป็นอิสระจากความทุกข์
    ข้าพระองค์ได้ทำให้อาสวะหมดสิ้นไปแล้ว
    และการได้สดับพระธรรมนี้
    ข้าพระองค์เป็นอิสระจากความห่วงใยและความทุกข์แล้ว
    ข้าพระองค์อาศัยอยู่ในหุบเขา
    หรือใต้ต้นไม้ในป่า
    บางครั้งนั่ง บางครั้งเดินไปรอบๆ
    ตลอดเวลาข้าพระองค์คิดถึงแต่เรื่องนี้
    ข้าพระองค์ได้คิดตำหนิตัวเองอย่างยิ่ง!
    ข้าพระองค์กล่าวว่า “ทำไมข้าพระองค์จึงถูกหลอกลวง
    ข้าพระองค์และคนอื่นๆ ล้วนเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า
    ต่างได้เข้าสู่พระธรรมอันปราศจากอาสวะเหมือนกันแล้ว
    แต่ในกาลข้างหน้าพวกเรายังไม่สามารถ
    ที่จะแสดงมรรคอันสูงสุดได้
    กายสีทอง มหาปุริสลักษณะ ๓๒
    พละ ๑๐ วิโมกข์ต่างๆ
    แม้ทั้งหมดก็ร่วมอยู่ในพระธรรมหนึ่งเดียวนี้เหมือนกัน
    แต่สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยได้บรรลุ!
    อนุพยัญชนะมหัศจรรย์ ๘๐ ประการ
    คุณสมบัติเฉพาะตัว ๑๘ ประการ
    บรรดาบุญกุศลเช่นนี้
    พวกเราได้สูญเสียแล้วทั้งหมด!”
    เมื่อข้าพระองค์เดินไปรอบๆ คนเดียว
    ข้าพระองค์ได้เห็นพระพุทธเจ้าท่ามกลางที่ประชุมใหญ่
    เกียรติคุณของพระองค์เลื่องลือไปทั่วทั้งสิบทิศ
    ยังคุณประโยชน์กว้างไกลไปสู่สรรพสัตว์
    และข้าพระองค์คิดกับตนเองว่า
    ข้าพระองค์ถูกตัดสิทธิ์จากผลประโยชน์เช่นนั้นแล้ว!
    ข้าพระองค์ถูกหลอกลวงมากมายอย่างนี้เชียวหรือ!
    ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน
    เมื่อใดข้าพระองค์คิดใคร่ครวญถึงเรื่องนี้
    ข้าพระองค์ต้องการที่จะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ว่าข้าพระองค์ถูกตัดสิทธิ์แล้วจริงหรือไม่
    ตลอดเวลาเมื่อข้าพระองค์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ยกย่องสดุดีพระโพธิสัตว์แล้ว
    ตลอดทั้งวันทั้งคืน
    ข้าพระองค์จะครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนี้อยู่เสมอ
    แต่เวลานี้เมื่อข้าพระองค์ได้ฟังเสียงของพระพุทธเจ้า
    ได้เห็นพระองค์ทรงสอนพระธรรมสอดคล้องกับความเหมาะสม
    ใช้คำสอนแห่งความไม่มีอาสวะอันยากที่จะคิดได้นี้
    ในการนำประชาชนไปสู่สถานแห่งการปฏิบัติ
    แต่ก่อนเมื่อข้าพระองค์ยังยึดถือความเห็นที่ผิด
    ตั้งตนเป็นอาจารย์ของพวกพราหมณ์ทั้งหลาย
    แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบสิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์
    ถอดถอนความผิดของข้าพระองค์ และทรงสอนนิพพานให้
    ข้าพระองค์ได้เป็นอิสระจากความผิดทั้งปวง
    และได้เข้าถึงความเข้าใจธรรมแห่งความว่างแล้ว
    เวลานั้นจิตของข้าพระองค์ได้บอกว่า
    ข้าพระองค์ได้เข้าถึงขั้นแห่งความดับแล้ว
    แต่บัดนี้ข้าพระองค์ได้ตระหนักดีแล้วว่า
    นั่นหาได้เป็นความดับที่แท้จริงไม่
    เมื่อถึงเวลาที่ข้าพระองค์ได้เป็นพระพุทธะแล้ว
    เมื่อนั้นข้าพระองค์จะมีมหาปุริสลักษณะ ๓๒
    อันเทวดาและมนุษย์ ยักษ์จำนวนมาก
    นาค ภูตผี และคนอื่นๆ จะให้ความเคารพแก่ข้าพระองค์
    เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้ว ข้าพระองค์สามารถพูดได้ว่า
    ในที่สุดทุกอย่างดับหมดไปอย่างไม่มีอะไรเหลือ
    ในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พระพุทธองค์
    ทรงประกาศว่าข้าพระองค์จะได้เป็นพระพุทธะ
    เมื่อข้าพระองค์ได้สดับเสียงแห่งพระธรรมนี้แล้ว
    ความสงสัยและความเสียใจของข้าพระองค์ถูกขจัดไปหมดสิ้น
    ครั้งแรกเมื่อข้าพระองค์ได้สดับเสียงของพระพุทธเจ้า
    ได้เกิดความพิศวงสงสัยขึ้นในใจของข้าพระองค์
    คิดเกรงว่าจะเป็น มารแปลงมาเป็นพระพุทธเจ้า
    เพื่อก่อกวนและทำความสับสนแก่จิตใจของข้าพระองค์
    แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงใช้เหตุต่างๆ
    การอุปมา การเปรียบเทียบ การแสดงอย่างคล่องแคล่ว
    จิตใจของข้าพระองค์เงียบสงบดั่งทะเล
    และขณะที่ข้าพระองค์ได้ฟัง
    ข้าพระองค์เป็นอิสระจากข่ายแห่งความสงสัยแล้ว
    พระพุทธองค์ตรัสว่าในอดีตสมัย
    พระพุทธะนับไม่ถ้วนที่ได้เสด็จเข้าสู่ความดับไปแล้ว
    ทรงพักและอาศัยอยู่ในกุศโลบาย
    และทุกพระองค์ทรงสอนพระธรรมนี้เหมือนกัน
    บรรดาพระพุทธะแห่งปัจจุบันและอนาคต
    อันมีจำนวนมากมายเหลือคณานับ
    พระองค์ก็จะทรงใช้กุศโลบาย
    ในการแสดงพระธรรมเดียวกันนี้
    ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจุบัน
    ทรงประสูติและต่อมาได้เสด็จออกทรงผนวช
    ทรงบรรลุมรรคและทรงหมุนธรรมจักร
    ก็ทรงใช้กุศโลบายในการสอนเช่นกัน
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนมรรคที่แท้จริง
    พวกปาปิยะไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้
    เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงทราบชัดว่า
    นี่มิใช่เป็นมารแปลงตนมาเป็นพระพุทธเจ้า
    แต่เพราะว่าข้าพระองค์ได้ตกลงสู่ข่ายแห่งความสงสัย
    จึงทำให้ข้าพระองค์คิดว่า นี่เป็นการทำงานของมาร
    เวลานี้ ข้าพระองค์ได้ฟังเสียงอ่อนโยนและสุภาพของ
    พระพุทธเจ้า
    ลึกซึ้ง มีผลแผ่ไปไกล ละเอียดอ่อนยิ่ง และมหัศจรรย์
    ทรงแสดงและทรงสอนพระธรรมบริสุทธิ์แล้ว
    จิตของข้าพระองค์เต็มไปด้วยความปีติยินดี
    ความสงสัยและความเสียใจของข้าพระองค์หมดสิ้นเชิงแล้ว
    ข้าพระองค์จะพักและอาศัยอยู่ในปัญญาที่แท้จริง
    ข้าพระองค์มั่นใจว่าข้าพระองค์จะได้เป็นพระพุทธะ
    ได้รับความเคารพจากเทวดาและมนุษย์
    หมุนจักรแห่งพระธรรมอันสูงสุด
    สั่งสอนและเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “บัดนี้ ท่ามกลางที่ประชุมใหญ่แห่งเทวดา มนุษย์ สมณะ พราหมณ์เป็นอาทิ เราขอบอกเธอดังนี้ ในอดีตภายใต้พระพุทธะสองหมื่นล้านพระองค์ เพื่อพุทธมรรคอันสูงสุด เราได้สอนและเปลี่ยนแปลงเธอมาตลอดเวลา และตลอดราตรีอันยาวนาน เธอได้ติดตามเราและรับคำสั่งสอนของเรา
    เพราะว่าเราได้ใช้กุศโลบายในการชี้นำเธอ เธอจึงได้มาเกิดในธรรมของเรา”
    “สารีบุตร ในอดีตเราได้สอนให้เธอตั้งความปรารถนาและปณิธานที่จะได้บรรลุพุทธมรรค แต่ในเวลานี้เธอได้ลืมสิ่งนั้นเสียสิ้นและกลับคิดว่าเธอได้บรรลุความดับเรียบร้อยแล้ว บัดนี้เราต้องการที่จะทำให้เธอระลึกถึงมรรคที่เธอตั้งปณิธานไว้ว่าจะปฏิบัติตาม เพื่อประโยชน์แก่พระสาวก เรากำลังสอนมหายานสูตรนี้ที่ชื่อว่า สัทธรรม
    ปุณฑริก อันเป็นพระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์และพระพุทธะทั้งหลายทรงเฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ”
    “สารีบุตร ในสมัยข้างหน้า หลังจากจำนวนกัปนับไม่ถ้วนไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่อาจคาดคิดได้ผ่านไปแล้ว เธอจะได้ทำการบูชาแด่พระพุทธะหลายพันหมื่นล้านพระองค์ จะเคารพและยึดถือพระธรรมที่ถูกต้อง เธอจะทำทุกด้านแห่งโพธิสัตว์มรรคให้สำเร็จ แล้วจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า ปัทมประภาตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า”
    พุทธเกษตรของพระองค์จะมีชื่อว่า วิรัช แผ่นดินจะราบเรียบบริสุทธิ์และตกแต่งอย่างงดงาม มีความสงบ ความอุดม และความสุข ที่นั่นเทวดาและมนุษย์มีความเจริญรุ่งเรือง พื้นดินจะเป็นแก้วไพฑูรย์ มีถนนตัดกันในแปดทิศทาง กั้นด้วยเชือกทองบอกขอบเขต ข้างถนนทุกสายขึ้นเรียงรายด้วยต้นไม้ประดับอัญมณีทั้ง ๗ ซึ่งมีดอกมีผลอยู่เป็นนิจ และพระปัทมประภาตถาคตนี้ ก็จะทรงใช้สามยานในการสอนและการเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์เช่นกัน”
    “สารีบุตร เมื่อพระพุทธะองค์นี้อุบัติขึ้นนั้น ถึงแม้จะไม่อยู่ในสมัยอันชั่วร้าย แต่เพราะปณิธานดั้งเดิมของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงสอนพระธรรมโดยอาศัยสามยาน กัปของพระองค์จะมีชื่อว่า มหารัตนประติมณฑิต ทำไมจึงมีชื่อว่า มหารัตนประติมณฑิต เพราะว่าในดินแดนนั้น พระโพธิสัตว์ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหารัตนะ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่อาจคาดคะเนได้ เหนือการคำนวณหรือการอุปมาและการเปรียบเทียบใดๆ หากไม่ใช้พลังแห่งพุทธปัญญา ก็ไม่มีใครสามารถทราบจำนวนได้ เมื่อพระโพธิสัตว์เหล่านี้ปรารถนาจะเดินทางไป ณ ที่ใด จะมีมณีบุปผาลอยมารองรับเท้าของพวกเขาเสมอ”
    “พระโพธิสัตว์เหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีความคิดปรารถนาโพธิญาณเท่านั้น แต่พวกเขายังใช้เวลาอันยาวนาน ในการปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดี ภายใต้พระพุทธะมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้าน พวกเขาจะได้ปฏิบัติพรหมจรรย์ด้วยอาการบริสุทธิ์ไร้มลทิน และจะได้รับการยกย่องจากพระพุทธะทั้งหลายอยู่เสมอ ตลอดเวลาพวกเขาจะได้ฝึกฝนอบรมพุทธปัญญา ได้อภิญญาและเข้าใจทางเข้าสู่คำสอนทั้งหลายได้โดยตลอด พวกเขาจะมีบุคลิกเที่ยงตรง ไม่มีความหลอกลวง ความตั้งใจและความคิดมั่นคง พระโพธิสัตว์เช่นนี้จะมีดาษดื่นในดินแดนนั้น”
    “สารีบุตร พระชนมายุของพระพุทธเจ้าปัทมประภาจะมี ๑๒ จุลกัป ไม่นับรวมเวลาที่พระองค์ยังเป็นเจ้าชาย ก่อนที่พระองค์จะได้เป็นพระพุทธะ ประชาชนในดินแดนของพระองค์จะมีอายุยาว ๘ จุลกัป เมื่อพระปัทมประภาตถาคตมีพระชนม์อยู่ ๑๒ จุลกัปแล้ว พระองค์จะทรงพยากรณ์ การบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิของพระธฤติปริปูรณะโพธิสัตว์ พระองค์จะทรงประกาศแก่พระภิกษุสงฆ์ว่า พระธฤติปริปูรณะโพธิสัตว์นี้ จะได้เป็นพระพุทธะองค์ต่อไป ทรงพระนามว่า ปัทมวฤษภวิกรามินตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ พุทธเกษตรของพระองค์จะเป็นเช่นเดียวกันกับของเรา!”
    “สารีบุตร หลังจากพระพุทธเจ้าปัทมประภาได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว สมัยสุทธิธรรมจะอยู่นาน ๓๒ จุลกัป และสมัยรูปธรรมจะอยู่ได้อีกนาน ๓๒ จุลกัป”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะตรัสความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    สารีบุตร ในสมัยข้างหน้า
    เธอจะได้เป็นพระพุทธะแห่งปัญญาสากลอันน่าเคารพ
    มีพระนามว่า ปัทมประภา
    และเธอจะได้ช่วยหมู่ชนนับไม่ถ้วน
    เธอจะทำการบูชาแด่พระพุทธะจำนวนมาก
    สมบูรณ์แล้วด้วยโพธิสัตว์จริยา
    พละ ๑๐ และบุญกุศลอื่นๆ
    และจะเข้าใจมรรคอันสูงสุด
    หลังจากกัปนับไม่ถ้วนผ่านไปแล้ว
    กัปของเธอจะมีชื่อว่า มหารัตนประติมณฑิต
    พุทธเกษตรของเธอมีชื่อว่า วิรัช
    บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ หรือมลทิน
    พื้นดินเป็นแก้วไพฑูรย์
    ถนนกั้นด้วยเชือกทองคำ
    และต้นไม้ประดับอัญมณีทั้ง ๗ มีสีสันละลานตา
    จะมีดอกมีผลอยู่เสมอ
    พระโพธิสัตว์แห่งแดนนั้น
    มั่นคงในความตั้งใจและความคิดอยู่เสมอ
    อภิญญาและบารมี
    เป็นคุณสมบัติประจำตัวของพระโพธิสัตว์เหล่านี้
    และภายใต้พระพุทธะนับไม่ถ้วน
    พวกเขาจะศึกษาโพธิสัตว์มรรคอย่างขยันขันแข็ง
    ด้วยเหตุนี้มหาบุรุษเหล่านี้
    จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยพระพุทธเจ้าปัทมประภา
    เมื่อพระพุทธะพระองค์นั้นยังเป็นเจ้าชาย
    พระองค์ก็ได้สละประเทศ
    ทิ้งเกียรติยศชื่อเสียงทางโลก
    และในชาติสุดท้ายของพระองค์
    ได้เสด็จออกทรงผนวชและได้บรรลุพุทธมรรค
    พระปัทมประภาพุทธเจ้าจะดำรงอยู่ในโลก
    ตลอดพระชนมายุ ๑๒ จุลกัป
    คนจำนวนมากในแดนของพระองค์
    จะมีอายุยืน ๙ จุลกัป
    หลังจากพระพุทธะพระองค์นั้นได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    สมัยสุทธิธรรมจะดำรงอยู่ในโลก
    เป็นเวลานาน ๓๒ จุลกับ
    ช่วยสรรพสัตว์ได้อย่างกว้างไกล
    เมื่อสมัยสุทธิธรรมได้ผ่านพ้นไปแล้ว
    สมัยรูปธรรมจะดำรงอยู่อีก ๓๒ กัป
    พระสารีริกธาตุของพระองค์จะถูกแจกจ่ายไปอย่างกว้างขวาง
    และในทุกแห่งจะได้รับการบูชาจากเทวดาและมนุษย์
    การกระทำของพระปัทมประภาพุทธะ
    ทั้งหมดจะเป็นเช่นเรา ได้กล่าวมาแล้ว
    พระผู้ประเสริฐและน่าเคารพที่สุดแห่งเทวดาและมนุษย์นี้
    จะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดและไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนได้
    และพระองค์หาใช่คนอื่นไม่ พระองค์คือตัวเธอเอง
    เธอควรจะมีความปิติยินดีและถือเป็นความโชคดีของเธอ!
    ครั้งนั้น เมื่อบริษัท ๔ อันมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา รวมทั้งเทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ และคนอื่นๆ ในที่ประชุมใหญ่ ต่างได้เห็นพระสารีบุตรรับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า ท่านจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว ทุกคน
    เต็มไปด้วยความปีติยินดีและตื่นเต้นไม่รู้หยุด ต่างเปลื้องเอาผ้าพาดไหล่นำไปถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องสักการะ ท้าวศักระ เทวนัม อินทรา พระพรหมราช และเทพบุตรนับไม่ถ้วน ได้นำเอาผ้าทิพย์อันมหัศจรรย์ ดอกมณฑารพและดอกมหามณฑารพแห่งสวรรค์ แล้วหว่านไปถวายแด่พระพุทธเจ้า ผ้าทิพย์ที่พวกเขาหว่านไปได้ลอยค้างอยู่กลางอากาศแล้วหมุนไปรอบๆ ได้เอง ปวงเทพบรรเลงดนตรีด้วยเครื่องดนตรีร้อยพันหมื่นชนิด ในเวลาเดียวกันจากกลางอากาศมีดอกไม้สวรรค์จำนวนมากได้โปรยลงมาพร้อมด้วยเสียงพูดเหล่านี้ว่า “ในอดีตที่เมืองพาราณสี พระพุทธเจ้าทรงหมุนธรรมจักรเป็นครั้งแรก เวลานี้พระองค์ทรงหมุนจักรอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นจักรแห่งพระธรรมที่สูงสุดและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งจักรทั้งปวง!”
    ครั้งนั้น เทพบุตรทั้งหลายปรารถนาที่จะกล่าวความหมายนี้อีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ในอดีตที่เมืองพาราณสี
    ทรงหมุนธรรมจักรแห่งอริยสัจ ๔
    ทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ แล้วสอนว่าสิ่งทั้งหลาย
    มีเกิดแล้วมีดับ เป็นการปรุงแต่งขึ้นของขันธ์ ๕
    เวลานี้พระองค์ทรงหมุนจักรอันมหัศจรรย์ที่สุด
    พระธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุด
    พระธรรมนี้ลึกซึ้งและเข้าใจได้ยากยิ่งนัก
    มีน้อยคนนักที่สามารถเชื่อพระธรรมนี้ได้
    ตั้งแต่อดีตมาพวกเราได้สดับ
    พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ่อยๆ
    แต่พวกเราไม่เคยได้สดับ
    พระธรรมชนิดนี้ที่ลึกซึ้ง มหัศจรรย์ และสูงกว่า
    เนื่องจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทศนาพระธรรมนี้
    พวกเราทั้งหลายขอตอบรับด้วยความปีติยินดี
    พระสารีบุตร ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ของท่าน
    เวลานี้ได้รับคำพยากรณ์อันน่ายกย่องนี้แล้ว
    พวกเราในทำนองเดียวกันนี้
    ย่อมสามารถที่จะบรรลุพุทธภาวะได้อย่างแน่นอน
    อันทั่วทุกแห่งในโลกมากมาย
    เคารพนับถือที่สุดและถือเป็นเป้าหมายสูงสุด
    พุทธมรรคนั้นยากที่จะหยั่งถึงได้
    แต่พระองค์จะทรงสอนด้วยกุศโลบายตามความเหมาะสม
    กุศลกรรมที่พวกเราได้ทำไว้แล้ว
    ในชาตินี้หรือแต่อดีตชาติ
    และบุญที่ได้รับจากการได้พบพระพุทธเจ้า
    ทั้งหมดนี้พวกเราจะใช้ให้เป็นประโยชน์แก่พุทธมรรค
    ครั้งนั้น พระสารีบุตรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานี้ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยหรือความเสียใจใดๆ อีกแล้ว ข้าพระองค์ได้รับคำพยากรณ์นี้โดยตรงจากพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์จะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ คน ๑,๒๐๐ คนนี้ในที่นี่เป็นผู้มีจิตเป็นอิสระ ในอดีตเมื่อพวกเขายังเป็นพระเสขะ พระพุทธองค์ได้ทรงสอนและเปลี่ยนแปลงพวกเขาอยู่เป็นนิจ โดยตรัสว่า ธรรมของเราสามารถทำให้ เธอเป็นอิสระจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย และสามารถทำให้บรรลุนิพพาน
    ได้ในที่สุด” คนเหล่านี้แม้บางคนยังศึกษาอยู่และบางคนได้จบการศึกษาแล้ว แต่ทุกคนเชื่อว่าเพราะสลัดความเห็นแห่ง “อัตตา” “ความมีอยู่” และ “ความไม่มีอยู่” ออกไปได้หมด เขาจึงได้บรรลุนิพพานแล้ว แต่เวลานี้เมื่อพวกเขาได้สดับจากพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้สดับมาก่อน พวกเขาทั้งหมดจึงตกลงสู่ความสงสัยและความงุนงง พระเจ้าข้า”
    “ประเสริฐยิ่ง พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ของบริษัท ๔ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดอธิบายเหตุและปัจจัย และทำให้พวกเขาหมดสิ้นความสงสัยและความเสียใจด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “เราได้บอกเธอมาก่อนแล้วมิใช่หรือว่า เมื่อพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ทรงใช้กุศโลบายในการสอนพระธรรม โดยพระองค์จะทรงกล่าวถึงเหตุและปัจจัยต่างๆ ทรงใช้การอุปมา การเปรียบเทียบ และการแสดงอื่นๆ แต่ทั้งหมด ล้วนเพื่อประโยชน์แก่อนุตตรสัมมาสัมโพธิทั้งนั้น ไม่ว่าพระองค์ทรงสอนสิ่งใด ทั้งหมดล้วนเพื่อประโยชน์แก่การเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น”
    “อนึ่ง สารีบุตร เราในเวลานี้ ก็จะใช้การอุปมาและการเปรียบเทียบในการทำให้คำสอนนี้แจ่มแจ้งต่อไปด้วยเช่นกัน เพราะว่าด้วยการอุปมาและการเปรียบเทียบ ผู้มีสติปัญญาย่อมสามารถที่จะเข้าถึงความเข้าใจได้”
    “สารีบุตร สมมุติว่าในเมืองหนึ่งในประเทศหนื่ง มีมหาเศรษฐีผู้มีอายุมากแล้วคนหนึ่ง เขามีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลสุดประมาณได้ เรือกสวนไร่นา อาคารบ้านเรือน และข้าทาสบริวาร บ้านของเศรษฐีเป็นคฤหาสน์กว้างใหญ่มาก แต่มีประตูเพียงประตูเดียว มีคนจำนวนมาก หนึ่งร้อย สองร้อย บางที่อาจมีถึงห้าร้อยคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้มีห้องโถงและห้องต่างๆ เก่าและชำรุด ฝาผนังแตกร้าวไปหมด เสาทุกต้นมีโคนผุกร่อน คานกับจันทันหักงอและเอนเอียง”
    “ในครั้งนั้น ไฟได้ลุกไหม้ขึ้นทันทีในทุกด้าน แล้วลุกลามไปยังทุกห้องของบ้าน เศรษฐีคนนี้มีบุตรหลายคน สิบคน ยี่สิบคน อาจมีถึงสามสิบคน อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เมื่อเศรษฐีเห็นไฟใหญ่ลุกโพลงขึ้นในทุกๆ ด้าน เขาตกใจกลัวมาก รำพึงกับตนเองว่า เราเองสามารถหนีออกพ้นจากประตูบ้าน ที่ไฟกำลังไหม้ได้อย่างปลอดภัยแล้ว แต่ลูกๆ ของเรายังอยู่ในบ้านที่กำลังไฟไหม้หลังนี้ กำลังสนุกสนานอยู่กับการละเล่นต่างๆ ไม่รู้สึก ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความตกใจหรือความกลัว ไฟได้ไหม้ใกล้ตัวพวกเขาเข้ามาทุกที ความทุกข์และความเจ็บปวดกำลังคุกคามพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาไม่มีความรู้สึกรังเกียจหรือกลัวภัยใดๆ เลย พวกเขาจึงไม่มีความคิดพยายามที่จะหนีออกมา!”
    “สารีบุตร เศรษฐีคนนี้ได้คิดกับตนเองว่า เรามีร่างกายและแขนที่แข็งแรง เราสามารถเอาเสื้อคลุมห่อพวกเขา หรือเอาพวกเขาวาง บนม้านั่ง แล้วนำพวกเขาออกมาจากบ้าน แต่แล้วเขากลับได้คิดว่าบ้านหลังนี้มีเพียงประตูเดียวกับทั้งยังแคบและเล็กอีกด้วย ลูกๆ ของเรายังเยาว์นัก ยังไม่มีความเข้าใจใดๆ ชอบแต่การเล่นของสนุกต่างๆ หากพวกเขายังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขาจะต้องถูกเผาอยู่ในกองไฟอย่างแน่นอน เราจะต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทำไมเราจึงกลัวและตกใจ ไฟได้ลุกท่วมบ้านอยู่แล้ว เราจะต้องนำพวกเขาออกมาโดยเร็ว และจะไม่ยอมให้พวกเขาถูกเผาอยู่ในกองไฟ!”
    “เมื่อได้คิดในแนวทางนี้แล้ว เขาได้ปฏิบัติตามแผนโดยการร้องบอกแก่ลูกๆ ว่า “ลูกๆ ทั้งหลาย พวกเธอจงรีบออกมาในทันทีนะ!” แต่ถึงแม้บิดาจะมีความสงสารและให้คำแนะนำที่ดีแล้วก็ตาม พวกลูกๆ ก็ไม่สนใจ ยังคงหลงใหลกับการเล่นต่างๆ ต่อไป พวกเขาไม่ตกใจ ไม่มีความหวาดกลัว ในที่สุดก็ไม่มีความคิดที่จะออกจากบ้าน อนึ่ง พวกเขายังไม่เข้าใจว่า อะไรคือไฟ อะไรคือบ้าน อะไรคืออันตราย พวกเขาจึงเอาแต่วิ่งพล่านไปทางโน้นทีทางนี้ทีในการเล่นต่างๆ และมองไปที่บิดาโดยไม่เอาใจใส่เลย”
    “ครั้งนั้น มหาเศรษฐี ได้เกิดความคิดดังนี้ว่า บ้านกำลังลุกไหม้ด้วยไฟใหญ่นี้ ถ้าเราและลูกๆ ของเราไม่รีบออกมาในทันที พวกเขาจะต้องถูกไฟเผาเอาแน่ เวลานี้เราจะต้องคิดใช้กุศโลบายบางอย่างเพื่อที่จะทำให้ลูกๆ ของเราหนีพ้นอันตรายออกมาได้”
    “ฝ่ายบิดาเข้าใจลูกๆ ของตนดี รู้ว่าของเล่นและของแปลกๆ อะไรที่ลูกแต่ละคนชอบและสิ่งใดที่ทำให้พวกเขาพอใจ ดังนั้นเขาจึงได้พูดกับลูกๆ ว่า “ของเล่นชนิดต่างๆ ที่พวกเธอชอบ เป็นของหายากและพบเจอได้ยาก ถ้าเธอไม่เอาเมื่อเธอมีโอกาสแล้ว เธอจะต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน ของเล่นเหล่านี้ได้แก่ รถเทียมแพะ รถเทียมกวาง และรถเทียมโค เวลานี้ของเล่นเหล่านี้อยู่ข้างนอกประตูนี้แล้ว อันเป็นที่ที่เธอสามารถเล่นมันได้ ดังนั้นเธอจะต้องรีบออกมาจากบ้านที่กำลังไฟไหม้นี้ในทันที เมื่อนั้นสิ่งใดที่เธอต้องการ เราจะให้สิ่งนั้นแก่เธอ!”
    “ครั้งนั้น เมื่อลูกๆ ได้ยินบิดาบอกว่ามีของเล่นดีๆ อันหาได้ยากหลายอย่าง และเป็นของเล่นที่พวกเขาต้องการอยู่ด้วย ทุกคนต่างมีความกระตือรือร้น ด้วยกำลังแห่งความอยากได้ ทำให้พวกเขาบ้างผลัก บ้างดัน แย่งกันออกมา ในที่สุดพวกเขาทั้งหมด
    ออกมาจากบ้านไฟไหม้ได้ทันเวลา”
    “ณ เวลานี้มหาเศรษฐี เมื่อได้เห็นลูกๆ ออกมาโดยปลอดภัยและมานั่งกันอยู่ในลานกว้างกลางสี่แยกที่ไม่มีภยันตรายใดๆ อีกแล้ว หมดสิ้นความวิตกกังวลและมีความปีติยินดียิ่งนัก ครั้งนั้น ลูกๆ ได้พูดกับบิดาว่า “ท่านบิดาขอรับ ของเล่นที่ท่านสัญญาว่าจะให้แก่เรา อันมีรถเทียมแพะ รถเทียมกวาง และรถเทียมโดนั้น ขอท่านบิดาได้โปรดมอบให้แก่เราเดี๋ยวนี้ เถิดขอรับ!”
    “สารีบุตร ครั้งนั้น มหาเศรษฐีผู้เป็นบิดาได้มอบแต่รถคันใหญ่อันมีขนาดและคุณภาพเดียวกันแก่ลูกทุกคน รถเหล่านี้สูงตระหง่านกว้างขวางและประดับอัญมณีมากมาย มีราวลูกกรงรอบตัวรถและมีระฆังแขวนลงมาจากสี่ด้าน เบื้องบนคลุมด้วยเครื่องคลุมประดับเพชรพลอยมีค่าต่างๆ เชือกรัตนะฟั่นเป็นเกลียวพันไปรอบตัวรถ
    แขวนห้อยไว้ด้วยพวงพู่ดอกไม้ และภายในรถปูลาดด้วยเบาะหลายชั้นพร้อมทั้งหมอนอิงสีแดงสดใส รถทุกคันเทียมด้วยโคขาว มีขนขาวสะอาดบริสุทธิ์ รูปร่างสวยงาม และมีกำลังแข็งแรงมาก สามารถลากรถไปได้อย่างราบเรียบและนุ่มนวลด้วยก้าวย่างที่รวดเร็วปานลมพัด นอกจากนี้ยังคนเลี้ยงม้าและคนรับใช้มากมายเพื่อดูแลและคุ้มครอง
    รถคันนี้”
    “เรื่องนี้มีเหตุผลอย่างไร เพราะว่า มหาเศรษฐีคนนี้มีทรัพย์สมบัติมากมายไม่จำกัด และเขามีคลังหลายชนิดทั้งหมดเต็มล้นอยู่เสมอ และเขาได้คิดกับตนเองว่า ทรัพย์สมบัติของเรามีไม่สิ้นสุด ไม่เป็นการถูกต้องเลย ถ้าเราจะมอบเพียงรถเล็กๆ อันต่ำต้อยให้กับลูกของเรา เด็กเหล่านี้ล้วนเป็นลูกของเราและเรารักพวกเขาทุกคนเท่าเทียมกัน เรามีรถคันใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน ทุกคันประดับด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง เราควรมีใจเป็นธรรมและมอบรถคันใหญ่นี้ให้แก่ลูกทุกคน เราจะไม่แสดงให้เห็นความลำเอียงใดๆ ทำไมหรือ เพราะถึงแม้ว่าเราจะได้แจกจ่ายทรัพย์สมบัติของเราเหล่านี้ให้แก่ทุกคนทั้งประเทศ ทรัพย์สมบัติของเราก็ยังไม่หมด ไม่ต้องพูดถึงการมอบให้แก่ลูกๆ ของเรา!”
    “ในเวลานั้น ลูกแต่ละคนได้ขึ้นนั่งบนรถคันใหญ่ของตน อันเป็นการได้รับสิ่งที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน และเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดหวังมาก่อนด้วย สารีบุตร เรื่องนี้เธอคิดอย่างไร เมื่อมหาเศรษฐีคนนี้ได้มอบรถคันใหญ่ประดับด้วยของมีค่าหาได้ยากแก่ลูกทุกคนอย่างเท่าเทียมกันนั้น เขามีความผิดแห่งการหลอกลวงหรือไม่”
    พระสารีบุตรได้กราบทูลว่า “ไม่ผิดเลยพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านมหาเศรษฐีคนนี้เพียงแต่ได้ทำให้ลูกๆ ของเขา หนีพ้นอันตรายจากไฟไหม้และช่วยรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ เขาจึงมิได้หลอกลวงเลย ทำไมข้าพระองค์กล่าวดังนี้ เพราะว่าถ้าพวกเขายังสามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้แล้ว พวกเขาก็ได้รับของเล่นชนิดต่างๆ อยู่แล้ว และจะยิ่งมีมากเท่าใดที่เมื่อโดยอาศัยกุศโลบาย พวกเขาได้ถูกช่วยให้รอดพ้นจากบ้านไฟไหม้! พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงแม้ว่าท่านเศรษฐีจะมิได้มอบแม้รถคันเล็กที่สุดให้ก็ตาม เขาก็ยังไม่มีความผิดแห่งการหลอกลวง ทำไมหรือ เพราะว่าท่านเศรษฐีนี้ได้ตั้งใจไว้ก่อนแล้วว่า เขาจะใช้กุศโลบายในการทำให้ลูกๆ ของเขาหนีออกมาให้ได้ การใช้กลอุบายชนิดนี้ไม่ได้เป็นการหลอกลวง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงความผิดอื่นๆ เมื่อท่านเศรษฐีรู้ดีว่าทรัพย์สมบัติของเขามีไม่จำกัด และเขาตั้งใจที่จะทำให้ลูกๆ ร่ำรวย และได้รับประโยชน์โดยการให้รถคันใหญ่แก่ลูกๆ ทุกคน”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า “ดีมาก ดีมาก เป็นดังที่เธอกล่าวทีเดียว สารีบุตร พระตถาคตเจ้าก็ทรงเป็นเช่นเดียวกันนี้ กล่าวคือ พระองค์ทรงเป็นบิดาของโลกทั้งมวล ความกลัวความวิตกกังวล ความไม่รู้และความเข้าใจผิดของพระองค์ ดับสนิทหมดเชื้อไปนานแล้ว พระองค์ประสบความสำเร็จสมบูรณ์แล้วในการได้มาซึ่งความหยั่งรู้อันไม่อาจวัดได้ พละและความไม่กลัว ได้รับอำนาจปาฏิหาริย์และอำนาจแห่งปัญญา พระองค์ทรงมีกุศโลบายบารมีและปัญญาบารมี มหาเมตตาและมหากรุณาของพระองค์คงที่อยู่เสมอ ตลอดเวลาพระองค์ทรงแสวงหาสิ่งที่ดีและสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทุกคน”
    “พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในสามโลก อันเป็นบ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ เก่าแก่และชำรุดทรุดโทรมแล้ว เพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากไฟแห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ความวิตกกังวล ความทุกข์ ความโง่เขลา ความเข้าใจผิด และพิษทั้งสาม พระองค์ทรงสอนและเปลี่ยนแปลงพวกเขา และทำให้พวกเขาได้บรรลุอนุตตร
    สัมมาสัมโพธิ”
    “พระองค์ทรงเห็นสรรพสัตว์ถูกแผดเผาอยู่ด้วยความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความวิตกกังวล และความทุกข์ ทรงเห็นพวกเขาประสบกับความทุกข์หลายชนิด เพราะเหตุแห่งความอยากได้ในกามคุณ ๕ ความอยากได้ในทรัพย์สินและผล
    ประโยชน์ อีกอย่างหนึ่งเพราะเหตุแห่งความโลภ ความยึดมั่นถือมั่นและการต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขา ทำให้พวกเขาประสบกับความทุกข์มากมายในชาติปัจจุบัน และภายหลังพวกเขาต้องประสบกับความทุกข์เมื่อไปเกิดเป็นสัตว์นรก หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นเปรต แม้ว่าพวกเขาได้เกิดใหม่ในเทวภูมิหรือมนุษยภูมิ พวกเขาก็จะประสบกับความทุกข์แห่งความยากจนและความอัตคัดขัดสน ความทุกข์แห่งการพลัดพรากจากคนอันเป็นที่รัก ความทุกข์แห่งการพบกับคนอันเป็นที่เกลียดชัง เหล่านี้เป็นความทุกข์ชนิดต่างๆ มากมาย”
    “ถึงแม้สรรพสัตว์จะจมอยู่ในกองทุกข์เหล่านี้ แต่พวกเขากลับพอใจและเพลิดเพลินกันโดยไม่รู้ตัว ไม่มีความรู้ ไม่มีความตกใจหรือความกลัว พวกเขาไม่มีความรู้สึกรังเกียจและไม่พยายามที่จะหลบหนี บ้านไฟไหม้หลังนี้ซึ่งก็คือสามโลกนี่เอง พวกเขาวิ่งวุ่นกันไปทั่วทั้งทางตะวันออกและทางตะวันตก แต่ถึงแม้พวกเขาจะได้ประสบกับความทุกข์หนักสักปานใด พวกเขาก็หาได้ เดือดร้อนกับมันไม่”
    “สารีบุตร เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นดังนี้แล้ว พระองค์ทรงคิดดังนี้ว่า เราเป็นบิดาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เราควรจะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความทุกข์ และมอบความสุขแห่งพุทธปัญญาอันมีไม่จำกัดและวัดไม่ได้ให้แก่พวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้พบกับ
    ความเพลิดเพลินในพุทธปัญญานั้น”
    “สารีบุตร พระตถาคตเจ้ายังมีพระดำริดังนี้ว่า ถ้าเราจะใช้แต่เพียงพลังอิทธิฤทธิ์และพลังแห่งปัญญาโดยไม่ใช้กุศโลบาย และเพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์จะเอาแต่ยกย่องความหยั่งรู้ของพระตถาคต พละและความไม่กลัวแล้ว สรรพสัตว์ก็ไม่สามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดพ้นได้ ทำไมหรือ เพราะว่าสรรพสัตว์เหล่านี้ยังไม่ได้หนีพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความวิตกกังวลและความทุกข์ แต่ถูกแผดเผาอยู่โดยเปลวไฟในบ้านไฟไหม้คือ สามโลกนี่เอง แล้วพวกเขาจะสามารถเข้าใจพุทธปัญญาได้อย่างไร”
    “สารีบุตร มหาเศรษฐีผู้นั้น แม้เขาจะมีกำลังร่างกายและกำลังแขนที่แข็งแรงแต่เขาก็มิได้ใช้มัน เขาเพียงแต่ใช้กุศโลบายอย่างแยบคาย และด้วยเหตุนั้นเขาสามารถช่วยลูกๆ ของเขาให้รอดพ้นจากอัคคีภัยแห่งบ้านไฟไหม้ และหลังจากนั้นเขาได้ให้รถ
    ประดับสิ่งมีค่าคันใหญ่แก่ลูกทุกคน พระตถาคตเจ้าก็ทรงกระทำเช่นเดียวกันนี้ แม้ว่าพระองค์จะทรงมีพละและความไม่กลัว แต่พระองค์ก็หาได้ใช้สิ่งเหล่านี้ไม่ พระองค์ทรงใช้แต่เพียงปัญญาและกุศโลบายในการช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากบ้านไฟไหม้แห่งสามโลก ด้วยการแสดงสามยานแก่พวกเขา อันมีสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน
    และพุทธยาน”
    “พระองค์ได้ตรัสแก่พวกเขาว่า “เธอจะต้องไม่พึงพอใจที่จะอาศัยอยู่ในบ้านไฟไหม้แห่งสามโลกอีกต่อไป! อย่ามัวเมาอยากได้ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสอันเลวทรามอยู่เลย! ถ้าเธอยึดติดอยู่กับมันและเกิดรักใคร่หลงใหลมันแล้ว เธอจะต้องถูกเผาไหม้เสียจนหมดตัว! เธอจะต้องรีบออกมาจากสามโลกนี้เสียในทันที เพื่อว่าเธอจะได้ยานทั้งสามคือ สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และพุทธยาน เราขอให้สัญญาแก่เธอในเวลานี้ว่า เธอจะได้มันตามสัญญาไม่มีหลอกลวง เพียงแต่ขอให้เธออุทิศตนด้วยความขยันหมั่นเพียรเท่านั้น!”
    “พระตถาคตเจ้าทรงใช้กุศโลบายนี้เพื่อเอาใจสรรพสัตว์ให้เข้ามาสู่การกระทำแล้ว เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสบอกพวกเขาว่า “เธอควรจะเข้าใจว่า คำสอนแห่งสามยานนี้ ทั้งหมดได้รับยกย่องจากนักปราชญ์ทั้งหลาย มันเป็นอิสระ ปราศจากการติดกับดักไม่ต้องอาศัยสิ่งใดหรือแสวงหาสิ่งใดอีกต่อไป เมื่อได้ขึ้นนั่งบนยานทั้งสามนี้แล้ว จะได้รับอินทรีย์อันไม่มีอาสวะ ได้รับพละ สัมปชัญญะ มรรค ฌาน วิโมกข์ สมาธิ และเมื่อนั้นเธอจะสนุกสนานเพลิดเพลิน เธอจะได้รับความยินดีในความสงบและความปลอดภัยอันไม่อาจวัดได้”
    “สารีบุตร ถ้ามีสรรพสัตว์ผู้มีความฉลาดภายในโดยธรรมชาติ และเป็นผู้ที่ได้ติดตามพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้สดับพระธรรมแล้วเชื่อและรับเอาไว้ แล้วลงมือปฏิบัติด้วยความขยันหมั่นเพียร ปรารถนาที่จะหนีออกจากสามโลกโดยเร็ว และแสวงหาการบรรลุนิพพานแล้ว พวกนี้จะได้ชื่อว่า พวกโดยสารยานของพระสาวก อันเหมือนกับพวกลูกๆ ที่ออกจากบ้านไฟไหม้ด้วยความหวังที่จะได้รถเทียมแพะ”
    “ถ้ามีสรรพัดว์ผู้ที่ได้ติดตามพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อได้สดับพระธรรมแล้วเชื่อและรับเอาไว้ และลงมือปฏิบัติด้วยความขยันหมั่นเพียร แสวงหาปัญญาที่เกิดขึ้นเอง ถือสันโดษพอใจในความดีและความสงบเงียบ เข้าใจเหตุและปัจจัยของปรากฏการณ์ทั้งหลายอย่างลึกซึ้ง พวกนี้จะได้ชื่อว่า พวกโดยสารยานของพระปัจเจกพุทธะ พวกนี้เหมือนพวกลูกๆ ที่ออกจากบ้านไฟไหม้ ด้วยความหวังที่จะได้รถเทียมกวาง”
    “ถ้ามีสรรพสัตว์ผู้ที่ได้ติดตามพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อได้สดับพระธรรมแล้วเชื่อและรับเอาไว้ แล้วลงมือปฏิบัติด้วยความขยันหมั่นเพียร แสวงหาปัญญาความรอบรู้ ปัญญาพระพุทธะ ปัญญาที่เกิดขึ้นเอง ปัญญาโดยไม่มีครู ความหยั่งรู้ของพระตถาคต พละและความไม่กลัว เป็นผู้สงสารและผู้ปลอบประโลมใจสรรพสัตว์นับไม่ถ้วน นำคุณประโยชน์มาสู่เทวดาและมนุษย์ และช่วยเหลือพวกเขาทั้งหลาย พวกนี้จะได้ชื่อว่า พวกโดยสารมหายาน เพราะว่าพระโพธิสัตว์แสวงหายานนี้ พวกเขาจึงได้ชื่อว่า มหาสัตว์ พวกนี้เหมือนกับพวกลูกๆ ที่ออกจากบ้านไฟไหม้ด้วยความหวังที่จะได้รถเทียมโค”
    “สารีบุตร มหาเศรษฐีผู้นั้น เมื่อได้เห็นลูกๆ ทั้งหมดได้ออกจากบ้านไฟไหม้ได้อย่างปลอดภัยและไม่มีอันตรายใดๆ แล้ว ระลึกได้ว่าเขามีทรัพย์สมบัติมากมายเหลือที่จะประมาณได้ จึงได้มอบรถคันใหญ่ให้แก่ลูกๆ ทุกคน พระตถาคตเจ้าก็ทรงกระทำ
    เช่นเดียวกันนี้ พระองค์ทรงเป็นบิดาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระองค์เห็นว่าสรรพสัตว์หลายพันหลายล้านนับไม่ถ้วน ผ่านทางประตูแห่งคำสอนของพระพุทธะ สามารถหนีรอดจากความทุกข์แห่งสามโลก ถนนอันน่ากลัวและเต็มไปด้วยภัย และได้รับความ
    ยินดีแห่งนิพพานแล้ว พระตถาคตเจ้าในครั้งนั้นมีความคิดดังนี้ “เรามีปัญญา พละ ความไม่กลัว คลังแห่งพระธรรมของพระพุทธะมากมายอันไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด สรรพสัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นลูกของเรา เราจะมอบมหายานให้แก่ทุกคนเท่ากัน เพื่อว่าจะไม่
    มีผู้ใดไปถึงความดับโดยตนเอง แต่ทั้งหมดจะไปถึงความดับโดยความดับของพระตถาคตเจ้าด้วยกัน”
    “แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้หนีรอดออกจากสามโลกแล้ว พระองค์จะมอบของขวัญอันน่าชื่นชมของพระพุทธะทั้งหลาย ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ และอื่นๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีรูปเดียวกัน แบบเดียวกัน ได้รับการยกย่องจากนักปราชญ์ทั้งหลาย สามารถทำให้
    เกิดความยินดีอันบริสุทธิ์ มหัศจรรย์ และสูงสุด”
    “สารีบุตร มหาเศรษฐีผู้นั้นในตอนแรกใช้รถสามชนิดมาล่อใจลูกๆ แต่ภายหลังเขาได้มอบแต่เพียงรถคันใหญ่ประดับด้วยสิ่งมีค่า อันเป็นรถชนิดที่ปลอดภัยที่สุด ให้ความสะดวกสบายที่สุด ทั้งที่เขาได้ทำดังนี้ แต่มหาเศรษฐีก็ไม่มีความผิดแห่งการหลอกลวง พระตถาคตเจ้าก็ทรงกระทำเช่นนั้นเหมือนกัน พระองค์ย่อมไม่มีการหลอกลวง ในตอนแรกพระองค์ทรงสอนสามยานเพื่อดึงดูดและนำทางสรรพสัตว์ แต่ภายหลังพระองค์ทรงใช้เพียงมหายานในการช่วยพวกเขา ทำไมหรือ ก็เพราะพระตถาคตเจ้าทรงมีปัญญา พละ ความไม่กลัว และคลังแห่งธรรมมากมายเหลือประมาณวัดได้ พระองค์สามารถมอบพระธรรมแห่งมหายานให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่มิใช่ว่าทุกคนสามารถรับพระธรรมนี้ได้”
    “สารีบุตร เพราะเหตุผลนี้เธอควรจะเข้าใจว่า พระพุทธะทั้งหลายทรงใช้พลังแห่งกุศโลบาย และเพราะพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นพระองค์จึงได้ทำเอกพุทธยานให้เป็นลักษณะเฉพาะ ชนิดต่างๆ แล้วสอนมันเป็นสามยาน”
    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาที่ จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    สมมุติว่ามีเศรษฐีคนหนึ่ง
    เขามีบ้านหลังหนึ่งใหญ่โตมาก
    บ้านหลังนี้มีอายุเก่าแก่มาก
    ชำรุดและทรุดโทรมอีกด้วย
    ห้องโถงแม้โอ่อ่า แต่อยู่ในสภาพอันตราย
    โคนเสาผุกร่อนไปทุกต้น
    คานและจันทันเลนเอียงและบิดเบี้ยว
    รากฐานและบันไดปรักหักพังไปแล้ว
    ฝาผนังแตกร้าวและเป็นรูโหว่
    ปูนฉาบผนังกะเทาะหล่นกระจาย
    เครื่องหลังคาชำรุดและสูญหาย
    เชิงชายหลุดหล่นหายไป
    รั้วล้อมบ้านเอนบ้าง ล้มบ้าง
    และเศษขยะกองเรี่ยราดอยู่รอบๆ
    มีคนประมาณ ๕๐๐ คน
    อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้
    มีนกเหยี่ยวเล็ก นกเค้าแมว เหยี่ยวใหญ่ นกอินทรี
    นกกา นกกางเขน นกเขา นกพิราบ
    ตะกวด งู งูพิษ แมงป่อง
    ตะขาบและกิ่งกือ
    ตัวเหี้ยและด้วงดิน
    อีเห็น พังพอน หนูเล็ก หนูใหญ่
    ฝูงสัตว์ร้ายนานาชนิด
    วิ่งขวักไขว่ไปทั่วทุกทิศทาง
    ถ่ายมูลและเยี่ยวไว้ เหม็นคละคลุ้ง
    พื้นเนืองนองไปด้วยของสกปรก
    อันเป็นที่ชุมนุมของด้วงขี้ควายและสัตว์อื่นๆ
    หมาจิ้งจอก หมาป่า และหมาใน
    กัดแทะและเหยียบย่ำอยู่ในสิ่งปฏิกูล
    และกัดแทะซากศพ
    กระดูกและเศษเนื้อกระจัดกระจาย
    เพราะเหตุนี้ฝูงหมาล่าเนื้อ
    วิ่งกรูกันเข้ามากัดแทะ
    ด้วยแรงแห่งความหิวและความกลัว
    เที่ยวค้นหาอาหาร ไปทั่วทุกแห่ง
    กัดกัน ต่อสู้กัน จับกันกิน
    แยกเขี้ยว คำราม และเห่าหอน
    นั่นคือความน่ากลัวของบ้านหลังนี้
    ลักษณะของมันเปลี่ยนไป
    ในทุกส่วนของบ้านหลังนี้
    มีพวกผีและพวกปีศาจ
    ยักษ์และภูตผีร้าย
    ที่กินเนื้อมนุษย์
    และกินสัตว์มีพิษเป็นอาหาร
    นกร้ายและสัตว์ร้ายต่างๆ
    ออกลูก กกลูก และเลี้ยงลูก
    คอยหลบซ่อนและคอยคุ้มครองลูกเล็กของมัน
    แต่พวกยักษ์ออกมาสู้กัน
    เพื่อแย่งกันจับสัตว์เหล่านั้นกิน
    และเมื่อพวกมันกินอาหารอิ่มแล้ว
    ความโหดร้ายของมันจะเพิ่มมากขึ้น
    เสียงการทะเลาะและการต่อสู้ของพวกมัน
    ดังน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
    ปีศาจกุมภัณฑ์
    นอนหมอบอยู่บนกองดิน
    บางครั้งกระโดดขึ้นจากพื้นดิน
    สูงหนึ่งศอกบ้าง หรือสองศอกบ้าง
    เดินท่องเที่ยวไปที่นี่และที่นั่น
    หาความสำราญตามใจตนเอง
    บางครั้งมันจับสองขาของสุนัข
    และฟาดมันจนสิ้นเสียงร้อง
    กระทืบที่คอของสุนัข
    ให้มันกลัว ซึ่งเป็นความสุขของมัน
    อนึ่ง มีปีศาจเปรต
    ร่างกายสูงใหญ่
    เปลือยร่าง สีดำ และซูบผอม
    อาศัยอยู่ที่นั้นเป็นประจำ
    ร้องคร่ำครวญด้วยเสียงดังน่าเกลียด
    โดยการตะโกนร้องขออาหาร
    มีปีศาจเปรตอื่นๆ
    มีลำคอเล็กเท่าเข็ม
    หรือยังมีปีศาจอื่น
    มีหัวเหมือนหัววัว
    บางพวกกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร
    บางพวกกินเนื้อสุนัข
    ผมบนหัวของมันยุ่งเป็นกระเซิง
    เป็นปีศาจที่โหดร้ายและอันตรายมาก
    โดยแรงของความหิวและความกระหาย
    มันวิ่งพล่านพลางร้องกรีด และร้องโหยหวน
    พวกยักษ์และภูตผีอันหิวโหย
    นกร้ายและสัตว์ร้ายนานาชนิด
    บินว่อนและวิ่งพล่านไปทุกทิศอย่างหิวโหย
    โผล่หัวออกมาทางหน้าต่าง
    นั่นคือภัยอันตรายของบ้านนี้
    น่ากลัวและน่าสยองขวัญเหลือประมาณ
    บ้านนี้เก่าคร่ำคร่าและผุพัง
    เป็นของชายคนหนึ่ง
    และชายคนนั้นได้ออกไปนอกบ้าน
    และเมื่อเขาออกไป ได้ไม่นาน
    บ้านหลังนี้
    ได้เกิดไฟไหม้ขึ้น ในทันที
    ในขณะนั้นจากทั้งสี่ด้าน
    เปลวไฟได้ลุกขึ้นท่วมบ้าน
    อกไก่ คาน จันทัน เสา
    ระเบิดเสียงลั่น สั่น สะเทือน มีรอยแยก
    แตกออกเป็นสองท่อนแล้วทรุดตัวลงมา
    ขณะที่ผนังและฝาห้องพังทะลายลง
    ปีศาจและภูตผีมากมาย
    แผดเสียงร้องครวญคราง
    นกเหยี่ยวใหญ่ นกอินทรี และนกอื่นๆ
    ปีศาจกุมภัณฑ์
    ต่างเต็มไปด้วยความตกใจและความกลัว
    ไม่รู้ว่าจะหนีได้อย่างไร
    สัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษ
    ซ่อนตัวอยู่ในรูและที่ซ่อนตัวของมัน
    และพวกภูตผีปีศาจ
    ก็อาศัยอยู่ที่นั้นด้วย
    เพราะพวกมันทำสิ่งดีๆ ไว้น้อย
    ถูกบีบคั้นด้วยเปลวไฟ
    พวกมันทำร้ายซึ่งกันและกัน
    กินเลือดและกินเนื้อกันเอง
    หมาไนและสัตว์พวกนี้
    ที่ได้ตายไปแล้วในครั้งนี้
    ถูกสัตว์ร้ายที่ใหญ่กว่า
    แย่งกินซากศพพวกมัน
    ควันเหม็นคลุ้งพัดหมุนวนม้วนตัวขึ้น
    เต็มทั้งบ้านไปทุกๆ ด้าน
    ตะขาบและกิ้งกือ
    งูมีพิษและสัตว์ประเภทนี้
    ถูกเผาลนด้วยเปลวไฟ
    รีบเลื้อยหนีออกจากรูของมัน
    ครั้งนั้น พวกปีศาจกุมภัณฑ์
    ตะครุบจับพวกมันกินเป็นอาหาร
    นอกจากนั้นพวกภูตผีอันหิวโหย
    มีไฟลุกโชนรอบหัวของมัน
    หิวกระหาย ถูกทรมานด้วยความร้อน
    วิ่งพล่านชุลมุนไปทางโน่นทางนี้ด้วยความหวาดกลัว
    นั่นคือสภาพของบ้านหลังนี้
    ช่างเป็นบ้านที่น่าหวาดกลัวจริงๆ
    ความคิดมุ่งร้าย ความพินาศจากไฟ
    ความโชคร้ายต่างๆ
    ไม่ใช่เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เจ็บปวด
    ในเวลานี้ผู้เป็นเจ้าของบ้าน
    ได้ยืนดูอยู่ข้างนอกประตู
    เมื่อเขาได้ยินบางคนพูดว่า
    “เมื่อไม่นานมานี้ พวกลูกๆ ของท่าน
    เพื่อที่จะสนุกกับการละเล่นต่างๆ
    ได้เข้าไปในบ้านหลังนี้
    พวกเขายังเยาว์มากและพวกเขายังไม่เข้าใจ
    และเอาใจจดจ่ออยู่กับความสนุกของเขาเท่านั้น”
    เมื่อเศรษฐีได้ฟังดังนี้
    เขาได้วิ่งเข้าไปในบ้านไฟไหม้ด้วยความตกใจ
    ตั้งใจที่จะช่วยลูกๆ
    และปกป้องพวกเขามิให้ถูกไฟไหม้
    เขาร้องบอกให้ลูกๆ สนใจฟัง
    โดยเขาได้อธิบายถึงภัยอันตรายมากมาย
    ภูตผีร้ายและสัตว์มีพิษร้าย
    เปลวไฟแผ่กระจายไปทั่ว
    ความทุกข์ต่างๆ มากมาย
    จะเกิดตามกันมาไม่ขาดสาย
    พวกงูมีพิษ ตะกวด และงูพิษ
    รวมทั้งพวกยักษ์
    และปีศาจกุมภัณฑ์มากมาย
    หมาไน หมาจิ้งจอก หมาล่าเนื้อ
    นกเหยี่ยวใหญ่ นกเหยี่ยวเล็ก นกอินทรี นกเค้าแมว
    ด้วงดินและสัตว์ประเภทนี้
    ถูกบีบคั้นและทรมานด้วยความหิวและความกระหาย
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนน่ากลัวจริงๆ
    ลูกของเขาไม่ควรจะอยู่ในที่อันตรายเช่นนั้น
    ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อมันกำลังถูกไฟไหม้
    แต่พวกลูกๆ ไม่มีความเข้าใจ
    แม้พวกเขาจะได้ฟังคำเตือนของบิดา
    พวกเขาก็ยังหมกมุ่นอยู่กับความสนุกต่อไป
    ไม่เคยคิดหยุดการเล่นสนุกกันเลย
    ครั้งนั้น เศรษฐี
    ได้คิดกับตนเองว่า
    ลูกของเราประพฤติตนอย่างนี้
    ทำให้เราเสียใจและเจ็บปวดยิ่งนัก
    เวลานี้ในบ้านหลังนี้
    ไม่มีความสุขสักอย่างเดียวเลย
    แต่กระนั้นลูกๆ ของเรา
    ก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการเล่นของพวกเขา
    ไม่คิดใส่ใจในคำแนะนำของเราเลย
    พวกเขาจะต้องพินาศไปด้วยไฟเป็นแน่!
    ครั้นแล้วเขาได้เกิดความคิด
    ที่จะใช้กุศโลบายบางอย่าง
    เขาจึงได้บอกกับลูกๆ ว่า
    “นี่แนะ ลูกๆ ทั้งหลาย พ่อมีของเล่นหลายชนิด
    ล้วนเป็นของประหลาดและหาได้ยาก
    เป็นรถประดับเพชรพลอยอันมหัศจรรย์
    รถเทียมแพะ รถเทียมกวาง
    และรถเทียมด้วยโคใหญ่
    รถเหล่านี้อยู่นอกประตูบ้านแล้วเดี๋ยวนี้
    พวกเธอจงออกมาชมมันเร็วๆ!
    พ่อได้สร้างรถเหล่านี้ขึ้นมา
    เพื่อมอบโดยเฉพาะให้แก่พวกเธอ
    พวกเธอจะพอใจในสิ่งที่พวกเธอเลือก
    และเล่นมันได้ตามใจชอบ!”
    เมื่อพวกลูกๆ ได้ฟัง
    คำบอกลักษณะของรถดังนี้
    ในทันที พวกเขาต่างแย่งกัน
    รีบวิ่งกรูกันออกมาจากบ้านหลังนี้
    จนกระทั่งได้มาอยู่กลางลานโล่ง
    ห่างไกลจากภัยอันตรายทั้งปวง
    เมื่อเศรษฐีได้เห็นลูกๆ ของเขา
    ได้หนีพ้นออกมาจากบ้านไฟไหม้แล้ว
    และกำลังยืนออกันอยู่กลางสี่แยก
    เขาได้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้เท้าสิงห์
    แสดงความยินดีกับตนเองด้วยถ้อยคำเหล่านี้
    “เวลานี้เรารู้สึกพอใจและมีความสุข
    ลูกๆ ของเราเหล่านี้
    เลี้ยงดูมาด้วยความยากลำบาก
    ด้วยความไม่รู้ อ่อนวัย ไม่มีความเข้าใจ
    พวกเขาได้เข้าไปในบ้านอันมีภัยหลังนั้น
    อันเต็มไปด้วยสัตว์มีพิษร้าย
    และภูตผีร้ายอันน่ากลัว
    เปลวเพลิงจากไฟใหญ่
    ลุกโพลงขึ้นทั้งสี่ด้าน
    แต่ลูกๆ เหล่านี้ของเรา
    ยังหมกมุ่นอยู่กับการเล่นสนุก
    แต่เวลานี้เราได้ช่วยพวกเขา
    ให้หนีพ้นจากภยันตรายเหล่านั้นแล้ว
    นั่นคือเหตุผล สาธุชนทั้งหลาย
    ที่เรารู้สึกยินดีและมีความสุข”
    ครังนั้น พวกลูกๆ
    เมื่อได้เห็นบิดานั่งอยู่ด้วยความสบายใจ
    ทั้งหมดจึงได้เข้าไปหาบิดา
    และได้กล่าวกับบิดาว่า
    “ท่านบิดา ได้โปรดมอบให้แก่เรา
    ซึ่งรถประดับเพชรพลอยสามชนิด
    ที่ท่านได้สัญญาเอาไว้กับพวกเรา
    ท่านบอกว่า ถ้าพวกเราออกมาจากบ้าน
    ท่านจะมอบรถสามชนิดให้แก่เรา
    และเราสามารถเลือกเอาได้ตามใจปรารถนา
    บัดนี้เป็นเวลานั้นแล้ว
    ที่ท่านจะมอบมันให้แก่เรา!”
    เศรษฐีผู้นั้นร่ำรวยมาก
    และมีคลังสมบัติมากมาย
    เต็มไปด้วยทอง เงิน ไพฑูรย์
    หอยสังข์ หินโมรา
    และสิ่งมีค่าเช่นนั้นอื่นๆ อีก
    เขาได้สร้างรถคันใหญ่
    ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
    มีราวลูกกรงรอบตัวรถ
    และระฆังแขวนห้อยลงมาทุกด้าน
    เชือกทองฟั่นเป็นเกลียวพันไปรอบๆ
    มีตาข่ายไข่มุก
    ขึงแผ่คลุมข้างบน
    และพู่ดอกไม้ทอง
    แขวนห้อยย้อยลงมาทุกแห่ง
    เครื่องประดับต่างๆ หลากสี
    พันรอบๆ ตัวรถ
    ผ้าไหมอ่อนและผ้าขาวบาง
    นำมาทำเป็นเบาะรองนั่ง
    พร้อมด้วยสักหลาดเนื้อดีอย่างเลิศ
    มูลค่าหลายพันหรือหลายล้าน
    สีขาวบริสุทธิ์ส่องแสงวูบวาบ
    ปูทับบนเบาะอีกทีหนึ่ง
    มีโคสีขาวตัวใหญ่
    ขนเป็นมัน พ่วงพี มีกำลังมาก
    รูปร่างสวยงามมาก
    เทียมรถประดับเพชรพลอยทุกคัน
    และมีคนเลี้ยงม้าและคนเฝ้าดูแล
    คอยติดตามรับใช้และคุ้มครองแก่รถเหล่านี้
    รถอันมหัศจรรย์เหล่านี้
    เศรษฐีได้มอบให้แก่ลูกทุกคนเหมือนๆ กัน
    พวกลูกๆ ในเวลานั้น
    ต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี
    ขึ้นขี่รถประดับเพชรพลอย
    แล้วขับออกไปในทุกทิศทาง
    ด้วยความเพลิดเพลินและสนุกสนาน
    อย่างเป็นอิสระและปราศจากอุปสรรค
    เราขอบอกเรื่องนี้แก่เธอ สารีบุตร
    เราก็เป็นเหมือนกับเศรษฐีคนนี้
    เรา ผู้เป็นที่เคารพสูงสุดของนักปราชญ์ทั้งหลาย
    เป็นบิดาของโลก
    และสรรพสัตว์เป็นลูกๆ ของเรา
    แต่พวกเขายึดติดอยู่กับความสุขทางโลก
    และจิตใจไม่มีสติปัญญา
    สามโลกนี้ไม่มีความปลอดภัย
    ดุจดังบ้านไฟไหม้
    เต็มไปด้วยความทุกข์มากมาย
    เป็นสถานที่ที่น่ากลัวจริงๆ
    ตลอดเวลาถูกรบกวนอยู่ด้วยความเศร้าโศกและความทุกข์
    แห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย
    ซึ่งมันเป็นเหมือน ไฟ
    ลุกไหม้อย่างรุนแรงและไม่มีเวลาหยุด
    พระตถาคตเจ้าได้ออกมาแล้ว
    จากบ้านไฟไหม้แห่งสามโลก
    และอาศัยอยู่ในความเงียบสงบ
    ในความปลอดภัยแห่งป่าไม้และที่ราบ
    แต่เวลานี้สามโลกนี้
    ทั้งหมดเป็นอาณาจักรของเรา
    และสรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในนั้น
    ล้วนเป็นลูกๆ ของเรา
    เวลานี้สถานที่แห่งนี้
    ถูกรบกวนด้วยความทุกข์และสิ่งรำคาญมากมาย
    เราเป็นคนเดียวเท่านั้น
    ที่สามารถช่วยและคุ้มครองคนอื่นๆ ได้
    แต่แม้เราได้สอนและแนะนำพวกเขาแล้ว
    พวกเขาก็ไม่ยอมเชื่อและยอมรับคำสอนของเรา
    เพราะว่าพวกเขามัวเมาอยู่ด้วยตัณหา
    จึงจมลึกอยู่ในความโลภและสิ่งยึดมั่นถือมั่น
    ดังนั้นเราจึงใช้กุศโลบาย
    แสดงสามยานแก่พวกเขา
    ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    เข้าใจความทุกข์ของสามโลก
    และแล้วเราได้ประกาศและแสดง
    ทางที่พวกเขาสามารถหนีออกจากโลกได้
    ถ้าเพียงแต่ลูกของเราเหล่านี้
    ตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามเท่านั้น
    พวกเขาก็สามารถได้วิชชา ๓
    และอภิญญา ๖
    สามารถที่จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธะ
    หรือได้เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ไม่ถอยหลังกลับ
    เราขอบอกเธอ สารีบุตร
    เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์
    เราใช้การอุปมาและการเปรียบเทียบเหล่านี้
    ในการสอนเอกพุทธยาน
    ถ้าเธอและคนอื่นๆ
    สามารถเชื่อและยอมรับโอวาทของเราแล้ว
    พวกเธอทั้งหมด
    ย่อมได้บรรลุพุทธมรรคแน่นอน
    ยานนี้เป็นยานที่ละเอียดอ่อน มหัศจรรย์
    เป็นสุดยอดในความบริสุทธิ์
    ตลอดทั่วโลกทั้งหลาย
    ไม่มียานใดสูงกว่ายานนี้
    พระพุทธเจ้าทรงชื่นชมและรับรองยานนี้
    และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ควรที่จะยกย่องสรรเสริญ
    ถวายเครื่องสักการะและความเคารพแก่ยานนี้
    มีมากมายหลายพันล้าน
    แห่งพละ วิโมกข์
    ฌาน ปัญญา
    และคุณธรรมอื่นๆ ของพระพุทธเจ้า
    แต่ถ้าลูกๆ สามารถได้รับยานนี้
    ยานนี้จะช่วยให้พวกเขา
    ทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลากัปนับไม่ถ้วน
    ได้พบกับความพอใจตลอดไป
    และได้ร่วมกับพระโพธิสัตว์
    และหมู่พระสาวก
    ในการได้ขึ้นนั่งบนยานประดับอัญมณีนี้
    และเดินทางตรงไปยังสถานแห่งการปฏิบัติ
    เพราะเหตุผลเหล่านี้
    แม้ผู้ใดจะได้แสวงหาอย่างขยันขันแข็งไปในสิบทิศ
    เขาก็จะไม่พบยานอื่นใด
    ยกเว้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนมันในฐานะที่เป็นกุศโลบาย
    เราขอบอกเธอ สารีบุตร
    เธอและคนอื่นๆ
    ทั้งหมดล้วนเป็นลูกๆ ของเรา
    และเราเป็น บิดาของพวกเธอ
    ตลอดเวลากัปแล้วกัปเล่า
    เธอถูกเผาอยู่ในเปลวไฟแห่งความทุกข์นานา
    แต่เราจะช่วยเหลือพวกเธอทั้งหลาย
    และทำให้พวกเธอหนีหลุดพ้นจากสามโลก
    ถึงแม้เมื่อก่อนเราได้บอกเธอว่า
    เธอได้บรรลุความดับแล้ว
    นั่นเป็นเพียงการสิ้นสุดความเกิดและความตายเท่านั้น
    มันหาได้เป็นความดับที่แท้จริงไม่
    สิ่งที่ต้องการในเวลานี้
    ก็เพียงให้เธอได้พุทธปัญญาเท่านั้น
    ถ้ามีบรรดาพระโพธิสัตว์
    ที่อยู่ในที่ประชุมนี้
    ขอให้พวกเขาด้วยใจเดียว
    รับฟังพระธรรมที่แท้จริงของพระพุทธะทั้งหลาย
    แม้พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย
    จะทรงใช้กุศโลบาย
    สรรพสัตว์ที่พระพุทธองค์ได้เปลี่ยนแปลง
    ทั้งหมดล้วนเป็นพระโพธิสัตว์
    ถ้ามีคนผู้มีปัญญาน้อย
    ผู้ซึ่งยึดติดอย่างเหนียวแน่นอยู่กับความรักและความใคร่
    เพราะว่าพวกเขาเป็นอย่างนั้น
    พระพุทธองค์จะทรงสอนกฎแห่งความทุกข์แก่พวกเขา
    สรรพสัตว์จะมีความยินดีในใจ
    ในการได้รับสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อน
    กฎแห่งความทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้น
    เป็นความจริงและไม่เคยเปลี่ยนแปลง
    ถ้ามีสรรพสัตว์
    ผู้ซึ่งไม่เข้าใจรากเหง้าแห่งความทุกข์
    ยึดติดอยู่อย่างเหนียวแน่นกับเหตุแห่งความทุกข์
    ไม่สามารถปล่อยวางมันได้แม้เพียงชั่วขณะ
    เพราะว่าพวกเขาเป็นอย่างนั้น
    พระพุทธองค์ทรงใช้กุศโลบายในการสอนมรรค
    เกี่ยวกับเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย
    รากเหง้าของมันมีอยู่ในความโลภและความอยากได้
    ถ้าความโลภและความอยากได้ดับไป
    มันจะไม่มีที่อยู่ที่อาศัย
    การดับไปของความทุกข์ทั้งหลาย
    นี่เรียกว่ากฎข้อที่สาม
    เพื่อกฎข้อนี้ คือกฎแห่งความดับ
    เขาจะต้องปฏิบัติมรรค
    และเมื่อผู้ใดหนีพ้นจากเครื่องผูกแห่งทุกข์ได้แล้ว
    นี่เรียกว่าการบรรลุวิโมกข์
    โดยวิธีอะไร
    ที่บุคคลสามารถบรรลุวิโมกข์ได้
    ด้วยการแยกตัวเองจากความผิดและความหลอกลวง
    อย่างนี้อย่างเดียวที่อาจเรียกว่าวิโมกข์
    แต่ถ้าบุคคลยังไม่สามารถที่จะปลดปล่อย
    ตนเองให้เป็นอิสระจากทุกๆ สิ่งได้อย่างแท้จริงแล้ว
    พระพุทธองค์จะตรัสว่า
    เขายังมิได้บรรลุความดับจริง
    เพราะว่าบุคคลเช่นนั้น
    ยังไม่ได้รับมรรคอันสูงสุด
    ความมุ่งหมายของเรามิได้เป็นการพยายาม
    ที่จะทำให้พวกเขาเข้าถึงความดับ
    เราเป็นพระธรรมราชา
    เรามีอิสระที่จะทำตามที่เราตั้งใจด้วยพระธรรม
    เพื่อที่จะนำความสงบและความปลอดภัยสู่สรรพสัตว์
    นั่นคือเหตุผลที่เราอุบัติขึ้นมาในโลก
    เราขอบอกเธอ สารีบุตร
    ตราแห่งธรรมของเรานี้
    เราสอนเพราะว่าเราปรารถนา
    ที่จะนำคุณประโยชน์มาสู่โลก
    เธอจะต้องไม่ถ่ายทอดมันไปโดยไม่คิดให้ดี
    ไม่ว่าเธอเกิดท่องเที่ยวไปยังที่ใดๆ
    ถ้ามีผู้ใดที่ได้สดับพระธรรมนี้
    ตอบรับด้วยความยินดีและน้อมรับด้วยความขอบคุณแล้ว
    เธอควรจะรู้ว่าคนผู้นั้น
    เป็น อวิวรรติกะ
    ถ้ามีผู้ใดเชื่อและน้อมรับ
    พระธรรมแห่งพระสูตรนี้
    คนผู้นั้นได้เคยเห็น
    พระพุทธะทั้งหลายแห่งอดีตมาแล้ว
    ได้ถวายทานด้วยความเคารพแด่พระองค์
    และได้สดับพระธรรมนี้มาแล้วด้วย
    ถ้ามีผู้ใดสามารถ
    เชื่อสิ่งที่เธอสอนแล้ว
    คนผู้นั้นได้เห็นเรามาแล้ว
    เคยเห็นเธออีกด้วย
    เคยเห็นพระภิกษุสงฆ์อื่น
    และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาแล้ว
    สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    จะสอนแก่พวกที่มีปัญญาลึกซึ้งเท่านั้น
    ถ้าคนที่มีความเข้าใจตื้นๆ เมื่อได้ฟัง
    พวกเขาจะสับสนและไม่อาจเข้าใจได้
    สำหรับพระสาวก
    และพระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย
    ในพระสูตรนี้มีหลายสิ่งหลายอย่าง
    ที่อยู่เหนือกำลังของพวกเขา
    แม้ตัวเธอเอง สารีบุตร
    ในกรณีของพระสูตรนี้
    เธอสามารถเข้าถึงได้ด้วยความศรัทธาเท่านั้น
    แล้วพระสาวกอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
    เหล่าพระสาวกอื่นๆ
    เพราะพวกเขามีความศรัทธาในพระพุทธวาจา
    จึงทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติตามพระสูตรนี้ได้
    ไม่ใช่เพราะด้วยปัญญาใดๆ ของพวกเขาเอง
    อีกประการหนึ่ง สารีบุตร
    กับคนที่จองหองหรือเกียจคร้าน
    หรือคนที่ยึดถือทัศนะแห่งอัตตา
    อย่าสอนพระสูตรนี้
    กับคนธรรมดาพวกที่มีความเข้าใจอย่างผิวเผิน
    ผู้ซึ่งยึดติดอย่างเหนียวแน่นอยู่กับกามคุณ ๕
    ไม่อาจเข้าใจ ถึงแม้พวกเขาได้ฟังพระสูตรนี้
    อย่าได้สอนพระสูตรนี้แก่คนพวกนี้
    ถ้าผู้ใดไม่สามารถที่จะมีความศรัทธา
    แต่กลับดูหมิ่นพระสูตรนี้เสียอีก
    ในทันทีเขาจะทำลายเมล็ดทั้งหมด
    เพื่อการเป็นพระพุทธะในโลกนี้เสียแล้ว
    หรือบางทีเขาจะหน้านิ่วคิ้วขมวด
    และเกิดความสงสัยหรือเกิดความว้าวุ่น
    จงฟังให้ดีเราจะบอกแก่เธอ
    ถึงโทษที่คนผู้นี้ต้องได้รับ
    ไม่ว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ในโลก
    หรือเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้าคนผู้นี้ได้ดูหมิ่น
    พระสูตรเช่นพระสูตรนี้
    หรือเมื่อได้เห็นผู้ใดอ่าน สวด
    คัดลอกและเทิดทูนพระสูตรนี้แล้ว
    ได้ดูถูก เกลียดชัง อิจฉา
    หรือผูกพยาบาทต่อพวกเขาแล้ว
    โทษที่คนผู้นี้จะต้องได้รับ
    จงฟัง เราจะบอกแก่เธอเดี๋ยวนี้
    เมื่อชีวิตของเขาสิ้นสุดลง
    เขาจะตกลงสู่อเวจีนรก
    ถูกขังอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งกัปเต็มๆ
    และเมื่อหนึ่งกัปหมดแล้ว จะเกิดใหม่ที่นั่นอีก
    เขาจะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรนั้น
    เป็นเวลาจำนวนกัปนับไม่ถ้วน
    แม้ว่าเขาอาจผุดออกมาจากนรกได้
    เขาจะตกลงสู่เดรัจฉานภูมิ
    เกิดเป็นสุนัขหรือหมาไน
    รูปร่างซูบผอมและขนหลุดร่วง
    มีสีด่างดำด้วยสะเก็ดแผล
    บางครั้งกลายเป็นเครื่องเล่นสนุกของคน
    หรืออีกประการหนึ่ง เขาจะถูก
    ผู้คนเกลียดชังและเหยียดหยาม
    ถูกรบกวนด้วยความหิว และความกระหายอยู่เสมอ
    เนื้อหนังแห้งติดกระดูก
    ตอนมีชีวิตประสบแต่ความเจ็บปวด และความลำบาก
    ตอนตายถูกฝังอยู่ใต้กองกระเบื้องและกองหิน
    เพราะว่าเขาได้ตัดเมล็ดแห่งพุทธภาวะออกจากตน
    เขาจึงได้รับโทษอย่างนี้
    ถ้าเขาได้เกิดเป็นอูฐ
    หรือได้เกิดในร่างของลา
    ร่างกายของเขาจะแบกสัมภาระหนัก
    และถูกตีด้วยไม้เรียว หรือแส้อยู่เสมอ
    เขาจะคิดถึงแต่น้ำกับหญ้าเท่านั้น
    โดยไม่เข้าใจสิ่งอื่นใด
    เพราะเหตุว่าเขาดูหมิ่นพระสูตรนี้
    นี่คือการถูกลงโทษที่เขาจะได้รับ
    หรือเขาจะได้ไปเกิดเป็นหมาไน
    มันหลงเข้าไปในหมู่บ้าน
    ตามตัวเต็มไปด้วยสะเก็ดและแผลเปื่อย
    มีตาเพียงข้างเดียว
    ถูกพวกเด็กๆ
    ไล่เฆี่ยนและทุบตี
    ได้รับความเศร้าโศกและความเจ็บปวด
    บางครั้งถึงจุดแห่งความตายเลย
    และหลังจากเขาได้ตายไปแล้ว
    เขาจะไปเกิดใหม่ถือร่างของงูใหญ่
    มีขนาดยาวและใหญ่มาก
    วัดได้ห้าร้อยโยชน์
    หูหนวก ไร้ปัญญา ไม่มีขา
    เลื้อยไปโดยใช้ท้องของมัน
    ถูกพวกสัตว์เล็กๆ กัดและกินเป็นอาหาร
    ได้รับความลำบากตลอดทั้งวันทั้งคืน
    ไม่เคยได้รู้จักการพักผ่อนเลย
    เพราะเหตุว่าเขาดูหมิ่นพระสูตรนี้
    นี่คือการถูกลงโทษที่เขาจะได้รับ
    ถ้าเขาจะได้เกิดเป็นมนุษย์
    อินทรีย์ของเขาจะถูกทำให้เสื่อมและเชื่องช้า
    เขาจะเป็นคนแคระ น่าเกลียด โค้งงอ พิการ
    ตาบอด หูหนวก และหลังโก่ง
    เขาพูดสิ่งใดจะไม่มีใครเชื่อ
    ลมปากมีกลิ่นเหม็นอยู่ตลอดเวลา
    เขาจะถูกผีร้ายสิงได้ง่าย
    ฐานะยากจนและต่ำต้อย
    ถูกผู้อื่นใช้งานอยู่เสมอ
    ป่วยไข้บ่อยๆ และซูบผอม
    หาใครเป็นที่พึ่งไม่ได้เลย
    แม้เขาจะได้อาศัยอยู่กับใคร
    แต่คนเหล่านั้นก็มิได้คิดถึงเขาเลย
    แม้ว่าเขาจะได้รับของบางอย่าง
    เขาจะทำสูญหายหรือลืมทิ้งเสียทันที
    หากว่าเขาทำการประกอบโรคศิลป์
    และใช้การแพทย์รักษาโรคคนใข้
    คนไข้นั้นจะป่วยหนักขึ้นด้วยโรคอื่นอีก
    และบางที่ในที่สุดอาจถึงตายเลย
    ถ้าตัวเขาเองมีความป่วยไข้
    จะไม่มีใครช่วยหรือพยาบาลเขาเลย
    และแม้ว่าเขาจะได้กินยาดี
    มันก็จะมีแต่ทำให้เขามีอาการเลวลง
    ถ้ามีคนอื่นๆ ได้หันมาเป็นอริกับเขา
    ตัวเขาเองจะถูกปล้นและถูกโจรกรรม
    บาปของเขาจะเป็นเช่นว่านี้
    อันจะนำความหายนะที่ไม่คาดคิดมาสู่ตน
    คนบาปอย่างนี้
    ไม่เคยได้เห็นพระพุทธเจ้า
    ราชาแห่งนักปราชญ์ทั้งหลาย
    ทำการสอนธรรม แนะนำธรรม และทำการเปลี่ยนแปลง
    คนบาปอย่างนี้
    จะเกิดในท่ามกลางความยากลำบากเสมอ
    เป็นบ้า หูหนวก จิตสับสน
    และไม่เคยได้สดับพระธรรม
    ตลอดกัปนับไม่ถ้วน
    จำนวนมากเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    เขาจะเป็นคนหูหนวกและเป็นใบ้มาแต่กำเนิด
    อินทรีย์ของเขาอ่อนแอ
    จะอาศัยอยู่ในนรกตลอดเวลา
    เดินอยู่ในนั้น ราวกับว่าเดินเล่นอยู่ในสวน
    และอบายภูมิ อื่นๆ
    เขาจะถือเหมือนว่า เป็นบ้านของตนเอง
    อูฐ ลา หมู สุนัข
    เขาจะถือรูปร่างของสัตว์เหล่านี้
    เพราะเหตุว่าเขาดูหมิ่นพระสูตรนี้
    นี่คือการถูกลงโทษที่เขาจะได้รับ
    ถ้าเขาได้เกิดเป็นมนุษย์
    เขาจะเป็นคนหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้
    ยากจน ขาดแคลน และความเสื่อมทุกชนิด
    จะเป็นเครื่องประดับตัวของเขา
    โรคตุ่มพุพองมีหนอง โรคเบาหวาน
    โรคหิด แผลเปื่อย เนื้องอก
    โรคต่างๆ เหล่านี้
    จะเป็นเครื่องแต่งกายของเขา
    ร่างกายของเขาจะมีกลิ่นเหม็นอยู่เสมอ
    สกปรกและไม่บริสุทธิ์
    เพราะการยึดติดเหนียวแน่นอยู่กับความเห็นของตนเอง
    เขาจะเกิดความโกรธและความเกลียดชังมากขึ้น
    จนลุกเป็นไฟอยู่ด้วยความปรารถนาอันลามก
    เขาจะไม่ปฏิเสธแม้ว่าจะเป็นนกหรือเป็นสัตว์
    เพราะว่าเขาได้ดูหมิ่นพระสูตรนี้
    นี่คือการถูกลงโทษที่เขาจะได้รับ
    เราขอบอกเธอ สารีบุตร
    ถ้าเราจะบรรยายการลงโทษที่จะเกิดขึ้น
    แก่ผู้ที่ดูหมิ่นพระสูตรนี้แล้ว
    แม้เราจะใช้เวลากัปหนึ่งก็ไม่อาจบรรยายได้หมดสิ้น
    เพราะเหตุผลนี้
    เราขอบอกเธอให้แจ่มแจ้งว่า
    อย่าสอนพระสูตรนี้
    แก่คนที่ไม่มีปัญญา
    แต่ถ้ามีผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม
    มีความฉลาดและมีความเข้าใจ
    เป็นผู้ได้สดับมากและมีความจำดี
    เป็นผู้แสวงหาพุทธมรรคแล้ว
    แก่บุคคลเช่นนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    ถ้ามีบุคคลผู้เคยได้เห็น
    พระพุทธะหลายร้อยพันล้านพระองค์มาแล้ว
    ได้ปลูกฝังรากเหง้าดีไว้มาก
    มีความคิดลึกซึ้งและจิตใจมั่นคงแล้ว
    เมื่อนั้นแก่บุคคลอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    ถ้ามีบุคคลผู้มีความขยัน
    คอยอบรมเมตตากรุณาจิตอยู่เสมอ
    ไม่เสียดายชีวิตหรือแขนขาของตนแล้ว
    เมื่อนั้นเราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    ถ้ามีบุคคลผู้ที่มีความเคารพนับถือ
    มีจิตไม่ยึดมั่นในสิ่งใดๆ
    พาตนออกห่างจากสิ่งที่โง่เขลาทั่วไป
    อาศัยอยู่คนเดียวกลางภูเขาและกลางน้ำแล้ว
    เมื่อนั้นแก่บุคคลอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    อนึ่ง สารีบุตร
    ถ้าเธอเห็นบุคคลใด
    ผู้ที่เลิกคบมิตรชั่ว
    และใฝ่หาสมาคมกับมิตรดีแล้ว
    เมื่อนั้น แก่บุคคลอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    ถ้าเธอได้เห็นบุตรของพระพุทธะคนใด
    รักษาศีลบริสุทธิ์ปราศจากรอยด่างพร้อย
    ดุจดังเพชรพลอยอันสุกใสบริสุทธิ์
    แสวงหาแต่มหายานสูตรแล้ว
    เมื่อนั้น แก่บุคคลเช่นอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    ถ้าบุคคลใดไม่มีความโกรธ
    มีธรรมชาติเที่ยงตรงและสุภาพ
    มีความสงสารต่อสัตว์ทั้งหลายอยู่เสมอ
    และมีความเคารพนับถือพระพุทธะทั้งหลายแล้ว
    เมื่อนั้นแก่บุคคลเช่นอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    อนึ่ง ถ้ามีบุตรของพระพุทธะ
    ในท่ามกลางแห่งที่ประชุมใหญ่
    ด้วยจิตอันบริสุทธิ์
    ได้ใช้เหตุและปัจจัยต่างๆ
    การอุปมา การเปรียบเทียบ และคำพูดอื่นๆ
    ทำการสอนพระธรรมโดยไม่ติดขัด
    กับบุคคลเช่นอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    ถ้ามีบรรดาพระภิกษุผู้ซึ่ง
    เพื่อปัญญาความรอบรู้
    แสวงหาพระธรรมไปทั่วทุกทิศ
    ยกมือไหว้ รับไว้ด้วยความขอบคุณ
    ปรารถนาเพียงแต่จะได้รับและได้ยึดถือ
    มหายานสูตรเท่านั้น
    และไม่ยอมรับแม้เพียงคาถาหนึ่ง
    ของพระสูตรอื่นๆ แล้ว
    แก่บุคคลเช่นอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    ถ้ามีบุคคลใดมีความตั้งใจจริง
    แสวงหาพระสูตรนี้
    ราวกับว่าเขากำลังแสวงหาพระพุทธสารีริกธาตุ
    เมื่อได้พบและรับไว้ด้วยความขอบคุณแล้ว
    บุคคลผู้นั้นไม่ได้มีความตั้งใจ
    ที่จะแสวงหาพระสูตรอื่นๆ อีก
    และไม่เคยมีความคิดแม้เพียงครั้งเดียว
    ถึงหนังสือใดๆ ที่ไม่ใช่คำสอนพุทธศาสนาแล้ว
    แก่บุคคลเช่นอย่างนี้
    เราอนุญาตให้สอนพระสูตรนี้ได้
    เราขอบอกเธอ สารีบุตร
    ถ้าเราบรรยายลักษณะทั้งหมด
    ของผู้ที่แสวงหาพุทธมรรคแล้ว
    แม้จะใช้เวลาสิ้นกัปหนึ่งก็ไม่อาจบรรยายได้หมด
    บุคคลประเภทนี้
    สามารถที่จะเชื่อและเข้าใจได้
    เพราะฉะนั้นเพื่อพวกเขาเธอควรจะสอน
    สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
     
  4. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๔
    บทความเชื่อและความเข้าใจ

    เวลานั้น ท่านผู้มีปัญญาและมีอายุยืนยาว พระสุภูติ พระมหากัจจายนะ พระมหากัสสปะ และพระมหาโมคคัลลานะ เมื่อได้สดับพระธรรมอันไม่เคยได้รู้จักมาก่อนจากพระพุทธเจ้า และได้สดับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า พระสารีบุตรจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ จิตใจของพวกเขาหวั่นไหวอันไม่เคยเป็นมาก่อน และตื่นเต้นด้วยความปีติยินดี ในทันทีพวกเขาได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง จัดจีวรห่มเฉียงไหล่ขวา และคุกเข่าขวาลงกับพื้น ประนมมือด้วยใจเดียว น้อมกายถวายความเคารพ แล้วแหงนมองที่พระพักตร์ของพระผู้มีเกียรติ ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “พวกข้าพระองค์ซึ่งเป็นหัวหน้าแห่งพระภิกษุทั้งหลาย ล้วนแก่ชราแล้ว พวกข้าพระองค์เชื่อว่าตนได้บรรลุนิพพานแล้ว และไม่ต้องทำสิ่งใดอีก ดังนั้น พวกข้าพระองค์ จึงไม่เคยคิดแสวงหาการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิเลย”
    “เป็นเวลานานมาแล้ว ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเริ่มแสดงพระธรรมเป็นครั้งแรก ระหว่างเวลานั้น พวกข้าพระองค์ได้แต่นั่งในอาสนะของตนเอง จนร่างกายอ่อนล้าและเฉื่อยชา คิดใคร่ครวญเพียงแต่เรื่องของความว่าง ความไม่มีรูป และความไม่มีการกระทำ แต่เรื่องเกี่ยวกับความเพลิดเพลินและอภิญญาแห่งพระธรรมของพระโพธิสัตว์ หรือ
    การทำพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์และการช่วยเหลือสรรพสัตว์ เรื่องเหล่านี้ใจของพวกข้าพระองค์ไม่เคยมีความยินดีเลย ทำไมหรือ เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงช่วยให้พวกข้าพระองค์อยู่เหนือสามโลก และได้บรรลุความรู้แจ้งแห่งนิพพานแล้ว”
    “อีกประการหนึ่ง พวกข้าพระองค์แก่ชราแล้ว เมื่อพวกข้าพระองค์ได้ฟังเกี่ยวกับอนุตตรสัมมาสัมโพธินี้ ซึ่งเป็นพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงใช้สอนและเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์ ใจของพวกข้าพระองค์ไม่เคยคิดยินดีใดๆ หรือยอมรับเลย แต่เวลานี้ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า พวกข้าพระองค์ได้ฟังว่า พระสาวกองค์นี้รับคำพยากรณ์ว่า ท่านจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ ทำให้พวกข้าพระองค์ปลาบปลื้มใจยิ่งนัก กับการได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ในทันทีทันใด พวกข้าพระองค์สามารถที่จะได้สดับพระธรรมที่พบได้ยาก อันเป็นสิ่งที่พวกข้าพระองค์ไม่เคยคิดคาดหวังมาก่อนเลย และพวกข้า
    พระองค์ถือว่าตนเองมีความโชคดีอย่างลึกซึ้งยิ่ง พวกข้าพระองค์ได้รับความดีและคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เพชรพลอยหาได้ยากมากมายเหลือคณานับ อันเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดแสวงหา แต่กลับเกิดมีขึ้นมาให้เอง”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลานี้ขอพระองค์ได้ทรงโปรดให้พวกข้าพระองค์ใช้การเปรียบเทียบ เพื่อที่จะทำความหมายของข้าพระองค์ให้แจ่มแจ้ง พระเจ้าข้า”
    “สมมุติว่ามีชายคนหนึ่ง ได้ละทิ้งบิดาหนีออกไปจากบ้านตั้งแต่ยังเยาว์ และไปอาศัยอยู่ในดินแดนอื่นเป็นเวลานาน อาจเป็นสิบปี ยี่สิบปี หรือแม้จะเป็นเวลาห้าสิบปี เมื่อเขาอายุมากขึ้น เขาพบว่าตัวเองยิ่งยากจนและยิ่งขาดแคลน เขาได้รีบออกตระเวนไปทุกทิศทาง แสวงหาเครื่องนุ่งห่มและอาหาร ท่องเที่ยวไปไกลจนกระทั่งโดยบังเอิญ เขาได้มุ่งหน้าไปในทิศทางสู่ประเทศบ้านเกิดของเขาอีก”
    “ฝ่ายบิดาในเวลานั้น ได้เที่ยวค้นหาลูกชายแต่ไม่ได้ผล และได้มาครอบครองคฤหาสน์อยู่ในเมืองหนึ่ง ครอบครัวของบิดาร่ำรวยมาก ทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายเหลือที่จะประมาณได้ ทอง เงิน ไพฑูรย์ หินปะการัง อำพัน ลูกปัด แก้วผลึก ทั้งหมดเต็มล้นคลังสมบัติของเขาอยู่เสมอ เขามีคนเลี้ยงม้าและคนรับใช้ชาย เสมียนพนักงานและองครักษ์
    รวมทั้ง ช้าง ม้า รถ โค และแพะมากมายเหลือคณานับได้ เขาลงทุนทำการค้าทั้งในท้องถิ่นและในเมืองใกล้เคียง และยังมีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าเจ้าของกิจการและพ่อค้าจรอยู่เสมอ”
    “ในเวลานั้น ลูกยากจนได้ท่องเที่ยวจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่หมู่บ้านหนึ่ง ผ่านดินแดนและเมืองต่างๆ จนในที่สุดได้มาถึงเมืองที่บิดาของเขาพำนักอยู่ บิดาคิดถึงลูกชายตลอดเวลา แม้เขาจะได้พลัดพรากจากลูกชายกว่า ๕๐ ปีแล้ว แต่เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด เขาได้แต่คิดใคร่ครวญกับตนเองเท่านั้น หัวใจเต็มไปด้วยความเสียใจและความใฝ่หา เขาคิดกับตนเองว่า เขาแก่และชราแล้ว เขามีทรัพย์สมบัติและสิ่งครอบครองมากมาย ทั้งทอง เงิน และสิ่งที่มีค่าหายาก ซึ่งมีอยู่เต็มล้นคลังสมบัติอยู่เสมอ แต่เขาไม่มีลูก ดังนั้น วันใดที่เขาต้องตาย ทรัพย์สมบัติและสิ่งครอบครองเหล่านี้ย่อมจะกระจัดกระจายและสูญหายไป เพราะไม่มีผู้ใดที่จะรับมรดกเหล่านี้”
    “นี่คือเหตุผลที่เขาคิดถึงลูกชายอย่างจริงจังตลอดเวลา เขายังมีความคิดดังนี้ว่า “ถ้าเราได้พบลูกชายและได้มอบทรัพย์สมบัติให้แก่เขาแล้ว เราจะรู้สึกสบายอกสบายใจและไม่มีสิ่งใดให้ห่วงกังวลอีก”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในครั้งนั้น ฝ่ายลูกยากจนเที่ยวรับจ้างที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง จนกระทั่งเขาได้มาถึงบ้านของบิดาโดยบังเอิญ เขามาหยุดยืนอยู่ข้างประตูใหญ่ มองจากที่ไกลไปยังบิดาของตน ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าสิงห์ เท้าวางบนที่วางเท้าประดับเพชรพลอย และมีหมู่พราหมณ์ ขุนนางและคหบดี แวดล้อมด้วยความเคารพอย่างพร้อม
    เพรียงกัน กายของเขาประดับด้วยสังวาลไข่มุกมูลค่าหลายพันหรือหลายหมื่น และมีพนักงานและคนรับใช้ชายถือแส้ปัดแมลงสีขาว ยืนคอยรับใช้ทางซ้ายและทางขวา ปะรำประดับอัญมณีคลุมอยู่เบื้องบน ห้อยย้อยลงมาด้วยพวงดอกไม้ พื้นดินประพรมด้วยน้ำหอมอย่างดี กองดอกไม้หายากกระจัดกระจายไปทั่ว รัตนะมีค่าวางเรียงไว้เป็นแถวที่นี่และที่นั่น บ้างนำเข้า บ้างนำออก บ้างส่ง บ้างรับ นั่นเป็นเครื่องประดับประเภทต่างๆ มากมาย อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีอำนาจพิเศษ และเครื่องหมายแห่งความมีชื่อเสียง”
    “เมื่อลูกยากจนใด้เห็นความยิ่งใหญ่แห่งพลังและอำนาจการบังคับบัญชาของบิดาเช่นนั้นแล้ว เขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเสียใจที่เขาต้องมาพบกับสถานที่เช่นนั้น เขาเกิดความคิดอย่างลับๆ กับตนเองดังนี้ “นี่จะต้องเป็นพระราชาบางองค์ หรือผู้เทียบเท่ากับพระราชา นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ข้าจะรับการจ้างแรงงานและได้รับ
    เงินเลี้ยงชีพ ควรจะไปหาหมู่บ้านยากจนดีกว่า อันเป็นสถานที่ที่ถ้าข้าทำงานหนัก ข้าจะได้มีที่อยู่อาศัยและสามารถหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มได้ง่าย ถ้าข้าขืนอยู่นานที่นี่ ข้าอาจถูกจับและถูกบังคับใช้งาน!” คิดได้ดังนี้แล้วเขาจึงวิ่งหนีออกไปจากที่นั่น”
    “เวลานั้น เศรษฐีผู้ชรานั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าสิงห์ มองไปเห็นลูกชายของตนและจำเขาได้ในทันที หัวใจเขาเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดียิ่งนัก และได้เกิดความคิดดังนี้ “เดี่ยวนี้เรามีคนที่เราจะมอบคลังแห่งทรัพย์สมบัติและสิ่งครอบครองให้แล้ว! เราคิดถึงแต่ลูกชายคนนี้อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่มีทางที่จะได้เห็นเขา แต่บัดนี้เขาได้ปรากฏตัว
    ออกมาเอง อันตรงกับความปรารถนาของเรา แม้ว่าเราจะแก่และชราแล้ว เราก็ยังเป็นห่วงสิ่งที่เป็นสมบัติของเรา”
    “ในทันใดนั้น เขาได้ส่งคนใกล้ชิดคนหนึ่งให้รีบตามลูกชายไป และนำตัวกลับมาให้ได้โดยเร็ว เวลานั้น ผู้ส่งข่าวได้รีบวิ่งออกไปตามลูกชายและจับตัวเขาไว้ได้ ฝ่ายลูกยากจนตกใจและกลัวมาก ร้องออกมาด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด! มาจับข้าทำไม” แต่ผู้ส่งข่าวกลับมัดเขาแน่นยิ่งขึ้น และใช้กำลังลากตัวเขากลับมา”
    “ในเวลานั้น ลูกชายได้รำพึงกับตัวเองว่า “เราไม่ได้ทำอาชญากรรมใดๆ แต่เราถูกจับเป็นนักโทษ เราจะต้องถูกประหารอย่างแน่นอน!” เขายิ่งมีความกลัวมากขึ้น จนฟุบลงกับพื้นและสลบไปด้วยความผิดหวัง”
    “ฝ่ายบิดามองเห็นเหตุการณ์นี้จากที่ไกล จึงได้พูดกับผู้ส่งข่าวว่า “เราไม่ต้องการชายคนนี้อีกแล้ว อย่าบังคับให้เขามาที่นี่ จงเอาน้ำเย็นพรมหน้าของเขาเพื่อทำให้พื้น แล้วไม่ต้องพูดอะไรกับเขาอีก!”
    “ทำไมเขาจึงทำอย่างนั้น เพราะบิดารู้ดีว่าลูกชายของเขา มีความเห็นและความทะเยอทะยานต่ำต้อย เป็นการยากที่ลูกชายจะรับความร่ำรวยและฐานะอันสูงส่งของบิดาได้ เขารู้ดีว่าชายคนนั้นเป็นลูกของเขา แต่ตามแบบแห่งกุศโลบายเขาจึงงดเว้นที่จะบอกกับผู้ใดว่า “นี้คือลูกชายของเรา”
    “ผู้ส่งข่าวจึงได้พูดกับลูกชายว่า “บัดนี้ข้าจะปล่อยให้แกเป็นอิสระ แกจะไปไหนก็ได้ ตามใจปรารถนา” ลูกยากจนดีใจยิ่งนักกับการที่ได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ยันตัวเองขึ้นจากพื้นและเดินทางไปยังหมู่บ้านยากจน เพื่อแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มต่อไป”
    “ครั้งนั้น เศรษฐีผู้เป็นบิดาด้วยความหวังที่จะชักนำลูกชายกลับมาอีก คิดที่จะใช้กุศโลบาย จึงได้จัดส่งผู้ส่งข่าวลับออกไปสองคน มีหน้าตาซูบซีดและแต่งตัวซอมซ่อ โดยสั่งว่า “พวกเธอจงออกไปหาชายยากจนคนนั้น และไปพูดคุยกับเขาอย่างกันเอง จงบอกเขาว่า เธอรู้จักที่ทำงานที่เขาสามารถได้ค่าจ้างมากกว่าปกติสองเท่า ถ้าเขาตกลงตามนี้แล้ว เธอจงนำเขามาที่นี่และกำหนดงานให้เขาทำ ถ้าเขาถามถึงชนิดของงานที่จะให้ทำ จงบอกเขาว่า เขาจะถูกจ้างให้กำจัดอุจจาระ และบอกว่าเธอทั้งสองจะทำงานกับเขาด้วย”
    “ครั้นแล้วผู้ส่งข่าวทั้งสองคน ได้ออกไปในทันทีเพื่อตามหาชายยากจน และเมื่อได้พบแล้วได้พูดคุยกับเขาตามที่ได้รับคำแนะนำมา ครั้งนั้น ลูกยากจนจึงตอบตกลงและเรียกค่าจ้างล่วงหน้า และได้ไปกับคนทั้งสองเพื่อช่วยขจัดอุจจาระ”
    “เมื่อบิดาได้เห็นลูกชายของตน เขารู้สีกสงสารและประหลาดใจมาก ในวันหนึ่งเมื่อมองไปทางหน้าต่าง เขาได้เห็นลูกชายแต่ไกลร่างกายผอมซูบซีด เปรอะเปื้อนไปด้วยอุจจาระ ฝุ่นละออง เหงื่อ และสิ่งโสโครกต่างๆ ในทันที่เขาได้ถอดสร้อยสังวาล เสื้อผ้าอาภรณ์อันประณีตและเครื่องประดับอื่นๆ ออก แล้วสวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ และเปรอะเปื้อน และเอาฝุ่นมาทาตามร่างกายมือขวาถือถังสำหรับตักอุจจาระ และแสร้งพูดเสียงห้าวๆ กับคนงานว่า “นี่เธอ จงทำงานของเธอต่อไป! เธอจะต้องไม่เกียจคร้านนะ!” ด้วยการใช้กุศโลบายอย่างนี้ เขาสามารถเข้าใกล้ลูกชายได้”
    “ต่อมา เขาได้พูดกับลูกชายว่า “นี่แน่ะ พ่อหนุ่ม! เธอต้องทำงานนี้ต่อไปนะ และอย่าหนีจากฉันไปอีกเลย ฉันจะเพิ่มค่าจ้างให้เธอ และไม่ว่าเธอต้องการสิ่งใด จะเป็น ภาชนะ ข้าวสาร แป้ง เกลือ น้ำส้มสายชู และสิ่งใดๆ โดยเธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีคนรับใช้ชราคนหนึ่ง ฉันจะให้เธอยืมไปใช้เมื่อเธอต้องการ ขอให้เธอทำใจให้สบาย ฉันจะ
    เป็นเหมือนกับบิดาของเธอ ดังนั้น เธออย่าได้เป็นห่วงอีกเลย ทำไมฉันจึงพูดเช่นนี้ เพราะว่าฉันมีอายุมากแล้ว แต่เธอนั้นยังหนุ่มแน่นและแข็งแรง เวลาทำงาน เธอไม่เคยเถลไถล ไม่เกียจคร้าน ไม่แสดงความไม่พอใจหรือบ่นเลย ฉันไม่เคยเห็นเธอทำสิ่งที่ไม่ดีเหมือนคนงานอื่นๆ เลย ตั้งแต่นี้ไป เธอจะเป็นเหมือนลูกของฉันเอง” และท่านเศรษฐีได้ตั้งชื่อให้
    เขาใหม่ราวกับว่าเขาเป็นลูกของตนเอง”
    “ในเวลานี้ ลูกยากจน แม้ว่าเขาจะพอใจกับการกระทำของเศรษฐี แต่เขาก็ยังคิดว่าเขาเป็นเพียงลูกจ้างที่ต่ำต้อยของคนอื่นเท่านั้น ดังนั้น ท่านเศรษฐีจึงปล่อยให้เขาทำงานขจัดอุจจาระต่อไปอีก ๒๐ ปี ในตอนปลายของเวลานี้ ลูกชายรู้สึกว่าเขามีความเข้าใจและได้รับความไว้วางใจเต็มที่ อันเขาสามารถที่จะมาจะไปได้ตามสบาย แต่เขายังคงอาศัยอยู่ในสถานที่เดิมอย่างแต่ก่อน”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลานี้ ท่านเศรษฐีได้ล้มป่วยลง และรู้ว่าเขาจะถึงแก่ความตายในเวลาอีกไม่นาน เขาจึงได้พูดกับลูกยากจนว่า “เวลานี้เรามีทอง เงิน และสิ่งมีค่าหายากจำนวนมากมายที่เต็มล้นคลังสมบัติของเราอยู่เสมอ เธอจะต้องรับผิดชอบจำนวนข้าวของที่ฉันมีทั้งหมด และจงทำบัญชีรับจ่ายให้เรียบร้อยด้วย นี่คือสิ่งที่ฉันตั้งใจเอาไว้ และฉันต้องการให้เธอปฏิบัติตามที่ฉันปรารถนา ทำไมหรือ เพราะว่าจากนี้ต่อไป เธอกับฉันจะต้องไม่ประพฤติเป็นดังคนสองคนที่แตกต่างกัน ดังนั้น เธอจะต้องรักษาความเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมของเธอไว้ และดูให้ดีว่าจะไม่มีความผิดพลาดหรือความสูญเสียใดๆ”
    “ครั้งนั้น ลูกยากจนเมื่อได้รับคำแนะนำเหล่านี้แล้ว ได้ทำการเฝ้าดูแลสินค้าทั้งหมด อันมีทอง เงิน และสิ่งมีค่าหายาก และคลังสินค้าต่างๆ แต่ไม่เคยคิดถือเป็นของตนเอง มากไปกว่าค่าของอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น เขายังคงอาศัยอยู่ในที่เดิม ไม่อาจสลัดความคิดว่าตัวเองเป็นคนต่ำต้อยเสียได้”
    “หลังจากเวลาหนึ่งได้ผ่านไป ฝ่ายบิดาสังเกตเห็นว่า ลูกชายของเขาค่อยๆ มีความมั่นใจ และมีทัศนะกว้างไกลขึ้น มีความตั้งใจที่จะทำการใหญ่ๆ ให้สำเร็จ และไม่พอใจในความคิดต่ำๆ ดังแต่ก่อนของตนเอง พร้อมกับท่านเศรษฐีเองก็ตระหนักดีว่าวาระสุดท้ายของตนได้ใกล้เข้ามาแล้ว เขาจึงสั่งการให้ลูกชายจัดการประชุมหมู่ญาติ พระราชาแห่งประเทศ เสนาบดี ขุนนาง และคหบดี เมื่อทุกคนมาประชุมพร้อมกันแล้ว ท่านเศรษฐีได้กล่าวคำประกาศ ดังนี้ “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ชายคนนี้เป็นบุตรของข้าพเจ้า อันข้าพเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดแก่เขาเอง ครั้งหนึ่งในเมืองหนึ่ง เขาได้ทิ้งข้าพเจ้าและหนีไป และเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีที่เขาเที่ยวพเนจรไปพบกับความทุกข์ยากมากมาย เดิมเขามีชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนั้น ในอดีตเมื่อข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเมืองบ้านเกิด ข้าพเจ้าเป็นห่วงเขามากจึงได้ย้ายออกมาเพื่อเที่ยวค้นหาเขา หลังจากนั้น วันหนึ่ง โดยบังเอิญข้าพเจ้าได้พบเขา ตามความเป็นจริงแล้ว ชายคนนี้คือบุตรของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าคือบิดาจริงๆ ของเขา เวลานี้ สิ่งใดที่เป็นของข้าพเจ้า ทรัพย์สินและสิ่งครอบครองทั้งหมดที่เป็นของข้าพเจ้า ทั้งหมดจะเป็นของลูกชายคนนี้ของข้าพเจ้า เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับรายจ่ายและรายรับที่เกิดขึ้นในอดีต ลูกชายของข้าพเจ้าคนนี้ เขารู้เรื่องดีหมดแล้ว”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อลูกยากจนได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของบิดา เขามีความเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดีกับการได้รับสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อนยิ่งนัก และเขาได้คิดกับตนเองดังนี้ “แต่เดิมมาข้าไม่เคยคิดอยากได้ หรือแสวงหาสิ่งเหล่านี้เลย แต่บัดนี้คลังสมบัติเหล่านี้กลับมีมาให้ข้า ด้วยความสมัครใจของมันเอง!”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ชายคนนี้พร้อมด้วยความร่ำรวยมหาศาลของเขา หาใช่ใครอื่นนอกจากพระตถาคตเจ้า และพวกข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนบุตรของพระพุทธองค์ พระตถาคตเจ้าตรัสอยู่เสมอว่า พวกข้าพระองค์เป็นบุตรของพระองค์ แต่เพราะเหตุแห่งความทุกข์ทั้งสาม พระผู้มีพระภาคเจ้า ในท่ามกลางแห่งความเกิดและความตาย พวกข้าพระองค์ทนแผดเผาอยู่กับความวิตกกังวล ความหลงผิดและความไม่รู้ พึงพอใจและยึดมั่นอยู่กับคำสอนเล็กๆ น้อยๆ แต่วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำให้พวกข้าพระองค์ได้คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพื่อที่จะละทิ้งคำสอนเช่นนั้น อันเป็นสิ่งปฏิกูลแห่งการโต้เถียงกันเล่นๆ”
    “พวกข้าพระองค์ได้เอาใจใส่และบำเพ็ญเพียรในเรื่องนี้ จนกระทั่งได้บรรลุนิพพาน ซึ่งเปรียบเหมือนค่าจ้างวันเดียว และเมื่อข้าพระองค์ได้บรรลุนิพพานแล้ว ต่างมีความปลาบปลื้มใจอย่างใหญ่หลวง และพวกข้าพระองค์ถือว่า นีเป็นการเพียงพอแล้ว ในทันทีพวกข้าพระองค์ได้บอกกับตัวเองว่า “เพราะว่าพวกเรามีความขยันหมั่นเพียร
    เกี่ยวกับพุทธธรรม พวกเราได้บรรลุความกว้างและความอุดมแห่งความเข้าใจแล้ว”
    “แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่อดีต พระองค์ทรงทราบว่าจิตของพวกข้าพระองค์ ยึดติดอยู่กับความอยากได้ที่ไม่มีค่า และพอใจในคำสอนเล็กน้อย จึงมิได้กล่าวโทษพวกข้าพระองค์ และปล่อยให้พวกข้าพระองค์เป็นอย่างนั้น โดยไม่พยายามที่จะอธิบายด้วยการตรัสว่า “เธอจะได้ครอบครองความหยั่งรู้ของพระตถาคตเจ้า ส่วนแบ่งแห่งคลังสมบัติของเธอ!” แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า กลับทรงใช้พลังแห่งกุศโลบาย ทำการสอนปัญญาของพระตถาคต ในแนวทางที่ทำให้พวกข้าพระองค์อาจสนใจในพระพุทธเจ้าและการบรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นเพียงค่าจ้างวันเดียวเท่านั้น และเพราะว่าพวกข้าพระองค์ถือว่า แค่นี้เป็นการได้รับอันยิ่งใหญ่แล้ว พวกข้าพระองค์จึงไม่มีความปรารถนาที่จะใฝ่หามหายานเลย”
    “นอกจากนี้ ถึงแม้พวกข้าพระองค์จะได้แสดงและประกาศพุทธปัญญาเพื่อประโยชน์ของพระโพธิสัตว์ก็ตาม แต่พวกข้าพระองค์มิได้หวังที่จะได้บรรลุปัญญานี้เลย ทำไมข้าพระองค์จึงกล่าวดังนี้ เพราะว่า พระพุทธองค์ทรงทราบว่า พวกข้าพระองค์พอใจในคำสอนเล็กน้อย จึงทรงใช้พลังแห่งกุศโลบายทำการสอนในแนวทางที่เหมาะสมกับพวกข้าพระองค์ ดังนั้น พวกข้าพระองค์จึงมิได้รู้ว่า อันที่จริงพวกข้าพระองค์ก็เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า แต่บัดนี้ในที่สุด พวกข้าพระองค์ได้ทราบดีแล้ว”
    “เกี่ยวกับพุทธปัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เคยคิดเสียดายเลย ทำไมข้าพระองค์จึงกล่าวดังนี้ อันที่จริงตั้งแต่อดีตกาลพวกข้าพระองค์ได้เป็นบุตรของพระพุทธเจ้ามาแล้ว แต่พวกข้าพระองค์มีความพอใจแต่ในคำสอนเล็กน้อย ถ้าหากพวกข้าพระองค์จะได้มีจิตชนิดที่พึงพอใจในสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้ว พระพุทธองค์ก็คงจะได้สอนพระธรรมแห่งมหายาน
    แก่พวกข้าพระองค์แล้ว”
    “บัดนี้ ในพระสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงเพียงแต่เอกยานเท่านั้น และในอดีตเมื่อพระองค์ทรงตำหนิพระสาวกต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ว่าเป็นพวกที่พอใจในคำสอนเล็กน้อย อันที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงใช้มหายานสอนและเปลี่ยนแปลงพวกข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นพวกข้าพระองค์จึงกล่าวว่า ถึงแม้ว่าแต่ดั้งเดิม พวกข้าพระองค์ไม่เคยมีจิตคิดอยากได้หรือแสวงหาสิ่งเช่นนั้นเลย แต่บัดนี้ สมบัติมหาศาลของพระธรรมราชาได้ตกเป็นของพวกข้าพระองค์ด้วยความยินยอมของมันเอง มันเป็นสิ่งที่บุตรของพระพุทธเจ้ามีสิทธิ์ที่จะได้ และเวลานี้พวกเราได้กันทุกคนแล้ว”
    ครั้งนั้น พระมหากัสสปะปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    วันนี้พวกเราได้สดับ
    เสียงการสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
    พวกเราตื่นเต้นด้วยความปิติยินดี
    กับการได้รับสิ่งที่เราไม่เคยมีมาก่อน
    พระพุทธเจ้าทรงประกาศว่าพระสาวก
    สามารถที่จะบรรลุพุทธภาวะได้
    เพชรพลอยล้ำค่ากองนี้
    ได้เกิดมีแก่พวกเราโดยมิได้คิดแสวงหา
    เหมือนกับกรณีของเด็กชายผู้หนึ่ง
    เมื่อยังเยาว์ ยังไม่มีความเข้าใจ
    ละทิ้งบิดาของตนและหนีไป
    ไปไกลยังดินแดนอื่น
    ย้ายจากประเทศหนึ่งไปยังประเทศหนึ่ง
    เป็นเวลากว่าห้าสิบปี
    ฝ่ายบิดาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
    ได้ออกเที่ยวค้นหาลูกชายไปทุกทิศทาง
    จนกระทั่งอ่อนล้ากับการค้นหา
    จึงได้หยุดพักอยู่ในเมืองหนึ่ง
    ที่นั่นเขาได้สร้างคฤหาสน์หลังหนึ่ง
    อันเป็นที่ซึ่งเขาสามารถเพลิดเพลินกับกามคุณ ๕ ได้
    บ้านของเขาใหญ่โตและมีราคามาก
    มากมายด้วยทอง เงิน
    หอยสังข์ หินโมรา
    ไข่มุก แก้วไพฑูรย์
    ฝูงช้าง ฝูงม้า ฝูงโค ฝูงแพะ
    เสลี่ยงและรถม้า
    ไร่นา ข้าทาสบริวาร คนเลี้ยงม้า
    และคนอื่นๆ จำนวนมาก
    เขาลงทุนทำการค้าขาย
    ทั้งในท้องถิ่นและในถิ่นอื่นทั่วไป
    คนขายของประจำร้านและคนขายของเร่
    มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง
    เขาได้รับการแวดล้อมและรับความเคารพ
    จากผู้คนมากมายหลายพันหมื่นล้าน
    เขาได้รับการสนับสนุนและการเอาใจใส่
    จากผู้ปกครองบ้านเมืองตลอดเวลา
    ข้าราชการและตระกูลที่มีอำนาจ
    ต่างร่วมกันให้เกียรติแก่เขา
    และพวกที่ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง
    มีมากมายได้ชุมนุมอยู่รอบตัวเขา
    นั่นคือความมั่งมีมหาศาลของเขา
    และอำนาจอันยิ่งใหญ่และอิทธิพลที่เขามี
    แต่เมื่อเขาแก่ชรามากขึ้น
    เขายิ่งคิดถึงลูกชายด้วยความระทมทุกข์
    ตลอดวันตลอดคืนมิได้คิดถึงสิ่งอื่นใดเลย
    “เวลานี้ความตายของข้าใกล้เข้ามาแล้ว
    เวลาผ่านไปกว่า ๕๐ ปีแล้ว
    ตั้งแต่เด็กโง่คนนั้นได้หนีจากข้าไป
    คลังสินค้าของข้าที่เต็มไปด้วยสินค้า
    สมบัติเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร”
    ในเวลานี้ ลูกยากจน
    เที่ยวหาอาหารและเครื่องนุ่งห่ม
    จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังหมู่บ้านหนึ่ง
    จากประเทศหนึ่งไปยังประเทศหนึ่ง
    บางครั้งหาได้บางสิ่ง
    แต่เวลาอื่นหาอะไรไม่ได้เลย
    มีแต่ความอดอยากและซูบผอม
    ร่างกายมีแผลพุพองและขี้กลาก
    ขณะที่เขาพเนจรจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งนั้น
    ในที่สุดเขาได้มาถึงเมืองที่บิดาอาศัยอยู่
    เที่ยวหางานทำ งานแล้วงานเล่า
    จนกระทั่งเขาได้มาถึงบ้านของบิดา
    ครั้งนั้น ท่านเศรษฐี
    ได้ตั้งปะรำประดับเพชรพลอยหลังใหญ่
    ขึ้นในบริเวณบ้าน
    และตัวเขาเองนั่งบนเก้าอี้เท้าสิงห์
    แวดล้อมด้วยข้าทาสบริวาร
    คนรับใช้และผู้พิทักษ์ต่างๆ มากมาย
    บางคนกำลังนับสิ่งของออก
    ทอง เงิน และวัตถุมีค่า
    บางคนกำลังบันทึกบัญชี
    รายจ่ายและรายรับแห่งทรัพย์สิน
    ฝ่ายลูกยากจนสังเกตเห็น
    ความสูงศักดิ์และความมีเกียรติของบิดา
    คิดเอาว่าเขาต้องเป็นพระราชาของประเทศ
    หรือเทียบเท่ากับพระราชาทีเดียว
    ด้วยความตกใจและเต็มไปด้วยความฉงน
    เขาได้ถามตัวเองว่าเขามาที่นี่ทำไม
    เขาคิดอย่างลับๆ กับตัวเองว่า
    ถ้าข้าขืนอยู่ที่นี่นานไป
    บางที่ข้าอาจจะถูกจับ
    และถูกบังคับใช้แรงงาน!
    เมื่อความคิดนี้ได้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว
    เขารีบวิ่งออกไปจากที่นั่นทันที
    และไปเที่ยวถามหาหมู่บ้านยากจน
    เขาไปที่นั่นด้วยความหวังที่จะได้รับการจ้างงาน
    ท่านเศรษฐีในเวลานั้น
    นั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าสิงห์
    ได้เห็นลูกชายของตนจากที่ไกล
    และอย่างเงียบๆ จำได้ว่าเขาเป็นใคร
    ในทันที เขาได้บอกแก่ผู้ส่งข่าว
    ให้รีบตามไปพาตัวเขากลับมา
    ฝ่ายลูกยากจน ร้องลั่นด้วยความกลัว
    ล้มลงกับพื้นดินด้วยความตกใจ
    “ชายคนนี้มาจับกุมข้า
    ต้องพาข้าไปประหารแน่!
    การเที่ยวหาอาหารและเครื่องนุ่งห่ม
    ได้นำพาข้ามายังที่นี่!”
    เศรษฐีรู้ว่าลูกของตน
    เป็นคนโง่เขลาและถ่อมตัว
    “เขาจะไม่เชื่อคำพูดของเรา
    ไม่เชื่อว่าเราเป็นบิดาของเขา
    ดังนั้นเขาจึงได้ใช้กุศโลบาย
    ส่งคนอื่นไปหาลูกชาย
    คนหนึ่งมีตาข้างเดียว อีกคนตัวเล็กและเซ่อซ่า
    มีลักษณะท่าทางไม่น่าดูเลย
    กล่าวว่า “จงไปพูดกับเขา
    และบอกเขาว่า ข้าจะจ้างให้เขา
    ทำงานกำจัดอุจจาระและสิ่งปฏิกูล
    และจะจ่ายค่าจ้าง เพิ่มเป็นสองเท่า!”
    เมื่อลูกยากจนได้ฟังดังนี้
    เขาดีใจมากและได้ติดตามผู้ส่งข่าวไป
    และได้ทำงานกำจัดอุจจาระและสิ่งปฏิกูล
    และทำความสะอาดห้องต่างๆในบ้าน
    เศรษฐีมองจากหน้าต่าง
    คอยสังเกตการทำงานของลูกชายอยู่เสมอ
    ครุ่นคิดว่า “ทำไมลูกชายจึงโง่เขลาและถ่อมตัวนัก
    และพอใจในการใช้แรงงานรับใช้เช่นนี้”
    ในเวลานั้นท่านเศรษฐี
    ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ขาดและสกปรก
    ในมือถือภาชนะเพื่อการโกยอุจจาระ
    และไปยังที่ทำงานของลูกชาย
    เขาใช้กุศโลบายเพื่อที่จะเข้าใกล้ลูกชาย
    ปลุกเร้าใจให้เขาทำงานด้วยความขยัน
    “ฉันจะเพิ่มค่าจ้างให้เธอ
    และจะให้น้ำมันนวดเท้าแก่เธอด้วย
    ฉันอยากเห็นเธอมีอาหารและเครื่องดื่มเพียงพอ
    เสื่อและเครื่องนอนหนาพอที่จะให้ความอบอุ่น”
    บางครั้งเขาจะพูดอย่างขึงขังว่า
    “เธอต้องทำงานให้หนักนะ!”
    หรือบางคราวเขาจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
    “เธอเป็นเหมือนลูกชายของฉัน”
    ท่านเศรษฐีเป็นคนฉลาด
    ค่อยๆ อนุญาตให้ลูกชายเข้าออกตามใจ
    และหลังจากเวลาผ่านไป ๒๐ ปี
    เขาได้มอบหน้าที่ให้รับผิดชอบกิจการของครอบครัว
    ให้เขาได้เห็นทอง เงิน
    ไข่มุก แก้วผลึก
    และสิ่งของอื่นๆ ที่ส่งออกไปและนำเข้ามา
    เพื่อว่าเขาจะได้เข้าใจสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
    กระนั้นลูกชายก็ยังอาศัยอยู่นอกบ้าน
    นอนอยู่ในกระท่อมมุงแฝก
    เพราะเขาคิดว่าตัวเขาเองเป็นคนยากจน
    โดยคิดว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าเลย”
    ฝ่ายบิดารู้ว่า แนวความคิดของลูกชาย
    ค่อยๆ กว้างขึ้นและเห็นแก่ตัวน้อยลง
    ด้วยความประสงค์ที่จะมอบทรัพย์สมบัติให้
    เขาจึงได้เรียกพี่น้องมารวมกัน
    พระราชาแห่งประเทศและมหาเสนาบดี
    ขุนนางและคหบดี
    ต่อที่ประชุมใหญ่นี้
    เขาประกาศว่า “นี่คือบุตรชายของข้าพเจ้า
    เขาได้หนีจากข้าพเจ้าและท่องเที่ยวไปต่างประเทศ
    เป็นเวลา ๕๐ ปี
    ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้พบเขาอีกครั้งหนึ่ง
    เวลาก็ได้ผ่านไป ๒๐ ปีแล้ว
    นานมาแล้วในเมืองนั้นนั้น
    เมื่อลูกชายของข้าพเจ้าหายไป
    ข้าพเจ้าได้เที่ยวค้นหาเขาไปทั่ว
    จนในที่สุดข้าพเจ้าได้มาอยู่ที่นี่
    สิ่งทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามี
    บ้านและคนของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่เขาทั้งหมด
    อันเขาจะจัดการกับมันได้ตามใจปรารถนา”
    ฝ่ายลูกชายคิดถึงความยากจนของตนในอดีต
    ความคิดเห็นตำ่ต้อยและถ่อมตน
    แต่บัดนี้ เขาได้รับจากบิดา
    ซึ่งมรดกแห่งสมบัติล้ำค่าหายากกองใหญ่นี้
    พร้อมด้วยคฤหาสน์หลังใหญ่ของบิดา
    กับทั้งโภคทรัพย์และสินค้าของบิดาทั้งหมด
    เขามีความปลาบปลื้มใจยิ่งนัก
    กับการได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
    พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นเหมือนกันนี้ด้วย
    พระองค์ทรงทราบว่าพวกเราชอบใจในของเล็กน้อย
    เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่เคยบอกพวกเราว่า
    “เธอสามารถบรรลุพุทธภาวะได้”
    พระองค์กลับทรงอธิบายแก่เราว่า
    เราสามารถที่จะเป็นอิสระจากอาสวะ
    ด้วยการปฏิบัติหินยาน
    และลูกศิษย์สาวก
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้รับสั่งให้พวกเรา
    ทำการสอนมรรคอันสูงสุด
    และอธิบายว่า “ผู้ที่ปฏิบัติมรรคนี้
    สามารถที่จะบรรลุพุทธภาวะได้”
    เราได้รับคำสอนของพระพุทธเจ้า
    และเพื่อประโยชน์ของมหาโพธิสัตว์
    ได้ใช้เหตุและปัจจัย
    การอุปมาและการเปรียบเทียบมากมาย
    ถ้อยคำและวลีต่างๆ
    ให้เป็นประโยชน์ในการสอนมรรคอันสูงสุด
    เมื่อเหล่าบุตรของพระพุทธเจ้า
    ได้สดับพระธรรมจากพวกเรา
    ตลอดวันตลอดคืนพวกเขาคิดไตร่ตรอง
    และปฏิบัติพระธรรมนั้นด้วยความขยันหมั่นเพียร
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้า
    ได้ประทานคำพยากรณ์แก่พวกเขาว่า
    “ในอนาคตชาติ
    เธอสามารถ ที่จะได้บรรลุพุทธภาวะ”
    พระพุทธะมากมาย
    ในพระธรรมแห่งคลังเร้นลับของพระองค์
    ทรงประกาศข้อเท็จจริงที่แท้
    เพื่อประโยชน์ของพระโพธิสัตว์เท่านั้น
    มันไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพวกเรา
    ในการที่พระองค์ทรงแสดงจุดสำคัญอันแท้จริงนั้น
    กรณีนี้เหมือนกรณีของลูกยากจน
    ผู้ซึ่งสามารถได้เข้าไปอยู่ใกล้บิดาของตน
    ถึงแม้ว่าเขาจะได้ทราบถึงความมั่งมีของบิดา
    แต่ในจิตใจเขาไม่เคยคิดอยากได้มันเลย
    ดังนั้น ถึงแม้เราได้สอน
    คลังสมบัติแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้า
    พวกเราเองไม่เคยคิดแสวงหาที่จะได้มันเลย
    และกรณีของพวกเราก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
    พวกเราแสวงหาแต่ความดับสิ่งที่อยู่ในตัวเอง
    โดยเชื่อว่าเพียงเท่านั้นก็เป็นการเพียงพอแล้ว
    เราเข้าใจแต่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว
    และไม่ได้อยากรู้เรื่องอื่นใดอีก
    ถึงแม้ว่าเราจะได้ฟัง
    เรื่องการทำพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์
    เรื่องการสอนและการเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์
    พวกเราก็ไม่เคยคิดยินดีกับเรื่องเช่นนั้นเลย
    ทำไมจึงเป็นอย่างนี้
    เพราะว่าปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    เป็นความว่างโดยเอกรูป เป็นความสงบเงียบ
    ไม่มีความเกิด ไม่มีความดับ
    ไม่มีความใหญ่ ไม่มีความเล็ก
    ไม่มีอาสวะ ไม่มีการกระทำ
    และเมื่อผู้ใดคิดไตร่ตรองในแนวทางนี้
    เขาไม่อาจที่จะมีความรู้สึกพอใจหรือดีใจ
    ตลอดราตรีอันยาวนาน
    ในเรื่องเกี่ยวกับพุทธปัญญา
    พวกเราไม่มีความโลภ ไม่มีความยึดมั่น
    ไม่มีความต้องการที่จะมีมันเลย
    พวกเราเชื่อว่าในเรื่องเกี่ยวกับพระธรรม
    พวกเราได้มีถึงที่สุดแล้ว
    ตลอดราตรีอันยาวนาน
    พวกเราได้ปฏิบัติธรรมแห่งความว่าง
    ได้รับการปลดปล่อยแล้วจากสามโลก
    และภาระแห่งความทุกข์และความห่วงใยของมันแล้ว
    พวกเราได้อาศัยอยู่ในชาติสุดท้าย
    ในนิพพานแห่งการ ไม่มีเศษเหลือ
    โดยการสอนและการเปลี่ยนแปลงของพระพุทธเจ้า
    พวกเราได้รับมรรคอันไม่ไร้ผลแล้ว
    และด้วยการกระทำดังนั้น พวกเราได้ชดใช้
    หนี้ที่พวกเราได้ติดค้างต่อพระเมตตาของพระพุทธเจ้าแล้ว
    แม้ว่าเพื่อประโยชน์แก่บรรดาพระพุทธบุตร
    พวกเราจะได้สอนโพธิสัตว์ธรรม
    ปลุกเร้าให้พวกเขาแสวงหาพุทธมรรค
    แต่พวกเราเอง
    ไม่เคยคิดอยากได้พระธรรมนี้เลย
    ดังนั้นพวกเราจึงถูกทอดทิ้งโดยผู้นำทางและครูของเรา
    เพราะว่าพระองค์ทรงสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรา
    ตั้งแต่แรกมา พระองค์ไม่เคยให้กำลังใจพวกเรา
    หรือตรัสถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงกับพวกเรา
    พระองค์ทรงเป็นเหมือนเศรษฐี
    ที่รู้ว่าลูกชายของเขามีความทะเยอทะยานต่ำ
    และได้ใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    ในการกล่อมเกลาและฝึกจิตใจของลูกชาย
    เพื่อว่าในภายหลังเขาสามารถที่จะได้รับมอบ
    ความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติของเขา
    พระพุทธองค์ก็ทรงเป็นเหมือนอย่างนี้
    ทรงใช้วิธีการกระทำที่เข้าใจได้ยาก
    ด้วยทรงทราบว่า บางคนมีความชอบใจในของเล็กน้อย
    พระองค์จึงทรงใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    เพื่อฝึกนิสัยและทำจิตใจของเขาให้อ่อนลง
    แล้วเมื่อนั้นจึงจะทรงสอนมหาปัญญาแก่เขา
    วันนี้พวกเราได้รับแล้ว
    ซึ่งสิ่งที่เราไม่เคยมีมาก่อน
    สิ่งที่เราไม่เคยคิดหวังมาก่อน
    เวลานี้มันได้มีมาเองแก่เรา
    พวกเราเป็นเหมือนกับลูกยากจน
    ผู้ได้รับทรัพย์สมบัติมากมายเหลือประมาณได้
    พระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานี้
    พวกเราได้รับมรรคแล้ว ได้รับผลของมันแล้ว
    ด้วยพระธรรมอันปราศจากอาสวะ
    พวกเราได้รับจักษุอันไม่มีมลทินแล้ว
    ตลอดราตรียาวนาน
    พวกเราได้รักษาศีลอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
    และในวันนี้เป็นครั้งแรก
    เราได้รับผลค่าตอบแทนแล้ว
    ในพระธรรมของพระธรรมราชา
    พวกเราได้ปฏิบัติพรหมจรรย์มานาน
    เวลานี้ พวกเราได้รับสภาวะแห่งความไม่มีอาสวะ
    ผลสูงสุดอันยิ่งใหญ่
    บัดนี้ พวกเราได้เป็น
    พระสาวกจริงๆ แล้ว
    เพราะว่าพวกเราจะนำเอาเสียงแห่งพุทธมรรค
    และทำให้คนทั้งหลายได้ฟังพุทธมรรคนี้ด้วย
    บัดนี้ พวกเราได้เป็น
    พระอรหันต์ที่แท้จริงแล้ว
    เพราะทุกหนทุกแห่งในหมู่
    เทวดาและมนุษย์ มารและพรหม
    แห่งโลกต่างๆ
    พวกเราควรค่าแก่การที่จะได้รับของถวายแล้ว
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์
    ทรงใช้สิ่งที่หาได้ยากให้เป็นประโยชน์
    ด้วยความสงสารและความเมตตาทรงสอนและเปลี่ยนแปลง
    นำผลประโยชน์มาให้แก่พวกเรา
    ในเวลาล้านกัปนับไม่ถ้วน
    ใครที่สามารถตอบแทนพระคุณของพระองค์ได้
    แม้ว่าเราจะได้ถวายมือและเท้าแด่พระองค์
    โค้งศีรษะของเราด้วยความเคารพนับถือ
    และถวายทุกลักษณะแห่งของถวายแล้วก็ตาม
    พวกเราก็ไม่สามารถที่จะตอบแทนคุณพระองค์ได้
    แม้ว่าเราจะทูนพระองค์ไว้บนศีรษะของเรา
    แบกพระองค์ไว้บนบ่าทั้งสองของเรา
    ตลอดกัปมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ถวายความเคารพแด่พระองค์ด้วยหัวใจของเราทั้งหมด
    แม้ว่าเราจะบูชาด้วยอาหารอันเลิศ
    ด้วยจีวรประดับเพชรพลอยนับไม่ถ้วน
    ด้วยสิ่งของเครื่องนอนมากมาย
    และยาบำบัดโรคชนิดต่างๆ
    ด้วยไม้จันทน์ศีรษะโค
    และเพชรพลอยหายากทุกชนิด
    ทำการก่อสร้างอนุสรณ์สถูป
    และปูลาดพื้นด้วยผ้าประดับเพชรพลอย
    ถึงแม้เราจะได้กระทำสิ่งต่างๆ อย่างนี้
    โดยวิธีการสักการะบูชา
    ตลอดกัปมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    เราก็ยังไม่สามารถตอบแทนคุณของพระองค์ได้
    พระพุทธะทั้งหลายทรงมี
    อภิญญาอันยิ่งใหญ่ รู้ได้ยาก
    ไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด
    อันไม่อาจคาดคิดได้
    ไม่มีอาสวะ ไม่มีการกระทำ
    พระราชาแห่งคำสอนเหล่านี้
    เพื่อประโยชน์ของคนถ่อมตนและต่ำต้อย
    ทรงใช้ความอดทนในเรื่องเหล่านี้
    แก่ปุถุชนผู้ยึดติดอยู่กับลักษณะภายนอก
    พระองค์ทรงสอนให้สอดคล้องกับสิ่งที่เหมาะสม
    เกี่ยวกับพระธรรม พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    สามารถที่จะใช้ความเป็นอิสระได้อย่างเต็มที่
    พระองค์ทรงเข้าใจความปรารถนาและความพอใจ
    ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    รวมทั้งความมุ่งหมายและความสามารถของพวกเขา
    และสามารถที่จะปรับให้เข้ากับสิ่งที่พวกเขาสามารถรับได้
    ด้วยการใช้การอุปมานับไม่ถ้วน
    แสดงพระธรรมแก่พวกเขา
    โดยการใช้ประโยชน์จากรากเหง้าดี
    ที่สรรพสัตว์ได้ปลูกไว้แต่ชาติปางก่อน
    ด้วยการรู้ข้อแตกต่างระหว่างพวกที่มีรากเหง้าเจริญแล้ว
    กับพวกที่มีรากเหง้ายังไม่เจริญ
    พระองค์ทรงใช้การคำนวณต่างๆ
    ความสามารถใน การจำแนกและความสามารถในการรับรู้
    ครั้นแล้ว ทรงใช้เอกยานมรรค
    และให้สอดคล้องกับความเหมาะสม
    ทรงสอนเป็นสามยาน
     
  5. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๕
    บทการเปรียบเทียบเรื่องยาสมุนไพร

    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ พระมหากัสสปะและพระอัครสาวกอื่นๆ ว่า “ดีมาก! ดีมาก! กัสสปะ เธอบรรยายได้ดีเลิศ เกี่ยวกับบุญกุศลที่แท้จริงของพระตถาคตเจ้า มันเป็นดังที่เธอกล่าวทีเดียว พระตถาคตเจ้าทรงมีบุญกุศลอันไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัดหลายอสงไขยจริงๆ และถึงแม้เธอกับคนอื่นๆ ร่วมกันใช้เวลามากมาย หลายล้านกัปในความพยายามที่จะบรรยาย เธอก็ไม่สามารถที่จะบรรยายให้หมดสิ้นได้”
    “กัสสปะ เธอควรจะเข้าใจดังนี้ พระตถาคตเจ้าเป็นราชาแห่งคำสอน ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสอนไม่มีสิ่งใดที่ไร้ค่า เกี่ยวกับคำสอนต่างๆ ทั้งหมด พระองค์ทรงใช้ปัญญาที่เป็นกุศโลบายในการแสดงคำสอนเหล่านั้น เพราะฉะนั้นคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง ล้วนขยายไปสู่จุดอันเป็นที่แห่งความมีปัญญาความรอบรู้ พระตถาคตเจ้าทรงเห็นและเข้าใจจุดสุดท้ายที่คำสอนทั้งหลายจะนำพาไป อนึ่ง พระองค์ยังทรงเข้าใจการทำงานในส่วนลึกแห่งจิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เข้าใจอย่างสมบูรณ์ตลอดและไม่มีสิ่งใดกีดกั้น และเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลาย พระองค์ทรงรู้แจ้งโดยตลอดแล้ว และทรงเปิดเผยสิ่งรวบยอดแห่งปัญญาแก่สรรพสัตว์”
    “กัสสปะ มันเหมือนกับว่ามีต้นหญ้าและต้นไม้ ป่าเล็กและป่าใหญ่ และยาสมุนไพร ขึ้นเรียงรายอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดมีชื่อและสีสันของมันเอง อันงอกขึ้นตามภูเขาและลำธาร หุบเขาและพื้นดินต่างๆ แห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ เมฆหนาทึบตั้งขึ้นแผ่กระจายไปทั่วทุกแห่งปกคลุมทั้งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ และได้เปลี่ยนเป็นฝน หลั่งลงมาให้เปียกชุ่มทั่วไปในเวลาเดียวกัน ความชื้นแทรกซึมไปยังต้นหญ้าและต้นไม้ ป่าเล็กและป่าใหญ่ และยาสมุนไพรทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกัน ให้แก่รากเล็ก ลำต้นเล็ก กิ่งเล็ก ใบเล็ก รากขนาดกลาง ลำต้นขนาดกลาง กิ่งขนาดกลาง ใบขนาดกลาง รากขนาดใหญ่ ลำต้นขนาดใหญ่ กิ่งขนาดใหญ่ และใบขนาดใหญ่ ต้นไม้ทุกต้นไม่ว่าใหญ่หรือเล็กต่างได้รับส่วนแบ่ง อันขึ้นอยู่กับว่าธรรมชาติของมันว่าสูงกว่า ปานกลาง หรือต่ำกว่า ฝนตกลงมาจากเมฆก้อนเดียวกัน ทำให้พืชตามแต่ละชนิดและธรรมชาติเฉพาะของมันผลิดอกและออกผล แม้ว่าต้นหญ้าและต้นไม้เหล่านี้ทั้งหมด จะงอกขึ้นจากพื้นดินเดียวกัน และได้รับความชุ่มชื้นจากฝนเดียวกัน แต่ว่า แต่ละชนิดก็มีความแตกต่างและลักษณะเฉพาะของมัน”
    “กัสสปะ เธอควรจะเข้าใจว่า พระตถาคตเจ้าก็ทรงเป็นเหมือนอย่างนี้ พระองค์ทรงปรากฏขึ้นมาในโลกเหมือนกับการเกิดขึ้นของเมฆใหญ่ ด้วยเสียงอันดังพระองค์ทรงส่งผ่านไปยังเทวดา มนุษย์ และอสูรทั้งหลายในโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เหมือนกับเมฆใหญ่แผ่คลุมตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ และในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พระองค์ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า “เราเป็นพระตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ใดยังไม่ข้ามฝั่งเราจะช่วยให้ข้ามฝั่ง ผู้ใดยังไม่เป็นอิสระเราจะช่วยให้เป็นอิสระ ผู้ใดยังไม่ได้พักสงบเราจะช่วยให้ได้พักสงบ ผู้ที่ยังไม่ถึงนิพพานเราจะช่วยให้
    บรรลุนิพพาน เราเข้าใจสภาพการณ์แวดล้อมที่แท้จริงของภพนี้และภพหน้า เราเป็นผู้รู้ทุกสิ่ง ผู้เห็นทุกสิ่ง ผู้เข้าใจมรรค ผู้เปิดมรรค ผู้สอนมรรค พวกเธอ เทวดาและมนุษย์ อสูรและคนอื่นๆ พวกเธอทั้งหลายจะต้องมาที่นี่ เพื่อว่าเราจะให้พวกเธอได้สดับพระธรรม!”
    “เวลานั้น สรรพสัตว์หลายพันหมื่นล้านชนิดนับไม่ถ้วน ได้มายังที่ประทับของพระพุทธเจ้าเพื่อที่จะสดับพระธรรม เมื่อนั้น พระตถาคตเจ้าจะสังเกตดูความสามารถของสรรพสัตว์เหล่านี้ว่า แหลมคมหรือทึบทื่อ ขยันหมั่นเพียรหรือเกียจคร้าน แล้วตามความสามารถแห่งการฟังของแต่ละคน พระองค์ทรงสอนพระธรรมแก่พวกเขาด้วยวิธีการต่างๆ นับไม่ถ้วน เพื่อให้พวกเขาทั้งหลายมีความพอใจ และสามารถได้รับคุณประโยชน์อันเลิศจากพระธรรมนั้น”
    “เมื่อสรรพสัตว์เหล่านี้ได้สดับพระธรรม พวกเขาจะมีความราบรื่นปลอดภัยในชาตินี้และมีสถานที่ดีในชาติหน้า เพื่อพวกเขาจะได้รับความยินดีเพราะมรรค และสามารถที่จะได้สดับพระธรรมอีก และด้วยการได้สดับพระธรรม พวกเขาจะหนีรอดพ้นจากเครื่องกีดขวางและอุปสรรค และเกี่ยวกับคำสอนต่างๆ พวกเขาสามารถที่จะใช้กำลัง
    ของตนได้เต็มที่ เพื่อว่าพวกเขาสามารถที่จะเข้าสู่มรรคได้ที่ละน้อย มันเหมือนกับฝนที่ตกจากเมฆก้อนใหญ่ลงสู่ต้นหญ้าและต้นไม้ ป่าเล็กและป่าใหญ่ และยาสมุนไพรทั้งหลาย พืชแต่ละต้นขึ้นอยู่กับชนิดและธรรมชาติของมัน ได้รับส่วนแบ่งแห่งความชุ่มชื้นของมันเต็มที่ และช่วยให้มันงอกหน่อและเจริญเติบโตขึ้น”
    “พระธรรมที่สอนโดยพระตถาคตเจ้าเป็นเอกรูปเอกรส นั่นคือ รูปแห่งวิโมกข์ รูปแห่งการแยกออก รูปแห่งความดับ ซึ่งในที่สุดก็จะตกลงมาสู่ปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิด เมื่อสรรพสัตว์ได้สดับพระธรรมของพระตถาคตเจ้า แม้ว่าพวกเขาจะได้ยึดถือ อ่าน สวด และปฏิบัติตามที่สั่งสอน แต่ตัวพวกเขาเองมิได้ตระหนักหรือเข้าใจถึงบุญกุศลที่พวกเขาได้รับ ทำไมเป็นดังนี้ เพราะว่ามีแต่พระตถาคตเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจชนิด รูป แก่นแท้ และธรรมชาติของสรรพสัตว์เหล่านี้ พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาหมกมุ่นเรื่องอะไร พวกเขาพิจารณาเรื่องอะไร พวกเขาปฏิบัติเรื่องอะไร พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาหมกมุ่นอย่างไร พวกเขาพิจารณาอย่างไร พวกเขาปฏิบัติอย่างไร พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับธรรมะอะไร พวกเขาพิจารณาธรรมะอะไร พวกเขาปฏิบัติธรรมะอะไร พวกเขาบรรลุธรรมะอะไร ด้วยธรรมะใด”
    “สรรพสัตว์มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ กัน แต่พระตถาคตเจ้าเท่านั้นที่ทรงเห็นสภาพแวดล้อมที่แท้จริง และเข้าใจอย่างชัดเจน โดยไม่มีสิ่งกีดกั้น เหมือนกับพวกต้นหญ้าและต้นไม้ ป่าเล็กและป่าใหญ่ และยาสมุนไพรซึ่งตัวมันเองไม่รู้ว่าตัวเองมีธรรมชาติสูงกว่า ปานกลางหรือต่ำกว่า แต่พระตถาคตเจ้าทรงรู้ว่า นี่คือธรรมแห่งเอกรูปเอกรส นั่นคือรูปแห่งวิโมกข์ รูปแห่งการแยกออก รูปแห่งความดับ รูปของนิพพานที่สุด รูปแห่งความสงบและความดับไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งในที่สุดจะพบจุดหมายปลายทางของมันในความว่าง พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เพราะพระองค์สามารถเห็นความอยากได้ที่อยู่ในใจของสรรพสัตว์ พระองค์จึงทรงนำทางและคุ้มครองพวกเขา และเพราะ
    เหตุผลนี้ พระองค์จึงมิได้ทรงสอนปัญญาครอบคลุมทุกชนิดแก่พวกเขาในทันที”
    “กัสสปะ เธอและคนอื่นๆ ได้ทำสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งได้แล้ว เพราะเธอสามารถเข้าใจการที่พระตถาคตเจ้าทรงสอนธรรมะตามโอกาสที่เหมาะสม อันทำให้เธอมีความศรัทธาและยอมรับมันได้ ทำไมเราจึงกล่าวดังนี้ เพราะความจริงมีว่า การที่พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายทรงสอนพระธรรมตามโอกาสอันเหมาะสมนั้น เป็นเรื่องยากที่
    จะหยั่งรู้และยากที่จะเข้าใจ”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระธรรมราชา ผู้ทำลายภพ
    เมื่อพระองค์ทรงปรากฏขึ้นมาในโลก
    สอดคล้องกับความต้องการของสรรพสัตว์
    ทรงสอนพระธรรมในหลากหลายแนวทาง
    พระตถาคตเจ้าผู้ทรงค่าแก่ความเคารพนับถือ
    มีปัญญาลึกซึ้งและมีผลแผ่ไปไกล
    พระองค์ทรงนิ่งเงียบมานานเกี่ยวกับจุดสำคัญ
    ไม่ได้ทรงรีบร้อนที่จะตรัสถึงเรื่องนี้ในทันที
    ถ้าพวกที่มีความฉลาดได้ฟังเรื่องนี้
    พวกเขาสามารถที่จะเชื่อและเข้าใจได้
    แต่พวกที่ไม่มีปัญญาจะมีความสงสัยและเสียใจ
    และตลอดเวลาจะติดอยู่ในสิ่งที่ผิด
    เพราะเหตุนี้เอง กัสสปะ
    พระองค์จึงทรงปรับการสอนให้เข้ากับกำลังของบุคคล
    ถือเอาประโยชน์ของเหตุต่างๆ
    แล้วทำการช่วยให้บุคคลได้รับความเห็นที่ถูกต้อง
    กัสสปะ เธอควรจะเข้าใจว่า
    มันเหมือนกับมหาเมฆ
    ที่เกิดขึ้นมาในโลก
    และครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก
    เมฆอันเกื้อกูลนี้เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น
    สายฟ้าแลบส่องแสงแวบวาบ
    เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องมาแต่ไกล
    ยังความปีติยินดีให้แก่มหาชน
    แสงดวงอาทิตย์ถูกปิดกั้นและซ่อนเร้น
    ความเย็นสบายครอบคลุมทั่วแผ่นดิน
    ก้อนดำมืดลอยต่ำลงมาและกระจายไป
    จนเราเกือบจะสัมผัสมันได้
    ฝนตกลงมาทุกหนทุกแห่ง
    หลั่งลงมาทั้งสี่ด้าน
    การไหลและการซึมซาบของมันมิอาจวัดได้
    ชุ่มฉ่ำไปถึงทุกบริเวณของพื้นโลก
    ถึงหุบเหว หุบเขา และลำธาร
    ถึงถิ่นที่เปลี่ยวห่างไกลอันที่นั่นงอกขึ้นซึ่ง
    ต้นหญ้า กอไม้ ยาสมุนไพร
    ต้นไม้ใหญ่และต้นไม้เล็ก
    หนึ่งร้อยเมล็ดพืช หน่ออ่อนต้นข้าว
    ต้นอ้อย เถาองุ่น
    พืชทั้งหมดนี้ได้รับความชุ่มชื้นจากฝน
    ทุกต้นได้รับส่วนแบ่งของมันอย่างเต็มที่
    ดินแห้งทุกแห่งได้รับน้ำทั่วไป
    ยาสมุนไพรและต้นไม้เจริญงอกงามเหมือนกัน
    สิ่งที่ตกลงมาจากก้อนเมฆ
    เป็นน้ำที่มีรสเดียว
    แต่ต้นหญ้าและต้นไม้ ป่าเล็กและป่าใหญ่
    ทุกต้นได้รับความชุ่มชื้นที่เหมาะกับส่วนของมัน
    ต้นไม้ต่างๆ ทั้งหมด
    ไม่ว่าสูงกว่า ปานกลาง หรือต่ำกว่า
    รับเอาสิ่งที่เหมาะกับใหญ่หรือเล็ก
    และทุกต้นถูกช่วยให้งอกหน่อและเจริญเติบโต
    ราก ลำต้น กิ่งก้าน ใบ
    ออกดอกและมีผลสีสันสดใส
    ด้วยการหลั่งลงมาแห่งฝนเดียว
    ทั้งหมดจึงดูสดชื่นและเป็นมัน
    ส่วนแบ่งของมันจะมีเท่าใดขึ้นอยู่กับ
    แก่นแท้ รูป และธรรมชาติ ใหญ่หรือเล็ก
    ความชุ่มชื้นที่ได้รับเป็นหนึ่งเดียว
    แต่ว่า แต่ละต้นเจริญเติบโตขึ้นตามวิถีทางของมัน
    พระพุทธเจ้าทรงเป็นเหมือนกันนี้
    เมื่อพระองค์ทรงปรากฏขึ้นมาในโลก
    เปรียบได้กับมหาเมฆ
    ซึ่งปกคลุมสรรพสิ่งในทุกๆ แห่ง
    ด้วยการปรากฏขึ้นมาในโลก
    เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์
    พระพุทธองค์ทรงทำให้เป็นลักษณะต่างๆ ในการแสดง
    ความจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    พระมหามุนี พระผู้มีพระภาคเจ้า
    แก่เทวดาและมนุษย์
    ในท่ามกลางชีวิตทั้งหลาย
    ทรงประกาศพระวจนะเหล่านี้
    เราเป็นพระตถาคตเจ้า
    ที่เคารพสูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
    เราปรากฏขึ้นมาในโลก
    เหมือนกับมหาเมฆ
    ที่โปรยปรายความชุ่มชื้น
    ลงบนสรรพสัตว์อันเหี่ยวแห้งทั้งหลาย
    เพื่อให้ทั้งหมดสามารถรอดพ้นจากความทุกข์
    ได้รับความยินดีจากความสงบและความปลอดภัย
    ความปีติยินดีของโลกนี้
    และความปีติยินดีของนิพพาน
    เธอทั้งหลายเทวดาและมนุษย์แห่งที่ประชุมนี้
    จงฟังให้ดีและด้วยใจเดียว!
    พวกเธอทั้งหลายควรจะมารวมกันที่นี่
    และชมบารมีของพระผู้มีเกียรติยศที่สุด
    เราเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ไม่มีผู้ใดเท่าเทียมกับเราได้
    เพื่อนำความสงบและความปลอดภัยมาให้แก่สรรพสัตว์
    เราได้ปรากฏขึ้นมาแล้วในโลก
    และเพื่อประโยชน์ของที่ประชุมนี้
    เราสอนน้ำอมฤตแห่งพระธรรมบริสุทธิ์
    พระธรรมนี้เป็นธรรมแห่งรสเดียว
    นั่นคือรสแห่งวิโมกข์ นิพพาน
    ด้วยเสียงมหัศจรรย์เสียงเดียว
    เราแสดงและเปิดเผยความหมายของมัน
    ตลอดเวลาเพื่อประโยชน์แก่มหายาน
    เราได้สร้างเหตุและปัจจัย
    เรามองสรรพสิ่งทั้งหลาย
    ว่าเป็นสิ่งเท่าเทียมกันโดยทั่วไป
    เราไม่มีจิตที่จะชอบสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น
    รักสิ่งนี้หรือเกลียดสิ่งอื่น
    เราไม่มีความโลภหรือความยึดมั่นถือมั่น
    และไม่มีการจำกัดหรือการกีดกั้น
    ตลอดเวลา เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    เราสอนพระธรรมอย่างเท่าเทียมกัน
    ขณะที่เราสอนแก่คนๆ เดียว
    ในทางเดียวกันเราสอนแก่คนจำนวนมาก
    เราแสดงและสอนพระธรรมอยู่เสมอ
    ไม่เคยทำสิ่งอื่นใดเลย
    กำลังมาก็ดี กำลังไปก็ดี กำลังนั่งก็ดี กำลังยืนก็ดี
    ไม่เคยเกิดความเหนื่อยหน่ายหรือท้อแท้ในตอนปลายเลย
    เรานำความเต็มและความพอใจมาให้แก่โลก
    เหมือนกับฝนที่กระจายความชุ่มชื้นไปทั่วทุกแห่ง
    สูงและต่ำ เด่นและด้อย
    คนรักษาศีล คนฝ่าฝืนศีล
    พวกที่ประพฤติตัวถูกต้องสมบูรณ์
    พวกที่ประพฤติตัวไม่ถูกต้อง
    พวกที่มีความเห็นถูก พวกที่มีความเห็นผิด
    พวกที่มีความสามารถคม พวกที่มีความสามารถทื่อ
    เราทำให้ฝนแห่งธรรมหลั่งลงมาสู่ทุกคนเท่าเทียมกัน
    ไม่เคยหย่อนยานหรือทอดทิ้งเลย
    เมื่อสรรพสัตว์ต่างๆ ทั้งหลาย
    ได้สดับพระธรรมของเรา
    พวกเขารับมันไว้ตามกำลังของตน
    และตามสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันของตน
    บางคนอาศัยอยู่ในภูมิแห่งมนุษย์และเทวดา
    ภูมิแห่งพระเจ้าจักรพรรดิราช
    ท้าวศักระ พระพรหม และพระราชาอื่นๆ
    คนเหล่านี้เป็นดังยาสมุนไพรชนาดเล็ก
    บางคนเข้าใจพระธรรมแห่งความไม่มีอาสวะ
    สามารถบรรลุนิพพาน
    ได้อภิญญา ๖
    และได้วิชชา ๓ เป็นพิเศษ
    หรืออาศัยอยู่คนเดียวในป่าภูเขา
    ปฏิบัติฌานอยู่อย่างสม่ำเสมอ
    และเข้าถึงการตรัสรู้ของพระปัจเจกพุทธะ
    คนเหล่านี้เป็นพืชสมุนไพรขนาดกลาง
    ยังมีพวกที่แสวงหาตำแหน่งของพระผู้มีพระภาค
    มีความมั่นใจว่า เขาสามารถ ที่จะเป็นพระพุทธะได้
    ลงมือบำเพ็ญเพียรและการปฏิบัติฌาน
    คนเหล่านี้เป็นพืชสมุนไพรขนาดใหญ่
    อนึ่ง มีบรรดาบุตรของพระพุทธะ
    ผู้ที่ทุ่มเทจิตใจให้แก่พุทธมรรคเพียงอย่างเดียว
    ปฏิบัติความเมตตากรุณาอยู่เสมอ
    รู้ว่าพวกเขาจะได้บรรลุพุทธภาวะ
    ด้วยความมั่นใจและไม่มีความสงสัย
    คนเหล่านี้เราเรียกว่า ต้นไม้เล็ก
    พวกที่ดำรงอยู่อย่างสงบในอภิญญาของตน
    ทำการหมุนล้อแห่งการไม่ถอยกลับ
    ช่วยสรรพสัตว์มากมายหลายล้าน
    หลายร้อยและหลายพันนับไม่ถ้วน
    เหล่าพระโพธิสัตว์เช่นนี้
    เราเรียกว่า ต้นไม้ใหญ่
    ความเสมอภาคแห่งการสอนของพระพุทธเจ้า
    เป็นเหมือนกับน้ำฝนแห่งรสเดียว
    แต่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสรรพสัตว์
    วิธีการรับน้ำของมันจึงแตกต่างกัน
    ดุจดังต้นพืชและต้นไม้ต่างๆ
    ที่แต่ละต้นรับความชุ่มชื้นในลักษณะต่างกัน
    พระพุทธองค์ทรงใช้การเปรียบเทียบนี้
    เป็นกุศโลบายในการเปิดเผยให้เห็นเรื่องราว
    โดยการใช้ถ้อยคำและวลีชนิดต่างๆ
    และการแสดงพระธรรมหนึ่งเดียว
    แต่โดยนัยแห่งพุทธปัญญาแล้ว
    สิ่งนี้ไม่มากไปกว่าน้ำหยดเดียวของมหาสมุทร
    เราหลั่งฝนแห่งธรรมลงมา
    เนืองนองไปทั่วทั้งโลก
    และธรรมรสหนึ่งเดียวนี้
    แต่ละคนต่างปฏิบัติกันตามกำลังของตน
    มันเหมือนกับพวกป่าเล็กและป่าใหญ่
    ยาสมุนไพรและต้นไม้
    ซึ่งตามขนาดไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก
    ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นหนาแน่นและดูสวยงาม
    พระธรรมของพระพุทธะทั้งหลาย
    เป็นธรรมแห่งรสหนึ่งเดียวเสมอ
    ทำให้โลกมากมาย
    ได้รับความพอใจเต็มที่ในทุกแห่ง
    โดยการปฏิบัติที่ละน้อยและทีละขั้น
    สัตว์ทั้งหลายสามารถได้รับผลแห่งมรรค
    พระสาวกและพระปัจเจกพุทธทั้งหลาย
    อาศัยอยู่ในป่าบนภูเขา
    มีภพนี้เป็นภพสุดท้ายของเขา
    การได้สดับพระธรรมและการได้รับผลของมัน
    เราอาจเรียกพวกเขาว่า ยาสมุนไพร
    ซึ่งแต่ละต้นเจริญและเติบโตขึ้นตามแนวทางของมันเอง
    ถ้ามีบรรดาพระโพธิสัตว์
    ผู้ซึ่งซื่อสัตย์และมั่นคงในปัญญา
    เข้าใจสามโลกอย่างดี
    และแสวงหายานอันสูงสุด
    คนเหล่านี้เราเรียกว่า ต้นไม้ขนาดเล็ก
    ที่มีความเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
    อนึ่ง มีพวกที่อาศัยอยู่ในฌาน
    ได้รับความเข้มแข็งแห่งอภิญญาแล้ว
    ได้ฟังความว่างแห่งปรากฏการณ์ทั้งหลายแล้ว
    บังเกิดความปีติยินดีอันใหญ่หลวงขึ้นในใจ
    แล้วเปล่งรัศมี นับไม่ถ้วน
    เพื่อการช่วยสรรพสัตว์
    คนเหล่านี้เราเรียกว่า ต้นไม้ขนาดใหญ่
    อันเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
    ในแนวทางนี้ กัสสปะ
    พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้น
    เปรียบได้กับเมฆใหญ่
    ซึ่งด้วยฝนรสเดียว
    ให้ความชุ่มชื้นแก่ดอกไม้มนุษย์
    เพื่อว่าทุกดอกสามารถที่จะออกผล
    กัสสปะ เธอควรจะเข้าใจว่า
    ด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆ
    การอุปมาและการเปรียบเทียบนานาชนิด
    เราเปิดเผยและแสดงให้เห็นพุทธมรรค
    นี่คือกุศโลบายที่เราใช้
    และพระพุทธะอื่นทั้งหลายก็ทรงกระทำเช่นเดียวกันนี้
    ในเวลานี้ เพื่อเธอและคนอื่นๆ
    เราได้สอนความจริงที่สุด
    ไม่มีผู้ใดในหมู่พระสาวก
    ได้เข้าถึงขั้นแห่งความดับเลย
    สิ่งที่เธอกำลังปฏิบัติอยู่
    คือโพธิสัตว์มรรค
    และขณะที่เธอค่อยๆ ก้าวหน้าไปในการปฏิบัติและการศึกษา
    เธอทั้งหมดจะได้บรรลุพุทธภาวะแน่นอน
     
  6. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๖
    บทการประทานคำพยากรณ์

    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระองค์ได้สาธยายคาถาเหล่านี้จบลงแล้ว พระองค์ทรงประกาศพระวจนะเหล่านี้แก่ที่ประชุมว่า “มหากัสสปะ สาวกของเราคนนี้ ในชาติอนาคตเขาจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า สามพันพันล้านพระองค์ ได้ถวายทาน ถวายความเคารพ ถวายพระเกียรติและสรรเสริญพระองค์ ทำการประกาศคำสอนอันยิ่งใหญ่มากมายของพระพุทธะทั้งหลายอย่างกว้างขวาง และในชาติสุดท้ายเขาจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า รัศมีประภาสตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาใครเสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พุทธเกษตรของพระองค์มี ชื่อว่า มหาวยูหะ และกัปมีชื่อว่า มหาวยูหะกัป พระพุทธพระองค์นี้ทรงมีพระชนมายุยาว ๑๒ จุลกัป สมัยสุทธิธรรมของพระองค์ดำรงอยู่ในโลกนาน ๒๐ จุลกัป และสมัยรูปธรรมจะดำรงต่อไปอีก ๒๐ จุลกัป”
    “พุทธเกษตรของพระองค์ได้รับการประดับประดาอย่างเลอเลิศ ไม่มีมลทินหรือความชั่วร้าย ไม่มีเศษกระเบื้องหรือเศษหินเศษปูน ไม่มีหนามหรือต้นไม้มีหนาม ไม่มีสิ่งปฏิกูลหรือสิ่งโสโครกทั้งหลาย แผ่นดินราบเรียบ ไม่มีที่สูงที่ต่ำ ไม่มีหลุมบ่อ พื้นจะเป็น แก้วไพฑูรย์ มีต้นไม้อัญมณีขึ้นเรียงรายข้างถนน และมีเชือกทองกั้นบอกขอบเขตถนน
    ดอกไม้มณีโปรยปรายกระจายไปทั่ว ทั่วทุกแห่งจะดูบริสุทธิ์และสะอาด พระโพธิสัตว์แห่งพุทธเกษตรนั้นจะมีจำนวนมากมายหลายพันล้านนับไม่ถ้วน และหมู่พระสาวกก็จะมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเช่นกัน จะไม่มีการทำงานของมาร แม้จะมีพวกมารที่นั่น แต่พวกเขาจะคุ้มครองพระธรรมของพระพุทธเจ้า”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    เราขอประกาศเรื่องนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อเราได้ใช้พุทธจักษุ
    สังเกตุดูกัสสปะในที่นี่
    เราเห็นว่าในชาติอนาคต
    หลังจากจำนวนกัปผ่านไปนับไม่ถ้วน
    เขาสามารถที่จะได้บรรลุพุทธภาวะ
    ในชาติอนาคต
    เขาจะได้ถวายทานและได้เข้าเฝ้า
    พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า
    สามพันพันล้านพระองค์
    เพื่อประโยชน์แก่พุทธปัญญา
    เขาจะปฏิบัติพรหมจรรย์อย่างเอาใจใส่
    และจะถวายทานแด่พระผู้เลิศล้ำ
    ที่เคารพสูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
    หลังจากได้กระทำดังนั้น และได้ปฏิบัติ
    ปัญญาอันสูงสุดทุกประเภทแล้ว
    ในชาติสุดท้ายของเขา
    เขาจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง
    พุทธเกษตรของพระองค์บริสุทธิ์และสะอาด
    พื้นเป็นแก้วไพฑูรย์
    ต้นไม้อัญมณีมากมาย
    ขึ้นเรียงรายอยู่ข้างถนน
    มีเชือกทองกั้นบอกขอบเขตถนน
    ยังความชื่นชมยินดีแก่ผู้ได้พบเห็น
    จะมีกลิ่นอันชื่นใจระเหยออกมาอยู่เสมอ
    กองดอกไม้หายากโปรยปรายกระจายไปทั่ว
    สิ่งประหลาดมหัศจรรย์มากมายหลายชนิด
    เป็นเครื่องประดับของแดนนั้น
    แผ่นดินราบและเรียบ
    ไม่มีเนินสูงและแอ่งต่ำ
    หมู่พระโพธิสัตว์
    มากมายเหลือคณานับได้
    ล้วนมีจิตใจสงบและสุขภาพ
    บรรลุอภิญญาแล้ว
    และพวกเขา จะรับและยึดถือ
    พระสูตรมหายานของพระพุทธะทั้งหลาย
    หมู่พระสาวกทั้งหลาย
    ล้วนปราศจากอาสวะ อยู่ในชาติสุดท้ายของตน
    บุตรของพระธรรมราชาเหล่านี้
    จำนวนมากมายเหลือคณานับเหมือนกัน
    แม้ใครได้มองด้วยทิพยจักษุ
    ก็ไม่สามารถที่จะกำหนดจำนวนได้
    พระพุทธะองค์นี้มีพระชนมายุ ๑๒ จุลกัป
    สมัยสุทธิธรรมของพระองค์จะดำรงอยู่ในโลก
    เป็นเวลา ๒๐ จุลกัป
    และสมัยรูปธรรมของพระองค์
    เป็นเวลา ๒๐ จุลกัป
    คำบรรยายนี้เป็นเรื่องของ
    พระรัศมีประภาส พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ครั้งนั้น พระมหาโมคคัลลานะ พระสุภูติ และพระมหากัจจายนะ ทุกคนต่างตื่นเต้นด้วยความดีใจ ประนมมือด้วยใจเดียว เพ่งมองที่พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยไม่เคลื่อนสายตาแม้ชั่วขณะหนึ่งเลย พวกเขาได้ประสานเสียงเป็นเสียงเดียวกัน กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระมหาวีรบุรุษ พระผู้มีพระภาคเจ้า
    พระธรรมราชาแห่งศากยะ
    เพราะพระองค์ทรงมีความสงสารพวกเรา
    จึงสงเคราะห์พวกเราด้วยเสียงของพระพุทธะ!
    เนื่องจากพระองค์ทรงเข้าใจจิตข้างในสุดของพวกเรา
    ถ้าพระองค์ทรงประทานคำพยากรณ์พุทธภาวะแก่พวกเรา
    มันจะเป็นดุจดังว่าพวกเราได้อาบด้วยน้ำอมฤต
    ชำระล้างความไข้และให้ความเย็นสบาย
    สมมุติว่ามีใครคนหนึ่งมาจากดินแดนอันอดอยาก
    ในทันใดได้มาพบกับงานเลี้ยงของพระมหาราชา
    หัวใจของเขายังเต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว
    เขาย่อมที่จะไม่กล้ากินอาหารในทันที
    แต่เมื่อใดเขาได้รับคำแนะนำจากพระราชาให้กินได้แล้ว
    เมื่อนั้นเขาจึงกล้าที่จะรับประทาน
    ในเวลานี้พวกเราก็เหมือนกับชายคนนั้น
    เพราะเมื่อใดพวกเราระลึกถึงความบกพร่องของหินยาน
    พวกเราไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
    จึงจะได้รับพุทธปัญญาอันสูงสุด
    ถึงแม้ว่าพวกเราจะได้ฟังเสียงของพระพุทธองค์
    ทรงบอกว่าพวกเราจะได้บรรลุพุทธภาวะก็ตาม
    แต่หัวใจของพวกเราก็ยังมีความกังวลและความกลัว
    เหมือนกับชายคนนั้นที่ไม่กล้ารับประทาน
    แต่เวลานี้ ถ้าพระพุทธองค์
    จะทรงประทานคำพยากรณ์แก่พวกเราแล้ว
    ความยินดีและความสงบย่อมจะเป็นของพวกเราโดยเร็ว
    พระมหาวีรบุรุษ พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ความปรารถนาตลอดเวลาของพระองค์
    คือการยังโลกให้สงบ
    ขอได้โปรดประทานคำพยากรณ์เช่นนั้นแก่พวกเรา
    เช่นเดียวกับที่พระองค์จะพึงแนะนำ
    คนหิวให้รับประทานอาหารด้วยเถิด
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าใจความคิดในใจของพระอัครสาวกของพระองค์จึงได้ทรงประกาศความนี้แก่ภิกษุทั้งหลายว่า “สุภูตินี้ ในชาติอนาคตจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธะจำนวนสามร้อยพันหมื่นล้านนยุตะพระองค์ ได้ถวายทาน ถวายความเคารพ ถวายพระเกียรติและสรรเสริญพระองค์ เขาจะปฏิบัติพรหมจรรย์อย่างสม่ำเสมอและทำโพธิสัตว์มรรคให้สำเร็จ และในชาติสุดท้ายเขาจะได้บรรลุพุทธภาวะ มีพระนามว่า นามรูปตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้ใดเสมอมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า กัปของพระองค์มีชื่อว่า รัตนาวภาส และพุทธเกษตรของพระองค์ชื่อว่า รัตนสัมภวะ แผ่นดินราบและเรียบ พื้นดินเป็นแก้วผลึก ประดับด้วยต้นไม้อัญมณี ปราศจากเนินสูงและหลุมบ่อ เศษหิน ต้นหนาม และสิ่งสกปรกจากสิ่งปฏิกูล ดอกไม้มณีปกคลุมพื้น และทุกแห่งบริสุทธิ์และสะอาด ประชาชนในพุทธเกษตรนี้ทั้งหมดจะอาศัยอยู่บนระเบียงอัญมณี ในหอและพลับพลาอันหาได้ยากและมหัศจรรย์ ศิษย์พระสาวกของพระองค์มากมายนับไม่ถ้วน
    ไม่มีขอบเขตจำกัด เหนือการคิดคำนวณ หรือการอุปมาใดๆ พระโพธิสัตว์จำนวนหลายพันหมื่นล้านนยุตะนับไม่ถ้วน พระพุทธะองค์นี้มีพระชนมายุ ๑๒ จุลกัป สมัยสุทธิธรรมของพระองค์ดำรงอยู่ในโลกนาน ๒๐ จุลกัป พระพุทธะองค์นี้จะประทับอยู่กลางอากาศตลอดเวลา แสดงธรรมเทศนาแก่ที่ประชุม และช่วยหมู่พระโพธิสัตว์และพระสาวกมากมายนับไม่ถ้วน”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พวกเธอภิกษุทั้งหลาย
    บัดนี้เราจะขอประกาศเรื่องนี้แก่พวกเธอ
    พวกเธอทั้งหลายด้วยใจเดียว
    ควรจะฟังสิ่งที่เรากล่าว
    อัครสาวกของเรา
    สุภูติ
    ถูกกำหนดให้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง
    อันมีพระนามว่า นามรูป
    เขาจะได้ถวายทานแด่พระพุทธะมากมาย
    หลายหมื่นและหลายล้านพระองค์
    โดยปฏิบัติตามการปฏิบัติของพระพุทธะทั้งหลาย
    เขาจะค่อยๆ ทำมหามรรคให้สำเร็จ
    และในชาติสุดท้าย
    เขาจะได้มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
    เขาจะมีลักษณะอันน่าประทับใจ ไม่ธรรมดา มหัศจรรย์
    ประดุจดังภูเขาอัญมณีทีเดียว
    พุทธเกษตรของพระองค์
    จะยอดเยี่ยมด้วยเครื่องประดับและความบริสุทธิ์
    ไม่มีสรรพสัตว์ใดเมื่อได้เห็น
    จะไม่หลงรักและพอใจ
    ในท่ามกลางที่นั่น พระพุทธะพระองค์นั้น
    จะช่วยหมู่ชนมากมายเหลือคณานับ
    ในพระธรรมของพระพุทธะพระองค์นั้น
    จะมีพระโพธิสัตว์มากมาย
    พวกเขาทุกคนด้วยความสามารถอันปราดเปรื่อง
    ได้ทำการหมุนจักรแห่งการไม่ถอยกลับ
    ดินแดนนั้นจะถูกประดับ
    ด้วยพระโพธิสัตว์อยู่เป็นนิจ
    หมู่พระสาวก
    จะมีมากมายเหนือการคำนวณได้
    ทุกคนได้วิชชา ๓
    และรู้การใช้อภิญญา ๖
    พวกเขาจะดำรงอยู่ในวิโมกข์ ๘
    และทรงไว้ซึ่งพลังและความดีอันยิ่งใหญ่
    พระธรรมที่สอนโดยพระพุทธะพระองค์นั้น
    จะแสดงให้เห็นผลอันไม่อาจวัดได้
    ซึ่งอภิญญาและการเปลี่ยนรูป
    แห่งธรรมชาติน่าพิศวง
    เทวดาและมนุษย์
    จำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ทั้งหมดจะประนมมือ
    คอยสดับและรับพระพุทธโอวาท
    พระพุทธะพระองค์นั้นจะมีพระชนมายุ
    นาน ๑๒ จุลกัป
    สมัยสุทธิธรรมของพระองค์
    จะอยู่ในโลกนาน ๒๐ จุลกัป
    และสมัยรูปธรรมของพระองค์
    จะดำรงอยู่อีกนาน ๒๐ จุลกัป
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งว่า “บัดนี้เราขอบอกเรื่องนี้แก่พวกเธอ มหากัจจายนะนี้ ในชาติอนาคต เขาจะได้ถวายสิ่งต่างๆ เป็นเครื่องสักการบูชา และจะรับใช้พระพุทธะแปดพันล้านพระองค์ ถวายความเคารพนับถือแด่พระองค์ หลังจากพระพุทธะเหล่านั้นได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว เขาจะสร้างหออนุสรณ์
    สถูปสูง ๑,๐๐๐ โยชน์ กว้างยาวด้านละ ๕๐๐ โยชน์ ถวายแด่พระพุทธะทุกพระองค์ หอทุกหอทำด้วยส่วนผสมรวมกันของรัตนะมีค่า ๗ อย่าง อันมีทอง เงิน ไพฑูรย์ หอยสังข์ หินโมรา ไข่มุก และโกเมน ของถวายต่างๆ อันมีดอกไม้ สายสร้อย ขี้ผึ้งหอม แป้งหอม กำยาน ฉัตรผ้าไหม ธง และป้ายจำนวนมาก จะถูกถวายเป็นเครื่องสักการะแด่หอสถูปเหล่านั้น และหลังจากได้กระทำอย่างนี้แล้ว เขาจะได้ทำการสักการะบูชาแด่พระพุทธะยี่สิบพันล้านพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการกระทำตามกระบวนการเดิมซ้ำอีก”
    “เมื่อเขาได้ถวายทานแด่พระพุทธะทั้งหลายเสร็จแล้ว เขาจะได้ทำโพธิสัตว์มรรคให้สำเร็จ แล้วเขาจะได้เป็นพระพุทธะ มีพระนามว่า ชมพูนทประภาสตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า”
    “ดินแดนของพระองค์จะราบและเรียบ พื้นเป็นแก้วผลึกประดับด้วยต้นไม้อัญมณี และมีเชือกทองบอกขอบเขตถนน ดอกไม้มหัศจรรย์ปกคลุมพื้นไปทั่ว ทุกแห่งจึงดูบริสุทธิ์และสะอาด และทุกคนที่ได้เห็นย่อมจะชื่นชมยินดี อบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต เดรัจฉานและอสูรจะไม่มีอยู่ที่นั่น จะมีแต่เทวดาและมนุษย์จำนวนมาก และหมู่พระสาวกมากมายหลายหมื่นล้านประดับดินแดนนั้น พระพุทธะพระองค์นั้นจะมีพระชนมายุ ๑๒ จุลกัป สมัยสุทธิธรรมของพระองค์จะดำรงอยู่ในโลก ๒๐ จุลกัป และสมัยรูปธรรมดำรงอยู่ต่ออีก ๒๐ จุลกัป”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พวกเธอภิกษุทั้งหลาย
    จงฟังด้วยใจเดียว
    เพราะสิ่งที่เราจะกล่าวต่อไปนี้
    ไม่มีสิ่งใดที่ห่างไกลไปจากความจริง
    กัจจายนะนี้
    จะถวายสิ่งของอันเลิศและมหัศจรรย์มากมายหลายชนิด
    เป็นเครื่องสักการะแด่พระพุทธะทั้งหลาย
    และหลังจากพระพุทธะเหล่านั้นเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    เขาจะสร้างหอรัตนะ ๗ หอ
    และถวายดอกไม้และเครื่องหอม
    เป็นเครื่องสักการะแด่พระสารีริกธาตุของพระองค์
    และในชาติสุดท้าย
    เขาจะได้รับพุทธปัญญา
    และสำเร็จการตรัสรู้ที่สมบูรณ์และถูกต้อง
    ดินแดนของเขาสะอาดและบริสุทธิ์
    เขาจะได้ช่วยสรรพสัตว์
    หลายหมื่นล้านนับไม่ถ้วน
    และจะรับเครื่องสักการะ
    จากทิศทั้งสิบ
    ความสว่างของพระพุทธะพระองค์นี้
    ไม่มีความสว่างใดสามารถที่จะเท่าเทียมได้
    พระพุทธะนี้มีพระนามว่า
    ชมพูนทประภาส
    พระโพธิสัตว์และพระสาวก
    ผู้ตัดขาดจากทุกรูปแห่งภพแล้ว
    จำนวนนับไม่ถ้วนและไม่อาจวัดได้
    จะเป็นเครื่องประดับดินแดนของพระองค์
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค เจ้าได้ตรัสแก่ที่ประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งว่า “ในเวลานี้เราขอบอกเรื่องนี้แก่พวกเธอ มหาโมคคัลลานะนี้ เขาจะได้ถวายสิ่งของชนิดต่างๆ เป็นเครื่องสักการะแด่พระพุทธะ ๘,๐๐๐ พระองค์ ถวายพระเกียรติและถวายความเคารพแด่พระองค์ และหลังจากพระพุทธะเหล่านี้ได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว เขาจะสร้างหอสถูปสูง
    ๑,๐๐๐ โยชน์ กว้างยาวด้านละ ๕๐๐ โยชน์ ถวายแต่พระพุทธะเหล่านี้ทุกพระองค์ หอเหล่านี้ทำด้วยส่วนผสมของรัตนะมีค่าทั้งเจ็ด อันมีทอง เงิน ไพฑูรย์ หอยสังข์ หินโมรา ไข่มุก และโกเมน และแล้วจะสักการะด้วยดอกไม้ สายสร้อย ขี้ผึ้งหอม แป้งหอม กำยาน ฉัตรผ้าไหม ธง และป้ายจำนวนมาก หลังจากที่ได้ทำดังนี้แล้ว เขายังจะได้ทำการบูชา
    แด่พระพุทธะอีกสองร้อยหมื่นล้านด้วยกระบวนการอย่างเดียวกัน”
    “ครั้นแล้วเขาสามารถที่จะบรรลุเป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า ตมาลพัตรจันทนคันธตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้เจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระกาคเจ้า กัปของพระองค์มีชื่อว่า รติปูรณะ และพุทธเกษตรมีชื่อว่า มโนภิราม แผ่นดินราบและเรียบ พื้นทำด้วยแก้วผลึก ประดับด้วยต้นไม้อัญมณี ไข่มุก และดอกไม้หว่านกระจายไปทั่ว ทุกแห่งดูสะอาดและบริสุทธิ์ และทุกคนที่ได้เห็นจะชื่นชมยินดี เทวดาและมนุษย์ พระโพธิสัตว์และพระสาวกมีจำนวนมากมายเหลือคณานับได้ พระพุทธะพระองค์นั้นมีพระชนมายุ ๒๔
    จุลกัป สมัยสุทธิธรรมของพระองค์จะดำรงอยู่ในโลก ๔๐ จุลกัป และสมัยรูปธรรมดำรงอยู่ต่ออีก ๔๐ จุลกัป”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้รับเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    สาวกของเราคนนี้
    มหาโมคคัลลานะ
    เมื่อเขาได้ทิ้งกายปัจจุบันนี้แล้ว
    เขาจะได้พบพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า
    จำนวนแปดพันกับอีก
    สองร้อยหมื่นล้านพระองค์
    และเพื่อพุทธมรรค
    เขาจะได้ถวายทาน ถวายพระเกียรติและ
    ความเคารพแด่พระพุทธะทั้งหลาย
    ที่ใดที่พระพุทธะเหล่านี้ประทับอยู่
    เขาจะปฏิบัติพรหมจรรย์อย่างสม่ำเสมอ
    และตลอดเวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน
    เขาจะรับและยึดถือพระธรรม
    เมื่อพระพุทธะเหล่านี้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    เขาจะสร้างหอสัปตรัตนะ
    ปักฉัตรทองให้เห็นตลอดกาล
    และถวายดอกไม้ เครื่องหอม และดนตรี
    เป็นเครื่องสักการบูชา
    แด่หอสถูปอนุสรณ์ของพระพุทธะทั้งหลาย
    เขาจะสำเร็จตามลำดับขั้น
    ซึ่งหน้าที่ทั้งหลาย แห่งโพธิสัตว์มรรค
    และพุทธเกษตรชื่อ มโนภิราม
    เขาจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง
    พระนามว่า ตาลปัตรจันทนคันธะ
    พระชนมายุของพระองค์
    จะยืนยาว ๒๔ จุลกัป
    ตลอดเวลาเพื่อประโยชน์ของเทวดาและมนุษย์
    พระองค์จะทรงแสดงพุทธมรรค
    พระสาวกมากมาย
    เหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    มีวิชชา ๓ และอภิญญา ๖
    จะแสดงให้เห็นความมีอำนาจและความดีอันยิ่งใหญ่
    พระโพธิสัตว์นับไม่ถ้วน
    จะมีความตั้งใจมั่น ขยันหมั่นเพียร
    และในเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธปัญญา
    ไม่มีผู้ใดเคยถอยหลังกลับเลย
    หลังจากพระพุทธะองค์นี้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    สมัยสุทธิธรรมของพระองค์
    จะดำรงอยู่นาน ๔๐ จุลกัป
    และสมัยรูปธรรมจะดำรงอยู่อีกนานเท่ากัน
    ศิษย์สาวกมากมายของเรา
    ล้วนมีศักดิ์ศรีและความดีสมบูรณ์
    จำนวน ๕๐๐ รูปนี้
    ทุกคนจะได้รับค่าพยากรณ์เช่นนี้ด้วย
    ในชาติอนาคต
    จะได้บรรลุพุทธะภาวะกันทุกคน
    เกี่ยวกับเหตุและปัจจัยแห่งอดีตชาติ
    ที่เกี่ยวข้องกับเราและพวกเธอ
    เราจะสอนในบัดนี้
     
  7. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๗
    บทการเปรียบเทียบเรื่องปราสาทเนรมิต

    พระพุทธเจ้าได้ประกาศแก่พระภิกษุทั้งหลายดังนี้ “ครั้งหนึ่งในอดีตกาล จำนวนอสงไขยกัปมากมายไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่อาจคาดคิดได้นานมาแล้ว ครั้งนั้น มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พุทธเกษตรของพระองค์มีชื่อว่า สัมภาวะ และกัปของพระองค์มี ชื่อว่า มหารูป”
    “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้เสด็จเข้าสู่ความดับ เวลาได้ผ่านไปเป็นเวลานาน นานมากเหลือเกินแล้ว ขอยกตัวอย่าง สมมติว่ามีใครคนหนี่งได้เอาผงดินทั้งหมดในตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ นำมาบดให้เป็นผงหมึกแล้วนำเอาผงหมึกทั้งหมดพาไปทางทิศตะวันออก ผ่าน ๑,๐๐๐ ประเทศ เขาทิ้งผงหมึกขนาดไม่โตกว่าเม็ดธุลีลงไว้เม็ดหนึ่ง และเมื่อเขาเดินทางผ่านไปอีก ๑,๐๐๐ ประเทศ เขาได้ทิ้งผงหมึกลงอีกเม็ดหนึ่ง สมมุติว่าเขาได้ปฏิบัติต่อไปในทำนองนี้ จนกระทั่งผงหมึกที่ทำจากดินของโลกธาตุดังกล่าวหมดไป เธอจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับประเทศเหล่านั้น เธอคิดว่า ครูคำนวณหรือศิษย์ของครูคำนวณ สามารถที่จะบอกจำนวนของประเทศที่เขาได้ผ่าน
    ไปในกระบวนการนี้ได้หรือไม่”
    “เรื่องนั้นมิอาจเป็นไปได้ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า”
    “เอาละ ภิกษุทั้งหลาย สมมุติว่ามีใครคนหนึ่งจะพึงเอาดินของประเทศทั้งหมดที่ชายคนนี้ได้เดินผ่านไปทั้งหมดที่เขาได้ทิ้งและไม่ได้ทิ้งผงหมึก เอามาบดให้เป็นธุลี และสมมุติว่าธุลีเม็ดหนึ่งแทนเวลาหนึ่งกัป จำนวนกัปที่ผ่านไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเข้าสู่ความดับ ยังจะมีมากกว่าจำนวนเม็ดธุลีเหล่านั้นมากมายไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด หลายร้อยพันหมื่นล้านอสงไขยกัป แต่เพราะว่าเราใช้พลังของพระตถาคตในการรู้และการเห็น เราจึงมองดูเวลาอันนานไกลนั้นแหมือนกับเป็นวันนี้”
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    เมื่อเราระลึกถึงครั้งหนึ่งในอดีต
    จำนวนกัปนับไม่ถ้วน ไม่มีขอบเขตจำกัด นานมาแล้ว
    มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ที่เคารพสูงสุดของเทวดาและมนุษย์
    ทรงพระนามว่า มหาภิชญาชญาณาภิภู
    ถ้ามีใครคนหนึ่งใช้กำลังของตน
    ทำพื้นดินแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุให้แตก
    บดมันให้เป็นธุลีดินให้หมด
    และทำดินทั้งหมดให้เป็นผงหมึก
    แล้วถ้าเมื่อเดินทางผ่าน ๑,๐๐๐ ประเทศ
    เขาได้ทิ้งผงหมึกลงไว้เม็ดหนึ่ง
    และถ้าเขาได้กระทำต่อไปในลักษณะนี้
    จนกระทั่งเขาทิ้งผงหมึกได้ทั้งหมด
    แล้วถ้าผู้นั้นนำเอาดินของประเทศที่เขาเดินผ่าน
    ทั้งที่เขาได้ทิ้งและที่ไม่ได้ทิ้งผงหมึก
    และบดดินของประเทศเหล่านั้นลงเป็นธุลีอีกครั้งหนึ่ง
    แล้วถือเอาธุลีเม็ดหนึ่งแทนเวลากัปหนึ่ง
    จำนวนเม็ดธุลีเหล่านั้นยังมีน้อยกว่า
    จำนวนกัปในอดีตเมื่อพระพุทธะพระองค์นั้นมีพระชนม์ชีพอยู่
    ตั้งแต่พระพุทธะพระองค์นั้นเสด็จเข้าสู่ความดับ
    จำนวนกัปนับไม่ถ้วนได้ผ่านไปแล้ว
    พระตถาคตเจ้า ด้วยปัญญาอันไร้สิ่งกีดกั้น
    ทรงรู้เวลาเมื่อพระพุทธะพระองค์นั้นเข้าสู่ความดับ
    รู้จักพระสาวกและพระโพธิสัตว์ของพระองค์
    ราวกับว่าดูความดับนั้นอยู่ในเวลานี้
    พวกเธอภิกษุทั้งหลายควรจะเข้าใจว่า
    พุทธปัญญานั้นบริสุทธิ์ ละเอียดอ่อน มหัศจรรย์
    ปราศจากอาสวะ ปราศจากอุปสรรค
    เข้าถึงและมองผ่านตลอดกัปนับไม่ถ้วนทีเดียว
    พระพุทธเจ้าได้ประกาศแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า “พระมหาภิชญาชญาณาภิภูพุทธะ มีพระชนมายุยาว ห้าร้อยสี่สิบหมื่นล้านนยุตะกัป ตั้งแต่พระพุทธะพระองค์นี้ประทับนั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียร ทำลายกองทัพมารแล้ว และได้อยู่ที่จุดแห่งการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แต่คำสอนของพระพุทธะทั้งหลายยังมิได้ปรากฎแก่พระองค์ สภาพนี้มีอยู่ต่อมาอีกหนึ่งจุลกัป และต่อมาอีก ๑๐ จุลกัป พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ อันกายและใจไม่เคลื่อนไหว แต่คำสอนของพระพุทธะทั้งหลายก็ยังมิได้ปรากฎแก่พระองค์”
    “ครั้งนั้น ปวงเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้จัดตั้งสีหบัลลังก์สูงหนึ่งโยชน์ภายใต้ต้นโพธิ์ถวายแด่พระพุทธเจ้า ด้วยความตั้งใจว่า พระพุทธองค์จะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิขณะที่พระองค์ประทับนั่งบนบัลลังก์นี้ ในทันทีที่พระพุทธองค์ประทับนั่งเหนือบัลลังก์นี้ พระพรหมราชได้บันดาลให้ดอกไม้สวรรค์โปรยลงมาปกคลุมพื้นดินในอาณา
    บริเวณ ๑๐๐ โยชน์ ลมอันมีกลิ่นหอมพัดมาเป็นระยะๆ พัดพาดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งออกไปและดอกไม้ใหม่จะโปรยลงมาแทนที่ เหตุการณ์นี่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีขาดตอนเป็นเวลา ๑๐ จุกัป เพื่อเป็นเครื่องสักการะบูชาแด่พระพุทธเจ้า ดอกไม้สวรรค์เช่นนั้น โปรยปรายลงมาตลอดเวลา จนกระทั่งพระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่ความดับ เท้าจตุเทวราช
    ตีกลองสวรรค์ตลอดเวลา ขณะที่เทวดาอื่นๆ บรรเลงเครื่องดนตรีสวรรค์ เป็นเครื่องสักการะบูชาแด่พระพุทธเจ้าตลอดเวลา ๑๐ จุลกัป นั่นคือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจนกระทั่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าสู่ความดับ”
    “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พระมหาภิชญาชญาณาภิภูพุทธะ เมื่อเวลาผ่านไป ๑๐ จุลกัป ในที่สุดคำสอนของพระพุทธะทั้งหลายก็ได้ปรากฎขึ้นแก่พระองค์ และพระองค์สามารถบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ก่อนที่พระพุทธะพระองค์นี้จะเสด็จออกทรงผนวชพระองค์ทรงมีราชโอรส ๑๖ องค์ ราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า ญาณากร ราชโอรส
    เหล่านี้แต่ละองค์มีรัตนะมีค่าหายากนานาชนิด และของเล่นชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระราชบิดาได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว พวกเขาต่างได้ละทิ้งสิ่งของที่หายากเสียทั้งหมด และได้ไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้า โดยมีพระราชมารดาที่กำลังกรรแสงติดตามไปด้วย”
    “ฝ่ายพระอัยกาของพวกเขา ซึ่งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ติดตามด้วยมุขมนตรี ๑๐๐ คน รวมทั้งข้าราชบริพารอีกหนึ่งร้อยพันหมื่นล้านคน ทั้งหมดได้แวดล้อมและติดตามราชโอรสทั้ง ๑๖ องค์ ไปยังสถานแห่งการปฏิบัติ ทั้งหมดต่างปรารถนาที่จะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต เพื่อที่จะได้ถวายทาน ถวายพระเกียรติ
    ถวายความเคารพและสรรเสริญพระองค์ เมื่พวกเขามาถึงแล้ว ได้เข้าไปถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า และหลังจากกระทำทักษิณาวรรตรอบพระพุทธองค์แล้ว พวกเขาได้ประนมมือด้วยใจเดียว เพ่งมองด้วยความเคารพที่พระผู้มีพระภาคเจ้า และได้สวดคาถาสดุดีเหล่านี้ว่า”
    พระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งความมีอำนาจและความดีอันยิ่งใหญ่
    เพื่อที่จะช่วยสรรพสัตว์
    ทรงใช้เวลามากมายหลายล้านปี
    ในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระพุทธะ
    เวลานี้ปณิธานของพระองค์ได้ทำสำเร็จหมดแล้ว
    ดีแล้ว ไม่มีโชคดีใดจะยิ่งใหญ่กว่านี้!
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นของยากนักจักได้พบ
    พระองค์ได้ประทับนั่งเป็นเวลา ๑๐ จุลกัป
    พระวรกาย พระหัตถ์ และพระบาทของพระองค์
    อยู่ในความนิ่งไม่เคลื่อนไหวเลย
    จิตของพระองค์สงบและเยือกเย็นคงที่
    ไม่มีความสับสนหรือยุ่งเหยิงเลย
    ในที่สุดพระองค์ได้บรรลุความสงบและความดับชั่วนิรันดร์
    พักผ่อนอยู่ในพระธรรมอันไม่มีอาสวะแล้ว
    เวลานี้ ด้วยการได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ทรงอยู่ในความสงบ กระทำพุทธมรรคให้สมบูรณ์แล้ว
    พวกเราได้รับผลประโยชน์อันเลิศ
    ขอสรรเสริญและแสดงความยินดีกับพระองค์ด้วยความปีติยิ่ง
    สรรพสัตว์ประสบกับความทุกข์และความเจ็บปวดอยู่เสมอ
    ไม่ฉลาด ปราศจากครูหรือผู้นำทาง
    ไม่ตระหนักว่ามีทางที่จะถึงที่สุดแห่งความทุกข์ได้
    ไม่รู้การที่จะแสวงหาความหลุดพ้น
    ตลอดราตรีอันยาวนานพวกเขาเดินตามทางชั่วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    จำนวนเทวดาลดน้อยถอยลง
    จากความมืด พวกเขาเข้าไปในความมืดยิ่งขึ้น
    ในที่สุดไม่ได้สดับแม้พระนามของพระพุทธเจ้า
    แต่เวลานี้พระพุทธเจ้าได้บรรลุความสงบสูงสุด
    แห่งพระธรรมอันปราศจากอาสวะแล้ว
    พวกเรา เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    โดยวิธีนี้ได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่
    เพราะเหตุนี้พวกเราทั้งหลายขอน้อมเศียรเกล้า
    ถวายชีวิตของพวกเราแด่พระผู้ทรงเกียรติสูงสุด
    ครั้งนั้นเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์ เมื่อได้กราบทูลสรรเสริญพระพุทธองค์ด้วยคาถาเหล่านี้แล้ว ได้อาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมุนธรรมจักร โดยทั้งหมดได้ร่วมกันกราบทูลดังนี้ว่า
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมเถิด เพราะด้วยการทำดังนั้น พระองค์จะนำความสงบ ความสุขสบาย และคุณประโยชน์มาให้เหล่าเทวดาและมนุษย์จำนวนมาก พระเจ้าข้า” พวกเขายังได้กล่าวคำอาราธนานี้ซ้ำเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    วีรบุรุษของโลกอันไม่มีใครเสมอเหมือนได้
    พระองค์ได้ประดับแล้วด้วยพร ๑๐๐ ประการ
    พระองค์ได้บรรลุปัญญาอันสูงสุดแล้ว
    พวกเราขอร้องให้พระองค์ทรงสอนเพื่อประโยชน์ของโลก
    โปรดช่วยเหลือและปลดปล่อยพวกเรา
    และสรรพสัตว์ชนิดอื่นๆ ให้เป็นอิสระ
    ชี้ให้เห็นลักษณะเฉพาะต่างๆ ทำให้พวกเราได้เห็นแจ้ง
    และเพื่อให้พวกเราได้บรรลุปัญญา
    ถ้าพวกเราสามารถบรรลุพุทธภาวะได้
    แล้วสรรพสัตว์ทั้งหลายก็สามารถที่จะบรรลุได้เช่นกัน
    พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงทราบความคิด
    ที่สรรพสัตว์ยึดติดลึกอยู่ในใจ
    พระองค์ทรงทราบทางที่พวกเขาเดิน
    และพระองค์ทรงทราบกำลังปัญญาของพวกเขา
    ความพอใจของพวกเขา
    บุญกุศลที่พวกเขาได้อบรมไว้แล้ว
    กรรมที่พวกเขาได้กระทำไว้แล้วแต่อดีตชาติ
    พระผู้พระภาคเจ้า พระองค์ทรงทราบสิ่งทั้งหมดนี้ดีแล้ว
    บัดนี้ได้เวลาที่พระองค์จะต้องหมุนจักรอันสูงสุดแล้ว พระเจ้าข้า!
    พระพุทธเจ้าได้ประกาศแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า “เมื่อพระมหาภิชญาชญาณาภิภูได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธินั้น พุทธเกษตรจำนวนห้าร้อยหมื่นล้านในสิบทิศสั่นไหวใน ๖ วิถี ที่มืดและที่เปลี่ยวในดินแดนเหล่านั้น อันเป็นที่ที่แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ไม่เคยส่องไปถึงเลย ทุกที่สว่างไสวไปทั่ว จนสรรพสัตว์ทั้งหลายสามารถเห็นซึ่งกันและกันได้ ต่างร้องอุทานว่า “สัตว์เหล่านี้มาอยู่ในที่นี่โดยทันทีได้อย่างไร”
    “อนึ่ง วิมานของเทวดาต่างๆ ในดินแดนเหล่านั้น และวิมานของพระพรหมก็สั่นไหวไปใน ๖ วิถี แสงใหญ่ส่องสว่างไปทั่วทุกแห่ง เต็มไปทั่วโลกธาตุทั้งหมด และสว่างเหนือแสงแห่งสวรรค์เสียอีก เวลานั้น ในห้าร้อยหมื่นล้านดินแดนในทิศตะวันออก พรหมวิมานสว่างจ้า ด้วยแสงที่สว่างเป็นสองเท่าของความสว่างธรรมดา และพระพรหมราชต่างคิดกับตนเองว่า “เวลานี้ความสว่างแห่งวิมานสว่างกว่าที่เคยมีในอดีต อะไรหนอเป็นเหตุของปรากฏการณ์นี้”
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชได้เสด็จไปเยี่ยมซึ่งกันและกันเพื่อไต่ถามกันถึงเรื่องนี้ ในหมู่พระพรหมราชนั้น มีพระพรหมราชผู้ใหญ่องค์หนึ่งนามว่า สรวสัตตวตราตฤิ เป็นผู้แทนของหมู่พระพรหมราช ได้กล่าวคาถาประพันธ์เหล่านี้
    วิมานของเราเกิดมีความสว่าง
    อันไม่เคยได้รู้จักมาก่อนในอดีต
    อะไรเป็น เหตุของเรื่องนี้
    พวกเราทุกคนจงออกไปแสวงหาคำตอบ
    เป็นเพราะการอุบัติของเทพผู้มีบุญใหญ่
    หรือเป็นเพราะพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก
    ที่ให้แสงสว่างอันยิ่งใหญ่นี้
    ส่องสว่างไปทั่วทุกแห่งในสิบทิศ
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชแห่งห้าร้อยหมื่นล้านดินแดน ติดตามด้วยวิมานของตน พระพรหมทุกองค์ต่างถือเอาถุงผ้าบรรจุเต็มด้วยดอกไม้สวรรค์ ออกเดินทางไปด้วยกันยังภูมิภาคตะวันตกเพื่อที่จะสืบหานิมิตนั้น พวกเขาได้เห็นพระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ณ สถานแห่งการปฏิบัติ ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ์ โดยมีหมู่เทวดา นาคราช คนธรรพ์ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ แวดล้อมและถวายความเคารพแด่พระองค์ และยังได้เห็นเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์กำลังกราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงหมุนธรรมจักรอยู่”
    “ทันใดนั้น พระพรหมราชทั้งหมดได้เข้าไปถวายอภิวาทและถวายบังคมแด่พระพุทธเจ้า กระทำทักษิณาวรรตรอบพระพุทธองค์หนึ่งแสนรอบ แล้วนำดอกไม้สวรรค์ออกมาโปรยไปยังพระพุทธองค์ ดอกไม้ที่โปรยออกไปรวมกันเป็นกองสูงเหมือนเขาพระสุเมรุ พวกเขายังได้ถวายดอกไม้เป็นเครื่องสักการะแด่ต้นโพธิ์ของพระพุทธเจ้าด้วย
    ต้นโพธิ์นี้สูง ๑๐ โยชน์ เมื่อพวกเขาได้ถวายดอกไม้เสร็จแล้ว แต่ละองค์ต่างนำเอาวิมานของตนเข้าไปถวายแด่พระพุทธเจ้า โดยได้กราบทูลดังนี้ว่า “พวกหม่อมฉันหวังที่จะให้พระองค์ทรงประทานความสุขสบายและคุณประโยชน์แก่พวกหม่อมฉัน ขอพระองค์ทรงรับและครอบครองวิมานที่พวกหม่อมฉันน้อมถวายนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    “ครั้งนั้น พระพรหมราช ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าด้วยใจเดียวและรวมเป็นเสียงเดียวกัน ได้สวดคาถาสดุดีเหล่านี้”
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ยากนักจักได้พบ
    พระองค์เป็นผู้ยากนักจักได้เจอ
    ทรงมีพรสวรรค์มากมายเหลือคณานับ
    สามารถช่วยทุกคนให้พ้นภัย
    บรมศาสดาของเทวดาและมนุษย์
    พระองค์ประทานความเมตตาและความสบายให้แก่โลก
    สรรพสัตว์ในสิบทิศ
    ต่างได้รับคุณประโยชน์กันทุกแห่ง
    ในห้าร้อยหมื่นล้านดินแดน
    จากที่นั่นพวกเราได้จากมา
    ละทิ้งความปีติในฌานอันลึกซึ้ง
    เพื่อที่จะถวายทานแด่พระพุทธเจ้า
    เพราะความโชคดีในชาติก่อนของพวกเรา
    วิมานของพวกเราได้รับการประดับอย่างงดงาม
    บัดนี้พวกเราขอถวายวิมานนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ขอพระองค์ได้โปรดรับไว้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า
    “ครั้งนั้น เมื่อพระพรหมราชได้กล่าวคาถาสดุดีพระพุทธเจ้าจบลงแล้ว พวกเขาต่างได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ได้โปรดเถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงหมุนธรรมจักร เพื่อช่วยสรรพสัตว์และเปิดทางสู่นิพพาน!”
    “เมื่อนั้นพระพรหมราชทั้งหลายด้วยใจเดียวและด้วยเสียงเดียวกัน
    ได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้”
    วีรบุรุษของโลก ที่เคารพสูงสุดของเทวดาและมนุษย์
    ขอพระองค์ทรงแสดงพระธรรม
    ด้วยอานุภาพแห่งมหาเมตตาและมหากรุณาของพระองค์
    ได้โปรดช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์และความเจ็บปวดด้วยเถิด!
    “ครั้งนั้น พระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ทรงตอบรับโดยการนิ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระพรหมราชในห้าร้อยหมื่นล้านดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ต่างได้เห็นว่าวิมานของตนเกิดแสงสว่างจ้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน ต่างตื่นเต้นด้วยความปีติยินดีด้วยสิ่งที่ไม่เคยประสบมาก่อน พวกเขาต่างไปหากันเพื่อไต่ถามกันถึงเรื่องนี้”
    “ครั้งนั้น ในที่ประชุมมีพระพรหมราชผู้ใหญ่องค์หนึ่งมีนามว่า อธิมาตรากรุณิกะ ผู้ซึ่งในนามของพระพรหมราชทั้งหลาย ได้กล่าวถ้อยคำเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้”
    เหตุอะไรที่มีผล
    ให้นิมิตเช่นนี้ปรากฏขึ้น
    วิมานของพวกเราเกิดความสว่างไสว
    อันไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
    เพราะเทพมีบุญใหญ่องค์ใดอุบัติหรือ
    หรือเพราะพระพุทธเจ้าได้ปรากฏขึ้นในโลกแล้ว
    พวกเราไม่เคยเห็นนิมิตเช่นนี้
    ขอให้พวกเราร่วมใจกันออกไปแสวงหาต้นเหตุ
    แม้เราจะต้องเดินทางไปไกลในพันหมื่นล้านดินแดน
    พวกเราก็จะร่วมกันค้นหาเหตุของแสงสว่างนี้
    อาจจะเป็นได้ว่าพระพุทธเจ้าได้ปรากฏขึ้นในโลกแล้ว
    เพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากความทุกข์
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชจำนวนห้าร้อยหมื่นล้านองค์ ติดตามด้วยวิมานของตน พรหมราชทุกองค์ต่างถือเอาถุงบรรจุเต็มด้วยดอกไม้สวรรค์ ออกเดินทางไปด้วยกันยังภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อสืบหานิมิต ที่นั่นพวกเขาได้เห็นพระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ณ สถานแห่งการปฏิบัติ ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ใต้ต้นโพธิ์ โดยมีหมู่เทวดา
    นาคราช คนธรรพ์ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ แวดล้อมและถวายความเคารพแด่พระองค์ และยังได้เห็นเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์ กำลังกราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงหมุนธรรมจักรอยู่”
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชทั้งหมดได้เข้าไปถวายอภิวาทและถวายบังคมแด่พระพุทธเจ้า กระทำทักษิณาวรรตรอบพระพุทธองค์หนึ่งแสนรอบ แล้วนำดอกไม้สวรรค์ออกมาโปรยไปยังพระพุทธเจ้า ดอกไม้ที่โปรยออกไปได้รวมกันเป็นกองสูงเหมือนเขาพระสุเมรุ พวกเขายังได้ถวายดอกไม้เป็นเครื่องสักการะแด่ต้นโพธิ์ของพระพุทธเจ้าด้วย เมื่อพวกเขาได้ถวายดอกไม้เสร็จแล้ว แต่ละองค์ได้นำเอาวิมานของตนเข้าไปถวายแด่พระพุทธเจ้า กราบทูลด้วยคำเหล่านี้ว่า พวกหม่อมฉันหวังว่า พระองค์จะทรงประทานความสุขสบาย และคุณประโยชน์แก่พวกหม่อมฉัน ขอพระองค์ทรงรับและครอบครองวิมานที่พวกหม่อมฉันน้อมถวายนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชเหล่านั้น ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ด้วยใจเดียวประสานเสียงกันสวดคาถาสดุดีเหล่านี้ว่า”
    พระศาสดาเจ้า เทพในหมู่เทพ
    พระสุรเสียงดั่งเสียงนกกลวิงคะ
    พระองค์ผู้ทรงสงสารและยังความสบายแก่สรรพสัตว์
    ในเวลานี้พวกเราขอถวายพระเกียรติและความเคารพแด่พระองค์
    พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ยากนักจักได้พบ
    ปรากฏขึ้นครั้งหนึ่งในเวลาหลายยุคอันยาวนานเท่านั้น
    หนึ่งร้อยกัปแปดสิบกัป
    ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เพราะไม่มีพระพุทธเจ้า
    อันเป็นเวลาที่อบายภูมิสามมีอยู่ทั่วไป
    และหมู่เทวดามีจำนวนลดน้อยถอยลง
    เวลานี้ พระพุทธองค์ทรงปรากฏขึ้นในโลกแล้ว
    เพื่อเป็นดวงตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ทั้งโลกจะรีบเข้าหาพระองค์
    พระองค์จะช่วยและจะคุ้มครองทุกคน
    พระองค์ทรงเป็นบิดาของสรรพสัตว์
    ยังความสุขสบายและคุณประโยชน์แก่พวกเขา
    พวกเราด้วยความโชคดีแต่ชาติก่อน
    ในเวลานี้ จึงได้มาพบพระผู้มีพระภาคเจ้า
    “ครั้งนั้น หลังจากพระพรหมราชได้สวดคาถาสดุดีพระพุทธเจ้าจบลงแล้ว พวกเขาต่างได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ “พวกหม่อมฉันขออาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงโปรดสงสารและทำความสุขสบายให้แก่ทุกคน โดยการหมุนธรรมจักรและช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย”
    เมื่อนั้น พระพรหมราชเหล่านั้น ด้วยใจเดียวประสานเสียงกันกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระมหามุนีทรงหมุนธรรมจักรเถิด
    เปิดเผยคุณลักษณะเฉพาะแห่งคำสอน
    ช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์และความเจ็บปวด
    ให้พวกเขาได้บรรลุความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่
    เมื่อสรรพสัตว์ได้สดับพระธรรมนี้
    พวกเขาจะได้รับมรรคหรือได้เกิดใหม่ในสวรรค์
    พวกที่อยู่ในอบายภูมิจะมีจำนวนลดลง
    และพวกที่อดทนในความดีจะมีมากขึ้น
    “ครั้งนั้น พระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ทรงตอบรับโดยการนิ่ง ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ในห้าร้อยหมื่นล้านดินแดนทางภูมิภาคทิศใต้ พระพรหมราชทุกองค์ได้เห็นว่าวิมานของตน ส่องแสงสว่างด้วยแสงจ้า ชนิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ต่างตื่นเต้นด้วยความปีติยินดี และด้วยความที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน พวกเขาได้ไปหากันเพื่อไต่ถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ว่า “อะไรเป็นเหตุให้วิมานของเรา เกิดแสงสว่างจ้าอย่างนี้”
    ในกลุ่มของพวกเขามีพระพรหมราชผู้ใหญ่องค์หนึ่งนามว่า สุธรรมา ผู้ซึ่งในนามของหมู่พระพรหมราช ได้กล่าวถ้อยคำเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    วิมานของเรา
    สว่างไสวด้วยแสงจ้าเกินธรรมดา
    เรื่องนี้คงมิได้เกิดขึ้นโดยไร้เหตุ
    สมควรที่พวกเราจะต้องออกไปสอบสวน
    ในอดีตร้อยพันกัป
    ไม่เคยเห็นนิมิตเช่นนี้เลย
    อาจเป็นเพราะมีเทพผู้มีบุญใหญ่อุบัติ
    หรือเพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงปรากฏขึ้นในโลก
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชห้าร้อยหมื่นล้านองค์ ติดตามด้วยวิมานของตน ต่างถือเอาถุงผ้าบรรจุเต็มด้วยดอกไม้สวรรค์ ออกเดินทางไปด้วยกันยังภูมิภาคทางทิศเหนือเพื่อสืบหานิมิต ที่นั่นพวกเขาได้เห็นพระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ณ สถานแห่งการปฏิบัติ ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ์ โดยมีหมู่เทวดา นาคราช คนธรรพ์ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ แวดล้อมและถวายความเคารพแด่พระองค์ และยังได้เห็นเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์ กำลังกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงหมุนธรรมจักรอยู่”
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชทั้งหมดได้เข้าไปถวายอภิวาทและถวายบังคมแด่พระพุทธเจ้า กระทำทักษิณาวรรตรอบพระองค์หนึ่งแสนรอบแล้ว ได้นำเอาดอกไม้สวรรค์ออกมาโปรยไปยังพระพุทธองค์ ดอกไม้ที่โปรยออกไปได้รวมกันเป็นกองสูงเหมือนเขาพระสุเมรุ พวกเขายังได้ถวายดอกไม้สักการะแด่ต้นโพธิของพระพุทธเจ้าด้วย เมื่อพวก
    เขาได้ถวายดอกไม้เสร็จแล้ว แต่ละองค์ได้นำวิมานเข้าไปถวายแด่พระพุทธเจ้า และได้กราบทูลดังนี้ว่า “พวกหม่อมฉันหวังที่จะให้พระองค์ ทรงประทานความสุขสบายและคุณประโยชน์แก่พวกหม่อมฉัน ขอพระองค์ทรงรับและครอบครองวิมานที่พวกหม่อมฉันน้อมถวายนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระพรหมราช ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
    ด้วยใจเดียวได้ประสานเสียงสวดคาถาสดุดีดังต่อไปนี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ยากที่สุดที่จะได้พบ
    ผู้ทำลายกิเลสทั้งหลาย
    เวลาผ่านไป ๑๓๐ กัป
    ในที่สุด บัดนี้เราได้พบพระองค์แล้ว
    สรรพสัตว์อยู่ในสภาพหิวกระหาย
    ได้รับความอิ่มด้วยฝนแห่งธรรม
    พระองค์เป็นผู้ที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน
    พระผู้มีปัญญาอันไม่อาจวัดได้
    เหมือนดอกอุทุมพร
    ในที่สุด วันนี้ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเรา
    วิมานของเราเพราะได้รับแสงสว่างของพระองค์
    ถูกทำให้ดูสวยงามอย่างน่ามหัศจรรย์
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยมหาเมตตาและมหากรุณา
    พวกเราขอให้พระองค์ได้โปรดรับวิมานนี้เถิด
    “ครั้งนั้น หลังจากพระพรหมราชได้สวดคาถาเหล่านี้สดุดีพระพุทธเจ้าจบแล้ว พวกเขาทุกองค์ได้กล่าวคำเหล่านี้ว่า “พวกหม่อมฉันขออาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมุนธรรมจักร และทำให้เทวดา มาร พรหมราช สมณะ และพราหมณ์ ทั้งหมดทั่วโลกได้
    รับความสงบสุขและได้รับการช่วยให้รอด”
    ครั้งนั้น พระพรหมราชทั้งหลายด้วยใจเดียวและรวมเสียงเดียวกันสวดคาถาสดุดีดังนี้
    เราขออาราธนาพระผู้มีเกียรติสูงสุดของเทวดาและมนุษย์
    ทรงหมุนธรรมจักรอันสูงสุด
    ทรงตีกลองแห่งธรรมะอันยิ่งใหญ่
    ทรงเป่าสังข์แห่งธรรมะอันยิ่งใหญ่
    ทรงหลั่งฝนแห่งธรรมะอันยิ่งใหญ่ไปให้ทั่ว
    เพื่อช่วยสรรพสัตว์มากมายเหลือคณานับ!
    พวกเราขอมอบความศรัทธาและคำอ้อนวอนแด่พระองค์
    ได้โปรดเปล่งพระสุรเสียงอันลึกซึ้งและมีผลแผ่ไปไกล!
    “ครั้งนั้น พระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ทรงตอบรับโดยการนิ่ง ในภูมิภาคทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่นๆ จนถึงภูมิภาคทางทิศเบื้องล่างก็ได้เกิดเหตุการณ์เหมือนดังที่กล่าวมาแล้วตามลำดับ”
    “ครั้งนั้น ในภูมิภาคทิศเบื้องบน พระพรหมราชแห่งห้าร้อยหมื่นล้านดินแดนต่างได้เห็นวิมานที่สถิตย์ของตนส่องแสงสว่างจ้า ชนิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ต่างตื่นเต้นด้วยความปีติยินดีและด้วยความประหลาดใจ พวกเขาได้ออกมาหากันและไต่ถามกันถึงเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า “อะไรเป็นเหตุให้วิมานของพวกเราเกิดแสงสว่างจ้าอย่างนี้”
    “ในหมู่ของพวกเขามีพระพรหมราชผู้ใหญ่องค์หนึ่งนามว่า ศิขิน ผู้ซึ่งในนามของพระพรหมราชทั้งหมด ได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้”
    เวลานี้อะไรเป็นเหตุ
    ให้วิมานของเรา
    สว่างโชติช่วงด้วยความมีอำนาจและความดีเช่นนี้
    และให้ดูสวยงามอย่างไม่เคยมีมาก่อน
    นิมิตมหัศจรรย์ชนิดนี้
    ไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินมาก่อนในอดีต
    อาจเป็นเพราะเทพผู้มีบุญใหญ่บางองค์อุบัติ
    หรืออาจเป็นเพราะพระพุทธเจ้าทรงปรากฎขึ้นในโลก
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชห้าร้อยหมื่นล้านองค์ ติดตามด้วยวิมานของตนต่างถือถุงผ้าบรรจุเต็มด้วยดอกไม้สวรรค์ ออกเดินทางไปด้วยกันยังภูมิภาคทางทิศเบื้องล่างเพื่อสืบหานิมิตนั้น ที่นั่นพวกเขาได้เห็นพระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคต ณ สถานแห่งการปฏิบัติ ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ์ โดยมีปวงเทวดา นาคราช คนธรรพ์ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ แวดล้อมและถวายความเคารพแด่พระองค์ และได้เห็นเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์ กำลังอาราธนาพระพุทธองค์ให้ทรงหมุนธรรมจักรอยู่”
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชได้เข้าไปถวายอภิวาท และถวายบังคมแด่พระพุทธเจ้า กระทำทักษิณาวรรตรอบพระพุทธองค์หนึ่งแสนรอบแล้ว ได้นำเอาดอกไม้สวรรค์ออกมาโปรยไปยังพระพุทธเจ้า ดอกไม้ที่โปรยออกไปได้รวมกันเป็นกองสูงเหมือนเขาพระสุเมรุ พวกเขายังได้ถวายดอกไม้เป็นเครื่องสักการะแด่ต้นโพธิ์ของพระพุทธเจ้าอีกด้วย เมื่อพวกเขาได้ถวายดอกไม้เสร็จแล้ว แต่ละองค์ได้นำวิมานของตนเข้าไปถวายแด่พระพุทธเจ้า และได้กราบทูลดังนี้ว่า “พวกหม่อมฉันหวังที่จะให้พระองค์ประทานความสุขสบายและคุณประโยชน์แก่พวกหม่อมฉัน ขอพระองค์ทรงรับและครอบครองวิมานเหล่านี้ที่พวกหม่อมฉันน้อมถวายด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    “ครั้งนั้น พระพรหมราชทั้งหลาย ณ เบื่องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ด้วยใจเดียวและด้วยเสียงเดียวกัน ได้สวดคาถาสดุดีเหล่านี้ดังนี้”
    ช่างดีนัก ที่พวกเราได้พบพระพุทธะทั้งหลาย
    ผู้ช่วยโลกอันชาญฉลาดและน่าเคารพ
    สามารถช่วยและปลดปล่อยสรรพสัตว์
    ให้หลุดพ้นจากนรกแห่งสามโลก!
    ที่เคารพในหมู่เทวดาและมนุษย์ แห่งปัญญาสากล
    พระองค์ทรงสงสารและเมตตาแก่หมู่สัตว์ผู้อ่อนวัย
    พระองค์สามารถเปิดประตูแห่งน้ำอมฤต
    เพื่อช่วยทุกๆ คนให้รอดปลอดภัยอย่างกว้างขวาง
    แต่ปางก่อน จำนวนกัปนับไม่ถ้วน
    ได้ผ่านไปอย่างไร้ค่าเมื่อไม่มีพระพุทธะปรากฎ
    เวลาที่ยังไม่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าปรากฎ
    ทั่วทั้งสิบทิศถูกความมืดครอบคลุมอยู่ตลอดเวลา
    พวกที่อยู่ในอบายภูมิสามมีจำนวนเพิ่มขึ้น
    และพวกที่อยู่ในอสูรภูมิรุ่งเรืองเฟื่องฟู
    พวกเทวดามีจำนวนลดน้อยถอยลง
    และมีมากมายที่เมื่อตายแล้วตกลงสู่อบายภูมิ
    เนื่องจากไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและไม่ได้สดับพระธรรม
    ตลอดเวลาประชาชนปฏิบัติตามทางที่ไม่ดี
    ทำให้กำลังกายและกำลังสติปัญญาของพวกเขา
    ลดน้อยถอยลงไปทั้งหมด
    เพราะเหตุแห่งบาปกรรมที่พวกเขาได้กระทำไว้
    พวกเขาจะสูญเสียความยินดี
    และความคิดแห่งความยินดีทั้งหลาย
    พวกเขาอาศัยอยู่ในคำสอนนอกรีต
    ไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเพณีหรือกฎระเบียบที่ดี
    ไม่สามารถที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระพุทธเจ้า
    พวกเขาจะตกลงสู่อบายภูมิบ่อยๆ
    แต่เวลานี้พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นดวงตาของโลก
    หลังจากเวลาอันยาวนานนี้ ในที่สุดก็ได้อุบัติขึ้น
    เพื่อที่จะนำความเมตตาและความสุขสบายมาให้สรรพสัตว์
    พระองค์ได้ปรากฎขึ้นมาแล้วในโลก
    พระองค์ทรงอยู่เหนือโลกแล้วเพื่อบรรลุการตรัสรู้ที่ถูกต้อง
    พวกเราต่างเต็มไปด้วยความยินดีและความชื่นชม
    พวกเราและคนอื่นๆ ในที่ประชุมนี้
    มีความสุขและดีใจในสิ่งที่เราไม่เคยได้รู้จักมาก่อน
    วิมานของเราเพราะได้รับแสงของพระองค์
    ทำให้ได้รับการประดับอย่างน่ามหัศจรรย์
    เวลานี้เราขอถวายวิมานนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    หวังว่าพระองค์จะทรงเมตตารับเอาไว้
    เราขอให้บุญกุศลที่ได้รับจากการถวายของเหล่านี้
    จงมีผลแผ่กว้างไกลไปถึงทุกๆ คน
    เพื่อว่าเราและสรรพสัตว์อื่นทั้งหลาย
    สามารถที่จะได้บรรลุพุทธมรรคด้วยกันทุกคน
    “ครั้งนั้น หลังจากพระพรหมราชทั้งห้าร้อยหมื่นล้านองค์ ได้สวดคาถาสดุดีพระพุทธเจ้าจบแล้ว พวกเขาต่างได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “พวกหม่อมฉันขออ้อนวอนให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมุนธรรมจักร นำความสงบและความเงียบมาสู่คนหมู่มาก นำความรอดพ้นมาสู่คนหมู่มาก” ครั้นแล้วพระพรหมราชทั้งหลายได้กราบทูลเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้”
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมุนธรรมจักรเถิด
    ทรงตีกลองธรรมแห่งน้ำอมฤต
    ช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์และความเจ็บปวด
    เปิดและแสดงให้เราได้เห็นทางนิพพาน!
    พวกเราขอร้องให้พระองค์ทรงรับคำอาราธนา
    และด้วยพระสุรเสียงอันยิ่งใหญ่ ละเอียดอ่อน และมหัศจรรย์
    นำความเมตตาและความสุขสบาย
    โดยการแสดงพระธรรม
    ที่พระองค์ได้ปฏิบัติมาแล้วหลายกัปนับไม่ถ้วน
    “เวลานั้น พระมหาภิชญาชญาณาภิภูตถาคตทรงรับคำอาราธนาจากพระพรหมราชแห่งสิบทิศ และจากเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์ ในทันที พระองค์ทรงหมุนธรรมจักร ๑๒ ซี่สามรอบ อันไม่มี สมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้ใดในโลก สามารถที่จะหมุนเช่นนี้ได้ พระองค์ตรัสว่า นี่คือทุกข์ นี่คือบ่อเกิดแห่งทุกข์ นี่คือความดับแห่งทุกข์ นี่ทางสู่ความดับแห่งทุกข์”
    “ครั้นแล้วพระองค์ทรงแสดงพระธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อย่างกว้างขวางดังนี้ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖ อายตนะ ๖ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัย
    ให้เกิดชราและมรณะ ความเศร้าโศกร่ำไรรำพัน การร้องไห้คร่ำครวญ ความ
    ไม่สบายกายไม่สบายใจและความคับแค้นใจ แต่ถ้าอวิชชาดับแล้วสังขารก็จะดับ ถ้าสังขารดับแล้ววิญญาณก็จะดับ ถ้าวิญญาณดับแล้วนามรูปก็จะดับ ถ้านามรูปดับแล้วอายตนะ ๖ ก็จะดับ ถ้าอายตนะ ๖ ดับแล้วผัสสะก็จะดับ ถ้าผัสสะดับแล้วเวทนาก็จะดับ ถ้าเวทนาดับแล้วตัณหาก็จะดับ ตัณหาดับแล้วอุปาทานก็จะดับ อุปาทานดับแล้วภพก็จะดับ ภพดับแล้วชาติก็จะดับ ชาติดับแล้วชราและมรณะ ความเศร้าโศกร่ำไรรำพัน การร้องไห้คร่ำครวญ ความไม่สบายกายไม่สบายใจและความคับแค้นใจก็จะดับ”
    “เมื่อพระพุทธเจ้าได้แสดงพระธรรมนี้ในที่ประชุมใหญ่แห่งเทวดาและมนุษย์จบลงแล้ว มหาชนจำนวนหกร้อยหมื่นล้านนยุตะ เพราะว่าพวกเขาหยุดที่จะรับสิ่งใดๆ แห่งโลกปรากฏการณ์ และเพราะว่าจิตของเขาได้บรรลุความเป็นอิสระจากอาสวะทั้งปวงแล้ว ทั้งหมดจึงได้สำเร็จการปฏิบัติณานอันลึกซึ้งและมหัศจรรย์ ได้วิชชา ๓ อภิญญา ๖ วิโมกข์ ๘ อย่างสมบูรณ์ และเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมที่สอง ที่สาม และที่สี่แล้ว สรรพสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาพันหมื่นล้านนยุตะสาย สามารถมีจิตเป็นอิสระจากอาสวะทั้งปวง เพราะว่าพวกเขาหยุดที่จะรับสิ่งใดๆ แห่งโลกปรากฏการณ์ด้วยเหมือนกัน จากนั้นเป็นต้นมา หมู่พระสาวกจึงมีมากมายไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด เหลือคณนานับได้”
    “ครั้งนั้น เจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์ ผู้ซึ่งอำลาครอบครัวออกไปบวชเป็นสามเณรตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขามีอินทรีย์ที่แหลมคม ปัญญาหลักแหลมและเข้าใจง่าย ในอดีตพวกเขาได้ถวายทานแด่พระพุทธะร้อยพันหมื่นล้านพระองค์ ได้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์และได้บำเพ็ญเพียรเพื่อการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิมาแล้ว ทั้งหมดได้ร่วมกันกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสาวกผู้ทรงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ จำนวนมากมายหลายพันหมื่นล้านนับไม่ถ้วน ล้วนประสบความสำเร็จกันหมดแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้วที่พระองค์จะทรงเทศนาพระธรรม แห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิ เพื่อประโยชน์แก่พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อว่าเมื่อพวกข้าพระองค์ได้สดับแล้วจะได้ร่วมกันปฏิบัติและศึกษาพระธรรมนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ตั้งใจที่จะได้บรรลุปัญญาความหยังรู้ของพระตถาคต พระเจ้าข้า ความคิดนี้ที่อยู่ลึกในใจของพวกข้าพระองค์ เป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงทราบดีอยู่แล้ว “ครั้งนั้น ประชาชนในที่ประชุมภายใต้การนำของพระเจ้าจักรพรรดิราชจำนวนแปดหมื่นล้านคน เมื่อได้เห็นเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์ ได้ออกผนวชถือเพศบรรพชิต ต่างปรารถนาที่จะกระทำดังนั้นด้วย
    ซึ่งพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ทรงอนุญาตตามคำขอของพวกเขา”
    “ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงตอบรับคำอาราธนาของสามเณรทั้ง ๑๖ รูป และเมื่อเวลาผ่านไป ๒๐,๐๐๐ กัปแล้ว ในที่สุดท่ามกลางบริษัท ๔ พระองค์ได้เทศนามหายานสูตรอันมีชื่อว่า สัทธรรมปุณฑริก อันเป็นพระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์ และเป็นพระธรรมที่พระพุทธะทั้งหลายเฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ หลังจากพระพุทธองค์ทรงเทศนาพระ
    สูตรนี้จบลงแล้ว สามเณรทั้ง ๑๖ รูป เพื่อการบรรลุอนุตตรสัมาสัมโพธิ พวกเขาได้ร่วมกันน้อมรับและยึดถือ ท่องและสวด เห็นแจ้งและเข้าใจพระสูตรนี้ได้โดยตลอด”
    “เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาพระสูตรนี้ พระโพธิสัตว์สามเณรทั้ง ๑๖ องค์ต่างมีความศรัทธาและน้อมรับพระสูตรนี้ และในหมู่พระสาวกก็มีพวกที่เชื่อและเข้าใจพระสูตรนี้ด้วย แต่มีสรรพสัตว์พวกอื่นจำนวนพันหมื่นล้านพวกที่แสดงความสงสัยและคลางแคลงใจ”
    “พระพุทธเจ้าได้เทศนาพระสูตรนี้อยู่เป็นเวลา ๘,๐๐๐ กัป โดยไม่มีหยุดพักเลย หลังจากที่พระพุทธองค์ได้เทศนาพระสูตรนี้แล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้าสู่ห้องอันสงัดประทับอยู่ในฌานเป็นเวลา ๘๔,๐๐๐ กัป”
    “ในเวลานี้พระโพธิสัตว์สามเณรทั้ง ๑๖ องค์ เมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าประทับอยู่ในฌานอันสงบ แต่ละองค์ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์และตลอดเวลา ๘๔,๐๐๐ กัปนั้น เพื่อประโยชน์ของบริษัท ๔ ได้ทำการสอนลักษณะเฉพาะต่างๆ ที่เปิดเผยในสัทธรรมปุณฑริกสูตรอย่างกว้างขวาง โดยวิธีนี้พวกเขาแต่ละองค์ได้ช่วยสรรพสัตว์มากมาย
    เท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหกร้อยหมื่นล้านนยุตะสาย ทำการแนะนำสั่งสอน นำประโยชน์และความสุขมาให้ และทำให้สรรพสัตว์ตั้งจิตมุ่งต่ออนุตรสัมมาสัมโพธิ”
    “พระมหาภิชญาชญาณาภิภูพุทธเจ้า หลังจากเวลา ๘๔,๐๐๐ กัปผ่านไปแล้ว พระองค์ได้เสด็จออกจากสมาธิ และเมื่อได้เสด็จขึ้นประทับนั่งเหนือธรรมาสน์อย่างสงบแล้ว พระองค์ได้ตรัสแก่ที่ประชุมใหญ่ว่า “พระโพธิสัตว์สามเฉรทั้ง ๑๖ องค์นี้ เป็นบุคคลชนิดที่หาได้ยากยิ่งนัก พวกเขามีอินทรีย์ที่แหลมคม ปัญญาเฉียบแหลมเข้าใจง่าย ในอดีต ได้ถวายทานแด่พระพุทธะมากมายหลายพันหมื่นล้านพระองค์นับไม่ถ้วนมาแล้ว ในบริษัทของพระพุทธะเหล่านั้นพวกเขาได้ปฏิบัติพรหมจรรย์อย่างสม่ำเสมอ ได้รับและยึดถือพุทธปัญญาไว้แล้ว และได้อธิบายแก่สรรพสัตว์ ทำให้สรรพสัตว์เหล่านั้นเข้าสู่พุทธปัญญาด้วย พวกเธอทั้งหลายเป็นบางครั้งบางคราวพวกเธอจะได้ไป อยู่ร่วมกับพวกเขา และได้ถวายทานแก่พวกเขาด้วย ทำไมหรือ เพราะเหตุว่าถ้าพวกเธอคนใดไม่ว่าจะเป็นพระสาวก หรือพระปัจเจกพุทธะ หรือเป็นพระโพธิสัตว์ สามารถที่จะมีความศรัทธาในคำสอนพระสูตรนี้ ที่สอนโดยพระโพธิสัตว์ ๑๖ องค์นี้ และยอมรับ และยืดถือไว้โดยไม่คิดดูหมิ่นแล้ว คนเช่นนั้นทั้งหมด สามารถที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิปัญญาของพระตถาคต”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “พระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๖ องค์นี้ ปรารถนาแล้วที่จะแสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่เสมอ สรรพสัตว์ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระโพธิสัตว์แต่ละองค์เหล่านี้ มีจำนวนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหกหมื่นร้อยล้านนยุตะสาย ชาติแล้วชาติเล่า สรรพสัตว์เหล่านี้ได้ไปเกิดใหม่ร่วมกับพระโพธิสัตว์นั้น ได้ฟังธรรมจากเขา และทั้งหมดจะมีความศรัทธาและเข้าใจในพระธรรมนั้น เพราะเหตุนี้
    พวกเขาจึงสามารถได้พบพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าสี่สิบพันล้านพระองค์ และไม่เคยหยุดที่จะทำเช่นนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้”
    “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจะขอบอกเรื่องนี้แก่เธอ สามเณรทั้ง ๑๖ องค์อันเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้านั้น เวลานี้พวกเขาได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิกันทั้งหมดแล้ว ในปัจจุบันกำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ในพุทธเกษตรในสิบทิศ โดยมีพระโพธิสัตว์และพระสาวกติดตามมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านนับไม่ถ้วน สามเณร ๒ องค์ได้เป็นพระพุทธะในภูมิภาคตะวันออก องค์หนึ่งมีพระนามว่า อักโษภยพุทธะ ในอภิรตีพุทธเกษตร อีกองค์หนึ่งมีพระนามว่า สุเมรุกูฎพุทธะ อีก ๒ องค์เป็นพระพุทธะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ องค์หนึ่งมีพระนามว่า สิงหโฆษพุทธะ อีกองค์หนึ่งมีพระนามว่า สิงหธวัชพุทธะ
    อีกสององค์ได้เป็นพระพุทธะในภูมิภาคทิศใต้ องค์หนึ่งพระนามว่า อากาศประดิษฐิตพุทธะ อีกองค์หนึ่งพระนามว่า นิตยปรินิภวฤตพุทธะ อีก ๒ องค์ได้เป็นพระพุทธะในภูมิภาคทิศตะวันตกเฉียงใต้ องค์หนึ่งพระนามว่า อินทรธวัชพุทธะ อีกองค์หนึ่งมีพระนามว่า พรหมธวัชพุทธะ อีก ๒ องค์ก็ได้เป็นพระพุทธะในภูมิภาคทิศตะวันตก องค์หนึ่งมีพระนามว่า อมิตายุสพุทธะ อีกองค์หนึ่งมีพระนามว่า สรวโลกธาตุปัทรโวทเวคปรัต
    ยุตติรณพุทธะ อีก ๒ องค์ได้เป็นพระพุทธะในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือ องค์หนึ่งมีพระนามว่า ตมาลพัตรจันทนคันธาภิชญพุทธะ อีก องค์หนึ่งมีพระนามว่า สุเมรุกัลปพุทธะ อีก ๒ องค์ได้เป็นพระพุทธะในภูมิภาคทิศเหนือ องค์หนึ่งมีพระนามว่า เมฆัสวรทีปพุทธะ อีกองค์หนึ่งมีพระนามว่า เมฆัสวรราชพุทธะ อีก ๒ องค์ได้เป็นพระพุทธะในภูมิภาค
    ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ องค์หนึ่งมีพระนามว่า สรวโลกภยักขัมภิตติววัทวังสนกรพุทธะ และองค์ที่ ๑๖ คือเรา พระศากยมุนีพุทธเจ้า ผู้ซึ่งได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แล้วในสหาโลกธาตุนี้”
    “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราและคนอื่นเหล่านี้ได้เป็นสามเณร พวกเราแต่ละองค์ได้สอนและเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์จำนวนมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหลายร้อยพันหมื่นล้านสาย เมื่อได้ฟังธรรมจากพวกเรา พวกเขาได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ สรรพสัตว์เหล่านี้ บางพวกเวลานี้ แม้จะยังอยู่ในตำแหน่งของพระสาวก แต่พวกเราได้สั่ง
    สอนอนุตตรสัมมาสัมโพธิแก่พวกเขาอยู่เสมอ และด้วยพระธรรมนี้ พวกเขาสามารถที่จะเข้าสู่พุทธมรรคได้ในที่สุด ทำไมเรากล่าวดังนี้ เพราะว่าตถาคตปัญญายากที่จะเชื่อและยากที่จะเข้าใจได้ สรรพสัตว์เหล่านั้นจำนวนมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคานับไม่ถ้วนสาย ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นคือพวกเธอภิกษุทั้งหลายในเวลานี้
    และภายหลังเราเข้าสู่ความดับแล้วในสมัยข้างหน้า พวกเธอก็จะเป็นพวกศิษย์พระสาวกของเราอีก”
    “หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว จะมีศิษย์อื่นๆ ผู้ซึ่งไม่ได้ฟังพระสูตรนี้ จะไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ แต่ผู้ซึ่งด้วยบุญกุศลพวกเขาสามารถบรรลุได้แล้ว เขาจะเกิดความคิดแห่งความดับและเข้าสู่สิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นนิพพาน ครั้งนั้น เราจะเป็นพระพุทธเจ้าในดินแดนอื่นและจะรู้จักในนามอื่น ศิษย์เหล่านั้น แม้ว่าเขาได้เกิดความคิดแห่งความดับ และได้เข้าสู่สิ่งที่เขาถือว่าเป็นนิพพานแล้วก็ตาม แต่ในดินแดนอื่นเขาจะแสวงหาพุทธปัญญาและจะมีโอกาสได้สดับพระสูตรนี้ เพราะว่าโดยพุทธยานเท่านั้นที่เขาสามารถบรรลุความดับจริง ไม่มียานอื่น ถ้าเขาไม่รวมเอาคำสอนต่างๆ ที่พระตถาคตเจ้าทรงสั่งสอนในฐานะที่เป็นกุศโลบายเข้าไปด้วย”
    “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพระตถาคตเจ้าทรงทราบว่าเวลาที่จะเข้าสู่นิพพานได้มาถึงแล้ว และทรงทราบว่าสมาชิกในที่ประชุมมีความบริสุทธิ์และสะอาด มีความศรัทธาและความเข้าใจมั่นคง สามารถรู้ทั่วถึงในธรรมแห่งความว่าง และได้เข้าไปอยู่อย่างลึกซึ้งในการปฏิบัติฌานแล้ว เมื่อนั้นพระองค์จะทรงเรียกพระโพธิสัตว์และพระสาวกทั้งหลายมาประชุมร่วมกัน และจะเทศนาพระสูตรนี้แก่พวกเขา ในโลกนี้ไม่มีสองยานที่จะให้ใครสามารถบรรลุความดับได้ มีแต่พุทธยานเพียงยานเดียวเท่านั้นที่ใช้เพื่อการบรรลุความดับจริง”
    “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องเข้าใจอย่างนี้ พระตถาคตเจ้าทรงใช้กุศโลบายแทงทะลุลึกเข้าไปในธรรมชาติของสรรพสัตว์ พระองค์ทรงรู้ว่าใจของพวกเขามีความยินดีในคำสอนเล็กน้อย และการที่พวกเขายึดอย่างเหนียวแน่นอยู่กับกามคุณ ๕ และเพราะว่าพวกเขาเป็นอย่างนี้ พระองค์จึงทรงแสดงนิพพานธรรม เพื่อว่าคนเหล่านี้ด้วยการได้ฟังจะยอมเชื่อและยอมรับได้”
    “ขอให้เราสมมุติว่ามีถนนสายหนึ่งยาว ๕๐๐ โยชน์ เป็นถนนที่เลวมาก สูงชันและลำบาก ป่าเถื่อนและรกร้าง ปราศจากผู้คนอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เป็นสถานที่ที่น่ากลัวจริงๆ และสมมุติว่ามีคนจำนวนหนึ่งต้องการจะเดินทางไปตามถนนสายนี้ เพื่อไปให้ถึงสถานที่ที่มีสมบัติล้ำค่าอันหาได้ยาก ในคนหมู่นี้ มีผู้นำทางคนหนึ่งเป็นผู้ที่มีปัญญารอบรู้
    และเข้าใจได้ไว เขาคุ้นเคยกับถนนสูงชันนี้อย่างดี รู้ว่าที่ใดผ่านได้ที่ใดผ่านไม่ได้ เขาเตรียมการที่จะนำคนกลุ่มนี้และไปกับพวกเขาตามภูมิประเทศอันลำบากนี้”
    “คนกลุ่มนี้ที่เขากำลังนำไป หลังจากเดินทางไปได้ส่วนหนึ่ง ได้เกิดความท้อถอยขึ้น จึงกล่าวกับผู้นำทางว่า “พวกเราเหนื่อยอ่อนเต็มที่แล้ว และยังมีความกลัวอีกต่างหาก พวกเราไม่อาจเดินทางต่อไปได้อีก กับทั้งทางข้างหน้ายังมีอีกไกล เราอยากเดินทางกลับเสียเดี๋ยวนี้เลย”
    “ผู้นำทาง บุรุษแห่งกุศโลบาย รำพึงกับตนเองว่า ช่างน่าสงสารที่คนพวกนี้ยอมละทิ้งทรัพย์สมบัติล้ำค่าอันหาได้ยากที่พวกเขากำลังแสวงหาอยู่ และต้องการเดินทางกลับ! เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้น เขาจึงได้คิดใช้พลังแห่งกุศโลบาย ดังนั้นเมื่อเดินทางไปตามถนนอันสูงชันได้ ๓๐๐โยชน์ เขาจึงได้เนรมิตปราสาทขึ้นหลังหนึ่ง ครั้นแล้วได้บอกกับผู้เดินทางว่า “อย่ากลัวเลย พวกท่านไม่ต้องเดินทางกลับแล้ว เพราะเวลานี้ ที่นี่เป็น
    ปราสาทใหญ่ที่พวกท่านสามารถหยุดพักผ่อนและทำสิ่งใดได้ตามความพอใจ ถ้าพวกท่านเข้าไปในปราสาทนี้ พวกท่านจะได้รับความสบายและความสงบอย่างเต็มที่ แล้วภายหลัง ถ้าพวกท่านคิดว่าสามารถที่จะเดินทางต่อไปยังสถานที่แห่งทรัพย์สมบัติล้ำค่าแล้ว พวกท่านก็สามารถออกจากปราสาทไปได้เลย”
    “ครั้งนั้น ผู้เดินทางทุกคนกำลังเหน็ดเหนื่อยเกือบจะหมดแรงอยู่แล้ว ต่างมีใจร่าเริงอุทานด้วยความยินดีกับเหตุการณ์ที่มิได้คาดหวังมาก่อน “บัดนี้พวกเราสามารถรอดพ้นจากถนนอันน่ากลัว และได้พบกับความสบายและสงบแล้ว!” ครั้นแล้วคนในกลุ่มนี้ต่างแย่งกันขึ้นหน้าและเข้าไปในปราสาท ที่นั่นมีความรู้สึกว่าพวกเขารอดพ้นจากความยากลำบาก และได้เข้าถึงที่ที่มีความสบายและสงบแล้ว
    “ครั้งนั้น ผู้นำทางเมื่อรู้ว่าทุกคนได้พักผ่อน ไม่มีความกลัวหรือความอ่อนเพลียแล้ว เขาจึงบันดาลให้ปราสาทเนรมิตหายไป และกล่าวกับคณะผู้เดินทางว่า “พวกท่านต้องออกเดินทางต่อไปเดี๋ยวนี้ สถานที่เก็บสมบัติล้ำค่าอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ปราสาทใหญ่ที่พวกท่านเข้าพักอาศัยก่อนนี้นั้น เป็นเพียงปราสาทที่ข้าพเจ้าเนรมิตขึ้นเพื่อให้พวกท่านได้พักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น”
    “ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจ้า ก็อยู่ในฐานะเดียวกันนี้ เวลานี้พระองค์กำลังทรงแสดงเป็นผู้นำอันยิ่งใหญ่ของพวกเธอ พระองค์ทรงทราบว่าถนนอันเลวร้ายแห่งความเกิด ความตาย และกิเลส เป็นสิ่งสูงชั้น ยากลำบาก และยาวไกล แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องเดินทางนี้ จะต้องผ่านทางนี้ ถ้าสรรพสัตว์ได้ฟังแต่พุทธยานเพียงยานเดียวแล้ว พวกเขา
    จะไม่ต้องการพบพระพุทธเจ้า จะไม่ต้องการเข้าไปใกล้พระองค์ แต่ในทันทีเขาจะคิดกับตัวเองว่า ถนนแห่งพระพุทธะเป็นถนนที่ยาวไกล และเขาจะต้องทำงานอย่างพากเพียร และประสบกับความยากลำบากเป็นเวลายาวนาน ก่อนที่เขาจะสามารถบรรลุความสำเร็จได้!”
    “พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า จิตใจของสรรพสัตว์เป็นจิตที่ขลาดกลัว อ่อนแอและต่ำต้อย ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงใช้พลังแห่งกุศโลบาย พระองค์ทรงสอนนิพพานสองชนิด เพื่อจัดให้เป็นที่พักข้างถนน ถ้าสรรพสัตว์เลือกที่จะอยู่ในสองขั้นนี้แล้ว พระตถาคตเจ้าจะบอกพวกเขาว่า “เธอยังไม่เข้าใจว่าสิ่งใดควรทำให้สำเร็จ ขั้นที่เธอเลือกพักอยู่ใกล้ที่จะถึงพุทธปัญญาอยู่แล้ว แต่เธอควรจะสังเกตดูและไตร่ตรองต่อไป นิพพานนี้ที่เธอได้บรรลุแล้วหาใช่นิพพานจริงไม่ มันเป็นเพียงการใช้พลังแห่งกุศโลบายของพระตถาคตเจ้า โดยการนำเอาเอกพุทธยานมาทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ แล้วสอนมันเป็นสามยานเท่านั้น”
    “พระพุทธเจ้าทรงเป็นเหมือนกับผู้นำทางนั้น ผู้ซึ่งเพื่อที่จะจัดให้มีที่พัก จึงได้เนรมิตปราสาทใหญ่ขึ้น และแล้วเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าผู้เดินทางได้พักผ่อนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดกับพวกเขาว่า “สถานที่ที่เก็บสมบัติล้ำค่าอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ปราสาทนี้ไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงสิ่งมายาที่เราเนรมิตขึ้นเท่านั้น”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความ
    หมายของพระองค์อีกครั้งหนึง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระมหาภิชญาชญาณาภิภูพุทธเจ้า
    ประทับนั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติเป็นเวลา ๑๐ จุลกัป
    แต่พระธรรมของพระพุทธะก็ยังมิได้ปรากฏแก่พระองค์
    และพระองค์มิอาจบรรลุพุทธมรรคได้
    ที่ประชุมแห่งพวกเทวดา นาคราช
    อสูร และเหล่าอื่นๆ
    โปรยดอกไม้สวรรค์อยู่ตลอดเวลา
    เป็นเครื่องสักการะถวายแด่พระพุทธเจ้านั้น
    ปวงเทวดาตีกลองสวรรค์
    และบรรเลงเครื่องดนตรีมากมายหลายชนิด
    ลมหอบพัดพาดอกไม้เหี่ยวออกไป
    ครั้นแล้วดอกไม้อันสดใหม่และสวยงามโปรยลงมาแทน
    เมื่อเวลา ๑๐ จุลกัปผ่านไปแล้ว
    ในที่สุดพระองค์ก็สามารถได้บรรลุพุทธมรรค
    เทวดาและประชาชนแห่งโลก
    ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นในหัวใจ
    ราชโอรส ๑๖ องค์ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ทุกองค์ติดตามแวดล้อมด้วยข้าราชบริพารของตน
    จำนวนหนึ่งพันหมื่นล้านคน
    ทั้งหมดได้มายังที่ประทับของพระพุทธเจ้า
    ถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า
    แล้วทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงหมุนธรรมจักรว่า
    “พระอริยะสิงห์ ขอให้ฝนแห่งธรรม
    หลั่งลงสู่พวกเราและคนอื่นๆ ให้เต็มที่เถิด”
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสิ่งยากนักจักได้พบ
    ในช่วงเวลาอันยาวนานพระองค์จึงจะปรากฏขึ้นสักครั้งหนึ่ง
    เพื่อนำความรู้แจ้งมาให้แก่สรรพสัตว์
    พระองค์ทรงทำให้ภูมิภาครอบด้านสั่นไหว
    ในโลกธาตุทางทิศตะวันออก
    ในห้าร้อยหมื่นล้านดินแดน
    วิมานของพระพรหมราชสว่างโชติช่วงด้วยแสงหนึ่ง
    อันพวกเขาไม่เคยได้รู้จักมาก่อนในอดีต
    เมื่อพระพรหมราชทุกองค์ได้เห็นนิมิตนี้
    พวกเขาได้ออกค้นหาจนมาถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้า
    พวกเขาได้โปรยดอกไม้เป็นเครื่องสักการะ
    ในเวลาเดียวกันก็ได้ถวายวิมานของตน
    แล้วทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้หมุนธรรมจักร
    และสรรเสริญพระองค์ด้วยคาถาสดุดี
    พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่ายังไม่ถึงเวลา
    ถึงแม้พวกเขาจะทูลอาราธนา แต่พระองค์ยังคงประทับนิ่ง
    ในสามทิศอื่นและในอนุทิศทั้งสี่
    ในทิศเบื้องบนและทิศเบื้องล่าง
    เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเหมือนกัน
    พระพรหมราชโปรยดอกไม้ ถวายวิมานของตน
    และทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้หมุนธรรมจักรว่า
    “พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเรื่องยากนักที่จักได้พบ
    ด้วยมหาเมตตาและมหากรุณาของพระองค์
    ได้ทรงโปรดเปิดประตูแห่งน้ำอมฤตให้กว้าง
    และหมุนจักรแห่งธรรมะอันสูงสุด”
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยปัญญาอันมิอาจวัดได้
    พระองค์ทรงรับคำอาราธนาของที่ประชุม
    และเพื่อพวกเขาพระองค์ทรงประกาศคำสอนต่างๆ
    อันมีอริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒
    ด้วยการบรรยายว่า จากอวิชชาถึงชราและมรณะ
    ล้วนเกิดขึ้นโดยเหตุแห่งชาติ โดยตรัสว่า
    “เกี่ยวกับความผิดและเรื่องเดือดร้อนมากมายเหล่านี้
    เธอควรจะเข้าใจพวกมันอย่างนี้”
    เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมนี้
    คนหกร้อยหมื่นล้านล้านล้านคน
    สามารถทำให้ขอบเขตแห่งความทุกข์หมดกำลังไป
    ทั้งหมดได้เข้าถึงสถานภาพของพระอรหันต์
    เมื่อพระองค์ทรงสอนพระธรรมเป็นครั้งที่สอง
    มหาชนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหนึ่งพันหมื่นสาย
    หยุดยอมรับสิ่งทั้งหลายแห่งโลกปรากฏการณ์
    และคนเหล่านี้สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ด้วย
    หลังจากนั้นพวกที่ได้บรรลุมรรค
    มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
    แม้จะมีผู้ใช้เวลาคำนวณสิบพันล้านกัป
    ก็ไม่สามารถคำนวณจำนวนของมันได้
    ครั้งนั้นเจ้าชายทั้ง ๑๖ องค์
    ได้ออกจากตระกูลไปบวชเป็นสามเณร
    พวกเขาได้ร่วมกันอาราธนาพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ให้ทรงเทศนามหายานธรรม โดยกราบทูลว่า
    “พวกเราและข้าราชบริพารทั้งหลาย
    ทั้งหมดจะได้บรรลุพุทธมรรคอย่างแน่นอน
    พวกเราอยากได้ปัญญาจักษุแห่งความบริสุทธิ์ที่สุด
    เช่นเดียวกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมี พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจความไร้เดียงสาของพวกเขา
    และกรรมที่พวกเขาได้กระทำมาแต่ชาติปางก่อน
    และโดยการใช้เหตุและปัจจัยมากมาย
    การอุปมาและการเปรียบเทียบต่างๆ
    พระองค์ทรงสอนบารมี ๖
    และเรื่องเกี่ยวกับอภิญญา
    ทำพระธรรมแท้ให้เห็นชัด
    มรรคที่พระโพธิสัตว์ปฏิบัติ
    ด้วยการสอนธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    เป็นคาถามากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาพระสูตรจบลงแล้ว
    พระองค์ได้เสด็จเข้าสู่ฌานในห้องอันเงียบสงัด
    ด้วยจิตเป็นหนึ่งทรงประทับในที่นั่งเดียว
    เป็นเวลา ๘๔,๐๐๐ กัป
    ฝ่ายสามเณรทั้ง ๑๖ รูปด้วยรู้ว่า
    พระพุทธองค์จะยังไม่ทรงลุกออกจากฌาน
    ดังนั้นเพื่อมหาชนมากมายหลายล้าน
    พวกเขาได้สอนปัญญาอันสูงสุดของพระพุทธเจ้า
    โดยแต่ละคนได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์
    ทำการสอนมหายานสูตรนี้
    และหลังจากพระพุทธเจ้าได้เข้าสู่ความสงบเงียบแล้ว
    พวกเขาได้ประกาศธรรมต่อไป
    ช่วยเปลี่ยนแปลงผู้อื่นให้เข้าสู่พระธรรม
    สรรพสัตว์ที่ได้รับความช่วยเหลือ
    โดยสามเณรแต่ละองค์นั้น
    มีจำนวนมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    หกร้อยหมื่นล้านสาย
    หลังจากพระพุทธเจ้านั้นได้เสด็จเข้าสูความดับแล้ว
    คนเหล่านั้นผู้ซึ่งได้สดับพระธรรมแล้ว
    ได้อาศัยอยู่ที่นี่และที่นั่นในพุทธเกษตรต่างๆ
    พวกเขาได้เกิดใหม่พร้อมกับอาจารย์ของเขาเสมอ
    และสามเณรทั้ง ๑๖ รูปนี้
    ได้ปฏิบัติพุทธมรรคสมบูรณ์แล้ว
    ในปัจจุบันกำลังอาศัยอยู่ในทิศทั้งสิบ
    ที่นั่นแต่ละรูปได้บรรลุความรู้แจ้งที่ถูกต้องแล้ว
    คนที่ได้สดับพระธรรมในครั้งนั้น
    แต่ละคนอยู่ในสถานที่ที่มีพระพุทธะเหล่านี้องค์หนึ่ง
    และพวกที่ยังอยู่ขั้นแห่งพระสาวก
    ค่อยๆ ได้รับการสั่งสอนพุทธมรรค
    ตัวเราเองเป็นองค์หนึ่งในจำนวน ๑๖ องค์
    และในอดีตเราได้สอนพวกเธอมาแล้ว
    เพราะเหตุนี้เราจะใช้กุศโลบาย
    นำพวกเธอในการตามหาพุทธปัญญา
    เนื่องจากเหตุและปัจจัยแต่ก่อนเหล่านี้
    ในเวลานี้เราจึงสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    เราจะทำให้พวกเธอเข้าสู่พุทธมรรค
    จงตั้งใจให้ดีและอย่ามีความกลัว!
    สมมุติว่ามีถนนยาวสูงชันสายหนึ่ง
    อยู่ในดินแดนกันดารห่างไกลเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย
    ทั้งยังเป็นสถานที่ไม่มีน้ำหรือไม่มีหญ้า
    เป็นถนนที่ผู้คนหวาดกลัวนัก
    คนกลุ่มใหญ่มากมายหลายพันหลายหมื่น
    ต้องการเดินทางผ่านถนนอันสูงชันนี้
    แต่ถนนสายยาวมาก
    ยาวถึง ๕๐๐ โยชน์
    ในครั้งนั้น มีผู้นำทางคนหนึ่ง
    มีความรอบรู้ มีปัญญา
    มีความเข้าใจแจ่มแจ้งและจิตใจมั่นคง
    สามารถช่วยคนให้พ้นจากความยากลำบากนานาได้
    คนกลุ่มนั้นเกิดความเมื่อยล้าและท้อถอย
    จึงได้พูดกับผู้นำของเขาว่า
    “เวลานี้พวกเราเหน็ดเหนื่อยหมดแรงแล้ว
    และอยากจะเดินทางกลับเสียตรงนี้เลย”
    ผู้นำทางได้คิดกับตนเองดังนี้
    คนเหล่านี้ช่างน่าสงสารจริงๆ !
    ทำไมพวกเขาจึงอยากเดินทางกลับเอาตอนนี้
    และยอมสูญเสียทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมายข้างหน้า
    ครั้นแล้วเขาได้คิดถึงกุศโลบาย
    ตัดสินใจใช้อภิญญาของตน
    เขาได้เนรมิตเมืองปราสาทใหญ่กำแพงล้อมรอบขึ้น
    และอาคารบ้านเรือนประดับประดาอย่างสวยงาม
    ห้อมล้อมด้วยสวนและป่า
    มีทางน้ำไหล สระน้ำ และทะเลสาบ
    มีประตูสองชั้น หอคอยสูง และพลับพลา
    ทั้งหมดเต็มไปด้วยประชาชนชายหญิง
    ในทันทีที่เขาได้สร้างสิ่งลวงตานี้แล้ว
    เขาได้ปลอบใจกลุ่มผู้เดินทางว่า “ไม่ต้องกลัว
    พวกท่านสามารถเข้าไปในปราสาทนี้
    และหาความเพลิดเพลินได้ตามใจชอบ”
    เมื่อคนทั้งหมดได้เข้าไปในปราสาทแล้ว
    พวกเขาต่างดีอกดีใจกันทุกคน
    ทุกคนมีความรู้สึกสบายและสงบ
    บอกตัวเองว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว
    เมื่อผู้นำทางรู้ว่าพวกเขาได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว
    เขาได้เรียกผู้เดินทางมารวมกันแล้วประกาศว่า
    “บัดนี้พวกท่านต้องเดินทางต่อไป
    ปราสาทนี้เป็นเพียงปราสาทเนรมิตเท่านั้น
    ข้าพเจ้าเห็นพวกท่านเหน็ดเหนื่อยและหมดแรง
    จนอยากเดินทางกลับเสียกลางทาง
    เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    เนรมิตปราสาทนี้ขึ้นมาเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
    บัดนี้ พวกท่านต้องมุ่งหน้าต่อไปด้วยความขยัน
    เพื่อว่าพวกท่านจะได้ไปถึงที่เก็บสมบัติอันล้ำค่าด้วยกัน”
    เราก็ทำเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
    ทำหน้าที่เป็นผู้นำของสรรพสัตว์
    เราเห็นผู้แสวงหามรรค
    เกิดความท้อถอยในระหว่างการเดินทาง
    ไม่สามารถที่ผ่านถนนสูงชัน
    แห่งความเกิด ความตาย และกิเลสไปได้
    เพราะฉะนั้น เราจึงได้ใช้พลังแห่งกุศโลบาย
    ทำการสอนนิพพานเพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อน
    โดยกล่าวว่า “ความทุกข์ของเธอดับแล้ว
    เธอได้ปฏิบัติสิ่งที่ควรปฏิบัติเสร็จแล้ว”
    เมื่อเรารู้ว่าพวกเขาได้เข้าถึงนิพพานแล้ว
    และทั้งหมดได้บรรลุขั้นของพระอรหันต์แล้ว
    เมื่อนั้นเราเรียกทุกคนมาร่วมประชุมใหญ่
    แล้วสอนพระธรรมแท้แก่พวกเขา
    พระพุทธะทั้งหลายด้วยพลังแห่งกุศโลบาย
    ทรงทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ แล้วสอนสามยาน
    แต่แท้จริงมีพุทธยานเพียงยานเดียวเท่านั้น
    นิพพานอีกสองชนิดเป็นการสอนเพื่อให้เกิดที่พักเท่านั้น
    บัดนี้เราขอบอกความจริงแก่พวกเธอว่า
    สิ่งที่พวกเธอบรรลุแล้วนั้นหาใช่ความดับจริงไม่
    เพื่อปัญญาความรอบรู้ของพระพุทธะ
    เธอต้องใช้ความพยายามและความขยันอันยิ่งใหญ่
    ถ้าเธอบรรลุความรู้แจ้งในพระธรรมของพระพุทธะ
    พร้อมด้วยปัญญาความรอบรู้และพละ ๑๐
    และมีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประจำตัวแล้ว
    เมื่อนั้นจึงจะเป็นความดับที่แท้จริงๆ
    พระพุทธะทั้งหลายด้วยความสามารถในฐานะเป็นผู้นำ
    ทรงสอนนิพพานเพื่อให้เป็นการพักผ่อน
    แต่เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพวกเธอพักผ่อนพอแล้ว
    พระองค์จะนำพวกเธอต่อไปสู่พุทธปัญญา
     
  8. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๘
    บทการประทานคำพยากรณ์แก่ลูกศิษย์ ๕๐๐ รูป

    เวลานั้น พระปุณณมันตานีบุตร เมือได้สดับจากพระพุทธเจ้าว่า พระธรรมนี้เป็นพระธรรมที่ถูกแสดงด้วยปัญญาและกุศโลบาย และสอดคล้องกับโอกาสอันเหมาะสม และยังได้สดับการพยากรณ์ว่า พระอัครสาวกจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ การได้สดับเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุและปัจจัยในอดีตชาติ และได้สดับการที่พระพุทธะทั้งหลายทรงมี
    เสรีภาพและอภิญญาอันยิ่งใหญ่นั้น เป็นการได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้จิตของท่านบริสุทธิ์และรู้สึกตื่นเต้น ทันใดนั้น ท่านได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ ครั้นแล้วได้ถอยออกมายังข้างหนึ่ง จ้องมองด้วยความเคารพที่พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยไม่ละ
    สายตาแม้ชั่วขณะ และคิดกับตนเองดังนี้ “พระผู้มีพระภาคเจ้าช่างเหนือธรรมดาจริงๆ พิเศษจริงๆ การกระทำของพระองค์ยากนักจักได้เห็น! ทรงปรับพระองค์ให้เข้ากับธรรมชาติหลากหลายของประชาชนในโลกนี้ แล้วทรงใช้กุศโลบายและความหยั่งรู้ พระองค์ทรงสอนพระธรรมแก่พวกเขา ดึงสรรพสัตว์ให้ออกจากความโลภและความ
    ยึดมั่นในสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ พรทั้งหมดของพระพุทธเจ้าเราไม่อาจที่จะบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้ มีเพียงพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ที่สามารถรู้ความปรารถนาที่มีอยู่ลึกในหัวใจของพวกเรามาตั้งแต่ต้น”
    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า “พวกเธอเห็นปุณณมันตานีบุตรนี้หรือไม่ เราได้ยกย่องเขาอยู่เสมอว่า เขาเป็นผู้เลิศในหมู่ผู้สอนธรรม เรายังได้สรรเสริญคุณงามความดีต่างๆ ของเขา ความเอาใจใส่ของเขาในการคุ้มครอง ยึดถือ ช่วยเหลือ และประกาศพระธรรมของเรา ความสามารถของเขาในการสอนธรรม การยัง
    ประโยชน์และการยังความยินดีให้เกิดแก่บริษัท ๔ ความละเอียดถี่ถ้วน ที่เขาเข้าใจในพระธรรมอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า ซึ่งเขาได้ช่วยยังความสมบูรณ์ให้แก่ผู้ปฏิบัติพรหมจรรย์ได้เป็นอย่างมาก ยกเว้นพระตถาคตเจ้าเสียแล้ว ไม่มีใครอื่นที่สามารถเท่าเทียมกับเขาได้ ในการอธิบายธรรมให้เข้าใจง่าย”
    “พวกเธอไม่ควรคิดว่า ปุณณะเขามีความสามารถในการคุ้มครอง การยึดถือ การช่วยเหลือ และการประกาศธรรมของเราเท่านั้น ในอดีตภายใต้พระพุทธะเก้าสิบล้านพระองค์ เขาก็ได้คุ้มครอง ยึดถือ ช่วยเหลือ และได้ประกาศพระธรรมอันถูกต้องของพระพุทธะเหล่านั้นด้วย ในหมู่ผู้สอนธรรมทั้งหลายในครั้งนั้น เขาก็เป็นผู้เลิศในการสอนธรรมเช่นกัน”
    “นอกจากนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับธรรมแห่งความว่างที่สอนโดยพระพุทธะทั้งหลาย เขามีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและถ่องแท้ เขาได้ปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว และตลอดเวลาสามารถสอนธรรมด้วยอาการแจ่มแจ้งและบริสุทธิ์ ปราศจากความกังขาสงสัย เขามีอภิญญาของพระโพธิสัตว์อย่างสมบูรณ์ ตลอดอายุขัยเขาปฏิบัติพรหมจรรย์เป็นนิจ อันทำให้คนอื่นๆ ในสมัยของพระพุทธะองค์นั้น ต่างคิดกันว่า นี่คือพระสาวกที่แท้จริง!”
    “อนึ่ง ปุณณะ โดยการใช้กุศโลบายนี้ ได้นำคุณประโยชน์มาให้แก่สรรพสัตว์มากมายหลายร้อยและหลายพัน และได้เปลี่ยนแปลงคนมากมายหลายอสงไขย ทำให้พวกเขาได้ตั้งจิตมุ่งต่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิ เพื่อที่จะทำพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์ เขาได้อุทิศตนให้แก่งานของพระพุทธะ ทำการสอนและเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์”
    “ภิกษุทั้งหลาย ปุณณะนี้ได้เป็นผู้เลิศในหมู่ผู้สอนธรรมในสมัยของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ เขายังเป็นผู้เลิศในหมู่ผู้สอนธรรมในสมัยของเรานี้ และเขาจะเป็นผู้เลิศในหมู่ผู้สอนธรรมในสมัยของพระพุทธเจ้าแห่งอนาคต ซึ่งจะอุบัติขึ้นในภัทรกัปนี้ ในทุกกรณีเขาจะทำการคุ้มครอง ยึดถือ ช่วยเหลือ และประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า ในอนาคตอีกเช่นกัน เขาจะคุ้มครอง ยึดถือ ช่วยเหลือ และประกาศธรรมของพระพุทธะมากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีขอบเขตจำกัด ทำการสอน เปลี่ยนแปลง และขัดเกลาสรรพสัตว์นับไม่ถ้วน และทำให้สรรพสัตว์เหล่านั้นตั้งจิตมุ่งต่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิ เพื่อการทำพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์ เขาจะอุทิศตนด้วยความขยันหมั่นเพียร ทำการสอนและเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์อยู่เสมอ”
    “เขาจะค่อยๆ ทำโพธิสัตว์มรรคให้สมบูรณ์ และเมื่อเวลาผ่านไปหลายอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน ที่นี่ในดินแดนที่เขากำลังอาศัยอยู่ เขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ เป็นพระพุทธะนามว่า ธรรมประภาสตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะพระผู้มีพระภาคเจ้า”
    “พระพุทธะพระองค์นี้จะมีสามพันพันใหญ่โลกธาตุจำนวนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาเป็นพุทธเกษตรของพระองค์ พื้นดินจะทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่างและราบเรียบดังฝ่ามือ ปราศจากเขาเตี้ยหรือเขาสูง หุบเขาตื้นหรือหุบเขาลึก ดินแดนนั้นจะเต็มไปด้วยศาลาและหอสูงทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง และเทพวิมานจะลอยอยู่ใกล้ๆ ในท้องฟ้า ดังนั้น มนุษย์กับเทวดาสามารถเห็นกันและติดต่อกันได้ ที่นั่น ไม่มีอบายภูมิหรือไม่มีสตรีเพศ สรรพสัตว์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นโดยโอปปาติกะ และจะไม่มีความปรารถนาอันลามก พวกเขาจะได้อภิญญา กายจะมีแสงเปล่งปลั่งและสามารถสัญจรไปไหนได้ดังใจ พวกเขามีความตั้งใจและความคิดมั่นคง ขยันหมั่นเพียรและฉลาด และทุกคนจะประดับตนด้วย
    สีทองและมหาปุริสลักษณะ ๓๒ เหมือนกันหมด สรรพสัตว์ทั้งหลายในดินแดนนั้นจะเสพอาหารสองชนิดเป็นประจำ อาหารอย่างหนึ่งคือ อาหารแห่งธรรมปีติ อีกอย่างหนึ่งคือความยินดีในฌาน ที่นั่นจะมีพระโพธิสัตว์มากมายหลายอสงไขยพันหมื่นล้านนยุตะ ทั้งหมดจะได้อภิญญาและปฏิสัมภิทา ๔ และจะมีความเชี่ยวชาญ และความสามารถในการสอนและการเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์เหล่าต่างๆ จำนวนพระสาวกจะมากมาย
    เหนือกำลังการคาดคะเนหรือการคำนวณใดๆ ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และวิโมกข์ ๘”
    “ดังนั้น พุทธเกษตรนี้จะมีบุญกุศลชนิดนี้อันไม่มีขอบเขตจำกัดเป็นเครื่องประดับและทำให้บริบูรณ์ กัปจะมีชื่อว่า รัตนาวภาส และพุทธเกษตรจะมีชื่อว่า สุวิศุทธา พระชนมายุของพระพุทธะพระองค์นั้นยาวนานหลายอสงไขยกัป พระธรรมของพระองค์จะดำรงอยู่นานมาก และหลังจากพระองค์เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว หอสถูปประดับด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่างจะถูกสร้างขึ้นถวายแด่พระองค์ทั่วดินแดนนั้น!”
    ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จงตั้งใจฟังให้ดี!
    มรรคที่เหล่าพุทธบุตรปฏิบัติตามนั้น
    เพราะว่าพวกเขาได้ศึกษาเรื่องกุศโลบายมาดีแล้ว
    จึงดูน่าประหลาดเหนือการที่จะคาดคิดได้
    พวกเขารู้ว่าสัตว์ส่วนมากพอใจในธรรมเล็กน้อย
    และมีความหวาดกลัวต่อปัญญาอันยิ่งใหญ่
    เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์
    จึงแสดงท่าทางเป็นพระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธะ
    ใช้กุศโลบายมากมายนับไม่ถ้วน
    ในการเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์ชนิดต่างๆ
    พวกเขาประกาศตนว่าเป็นพระสาวก
    และกล่าวว่าพวกเขายังอยู่ห่างไกลจากพุทธมรรค
    และด้วยเหตุผลนั้นนำความหลุดพ้นสู่หมู่ชนมากมาย
    อันช่วยให้พวกนั้นประสบความสำเร็จกันทุกคน
    แม้หมู่ชนนั้นจะมักน้อย เฉื่อยชา และเกียจคร้าน
    แต่ทีละน้อย พวกเขาจะถูกนำไปสู่การบรรลุพุทธภาวะ
    ภายในใจโดยซ่อนเร้น บรรดาพุทธบุตรแสดงเป็นพระโพธิสัตว์
    แต่โดยภายนอกพวกเขาแสดงตนเป็นพระสาวก
    พวกเขาดูราวกับว่ามีความมักน้อย
    เพราะเกลียดชังความเกิดและความตาย
    แต่แท้จริงแล้ว พวกเขากำลังทำพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์
    ต่อหน้าหมู่ชน พวกเขาดูเหมือนว่ายังมีพิษร้ายทั้งสาม
    หรือแสดงให้เห็นลักษณะแห่งมิจฉาทรรศนะ
    ศิษย์ของเราในวิธีนี้
    เป็นการใช้กุศโลบายในการช่วยสรรพสัตว์
    ถ้าเราจะบรรยายวิธีต่างๆ ทั้งหมด
    การแสดงมากมายที่เขาใช้ในการเปลี่ยนแปลงผู้อื่นแล้ว
    สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้สดับเรา
    จะเกิดความงุนงงสงสัยขึ้นในใจ
    ปุณณะนี้ในดีต
    เขาได้ปฏิบัติมรรคอย่างขยันขันแข็ง
    ภายใต้พระพุทธะหนึ่งพันล้านพระองค์
    ประกาศและคุ้มครองพระธรรมของพระพุทธะเหล่านั้น
    เพื่อการแสวงหาปัญญาอันสูงสุด
    เขาได้เข้าไปยังที่ประทับของพระพุทธะทั้งหลาย
    ได้เป็นผู้นำในหมู่ศิษย์ของพระองค์
    เป็นผู้มีความรู้และปัญญากว้างขวาง
    เขามิได้แสดงให้เห็นความหวาดกลัวในสิ่งที่เขาอธิบาย
    และสามารถยังความพอใจให้แก่ที่ประชุม
    เขาไม่เคยเหนื่อยหน่ายหรือท้อถอย
    ในการช่วยงานของพระพุทธะทั้งหลาย
    เขาได้ผ่านเข้าไปอยู่ในอภิญญา
    และมีปฏิสัมภิทา ๔ เรียบร้อยแล้ว
    เขารู้ความสามารถของหมู่ชนดีว่าแหลมหรือทื่อ
    และได้สอนพระธรรมบริสุทธิ์อยู่เสมอ
    เขาได้แสดงหลักการเช่นนั้นอย่างนี้
    ในการสอนหมู่ชนหลายพันหลายล้าน
    ทำให้พวกเขาเข้าอาศัยอยู่ในมหายานธรรม
    และตัวเขาเองกำลังทำพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์
    และในอนาคตเขายังจะได้ถวายทาน
    แด่พระพุทธะมากมายนับไม่ถ้วน
    การคุ้มครอง ช่วยเหลือ
    และประกาศพระธรรมอันถูกต้องของพระพุทธองค์
    และตัวเขาเองกำลังทำพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์
    ตลอดเวลาด้วยการใช้กุศโลบายต่างๆ
    ทำการสอนพระธรรมโดยปราศจากความหวาดกลัว
    ในการช่วยหมู่ชนเหลือคณานับได้
    ทำให้พวกเขาได้ตระหนักในปัญญาความรอบรู้
    เขาจะได้ถวายทานแด่พระตถาคตเจ้า
    เฝ้ารักษาและยึดถือคลังแห่งพระธรรม
    และต่อมาในภายหลังเขาจะได้เป็นพระพุทธะ
    พระนามว่า ธรรมประภาส
    พุทธเกษตรของพระองค์ชื่อ สุวิศุทธา
    ซึ่งจะประกอบด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง
    ส่วนกัปของพระองค์จะมีชื่อว่า รัตนาวภาส
    หมู่พระโพธิสัตว์จะมีมากมาย
    จำนวนหลายล้านนับไม่ถ้วน
    ทั้งหมดล้วนสำเร็จอภิญญา
    มีความสง่างาม คุณความดี ความเข้มแข็ง
    มีอยู่เต็มพุทธเกษตรนั้น
    ยังมีพระสาวกจำนวนนับไม่ถ้วน
    เพียบพร้อมด้วยวิชชา ๓ และวิโมกข์ ๘
    ได้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว
    พระสาวกเช่นนี้จะเป็นคณะสงฆ์ของพระองค์
    สรรพสัตว์แห่งพุทธเกษตรนั้น
    ล้วนเป็นผู้ห่างไกลจากความปรารถนาอันลามก
    พวกเขาจะเกิดโดยโอปปาติกะอันบริสุทธิ์
    พร้อมด้วยลักษณะเด่นทุกอย่างประดับกาย
    โดยมีธรรมปีติและความยินดีในฌานเป็นอาหาร
    พวกเขาจะไม่คิดถึงอาหารชนิดอื่นเลย
    ที่นั่นไม่มีสตรีเพศและไม่มีอบายภูมิ
    ภิกษุปุณณะนี้
    ได้รับพรเหล่านี้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
    และจะได้รับดินแดนอันบริสุทธิ์เช่นนี้
    พร้อมด้วยพระอริยะและนักปราชญ์หมู่ใหญ่
    นั่นเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมากมาย
    อันเรานำมากล่าวแต่เพียงโดยย่อในเวลานี้
    ครั้งนั้น พระอรหันต์ ๑,๒๐๐ รูป ผู้มีจิตเป็นอิสระต่างเกิดความคิดกับตนเองดังนี้ “พวกเราดีใจกับการได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ประทานคำพยากรณ์แห่งการตรัสรู้แก่พวกเราทุกคน เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พระอัครสาวกอื่นๆ แล้ว นั่นจะไม่เป็นเหตุแห่งความปีติยินดีดอกหรือ”
    พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดนี้ในใจของพวกเขา จึงได้ตรัสแก่พระมหากัสปะว่า “เกี่ยวกับพระอรหันต์ ๑,๒๐๐ รูปที่อยู่ต่อหน้าเราเวลานี้ เราจะมอบคำพยากรณ์ให้แก่แต่ละคนว่า พวกเขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ในที่ประชุมนี้ ภิกษุโกณฑัญญะ อัครสาวกของเรา เขาจะได้ถวายทานแด่พระพุทธะ ๖๒,๐๐๐ ล้านพระองค์ แล้วหลังจากนั้น เขาจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง พระนามว่า สมันตประภาสตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า และอรหันตสาวก ๕๐๐ รูป อันมี อุรุเวลากัสสปะ คยากัสสปะ นทีกัสสปะ กาโลทายิน อุทายิน อนุรุทธะ เรวัต กัปปินะ วักกุละ จุณทะ สวาคตะ เป็นอาทิ ทังหมดจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิและทั้งหมดจะมีพระนามเหมือนกันคือ สมันตประภาส”
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ภิกษุ โกณฑัญญะ
    จะได้พบพระพุทธะมากมายนับไม่ถ้วน
    และหลังจากเวลาอสงไขยกัปผ่านไปแล้ว
    ในที่สุดจะได้สำเร็จการตรัสรู้อันถูกต้องและสมบูรณ์
    มีแสงสว่างเปล่งปลั่งอยู่เสมอ
    มีอภิญญาเป็นสมบัติประจำตัว
    นามของเขาจะรู้จักกันทั่วไปในสิบทิศ
    ได้รับความเคารพนับถือจากทุกคน
    ตลอดเวลาเขาจะสอนแต่มรรคอันสูงสุด
    เพราะฉะนั้นเขาจึงมีนามว่า สมันตประภาส
    พุทธเกษตรของพระองค์บริสุทธิ์และสะอาด
    พระโพธิสัตว์ของพระองค์กล้าหาญและมีจิตใจร่าเริง
    ทุกคนจะขึ้นนั่งบนหอมหัศจรรย์
    ท่องเที่ยวไปยังดินแดนต่างๆ ในสิบทิศ
    เพื่อถวายสิ่งของอันสูงค่า
    เป็นของถวายแด่พระพุทธะต่างๆ
    หลังจากพวกเขาได้ถวายทานเหล่านี้แล้ว
    ใจของเขาจะเต็มไปด้วยความปีติยินดียิ่งนัก
    แล้วพวกเขาจะรีบเดินทางกลับดินแดนเดิมของตน
    นั่นคืออำนาจเหนือธรรมดาของพวกเขา
    พระพุทธะพระองค์นี้มีพระชนมายุยาว ๖๐,๐๐๐ กัป
    สมัยสุทธิธรรมจะดำรงอยู่สองเท่าของเวลานั้น
    และสมัยรูปธรรมจะดำรงอยู่อีกสองเท่าของเวลานั้น
    เมื่อสิ้นธรรมของพระองค์เทวดาและมนุษย์จะเศร้าโศก
    ภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป
    จะได้เป็นพระพุทธะกันตามลำดับ
    ทั้งหมดจะมีพระนามเดียวกันคือ สมันตประภาส
    แต่ละองค์จะประทานคำพยากรณ์แก่ผู้สืบทอดว่า
    “หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    เธอ ชื่อนั้นและชื่อนั้น จะได้เป็นพระพุทธะ
    โลกในที่ซึ่งเธอปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงนั้น
    จะเป็นเช่นเดียวกับของเราในวันนี้”
    เครื่องประดับและความบริสุทธิ์ของดินแดนนั้น
    อภิญญาต่างๆ ของพระองค์
    พระโพธิสัตว์และพระสาวกของพระองค์
    สมัยสุทธิธรรมและสมัยรูปธรรม
    จำนวนกัปแห่งพระชนมายุของพระองค์
    ทั้งหมดจะเป็นเช่นที่เราได้บรรยายมาแล้วข้างต้น
    กัสสปะ เวลานี้เธอได้ทราบอนาคต
    ของผู้มีจิตเป็นอิสระทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านี้แล้ว
    ส่วนเหล่าพระสาวกที่เหลือ
    จะเป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
    สำหรับพวกที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมนี้
    เธอจะต้องอธิบายและสอนแก่พวกเขาด้วย
    ครั้งนั้น พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เมื่อได้รับคำพยากรณ์การตรัสรู้แล้ว ต่างตื่นเต้นด้วยความปีติยินดี ในทันทีพวกเขาได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ พวกเขาได้แสดงความเสียใจต่อความผิดของตนเอง โดยตำหนิตนเองว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์เคยคิดกับตนเองเสมอว่า พวกข้าพระองค์ได้บรรลุความดับสนิทแล้ว เพราะเหตุใดหรือ เพราะว่าถึงแม้ว่าพวกข้าพระองค์จะมีความสามารถในการที่จะได้รับตถาคตปัญญา พวกข้าพระองค์ก็ยังพอใจอยู่กับปัญญาเล็กๆ น้อยๆ”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า มันเหมือนกับกรณีของชายคนหนึ่ง ซึ่งได้ไปยังบ้านของเพื่อนสนิท เมาสุราจัดแล้วนอนหลับไป ครั้งนั้น ฝ่ายเพื่อนเจ้าของบ้านต้องรีบออกไปทำงานราชกิจ เขาเอามณีล้ำค่ามาเย็บซ่อนใส่ไว้ในตะเข็บเสื้อ เพื่อที่จะให้เป็นของฝากแก่ชายผู้เป็นเพื่อนคนนั้นแล้วออกเดินทางไป ฝ่ายชายคนนั้นกำลังเมานอนหลับอยู่จึงไม่รู้เรื่องอะไร เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาได้ออกเดินทางไปยังประเทศอื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารและเครื่องนุ่งห่มสำหรับตนเอง เขาต้องเที่ยวแสวงหาด้วยกำลังและความขยันของเขาทั้งหมด อันต้องประสบกับความยากลำบากมากมาย แต่ก็ยังพอใจกับสิ่งที่เขาหาได้มาแม้จะเป็นของเพียงเล็กน้อย”
    “กาลต่อมา เขาได้พบกับเพื่อนสนิทอีกโดยบังเอิญ เพื่อนได้พูดว่า “ช่างโง่จริง ไอ้เพื่อนยาก! ทำไมแกต้องเที่ยวทำอย่างนี้เพียงเพื่ออาหารและเครื่องนุ่งห่มเล่า ก็เมื่อก่อนในปีนั้น เดือนนั้น และวันนั้น ฉันอยากให้แกมีความเป็นอยู่สบาย และมีความเพลิดเพลินด้วยกามคุณ ๕ ฉันจึงได้เอามณีล้ำค่าเย็บซ่อนติดไว้ในตะเข็บเสื้อของแก เวลานี้มันก็ยังอยู่ที่นั้น แต่แกไม่รู้จึงเที่ยวทนทุกธ์ทรมานด้วยความเหนื่อยากเพื่อการหาเลี้ยงชีพตนเอง แกนี่ช่างโง่เสียจริงๆ! แกไปเดี๋ยวนี้เลย เอามณีล้ำค่าไปแลกเป็นสิ่งของต่างๆ ที่แกต้องการ และทำในสิ่งที่แกต้องการจะทำ โดยไม่ต้องกลัวความยากจนและความขาดแคลนใดๆ อีกต่อไป”
    “พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นเช่นเพื่อนคนนี้ เมื่อสมัยที่พระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้สอนและได้เปลี่ยนแปลงพวกเรา ปลุกเร้าพวกเราให้ตั้งใจแสวงหาปัญญาความรอบรู้แต่ต่อมาพวกเราลืมมันหมด จนไม่รู้สึก ไม่รู้อะไรเลย การได้บรรลุอรหันตมรรค พวกเราคิดว่าเราได้บรรลุความดับแล้ว การพบกับความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพ พวกเราพยายามทำใจกับสิ่งเล็กน้อยที่เราได้รับ แต่ถึงอย่างไร พวกเราก็ยังไม่สูญสิ้นความปรารถนาในปัญญาความรอบรู้ไปเสียทีเดียว และในเวลานี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปลุกให้พวกเราตื่น และทำให้พวกเรารู้สึกตัว ทรงตรัสถ้อยคำเหล่านี้ “ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่พวกเธอได้มาแล้วนั้นหาใช่ความดับที่สุดไม่ เป็นเวลานานมาแล้ว เราได้ทำให้พวกเธอ ได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีของพุทธภาวะ และในฐานะที่เป็นกุศโลบาย เราได้แสดงให้พวกเธอได้เห็นลักษณะภายนอกของนิพพาน แต่พวกเธอคิดเอาเองว่า พวกเธอได้บรรลุนิพพานจริงๆ แล้ว”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้พวกข้าพระองค์เข้าใจแล้ว อันที่จริงพวกข้าพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์และได้รับคำพยากรณ์แล้วว่า พวกข้าพระองค์จะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ เพราะเหตุนี้เอง พวกข้าพระองค์จึงเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดี เป็นการได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะและคนอื่นๆ ปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พวกเราได้สดับเสียงแห่งคำพยากรณ์นี้
    ทำให้พวกเรามั่นใจในความสบายและความสงบสูงสุด
    พวกเราดีใจกับการได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
    พวกเราขอเคารพแด่พระพุทธะแห่งปัญญาอันไม่อาจวัดได้
    บัดนี้ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    พวกเราเสียใจในความบกพร่องและความผิดของเรา
    จากทรัพย์สมบัติเหลือคณานับของพระพุทธเจ้า
    พวกเราได้เพียงส่วนอันน้อยนิดของนิพพานเท่านั้น
    พวกเราเหมือนคนไม่รู้และโง่เขลา
    ที่ถือเอาเพียงสิ่งนั้นว่าเป็นการเพียงพอแล้ว
    พวกเราเป็นเหมือนกับชายยากไร้คนหนึ่ง
    ซึ่งได้ไปยังบ้านของเพื่อนสนิท
    บ้านนั้นเป็นบ้านที่มั่งคั่งมาก
    ได้จัดอาหารอย่างดีมาเลี้ยงเขาหลายจาน
    เพื่อนสนิทได้เอามณีล้ำค่า
    เย็บซ่อนไว้ในตะเข็บเสื้อของชายยากไร้
    เป็นการมอบให้โดยมิได้บอกแล้วรีบออกไป
    ส่วนชายยากไร้ด้วยกำลังหลับจึงไม่รู้เรื่องอะไร
    หลังจากชายยากไร้ตื่นขึ้นแล้ว
    เขาได้เดินทางไปที่นั่นที่นี่ถึงประเทศอื่น
    แสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มเพื่อเลี้ยงชีพ
    พบว่ามันยากที่จะเลี้ยงชีพให้เพียงพอ
    เขาพยายามทำใจให้พอใจกับสิ่งเล็กน้อยที่ได้รับ
    ไม่เคยคิดหวังสิ่งใดที่ดีกว่า
    ไม่รู้ว่าในตะเข็บเสื้อของเขา
    เขามีมณีล้ำค่าอยู่เม็ดหนึ่ง
    ต่อมาเพื่อนสนิทผู้ที่มอบมณีให้เขา
    ได้มาพบกับชายยากไร้โดยบังเอิญ
    และหลังจากได้ตำหนิชายยากไร้อย่างรุนแรงแล้ว
    ได้แสดงให้เขาได้เห็นมณีล้ำค่าที่ซ้อนอยู่ในตะเข็บเสื้อ
    เมื่อชายยากไร้ได้เห็นมณีล้ำค่า
    หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดียิ่งนัก
    เพราะเขาได้กลายเป็นคนร่ำรวยมีทรัพย์สินมากมาย
    เพียงพอที่จะทำให้เกิดความพอใจในกามคุณ ๕
    พวกเราเป็นเหมือนกับชายคนนั้น
    ตลอดราตรีอันยาวนาน พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ด้วยความเมตตา พระองค์ทรงสอน
    และเปลี่ยนแปลงพวกเราอยู่เสมอ
    ทำให้พวกเราได้ปลูกเมล็ดแห่งความทะเยอทะยานอันสูงสุด
    แต่เพราะว่าพวกเราไม่มีปัญญา
    พวกเราไม่สำนึกถึงเรื่องนี้ ไม่มีความรู้
    การได้รับส่วนน้อยนิดแห่งนิพพาน
    ทำให้พวกเราพอใจจึงไม่คิดหาสิ่งใดอีก
    แต่เวลานี้ พระพุทธองค์ทรงปลุกเราให้ตื่น
    ตรัสว่า “นี่ไม่ใช่ความดับจริง
    เมื่อใดเธอได้รับปัญญาอันสูงสุดของพระพุทธะแล้ว
    เมื่อนั้นจึงจะเป็นความดับที่แท้จริง!”
    บัดนี้ เราได้สดับฟังจากพระพุทธเจ้า
    คำพยากรณ์และการบรรยายเครื่องประดับเหล่านี้
    และการผลัดกันมอบคำพยากรณ์แก่ผู้สืบทอด
    ในกายและใจของพวกเราเต็มตื้นไปด้วยความยินดี
     
  9. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๙
    บทการประทานคำพยากรณ์
    แก่พระเสขะและพระอเสขะ

    เวลานั้น พระอานนท์กับพระราหุลได้คิดกับตนเองว่า “พวกเราจะมีความดีใจสักเท่าใด ถ้าพวกเราจะได้รับคำพยากรณ์การตรัสรู้บ้าง” ในทันทีพวกเขาได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเข้าไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า กระทำอภิวาทแทบเบื้องพระบาทของพระองค์แล้ว พวกเขาได้ร่วมกันกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ควรจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย พวกข้าพระองค์ได้มอบความไว้วางใจทั้งหมดแด่พระตถาคตเจ้าเท่านั้น และพวกข้าพระองค์ได้เป็นที่รักกันดีแก่ เทวดา มนุษย์ และอสูรแห่งโลกทั้งหลาย พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ผู้เฝ้ารักษาและยึดถือคลังแห่งธรรมตลอดมา และพระราหุลก็เป็นโอรสของพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าจะได้ประทาน
    คำพยากรณ์การบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แก่พวกข้าพระองค์แล้ว ความปรารถนาของพวกข้าพระองค์จะถูกทำให้สำเร็จ และความต้องการของมหาชนก็จะถูกทำให้พอใจด้วยเหมือนกัน พระเจ้าข้า”
    “ครั้งนั้น พระสาวกศิษย์ ๒,๐๐๐ รูปทั้งที่เป็นพระเสขะและพระอเสขะทั้งหมดได้ลุกจากที่นั่ง ครองจีวรเฉียงไหล่ขวา ก้าวเข้าไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ประนมมือและด้วยใจเดียวเพ่งมองด้วยความเคารพที่พระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวซ้ำความปรารถนาที่กล่าวโดยพระอานนท์และพระราหุลอีกครั้ง แล้วได้ออกไปยืนยังด้านหนึ่ง
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ พระอานนท์ว่า “ในอนาคตชาติ เธอจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่งมีนามว่า สาครวรธรพุทธวิกรีฑิตาภิชญตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า เธอจะได้ถวายทานแด่พระพุทธะ ๖๒ ล้านพระองค์
    และจะเฝ้ารักษาและเทิดทูนคลังแห่งธรรมของพระพุทธะเหล่านั้น และหลังจากนั้นเธอจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ เธอจะสอนและเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ยี่สิบพันหมื่นล้านสาย และจะทำให้พวกเขาได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ พุทธเกษตรของเธอจะมีชื่อว่า อนวนามิตาไวชยันต์ พื้นจะสะอาดและบริสุทธิ์ทำด้วยแก้วไพฑูรย์ ส่วนกัปจะมีชื่อว่า มโนชญศัพทาภิครรชิต พระชนมายุของพระพุทธะพระองค์นั้นจะยืนยาวมากมายหลายพันหมื่นล้านอสงไขยกัป ถึงแม้ใครจะใช้เวลาคิดคำนวณเป็นเวลาหลายพันหมื่นล้านอสงไขยกัปอันไม่อาจวัดได้ เขาก็มิอาจบอกจำนวนที่แน่นอนได้ สมัยสุทธิธรรมจะดำรงอยู่ในโลกนานเป็นสองเท่าแห่งพระชนมายุของพระพุทธะพระองค์นั้น และสมัยรูปธรรมจะดำรงอยู่ในโลกนานเป็นสองเท่าของสมัยสุทธิธรรม อานนท์ พระสาครวรธรพุทธวิกรีฑิตาภิชญพุทธะ จะได้รับการสรรเสริญอย่างเดียวกันจากพระตถาคตเจ้าแห่งสิบทิศ ซึ่งมีจำนวนมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหลายพันหมื่นล้านสาย และพระตถาคตเจ้าเหล่านั้นจะยกย่องบุญบารมีของพระองค์”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระกาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    บัดนี้เราขอบอกภิกษุทั้งหลายว่า
    อานนท์ ผู้ยึดถือพระธรรม
    จะถวายทานแด่พระพุทธะมากมาย
    และหลังจากนั้นจะได้สำเร็จสัมมาสัมโพธิ
    มีพระนามว่า สาครวรธร
    พุทธิวิกรีฑิตาภิชญพุทธะ
    พุทธเกษตรจะสะอาดและบริสุทธิ์
    มีชื่อว่า อนวนามิตาไวชยันต์
    พระองค์จะสอนและเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์
    จำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    พระพุทธะพระองค์นี้มีความสง่างามและความดีสูง
    เกียรติคุณของพระองค์จะระบือไปทั่วสิบทิศ
    พระชนมายุของพระองค์ยืนยาวไม่อาจวัดได้
    เพราะพระองค์ทรงมีเมตตาต่อสรรพสัตว์
    สมัยสุทธิธรรมจะอยู่นานสองเท่าแห่งพระชนมายุ
    สมัยรูปธรรมจะเป็นสองเท่าของเวลานั้นอีก
    สรรพสัตว์มากมายนับไม่ถ้วน
    จำนวนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ผู้ซึ่งในท่ามกลางแห่งธรรมของพระพุทธะ
    จะปลูกฝังเหตุและปัจจัยเพื่อนำไปสู่พุทธมรรค
    ครั้งนั้น ในที่ประชุมมีพระโพธิสัตว์ ๘,๐๐๐ องค์ ผู้ซึ่งเพิ่งจะได้เกิดความคิดตั้งใจที่จะบรรลุความรู้แจ้ง ทั้งหมดได้คิดกับตนเองดังนี้ “พวกเรายังไม่เคยได้ฟังการรับคำพยากรณ์เช่นนี้ แม้จะเป็นของพระโพธิสัตว์สักองค์หนึ่งเลย เพราะเหตุผลใดพระสาวกเหล่านี้จึงได้รับคำพยากรณ์เช่นนี้”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบความคิดในใจของพระโพธิสัตว์ เหล่านี้ จึงได้ตรัสแก่พวกเขาว่า “สาธุชนทั้งหลาย เมื่ออานนท์กับเราอยู่ในสำนักของพระธรรมคหนาภยุทคตราชพุทธะ ในครั้งนั้น เราทั้งสองคิดตั้งใจที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ อานนท์เขาพอใจในความรู้กว้างแห่งพระธรรมอยู่เสมอ ส่วนเราทุ่มเทให้กับความเพียรตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราจึงได้สำเร็จแล้วในการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ขณะที่อานนท์เฝ้ารักษาและยึดถือธรรมของเรา และเขายังจะเฝ้ารักษาคลังธรรมของพระพุทธะทั้งหลายแห่งชาติอนาคตเช่นกัน จะสอน จะเปลี่ยนแปลงและนำความสำเร็จสู่หมู่พระโพธิสัตว์ นั่นเป็นปณิธานดั้งเดิมของเขา เพราะฉะนั้นเขาจึงได้รับคำพยากรณ์นี้”
    เมื่อพระอานนท์ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำพยากรณ์นี้ที่พระพุทธองค์ทรงประทานแก่ท่าน ได้ฟังเรื่องพุทธเกษตรและเครื่องประดับที่ท่านจะได้รับ ทุกอย่างที่ท่านได้ตั้งปณิธานไว้ได้สัมฤทธิผลแล้ว ใจของท่านจึงเต็มตื้นไปด้วยความปิติยินดี กับการที่ท่านได้รับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเป็นอย่างยิ่ง ในทันที ท่านระลึกได้ถึงคลังธรรมของพระพุทธะแห่งอดีต จำนวนมากมายหลายพันหมื่นล้านพระองค์ และท่านสามารถเข้าใจธรรมเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีอุปสรรคกีดกั้น ราวกับว่าท่านได้สดับในเวลานี้เอง ท่านยังระลึกได้ถึงปณิธานดังเดิมของท่านอีกด้วย
    ครั้งนั้น พระอานนท์ได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ ดังนี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ยากนักจักได้พบ
    ทรงช่วยให้ข้าพระองค์ได้ระลึกถึงอดีต
    พระธรรมของพระพุทธะมากมายนับไม่ถ้วน
    ราวกับว่าข้าพระองค์ได้สดับในวันนี้
    บัดนี้ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยใดๆ อีก
    แต่อาศัยอยู่อย่างมั่นคงในพุทธมรรคแล้ว
    ในฐานะที่เป็นกุศโลบาย
    ข้าพระองค์แสดงตนเป็นพุทธอุปัฏฐาก
    เฝ้ารักษาและยึดถือพระธรรมของพระพุทธะทั้งหลาย
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระราหุลว่า “ในอนาคตชาติ เธอจะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า สัปตรัตนปัทมวิกรานตคามินตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า เธอจะได้ถวายทานแด่พระพุทธะและพระตถาคตมากมายเท่าเม็ดธุลีแห่งสิบทิศ ในทุกกรณี เธอจะเป็นราชบุตรองค์ใหญ่ของพระพุทธะเหล่านั้น เช่นเดียวกับที่เธอเป็นโอรสของเราในเวลานี้ เครื่องประดับพุทธเกษตรของพระสัปตรัตนปัทมวิกรานตคามินพุทธะ จำนวนกัปแห่งพระชนมายุของพระองค์ จำนวนศิษย์ที่พระองค์เปลี่ยนแปลง สมัยสุทธิธรรมและสมัยรูปธรรมของพระองค์ สิ่ง
    เหล่านี้มิได้แตกต่างจากของพระสาครวรธรพุทธิวิกรีฑิตาภิชญตถาคตเลย เธอจะเป็นราชบุตรองค์ใหญ่ของพระพุทธะพระองค์นั้นด้วย และหลังจากนั้นเธอจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    เมื่อสมัยเรายังเป็นมกุฎราชกุมาร
    ราหุลเป็นราชโอรสองค์ใหญ่ของเรา
    เวลานี้เมื่อเราบรรลุพุทธมรรคแล้ว
    เขารับพระธรรมและเป็นธรรมบุตรของเรา
    ในภพข้างหน้า
    เขาจะได้พบพระพุทธะมากมายหลายล้านพระองค์
    ในฐานะที่เป็นราชโอรสองค์ใหญ่ของพระพุทธะเหล่านั้น
    ด้วยใจเดียวเขาจะแสวงหาพุทธมรรค
    การกระทำอันซับซ้อนของราหุลนี้
    เราเท่านั้นที่สามารถทราบได้
    เขาแสดงตนเป็นโอรสองค์ใหญ่ของเรา
    เป็นการแสดงตนให้ปรากฎแก่สรรพสัตว์
    ด้วยพรมากมายเหลือคณานับ
    หลายล้านหลายพันหลายหมื่น
    เขาอาศัยอยู่อย่างมั่นคงในพุทธธรรม
    และด้วยวิธีนั้นเขาแสวงมรรคอันสูงสุด
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระกาคเจ้าสังเกตเห็นพระเสขะและพระอเสขะ ๒,๐๐๐ รูป ความตั้งใจอ่อนโยน สุภาพ สงบเงียบ และสะอาดบริสุทธิ์ เพ่งมองที่พระพุทธเจ้าด้วยใจเดียวพระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอเห็นพระเสขะและพระอเสขะทั้ง ๒,๐๐๐ รูปนี้หรือไม่”
    “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เห็นพวกเขาแล้ว”
    “อานนท์ คนเหล่านี้จะได้ถวายทานแด่พระพุทธะและพระตถาคตมากมายเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๕๐โลกธาตุ ถวายพระเกียรติและถวายความเคารพแด่พระองค์ เฝ้ารักษาและยึดถือคลังธรรมของพระองค์ ในชาติสุดท้ายสมัยเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดจะได้เป็นพระพุทธะในพุทธเกษตรต่างๆ ในสิบทิศ ทุกพระองค์จะมีพระนามและคุณสมบัติต่างๆ เหมือนกันคือ พระรัตนเกตุราชตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระชนมายุของพระองค์ยืนยาวหนึ่งกัป เครื่องประดับพุทธเกษตร พระสาวกและพระโพธิสัตว์ สมัยสุทธิธรรมและสมัยรูปธรรม ทุกอย่างของพระพุทธะเหล่านี้จะเหมือนกันหมด”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระสาวก ๒,๐๐๐ รูปนี้
    ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเราเวลานี้
    เราจะมอบคำพยากรณ์ให้แก่พวกเขาทั้งหมดว่า
    ในชาติอนาคต พวกเขาจะได้เป็นพระพุทธะกันทุกรูป
    พวกเขาจะได้ถวายทานแด่พระพุทธะมากมาย
    จำนวนเท่าเม็ดธุลีดังได้บรรยายแล้วข้างต้น
    พวกเขาจะเฝ้ารักษาและยึดถือคลังธรรม
    แล้วหลังจากนั้นจะได้รับความรู้แจ้งที่ถูกต้อง
    พุทธเกษตรของแต่ละองค์จะมีอยู่ในสิบทิศ
    และทุกองค์จะมีพระนามและคุณสมบัติเหมือนกัน
    ทั้งหมดในเวลาเดียวกันจะนั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติ
    และโดยทางนั้นจะได้รับการพิสูจน์แห่งปัญญาอันสูงสุด
    ทุกพระองค์จะมีพระนามว่า รัตนเกตุราช
    พุทธเกษตรและหมู่ศิษย์
    สมัยสุทธิธรรมและสมัยรูปธรรม
    จะเหมือนกันหมดไม่มีแตกต่างกันเลย
    ทุกพระองค์จะทรงใช้อภิญญา
    ช่วยสรรพสัตว์ในสิบทิศ
    เกียรติคุณของพระองค์จะระบือไปทั่วทุกแห่ง
    และในเวลาอันควรพระองค์จะเสด็จเข้าสู่นิพพาน
    ครั้งนั้น พระเสขะและพระอเสขะทั้ง ๒,๐๐๐ รูป เมื่อได้ลสดับคำพยากรณ์ที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้นี้แล้ว ต่างตื่นเต้นด้วยความปีติยินดีและได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทีปอันโชติช่วงแห่งปัญญา
    พวกข้าพระองค์ได้ฟังเสียงการประทานคำพยากรณ์นี้แล้ว
    หัวใจของพวกข้าพระองค์เต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดี
    ราวกับว่าพวกข้าพระองค์ได้อาบด้วยน้ำอมฤต!
     
  10. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๐
    ธรรมาจารย์

    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่บรรดามหาบุรุษทั้ง ๘๐,๐๐๐ องค์ โดยได้ตรัสผ่านพระไภษัชยราชโพธิสัตว์ว่า “ไภษัชยราช เธอเห็นในที่ประชุมนี้ อันมีปวงเทพ นาคราช ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์จำนวนมากมาย รวมทั้งเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พวกแสวงหาสาวกภาวะ พวกแสวงหาปัจเจกพุทธภาวะ หรือพวกที่แสวงหาพุทธมรรคหรือไม่ สรรพสัตว์นานาชนิดเหล่านี้ ผู้ซึ่ง ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าได้สดับคาถาหนึ่งหรือวลีหนึ่งของสัทธรรมปุณฑริกสูตร และเกิดความคิดยินดีแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งแล้ว เราจะมอบคำพยากรณ์แก่พวกเขาทั้งหมดว่า พวกเขาจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระไภษัชยราชว่า “อนึ่ง ถ้าหลังจาก พระตถาคตเจ้าได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว หากมีผู้ใดที่เมื่อได้สดับฟัง สัทธรรมปุณฑริกสูตร แม้เพียงคาถาหนึ่งหรือวลีหนึ่ง และชั่วขณะหนึ่ง คิดถึงมันด้วยความยินดีแล้ว เราจะขอมอบคำพยากรณ์ให้แก่เขาว่า เขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิเช่นเดียวกัน อีกอย่างหนึ่งถ้ามีผู้ใด ยึดถือ อ่าน สวด แสดงและคัดลอกสัทธรรมปุณฑริกสูตร แม้เพียงคาถาหนึ่งและมองพระสูตรนี้ด้วยความเคารพเช่นเดียวกับการมองพระพุทธเจ้า ได้ถวายเครื่องสักการะต่างๆ อันมี ดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย แป้งหอม ขี้ผึ้งหอม กำยาน ฉัตรผ้าไหม ธงและป้าย เสื่อผ้าและดนตรี และประนมมือด้วยความเคารพแล้ว ไภษัชยราช เธอควรจะ
    เข้าใจว่า คนเช่นนั้นได้ถวายเครื่องสักการะแล้วแด่พระพุทธะหนึ่งร้อยพันล้านพระองค์ และในสำนักของพระพุทธะเหล่านั้น เขาได้ทำมหาปณิธานของตนให้สำเร็จแล้ว และเพราะว่าเขามีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ เขาจึงได้มาเกิดในโลกมนุษย์นี้”
    “ไภษัชยราช ถ้าจะมีใครถามว่าสรรพสัตว์ใดสามารถที่จะได้บรรลุพุทธะภาวะในภพข้างหน้า เธอควรจะแสดงให้เขาเห็นว่า คนเหล่านี้ทั้งหมดในภพหน้าจะได้บรรลุพุทธภาวะแน่นอน ทำไมหรือ เพราะว่าถ้าสาธุชนชายหญิงใด ยึดถือ อ่าน สวด แสดงและคัดลอกสัทธรรมปุณฑริกสูตรแม้เพียงวลีเดียว ถวายเครื่องสักการะนานาชนิดแด่พระสูตร อันมีดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย แป้งหอม ขี้ผึ้งหอม กำยาน ฉัตรผ้าไหม ธงและป้าย เสื้อผ้าและดนตรี และประนมมือด้วยความเคารพแล้ว คนเหล่านี้จะได้รับการยกย่องและให้เกียรติโดยโลกทั้งมวล พวกเขาจะได้รับการบริจาคทานเช่นเดียวกับทานที่ถวายแด่พระตถาคตเจ้า เธอควรจะเข้าใจว่า คนเหล่านี้เป็นพระมหาโพธิสัตว์ผู้ประสบความสำเร็จในการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว และด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ เขาจึงได้มีปณิธานที่จะให้ได้ไปเกิดในหมู่สัตว์เหล่านั้น ซึ่งในที่นั่นเขาจะได้ทำการแสดงอย่างกว้างขวาง และทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ เกี่ยวกับสัทธรรมปุณฑริกสูตร และความจริงนี้ จะมีมากกว่าอีกสักเท่าใดแก่ผู้ที่สามารถยึดถือทั้งพระสูตร และถวายเครื่องสักการะนานาชนิดแด่พระสูตรนี้!”
    “ไภษัชยราช เธอควรจะเข้าใจว่า คนเหล่านี้ตั้งใจจะสละผลตอบแทน ที่เกิดจากการกระทำอันบริสุทธิ์ของตน และในสมัยหลังจากเราเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว เพราะว่าพวกเขามีความสงสารต่อสรรพสัตว์ พวกเขาจึงได้ไปเกิดในโลกอันชั่วร้าย เพื่อว่าพวกเขาจะได้แสดงพระสูตรนี้อย่างกว้างขวาง ถ้าสาธุชนชายหญิงเหล่านี้คนใดในสมัยหลังจากเราได้เข้าสู่ความดับแล้ว สามารถแสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรอย่างลับๆ แก่คน
    คนเดียว แม้ด้วยวลีเดียวของพระสูตรที่แล้ว เธอพีงทราบว่า เขาหรือเธอคนนั้นเป็นทูตของพระตถาคตเจ้า ถูกส่งมาโดยพระตถาคตเจ้าและปฏิบัติงานของพระตถาคตเจ้า แล้วจะมีมากกว่านี้อีกสักเท่าใดแก่ผู้ที่ทำการแสดงพระสุตรนี้แก่ผู้อื่นในที่ประชุมใหญ่อย่างกว้างขวางเล่า!”
    “ไภษัชยราช ถ้าจะพึงมีคนโหดร้าย ตลอดเวลากัปหนึ่งมาปรากฎตนต่อหน้าพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวจ้วงจาบพระพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำหยาบช้าโดยไม่หยุดเลย บาปของคนผู้นี้ควรจะถือว่ายังเบา แต่ถ้าผู้ใดกล่าวถ้อยคำร้ายเพียงคำเดียว ด่าหรือว่าร้ายแก่ฆราวาสหรือภิกษุ หรือภิกษุณี ผู้ที่อ่านและสวดสัทธรรมปุณฑริกสูตรแล้ว บาป
    ของเขาจะหนักมาก”
    “ไภษัชยราช คนที่อ่านและสวดสัทธรรมปุณฑริกสูตร เธอควรจะเข้าใจว่าคนเหล่านี้ประดับตนเองด้วยเครื่องประดับของพระพุทธเจ้า พวกเขาถูกแบกไว้บนพระอังสะของพระตถาคตเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด ทุกคนควรจะต้อนรับพวกเขาด้วยการคำนับ ด้วยการอัญชลีอย่างใจเดียว ด้วยความเคารพและการสรรเสริญ ด้วยดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย แป้งหอม ขี้ผึ้งหอม กำยาน ฉัตรผ้าไหม ธงและป้าย เสื้อผ้า อาหารชั้นเลิศและการบรรเลงดนตรี ทานอันเลิศที่สุดที่สามารถบริจาคให้แก่คนผู้หนึ่ง ควรจะบริจาคทานนั้นให้แก่พวกเขา พวกเขาควรจะได้รับการประพรมด้วยสมบัติสวรรค์ สมบัติ
    สวรรค์กองโตควรมอบให้เป็นของขวัญแก่พวกเขา ทำไมเราจึงกล่าวดังนี้ ทั้งนี้เพราะว่าคนเหล่านี้มีความพอใจในการแสดงพระธรรม และถ้าผู้ใดได้ฟังพวกเขาแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ผู้นั้นจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิอันสูงสุดในทันที”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระกาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าเธอปรารถนาที่จะอาศัยอยู่ในพุทธมรรค
    และประสบความสำเร็จในการได้รับปัญญาอันเกิดขึ้นเอง
    เธอควรจะหมั่นบริจาคทานอยู่เสมอ
    แก่ผู้ที่ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    ถ้าเธอปรารถนาที่จะได้รับ
    ปัญญาเกี่ยวกับชนิดต่างๆ ของสิ่งทั้งหลายโดยเร็วแล้ว
    เธอควรจะยึดถือพระสูตรนี้
    และในเวลาเดียวกันก็บริจาคทานแก่ผู้ที่ทำเช่นนี้ด้วย
    ถ้าผู้ใดสามารถยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตรได้แล้ว
    พึงทราบว่า คนผู้นั้นเป็นทูตของพระพุทธเจ้า
    ผู้ซึ่งมีความคิดเมตตาต่อสรรพสัตว์
    พวกที่สามารถทำการยืดถือ
    สัทธรรมปุณฑริกสูตร
    ยอมสละการเรียกร้องสิทธิ์ในดินแดนบริสุทธิ์ของตน
    และด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์จึงมาเกิดที่นี่
    พึงทราบว่าคนเช่นนั้นเหล่านี้
    พวกเขาเลือกเกิดที่ไหนๆ ได้อย่างอิสระ
    และได้เลือกมาเกิดในโลกอันชั่วร้ายนี้
    เพื่อว่าพวกเขาจะได้แสดงพระธรรมอันสูงสุดอย่างกว้างขวาง
    เธอควรจะถวายดอกไม้และเครื่องหอมทิพย์
    เสื้อผ้าประดับด้วยสิ่งมีค่าอันเป็นทิพย์
    กองสมบัติอันมหัศจรรย์แห่งสวรรค์
    เป็นทานแต่ธรรมาจารย์
    ในโลกอันชั่วร้ายภายหลังการเสด็จของเรา
    ถ้ามีผู้ใดสามารถยึดถือพระสูตรนี้
    เธอพึงประนมมือทำความเคารพ
    และบริจาคทานแก่พวกเขาดุจดังว่า
    เธอบริจาคถวายแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
    อาหารอันเลิศ ทั้งของหวานและของคาว
    พร้อมด้วยเสื้อผ้านานาชนิด
    เธอควรถวายเป็นทานแก่พุทธบุตรเหล่านี้
    เพื่อหวังที่จะได้ฟังการสอนของพวกเขาแม้ชั่วขณะหนึ่ง
    ถ้ามีผู้ใดในสมัยข้างหน้า
    สามารถน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้
    พวกเขาเป็นทูตที่เราส่งมาอยู่ในหมู่ประชาชน
    เพื่อปฏิบัติงานของพระตถาคต
    ถ้าในช่วงเวลากัปหนึ่ง
    ผู้ใดเกิดความชั่วร้ายขึ้นในใจ
    และด้วยความโกรธกล่าวคำหยาบจาบจ้วงพระพุทธเจ้า
    นั่นจะเป็นการกระทำที่เป็นบาปหนักอันไม่อาจวัดได้
    แต่ถ้าต่อผู้ที่อ่าน สวด และยึดถือ
    สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    ผู้ใดจะได้กล่าวร้ายแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง
    บาปของเขาจะหนักกว่านั้นมากมายนัก
    ถ้ามีผู้ใดแสวงหาพุทธมรรค
    และในระหว่างเวลากัปหนึ่ง
    ยืนสองมือประนมอยู่ต่อหน้าเรา
    และสวดคาถาสดุดีมากมายนับไม่ถ้วน
    เพราะเหตุแห่งการสรรเสริญพระพุทธเจ้าเหล่านี้
    เขาจะได้รับบุญกุศลมากมายอันไม่อาจวัดได้
    และถ้าผู้ใดยกย่องสรรเสริญผู้ที่เทิดทูนพระสูตรนี้
    บุญของเขาจะมีมากกว่านั้นเสียอีก
    ในชั่วระยะเวลา ๘๐ ล้านกัป
    ด้วยรูปและเสียงอันมหัศจรรย์ที่สุด
    และด้วยกลิ่น รส และ สัมผัส อันน่าพึงพอใจ
    บริจาคเป็นทานแก่ผู้นับถือพระสูตรนี้!
    ถ้าเธอบริจาคทานในลักษณะนี้
    และได้ฟังการสอนแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งแล้ว
    เธอจะประสบกับความยินดีและบุญ
    กล่าวว่า “ข้าฯได้รับคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว!”
    “ไภษัชยราช บัดนี้เราขอบอกเธอ
    เราได้สอนพระสูตรต่างๆ มาแล้วมากมาย
    แต่ในหมู่พระสูตรเหล่านั้น
    สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้เป็นพระสูตรยอดเยี่ยมที่สุด!
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า “พระสูตรที่เราสอนมาแล้วมีมากมายหลายพันหมื่นล้าน ในหมู่พระสูตรที่เราได้สอนแล้ว กำลังสอนอยู่ในเวลานี้ และจะสอนในอนาคต สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้เป็นพระสูตรที่เชื่อได้ยากที่สุด และเข้าใจได้ยากที่สุด ไภษัชยราช พระสูตรที่เป็นคลังแห่งจุดสำคัญอันเร้นลับของพระพุทธะทั้งหลาย พระสูตรนี้จะต้องไม่แจกจ่ายหรือถ่ายทอดแก่ผู้อื่นโดยไม่ระมัดระวัง พระสูตรนี้ได้รับการเฝ้ารักษาไว้แล้วโดยพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย และจากอดีตมาจนถึงบัดนี้ไม่เคยได้แสดงอย่างเปิดเผยเลย และเนื่องจากความเกลียดชังและความริษยาต่อพระสูตรนี้มีมาก แม้ในขณะที่พระตถาคตเจ้ายังอยู่ในโลก ดังนั้น ในสมัยหลังจากพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว เรื่องอย่างนี้จะมีมากกว่านี้อีกสักเท่าใด”
    “ไภษัชยราช เธอพึงทราบว่าหลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ถ้ามีผู้ใดสามารถคัดลอก ยึดถือ อ่าน และสวดพระสูตรนี้ ถวายเครื่องสักการะแด่พระสูตรนี้ และแสดงแก่ผู้อื่นแล้ว พระตถาคตเจ้าจะปกคลุมพวกเขาด้วยจีวรของพระองค์ และพวกเขายังจะได้รับการคุ้มครองและรักษาไว้ในใจโดยพระพุทธะมากมายซึ่งขณะนี้อยู่ใน
    ภูมิภาคอื่น คนเช่นนั้นเป็นผู้ที่มีพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ พลังแห่งความทะเยอทะยาน พลังแห่งรากเหง้าที่ดี เธอพึงทราบว่า คนเช่นนั้นได้อยู่ร่วมสถานที่เดียวกันกับพระตถาคตเจ้า และพระตถาคตเจ้าทรงแตะศีรษะของพวกเขาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์”
    “ไภษัชยราช ไม่ว่าในสถานที่ใดที่พระสูตรนี้ถูกสอนก็ดี ถูกอ่านก็ดี ถูกสวดก็ดี ถูกคัดลอกก็ดี หรือที่ใดที่ม้วนพระสูตรนี้มีอยู่ก็ดี ในทุกที่เช่นนั้นพึงจัดให้มีการสร้างหอสถูปทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง และหอสถูปเหล่านี้ จะต้องทำให้สูงและกว้าง และประดับตกแต่งให้สวยงาม ในหอสถูปนั้นๆไม่จำเป็นจะต้องบรรจุพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ทำไมหรือ เพราะว่า ในหอสถูปเช่นนั้น พระกายทั้งองค์ของพระตถาคตได้มีอยู่เรียบร้อยเแล้ว จึงควรถวายเครื่องสักการะนานาชนิดแด่หอเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย ฉัตรผ้าไหม ธงและป้าย ดนตรีและคำสดุดี พร้อมกับการถวายความเคารพ ถวายพระเกียรติ และถวายการยกย่องสรรเสริญ ถ้าเมื่อผู้ใดได้เห็นหอสถูปเหล่านี้ เขาโค้งให้ด้วยความเคารพและถวายเครื่องสักการะแล้วเธอพึงทราบว่าคนเช่นนั้นทั้งหมดได้เข้าไปใกล้อนุตตรสัมาสัมโพธิแล้ว”
    “ไภษัชยราช แม้ว่าจะมีคนมากมาย บางพวกที่ยังครองเรือน และบางพวกที่ได้ออกจากเรือนแล้ว เป็นพวกที่ปฏิบัติมรรคของพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าเขาไม่ตั้งใจที่จะเห็น สดับ อ่าน สวด คัดลอก ยึดถือ และถวายเครื่องสักการะแก่สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้แล้ว เธอพึงทราบว่า คนเช่นนันยังมิได้ปฏิบัติโพธิสัตว์มรรคในแบบที่เหมาะสม แต่ถ้ามีพวก
    ที่จะรับฟังพระสูตรนี้แล้ว พวกนั้นสามารถปฏิบัติโพธิสัตว์มรรคในแบบที่เหมาะสม ถ้าในหมู่สรรพสัตว์ผู้แสวงหาพุทธมรรค มีพวกที่ได้เห็นหรือได้สดับสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ และผู้ที่เมื่อได้สดับแล้ว มีความเชื่อ มีความเข้าใจ และ ยึดถือแล้ว เธอพึงทราบว่า คนเหล่านี้ได้เข้าใกล้อนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว”
    “ไภษัชยราช สมมุติว่ามีชายคนหนึ่งผู้ซึ่งคอแห้งผากด้วยความกระหายน้ำ เขาค้นหาน้ำโดยการขุดบ่อบนที่ราบสูง แต่ตราบใดที่เขาเห็นดินยังแห้งอยู่ เขารู้ว่าน้ำยังอยู่อีกไกล แต่เขายังไม่เลิกล้มความพยายาม และแล้วเขาได้เห็นดินชื้นขึ้นทีละน้อยๆ เขาขุดต่อไปจนกระทั่งเขาค่อยๆ เห็นดินโคลน ถึงตอนนี้เขาจึงตัดสินใจขุดต่อไป เพราะเขารู้ว่าเขากำลังอยู่ใกล้น้ำแน่ๆ แล้ว”
    “มรรคของพระโพธิสัตว์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน กล่าวคือตราบใดที่เขายังไม่ได้สดับ ยังไม่เข้าใจ และยังไม่สามารถปฏิบัติสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้แล้ว เธอควรจะทราบว่า คนผู้นั้นยังอยู่ห่างไกลจากอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แต่ถ้าเขาสามารถได้สดับ เข้าใจ ตรึกตรอง และปฏิบัติพระสูตรนี้แล้ว เธอควรจะทราบว่าเขาสามารถเข้าไปใกล้อนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว ทำไมหรือ เพราะว่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ในทุกกรณี ล้วนบรรลุได้ด้วยพระสูตรนี้ทั้งสิ้น พระสูตรนี้เปิดประตูแห่งกุศโลบายและแสดงให้เห็นรูปแห่งความเป็นจริงที่แเท้ คลังแห่งสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ถูกซ่อนไว้ลึกและห่างไกล อันเป็นที่ที่ไม่มีคนสามารถเข้าถึงได้ แต่เวลานี้ พระพุทธเจ้าทรงเปิดเผยมันออกมาแล้ว เพื่อสอน เปลี่ยนแปลงและชักนำพระโพธิสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความสำเร็จ”
    “ไภษัชยราช ถ้ามีพระโพธิสัตว์ผู้ซึ่งเมื่อได้สดับสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ ตอบรับด้วยความประหลาดใจ ความสงสัย และความหวาดกลัวแล้ว เธอพึงทราบว่า พวกเขาเป็นเพียงพระโพธิสัตว์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสู่มรรคเท่านั้น และถ้ามีพระสาวกผู้ซึ่งเมื่อได้สดับพระสูตรนี้แล้ว ตอบรับด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ความสงสัย และความหวาดกลัวแล้ว เธอพึงทราบว่าพวกเขาเป็นคนหยิ่งยโส”
    “ไภษัชยราช ถ้ามีสาธุชนชายหญิงผู้ซึ่งหลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ปรารถนาที่จะแสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้แก่บริษัท ๔ เขาควรจะแสดงพระสูตรนี้อย่างไร สาธุชนชายหญิงเหล่านี้จะต้องเข้าอยู่ในวิหารของพระตถาคต สวมจีวรของพระตถาคต นั่งบนอาสนะของพระตถาคต และแล้วเพื่อประโยชน์ของบริษัท ๔ พวกเขา
    พึงแสดงพระสูตรนื้อย่างกว้างขวาง”
    “วิหารของพระตถาคต” คือสภาพจิตที่แสดงออกซึ่งความเมตตาและความกรุณาอันยิ่งใหญ่ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย “จีวรของพระตถาคต” คือใจที่มีความสุภาพและความอดกลั้น “อาสนะของพระตถาคต” คือความว่างของปรากฏการณ์ทั้งหลาย เขาควรจะจัดที่นั่งตนเองให้สบายในที่นั้น แล้วหลังจากนั้นด้วยจิตใจอันไม่เกียจคร้านหรือเฉื่อยชา เพื่อประโยชน์ของโพธิสัตว์และบริษัท ๔ พึงแสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ให้กว้างขวาง”
    “ไภษัชยราช เราจะส่งบุคคลอันเราได้เนรมิตขึ้นไปยังดินแดนอื่น รวมคนมาประชุมกันเพื่อสดับพระธรรม และเรายังจะส่งหมู่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อันเราได้เนรมิตขึ้นแล้วไปรับฟังการสอนธรรมอีกด้วย บุคคลอันเราได้ เนรมิตขึ้นเหล่านี้จะรับฟังพระธรรม เชื่อและรับเอาไว้ และยึดถือตามโดยไม่มีการฝ่าฝืนเลย ถ้ามีผู้สอนธรรมใดอาศัยอยู่ในที่ว่างและที่เงียบ ในเวลานั้น เราจะส่งหมู่เทพ นาค ภูตผี คนธรรพ์ อสูรและคนอื่นๆ จำนวนมากไปรับฟังการสอนธรรมของเขา ถึงเราจะอยู่ในดินแดนอื่น เราก็จะให้ผู้สอนธรรมได้เห็นรูปกายของเราเป็นครั้งคราว ถ้าเขาเกิดลืมวลีหนึ่งของพระสูตรนี้ เราจะไปปรากฎและบอกให้เขารู้ในทันที เพื่อว่าเขาสามารถที่จะสวดพระสูตรได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าเธอต้องการกำจัด
    ความเกียจคร้านทั้งหลาย
    เธอจะต้องสดับรับฟังพระสูตรนี้
    ยากนักจักมีโอกาสได้สดับฟังพระสูตรนี้
    และการเชื่อและการยอมรับยิ่งเป็นการยากด้วย
    ถ้าคนกระหายต้องการน้ำ เขาได้ขุดบ่อบนที่ราบสูง
    แต่ตราบใดที่เขายังเห็นดินแห้ง
    เขารู้ว่าน้ำยังอยู่อีกไกล
    แต่ถ้าเขาเห็นดินค่อยๆ ชื้นและเป็นโคลน
    เมื่อนั้นเขารู้แน่ว่าเขากำลังอยู่ใกล้น้ำแล้ว
    ไภษัชยราช เธอพึงเข้าใจว่า
    ประชาชนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
    ถ้าพวกเขายังไม่ได้สดับฟังสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    พวกเขาจะยังอยู่ห่างไกลจากพุทธปัญญา
    แต่ถ้าพวกเขาได้สดับพระสูตรอันลึกซึ้งนี้
    ซึ่งให้ความหมายพระธรรมของพระสาวก
    ถ้าพวกเขาเมื่อได้ฟังราชาแห่งพระสูตรนี้
    และภายหลังคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว
    เธอพึงทราบว่าบุคคลเช่นนั้น
    อยู่ใกล้ปัญญาของพระพุทธะแล้ว
    ถ้าบุคคลใดจะแสดงพระสูตรนี้
    เขาควรจะต้องอยู่ในวิหารของพระตถาคต
    สวมจีวรของพระตถาคต
    นั่งบนอาสนะของพระตถาคต
    เผชิญหน้ากับที่ประชุมโดยปราศจากความหวาดกลัว
    แล้วแสดงพระสูตรนี้แก่พวกเขาอย่างกว้างขวาง
    โดยการทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ
    มหาเมตตาและมหากรุณาเป็นวิหาร
    ความสุภาพและความอดกลั้นเป็นจีวร
    ความว่างของปรากฏการณ์ทั้งหลายเป็นอาสนะ
    และจากสถานะนั้น เขาควรแสดงธรรมแก่พวกเขา
    ถ้าเมื่อผู้ใดแสดงพระสูตรนี้
    มีใครบางคนมากล่าวร้ายด่าว่าด้วยคำหยาบคาย
    หรือทำร้ายด้วยดาบและกระบอง ก้อนอิฐและก้อนหิน
    เขาพึงนึกถึงพระพุทธเจ้าและขอให้มีความอดทน
    ในหนึ่งพันหมื่นล้านดินแดน
    เราจะแสดงกายอันบริสุทธิ์และอมตะให้เห็น
    และตลอดเวลามากมายหลายล้านกัป
    จะแสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์
    ถ้าหลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    มีพวกที่สามารถอธิบายพระสูตรนี้
    เราจะส่งบริษัท ๔ อันเราเนรมิตขึ้น
    เป็นพวกภิกษุ ภิกษุณี
    อุบาสกและอุบาสิกาอันมีศรัทธาบริสุทธิ์
    ไปถวายทานแก่ ธรรมาจารย์
    พวกเขาจะชักนำสรรพสัตว์
    มาประชุมกันและทำให้ได้ฟังพระธรรม
    ถ้าผู้ใดคิดจะทำร้ายแก่ผู้สอนธรรม
    ด้วยดาบและกระบองหรือด้วยก้อนอิฐและก้อนหิน
    เราจะส่งบุคคลอันเราได้เนรมิตขึ้นมา
    ไปทำหน้าที่ให้การปกป้องคุ้มครองแก่เขา
    ถ้าพวกที่แสดงพระธรรม
    อาศัยอยู่คนเดียวในที่เปลี่ยวและเงียบ
    และในความเงียบนั้นไม่มีเสียงมนุษย์เลย
    พวกเขาอ่านและสวดพระสูตรนี้
    ในเวลานั้น เราจะสำแดงตนให้เห็น
    กายอันบริสุทธิ์และมีรัศมีของเราแก่พวกเขา
    ถ้าพวกเขาลืมข้อความหนึ่งหรือวลีหนึ่ง
    เราจะบอกให้เขาจำได้โดยตลอดและได้ผล
    ถ้าผู้ใดมีคุณความดีเหล่านี้เป็นสมบัติ
    แสดงธรรมแก่บริษัท ๔
    อ่านและสวดพระสูตรในที่เปลี่ยวแล้ว
    เราจะทำให้พวกเขาได้เห็นกายของเรา
    และถ้าผู้แสดงธรรมอยู่ในที่เปลี่ยวและเงียบ
    เราจะส่งหมู่เทวดา นาคราช
    ยักษ์ ภูตผี และคนอื่นๆ
    ไปรวมกันเป็นที่ประชุมและสดับพระธรรม
    คนอย่างนี้จะพอใจในการแสดงพระธรรม
    ทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ
    และเผชิญหน้าโดยไม่มีอุปสรรค
    เพราะพระพุทธะทั้งหลายทรงเฝ้ารักษาพวกเขาไว้ในใจ
    พวกเขาจึงสามารถทำความยินดีให้แก่ที่ประชุม
    ถ้าผู้ใดได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมาจารย์เหล่านี้
    เขาจะเข้าไปใกล้โพธิสัตว์มรรคโดยเร็ว
    โดยการปฏิบัติตามและศึกษาจากอาจารย์เหล่านี้
    เขาจะได้เห็นพระพุทธะมากมาย
    เท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาทีเดียว
     
  11. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๑
    บทการปรากฏให้เห็นของหอรัตนะ

    ในเวลานั้น ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า มีหอสถูปองค์หนึ่งประดับด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง สูง ๕๐๐ โยชน์ ฐานทั้งสี่ด้านกว้างด้านละ ๒๕๐ โยชน์ ผุดออกมาจากพื้นดินแล้วขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ หอสถูปองค์นี้ประดับด้วยรัตนะมีค่าหลายชนิด มีราวลูกกรงระเบียง ๕,๐๐๐ แห่ง ห้องคูหาหนึ่งพันหมื่นห้อง และประดับด้วยธงและป้ายจำนวนนับไม่ถ้วน แขวนไว้ด้วยระย้าเพชรพลอย และห้อยย้อยไว้ด้วยระฆังประดับอัญมณีหมื่นล้านใบ มีกลิ่นหอมไม้จันทน์ตมาลพัตรระเหยออกมาจากหอทั้งสี่ด้าน ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งโลก ป้ายและฉัตรทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่างอันมี ทอง เงิน ไพฑูรย์ หอยสังข์ หินโมรา ไข่มุกและโกเมน และหอสถูปนี้ สูงจรดทิพย์วิมานของท้าวจตุเทวราช ปวงเทวดาแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โปรยดอกมณฑารพสวรรค์ลงมา เป็นเครื่องสักการะแด่หอรัตนะนี้และปวงเทวดาอื่นๆ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ ที่ประชุมแห่งมหาชนหลายพันหมื่นล้าน ได้ถวายเครื่องสักการะนานาชนิด อันมี ดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย ธง ฉัตร และดนตรี แด่หอรัตนะ รวมทั้งการทำความเคารพ ให้เกียรติ และสดุดี
    ในเวลานั้น ได้มีเสียงดังออกมาจากรัตนสถูป กล่าวคำยกย่องดังนี้ว่า “ดีมาก ดีมาก! พระศากยมุนีพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่พระองค์ทรงนำเอามหาปัญญาแห่งความเสมอภาค พระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์ อันพระพุทธะทั้งหลายเฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ นั่นคือสัทธรรมปุณฑริกสูตร และทรงสอนพระสูตรนี้เพื่อประโยชน์แก่ที่ประชุมใหญ่นี้! จริงทีเดียว จริงที่เดียว พระศากยมุนีพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งหมดที่พระองค์ทรง
    แสดงมาแล้ว ล้วนเป็นความจริง!”
    ครั้งนั้น บริษัท ๔ ได้เห็นหอรัตนสถูปองค์ใหญ่ขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ และได้ยินเสียงดังออกมาจากหอรัตนะนั้น ต่างได้ประสบกับความยินดีแห่งพระธรรม ประหลาดใจกับสิ่งนี้ที่พวกเขาไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ทั้งหมดได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของตน ประนมมือด้วยความเคารพแล้วถอยออกไปอยู่ยังด้านหนึ่ง
    ในเวลานั้น มีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์องค์หนึ่ง นามว่า มหาประติภาณ ท่านได้ทราบความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจของเทวดา มนุษย์ อสูร และสัตว์เหล่าอื่นในโลกทั้งหลาย ท่านจึงได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุอะไรจึงทำให้หอรัตนะนี้ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และทำไมจึงมีเสียงนี้ดังออกมาจากภายในเล่า พระเจ้าข้า”
    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “มหาประติภาณโพธิสัตว์ ในหอรัตนะนี้มีพระกายอันสมบูรณ์ของพระตถาคตเจ้าพระองค์หนึ่ง นานมาแล้วในโลกธาตุพันหมื่นล้านอสงไขยมากมายนับไม่ถ้วนทางทิศตะวันออก มีพุทธเกษตรหนึ่งชื่อว่า รัตนวิศุทธา มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระนามว่า ประภูตรัตนะ สมัยเมื่อพระพุทธะพระองค์นี้ยังปฏิบัติโพธิสัตว์มรรคอยู่ พระองค์ได้ตั้งมหาปณิธานไว้ว่า “หลังจากเราได้เป็นพระพุทธะและได้เข้าสู่ความดับแล้ว ถ้าในดินแดนทั้งสิบทิศ ที่ใดมีการสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรแล้ว หอรัตนะของเราจะไปปรากฎที่นั่น เพื่อว่าเราจะได้รับฟังพระสูตรนี้ เป็นพยานรับรองพระสูตรนี้ และสรรเสริญความดีเลิศของพระสูตรนี้”
    “เมื่อพระพุทธะพระองค์นั้นได้ปฏิบัติพุทธมรรคสำเร็จแล้ว และเป็นเวลาที่พระองค์กำลังจะเข้าสู่ความดับ ในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่แห่งเทวดาและมนุษย์ พระองค์ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว ถ้าผู้ใดปรารถนาที่จะถวายทานแด่กายอันสมบูรณ์ของเราแล้ว พวกเขาควรจะสร้างหอสถูปใหญ่ขึ้นหอหนึ่ง” พระพุทธะพระองค์นั้นด้วยอภิญญาและพลังแห่งปณิธานของพระองค์ทรงทำให้แน่ใจว่า ทั่วโลกทั้งหลายในสิบทิศ ไม่ว่าจะเป็นที่ใด หากมีผู้ใดสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรแล้ว ในทุกที่นั้น หอรัตนะนี้จะปรากฏขึ้นต่อหน้าของผู้สอนธรรมนั้น และพระกายอันสมบูรณ์ของพระพุทธองค์ที่อยู่ในหอสถูป จะตรัสคำสรรเสริญว่า ดีมาก ดีมาก!”
    “มหาประติภาณ เวลานี้ หอสถูปของพระประภูตรัตนตถาคต เพราะว่าได้ยินเราสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตร จึงได้ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และกล่าวคำสรรเสริญว่า ดีมาก ดีมาก!”
    ในเวลานั้นพระมหาประติภาณโพธิสัตว์ เมื่อได้ทราบอำนาจเหนือธรรมดาของพระตถาคตแล้ว จึงได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้เห็นพระกายของพระพุทธะพระองค์นี้ พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระมหาประติภาณโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า “พระประภูตรัตนพุทธะนี้ได้ตั้งปณิธานอันลึกซึ้งไว้ว่า “เมื่อหอรัตนะของเราไปปรากฏ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด เพื่อที่จะสดับฟังสัทธรรมปุณฑริกสูตรแล้ว หากมีผู้ใดปรารถนาที่จะให้แสดงกายของเราต่อบริษัท ๔ แล้ว ขอให้พระพุทธะต่างๆ ซึ่งเป็นพระพุทธะแบ่งภาคของพระพุทธเจ้าองค์นั้น และกำลังแสดงธรรมอยู่ในโลกต่างๆ ในสิบทิศทั้งหมด กลับมารวมกันรอบๆ พระพุทธเจ้าองค์นั้นในที่เดียว เมื่อได้กระทำเช่นนั้นแล้วเท่านั้น กายของเราจึงจะปรากฏให้เห็นได้ มหาประติภาณเราจะอัญเชิญพระพุทธะต่างๆ ที่เป็นพระพุทธะแบ่งภาคแห่งกายของเรา และกำลังแสดงธรรมอยู่ในโลกต่างๆ ในสิบทิศมารวมกัน ณ บัดนี้”
    พระมหาประติภาณได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์และคนอื่นๆ ยังประสงค์ที่จะเห็นพระพุทธะทั้งหลายที่เป็นพระพุทธะแบ่งภาคของพระผู้มีพระภาคเจ้า และจะได้ถวายความเคารพและถวายทานแด่พระองค์ด้วย พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้เปล่งแสงออกจากพระอุณาโลมในทันที ทำให้ได้เห็นบรรดาพระพุทธะทางภูมิภาคตะวันออก ในพุทธเกษตรมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาห้าร้อยหมื่นล้านนยุตะสาย พุทธเกษตรเหล่านั้นมีพื้นเป็นแก้วผลึกและประดับด้วยต้นไม้อัญมณี และผ้าประดับเพชรพลอย พระโพธิสัตว์หลายพันหมื่นล้านนับไม่ถ้วนมีเต็มพุทธเกษตรเหล่านั้น และในทุกที่กั้นไว้ด้วยม่านประดับเพชรพลอย ทั้งเบื้องบนคลุมด้วยตาข่ายประดับอัญมณี พระพุทธะในพุทธเกษตรเหล่านั้นได้แสดงพระธรรมคำสั่งสอนต่างๆ ด้วยเสียงอันกึกก้องและมหัศจรรย์ และทุกคนสามารถเห็นพระโพธิสัตว์มากมายหลายพันหมื่นล้านเต็มพุทธเกษตรเหล่านี้ กำลังแสดงธรรมแก่ที่ประชุม สิ่งเหล่านี้มี
    ให้เห็นได้เช่นเดียวกันในภูมิภาคทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ และในอนุทิศทั้งสี่ รวมทั้งทิศเบื้องบนและทิศเบื้องล่าง ด้วยลำแสงอันสว่างจากพระอุณาโลมอันเป็นมหาปุริสลักษณะของพระพุทธเจ้า
    ครั้งนั้น พระพุทธะแห่งสิบทิศแต่ละองค์ได้ตรัสแก่หมู่พระโพธิสัตว์ของพระองค์ว่า “สาธุชนทั้งหลาย เวลานี้เราจะต้องไปยังสหาโลกธาตุอันเป็นที่ประทับของพระศากยมุนีพุทธเจ้า และยังจะได้ถวายเครื่องสักการะแด่หอรัตนตถาคตอีกด้วย”
    ในทันใดนั้น ที่สหาโลกธาตุได้เปลี่ยนเป็นสถานที่แห่งความสะอาดและบริสุทธิ์ พื้นเป็นแก้วไพฑูรย์ ประดับด้วยต้นไม้อัญมณี และมีเชือกทองกั้นบอกแนวถนนแปดสาย ไม่มีหมู่บ้าน เมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ ทะเลใหญ่หรือแม่น้ำ ภูเขา ลำธาร หรือป่าไม้ ธูปหอมประดับเพชรพลอยจุดไว้ที่นั่นและดอกมณฑารพกลาดเกลื่อนไปทั่วพื้นดิน ตาข่ายและม่านประดับเพชรพลอยแผ่คลุมอยู่ข้างบน แขวนไว้ด้วยระฆังประดับอัญมณี และมีเพียงสมาชิกของที่ประชุมนี้เท่านั้นที่รวมกันอยู่ที่นั่น ส่วนเทวดาและมนุษย์อื่นทั้งหมดถูกย้ายออกไปอยู่ภูมิภาคอื่นหมด
    ครั้งนั้น พระพุทธะทั้งหลาย แต่ละองค์มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐาก เมื่อได้มาถึงสหาโลกธาตุแล้วได้เข้าไปยังที่ประทับใต้ต้นไม้อัญมณีต้นหนึ่ง ต้นไม้อัญมณีเหล่านี้แต่ละต้นสูง ๕๐๐ โยชน์ ประดับด้วยกิ่ง ก้าน ใบ ดอก และผล ในสัดส่วนที่เหมาะสม ใต้ต้นไม้อัญมณีเหล่านี้มีสีหบัลลังก์สูง ๕ โยชน์ประดับด้วยเพชรพลอยเม็ดใหญ่จำนวนมาก ครั้งนั้น พระพุทธะเหล่านี้แต่ละองค์ได้เข้าประทับนั่งเหนือ
    สีหบัลลังก์นี้ในท่าขัดสมาธิ ในแนวทางนี้ บัลลังก์จึงเต็มไปหมดทั่วทั้งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ แต่ยังไม่เพียงพอแม้สำหรับพระพุทธะแบ่งภาคของพระศากยมุนีพุทธเจ้าที่มาจากทิศเดียว
    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงมีพระประสงค์ที่จะเตรียมที่ประทับให้แก่พระพุทธะทั้งหลายที่แบ่งภาคจากกายของพระองค์ จึงทรงเปลี่ยนแปลงดินแดนเพิ่มเติมอีกสองร้อยหมื่นล้านนยุตะดินแดนในแปดทิศ ทรงกระทำให้ดินแดนเหล่านั้นสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีนรก เปรต เดรัจฉาน หรืออสูร พระองค์ยังได้ย้ายพวกเทวดาและมนุษย์ของดินแดนเหล่านั้นไปยังดินแดนอื่น พื้นของดินแดนที่พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงแล้วนี้เป็นแก้วไพฑูรย์ ประดับด้วยต้นไม้อัญมณีสูงตันละ ๕๐๐ โยชน์ และทุกต้นมีกิ่ง ก้าน ใบ ดอก และผลในสัดส่วนที่เหมาะสม ใต้ต้นไม้อัญมณีทุกต้นมีสีหบัลลังก์สูง ๕ โยชน์ประดับด้วยสิ่งล้ำค่านานาชนิด ดินแดนเหล่านี้ไม่มีทะเลใหญ่หรือแม่น้ำ หรือเทือกเขาใหญ่ เช่น ภูเขามุจลินทะ ภูเขามหามุจลินทะ ภูเขาจักรวาล ภูเขามหาจักรวาล หรือภูเขาสุเมรุ
    พื้นที่ทั้งหมดได้รวมกันเข้าเป็นดินแดนพระพุทธะเพียงดินแดนเดียว พื้นอัญมณีราบและเรียบ ม่านดาดฟ้าคาดไขว้ไปมาด้วยระย้าเพชรพลอย แผ่คลุมไปทั่วทุกแห่ง ธงและฉัตรแขวนลงมา ธูปประดับอัญมณีดอกใหญ่จุดปักไว้ และดอกไม้มณีสวรรค์กลาดเกลื่อนพื้นทั่วไป
    พระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงมีพระประสงค์ที่จะจัดที่ประทับให้เพียงพอแก่พระพุทธะทั้งหลายที่กำลังจะมาถึง อีกครั้งหนึ่ง พระองค์จึงได้เปลี่ยนแปลงสองร้อยหมื่นล้านนยุตะดินแดนในแปดทิศทำให้ดินแดนเหล่านั้นทั้งหมดสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีนรก เปรต เดรัจฉาน หรืออสูร พระองค์ยังได้ย้ายเทวดาและมนุษย์ไปอยู่ภูมิภาคอื่น พื้นของดินแดนเหล่านี้ที่เปลี่ยนแปลงแล้วเป็นแก้วไพฑูรย์ ดินแดนเหล่านี้มีต้นไม้อัญมณีแต่ละต้นสูง
    ๕๐๐ โยชน์ และมีกิ่ง ก้าน ใบ ดอก และผลในสัดส่วนที่เหมาะสมพอดี ใต้ต้นไม้อัญมณีเหล่านี้ทุกต้นมีสีหบัลลังก์สูง ๕ โยชน์ ตกแต่งด้วยเพชรพลอยเม็ดใหญ่ๆ มากมาย ดินแดนเหล่านี้ไม่มีทะเลใหญ่หรือแม่น้ำ หรือเทือกเขาใหญ่ๆ เช่น ภูเขามุจลินทะ ภูเขามหามุจลินทะ ภูเขาจักรวาล ภูเขามหาจักรวาล หรือภูเขาสุเมรุ พื้นทั้งหมดประกอบรวมกันเข้าเป็นดินแดนพระพุทธะเพียงดินแดนเดียว พื้นอัญมณีราบเรียบ ม่านดาดฟ้าคาดไขว้ไปมาด้วยระย้าเพชรพลอย แผ่คลุมไปทั่วทุกแห่ง ธงและฉัตรแขวนห้อยลงมา ธูปประดับอัญมณีดอกใหญ่จุดปักไว้ และดอกไม้มณีสวรรค์กลาดเกลื่อนเต็มพื้นทั่วไป
    ครั้งนั้น พระพุทธะเบ่งภาคของพระศากยมุนีพุทธเจ้าจากภูมิภาคตะวันออก พระพุทธะเหล่านี้ในดินแดนมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหลายร้อยพันหมื่นล้านนยุตะสาย ทุกพระองค์กำลังแสดงธรรม ได้เข้าไปรวมอยู่ที่นั่นหมดแล้ว และพระพุทธะทั้งหมดจากสิบทิศได้ค่อยๆ เข้ามาร่วมประชุมในวิธีนี้ และได้ประทับนั่งอยู่ในทิศทั้งแปด เวลานี้ในสี่ร้อยหมื่นล้านนยุตะดินแดนในทุกทิศจึงเต็มไปด้วยพระพุทธะ พระตถาคตเจ้า
    ณ เวลานี้ พระพุทธะทั้งหลายทุกพระองค์ได้ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ใต้ต้นไม้อัญมณีต้นหนึ่งแล้ว แต่ละพระองค์ได้ส่งพุทธอุปัฏฐากไปแสดงการปฏิสันฐานกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า พร้อมกับได้มอบดอกไม้มณีกำมือหนึ่งไปด้วย ตรัสสั่งว่า “สาธุชน เธอจงไปยังเขาคิชฌกูฏที่ประทับของพระศากยมุนีพุทธเจ้า และกราบทูลพระองค์ตาม
    คำของเราดังนี้ว่า “อาพาธและความกังวลของพระองค์ มีน้อยหรือ พระองค์ทรงเกษมสำราญและมีพระพลานามัยดีหรือ หมู่พระโพธิสัตว์และพระสาวกทั้งหมดอยู่กันสบายและสงบดีหรือ” ครั้นแล้วจงเอาดอกไม้มณีเหล่านี้โปรยไปยังพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องสักการะ และจงกราบทูลว่า “พระพุทธะองค์นั้นทรงมีพระประสงค์จะมีส่วนร่วมในการเปิดหอรัตนะนี้!” พระพุทธะทั้งหลายได้ส่งอุปัฏฐากของพระองค์ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าในทำนองเดียวกันนี้
    ครั้งนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงเห็นว่า พระพุทธะทั้งหลายที่เป็นพระพุทธะแบ่งภาคของพระองค์ ได้เข้ามาร่วมประชุมพร้อมกัน ทุกพระองค์ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว และได้ฟังพระพุทธะเหล่านี้ตรัสว่าพระองค์มีพระประสงค์จะมีส่วนร่วมในการเปิดหอรัตนะด้วย ทันใดนั้น พระองค์ได้เสด็จลุกขึ้นจากพระอาสน์และขึ้นไปประทับอยู่กลางอากาศ บริษัท ๔ได้ลุกขึ้นยืนประนมมือและเพ่งมองที่พระพุทธเจ้าด้วยใจเดียว
    เมื่อนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ขวาเปิดประตูของสัปตรัตนสถูป เสียงกึกก้องดังออกมาจากพระสถูปเหมือนเสียงการถอดกลอนของประตูเมืองใหญ่ และในทันที ทุกคนในที่ประชุมได้เห็น พระประภูตรัตนตถาคต ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ภายในหอรัตนะนั้น พระกายของพระองค์เต็มบริบูรณ์ไม่มีส่วนใดเสียหาย ประทับนั่งเหมือนกับกำลังอยู่ในฌาน และที่ประชุมได้ยินพระองค์ตรัสว่า “ดีมาก ดีมาก พระศากยมุนีพุทธะ! พระองค์ได้เทศนาสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้แล้วด้วยท่าทีสูงส่ง อาตมาภาพได้มายังที่นี่เพื่อว่าจะได้สดับฟังพระสูตรนี้”
    ในเวลานั้น บริษัท ๔ เมื่อได้ฟังพระพุทธเจ้า ซึ่งได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้วนานหลายหมื่นพันล้านกัปนับไม่ถ้วนในอดีตตรัสเช่นนั้น มีความประหลาดใจในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน ต่างนำเอาดอกไม้มณีสวรรค์จำนวนมากหว่านไปประพรมพระประภูตรัตนพุทธเจ้า และพระศากยมุนีพุทธเจ้า
    เวลานั้น พระประภูตรัตนพุทธเจ้าได้ถวายอาสนะของพระองค์ในหอรัตนะครึ่งหนึ่งแด่พระศากยมุนีพุทธเจ้า โดยตรัสว่า “พระศากยมุนีพุทธเจ้า ประทับนั่งที่นี่เถิด!” ในทันทีพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปในหอสถูป ทรงรับครึ่งหนึ่งของอาสนะนั้นแล้วประทับนั่งในท่าขัดสมาธิ
    เวลานั้น ทุกคนในที่ประชุมใหญ่ได้เห็นพระตถาคตเจ้าทั้งสองพระองค์ ประทับนั่งขัดสมาธิเหนือสีหบัลลังก์ในสัปตรัตนสถูป ทุกคนต่างคิดกับตนเองดังนี้ “พระพุทธะเหล่านี้ทรงประทับนั่งอยู่ในที่สูงและห่างไกลมาก! ถ้าพระตถาคตเจ้าจะได้ทรงใช้อภิญญาของพระองค์ เพื่อช่วยให้พวกเราได้ขึ้นไปอยู่กลางอากาศร่วมกับพระองค์บ้าง”
    ทันใดนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ทรงใช้อภิญญาของพระองค์ยกที่ประชุมใหญ่ทั้งหมดขึ้นไปอยู่ในอากาศ ครั้นแล้วด้วยพระสุรเสียงอันดัง พระองค์ได้ตรัสแก่บริษัท ๔ ว่า “ผู้ใดสามารถทำการสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรให้กว้างขวางในสหาโลกธาตุนี้บ้าง บัดนี้เป็นเวลาที่จะกระทำดังนั้นแล้ว เพราะอีกไม่นานพระตถาคตเจ้าจะเสด็จเข้าสู่นิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาที่จะมอบสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ให้แก่ใครสักคนหนึ่ง เพื่อว่าพระสูตรนี้จะได้รับการรักษาให้ดำรงอยู่ตลอดไป”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระอริยเจ้านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านี้
    แม้พระองค์ได้ เสด็จเข้าสู่ความดับนานแล้ว
    พระองค์ยังประทับนั่งอยู่ในรัตนสถูป
    ได้เสด็จมาที่นี้ด้วยเห็นแก่ประโยชน์ของพระธรรม
    พวกเธอทั้งหลาย ทำไมพวกเธอจึงไม่
    เพียรพยายามเพื่อประโยชน์ของพระธรรมบ้างเล่า
    พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ได้เสด็จเข้าสู่ความดับ
    จำนวนกัปนับไม่สิ้นสุดนานมาแล้ว
    แต่ในหลายแห่ง พระองค์ได้เสด็จมารับฟังพระธรรม
    เพราะว่าโอกาสเช่นนั้นยากนักจักได้พบ
    พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงมีปณิธานดั้งเดิมว่า
    “หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    เราจะไปทุกที่ไม่ว่าที่ใด
    จุดมุ่งหมายอันแน่วแน่ของเราคือการได้สดับพระธรรม!”
    นอกจากนี้ พระพุทธะเหล่านี้
    อันเป็นพระพุทธะแบ่งภาคจากกายของเรา
    มากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ก็ได้มาที่นี่ด้วยปรารถนาที่จะได้สดับพระธรรม
    และจะได้เห็นพระประภูตรัตนตถาคต
    ผู้ซึ่งได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ทุกพระองค์ได้ละทิ้งดินแดนอันมหัศจรรย์
    รวมทั้งหมู่ศิษย์ของพระองค์
    หมู่เทวดาและมนุษย์ นาคและภูตผี
    และเครื่องสักการะทั้งหลายที่พวกเขาถวายแด่พระองค์
    ได้เสด็จมายังที่นี่ด้วยความมุ่งหมาย
    ที่จะทำให้แน่ใจว่าพระธรรมจะดำรงอยู่ได้นาน
    เพื่อจัดให้เป็นที่ประทับแก่พระพุทธะเหล่านี้
    เราได้ใช้อภิญญา
    ย้ายฝูงชนจำนวนมากนับไม่ถ้วนออกไป
    ทำให้ดินแดนมากมายสะอาดบริสุทธิ์
    นำพระพุทธะเหล่านี้แต่ละองค์
    เข้าไปยังโคนต้นไม้อัญมณี
    ประดับตกแต่งแล้วดังดอกบัวบาน
    ประดับตกแต่งสระน้ำใสเย็นฉะนั้น
    ภายใต้ต้นไม้อัญมณีเหล่านี้
    มีสีหบัลลังก์
    เป็นที่ประทับนั่งของพระพุทธะเหล่านั้น
    จากการประดับด้วยความสว่างของพระพุทธองค์
    ทำให้ดูดังคบเพลิงใหญ่ที่กำลังลุกโชติช่วง
    ในความมืดมิดแห่งราตรี
    กลิ่นหอมมหัศจรรย์ระเหยออกจากพระพุทธกาย
    ขจรขจายไปทั่วทุกดินแดนในสิบทิศ
    สรรพสัตว์ถูกสะกดด้วยความหอม
    ไม่สามารถที่จะอดกลั้นความปิติยินดีไว้ได้
    ราวกับว่าพายุใหญ่
    ทำให้กิ่งต้นไม้เล็กต้องแกว่งไกวฉะนั้น
    โดยทางกุศโลบายนี้
    พระองค์ทรงทำให้แน่ใจว่าพระธรรมจะดำรงอยู่นาน
    ดังนั้นเราจึงบอกแก่ที่ประชุมใหญ่นี้ดังนี้
    หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ผู้ใดสามารถคุ้มครองและยึดถือ
    อ่านและสวดพระสูตรนี้บ้าง
    บัดนี้ ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
    ขอให้เขาก้าวออกมาและประกาศคำปณิธานของตน!
    พระประภูตรัตนพุทธเจ้านี้
    แม้พระองค์ได้เสด็จสู่ความดับไปนานแล้ว
    เพราะเหตุแห่งมหาปณิธานของพระองค์
    จึงทรงบันลือสีหนาท
    พระประภูตรัตนตถาคต ตัวเราเอง
    และพระพุทธะแบ่งภาคเหล่านี้ที่มาประชุมกันนี้
    ทรงทราบอย่างแน่ชัดว่า นี่คือจุดมุ่งหมายของเรา
    เธอพุทธบุตรทั้งหลาย
    ผู้ใดสามารถคุ้มครองพระธรรมบ้าง
    ขอให้เขาประกาศมหาปณิธานออกมา
    เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าพระธรรมจะดำรงอยู่ได้นาน!
    เขาผู้ที่สามารถทำการคุ้มครอง
    พระธรรมแห่งพระสูตรนี้แล้ว
    ด้วยวิธีนั้นจะเป็นการถวายทานแล้ว
    แด่เราและพระประภูตรัตนะ
    พระประภูตรัตนพุทธเจ้านี้
    ทรงประทับอยู่ในหอรัตนะ
    ได้เสด็จไปทั่วทั้งสิบทิศ
    ด้วยเห็นแก่ประโยชน์ของพระสูตรนี้
    ผู้ที่คุ้มครองพระสูตรนี้ยังจะได้ถวายทาน
    แด่พระพุทธะแบ่งภาคที่ได้เสด็จมาที่นี่
    ผู้ประดับและทำให้เกิดความสง่างาม
    ให้แก่โลกธาตุต่างๆ ทั้งหลาย
    ถ้าผู้สอนพระสูตรนี้
    เขาสามารถที่จะได้เห็นเรา
    เห็นพระประภูตรัตนตถาคต
    และเห็นพระพุทธะแบ่งภาคเหล่านี้
    พวกเธอสาธุชนทั้งหลาย
    พวกเธอทุกคนต้องพิจารณาให้รอบคอบ!
    เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก
    สมควรที่พวกเธอควรจะตั้งมหาปณิธาน
    พระสูตรอื่นๆ
    มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ถึงแม้เธอจะได้แสดงพระสูตรเหล่านั้น
    นั่นไม่สมควรจะถือว่าเป็นความยาก
    ถ้าเธอจับเอาเขาพระสุเมรุ
    แล้วขว้างมันออกไปไกล
    ยังดินแดนพระพุทธะมากมายนับไม่ถ้วน
    นั่นก็ไม่ควรจะถือว่าเป็นความยาก
    ถ้าเธอได้ใช้หัวแม่เท้าของตน
    ทำตรีสหัสะมหาสหัสละโลกธาตุให้เคลื่อนที่
    แล้วเตะมันไปไกลยังดินแดนอื่น
    นั่นก็ไม่ควรจะถือว่าเป็นความยาก
    ถ้าเธอยืนอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ
    และเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของที่ประชุม
    ได้สอนพระสูตรอื่นๆ นับไม่ถ้วน
    นั่นก็ไม่ควรจะถือว่าเป็นความยาก
    แต่ถ้าหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ในสมัยแห่งความชั่วร้าย
    เธอสามารถสอนพระสูตรนี้ได้
    นั่นจึงจะเป็นความยากจริง!
    ถ้ามีใครคนหนึ่ง
    ถือท้องฟ้าอันว่างเปล่าไว้ในมือของตน
    แล้วพาเดินไปรอบๆ ให้ทั่ว
    นั่นไม่ควรจะถือเป็นความยาก
    แต่ถ้าหลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ผู้ใดสามารถคัดลอกและยึดถือพระสูตรนี้
    และทำให้ผู้อื่นคัดลอกด้วย
    นั่นจึงจะเป็นความยากจริง!
    ถ้าผู้ใดนำเอามหาพิภพ
    มาวางบนเล็บเท้าของตน
    แล้วพาขึ้นไปยังพรหมโลก
    นั่นไม่ควรจะถือเป็นความยาก
    แต่ถ้าหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ในสมัยแห่งความชั่วร้าย
    ผู้ใดสามารถอ่านพระสูตรนี้แม้ชั่วขณะหนึ่ง
    นั่นจึงจะเป็นความยากจริง!
    ถ้าเมื่อสมัยเกิดไฟประลัยกัลป์
    ผู้ใดสามารถแบกฟ้อนหญ้าแห้งไว้บนหลัง
    แล้วเดินเข้าไปในกองไฟโดยไม่ไหม้
    นั่นไม่สมควรจะถือเป็นความยาก
    แต่หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้าผู้ใดสามารถยึดถือพระสูตรนี้
    และแสดงแก่คนแม้เพียงคนเดียว
    นั่นจึงจะเป็นความยากจริง!
    ถ้าผู้ใดสามารถยึดถือคลัง
    แห่ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์
    ๑๒ ส่วนแห่งพระสูตร
    และแสดงให้แก่ผู้อื่น
    ทำให้ผู้รับฟัง
    ได้อภิญญา ๖
    ถึงแม้ผู้นั้นจะทำได้ดังนั้น
    นั่นยังไม่ควรจะถือเป็นความยาก
    แต่หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้าผู้ใดสามารถได้สดับและยอมรับพระสูตรนี้
    และไต่ถามเกี่ยวกับความหมาย
    นั่นจึงจะเป็นความยากจริง!
    ถ้าคนใดแสดงพระธรรม
    ทำให้สรรพสัตว์มากมาย
    หลายพันหมื่นล้านนับไม่ถ้วน
    เท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
    มีอภิญญา ๖
    ถึงแม้เขาสามารถมอบผลบุญให้ได้เช่นนั้น
    นั้นก็ไม่ควรจะถือเป็นความยาก
    แต่หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้าผู้ใดสามารถเคารพนบนอบและยึดถือ
    พระสูตรอย่างเช่นพระสูตรนี้
    นั่นจึงจะเป็นความยากจริง!
    เพื่อประโยชน์แก่พุทธมรรค
    ในดินแดนมากมายนับไม่ถ้วน
    ตั้งแต่เริ่มต้นจนบัดนี้
    เราได้สอนพระสูตรมากมายอย่างกว้างขวาง
    ในหมู่พระสูตรเหล่านั้น
    พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ยอดเยี่ยมที่สุด
    ถ้าผู้ใดสามารถเทิดทูนพระสูตรนี้
    เขากำลังเทิดทูนพระกายของพระพุทธเจ้า
    พวกเธอสาธุชนทั้งหลาย
    หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ผู้ใดสามารถน้อมรับและยึดถือ
    อ่านและสวดพระสูตรนี้บ้าง
    บัดนี้ ณ เบื่องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
    ขอให้เขาก้าวออกมาและประกาศปณิธานของตน!
    พระสูตรนี้ยากที่จะยึดถือ
    ถ้าผู้ใดสามารถยึดถือแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง
    เราจะมีความสุขอย่างแน่นอน
    และพระพุทธะอื่นๆ ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน
    บุคคลใดที่สามารถทำได้ดังนี้
    จะได้รับการยกย่องจากพระพุทธะทั้งหลาย
    นี่คือสิ่งที่หมายถึง กล้าหาญ
    นี่คือสิ่งที่หมายถึง วิริยะ
    นี่คือสิ่งที่เรียกว่า การรักษาศีลและการปฏิบัติธุดงค์
    โดยวิธีนี้เขาจะได้บรรลุ
    พุทธมรรคอันสูงสุดโดยเร็ว
    และถ้าในสมัยอนาคต
    ผู้ใดสามารถอ่านและยึดถือพระสูตรนี้
    เขาจะเป็นบุตรที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
    อาศัยอยู่ในดินแดนอันบริสุทธิ์และดีงาม
    ถ้าหลังจากพระพุทธเจ้าเข้าสู่ความดับแล้ว
    ผู้ใดสามารถเข้าใจความหมายของพระสูตรนี้
    เขาจะเป็นดวงตาของโลก
    สำหรับเทวดาและมนุษย์
    ถ้าในสมัยอันน่าหวาดกลัวนั้น
    ผู้ใดสามารถสอนพระสูตรนี้แม้ชั่วขณะหนึ่ง
    เขาสมควรที่จะได้รับทาน
    จากเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
     
  12. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๒
    บทพระเทวทัต

    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่เหล่าพระโพธิสัตว์ เทวดาและมนุษย์ และบริษัท ๔ ว่า “ในอดีต เวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน เราได้เที่ยวแสวงหาสัทธรรมปุณฑริกสูตรโดยไม่เคยคิดเหนื่อยหน่าย ในระหว่างเวลากัปมากมายเหล่านั้น เราได้อุบัติเป็นผู้ปกครองอาณาจักรและได้ตั้งปณิธานที่จะแสวงหาโพธิญาณอันสูงสุดอยู่เสมอ จิตของพระองค์ไม่เคยหวั่นไหวหรือคิดท้อถอย และในความปรารถนาของพระองค์ที่จะทำบารมี ๖ ให้สำเร็จ พระองค์ได้บริจาคทานอย่างแข็งขันโดยไม่เคยคิดตระหนี่เลย ไม่ว่าจะเป็นช้างหรือม้า ของหายากทั้ง เจ็ด ประเทศ เมือง ภรรยา บุตรธิดา ข้าทาสบริวาร หรือบริจาคศีรษะ ตา ไขกระดูก ไขสมอง เนื้อ และแขนขาของตน พระองค์มิได้หวงแม้ความเป็นอยู่และชีวิตของตนเอง ในสมัยนั้น อายุของมนุษย์ยืนยาวมากไม่อาจวัดได้ แต่เพื่อพระธรรม
    พระราชาองค์นี้ได้สละอาณาจักรและราชบัลลังก์ของพระองค์ มอบอำนาจการปกครองให้แก่มกุฎราชกุมาร แล้วได้ตีกลองร้องประกาศไปทั่วทั้งสี่ทิศเพื่อการแสวงหาพระธรรม โดยประกาศว่า “ผู้ใดสามารถแสดงมหายานแก่ข้าพเจ้าได้บ้าง ข้าพเจ้าจะเลี้ยงดูและรับใช้เขาไปตลอดชีวิตของข้าพเจ้าเลย!”
    “ครั้งนั้นมีฤาษีตนหนึ่งได้เข้ามาหาพระราชาแล้วกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีมหายานสูตรหนึ่งชื่อว่า สัทธรรมปุณฑริกสูตร ถ้าท่านยอมปฏิบัติตามคำสั่งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแสดงพระสูตรนี้แก่ท่าน”
    “เมื่อพระราชาได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของพระฤาษี พระองค์มีความตื่นเต้นด้วยความปีติยินดียิ่งนัก ได้ติดตามพระฤาษีไปในทันที จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ เก็บผลไม้ ตักน้ำ เก็บฟื้น จัดหาอาหาร แม้การมอบร่างกายของพระองค์ให้เป็นเก้าอี้และที่นั่ง ไม่เคยมีความตระหนี้ในกายหรือใจเลย พระองค์ได้รับใช้พระฤาษีในลักษณะนี้อยู่เป็น
    เวลาหนึ่งพันปี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเห็นแก่พระธรรมทั้งสิ้น ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทำหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงดูและดูแลว่าพระฤาษีจะได้ไม่มีอะไรขาดแคลนเลย”
    ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    เราระลึกได้ถึงหลายกัปที่ผ่านไปแล้วแห่งอดีต
    เมื่อเราเพื่อที่จะแสวงหามหาธรรมะ
    แม้เราจะได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรทางโลก
    เราก็ไม่ได้ละโมบที่จะหาความพอใจในกามคุณ ๕
    แต่กลับตีฆ้องร้องป่าวไปทั้งสี่ทิศ
    “ผู้ใดมีมหาธรรมบ้าง
    ถ้าเขาอธิบายและสอนธรรมะนั้นแก่ข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะยอมเป็นทาสรับใช้ของเขา!”
    ครั้งนั้น ได้มีพระฤาษีตนหนึ่งนามว่า อสิตะ
    ได้เข้ามาและแจ้งแก่มหาราชองค์นี้ว่า
    “ข้าพเจ้ามีพระธรรมอันละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์
    ที่ไม่ค่อยจะได้รู้จักกันในโลกนี้
    ถ้าท่านสามารถปฏิบัติได้
    ข้าพเจ้าจะแสดงธรรมะนี้แก่ท่าน”
    เมื่อพระราชาได้สดับถ้อยคำของพระฤาษี
    หัวใจเต็มตื้นไปด้วยความยินดียิ่งนัก
    พระองค์ได้ไปอยู่กับพระฤาษีในทันที
    จัดหาทุกสิ่งให้ตามที่เขาต้องการ
    เก็บฟืน เก็บผลไม้ และข้าวป่า
    มอบสิ่งเหล่านี้ในเวลาอันควรด้วยความเคารพและนับถือ
    เพราะพระธรรมมหัศจรรย์ได้อยู่ในความคิด
    พระองค์จึงไม่เหนื่อยหน่ายในกายหรือใจเลย
    เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์ในทุกที่
    พระองค์ได้แสวงหามหาธรรมอย่างแข็งขัน
    โดยไม่ได้เอาใจใส่ในตนเอง
    หรือเพื่อความพอใจในกามคุณ ๕ เลย
    เพราะเหตุนั้นผู้ปกครองแห่งมหาอาณาจักร
    ด้วยการแสวงหาอย่างขยันจึงสามารถได้พระธรรมนี้
    และในที่สุดก็ได้บรรลุพุทธภาวะ
    ดังที่เราจะได้อธิบายแก่เธอ ณ บัดนี้
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “พระราชาในครั้งนั้น คือ
    ตัวเราเอง และพระฤาษีคือผู้ที่เป็นเทวทัตในเวลานี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเทวทัตเป็นมิตรที่ดีต่อเรา จึงสามารถเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยบารมี ๖ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ ผิวกายสีทองเข้ม พละ ๑๐ ความไม่กลัว ๔ สังคหวัตถุ ๔ คุณสมบัติพิเศษเฉพาะ ๑๘ อภิญญาและพลังแห่งมรรค ความจริงที่เราได้บรรลุความรู้แจ้งอันถูกต้องสมบูรณ์ และสามารถช่วยสรรพสัตว์อย่างกว้างขวางได้ ล้วนเนื่องมาจากเทวทัตผู้เป็นกัลยาณมิตรทั้งสิน”
    เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่บริษัท ๔ ว่า “เทวทัตนี้ หลังจากกัปนับไม่ถ้วนผ่านไปแล้ว จะได้บรรลุพุทธภาวะ มีพระนามว่า พระเทวราชตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า โลกธาตุของพระองค์มีชื่อว่า เทวโสปานา และในครั้งนั้น พระเทวราชพุทธะจะดำรงอยู่ในโลกนั้นเป็นเวลา ๒o มัธยมกัป ทำการสอนพระธรรมมหัศจรรย์เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์อย่างกว้างขวาง สรรพสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาจะได้บรรลุอรหัตผล สรรพสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วน จะเกิดจิตปรารถนาที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธะ สรรพสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา จะเกิดความปรารถนาในมรรคอันสูงสุด จะได้รับสัจจะแห่งความไม่มีการเกิด และจะไม่ถอยกลับอีก หลังจากพระเทวราชพุทธะเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว สมัยสุทธิธรรมจะดำรงอยู่ในโลกนาน ๒๐ มัธยมกัป พระสารีริกธาตุจากพระกายทั้งองค์ของพระองค์ จะถูกบรรจุไว้ในหอสถูปองค์หนึ่ง สร้างด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง สูง ๖๐ โยชน์ ฐานกว้างยาวด้านละ ๔๐ โยชน์ มวลเทวดาและมนุษย์จะนำดอกไม้หลายชนิด แป้งหอม ธูปหอม ขี้ผึ้งหอม เสื้อผ้า สายสร้อย ธงและป้าย ฉัตรอัญมณี ดนตรีและเพลงสดุดี ถวายด้วยความเคารพแด่สัปตรัตนสถูปอันมหัศจรรย์นั้น สรรพสัตว์มากมายจะได้บรรลุอรหัตผล สรรพสัตว์นับไม่ถ้วนจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธะ และสรรพสัตว์มากมายเหลือคณานับ จะเกิดจิตปรารถนาในโพธิญาณ และจะเข้าถึงขั้นแห่งการไม่ถอยกลับอีก”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า “ในสมัยอนาคต ถ้ามีสาธุชนชายและหญิง ผู้ซึ่งเมื่อได้สดับบทพระเทวทัตแห่งสัทธรรมปุณฑริกสูตรแล้ว เชื่อและนับถือบทนี้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ และไม่เกิดความสงสัยหรือสับสน พวกเขาจะไม่ตกสู่นรกภูมิหรือเปรตภูมิหรือเดรัจฉานภูมิ แต่จะได้ไปเกิดในที่ที่มีการปรากฎของพระพุทธะแห่งสิบทิศ และในทุกที่พวกเขาจะได้ฟังพระสูตรนี้เสมอ ถ้าพวกเขาได้เกิดในหมู่มนุษย์หรือเทวดา พวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับความพอใจอันมหัศจรรย์อย่างยิ่ง และถ้าพวกเขาได้ไปเกิดในที่ที่มีการปรากฎของพระพุทธะองค์ใด พวกเขาจะได้เกิดจากดอกบัวโดยโอปปาติกะ”
    ครั้งนั้น มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งในหมู่ผู้ติดตามของพระประภูตรัตนะ พระผู้มีพระภาคเจ้า จากภูมิภาคเบื้องล่าง มีนามว่า ปรัชญากูฏ ท่านได้กราบทูลพระประภูตรัตนพุทธะว่า “ราจะกลับแดนเดิมของเราหรือยัง พระเจ้าข้า”
    พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระปรัชญากูฏว่า “สาธุชน ขอให้คอยอีกสักครู่เถิด ที่นี่มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งนามว่า มัญชุศรี อันเป็นผู้ที่ท่านควรจะได้พบกับเขา เพื่อจะได้ไต่ถามและสนทนาเกี่ยวกับพระธรรมมหัศจรรย์กับเขา ก่อนที่ท่านจะกลับไปยังแดนเดิมของท่าน”
    ครั้งนั้น พระมัญชุศรี นั่งบนดอกบัวพันกลีบขนาดใหญ่เท่าล้อรถ และพระโพธิสัตว์ที่มากับท่านก็นั่งบนดอกบัวอัญมณีด้วยเช่นกัน พระมัญชุศรีได้ปรากฎออกมาในอาการปกติจากวังบาดาลของพญาสาครนาคราชในมหาสมุทรใหญ่ และขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ ครั้นแล้วได้ลอยตรงไปยังเขาคิชฌกูฏอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงแล้ว ท่านได้ลงจาก
    ดอกบัวก้าวเข้าไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสอง เมื่อท่านได้ถวายความเคารพเสร็จแล้ว ท่านได้เข้าไปหาพระปรัชญากูฏ ทำการปฏิสันถารกันแล้ว ได้ถอยออกไปนั่งยังด้านหนึ่ง
    พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์ได้ถามพระมัญชุศรีว่า “ท่านผู้เจริญขอรับ เมื่อท่านได้ไปยังวังของพญานาคราช ท่านเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์ได้มากน้อยเท่าใด ขอรับ”
    พระมัญชุศรีตอบว่า “จำนวนไม่อาจวัดได้ไม่สามารถคิดคำนวณได้ ไม่อาจแสดงได้ด้วยปาก ไม่อาจหยังได้ด้วยใจ คอยสักครู่จะมีการพิสูจน์ขอรับ”
    ก่อนที่พระมัญชุศรีจะกล่าวจบ พระโพธิสัตว์มากมายนั่งบนดอกบัวอัญมณี ได้ปรากฎออกมาจากมหาสมุทรและได้มุ่งตรงมายังยอดเขาคิชฌกูฏอันศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นพวกเขาได้ลอยอยู่กลางอากาศ พระโพธิสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดได้รับการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือโดย พระมัญชุศรี พวกเขาได้ปฏิบัติธรรมทั้งหมดของพระโพธิสัตว์ และทั้งหมดได้สนทนาและแสดงบารมี ๖ แก่กันและกัน และพวกที่เคยเป็นพระสาวกก็ได้แสดงการปฏิบัติของพระสาวกแก่กัน แต่เวลานี้ทุกคนได้ปฏิบัติหลักธรรมแห่งความว่างของมหายานกันหมดแล้ว
    พระมัญชุศรีได้กล่าวแก่พระปรัชญากูฏว่า “งานแห่งการสอนและการเปลี่ยนแปลงที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติในมหาสมุทรได้เป็นเช่นที่ท่านได้เห็นนั้นแล ขอรับ”
    ครั้งนั้น พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์ได้สวดคาถาสดุดีเหล่านี้ว่า
    โอ้ ด้วยปัญญาและความดีใหญ่
    ความกล้าหาญและความแข็งแรง
    ท่านได้เปลี่ยนแปลงและช่วยสรรพสัดว์นับไม่ถ้วน
    เวลานี้พวกที่อยู่ในที่ประชุมใหญ่นี้
    รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเอง ได้เห็นพวกเขาทั้งหมดแล้ว
    ท่านได้แสดงหลักการของลักษณะที่เป็นจริง
    เปิดเผยพระธรรมแห่งเอกยาน
    ชี้แนะอย่างกว้างขวางแก่คนมากมาย
    ทำให้พวกเขาได้บรรลุโพธิโดยเร็ว
    พระมัญชุศรีกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในมหาสมุทร ตลอดเวลาข้าพเจ้าได้แสดงแต่เพียงพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรเท่านั้น”
    พระปรัชญากูฎโพธิสัตว์ได้ถามพระมัญชุศรีว่า “ท่านขอรับ พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน และมหัศจรรย์ยิ่ง เป็นสมบัติล้ำค่าในหมู่พระสูตรทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก มีสรรพสัตว์ใดบ้างที่ปฏิบัติพระสูตรนี้อย่างจริงจังและอย่างขยันหมั่นเพียรแล้วสามารถบรรลุพุทธภาวะโดยเร็ว”
    พระมัญชุศรีตอบว่า “มีคนหนึ่งเป็นธิดาของพญาสาครนาคราช ชันษาเพียง ๘ ปี ปัญญาของเธอมีอินทรีย์แก่กล้า และเธอมีความสามารถในการเข้าใจกิจกรรมต้นตอและการกระทำทั้งหลายของสรรพสัตว์ เธอเชี่ยวชาญในธารณีดีแล้ว สามารถรับและยึดถือคลังแห่งความลับอันลึกซึ้งทั้งหมดที่พระพุทธองค์ทรงสอนแล้ว เข้าอยู่ลึกในฌานแล้ว เข้าใจคำสอนทั้งหลายอย่างทั่วถึงแล้ว และในชั่วขณะเดียวได้เกิดความคิดปรารถนาในโพธิญาณ และได้เข้าถึงขั้นแห่งการไม่ถอยกลับแล้ว ปฏิภาณโวหารของเธอไม่มีขัดข้อง และเธอคิดถึงสรรพสัตว์ด้วยความกรุณา ราวกับว่าพวกเขาเป็นบุตรธิดาของเธอเอง เธอมีบุญกุศลครบถ้วนบริบูรณ์ และเมื่อมันเกี่ยวกับการเกิดความคิดในใจ และการอธิบายด้วยปากของเธอ ล้วนละเอียดอ่อน มหัศจรรย์ พิสดาร และยิ่งใหญ่ เกี่ยวกับความเมตตา ความกรุณา ความมีใจบุญ และความยินยอม เธอสุภาพและงดงามในความตั้งใจ เธอสามารถบรรลุโพธิได้”
    พระปรัชญากฏโพธิสัตว์กล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าเฝ้าดูพระศากยมุนีตถาคตเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าตลอดเวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน พระองค์ได้ปฏิบัติการปฏิบัติที่เข้มงวดและยากลำบาก เพิ่มพูนบุญกุศล สะสมคุณงามความดี แสวงหามรรคของพระโพธิสัตว์โดยไม่เคยหยุดพัก ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า ทั่วทั้งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ ไม่มีสักจุดเดียว แม้เล็กเท่าเม็ดผักกาดที่พระโพธิสัตว์องค์นี้ จะมิได้เคยสละร่างกายและชีวิตเพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์ เพียงแต่หลังจากพระองค์ได้ทำเช่นนั้นให้สำเร็จแล้วเท่านั้น พระองค์จึงสามารถทำโพธิมรรคให้สมบูรณ์ได้ ข้าพเจ้าไม่อาจที่จะเชื่อได้ว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ เพียงชั่วขณะเธอจะสามารถบรรลุความรู้แจ้งอันถูกต้องได้จริง”
    ก่อนที่พระปรัชญากูฏจะกล่าวจบ ทันใดนั้น ธิดาของพญานาคราชได้ปรากฏขึ้น ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าถวายบังคมด้วยความเคารพแล้วถอยออกไปอยู่ทางด้านหนึ่ง และได้สวดคาถาสดุดีเหล่านี้ว่า
    พระองค์ทรงเข้าใจลักษณะของบาปและบุญอย่างลึกซึ้ง
    และทรงทำทุกแห่งในสิบทิศให้สว่างไสว
    ธรรมกายอันละเอียดอ่อน บริสุทธิ์มหัศจรรย์ของพระองค์
    มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
    อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ
    ประดับธรรมกายของพระองค์
    เทวดาและมนุษย์เพ่งมองด้วยความยำเกรง
    นาคและภูตผีต่างถวายพระเกียรติและความเคารพ
    ในหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ไม่มีที่จะไม่ยึดถือพระองค์ไว้ในความเคารพ
    และการได้สดับคำสอน ข้าพระองค์ได้บรรลุโพธิแล้ว
    พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นพยานในเรื่องนี้ได้
    ข้าพระองค์เปิดเผยคำสอนแห่งมหายาน
    เพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์
    เวลานั้น พระสารีบุตรได้กล่าวแก่ธิดาพญานาคว่า “เธอเข้าใจเอาว่า ในเวลาอันสั้นนี้เธอสามารถบรรลุมรรคอันสูงสุดได้แล้ว แต่เรื่องนี้ยากที่จะเชื่อได้ ทำไมหรือ เพราะว่าร่างกายของสตรีไม่สะอาดและไม่บริสุทธิ์ จึงไม่เหมาะที่จะเป็นเครื่องรองรับพระธรรม แล้วเธอสามารถบรรลุโพธิอันสูงสุดได้อย่างไร มรรคาสู่พุทธภาวะนั้นยาวและไกลมาก
    เพียงแต่หลังจากใช้เวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน ในการบำเพ็ญความเพียร สะสมกรรมดี ปฏิบัติบารมีทุกชนิดเท่านั้น จึงจะสามารถบรรลุความสำเร็จได้ในที่สุด อีกประการหนึ่ง สตรียังขึ้นอยู่กับอุปสรรค ๕ ประการ คือ ๑ เธอไม่สามารถเป็นพระพรหมราชได้ ๒ เธอไม่สามารถเป็นท้าวศักระได้ ๓ เธอไม่สามารถเป็นพญามารได้ ๔ เธอไม่สามารถเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชได้ ๕ เธอไม่สามารถเป็นพระพุทธะได้ แล้วสตรีเพศอย่างเธอสามารถบรรลุพุทธภาวะรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร”
    ในเวลานั้น ธิดาพญานาคมีเพชรล้ำค่าราคาเท่าตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุเม็ดหนึ่ง เธอได้นำไปถวายแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงรับไว้ในทันที ธิดาพญานาคได้กล่าวแก่พระปรัชญากูฏใพธิสัตว์และพระสารีบุตรผู้ควรแก่การเคารพว่า “ข้าพเจ้าได้ถวายเพชรล้ำค่า และพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับไว้แล้ว นั่นเป็นการกระทำที่รวดเร็วหรือไม่”
    ท่านทั้งสองตอบว่า “เร็วมากทีเดียว!”
    ธิดาพญานาคกล่าวว่า “จงใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของท่านดูข้าพเจ้าบรรลุพุทธภาวะ มันเร็วยิ่งกว่านั้นเสียอีก!”
    ในเวลานั้น ทุกคนในที่ประชุมต่างได้เห็นธิดาพญานาคในเวลาชั่วหนึ่งขณะ ได้เปลี่ยนเป็นบุรุษเพศและปฏิบัติการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ทั้งหมด ในทันทีได้มุ่งตรงไปยังวิมลโลกธาตุทางทิศใต้ ขึ้นนั่งเหนือดอกบัวอัญมณี และได้บรรลุความรู้แจ้งอันถูกต้องสมบูรณ์ เพียบพร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ เขาได้แสดงพระธรรมมหัศจรรย์โปรดสรรพสัตว์ทั่วทุกแห่งในสิบทิศ
    ครั้งนั้น ในสหาโลกธาตุ เหล่าพระโพธิสัตว์ พระสาวก เทวดา นาค และผู้พิทักษ์ทั้ง ๘ จำพวก มนุษย์ และอมนุษย์ จากระยะไกลทั้งหมดต่างได้เห็นธิดาพญานาคกลายเป็นพระพุทธะ และแสดงธรรมะแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ในที่ประชุมเวลานั้น หัวใจของพวกเขาต่างเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่ และทั้งหมดได้ถวายความเคารพจากระยะไกล สรรพสัตว์มากมายนับไม่ถ้วนที่ได้สดับฟังพระธรรม มีความเข้าใจและสามารถเข้าถึงขั้นของการไม่ถอยกลับ สรรพสัตว์มากมายเหลือคณนาได้รับการพยากรณ์ว่า พวกเขาจะได้รับมรรค วิมลโลกธาตุสั่นไหวใน ๖ วิถี สรรพสัตว์สามพันแห่งสหาโลกธาตุดำรงอยู่ที่ระดับของการไม่ถอยกลับ สรรพสัตว์สามพันได้มีความคิดปรารถนาในโพธิญาณและได้รับการพยากรณ์แห่งการตรัสรู้ พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์
    พระสารีบุตรและคนอื่นทั้งหมดในที่ประชุม ยอมเชื่อและยอมรับสิ่งเหล่านี้โดยการนิ่งเงียบ
     
  13. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๓
    บทการชักชวนและยึดถือ

    เวลานั้น พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ พร้อมด้วยพระมหาประติภาณโพธิสัตว์มหาสัตว์ และพระโพธิสัตว์ผู้ติดตามอีก ๒๐,๐๐๐ องค์ ทั้งหมด ณ เบื้อง พระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้ประกาศปณิธานดังนี้ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงวิตกกังวลเลย หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว พวกข้าพระองค์จะให้เกียรติ ยึดถือ
    อ่าน สวด และสอนพระสูตรนี้ สรรพสัตว์ในสมัยชั่วร้ายข้างหน้าจะมีรากเหง้าแห่งความดีน้อยลงๆ ส่วนมากจะหยิ่งยโสและโลภในของบริจาคและผลประโยชน์ในรูปอื่นๆ เพิ่มพูนรากเหง้าที่ไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ และออกห่างไกลไปจากวิโมกข์ยิ่งขึ้น ถึงแม้มันยากที่จะสอนและเปลี่ยนแปลงพวกเขา แต่พวกข้าพระองค์จะปลุกเร้าพลังแห่งความอดทนอันยิ่งใหญ่ แล้วจะอ่านและสวด รับและยึดถือ สอนและคัดลอกพระสูตรนี้ ถวายทานชนิดต่างๆ และจะไม่คิดห่วงใยในร่างกายและชีวิตของพวกข้าพระองค์เลย พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น ในที่ประชุมมีพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ซึ่งได้รับคำพยากรณ์การตรัสรู้แล้ว พวกเขาได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ก็จะขอประกาศปณิธานด้วยเช่นกัน ในดินแดนอื่นนอกจากโลกนี้ พวกข้าพระองค์จะสอนพระสูตรนี้ให้กว้างขวางด้วยพระเจ้าข้า”
    ยังมีพระเสขะและพระอเสขะอีก ๘,๐๐๐ รูป ผู้ซึ่งได้รับคำพยากรณ์การตรัสรู้แล้ว ทั้งหมดได้ลุกขึ้นจากที่นั่งประนมมือหันไปทางพระพุทธเจ้า แล้วได้ประกาศปณิธานนี้ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์จะสอนพระสูตรนี้ในดินแดนอื่นๆ ให้กว้างขวางด้วยเช่นกัน ทำไมหรือ ก็เพราะว่าในสหาโลกธาตุนี้ประชาชนมีนิสัยไม่ดีและชั่วร้าย มีความหยิ่งยโส มีความดีแต่ผิวเผิน โกรธง่าย คิดฟุ้งซ่าน ประจบสอพลอและคดโกง และไม่มีความจริงใจเลย พระเจ้าข้า”
    ในเวลานั้น พระมาตุจฉาของพระพุทธเจ้า พระนางมหาปชาบดีภิกษุณี และภิกษุณีผู้ติดตาม ๖,๐๐๐ รูป ทั้งที่เป็นพระเสขะและพระอเสขะได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของตน ประนมมือด้วยใจเดียวเพ่งมองที่พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยไม่ละสายตาแม้ชั่วขณะหนึ่งเลย
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่พระนางโคตมีว่า “โคตมีทำไมท่านจึงมองพระตถาคตด้วยอาการฉงนอย่างนั้น ท่านคงคิดวิตกกังวลกับการที่เรามิได้เอ่ยชื่อของท่านในหมู่ผู้ที่ได้รับคำพยากรณ์การบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิหรือ แต่โคตมี เราได้บอกกล่าวโดยทั่วไปมาก่อนแล้วว่า พระสาวกทั้งหมดก็ได้รับคำพยากรณ์เช่นนั้นด้วยแล้ว ในเวลานี้ ถ้าท่านอยากทราบคำพยากรณ์สำหรับท่านแล้ว เราจะบอกว่าในสมัยข้างหน้า ในพระธรรมของพระพุทธะ ๖๘ พันล้านพระองค์ ท่านจะได้เป็นผู้สอนธรรมที่ยิ่งใหญ่ และภิกษุณี ๖,๐๐๐ รูป ทั้งที่เป็นพระเสขะและพระอเสขะ จะได้เป็นผู้สอนธรรมร่วมกับท่าน ด้วยการเป็นอย่างนี้ท่านจะค่อยๆ ทำโพธิสัตว์มรรคให้สำเร็จ จนกระทั่งท่านสามารถได้เป็นพระพุทธะมีพระนามว่า สรรพสัตวปรียทรรศนะตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า โคตรมี พระสรรพสัตวปรียทรรศนะพุทธะ จะประทานคำพยากรณ์แก่พระโพธิสัตว์ทั้ง ๖,๐๐๐ องค์ และจะส่งต่อจากองค์หนึ่งสู่อีกองค์หนึ่งว่าพวกเขาจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ”
    เวลานั้น พระมารดาของพระราหุล ภิกษุณียโสธรา ได้คิดกับตนเองว่า “ในการประทานคำพยากรณ์ เราเพียงคนเดียวที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ออกชื่อ!”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระนางยโสธราว่า “ในสมัยอนาคต ในพระธรรมของพระพุทธะหลายร้อยพันหมื่นล้านพระองค์ เธอจะได้ปฏิบัติโพธิสัตว์จริยา จะได้เป็นผู้สอนธรรมที่ยิ่งใหญ่ และจะค่อยๆ ทำโพธิสัตว์มรรคให้สำเร็จ ครั้นแล้วในดินแดนอันดีงามเธอจะได้เป็นพระพุทธะมีพระนามว่า รัศมีศตสหัสรปริปูรณธวัชตถาคต ผู้ควรแก่
    การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลอันควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระชนมายุของพระพุทธะพระองค์นี้จะยืนยาวหลายอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน!”
    ในเวลานั้นพระภิกษุณีมหาปชาบดี ภิกษุณียโสธราและผู้ติดตามต่างเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่ กับการได้รับสิ่งที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน ในทันที ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า พวกเขาได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นำและศาสดา
    พระองค์ทรงนำความสงบมาให้เทวดาและมนุษย์
    พวกข้าพระองค์ได้ฟังคำพยากรณ์เหล่านี้แล้ว
    ใจของพวกข้าพระองค์สงบและพอใจแล้ว
    พระภิกษุณีทั้งหลายเมื่อได้สวดคาถาเหล่านี้จบแล้วได้กราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์สามารถที่จะไปยังดินแดนต่างๆ ในภูมิภาคอื่น และเผยแพร่พระสูตรนี้ให้กว้างขวางด้วยเช่นกัน พระเจ้าข้า”
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรไปยังพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ๘๐๐ พันล้านนยุตะ พระโพธิสัตว์เหล่านี้ล้วนได้เข้าถึงระดับอวิวรรติกะ หมุนธรรมจักรไปไม่ถอยกลับ และได้รับธารณีแล้ว พวกเขาได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเข้าไปหาพระพุทธเจ้า ประนมมือด้วยใจเดียว ได้คิดกับตนเองว่า “ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงมีพระบัญชาให้พวกเรา
    ยึดถือและสอนพระสูตรนี้ พวกเราก็จะได้กระทำตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ และเผยแพร่พระธรรมนี้อย่างกว้างขวาง” และแล้วพวกเขาได้คิดกับตนเองว่า “แต่เวลานี้พระพุทธเจ้าทรงอยู่ในอาการนิ่ง และมิได้มีบัญชาแก่พวกเรา พวกเราจะทำประการใด”
    ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์เหล่านี้ เพื่อให้เป็นการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ และในเวลาเดียวกันก็ประสงค์ที่จะทำปณิธานดั้งเดิมของตนเองให้สำเร็จ จึงได้เข้าไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะบันลือสีหนาทและเพื่อประกาศปณิธาน ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หลังจากพระตถาคต
    เจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว พวกข้าพระองค์จะท่องเที่ยวไปที่นี่และที่นั่น ไปๆ มาๆ ให้ทั่วโลกธาตุทั้งหลายในสิบทิศ เพื่อที่จะทำให้สรรพสัตว์คัดลอกพระสูตรนี้ รับ ยึดถือ อ่านและสวด เข้าใจและสอนหลักการของพระสูตรนี้ ปฏิบัติให้สอดคล้องกับพระธรรม และรักษาไว้อย่างถูกต้องในความคิดของเขา ทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ด้วยอานุภาพและความมีอำนาจของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น พวกข้าพระองค์ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดว่า แม้พระองค์จะทรงอยู่ในภูมิภาคอื่นใด ก็จะทรงทอดพระเนตรมองจากแดนไกลและทรงปกป้องคุ้มครองพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้ประสานเสียงกันกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    เราขอให้พระองค์อย่าได้ทรงกังวล
    หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ในสมัยแห่งความกลัวและความชั่วร้าย
    เราจะสอนให้กว้างไกล
    จะมีคนโง่เขลามากมาย
    ผู้ซึ่งจะด่าว่าและนินทาพวกเรา
    และจะทุบตีเราด้วยดาบและกระบอง
    แต่เราจะอดกลั้นต่อสิ่งทั้งหมดเหล่านี้
    ในสมัยชั่วร้ายนั้นจะมีพวกภิกษุ
    ด้วยปัญญาวิปริตและหัวใจสอพลอและขี้โกง
    คิดเอาว่าพวกเขาได้บรรลุในสิงที่มิได้บรรลุ
    เกิดความเย่อหยิ่งและโอ้อวดในหัวใจ
    หรือมีพวกภิกษุผู้อยู่ป่า
    นุ่งห่มเศษผ้าเย็บปะ และอาศัยในความสันโดษ
    จะอ้างว่าพวกเขากำลังปฏิบัติมรรคที่แท้จริง
    ดูถูกและเหยียดหยามมวลมนุษยชาติ
    ละโมบในผลประโยชน์และเครื่องยังชีพ
    พวกเขาจะสอนธรรมแก่พวกคฤหัสถ์นุ่งห่มขาว
    และจะได้รับการนับถือและเคารพจากโลก
    ดังว่าเขาเป็นพระอรหันต์มีอภิญญา ๖
    คนเหล่านี้ด้วยหัวใจอันชั่วร้าย
    คิดถึงแต่เรื่องโลกๆ อยู่เสมอ
    จะยืมเอาชื่อ ภิกษุผู้อยู่ป่า มาใช้
    และมีความพอใจในการประกาศความผิดของพวกเรา
    พูดถึงสิ่งต่างๆ เช่นดังนี้ว่า
    “พวกภิกษุเหล่านี้ด้วยความละโมบ
    ในผลประโยชน์และเครื่องยังชีพ
    ดังนั้นพวกเขาจึงสอนคำสอนที่ไม่ใช่พุทธธรรม
    และแต่งคัมภีร์ของตนเอาเอง
    เพื่อหลอกลวงประชาชนของโลก
    เพราะว่าพวกเขาหวังที่จะได้ชื่อเสียงโด่งดัง
    พวกเขาจึงทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ เมื่อสอนพระสูตรนี้”
    เพราะว่าในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่
    พวกเขาพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงพวกเราเสมอ
    พวกเขาจะบอกกล่าวต่อผู้ปกครอง มุขมนตรี
    พราหมณ์และคฤหบดี
    รวมทั้งพวกภิกษุอื่นๆ
    หมิ่นประมาท และกล่าวให้ร้ายพวกเรา
    ว่า “คนเหล่านี้เป็นพวกมิจฉาทิฐิ
    ผู้สอนคำสอนที่ไม่ใช่พุทธธรรม!”
    แต่เพราะว่าพวกเราเคารพพระพุทธเจ้า
    พวกเราจะอดทนต่อความชั่วร้ายเหล่านี้
    แม้พวกเขาจะกระทำต่อเรา ด้วยการเหยียดหยามว่า
    “ท่านทั้งหลายเป็นพระพุทธะอย่างแน่นอน!”
    ต่อคำพูดเยาะเย้ยดูหมิ่นเหล่านี้
    พวกเราจะอดกลั้นและยอมรับไว้
    ในกัปอันสกปรก ในสมัยชั่วร้าย
    จะมีสิ่งที่น่ากลัวมากมาย
    มารร้ายจะสิงกายของคนเหล่านั้น
    แล้วให้เขาสาปแช่ง
    ด่าทอและทำความอับอายให้แก่เรา
    แต่เราด้วยความไว้วางใจอย่างเคารพในพระพุทธเจ้า
    จะสวมเกราะแห่งความอดกลั้น
    เพื่อที่จะสอนพระสูตรนี้
    เราจะอดทนกับสิ่งที่ยากลำบากเหล่านี้
    เราจะไม่ห่วงสิ่งใดเพื่อกายหรือชีวิตของเรา
    จะห่วงแต่ในมรรคอันสูงสุดเท่านั้น
    ในสมัยข้างหน้าเราจะคุ้มครองและยึดถือ
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้มอบหมายให้แก่เรา
    เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะต้องทรงทราบดีแล้ว
    พวกภิกษุชั่วในสมัยสกปรกนั้น
    ไม่เข้าใจเรื่องกุศโลบายของพระพุทธเจ้า
    ว่าพระองค์ทรงสอนธรรมตามความเหมาะสม
    จะเผชิญหน้ากับพวกเราด้วยภาษาหยาบคาย
    และสีหน้าขึ้งโกรธ
    เราจะถูกเนรเทศครั้งแล้วครั้งเล่า
    จากหอสถูปและอารามไปยังแดนไกล
    ความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด
    เพราะว่าเรารักษาพระพุทธบัญชาไว้ในใจ
    เราก็จะทนต่อสิ่งเหล่านี้
    ถ้าในหมู่บ้านและเมือง
    มีผู้ที่แสวงหาพระธรรม
    เราจะไปยังที่พวกเขาอยู่
    และสอนพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้มอบให้แก่เรา
    เราจะเป็นทูตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เผชิญหน้ากับที่ประชุมโดยไม่มีความกลัว
    เราจะสอนพระธรรมด้วยความเชี่ยวชาญ
    เพราะเราปรารถนาให้พระพุทธองค์
    ทรงพักอยู่ในความสงบ
    ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    และพระพุทธะที่มาจากสิบทิศ
    เราขอประกาศปณิธานนี้
    พระพุทธเจ้าจะต้องทรงทราบสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา
     
  14. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๔
    บทการปฏิบัติที่สงบสุข

    เวลานั้น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์มหาสัตว์ พระธรรมราชบุตรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์เหล่านี้ได้รับงานที่แสนจะยากยิ่ง เพราะว่าพวกเขาเคารพและเชื่อฟังพระพุทธเจ้า พวกเขาจึงได้ตั้งปณิธานไว้ว่าในสมัยชั่วร้ายข้างหน้า พวกเขาจะรับ ยึดถือ อ่าน สวดและสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ในสมัยชั่วร้ายข้างหน้า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ควรจะเริ่มลงมือสอนพระสูตรนี้อย่างไร พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระมัญชุศรีว่า “ถ้าพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ ในสมัยชั่วร้ายข้างหน้าปรารถนาที่จะสอนพระสูตรนี้ พวกเขาควรจะต้องยึดถือหลักปฏิบัติ ๔ ประการ ประการที่หนึ่ง พวกเขาควรยึดถือการปฏิบัติและการสมาคมที่เหมาะสมกับพระโพธิสัตว์ เพื่อว่าพวกเขาสามารถแสดงพระสูตรนี้เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ได้ มัญชุศรี การปฏิบัติของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์หมายถึงอะไร ถ้าพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ยืนหยัดอยู่กับความอดกลั้น คือสุภาพและว่าง่าย ไม่รุนแรง และไม่มีความหวาดกลัวในใจ และถ้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์ เขาไม่ถือเอาการกระทำแต่จะสังเกตดูลักษณะที่เป็นจริงของปรากฏการณ์ ที่ไม่มีการกระทำหรือการทำให้เป็นลักษณะเฉพาะใดๆ อย่างนี้เราเรียกว่า
    การปฏิบัติของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์”
    “เกี่ยวกับการสมาคมที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ไม่ควรจะสมาคมใกล้ชิดกับผู้ปกครอง เจ้าชาย มุขมนตรีหรือหัวหน้าสำนักงาน พวกเขาไม่ควรจะสมาคมใกล้ชิดกับพวกไม่ใช่ชาวพุทธ พวกพราหมณ์ หรือพวกเชน หรือไม่สมาคมกับพวกแต่งวรรณกรรมทางโลก หรือหนังสือยกย่องพวกนอกศาสนา หรือไม่ควรสมาคมใกล้ชิดกับพวกโลกายัต หรือพวกอโลกายัต พวกเขา ไม่ควรสมาคมกับการละเล่นอันตราย การต่อยมวย หรือมวยปล้ำ หรือไม่สมาคมกับพวกนักแสดงหรือพวกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งบันเทิงหลอกลวงชนิดต่างๆ หรือไม่สมาคมกับพวกจัณฑาล คนเลี้ยงหมู คนเลี้ยงแกะ คนเลี้ยงไก่ หรือคนเลี้ยงหมา หรือพวกล่าสัตว์ หรือชาวประมงหรือพวกมิจฉาชีพอื่นๆ ถ้าคนเช่นนั้นมาหาเขาในบางครั้ง เขาอาจจะสอนธรรมแก่พวกเขา แต่ไม่
    ควรหวังสิ่งใดตอบแทน อนึ่งเขาไม่ควรจะสมาคมกับพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือุบาสิกา ผู้แสวงหาสาวกภาวะ ไม่ควรไต่ถามปัญหาหรือไปเยี่ยมเยือนพวกเขา ไม่ควรอยู่ร่วมกับพวกเขาในห้องเดียวกัน หรือในที่เดินจงกรม หรือในหอบรรยายธรรม เขาไม่ควรจะเข้าร่วมกิจกรรมของคนเหล่านี้ ถ้าบางครั้งพวกเขามาหา เขาอาจจะสอนธรรมแก่พวก
    เขาให้สอดคล้องกับโอกาสอันเหมาะสม แต่ไม่ควรหวังสิ่งใดจากการสอนนั้น”
    “มัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เมื่อทำการสอนธรรมแก่พวกสตรี เขาไม่ควรจะทำในลักษณาการที่อาจจะปลุกเร้าอารมณ์ความใคร่ในพวกเธอ หรือไม่ควรมีความพอใจในการได้เห็นพวกเธอ ถ้าเขาเข้าไปในบ้านของคนอื่น เขาไม่ควรพูดคุยกับเยาวสตรี สตรีพรหมจารี หรือสตรีหม้าย หรือเขาไม่ควรเข้าไปใกล้พวกผู้ชายที่ไม่เป็นผู้ชาย ๕ ประเภท หรือมีการเกี่ยวข้องใกล้ชิดใดๆ กับพวกเขา เขาไม่ควรจะเข้าไปในบ้านของคนอื่นเพียงคนเดียว ถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปคนเดียว เขาควรเพ่งจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ ถ้าเขาจะต้องสอนธรรมแก่สตรี เขาจะต้องไม่ยิ้มให้เห็นไรฟันหรือปล่อยหน้าอกให้เปลือย เขาไม่ควรมีความสนิทสนมใดๆ กับเธอแม้เพื่อพระธรรมก็ตาม แล้วด้วยความมุ่งหมายอื่นยิ่งไม่สมควรเลย”
    “เขาไม่ควรพอใจในการมีลูกศิษย์หนุ่ม สามเณรหรือเด็กๆ และไม่ควรพอใจในการมีครูคนเดียวกันกับพวกเขา เขาควรยินดีในการบำเพ็ญฌาน ยินดีในการอยู่สันโดษและการฝึกจิตให้สงบนิ่งอยู่เสมอ มัญชุศรี สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า สิ่งที่เขาควรจะสมาคมด้วยข้อที่หนึ่ง”
    “เรื่องต่อไป พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ควรจะมองปรากฏการณ์ทั้งหลายว่าว่างเปล่า อันเป็นลักษณะที่เป็นจริง ไม่พลิกกลับ ไม่เคลื่อนที่ ไม่ถอยหลัง ไม่หมุนรอบๆ เหมือนอากาศอันว่างเปล่า ไม่มีธรรมชาติแต่ดั้งเดิม อยู่เหนือการเข้าถึงได้ด้วยถ้อยคำทั้งปวง
    ไม่เกิด ไม่ปรากฏ ไม่เกิดขึ้น ไม่มีนาม ไม่มีรูป ไม่มีการเป็นอยู่จริง ไม่มีปริมาตร ไม่มีขอบเขต ไม่มีอุปสรรค ไม่มีสิ่งกีดกั้น เป็นเพียงด้วยเหตุและปัจจัยที่ทำให้มีอยู่และเกิดขึ้นโดยความคิดพลิกกลับ เพราะฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า เขาควรจะพอใจในการมองรูปของ
    ปรากฏการณ์ทั้งหลายอย่างนี้อยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า สิ่งที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ควรจะสมาคมด้วยข้อที่สอง”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้ามีพระโพธิสัตว์
    ผู้ในสมัยชั่วร้ายข้างหน้า
    ปรารถนาด้วยหัวใจอันไม่กลัว
    ที่จะสอนพระสูตรนี้
    สถานที่เหล่านี้ที่พวกเขาควรเข้าไป
    และคนเหล่านี้ที่พวกเขาควรสมาคมด้วยอย่างไกล้ชิด
    ตลอดเวลาหลีกเลี่ยงการพบกับพวกผู้ปกครอง
    และเจ้าชายแห่งราชอาณาจักร
    มุขมนตรี หัวหน้าสำนักงาน
    พวกที่ทำงานเกี่ยวกับการละเล่นอันตราย
    รวมทั้งพวกจัณฑาล
    พวกไม่ใช่ชาวพุทธและพวกพราหมณ์
    เขาไม่ควรสมาคมกับคนหยิ่งยโส
    หรือพวกที่ยึดมั่นอย่างดื้อรั้นในหินยาน
    และมีความรู้สูงในไตรปิฎกหินยาน
    พวกภิกษุที่ละเมิดศีล
    พวกเป็นพระอรหันต์แต่ในนาม
    พวกภิกษุณีที่ชอบการหยอกล้อและการหัวเราะ
    หรือพวกอุบาสิกา
    ผู้ยึดมั่นอย่างลึกซึ้งอยู่กับกามคุณ ๕
    หรือพวกที่แสวงหาการเข้าสู่ความดับในทันที
    คนเหล่านี้เป็นพวกที่เขาไม่ควรจะสมาคมด้วย
    ถ้ามีบุคคลใดเข้ามาหาด้วยหัวใจอันดีงาม
    ยังสถานที่ประทับของพระโพธิสัตว์
    เพื่อที่จะได้สดับพุทธมรรคแล้ว
    เมื่อนั้นพระโพธิสัตว์
    ด้วยหัวใจอันกล้าหาญ
    แต่โดยไม่มีความคิดคาดหวังใดๆ
    ควรจะสอนพระธรรมแก่พวกเขา
    แต่พวกสตรีหม้ายและสตรีพรหมจารี
    และพวกผู้ชายที่ไม่เป็นชายประเภทต่างๆ
    กับคนเหล่านี้เขาไม่ควรจะสมาคมด้วย
    หรือปฏิบัติต่อเขาด้วยความสนิทสนม
    เขายังจะต้องไม่สมาคมกับ
    คนฆ่าสัตว์หรือคนชำแหละเนื้อ
    คนล่าสัตว์หรือคนจับปลา
    หรือคนฆ่าหรือคนทำอันตรายสัตว์เพื่อผลประโยชน์
    พวกขายเนื้อเพื่อเลี้ยงชีพ
    หรือพวกจัดหาผู้หญิงหรือขายบริการผู้หญิง
    คนทั้งหมดอย่างนี้
    เขาไม่ควรจะสมาคมด้วย
    พวกที่มีส่วนร่วมในกีฬาเสี่ยงภัย มวยปล้ำ
    หรือการละเล่นสนุกชนิดอื่นๆ
    ผู้หญิงที่มีนิสัยยั่วยวนตัณหาราคะ
    อย่าได้คบหาสมาคมกับคนเหล่านี้
    อย่าไปคนเดียวในที่ลับตา
    เพื่อที่จะสอนธรรมะแก่สตรี
    เมื่อเธอสอนพระธรรม
    อย่าได้มีการหยอกล้อหรือการหัวเราะ
    เมื่อเธอเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
    จงนำภิกษุอื่นไปด้วย
    ถ้าไม่มีภิกษุใดไปเป็นเพื่อน
    จงสำรวมความคิดด้วยใจเดียวเพ่งที่พระพุทธเจ้า
    เหล่านี้คือสิ่งที่เราเรียกว่า
    การปฏิบัติและการสมาคมที่เหมาะสม
    ด้วยการมีความระมัดระวังเกี่ยวกับสองอย่างนี้
    เขาสามารถสอนในอาการที่สงบสุข
    เขาไม่ควรพูดในแง่ของ
    คำสอนชั้นสูง ชั้นกลาง หรือชั้นต่ำ
    คำสอนที่มีปัจจัยปรุงแต่ง หรือที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
    คำสอนที่เป็นจริง หรือที่ไม่เป็นจริง
    อนึ่งเขาไม่ควรจะทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ
    โดยกล่าวว่า “นี่บุรุษ” “นี่สตรี”
    ไม่พยายามที่จะจับฉวยปรากฏการณ์
    ไม่พยายามที่จะเข้าใจหรือพยายามที่จะเห็นมัน
    ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราเรียกว่า
    การปฏิบัติของพระโพธิสัตว์
    ปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    เป็นของว่าง ไม่มีการเป็นอยู่
    ไม่มีการดำรงอยู่อย่างถาวร
    ไม่มีการเกิดขึ้น หรือการดับไป
    นี้เราเรียกว่า ความเห็น
    อันคนมีปัญญาควรสมาคมด้วย
    จากการพลิกกลับทำให้เกิดลักษณะเฉพาะต่างๆ
    ว่าปรากฏการณ์ทั้งหลายมีอยู่ ไม่มีอยู่
    เป็นของจริง ไม่เป็นของจริง
    เป็นการเกิด ไม่เป็นการเกิด
    จงตั้งตนไว้ในสิ่งแวดล้อมที่เงียบสงัด
    ฝึกหัดการทำจิตให้นิ่ง
    อยู่ในความสงบ ไม่เคลือนใหว
    เหมือนเขาพระสุเมรุ
    มองปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    ว่าไม่มีความมีอยู่เป็นอยู่
    เหมือนอวกาศอันว่างเปล่า
    ไม่มีความมั่นคงหรือความแข็ง
    ไม่เกิด ไม่ปรากฏออก
    ไม่เคลื่อนที่ ไม่ถอยหลัง
    ดำรงอย่างคงที่อยู่ในรูปเดียว
    นี่เราเรียกว่า สถานที่ที่ควรเข้าไปใกล้
    ถ้าหลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    มีภิกษุใดผู้ยึดถือ
    การปฏิบัติเหล่านี้
    และการสมาคมเหล่านี้แล้ว
    เมื่อพวกเขาทำการสอนพระสูตรนี้
    พวกเขาจะไม่มีความกลัวและความขวยเขิน
    ถ้าพระโพธิสัตว์ใดในบางคราว
    เข้าสู่ห้องอันเงียบสงัด
    และด้วยท่าทีแห่งจิตอันถูกต้อง
    มองปรากฏการณ์สอดคล้องกับคำสอน
    และแล้วลุกออกจากฌาน
    เพื่อประโยชน์แก่ผู้ปกครอง
    เจ้าชาย เสนาบดี และประชาชน
    พราหมณ์ และ คนอื่นๆ
    ทำการเปิดเผย เผยแพร่ แสดง
    และสอนพระสูตรนี้
    เมื่อนั้นจิตของเขาจะสงบ
    เป็นอิสระจาก ความกลัวและความขวยเขิน
    มัญชุศรี
    เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า หลักเกณฑ์ชุดที่หนึ่ง
    เพื่อให้พระโพธิสัตว์ยึดถือ
    อันจะช่วยให้เขาในสมัยข้างหน้า
    ทำการสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรได้
    “นอกจากนี้มัญชุครี หลังจากพระตถาคตเจ้าเข้าสู่ความดับแล้วในสมัยธรรมปลาย ถ้าผู้ใดปรารถนาที่จะสอนพระสูตรนี้ เขาควรยึดถือการปฏิบัติที่สงบสุขเหล่านี้ เมื่อใดเขาเปิดปากเพื่อที่จะแสดงหรืออ่านพระสูตร เขาไม่ควรจะยินดีใน การกล่าวถึงความบกพร่องของคนอื่นหรือของคัมภีร์อื่น เขาไม่ควรจะแสดงการเหยียดหยามผู้สอนธรรมะอื่น หรือพูดถึงประสบการณ์ หรือความบกพร่องของคนอื่น เกี่ยวกับพระสาวก เขาไม่ควรกล่าวถึงโดยออกชื่อ และบรรยายความบกพร่องของพวกเขา หรือออกชื่อแล้วยกย่องจุดเด่นของพวกเขา เขายังไม่ควรจะยอมให้จิตถูกครอบงำด้วยความแค้นเคืองหรือความเกลียดชัง เพราะว่าเขามีความสามารถในการฝึกฝนจิตสงบสุขชนิดนี้ ผู้ฟังจะไม่ต่อต้านแนวความคิดของเขา ถ้าเขาถูกถามปัญหายากๆ เขาไม่ควรตอบโดยใช้
    หินยานธรรม แต่เขาควรจะอธิบายสิ่งต่างๆ โดยใช้มหายานเท่านั้น เพื่อว่าประชาชนสามารถที่จะได้มาซึ่งปัญญาครอบคลุมทุกชนิด”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระโพธิสัตว์ตลอดเวลาพึงยินดี
    ในการสอนธรรมด้วยอาการสงบ
    บนพื้นอันสะอาดบริสุทธิ์
    เขาควรปูลาดอาสนะ
    ทาตัวด้วยน้ำมัน
    ชำระล้างฝุ่นละอองและความไม่บริสุทธิ์
    สวมใส่ผ้าจีวรสะอาดใหม่
    ทำตนทั้งภายในและภายนอกให้บริสุทธิ์
    เมื่อได้นั่งสบายบนธรรมาสน์แล้ว
    เขาควรจะสอนพระธรรมให้สอดคล้องกับคำถาม
    ถ้ามีพวกภิกษุหรือภิกษุณี
    อุบาสก อุบาสิกา
    พระราชาและเจ้าชาย
    ข้าราชการ ขุนนาง และสามัญชน
    ด้วยการแสดงออกที่สุภาพอ่อนโยนเขาควรจะสอน
    คำสอนอันละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์ต่างๆ แก่พวกเขา
    ถ้ามีคำถามยากๆ
    เขาควรจะตอบให้สอดคล้องกับคำสอนต่างๆ
    โดยใช้เหตุและปัจจัย การอุปมา และการเปรียบเทียบ
    การแสดงและทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ
    และด้วยกุศโลบายเหล่านี้
    ทำให้ผู้ฟังทั้งหลายตั้งจิตปรารถนาโพธิญาณ
    เพิ่มพูนบุญกุศลขึ้นทีละน้อย
    และเข้าสู่พุทธมรรค
    เขาควรละเลิกความคิดเกียจคร้านทั้งหมด
    ความประมาทหรือความสะดวกสบายทั้งหลาย
    ทำตนให้ห่างไกลจากความวิตกกังวล
    และด้วยจิตกรุณาทำการสอนพระธรรม
    ตลอดวันตลอดคืน เขาควรจะแสดง
    คำสอนแห่งมรรคอันสูงสุด
    ใช้เหตุและปัจจัย
    การอุปมาและการเปรียบเทียบนับไม่ถ้วน
    ในการสั่งสอนแนะนำสรรพสัตว์
    และทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความยินดี
    เครื่องนุ่งห่มและเครื่องนอน
    อาหาร เครื่องดื่ม ยารักษาโรค
    เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้
    เขาไม่ควรคิดหวังที่จะได้
    แต่ด้วยการสำรวมจิตเป็นหนึ่งเดียว
    ต่อเหตุผลสำหรับการสอนพระธรรม
    คือความปรารถนาที่จะทำพุทธมรรคให้สมบูรณ์
    และทำให้ผู้อยู่ในที่ประชุมกระทำอย่างเดียวกัน
    อันจะนำประโยชน์อันยิ่งใหญ่มาสู่พวกเขา
    นั่นคือการให้ความสงบ
    หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้ามีภิกษุรูปใด
    ผู้ซึ่งสามารถแสดง
    สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    จิตของเขาจะไม่มีความอิจฉาและความโกรธ
    ไม่มีความวิตกกังวลและสิ่งกีดกั้นใดๆ
    ไม่มีใครทำความลำบากใจ
    ด่าว่าหรือกล่าวคำจ้วงจาบแก่เขา
    เขาจะไม่รู้จักความกลัว
    ไม่ถูกทำร้ายด้วยดาบหรือกระบอง
    หรือเขาจะไม่ถูกเนรเทศ
    เพราะว่าเขายึดมั่นในความอดกลั้น
    คนมีปัญญาจะมีความสามารถ
    ในการฝึกจิตของตนอย่างนี้
    และสามารถอาศัยอยู่ในความสงบ
    ดังที่เราได้บรรยายมาแล้วข้างต้น
    บุญกุศลของคนเช่นนั้น
    เหนือการคำนวณ การอุปมา หรือการเปรียบเทียบ
    หลายพันหมื่นล้านกัป
    ก็ไม่เพียงพอที่จะบรรยายให้ครบถ้วนได้
    “อนึ่ง มัญชุศรี ในสมัยธรรมปลาย เมื่อพระธรรมใกล้จะดับสูญ ถ้าพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ใดจะน้อมรับและยึดถือ อ่านและสวดพระสูตรนี้ เขาจะต้องไม่ยอมให้จิตถูกครอบงำด้วยความอิจฉา ประจบสอพลอหรือความหลอกลวงใดๆ และเขาจะต้องไม่แสดงการดูหมิ่น หรือกล่าวคำจ้วงจาบหยาบช้าแก่ผู้ที่ศึกษาพุทธมรรค หรือคอยหาความบกพร่องของเขา”
    “ถ้ามีพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกหรืออุบาสิกา ผู้แสวงหาการเป็นพระสาวก ผู้แสวงหาการเป็นพระปัจเจกพุทธะ หรือผู้แสวงหาโพธิสัตว์มรรค เขาจะต้องไม่ทำให้คนพวกนี้รำคาญด้วยการทำให้เกิดความสงสัยหรือเสียใจ โดยการพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังห่างไกลจากมรรคนัก และไม่มีทางที่จะบรรลุปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิดได้เลย ทำไมหรือ เพราะว่าพวกท่านชอบตามใจตัวเองและเป็นคนดื้อรั้นไม่เอาใจใส่ในมรรค!”
    “นอกจากนี้เขาไม่ควรเข้าร่วมในการโต้วาทะกันเล่นๆ เกี่ยวกับคำสอนต่างๆ หรือทะเลาะกันหรือมีปากเสียงกันเกี่ยวกับคำสอนเหล่านั้น เกี่ยวกับสรรพสัตว์ทั้งหลายเขาควรจะคิดถึงพวกเขาด้วยมหากรุณา เกี่ยวกับพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย เขาควรจะคิดถึงพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดาผู้มีความเมตตา เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์แห่งสิบทิศ เขา
    ควรจะคิดถึงท่านในฐานะที่เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ ต่อพระบรมโพธิสัตว์แห่งสิบทิศตลอดเวลาพึงดำรงจิตอันจริงจัง ด้วยการแสดงความนับถือและความเคารพแก่ท่าน ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายจงสอนพระธรรมด้วยวิธีที่เที่ยงธรรม เพราะว่ากับคนที่สนใจในพระธรรม นั่นก็มิได้หมายความว่าเขาควรจะเปลี่ยนแปลงปริมาณการสอน แม้แก่ผู้ที่แสดงว่ามีความหลงใหลในพระธรรม เขาก็ไม่ควรจะถือเป็นเรื่องที่ต้องสอนให้มากกว่า”
    “มัญชุศรี ถ้าในหมู่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ ในสมัยธรรมปลายเมื่อพระธรรมใกล้จะดับสูญ หากมีพวกที่สามารถปฏิบัติการปฏิบัติอันสงบสุขชุดที่สามนี้ได้แล้ว เมื่อพวกเขาสอนพระธรรมนี้ พวกเขาจะไม่มีความวิตกกังวลและความสับสน และจะได้พบนักศึกษาดีที่พวกเขาจะได้อ่านและสวดพระสูตรนี้ด้วยกัน พวกเขาจะดึงดูดคนหมู่ใหญ่ให้มารับฟังและตกลงยินยอม หลังจากพวกเขารับฟังแล้ว พวกเขาจะยึดถือ หลังจากพวกเขายึดถือแล้ว พวกเขาจะสวด หลังจากพวกเขาสวดแล้ว พวกเขาจะสอน และหลังจากพวกเขาสอนแล้ว พวกเขาจะคัดลอกเองหรือให้ผู้อื่นคัดลอก แล้วจะถวายเครื่องสักการะแด่ม้วนพระสูตร และจะปฏิบัติต่อม้วนพระสูตรเหล่านี้ด้วยความเคารพนับถือและยกย่อง”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าเธอปรารถนาที่จะสอนพระสูตรนี้
    เธอจะต้องกำจัดความอิจฉาความเกลียดชัง ความหยิ่งยโส
    จิตที่สอพลอ หลอกลวง และคดโกง
    คอยปฏิบัติความประพฤติที่ซื่อสัตย์และเที่ยงตรงเสมอ
    อย่ามองผู้อื่นด้วยอาการเหยียดหยาม
    หรือทำการโต้วาทีธรรมกันเล่นๆ
    อย่าทำให้คนอื่นสงสัยหรือเสียใจ
    โดยการพูดว่า “ท่านไม่มีวันที่จะได้เป็นพระพุทธะหรอก!”
    เมื่อบุตรของพระพุทธะสอนพระธรรม
    ตลอดเวลาเขาจะต้องมีความสุภาพและมีความอดกลั้น
    มีความเมตตาและมีความกรุณาต่อสรรพสัตว์
    ไม่ปล่อยให้ใจเกิดความประมาทหรือความเกียจคร้าน
    พระบรมโพธิสัตว์แห่งสิบทิศ
    มีความสงสารมหาชนผู้ปฏิบัติมรรค
    เขาควรจะเอาใจใส่ให้ความเคารพและนับถือแก่ท่าน
    โดยกล่าวว่า “ท่านเหล่านี้เป็นบรมครูของข้าพเจ้า!”
    เกี่ยวกับพระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย
    ควรคิดถึงพระองค์ในฐานะที่เป็นพระบิดาอันสูงสุด
    กำจัดจิตแห่งความทะนงตัวและความหยิ่งยโส
    แล้วสอนพระธรรมโดยปราศจากอุปสรรคขัดขวาง
    นั่นเป็นหลักปฏิบัติชุดที่สาม
    อันคนมีปัญญาทั้งหลายพึงรักษาและปฏิบัติตาม
    ถ้าพวกเขาตั้งใจยึดถือการปฏิบัติอันสงบสุขเหล่านี้
    พวกเขาจะได้รับความนับถือจากปวงชนมากมาย
    “มัญชุศรี ถ้าในหมู่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ในสมัยธรรมปลาย เมื่อพระธรรมใกล้จะถึงกาลดับสูญ มีพวกที่น้อมรับและยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร พวกเขาควรจะปลุกเร้าให้เกิดมหากรุณาจิตต่อพวกที่ยังเป็นฆราวาสหรือพวกที่เป็นบรรพชิตแล้ว และเขาควรจะปลุกเร้าให้เกิดมหากรุณาจิตต่อพวกที่ไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ด้วย และควรจะปรารภกับ
    ตนเองว่า : “คนเหล่านี้ได้ทำความผิดใหญ่หลวงนัก แม้พระตถาคตเจ้าจะได้ใช้กุศโลบายทำการสอนธรรมตามความเหมาะสม พวกเขาก็ไม่รับฟัง ไม่รู้ ไม่ตระหนัก ไม่ไต่ถาม ไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ ถึงแม้คนเหล่านี้จะไม่ไต่ถาม ไม่เชื่อและไม่เข้าใจพระสูตรนี้ก็ตาม แต่เมื่อใดเราได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราจะใช้อภิญญาและพลังแห่งปัญญาของเรา ดึงพวกเขามาหาเราและทำให้พวกเขาได้อาศัยอยู่ ในพระธรรมนี้”
    “มัญชุศรี หลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ถ้าในหมู่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มีผู้ใดสามารถปฏิบัติหลักปฏิบัติชุดที่สี่นี้ได้แล้ว เมื่อพวกเขาสอนพระธรรม พวกเขาจะไม่ทำให้เกิดความผิดพลาด หมู่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ปกครอง เจ้าชาย มหาเสนาบดี สามัญชน พราหมณ์ และคฤหบดี จะบริจาคทานแก่พวกเขาเป็นประจำ ให้ความเคารพนับถือและการยกย่องอยู่เสมอ เทวดาในสวรรค์เพื่อหวังที่จะได้ฟังพระธรรมจะคอยติดตามและดูแลรักษาอยู่เสมอ ถ้าพวกเขาอยู่ในหมู่บ้านหรือในเมือง ในที่สันโดษหรือในป่า และมีคนเข้ามาต้องการถามปัญหายากๆ เทวดาทั้งหลาย เพื่อเห็นแก่พระธรรม จะให้การปกป้องคุ้มครองพวกเขาตลอดวันตลอดคืน และจะทำให้ผู้ฟังทุกคนมีความชื่นชมยินดี ทำไมหรือ เพราะว่าพระสูตรนี้ได้รับการคุ้มครองด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธะทั้งหลายแห่งอดีต อนาคตและปัจจุบัน”
    “มัญชุศรีใน ดินแดนต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน แม้เพียงชื่อของ สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ก็ไม่สามารถที่จะได้ยิน ยิ่งการได้เห็น การได้รับและการได้ยึดถือ การได้อ่านและการได้สวดแล้ว ย่อมเป็นไปได้ยาก มัญชุศรี สมมุติว่า มีพระเจ้าจักรพรรดิราชผู้ทรงอานุภาพพระองค์หนึ่ง ทรงมีพระประสงค์ที่จะพิชิตประเทศอื่นๆ ให้อยู่ในอำนาจของพระองค์ แต่ผู้ปกครองเล็กๆ เหล่านั้น ไม่ยอมเชื่อฟังคำบัญชาของพระองค์ ครั้งนั้น พระเจ้าจักรพรรดิราชทรงเรียกระดมกองทัพต่างๆ ของพระองค์ แล้วส่งออกไปทำการโจมตี ถ้าพระองค์ทอดพระเนตรเห็นทหารคนใดทำการรบดีเด่น ได้ชัยชนะในการรบ พระองค์ทรงพอพระทัยยิ่งนัก และในทันที่ทรงพระราชทานของรางวัลตามความดีความชอบของเขา ทรงประทานไร่นา บ้าน หมู่บ้านและเมือง หรือเป็นเครื่องแบบและเครื่องประดับกายต่างๆ หรือบ้างก็พระราชทานด้วยวัตถุมีค่าต่างๆ เช่น ทอง เงิน ไพฑูรย์ หอยสังข์ หินโมรา หินปะการังหรืออำพัน หรือเป็นช้าง ม้า รถ ข้าทาสชายหญิงและประชาชน คงเหลือเพียงเพชรจรัสแสงที่ประดับมุ่นพระเกศาเท่านั้น ที่ยังมิได้พระราชทานให้แก่ผู้ใด ทำไมหรือ เพราะว่าเพชรเม็ดเดียวนี้จะประดับเพียงพระเศียรของพระราชาเท่านั้น และถ้าพระองค์พระราชทานให้แก่ผู้ใดไปแล้ว พวกข้าราชบริพารของพระองค์ย่อมจะแสดงอาการตื่นตระหนกตกใจกันเป็นการใหญ่อย่างแน่นอน”
    “มัญชุศรี พระตถาคตเจ้าก็ทรงเป็นเช่นเดียวกันนี้ พระองค์ทรงใช้อำนาจแห่งฌานและปัญญา เอาชนะดินแดนธรรมและได้เป็นพระราชาแห่งสามโลก แต่พระยามาราธิราชแข็งข้อยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ ขุนพลอันมีเกียรติและชาญฉลาดของพระตถาคตเจ้าได้เข้าทำการสัประยุทธ์ในสงคราม และเมื่อทหารของพระพุทธเจ้าคนใดประสบความสำเร็จดี
    เด่นแล้ว พระพุทธองค์ทรงพอพระทัยและท่ามกลางบริษัท ๔ พระองค์ทรงสอนพระสูตรต่างๆ ทำให้ทุกคนมีความสุขใจ พระองค์ทรงประทานพวกเขาด้วย ฌาน วิโมกข์ อินทรีย์และพละอันปราศจากอาสวะและทรัพย์แห่งพระธรรมอื่นๆ พระองค์ยังได้มอบเมืองแห่งนิพพานให้แก่พวกเขาด้วย โดยตรัสบอกว่าพวกเขาได้บรรลุความดับแล้ว โน้มนำจิตใจและทำให้พวกเขามีความสุขกันทุกคน แต่พระองค์ยังมิได้สอน สัทธรรมปุณฑริกสูตรแก่พวกเขา”
    “มัญชุศรี เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิราชทรงทอดพระเนตรเห็นทหารบางคน มีผลงานดีเด่นเป็นพิเศษอย่างแท้จริง พระองค์ทรงพอพระทัยยิ่งนักอันทำให้พระองค์ต้องนำเอาเพชรเม็ดงามอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งประดับมุ่นพระเกศาของพระองค์มานานและไม่เคยมอบให้ใครไปอย่างง่ายๆ แต่บัดนี้พระองค์ทรงมอบมันให้แก่ทหารคนนั้นแล้ว พระตถาคตเจ้าก็ทรงเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ในสามโลกพระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นพระมหาธรรมราชา พระองค์ทรงใช้พระธรรมในการสอนและเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์ทั้งหลาย และทรงเฝ้าดูกองทัพอันมีเกียรติและชาญฉลาดของพระองค์ ขณะที่กำลังต่อสู้กับมารแห่งขันธ์ ๕ กิเลสมารและมรณะมาร และเมื่อพวกเขาประสบชัยในความมีชื่อเสียงและความ
    ดีอันยิ่งใหญ่ ดับพิษร้ายทั้งสามได้แล้วออกมาจากสามโลกได้แล้ว และทำลายตาข่ายของมารได้แล้ว ในเวลานั้น พระตถาคตเจ้าทรงมีความชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ สามารถทำให้สรรพสัตว์ได้บรรลุปัญญาความรอบรู้ พระสูตรนี้จะเผชิญกับผู้ต่อต้านมากที่สุดในโลกและเป็นพระสูตรที่เชื่อได้ยาก พระสูตรนี้ไม่เคยมีการสอนมาก่อนเลย แต่ในเวลานี้เราได้สอนพระสูตรนี้แล้ว”
    “มัญชุศรี สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ยอดเยี่ยมที่สุด ในหมู่พระสูตรทั้งหลายที่ทรงสอนโดยพระตถาคตเจ้า เป็นพระสูตรที่ลึกซึ้งที่สุดในหมู่พระสูตรทั้งหลายที่พระองค์ทรงสอน และจะทรงสอนในเวลาสุดท้ายที่สุด ในทำนองเดียวกันกับพระราชาอันทรงอานุกาพได้ทรงกระทำ เมื่อพระองค์ทรงนำเอาเพชรจรัสแสงที่พระองค์ทรงเฝ้ารักษา
    มานาน และได้พระราชทานให้ไปในที่สุด”
    “มัญชุศรี สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้เป็นคลังอันเร้นลับของพระพุทธะ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ในบรรดาพระสูตรทั้งหมด พระสูตรนี้อยู่ในฐานะอันสูงที่สุด ตลอดราตรีอันยาวนานเราได้เฝ้าดูแลและคุ้มครองพระสูตรนี้ และไม่เคยเผยแพร่ออกไปโดยมิได้คิดอย่างรอบคอบเสียก่อน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้แสดงพระสูตรนี้เพื่อประโยชน์ของพวกเธอ”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    จงปฏิบัติความอดกลั้นเป็นนิจ
    มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์
    และจงแสดงและสอนพระสูตรนี้
    ที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องแล้วให้ดีที่สุด
    ในสมัยหลังต่อจากนี้
    พวกที่ยึดถือพระสูตรนี้ควรจะ
    อบรมบ่มเพาะความเมตตาและความกรุณา
    แก่ผู้ที่ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือบรรพชิต
    หรือผู้ที่ยังไม่เป็นพระโพธิสัตว์
    โดยกล่าวว่า “ถ้าพวกเขาไม่ได้สดับ
    และไม่ได้เชื่อในพระสูตรนี้
    พวกเขาจะกระทำความผิดมาก
    ถ้าเราได้บรรลุพุทธมรรค
    เราจะใช้กุศโลบาย
    และสอนพระสูตรนี้แก่พวกเขา
    ทำให้พวกเขาอาศัยอยู่ในพระสูตรนี้”
    สมมุติว่ามีพระเจ้าจักรพรรดิราช
    อันทรงอานุภาพ
    ทหารของพระองค์มีความชอบในการรบ
    และพระองค์พระราชทานรางวัลด้วยสิ่งของต่างๆ
    ช้าง ม้า รถ
    เครื่องประดับกายต่างๆ
    ไร่นาและบ้านเรือน
    หมู่บ้านและเมือง
    หรือพระราชทานเสื้อผ้าอาภรณ์
    รัตนะมีค่าชนิดต่างๆ
    ข้าทาสชายหญิง ทรัพย์สินต่างๆ
    ทรงพระราชทานสิ่งเหล่านี้ด้วยความพอพระทัย
    แต่ถ้ามีบางคนกล้าหาญและเข้มแข็ง
    ผู้สามารถปฏิบัติภารกิจอันยากได้สำเร็จ
    พระราชาจะทรงถอดเพชรจรัสแสงจากมุ่นพระเกศา
    เอามาประทานให้เป็นรางวัลแก่ผู้นั้น
    พระตถาคตเจ้าก็ทรงเป็นเช่นเดียวกันนี้
    พระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นพระราชาแห่งคำสอน
    ทรงมีอานุภาพอันยิ่งใหญ่แห่งความอุตสาหะ
    และคลังแห่งปัญญาอันล้ำค่า
    และด้วยมหาเมตตาและมหากรุณาของพระองค์
    พระองค์เปลี่ยนแปลงยุคสมัยให้สอดคล้องกับพระธรรม
    พระองค์ทรงเห็นมวลมนุษย์
    ที่ทนรับความทุกข์และความกลุ้มใจ
    แสวงหาทางที่จะได้รับความหลุดพ้น
    ทำการต่อสู้กับหมู่มาร
    และเพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์เหล่านี้
    พระองค์ทรงสอนคำสอนต่างๆ
    ทรงใช้กุศโลบายอันยิ่งใหญ่
    และการสอนพระสูตรเหล่านี้
    แต่เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าสรรพสัตว์
    ได้รับพละโดยพระสูตรเหล่านี้แล้ว
    เมื่อนั้น ในเวลาท้ายสุดเพื่อประโยชน์ของพวกเขา
    พระองค์จะทรงสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    เหมือนกับพระราชาที่ทรงถอดเพชรจรัสแสง
    ออกจากมุ่นพระเกศาแล้วพระราชทานให้ไป
    พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่มีเกียรติ
    สูงที่สุดในบรรดาพระสูตรทั้งหลาย
    เราได้เฝ้าดูแลและคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา
    และจะไม่เปิดเผยพระสูตรนี้โดยไม่คิดให้ดีก่อน
    แต่เวลานี้เป็นเวลาอันเหมาะสมแล้ว
    ที่เราจะทำการสอนพระสูตรนี้แก่เธอ
    หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้ามีผู้ใดแสวงหาพุทธมรรค
    และหวังที่จะอยู่ในความสงบ
    ในการแสดงพระสูตรนี้แล้ว
    เขาควรจะสมาคมอย่างใกล้ชิด
    กับหลักปฏิบัติ ๔ ประการดังได้บรรยายมาแล้ว
    ผู้ใดที่อ่านพระสูตรนี้
    ตลอดเวลาจะไม่มีความวิตกกังวลใดๆ
    กับทั้งเขาจะไม่มีอาพาธหรือความเจ็บปวด
    สีหน้าของเขาสดชื่นแจ่มใสเสมอ
    เขาจะไม่เกิดในความยากจนหรือความขาดแคลน
    ในสภาพการณ์แวดล้อมที่ต่ำต้อยหรือน่าเกลียด
    สรรพสัตว์จะพอใจในการได้เห็นเขา
    และมองเขาว่าเป็นผู้มีเกียรติหรือนักปราชญ์
    เหล่ายุวเทพบุตร
    จะคอยปรนนิบัติรับใช้เขา
    ดาบและกระบองทั้งหลายจะไม่ถูกต้องกายเขา
    และยาพิษจะไม่มีอำนาจทำอันตรายเขาได้
    ถ้ามีผู้ใดพูดไม่ดีหรือกล่าวร้ายเขา
    ปากของผู้นั้นจะปิดและหยุดพูดทันที
    เขาจะท่องเที่ยวไปโดยปราศจากความกลัว
    ดุจดังพญาสีหราช
    ความสว่างไสวแห่งปัญญาของเขา
    จะเป็นเช่นการส่องแสงของดวงอาทิตย์
    แม้ในความฝัน
    เขาจะเห็นแต่สิ่งมหัศจรรย์
    เขาจะเห็นพระตถาคตเจ้า
    ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์
    แวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์
    และกำลังเทศนาพระธรรม
    เขายังจะเห็นพวกนาค ภูตผี
    อสูรและสัตว์เหล่าอื่น
    มากมายดังเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    กำลังประนมมืออยู่ด้วยความเคารพ
    เขาจะเห็นตนเองอยู่ที่นั่น
    และจะสอนพระธรรมแก่พวกเขา
    อนึ่งเขาจะเห็นพระพุทธะทั้งหลาย
    มีพระวรกายเป็นสีทอง
    เปล่งรัศมีมากมายนับไม่ถ้วน
    อันยังสิ่งทั้งหลายให้สว่างไสวไปด้วย
    กำลังทรงใช้เสียงแห่งพรหม
    ในการแสดงคำสอนทั้งหลาย
    สำหรับบริษัท ๔
    พระพุทธองค์จะทรงสอนพระธรรมอันสูงสุด
    และเขาจะเห็นตนเองอยู่ในหมู่คนเหล่านั้น
    กำลังประนมมือและสรรเสริญพระพุทธเจ้า
    เขาจะสดับฟังพระธรรมและมีความพอใจ
    และจะถวายทานแด่พระพุทธองค์
    เขาจะได้รับธารณี
    และการพิสูจน์แห่งปัญญาอันไม่มีการถอยกลับ
    และพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าจิตของเขา
    ได้เข้าลึกไปในพุทธมรรคแล้ว
    พระองค์จะประทานคำพยากรณ์แก่เขาว่า
    เขาจะได้บรรลุการตรัสรู้อันถูกต้องที่สุด
    “เธอ สาธุชน
    ในสมัยหนึ่งข้างหน้า
    จะได้บรรลุปัญญาอันไม่อาจวัดได้
    มรรคอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
    ดินแดนของเธอจะได้รับการประดับและบริสุทธิ์
    กว้างและใหญ่ไม่มีที่ไหนเปรียบได้
    พรั่งพร้อมด้วยบริษัท ๔
    ประนมมือและรับฟังพระธรรม”
    อีกอย่างหนึ่งเขาจะได้เห็นตนเอง
    ในท่ามกลางภูเขาและป่า
    กำลังปฏิบัติพระธรรมอันดีงาม
    เข้าใจลักษณะที่เป็นจริงของปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    เข้าอยู่ในฌานอย่างลึกซึ้ง
    และได้เห็นพระพุทธะทั้งหลายแห่งสิบทิศ
    พระพุทธะเหล่านั้น มีพระวรกายเป็นสีทอง
    ประดับด้วยเครื่องหมายแห่งบุญร้อยชนิด
    กำลังฟังพระธรรมและกำลังสอนพระธรรมนั้นแก่ประชาชน
    นั่นจะเป็นฝันดีที่เขาจะได้ฝันอยู่เสมอ
    อนึ่ง เขาจะฝัน เห็นตนเองเป็นพระราชาแห่งประเทศ
    แต่ได้สละพระราชวังและข้าราชบริพาร
    และวัตถุแห่งกามคุณ ๕ อันวิเศษและมหัศจรรย์
    แล้วไปยังสถานแห่งการปฏิบัติ
    และภายใต้ต้นโพธิ์
    ขึ้นนั่งบนสีหบัลลังก์
    ทำการแสวงหามรรค และหลังจากนั้นเจ็ดวัน
    ได้รับปัญญาของพระพุทธะทั้งหลาย
    เมื่อได้สำเร็จมรรคอันสูงสุดแล้ว
    เขาได้ลุกขึ้นและทำการหมุนธรรมจักร
    เทศนาพระธรรมแก่บริษัท ๔
    ตลอดเวลาหลายพันหมื่นล้านกัป
    ได้เทศนาพระธรรมมหัศจรรย์อันปราศจากอาสวะ
    ช่วยสรรพสัตว์มากมายเหลือคณานับได้
    และหลังจากนั้นเขาจะเข้าสู่นิพพาน
    เหมือนควันหมดไปเมื่อตะเกียงดับ
    ถ้าในสมัยชั่วร้ายหลังจากนี้
    ผู้ใดสอนพระธรรมอันยอดเยี่ยมที่สุดนี้
    คนผู้นั้นจะได้ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่
    บุญกุศลมากมายดังได้บรรยายมาแล้วข้างต้น
     
  15. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๕
    บทปรากฏออกมาจากพื้นโลก

    เวลานั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จากแดนต่างๆ ในทิศอื่นๆ จำนวนมากกว่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๘ สาย ได้ลุกขึ้นในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ ประนมมือถวายบังคมด้วยความเคารพแล้ว กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์จะทรงอนุญาตให้พวกข้าพระองค์ ในสมัยหลังจากพระพุทธองค์ได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ด้วยความขยันหมั่นเพียรและด้วยความเอาจริงเอาจัง คุ้มครอง อ่าน สวด คัดลอก และถวายเครื่องสักการะแด่พระสูตรนี้ในสหาโลกธาตุ พวกข้าพระองค์จะสอนพระสูตรนี้ให้กว้างไกลไปทั่วแดนนี้เลย พระเจ้าข้า!”
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายว่า “หยุดก่อน สาธุชนทั้งหลาย! ไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเธอที่จะคุ้มครองพระสูตรนี้ ทำไมหรือ เพราะว่าในสหาโลกธาตุของเรานี้มี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๐,๐๐๐ สาย และพระโพธิสัตว์เหล่านี้แต่ละองค์มีบริวารอีกมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๐,๐๐๐ สาย หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้วคนเหล่านี้เองที่สามารถคุ้มครอง อ่าน สวด และสอนพระสูตรนี้ได้อย่างกว้างขวาง”
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบลง พื้นดินของตรีสหัสสะมหาสหัสสะสหาโลกธาตุใหญ่แห่งประเทศ ทั้งหมดได้สั่นสะเทือนและแตกแยกออก และในขณะเดียวกัน จากรอยแยกนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์มากมายหลายพันหมื่นล้านได้ปรากฏออกมา พระโพธิสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดมีกายเป็นสีทอง มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และมีความ
    สว่างอันไม่อาจวัดได้ พวกเขาเหล่านี้เมื่อก่อนได้อาศัยอยู่ในโลกแห่งที่ว่างข้างใต้สหาโลกธาตุนี้ แต่เมื่อได้สดับเสียงพระดำรัสของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พวกเขาจึงได้ผุดออกมาจากเบื้องล่าง
    พระโพธิสัตว์เหล่านี้แต่ละองค์เป็นผู้นำคนหมู่ใหญ่ของตนเอง และทุกองค์ได้นำบริวารมาด้วยจำนวนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๐,๐๐๐ สาย ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ที่บริวารมามากเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๕๐,๐๐๐ สาย ๔๐,๐๐๐ สาย ๓๐,๐๐o สาย ๒๐,๐๐๐ สาย หรือ ๑๐,๐๐๐ สาย หรือองค์ที่มีบริวารจำนวนน้อยเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหนึ่งสาย ครึ่งสาย หนึ่งในสี่สาย หรือมีน้อยเท่าหนึ่งส่วนในหนึ่งพันหมื่นล้านนยุตะ
    สาย หรือพวกที่มีบริวารเพียงหนึ่งพันหมื่นล้านนยุตะ หรือมีเพียงหนึ่งล้านหมื่น หรือเพียงหนึ่งพันหมื่น หนึ่งร้อยหมื่น หรือเพียงหนึ่งหมื่น หรือเพียงหนึ่งพัน หนึ่งร้อย หรือสิบ หรือผู้ที่นำบริวารมาด้วยเพียงห้า สี่ สาม สองหรือศิษย์คนเดียว หรือผู้ที่มาเพียงคนเดียวด้วยชอบที่จะปฏิบัติความสันโดษ นั่นคือหมู่พระโพธิสัตว์มากมายอันไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด เหนือสิ่งใดๆ ที่สามารถจะรู้ได้ด้วยการคิดคำนวณ การอุปมา หรือนิทานเปรียบเทียบใดๆ
    หลังจากพระโพธิสัตว์เหล่านี้ได้ปรากฎออกมาจากพื้นโลกแล้ว พวกเขาทุกองค์ได้ตรงไปยังหอสัปตรัตนสถูปอันมหัศจรรย์ที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า ซึ่งเป็นที่ที่พระประภูตรัตนตถาคตและพระศากยมุนีพุทธเจ้าประทับอยู่ เมื่อมาถึงแล้ว พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสอง ถวายบังคมกระทำอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของทั้งสองพระองค์ พวกเขายังได้ไปกระทำความเคารพแด่พระพุทธะ ที่ประทับนั่งบนสีหบัลลังก์ใต้ต้นไม้อัญมณีด้วย ครั้นแล้ว ได้เวียนรอบไปทางขวาสามรอบ ประนมมือด้วยความเคารพ และทำการยกย่องพระพุทธะทั้งหลายด้วยบทสดุดีของพระโพธิสัตว์นานาชนิด ครั้นแล้วได้ถอยออกไปยืนอยู่ยังด้านหนึ่ง เพ่งมองด้วยความเป็นสุขที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสอง นับ
    แต่เวลาแรกที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ปรากฎขึ้นมาจากโลก และทำการยกย่องพระพุทธะทั้งหลายด้วยบทสดุดีของพระโพธิสัตว์นานาชนิดจบลงนั้น เวลาผ่านไป ๕๐ จุลกัป
    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงนั่งอยู่ในอาการสงบนิ่ง และบริษัท ๔ ก็อยู่ในอาการสงบนิ่งเป็นเวลา ๕๐ จุลกัปด้วยเช่นกัน แต่เพราะเหตุแห่งพลังอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธองค์ ทำให้ทุกคนในที่ประชุมใหญ่รู้สึกว่ามันเป็นเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น
    ครั้งนั้น บริษัท ๔ โดยเหตุแห่งพลังอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธองค์ด้วยเช่นกัน จึงได้เห็นพระโพธิสัตว์เหล่านี้เต็มท้องฟ้าไปหมด ทั่วดินแดนมากมายหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น และหลายล้าน ในหมู่พระโพธิสัตว์เหล่านี้มีพระโพธิสัตว์ที่เป็นผู้นำสี่องค์ องค์แรกนามว่า วิศิษฏ์จาริตร องค์ที่สองนามว่า อนันตจาริตร องค์ที่สามนามว่า วิศุทธิจาริตร
    องค์ที่สี่นามว่า สุประดิษฐิตจาริตร พระโพธิสัตว์ทั้งสี่องค์นี้เป็นผู้นำที่อยู่หน้าสุดและเป็นอาจารย์ผู้ชี้นำแก่ทุกกลุ่ม ณ เบื้องหน้าของที่ประชุมใหญ่ พระโพธิสัตว์ทั้งสี่องค์นี้แต่ละองค์ได้ประนมมือ เพ่งมองที่พระศากยมุนีพุทธเจ้า และได้กราบทูลถามพระองค์ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงมีอาพาธน้อย มีความวิตกกังวลน้อย และการปฏิบัติดำเนินไปได้โดยสะดวกหรือ พระเจ้าข้า พวกที่พระองค์ประสงค์จะช่วย พวกเขาพร้อมที่จะรับการสอนหรือไม่ พวกเขามิได้ทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยหมดกำลังบ้างหรือ พระเจ้าข้า”
    เวลานั้น พระมหาโพธิสัตว์ทั้งสี่องค์ได้กล่าวซ้ำเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระเกษมสำราญ
    ด้วยอาพาธน้อย ความวิตกกังวลน้อยหรือ
    ในการสอนและการเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์
    พระองค์ทรงทำได้โดยไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหรือ
    และสรรพสัตว์พร้อมรับการสั่งสอนหรือไม่
    ไม่มีสิ่งใดทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้า
    เหน็ดเหนื่อยและหมดกำลังบ้างหรือ
    ครั้งนั้น ในที่ประชุมใหญ่แห่งพระโพธิสัตว์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า “เป็นดังนั้น เป็นดังนั้น สาธุชนทั้งหลาย! พระตถาคตเจ้าทรงพระเกษมสำราญและมีความสุขดี ด้วยมีอาพาธน้อยและมีความวิตกกังวลน้อย สรรพสัตว์พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการช่วยเหลือเรียบร้อยดี และเรามิได้เหน็ดเหนื่อยหรือหมดกำลังเลย
    ทำไมหรือ เพราะว่า ตลอดยุคแล้วยุคเล่าในอดีต สรรพสัตว์ได้รับคำสั่งสอนจากเรามาโดยตลอด และพวกเขายังได้ถวายทานและถวายความเคารพแด่พระพุทธะแห่งอดีตมาแล้ว และได้ปลูกฝังรากเหง้าดีต่างๆไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อสรรพสัตว์เหล่านี้ได้พบเราเป็นครั้งแรกและได้ฟังการสอนของเรา พวกเขาทั้งหมดจึงเชื่อและน้อมรับไว้ในทันที ได้เข้าไปอยู่
    ในปัญญาของพระตถาคตเจ้า ยกเว้นพวกที่เคยปฏิบัติและศึกษาหินยานมาก่อน แต่ในเวลานี้เราจะทำให้คนเหล่านี้มีโอกาสได้ฟังพระสูตรนี้ และได้เข้าสู่ปัญญาของพระพุทธะ”
    ครั้งนั้น พระมหาโพธิสัตว์ทั้งสี่องค์ได้กราบทูลเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ประเสริฐแล้ว ประเสริฐแล้ว
    พระมหาวีรบุรุษ พระผู้มีพระภาคเจ้า!
    สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ได้รับการเปลี่ยนแปลงและการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว
    พวกเขารู้การที่จะไต่ถามเกี่ยวกับ
    ปัญญาอันลึกซึ้งที่สุดของพระพุทธเจ้า
    และเมื่อได้สดับแล้ว พวกเขาเชื่อและเข้าใจได้
    พวกข้าพระองค์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้สรรเสริญพระมหาโพธิสัตว์ผู้นำกลุ่ม โดยตรัสว่า “ดีมาก ดีมาก สาธุชนทั้งหลาย! ท่านรู้จักการที่จะแสดงความยินดีแก่พระตถาคตเจ้า”
    ครั้งนั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ และมวลหมู่พระโพธิสัตร์เท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๘,๐๐๐ สาย ต่างมีความคิดดังนี้ “ในอดีต พวกเราไม่เคยได้เห็นหรือได้ฟังเกี่ยวกับพระมหาโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ที่ได้ปรากฏขึ้นมาจากพื้นโลก และเวลานี้ยืนอยู่หน้าพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ประนมมือ ถวายทาน และทูลถามเรื่องราวของพระ
    ตถาคตเจ้า!”
    เวลานั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ท่านได้ทราบความคิดในใจของพระโพธิสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่นำคงคา ๘,๐๐๐ สาย และประสงค์ที่จะคลี่คลายความสงสัยของท่านเองด้วย จึงได้ประนมมือหันไปทางพระพุทธเจ้า แล้วได้กราบทูลถามเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่
    มากมายหลายพัน หลายหมื่น หลายล้าน
    คนเช่นนี้ไม่เคยได้เห็นมาก่อนในอดีต
    ขอพระผู้มีเกียรติสูงสุดของเทวดาและมนุษย์ได้โปรดอธิบาย
    ว่าพวกเขาเหล่านี้มาจากที่ใด
    เหตุและปัจจัยอะไรชักนำให้พวกเขามารวมกันที่นี่
    ร่างกายสูงใหญ่เพียบพร้อมด้วยอภิญญา
    ปัญญาอันไม่อาจหยั่งถึงได้
    ความตั้งใจและความคิดมั่นคง
    พร้อมด้วยพลังแห่งความพากเพียรอันยิ่งใหญ่
    อันเป็นผู้ที่สรรพสัตว์พอใจใคร่ที่จะได้เห็น
    พวกเขามาจากที่ไหนกัน
    พระโพธิสัตว์เหล่านี้แต่ละองค์
    นำบริวารมาด้วยจำนวนมากมาย
    เหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    พระมหาโพธิสัตว์เหล่านี้บางองค์
    นำบริวารมาเท่าเม็ดทรายแม่น้ำคงคา ๖๐,๐๐๐ สาย
    และพระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่นี้
    แสวงหาพุทธมรรคด้วยใจเดียว
    พระอาจารย์ใหญ่เหล่านี้
    มากมายเท่าเม็ดทรายแม่น้ำคงคา ๖๐,๐๐๐ สาย
    พร้อมกันมาถวายทานแด่พระพุทธเจ้า
    และเพื่อที่จะเฝ้ารักษาและเทิดทูนพระสูตรนี้
    ยังมีอีกมาก พวกที่มากับบริวาร
    มากมายเท่าเม็ดทรายแม่น้ำคงคา ๕๐,๐๐๐ สาย
    พวกที่มากับบริวารเท่ากับ ๔๐,๐๐๐ สาย
    เท่ากับ ๓o,ooo สาย ๒๐,๐๐๐ สาย ๑๐,๐๐๐ สาย
    เท่ากับ ๑,๐๐๐ สาย ๑๐๐ สาย
    หรือเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๑ สาย
    เท่ากับ ๑/๒ สาย ๑/๓ สาย ๑/๔ สาย
    หรือเพียงหนึ่งส่วนในหนึ่งล้านหมื่น
    พวกที่มากับศิษย์หนึ่งพันหมื่นนยุตะ
    หรือนำศิษย์มาหนึ่งหมื่นล้าน
    หรือนำศิษย์มาครึ่งล้านคน
    พวกเขายังมีจำนวนมากกว่านี้อีก
    พวกที่มีบริวารหนึ่งในล้านหรือหนึ่งหมื่นคน
    บริวารหนึ่งพันหรือหนึ่งร้อยคน
    บริวารห้าสิบหรือสิบคน
    บริวารสาม สอง หรือหนึ่งคน
    หรือผู้ที่มาลำพังผู้เดียวโดยไม่มีบริวาร
    มีความพอใจในความสันโดษ
    ทั้งหมดได้มายังที่ประทับของพระพุทธเจ้า
    พวกเขามีจำนวนมากยิ่งกว่าที่ได้บรรยายมาแล้ว
    ถ้าผู้ใดพยายามที่จะใช้ลูกคิด เพื่อที่จะคิดจำนวนคนหมู่ใหญ่นี้
    แม้เขาจะใช้เวลาหลายกัปเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    เขาก็ไม่สามารถที่จะรู้จำนวนรวมทั้งหมดได้
    พระโพธิสัตว์กลุ่มใหญ่นี้
    ด้วยความสง่างาม ความดี และความวิริยะ
    พวกเขาได้รับการสอนพระธรรมจากผู้ใด
    ใครสอน ใครเปลี่ยนแปลง และใครนำพวกเขามาที่นี่
    ผู้ใดทำให้พวกเขาตั้งจิตมุ่งต่อความรู้แจ้งเป็นครั้งแรก
    พวกเขายกย่องและประกาศพุทธธรรมอะไร
    พวกเขายึดถือและปฏิบัติพระสูตรอะไร
    พวกเขาปฏิบัติพุทธมรรคอะไร
    พระโพธิสัตว์เหล่านี้
    มีอภิญญาและพลังแห่งปัญญาอันยิ่งใหญ่
    พื้นโลกในสี่ทิศสั่นสะเทือนและแยกออก
    และพวกเขาทั้งหมดปรากฎออกมาจากรอยแยกนั้น
    พระผู้มีพระภาคเจ้า จากอดีตกาล
    ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นสิ่งที่เหมือนอย่างนี้เลย!
    ขอพระองค์ได้ทรงโปรดบอกข้าพระองค์ว่า
    พวกเขามาจากแดนชื่ออะไร
    ข้าพระองค์ท่องเที่ยวไปในแดนต่างๆ อยู่เป็นนิจ
    แต่ไม่เคยเห็นสิ่งใดเช่นนี้เลย!
    ในหมู่คนมากมายทั้งหมดนี้
    ไม่มีสักคนเดียวที่ข้าพระองค์รู้จักเลย
    ในทันทีพวกเขาปรากฏออกมาจากพื้นโลก
    ขอพระองค์อธิบายสาเหตุด้วยเถิด
    ในเวลานี้สมาชิกแห่งที่ประชุมใหญ่นี้
    พระโพธิสัตว์มากมายหลายร้อยพันล้านเหลือคณานับ
    ต่างต้องการที่จะทราบสิ่งเหล่านี้
    เกี่ยวกับมูลเหตุตั้งแต่ต้นจนปลายของหมู่พระโพธิสัตว์นี้
    พระผู้ทรงคุณมหาศาล พระผู้มีพระภาคเจ้า
    ทรงโปรดขจัดความสงสัยของที่ประชุมนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า
    เวลานั้น พระพุทธะแบ่งภาคทั้งหลายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ที่มาจากดินแดนมากมายหลายพันหมื่นล้านในทิศอื่นๆ ได้ประทับนั่งขัดสมาธิบนสีหบัลลังก์ใต้ต้นไม้อัญมณีในแปดทิศ อุปัฏฐากของพระพุทธะเหล่านี้ ต่างได้เห็นพระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่ที่ปรากฎออกมาจากพื้นโลก ในสี่ทิศแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ และขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศแล้ว แต่ละท่านได้กราบทูลถามพระพุทธะของตนว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่นี้จำนวนมากมายหลายอสงไขย ไม่มีที่สุด ไม่มีขอบเขตจำกัด พวกเขามาจากที่ใดกัน พระเจ้าข้า”
    เวลานั้น พระพุทธะแต่ละองค์ได้ตรัสแก่อุปัฏฐากของพระองค์ว่า “สาธุชนทั้งหลาย จงคอยสักครู่เถิด มีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์องค์หนึ่งนามว่า เมตไตรย ผู้ซึ่งได้รับคำพยากรณ์จากพระศากยมุนีพุทธเจ้าแล้วว่า ในภายหน้าเขาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป เขาได้ไต่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และพระพุทธเจ้าก็กำลังจะตอบในบัดนี้แล้ว เธอควรถือโอกาสนี้ฟังสิ่งที่พระองค์ตรัสด้วยตัวเธอเอง”
    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ว่า “ดีมาก ดีมาก อชิตะ ที่เธอควรจะถามพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องอันยิ่งใหญ่นี้ พวกเธอทั้งหลายด้วยใจเดียวควรจะสวมเกราะแห่งความวิริยะและเลือกอย่างแน่วแน่มั่นคง ในเวลานี้ พระตถาคตเจ้าทรงปรารถนาที่จะเปิดเผยและประกาศปัญญาของพระพุทธะทั้งหลาย อภิญญาที่ใช้ได้อย่างอิสระของพระพุทธะทั้งหลาย พลังจู่โจมของราชสีห์ของพระพุทธะทั้งหลาย และพลังอำนาจอันดุร้ายและน่าเกรงขามอย่างยิ่งของพระพุทธะทั้งหลาย”
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    จงเอาใจใส่และด้วยใจเดียว
    เพราะเราปรารถนาที่จะอธิบายเรื่องนี้
    อย่าได้มีความสงสัยหรือเสียใจ
    พุทธปัญญายากนักที่จะหยั่งถึงได้
    เวลานี้เธอจะต้องแสดงพลังแห่งความศรัทธาออกมา
    และตั้งมั่นอยู่ในความอดทนและความดี
    พระธรรมซึ่งในอดีตไม่เคยได้สดับ
    ในเวลานี้เธอทั้งหลายจะได้สดับ
    บัดนี้เราจะนำความสบายและสิ่งปลอบใจมาให้พวกเธอ
    อย่าได้เกิดความสงสัยหรือความหวาดกลัวใดๆ
    พระพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดนอกจากสัจวาจา
    ปัญญาของพระองค์ไม่สามารถวัดได้
    พระธรรมอันยอดเยี่ยมที่สุดที่พระองค์ได้บรรลุแล้วนี้
    เป็นพระธรรมที่ลึกซึ้งยิ่ง การวิเคราะห์มิอาจทำได้
    เราจะแสดงพระธรรมนี้ ณ บัดนี้
    พวกเธอจะต้องรับฟังด้วยใจเดียว
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้ตรัสคาถาเหล่านี้แล้ว พระองค์ได้ตรัสแก่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ว่า “เกี่ยวกับคนหมู่ใหญ่นี้ เราจะบอกเรื่องนี้แก่เธอเดี๋ยวนี้ อชิตะ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ ซึ่งมีจำนวนหลายอสงไขยมากมายนับไม่ถ้วน อันปรากฎขึ้นมาจากพื้นโลก และเป็นพวกที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเราได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิในโลกสหานี้แล้ว เราได้เปลี่ยนแปลงและชี้แนะพระโพธิสัตว์เหล่านี้ อบรมจิตของพวกเขา และทำให้พวกเขาพัฒนาความปรารถนาในมรรค พระโพธิสัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่ในที่ว่างใต้สหาโลกธาตุนี้ พวกเขาอ่าน สวด เข้าใจคัมภีร์ต่างๆ พิจารณาคัมภีร์เหล่านั้น ทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ และรักษามันไว้ในใจอย่างถูกต้อง
    “อชิตะ สาธุชนเหล่านี้ไม่มีความยินดีในการอยู่ในหมู่คนมาก และไม่พอใจในการพูดมาก พวกเขาพอใจอยู่ในที่เงียบสงัดเสมอ มีความวิริยะอย่างขยันขันแข็ง ไม่เคยหยุดพัก พวกเขาไม่ติดใจในการอยู่ในหมู่มนุษย์หรือเทวดา แต่ตลอดเวลาพอใจในปัญญาอันลึกซึ้ง เป็นอิสระจากสิ่งกีดขวางทั้งปวง และตลอดเวลาพวกเขามีความพอใจในพระธรรมของพระพุทธะทั้งหลาย คอยแสวงหาปัญญาอันสูงสุดด้วยความวิริยะและด้วยใจเดียว”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    อชิตะ เธอควรจะเข้าใจอย่างนี้
    พระมหาโพธิสัตว์เหล่านี้
    ตลอดเวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน
    ได้ปฏิบัติพุทธปัญญามาแล้ว
    ทั้งหมดได้รับการเปลี่ยนแปลงจากเรา
    เราทำให้พวกเขาตั้งจิตมุ่งต่อมรรคอันยิ่งใหญ่
    คนเหล่านี้เป็นบุตรของเรา
    พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้
    ปฏิบัติธุดงค์อย่างสม่ำเสมอ
    ชอบอยู่ในที่เงียบมากกว่า
    หลีกเลี่ยงความวุ่นวายสับสนของที่ประชุมใหญ่
    ไม่มีความยินดีในการพูดมาก
    ในลักษณะนี้ บุตรเหล่านี้
    ศึกษาและปฏิบัติมรรคและพระธรรมของเรา
    ด้วยความวิริยะสม่ำเสมอทั้งวันทั้งคืน
    เพื่อการแสวงหาพุทธมรรค
    พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ว่าง
    ณ เบื้องล่างของสหาโลกธาตุนี้
    มั่นคงในพลังความตั้งใจและการสำรวมจิต
    แสวงหาปัญญาด้วยความเอาใจใส่เป็นนิจ
    พวกเขาแสดงคำสอนมหัศจรรย์ต่างๆ
    และไม่มีความกลัวใดๆ ในใจของพวกเขาเลย
    เมื่อเราอยู่ในเมืองคยา
    ประทับนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์
    เราได้บรรลุการตรัสรู้อันถูกต้องสูงสุด
    และได้หมุนจักรแห่งธรรมอันสูงสุด
    หลังจากนั้นเราได้สอนและเปลี่ยนแปลงพวกเขา
    ทำให้พวกเขาได้ตั้งจิตมุ่งต่อมรรคเป็นครั้งแรก
    เวลานี้พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ขั้นแห่งการไม่ถอยกลับ
    และในที่สุดก็สามารถที่จะได้เป็นพระพุทธะกันทั้งหมด
    สิ่งที่เรากล่าวในเวลานี้ล้วนเป็นคำสัตย์ทั้งสิ้น
    เธอจะต้องเชื่อถ้อยคำเหล่านี้ด้วยใจเดียว!
    ตั้งแต่อดีตกาลอันนานไกลมาแล้ว
    เราได้สอนและเปลี่ยนแปลงคนเหล่านี้
    ในเวลานั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์อื่นนับไม่ถ้วน ได้เกิดความงุนงงสงสัยขึ้นในใจ พวกเขางุนงงกับเรื่องที่ไม่เคยเกิดมาก่อน จึงได้คิดกับตนเองดังนี้ “ในชั่วเวลาอันสั้นเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า สามารถสอนและเปลี่ยนแปลงพระมหาโพธิสัตว์เหล่านี้ อันมีจำนวนอสงไขยนับไม่ถ้วน ไม่มีขอบเขตจำกัด และทำให้พวกเขาอาศัยอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิได้อย่างไร” ดังนั้น พระเมตไตรยจึงได้
    กราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อสมัยพระตถาคตเจ้ายังเป็นมกุฎราชกุมาร พระองค์ได้ออกจากวังแห่งศากยวงศ์ และได้ประทับนั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติอันไม่อยู่ห่างไกลจากเมืองคยานัก และ ณ ที่นั่นพระองค์ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิ ตั้งแต่นั้นมา เวลาผ่านไปเพียงแค่ ๔๐ ปีกว่าเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ในชั่วเวลาอันสั้นนั้น พระองค์ทรงทำอย่างไร จึงสามารถกระทำพุทธกิจได้สำเร็จมากมาย มันเป็นด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า หรือด้วยบุญบารมีของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์สามารถสอนและเปลี่ยนแปลงพระมหาโพธิสัตว์ได้มากมายเช่นนี้ และสามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิได้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่พระมหาโพธิสัตว์อย่างนี้ ใครคนหนึ่งอาจใช้เวลาหนึ่งพันหมื่นล้านกัป ทำการนับจำนวนก็มิอาจ
    นับได้หมด หรือทราบจำนวนเต็มได้ ตั้งแต่อดีตกาลอันนานไกล ในสำนักของพระพุทธะมากมายอันไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด พวกเขาจะต้องได้ปลูกฝังรากเหง้าที่ดี ปฏิบัติโพธิสัตว์มรรค และได้ร่วมปฏิบัติพรหมจรรย์เป็นประจำมาแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า มันเป็นการยากที่โลกจะเชื่อเรื่องเช่นนี้ได้ พระเจ้าข้า!”
    “อุปมาดังว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งอายุ ๒๕ ปี มีผิวพรรณเปล่งปลั่งและสีผมยังดำอยู่ ได้ชี้ไปที่ใครคนหนึ่งซึ่งมีอายุ ๑๐๐ ปี และบอกว่า “นี่คือบุตรของเรา!” หรือชายชราอายุ ๑๐๐ ปีชี้ไปที่ชายหนุ่ม และบอกว่า “นี่คือบิดาของเรา ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา!” อย่างนี้ เป็นการยากที่จะเชื่อได้ และเรื่องที่พระองค์ทรงบอกนี้ก็เป็นการยากที่
    จะเชื่อได้เช่นกัน”
    “ตามความจริงแล้ว ตั้งแต่พระองค์ได้บรรลุพุทธมรรคมาเวลาไม่นานเลย แต่พระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่นี้ได้อุทิศตนอย่างขยันขันแข็งและอย่างจริงจัง เพื่อเป็นประโยชน์แก่พุทธมรรคมาแล้วเป็นเวลามากมายหลายพันหมื่นล้านกัป พวกเขาได้เรียนรู้ดีแล้วถึงการเข้า การออก และการดำรงอยู่ในสมาธิมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านชนิด ได้อภิญญาแล้ว ได้ปฏิบัติพรหมจรรย์มาเป็นเวลานานแล้ว และทีละขั้นๆ สามารถปฏิบัติคำสอนที่ดีต่างๆ แล้ว มีความเชี่ยวชาญในการถาม และการตอบปัญหา เป็นทรัพย์ล้ำค่าในหมู่มนุษย์ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะได้รู้จักกันในโลกทั้งหลาย แต่ในวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสบอกพวกข้าพระองค์ว่า ในสมัยตั้งแต่ พระองค์ได้บรรลุพุทธมรรค พระองค์ได้
    ทำให้คนเหล่านี้ได้ตั้งจิตมุ่งต่อการตรัสรู้เป็นครั้งแรก ได้สอน ได้เปลี่ยนแปลง ได้นำทาง และได้บอกทางให้พวกเขาปฏิบัติไปสู่อนุตรสัมมาสัมโพธิ!”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่พระองค์ได้บรรลุพุทธภาวะมา เวลายังไม่นานนักเลย แต่พระองค์ยังสามารถปฏิบัติภารกิจอันน่าสรรเสริญยิ่งนี้ได้แล้ว! พวกข้าพระองค์ล้วนมีความศรัทธาในพระพุทธเจ้า ด้วยการเชื่อว่าพระองค์ทรงสอนธรรมะตามโอกาสอันเหมาะสม เชื่อว่าพระดำรัสของพระพุทธเจ้าไม่เคยเป็นเท็จ และเชื่อว่าความรู้ของ
    พระพุทธเจ้าทุกเรื่องล้วนหลักแหลมและกว้างขวาง แต่อย่างไรก็ตาม ในสมัยหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ถ้ามีพระโพธิสัตว์ผู้ซึ่งเพิ่งเริ่มตั้งจิตมุ่งต่อการตรัสรู้เมื่อได้สดับถ้อยคำเหล่านี้ พวกเขาอาจจะไม่เชื่อหรือยอมรับ แต่จะถูกนำไปสู่การกระทำความผิดแห่งการปฏิเสธพระธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์หมดสิ้นความสงสัย และเพื่อว่าในสมัยอนาคตเมื่อ สาธุชนทั้งหลายได้สดับเรื่องนี้ พวกเขาจะไม่เกิดมีความสงสัยใดๆ ด้วย พระเจ้าข้า!”
    ในเวลานั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ในอดีตพระพุทธเจ้าได้เสด็จออกจากศากยวงศ์
    ทรงผนวช และใกล้เมืองคยา
    ประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์
    ตั่งแต่นั้นมา เวลาผ่านไปเพียงเล็กน้อย
    แต่พระพุทธบุตรเหล่านี้
    จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน!
    พวกเขาได้ปฏิบัติพุทธมรรคมาตั้งนานแล้ว
    อาศัยอยู่ในอภิญญาและพลังแห่งปัญญา
    มีความรู้เชี่ยวชาญในโพธิสัตว์มรรค
    ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลกียวิสัย
    เหมือนดอกบัวในน้ำ
    จากการปรากฎออกมาจากพื้นโลก
    ทั้งหมดได้แสดงให้เห็นจิตอันน่าเคารพนับถือ
    ยืนอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เรื่องนี้ยากที่จะหยั่งรู้ได้
    ใครจะเชื่อมั่นได้อย่างไร
    พระพุทธเจ้าทรงบรรลุมรรคเมื่อไม่นานมานี้
    แต่ทรงช่วยคนให้ประสบความสำเร็จได้มากมาย!
    ขอพระองค์ทรงโปรดขจัดความสงสัยของที่ประชุมนี้
    ทำการแยกแยะและอธิบายความจริงของเรื่องนี้
    อุปมาดังว่า ชายหนุ่มคนหนึ่ง
    อายุเพียง ๒๕ ปี
    ชี้ไปที่ชายชราอายุ ๑๐๐ ปี
    มีผมหงอกและหน้าเหี่ยว
    และบอกว่า “เราเป็นผู้ให้กำเนิดเขา!”
    และชายชราบอกว่า “นี่คือบิดาของเรา!”
    เรื่องบิดาหนุ่ม บุตรชรา
    ไม่มีใครในโลกสามารถที่จะเชื่อได้!
    พระผู้มีพระภาคเจ้า กรณีของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน
    พระองค์ได้บรรลุมรรคมาเมื่อไม่นานนี้เอง
    พระโพธิสัตว์เหล่านี้
    ความตั้งใจมั่นคง ไม่ประหม่า และสดใส
    เป็นเวลากัปมากมายนับไม่ถ้วน
    พวกเขาได้ปฏิบัติโพธิสัตว์มรรคมาแล้ว
    พวกเขาฉลาดในการถามและตอบปัญหายาก
    พวกเขาไม่มีความหวาดกลัวในใจเลย
    พวกเขาได้ฝึกอบรมจิตพากเพียรอย่างมั่นคง
    เที่ยงตรงในศักดิ์ศรีและคุณความดี
    ได้รับการสรรเสริญจากพระพุทธะแห่งสิบทิศ
    ว่าสามารถและชำนาญในการสอนลักษณะเฉพาะต่างๆ
    พวกเขาไม่มีความปรารถนาอยู่ในหมู่คน
    แต่พอใจสภาพแห่งฌานอยู่เสมอ
    และเพื่อการแสวงหาพุทธมรรค
    พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ว่างใต้พื้นโลก
    เรื่องนี้พวกข้าพระองค์ได้สดับฟังจากพระพุทธเจ้า
    จึงไม่มีความสงสัยในเรื่องนี้
    แต่เพื่อเห็นแก่สมัยอนาคต ขอพระพุทธองค์
    ได้ทรงโปรดอธิบายและทำให้เกิดความเข้าใจ
    ถ้าเกี่ยวกับพระสูตรนี้
    หากใครเกิดความสงสัยและไม่มีความเชื่อ
    เขาจะตกลงสู่อบายภูมิในทันที
    ดังนั้น ขอพระองค์ได้ทรงโปรดอธิบาย ณ บัดนี้
    พระโพธิสัตว์เหลือคณานับเหล่านี้
    ในช่วงเวลาอันสั้น
    พระองค์ทรงสอนทำให้พวกเขามีจิตปรารถนา
    และเข้าอาศัยอยู่ในขั้นแห่งการไม่ถอยกลับได้อย่างไร
     
  16. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๖
    บทหยั่งอายุกาลของพระตถาคต

    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และที่ประชุมใหญ่ทั้งหมดว่า “สาธุชนทั้งหลาย เธอจะต้องเชื่อและเข้าใจคำพูดอันจริงแท้ของพระตถาคตเจ้า” อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสแก่ที่ประชุมใหญ่ว่า “เธอจะต้องเชื่อและเข้าใจคำพูดอันจริงแท้ของพระตถาคตเจ้า” และอีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ตรัสแก่ที่ประชุมใหญ่อีกว่า “เธอจะต้องเชื่อและเข้าใจคำพูดอันจริงแท้ของพระตถาคตเจ้า”
    เวลานั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และที่ประชุมใหญ่ รวมทั้งพระเมตไตรยในฐานะผู้นำได้ยกสองมือประนมขึ้น แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ได้ทรงโปรดอธิบาย พวกข้าพระองค์จะเชื่อและยอมรับพระพุทธวาจา พระเจ้าข้า” พวกเขาได้กล่าวอย่างนี้สามครั้งแล้ว ได้กราบทูลอีกครั้งว่า “ขอพระองค์ได้ทรงโปรดอธิบาย พวกข้าพระองค์จะเชื่อและยอมรับพระพุทธวาจา พระเจ้าข้า”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเห็นว่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้กล่าวคำขอร้องซ้ำถึงสามครั้ง และได้กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งแล้ว พระองค์ได้ตรัสแก่พวกเขาว่า “พวกเธอทั้งหลายจะต้องตั้งใจฟังให้ดี และสดับความเร้นลับของพระตถาคตและอภิญญาของพระองค์ ในโลกทั้งหลาย บรรดาเทวดา มนุษย์ และ อสูร ต่างเชื่อกันว่า พระศากยมุนี
    พุทธเจ้าในปัจจุบัน หลังจากที่เสด็จออกจาก พระราชวังแห่งศากยวงศ์แล้ว พระองค์ได้ประทับนั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียร ซึ่งไม่ไกลจากเมืองคยานัก และ ณ ที่นั้น พระองค์ได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แต่สาธุชนทั้งหลาย แท้จริงแล้ว เราได้บรรลุพุทธภาวะนั้นมาเป็นเวลายาวนานมาแล้ว หลายร้อยพันหมื่นล้านนยุตะกัปนับไม่ถ้วน ไม่มี
    ขอบเขตจำกัด”
    “สมมุติว่า มีคนผู้หนึ่งนำเอาห้าร้อยพันหมื่นล้านนยุตะอสงไขยของตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุมาบดให้เป็นผงธุลี แล้วเดินทางไปทางทิศตะวันออก ทุกครั้งที่เขาผ่านห้าร้อยพันหมื่นล้านนยุตะอสงไขยโลกธาตุ เขาได้ทิ้งผงธุลีลงไว้หนึ่งเม็ด เขากระทำอย่างนี้ในทางทิศตะวันออกต่อไปอีก จนกระทั่งเขาทิ้งเม็ดธุลีไปจนหมด สาธุชนทั้งหลาย พวกเธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน จำนวนทั้งหมดของโลกธาตุเหล่านี้สามารถคาดคะเนหรือคำนวณได้หรือไม่”
    พระเมตไตรยโพธิสัตว์และคนอื่นๆ ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โลกธาตุเหล่านี้มากมายมิอาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่มีผู้ใดสามารถคำนวณจำนวนมันได้ หรือจิตไม่มีพลังพอที่จะรวมจำนวนมันได้ แม้ด้วยปัญญาอันปราศจากอาสวะของพระสาวกและพระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย ก็มิอาจคาดคะเนหรือเข้าใจได้ว่ามีเท่าใด ถึงแม้พวกข้าพระองค์ที่อยู่ในขั้นแห่งอวิวรรติกะแล้ว ก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องเช่นนี้ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า โลกธาตุเหล่านี้ไม่อาจวัดได้และไม่มีขอบเขตจำกัด พระเจ้าข้า”
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระมหาโพธิสัตว์จำนวนมากมายว่า “สาธุชนทั้งหลาย บัดนี้ เราจะบอกเรื่องนี้อย่างแจ่มแจ้งแก่พวกเธอ สมมุติว่าโลกธาตุทั้งหมดเหล่านี้ ไม่ว่าจะได้รับเม็ดผงธุลีหรือไม่ก็ตาม เอาทั้งหมดมาบดให้เป็นผงธุลีอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้ถือเอาผงธุลีเม็ดหนึ่งแทนหนึ่งกัป เวลาที่ผ่านไปตั้งแต่เราได้บรรลุพุทธภาวะมาแล้วนั้น
    นานกว่านี้อีกเป็นเวลาหนึ่งร้อยพันหมื่นล้านนยุตะอสงไขยกัป”
    “ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราได้เทศนาพระธรรม สั่งสอนและเปลี่ยนแปลง อยู่ในสหาโลกธาตุนี้ตลอดเวลา และในที่อื่น เราได้ชักนำและยังคุณประโยชน์แล้วแก่สรรพสัตว์ในหลายร้อยพันหมื่นล้านนยุตะอสงไขยดินแดน”
    “สาธุชนทั้งหลาย ในระหว่างเวลานั้น เราได้พูดถึง พระทีปังกรพุทธะ และพระพุทธะอื่นๆ และได้บรรยายว่าพวกเขาเข้าสู่นิพพานได้อย่างไร เราได้ใช้สิ่งทั้งหมดนี้ในฐานะที่เป็นกุศโลบายในการแยกแยะให้เห็นความแตกต่าง”
    “สาธุชนทั้งหลาย ถ้ามีสรรพสัตว์เข้ามาหาเรา เราจะใช้พุทธจักษุดูความศรัทธาของพวกเขา และดูว่าสติปัญญาความสามารถอื่นๆ ของพวกเขา หลักแหลมหรือทึบทื่อ และแล้วขึ้นอยู่กับว่าพวกเขา พร้อมรับความช่วยเหลืออย่างไร เราจึงปรากฏขึ้นในสถานที่ต่างๆ แล้วสอนพวกเขาภายใต้นามต่างๆ และได้บรรยายความยาวนานแห่งกาลเวลาที่คำสอนของเราจะยังให้ผล บางครั้งเมื่อเราปรากฏตนออกมาแล้ว เราบอกว่าเรากำลังจะเข้าสู่นิพพาน และยังใช้กุศโลบายต่างๆ กัน ในการสอนพระธรรมอันเร้นลับละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์ ยังสรรพสัตว์ให้บังเกิดจิตที่เต็มไปด้วยความปีติยินดี”
    “สาธุชนทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าทรงสังเกตุเห็นว่าในหมู่สรรพสัตว์มีพวกที่พึงพอใจแต่ในธรรมเล็กน้อย มีคุณความดีน้อย และหนาด้วยมลทิน เพื่อคนเช่นนั้น เราได้บรรยายถึงการที่เราได้ละจากบ้านออกบวชในสมัยหนุ่ม และได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิได้อย่างไร แต่ตามความเป็นจริง เวลาตั้งแต่เราได้บรรลุพุทธภาวะมาแล้วนั้นยาวนานยิ่งนัก ดังที่เราได้บอกให้พวกเธอทราบแล้ว มันเป็นเพียงกุศโลบายที่เราใช้
    สอนและเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์ และทำให้พวกเขาเข้าสู่พุทธมรรคเท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่เราพูดอย่างนี้”
    “สาธุชนทั้งหลาย พระสูตรทั้งหลายที่แสดงโดยพระตถาคตเจ้า ล้วนมีเจตนาเพื่อการช่วยเหลือและปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอดพ้น บางครั้งเราพูดถึงตัวเราเอง บางครั้งเราพูดถึงผู้อื่น บางครั้งเราแสดงเป็นตัวเราเอง บางครั้งเราแสดงเป็นผู้อื่น บางครั้งเราแสดงให้เห็นเป็นการกระทำของเราเอง บางครั้งเราแสดงให้เห็นเป็นการกระทำของ
    ผู้อื่น ทั้งหมดที่เราสอนล้วนเป็นความจริงไม่มีเท็จ”
    “ทำไมเราจึงทำอย่างนี้ พระตถาคตเจ้าทรงมองเห็นลักษณะที่แท้จริงของสามโลกได้ตรงตามที่เป็นอยู่ ไม่มีการลงหรือการขึ้นแห่งการเกิดและการตาย และไม่มีการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วเข้าสู่ความดับในภายหลัง ไม่ใช่ทั้งมีตัวตนหรือว่างเปล่า ไม่ใช่ทั้งสอดคล้องกันหรือแตกต่างกัน ไม่ใช่เป็นดังสิ่งที่พวกอาศัยอยู่ในสามโลกเข้าใจ สิ่งเช่นนั้นทั้งหมด พระตถาคตเจ้าทรงเห็นอย่างชัดเจนและไม่มีผิดเพี้ยน”
    “เพราะว่าสรรพสัตว์มีธรรมชาติต่างกัน ความปรารถนาต่างกัน การกระทำต่างกัน วิธีการคิดและการแยกแยะที่แตกต่างกัน และเพราะว่าเราต้องการที่จะทำให้พวกเขาสามารถปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีไว้ เราจึงใช้ความหลากหลายแห่งเหตุและปัจจัย การอุปมา การเปรียบเทียบ ถ้อยคำวลีต่างๆ และสอนคำสอนต่างๆ นี่คืองานของพระพุทธะที่เราไม่เคยละเลยแม้เพียงชั่วขณะเลย”
    “ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่เราได้บรรลุพุทธภาวะมา ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินได้ผ่านไป อายุกาลของเราเป็นจำนวนอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน และในระหว่างเวลานั้นเราอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ไม่เคยเข้าสู่ความดับเลย สาธุชนทั้งหลาย เราได้ปฏิบัติโพธิสัตว์มรรคมาตั้งแต่แรก และอายุขัยที่เราได้มานั้นยังไม่สิ้นสุด แต่จะมีต่อไปอีกสองเท่าของจำนวนปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ดูก่อน แม้อันที่จริงเราจะมิได้เข้าสู่ความดับจริงๆ ก็ตาม แต่เราประกาศว่าเรากำลังจะนำเอาแนวทางแห่งความดับมาใช้ นี่เป็นกุศโลบายที่พระตถาคตเจ้าทรงใช้ในการสอนและเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์”
    “ทำไมเราจึงทำอย่างนี้ เพราะว่าถ้าพระพุทธเจ้าทรงดำรงอยู่ในโลกเป็นเวลานาน พวกคนที่มีความดีแต่เพียงผิวเผิน จะไม่ได้ปลูกรากเหง้าแห่งความดี จะมีแต่ชีวิตที่ยากจนและต่ำต้อย พวกเขาจะยึดติดอยู่ในกามคุณ ๕ และจะถูกจับขังไว้ในตาข่ายของความนึกคิดและจินตนาการที่หลอกลวง ถ้าพวกเขาเห็นว่าพระตถาคตเจ้ายังอยู่ในโลก
    ตลอดไปและไม่เข้าสู่ความดับแล้ว พวกเขาจะเกิดความหยิ่งยโสและความเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือเกิดความท้อใจและความไม่ใส่ใจ พวกเขาจะไม่ตระหนักถึงความยากของการที่จะได้พบพระพุทธเจ้า และจะไม่เข้าหาพระองค์ด้วยจิตเคารพนับถือ”
    “เพราะฉะนั้น โดยกุศโลบาย พระตถาคตเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทราบว่า เป็นการยากยิ่งนักที่จะได้มีชีวิตอยู่ในสมัยเมื่อพระพุทธะพระองค์หนึ่งจะทรงปรากฏขึ้นมาในโลก” ทำไมหรือ เพราะว่าคนมีความดีเพียงผิวเผินอาจผ่านเวลานานหลายร้อยพันหมื่นล้านกัป โดยมีเพียงบางคนที่มีโอกาสได้เห็นพระพุทธะพระองค์หนึ่ง
    และคนอื่นไม่เคยได้เห็นพระพุทธะสักพระองค์เลย เพราะเหตุนี้ เราจึงบอกพวกเขาว่า “ภิกษุทั้งหลาย เป็นการยากนักจักได้เห็นพระตถาคตเจ้า” เมื่อสรรพสัตว์ได้สดับถ้อยคำเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะตระหนักถึงความยากลำบากที่จะได้พบพระพุทธเจ้า พวกเขาก็จะบังเกิดจิตคิดปรารถนา และกระหายที่จะได้เพ่งมองพระพุทธเจ้า และแล้วพวกเขาจะทำงานเพื่อปลูกรากเหง้าแห่งความดี เพราะฉะนั้น พระตถาคตเจ้า แม้ตามความเป็นจริงพระองค์จะมิได้เข้าสู่ความตับ แต่กลับตรัสถึงการผ่านเข้าสู่ความดับสูญ”
    “สาธุชนทั้งหลาย พระพุทธะทั้งหลายและพระตถาคตทั้งหลาย ทั้งหมดล้วนสอนพระธรรมเช่นเดียวกันนี้ พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยสรรพสัตว์ ดังนั้นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำล้วนเป็นความจริงไม่เป็นความเท็จ”
    “ขอยกตัวอย่าง สมมุติว่ามีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง เป็นผู้มีความฉลาดและมีความเข้าใจ และรู้วิธีการปรุงยาที่ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดอย่างได้ผล เขามีบุตรหลายคน อาจเป็นสิบคน ยี่สิบคน หรือแม้หนึ่งร้อยคน เขาออกไปยังเมืองอื่นอันห่างไกลเพื่อดูแลกิจธุระบางอย่าง หลังจากเขาออกจากบ้านไปแล้ว ลูกๆ ได้ดื่มยาพิษบางชนิด
    เข้าไป อันทำให้พวกเขามีอาการคลุ้มคลั่งด้วยความเจ็บปวด และล้มลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น
    “ในเวลานั้น บิดาใด้กลับมาบ้านและพบว่าลูกของตนได้ดื่มยาพิษเข้าไป บางคนได้สูญเสียสติไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่บางคนยังมีสติเหลืออยู่บ้าง ทุกคนเมื่อได้เห็นบิดาแต่ไกล ต่างดีใจกันยิ่งนัก ได้คุกเข่าลงแล้วอ้อนวอนบิดาว่า “ช่างเป็นการดีนักแล้วที่ท่านบิดาได้กลับมาโดยปลอดภัย พวกเราช่างโง่เขลาและด้วยความหลงผิดได้ดื่มยาที่เป็นพิษเข้าไป ขอให้ท่านบิดาได้โปรดช่วยรักษาพวกเรา และให้พวกเราได้มีชีวิตยืนยาวอยู่ต่อไปด้วยเถิด ขอรับ!”
    “ฝ่ายบิดา เมื่อได้เห็นลูกๆ ของตนมีความทุกข์ทรมานอย่างนี้ได้ปฏิบัติตามตำหรับยาต่างๆ รวบรวมตัวยาสมุนไพรอย่างดี ที่มีสี กลิ่นและรส ตรงกับความต้องการ เขาได้บด ร่อน และ ผสมตัวยาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เขาได้มอบยาชุดหนึ่งให้แก่ลูกๆ พร้อมกับบอกว่า “นี่เป็นยาดีมีคุณภาพสูง มีสี มีกลิ่น และมีรส ตรงกับความต้องการทุกอย่าง จงกินยานี้ แล้วพวกเธอจะหายจากความทุกข์ทรมานโดยเร็ว และจะเป็นอิสระจากความเจ็บไข้ทั้งปวง”
    “พวกลูกๆ ที่ไม่สูญเสียสติสามารถเข้าใจได้ว่า ยานี้เป็นยาดี ดีเด่นทั้งสี ทั้งกลิ่น ดังนั้นพวกเขาจึงกินยานี้ในทันที และความป่วยไข้ของพวกเขาได้ถูกบำบัดให้หายไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนลูกๆที่สูญเสียสติ พวกเขาต่างดีใจที่ได้เห็นบิดากลับมา และขอร้องให้บิดารักษาความป่วยไข้ของตน แต่เมื่อบิดามอบยาให้ พวกเขากลับปฏิเสธที่จะกินมัน
    ทำไมหรือ เพราะว่ายาพิษได้แทรกซึมเข้าลึกเสียแล้ว จนจิตของพวกเขาฟั่นเฟือนไม่เหมือนแต่ก่อน ดังนั้น ถึงแม้ว่ายาจะดีเลิศทั้งสีและกลิ่น แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับว่าเป็นยาดี”
    “ฝ่ายบิดาจึงได้คิดกับตนเองดังนี้ “ลูกผู้น่าสงสารของเรา! เพราะเหตุแห่งพิษในตัวของพวกเขา จึงทำให้จิตใจฟั่นเฟือนไปหมด แม้พวกเขาจะยินดีที่ได้เห็นเราและขอร้องให้เราช่วยรักษา แต่พวกเขากลับปฏิเสธที่จะกินยาอันดีเลิศนี้ เวลานี้เราจะต้องใช้กุศโลบายบางอย่างเพื่อชักนำให้พวกเขากินยานี้ให้ได้ ดังนั้นเขาจึงได้บอกกับลูกๆว่า
    “พวกเธอควรจะรู้ว่าบัดนี้พ่อนั้นแก่ชราและเหนื่อยล้านักแล้ว เวลาแห่งความตายใกล้มาถึงแล้ว พ่อจะทิ้งยาดีนี้ไว้ที่นี่ พวกเธอควรจะกินมันและอย่าได้วิตกกังวลว่ามันจะรักษาพวกเธอให้หายไม่ได้” เมื่อได้ให้คำแนะนำเหล่านี้แล้ว เขาได้ออกไปยังเมืองอื่น และจากที่นั่นเขาได้ส่งผู้ส่งข่าวกลับมาบ้านและแจ้งว่า “บิดาของพวกท่านตายแล้ว”
    “ในเวลานั้น พวกลูกๆ เมื่อได้ยินว่าบิดาได้ทอดทิ้งพวกเขาไปและได้ตายเสียแล้ว ต่างเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความตระหนกตกใจ คิดกับตนเองว่า “ถ้าท่านบิดายังมีชีวิตอยู่ ท่านจะต้องสงสารพวกเรา และดูว่าพวกเราจะได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัย แต่เวลานี้ ท่านได้ละทิ้งพวกเราไปและได้ตายไปในประเทศอื่นอันห่างไกลเสียแล้ว พวก
    เราต้องเป็นลูกกำพร้า ไร้ผู้คุ้มครอง และไม่มีผู้ใดที่จะพึ่งพาอาศัยได้อีกแล้ว!”
    “ด้วยการเกิดความรู้สึกเศร้าโศกอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดทำให้พวกเขาได้สติและสำนึกได้ว่า อันที่จริงยานั้นเป็นยาอันดีเลิศด้วยสี กลิ่นและรส ดังนั้นพวกเขาจึงกินยานั้น และแล้วผลของยาพิษทั้งหลายก็ถูกกำจัดให้หายไป ฝ่ายบิดา เมื่อได้ทราบว่าลูกๆ ทุกคนได้รับการรักษาให้หายแล้ว จึงกลับมาบ้านในทันทีและปรากฏตัวแก่พวกเขาทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง”
    “สาธุชนทั้งหลาย พวกเธอมีความเห็นอย่างไร มีผู้ใดบ้างที่สามารถกล่าวหาว่านายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนนี้มีความผิดด้วยการพูดเท็จ”
    “ไม่มีเลย พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า”
    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “เราก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เป็นเวลาอันยาวนานไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด หลายร้อยพันหมื่นล้านแห่งนยุตะและอสงไขยกัปมาแล้ว ตั้งแต่เราได้บรรลุพุทธภาวะ แต่เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์ เราได้ใช้อำนาจแห่งกุศโลบาย และบอกว่าเรากำลังจะเข้าสู่ความดับ แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์แวดล้อมแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะกล่าวหาว่า เรามีความผิดด้วยการพูดเท็จหรือการหลอกลวง”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ตั้งแต่เราได้บรรลุพุทธภาวะมา
    จำนวนกัปที่ผ่านไปแล้ว
    มากมายมิอาจหยังได้เป็นร้อยพันหมื่น
    ล้านล้านล้านอสงไขย
    ตลอดเวลาเราได้เทศนาพระธรรม สอน เปลี่ยนแปลง
    สรรพสัตว์หลายล้านนับไม่ถ้วน
    ทำให้พวกเขาเข้าสู่พุทธมรรค
    ทั้งหมดนี้เป็นเวลาหลายกัปมากมายมิอาจหยังได้
    เพื่อที่จะช่วยสรรพสัตว์
    ด้วยกุศโลบายทำให้เห็นว่าเราเข้าสู่นิพพาน
    แต่ตามความเป็นจริงเรามิได้ผ่านเข้าสู่ความดับ
    เราอยู่ที่นี่เสมอ ทำการเทศนาพระธรรม
    เราอยู่ที่นี่เสมอมา
    แต่ด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ของเรา
    ทำให้ปวงสรรพสัตว์ที่อยู่ในความมัวเมา
    มิอาจเห็นเรา แม้เราจะอยู่ใกล้กัน
    เมื่อหมู่สัตว์เห็นว่าเราผ่านเข้าสู่ความดับแล้ว
    ทุกหนทุกแห่งจึงทำบุญถวายแด่อัฐิธาตุของเรา
    ทุกคนเกิดความคิดปรารถนา
    และในใจกระหายใคร่เพ่งมองเรา
    เมื่อปวงสรรพสัตว์มีความเชื่อศรัทธาจริง
    ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง สุภาพในความตั้งใจ
    ด้วยใจเดียวที่ปรารถนาจะเห็นพระพุทธะ
    ไม่เสียดายร่างกายและชีวิตของตนแล้ว
    เวลานั้น เรากับเหล่าสาวกมากมาย
    จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันบนเขาคิชฌกูฏอันศักดิ์สิทธิ์
    ในเวลานั้น เราจะบอกแก่สรรพสัตว์ว่า
    เราอยู่ที่นี่เสมอ ไม่เคยเข้าสู่ความดับ
    แต่เนื่องด้วยพลังแห่งกุศโลบาย
    จึงเห็นเป็นดับสูญบ้าง ไม่ดับสูญบ้าง
    และถ้ามีสรรพสัตว์ในดินแดนอื่น
    ผู้ที่นอบน้อมและจริงใจในความปรารถนาที่จะเชื่อ
    เมื่อนั้น เราจะกลับมาอยู่ในหมู่พวกเขา
    เพื่อจะสอนพระธรรมอันสูงสุด
    แต่พวกเธอไม่เคยได้สดับเรื่องนี้มาก่อน
    จึงคิดว่า เราเข้าสู่ความดับ
    เมื่อเรามองดูสรรพสัตว์
    เราเห็นพวกเขาจมอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์
    ฉะนั้น เราจึงไม่ได้แสดงตัวให้เห็น
    ทำให้พวกเขากระหายใคร่เห็นเรา
    ครั้นเมื่อพวกเขามีจิตเต็มไปด้วยความปรารถนา
    ในที่สุดเราปรากฎออกมาและสอนธรรมแก่พวกเขา
    นั่นเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ของเรา
    ตลอดเวลาหลายอสงไขยกัป
    เราสถิตอยู่เป็นนิจบนเขาคิชฌกูฏอันศักดิ์สิทธิ์
    และในสถานที่อื่นๆอีกมากมาย
    เมื่อสรรพสัตว์ได้เห็นเวลาสิ้นกัป
    สิ่งทั้งหลายถูกเผาไหม้ในกองไฟใหญ่
    แต่ที่ดินแดนของเรานี้ยังคงปลอดภัยและสงบสุข
    เต็มไปด้วยเทวดาและมนุษย์อยู่เสมอ
    หอและพลับพลาในสวนไม้ดอกและป่าละเมาะ
    ประดับด้วยเพชรพลอยนานาชนิด
    ต้นไม้อัญมณีมีดอกและผลเต็มต้น
    เป็นที่ซึ่งปวงสรรพสัตว์มีความสุขสำราญ
    ปวงเทวดาตีกลองสวรรค์
    บรรเลงดนตรีหลายอย่างอยู่เป็นนิจ
    ดอกมณฑารพโปรยปรายลงมาดังสายฝน
    ประพรมลงบนพระพุทธเจ้าและที่ประชุมใหญ่
    ดินแดนอันบริสุทธิ์ของเราไม่มีวันถูกทำลาย
    แต่คนทั้งหลายเห็นว่ามันกำลังถูกไฟไหม้
    ด้วยความวิตกกังวล ความกลัวและความทุกข์อื่นๆ
    มีเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง
    สรรพสัตว์ที่มีบาปต่างๆ เหล่านี้
    โดยเหตุอันเกิดจากกรรมชั่วของตน
    ตลอดเวลาหลายอสงไขยกัป
    ไม่ได้ยินชื่อของพระรัตนตรัย
    แต่พวกที่ปฏิบัติทางที่สรรเสริญต่างๆ
    มีความสุภาพ สงบเสงี่ยม ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง
    พวกเขาทั้งหลายจะได้เห็นเรา
    เป็นบุคคลอยู่ที่นี่ กำลังเทศนาพระธรรม
    บางครั้งแก่คนกลุ่มนี้
    เราบรรยายอายุขัยของพระพุทธะว่าไม่อาจวัดได้
    และแก่พวกที่หลังจากเวลานานจึงจะได้เห็นพระพุทธะ
    เราอธิบายถึงความยากลำบากที่จะได้พบพระพุทธเจ้า
    นั่นคือพลังแห่งปัญญาของเรา
    ที่ลำแสงแห่งปัญญาส่องไปไม่มีขอบเขต
    อายุกาลแห่งกัปที่นับไม่ถ้วนนี้
    เราได้รับมาจากผลแห่งการปฏิบัติอันยาวนาน
    เธอผู้มีปัญญาทั้งหลาย
    อย่าได้มีความสงสัยในประเด็นนี้เลย!
    จงขจัดความสงสัยออกไปให้หมดโดยสิ้นเชิง
    เพราะพระพุทธวาจาเป็นความจริงไม่มีเท็จ
    พระองค์ทรงเป็นเช่นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    ผู้ใช้กุศโลบายในการรักษาบุตรสติฟั่นเฟือนของตน
    แม้ความจริงเขามีชีวิตอยู่ แต่ประกาศว่าเขาตายแล้ว
    กระนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถกล่าวว่าเขาพูดเท็จ
    เราเป็นบิดาของโลกนี้
    ช่วยเหลือผู้มีความทุกข์และความเจ็บปวด
    เพราะเหตุแห่งความมัวเมาของสามัญชน
    แม้ว่าเรามีชีวิต แต่เราประกาศว่าเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    เพราะว่าถ้าพวกเขาเห็นเราอยู่เป็นประจำแล้ว
    ความหยิ่งยโสและความเห็นแก่ตัวจะเกิดขึ้นในจิตใจพวกเขา
    ไม่มีความอดกลั้น ยอมตนให้กับกามคุณ ๕
    และตกลงสู่อบายภูมิ
    เรารู้อยู่เสมอว่า สรรพสัตว์ใด
    ปฏิบัติมรรค และผู้ใดไม่ได้ปฏิบัติ
    และเพื่อสนองตอบความต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา
    เราจึงสอนคำสอนต่างๆ เพื่อพวกเขา
    ตลอดเวลา เราคิดกับตัวเองว่า
    ทำอย่างไรเราจึง จะสามารถทำให้สรรพสัตว์
    ไปรับการเข้าสู่มรรคอันสูงสุด
    และได้กายของพระพุทธะโดยเร็ว
     
  17. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๗
    บทการจำแนกบุญกุศล

    ในเวลานั้น เมื่อที่ประชุมใหญ่ได้สดับพระพุทธเจ้าบรรยายถึง
    การที่อายุกาลของพระองค์ยาวนานนับด้วยจำนวนกัปมากมายเช่นนั้น สรรพสัตว์มากมายหลายอสงไขยนับไม่ถ้วน ไม่มีขีดจำกัด ได้รับผลบุญมากมาย
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่พระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า “อชิตะ เมื่อเราได้บรรยายให้ทราบว่า อายุกาลของพระตถาคตเจ้ายืนยาวเหลือคณานับเช่นนั้น สรรพสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๘๐ หมื่นล้านนยุตะสายได้บรรลุสัจจะแห่งการไม่มีการเกิด พระโพธิสัตว์มหาสัตว์อีก ๑,๐๐๐ เท่าของจำนวนดังกล่าว ได้รับคำสอนธารณีอันช่วยให้พวกเขาสามารถรักษาสิ่งที่พวกเขาได้สดับมาทั้งหมดได้ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์มากมายเท่าเม็ดธุลี แห่ง ๑ โลกธาตุได้รับปฏิภาณโวหาร อันช่วยให้พวกเขาพูดได้น่าฟังและไม่มีติดขัด พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมากมายเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๑ โลกธาตุ ได้รับธารณีที่ช่วยให้พวกเขารักษาไว้ซึ่งการกล่าวซ้ำคำสอนได้มากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านครั้ง พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนเท่าเม็ดธุลีแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุสามารถหมุนธรรมจักรอันไม่ถอยกลับ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมากเท่าเม็ดธุลีแห่งสองพันประเทศขนาดกลาง สามารถหมุนธรรมจักรอันบริสุทธิ์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมาก เท่าเม็ดธุลีแห่งหนึ่งพันประเทศขนาดเล็ก ได้รับความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิภายหลังการเกิดใหม่ ๘ ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมากเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๔ โลก ๔ ทวีป ได้รับความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิหลังการเกิดใหม่ ๔ ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมากเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๓ โลก ๔ ทวีปได้รับความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิหลังการเกิดใหม่ ๓ ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมากเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๒ โลก ๔ ทวีป ได้รับความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิหลังจาก
    การเกิดใหม่ ๒ ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมากเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๑ โลก ๔ ทวีปได้รับความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิหลังจากการเกิดใหม่ ๑ ชาติ และสรรพสัตว์จำนวนมากเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๘ โลกทั้งหมดล้วนตั้งจิตมุ่งต่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิ”
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ประกาศ การได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่แห่งพระธรรมของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้แล้ว จากกลางอากาศ ดอกมณฑารพและดอกมหามณฑารพได้โปรยปรายลงมาประพรมลงบนพระพุทธะมากมาย หลายร้อยพันหมื่นล้านพระองค์ที่ประทับนั่ง เหนือสีหบัลลังก์ใต้ต้นไม้อัญมณี กับทั้งได้ประพรมลงบนพระศากยมุนีพุทธเจ้า และประพรมลงบนพระประภูตรัตนตถาคต ผู้ได้เสด็จเข้าสู่ความดับนานมาแล้ว ซึ่งทั้งสองพระองค์ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ในหอสัปตรัตนสถูป และยังได้ประพรมลงบนพระมหาโพธิสัตว์ใหญ่และบริษัท ๔ นอกจากนี้ยังมีผงจันทน์และผงกฤษณาหอมอย่างดีโปรยปรายลงมา และจากกลางอากาศ กลองสวรรค์ส่งเสียงดังขึ้นเองด้วยเสียงมหัศจรรย์อันลึกซึ้งและดังไปไกล อนึ่งผ้าทิพย์พันชนิดตกแต่งด้วยสายสร้อยนานาชนิด
    สร้อยไข่มุก สร้อยอัญมณี สร้อยจินดามณี ตกพลิ้วลงมาแผ่คลุมทุกแห่งในเก้าทิศ ในกระถางธูปประดับอัญมณีจำนวนมากปักไว้ด้วยธูปหอมล้ำค่านานาชนิด กลิ่นหอมตามชนิดของมันขจรขจายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อเป็นเครื่องบูชาแก่ที่ประชุมใหญ่ เหนือพระพุทธะแต่ละพระองค์ มีพระโพธิสัตว์ถือธงและฉัตรเป็นแถวสูงขึ้นไปจนจรดพรหมโลก พระโพธิ
    สัตว์เหล่านี้ใช้เสียงอันมหัศจรรย์ของตนขับร้องบทสดุดีมากมาย ในการสรรเสริญพระพุทธะทั้งหลาย
    ครั้งนั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของท่าน ห่มจีวรเฉียงไหล่ขวา ประนมมือหันไปทางพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระพุทธองค์ทรงสอนพระธรรมอันพบได้ยาก
    ซึ่งอันในอดีตไม่มีผู้ใดเคยได้สดับมาเลย
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีอานุภาพอันยิ่งใหญ่
    และอายุกาลของพระองค์ไม่อาจวัดได้
    พระพุทธบุตรนับไม่ถ้วน
    การได้สดับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนก
    และบรรยายผลบุญแห่งพระธรรมที่พวกเขาจะได้รับ
    ทำให้ทั่วทั้งกายของพวกเขาเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดี
    บางคนดำรงอยู่ในขั้นแห่งการไม่ถอยกลับ
    บางคนได้รับธารณีแล้ว
    บางคนสามารถพูดได้น่าฟังและไม่มีติดขัด
    หรือจดจำคำสอนได้หมื่นล้านครั้ง
    พระโพธิสัตว์บางหมู่ มากเท่าเม็ดธุลี
    แห่งหนึ่งพันโลกธาตุใหญ่
    ทั้งหมดสามารถหมุนธรรมจักรอันไม่ถอยกลับ
    พระโพธิสัตว์บางหมู่ มากเท่าเม็ดธุลี
    แห่งหนึ่งพันโลกธาตุขนาดกลาง
    ทั้งหมดสามารถหมุนธรรมจักรอันบริสุทธิ์
    และพระโพธิสัตว์บางหมู่ มากเท่าเม็ดธุลี
    แห่งหนึ่งพันโลกธาตุขนาดเล็ก
    ได้รับความมั่นใจว่าหลังจากการเกิดใหม่ ๘ ชาติ
    พวกเขาสามารถที่จะทำพุทธมรรคให้สมบูรณ์
    พระโพธิสัตว์บางหมู่มากเท่าเม็ดธุลี
    ของ ๔ โลก ๓ โลก ๒ โลกแห่งโลก ๔ ทวีป
    จะได้เป็นพระพุทธะหลังจาก เกิดใหม่เท่าจำนวนโลกดังกล่าว
    พระโพธิสัตว์บางหมู่ มากเท่าเม็ดธุลี
    แห่ง ๑ โลก ๔ ทวีป
    หลังจากการเกิดใหม่ ๑ ชาติ
    จะได้บรรลุปัญญาความรอบรู้
    ด้วยเหตุนี้เมื่อสรรพสัตว์
    ได้สดับความยาวนานแห่งชีวิตของพระพุทธเจ้า
    พวกเขาได้รับผลและรางวัลบริสุทธิ์
    อันมากมายและไม่มีอาสวะ
    อนึ่งสรรพสัตว์มากมายเท่าเม็ดธุลีแห่ง ๘ โลก
    ที่ได้สดับพระพุทธเจ้าบรรยายอายุขัยของพระองค์
    ทั้งหมดได้ตั้งจิตมุ่งต่อมรรคอันสูงสุด
    พระพุทธเจ้าทรงสอนพระธรรม
    อันไม่อาจวัดได้และไม่สามารถหยั่งถึงได้
    และผู้ที่ได้รับผลบุญกุศลจากพระธรรมมีมากมาย
    ไม่มีขอบเขตจำกัดเหมือนอากาศอันเวิ้งว้าง
    ดอกไม้สวรรค์อันมีดอกมณฑารพ
    ดอกมหามณฑารพโปรยปรายลงมา
    ท้าวศักระและพระพรหมมากมายเหมือนเม็ดทราย
    ในแม่น้ำคงคา
    ได้มาจากพุทธเกษตรนับไม่ถ้วน
    โปรยผงจันทน์และผงกฤษณา
    ผสมกันเป็นแป้งอันประณีตลอยลงมา
    เหมือนนกกำลังบินลงมาจากฟากฟ้า
    ประพรมพระพุทธะทั้งหลายเป็นเครื่องสักการะ
    ในกลางอากาศมีกลองสวรรค์
    ส่งเสียงอันมหัศจรรย์ดังขึ้นมาเอง
    ผ้าทิพย์จำนวนพันหมื่นล้านชนิด
    ลอยลงมาหมุนพลิ้วไปรอบๆ
    กระถางธูปอัญมณีอันมหัศจรรย์
    จุดไว้ด้วยธูปหอมอันล้ำค่านานาชนิด
    ซึ่งกลิ่นธูปแต่ละชนิดกระจายซึมซาบไปทั่วทุกแห่ง
    เป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย
    หมู่พระโพธิสัตว์
    ถือธงและฉัตรประดับด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง
    หมื่นล้านชนิด สูงตระหง่านมหัศจรรย์
    เรียงกันเป็นแถวขึ้นไปจนจรดพรหมโลก
    ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธะแต่ละพระองค์
    แขวนธงริ้วประดับอัญมณีและป้ายอันสวยงาม
    ขณะเดียวกันมีการขับบทสดุดีหลายพันหมื่นคาถา
    สรรเสริญพระตถาคตเจ้า
    สิ่งมากมายเหล่านี้ทั้งหมด
    ในอดีตไม่เคยได้รู้จักกันมาเลย
    การได้สดับว่าชีวิตของพระพุทธเจ้ายืนยาวไม่อาจวัดได้
    สัตว์ทั้งหลายต่างเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดี
    พระนามของพระพุทธเจ้าได้ยินไปทั่วทั้งสิบทิศ
    ยังคุณประโยชน์แก่สรรพสัตว์อย่างกว้างขวาง
    และทุกคนได้มีรากเหง้าที่ดีประจำตัว
    อันช่วยให้พวกเขาตั้งจิตมุ่งต่อมรรคอันสูงสุด
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า "อชิตะ ถ้ามีสรรพสัตว์ผู้ซึ่งเมื่อได้สดับว่าอายุกาลของพระพุทธเจ้ามีระยะยาวนานเช่นนั้นแล้ว สามารถเชื่อและเข้าใจแม้เพียงชั่วขณะ บุญกุศลที่พวกเขาได้รับจากเหตุนั้นจะมีไม่จำกัดหรือไม่อาจวัดได้ สมมุติว่ามีสาธุชนชายหญิงทั้งหลาย ผู้ซึ่งเพื่อเห็นแก่อนุตตรสัมมาสัมโพธิ ใช้เวลานานแปดร้อยพันล้านนยุตะกัป ปฏิบัติบารมี ๕ ประการคือ ทานบารมี
    ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี และฌานบารมี โดยยกเว้นปัญญาบารมี บุญกุศลที่พวกเขาได้รับจะวัดไม่ได้แม้หนึ่งในร้อย หนึ่งในพัน หนึ่งในร้อยพันหมื่นล้านของผลบุญกุศลที่ได้กล่าวมาก่อนแล้ว จริงทีเดียวมันเกินกำลังการคิดคำนวณ การอุปมา หรือการเปรียบเทียบใดๆ จะนำมาทำการเปรียบเทียบได้ สำหรับสาธุชนผู้ได้รับบุญกุศลเช่นพวก ที่ได้
    กล่าวมาแล้ว พวกเขาจะไปไม่ถึงจุดมุ่งหมายแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าผู้ใดแสวงหาพุทธปัญญา
    ตลอดเวลาแปดร้อยพันล้านนยุตะกัป
    จะได้ปฏิบัติบารมี ๕ ประการ
    ตลอดกัปเหล่านั้น
    บริจาคทานแด่พระพุทธะทั้งหลาย
    แด่พระปัจเจกพุทธะและพระสาวก
    และแก่หมู่พระโพธิสัตว์
    ด้วยอาหารและเครื่องดื่มอันหายาก
    เสื้อผ้าและเครื่องนอนอันประณีต
    หรือสร้างสถานปฏิบัติธรรมด้วยไม้จันทน์
    ประดับด้วยสวนไม้ดอกและสวนไม้ผล
    ถ้าเขาจะได้บริจาคทาน
    เป็นสิ่งต่างๆ มากมายล้วนประณีตและมหัศจรรย์
    และทำอย่างนี้ตลอดเวลาหลายกัป
    เพื่อแสดงให้เห็นการอุทิศตนแก่พุทธมรรค
    และเขายังจะได้รักษาศีล
    ให้บริสุทธิ์และไม่มีบกพร่องหรือไม่มีอาสวะ
    แสวงหามรรคอันสูงสุด
    ได้รับการยกย่องจากพระพุทธะทั้งหลาย
    และถ้าเขาได้ปฏิบัติความอดทน
    มีกิริยาอ่อนน้อมและสุภาพ
    แม้จะได้พบกับความชั่วร้ายต่างๆ
    ก็ไม่ยอมปล่อยให้จิตเกิดความโกรธหรือหวั่นไหว
    เมื่อคนอื่นที่มั่นใจว่าตนได้บรรลุธรรมแล้ว
    เกิดความคิดหยิ่งจองหอง
    การเหยียดหยามและทำความรำคาญแก่เขา
    แต่เขายังทนได้ด้วยความอดกลั้น
    และถ้าเขามีความขยันหมั่นเพียร
    มั่นคงอยู่ในความตั้งใจและความคิดเสมอ
    ตลอดเวลามากมายหลายล้านกัป
    มีใจเดียว ไม่โลเล หรือไม่ประมาท
    ตลอดเวลาหลายกัปนับไม่ถ้วน
    อาศัยอยู่ในที่เปลี่ยวและที่เงียบสงัด
    ปฏิบัติการนั่งและการเดินจงกรม
    กำจัดความง่วง ควบคุมจิตของตนอยู่เสมอ
    และผลของการกระทำเช่นนั้น
    สามารถทำให้เกิดสภาวะแห่งฌาน
    ตลอดเวลาแปดล้านหมื่นกัป
    ดำรงอยู่ในความสงบ จิตไม่มีความยุ่งเหยิง
    และถ้าเขายึดบุญกุศลแห่งความมีใจเดียวนี้ไว้
    และด้วยจิตนี้แสวงหามรรคอันสูงสุด
    กล่าวว่า “เราจะได้ปัญญาความรอบรู้
    และใช้สภาวะแห่งฌานทั้งหลายให้หมด!”
    ถ้าคนผู้นี้ตลอดเวลาหนึ่งร้อยหนึ่งพัน
    หนึ่งหมื่นหนึ่งล้านกัป
    จะได้ปฏิบัติการปฏิบัติอันน่าสรรเสริญเหล่านี้
    ดังที่เราได้บรรยายมาแล้ว
    แม้กระนั้นสาธุชนชายและหญิง
    ผู้ที่ได้สดับการบรรยายอายุกาลของเรา
    แล้วมีความเชื่อแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง
    จะได้รับบุญกุศลที่เหนือกว่าบุญกุศลของคนผู้นั้นเสียอีก
    ถ้าผู้ใดเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง
    จากความสงสัยและความเสียใจทั้งปวง
    และในส่วนลึกแห่งจิตของเขามีความเชื่อแม้ชั่วขณะหนึ่ง
    บุญกุศลของเขาจะเป็นเช่นว่านี้
    พระโพธิสัตว์เหล่านี้
    เป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติมรรคมาแล้วหลายกัปนับไม่ถ้วน
    เมื่อพวกเขาได้สดับการบรรยายอายุกาลของเรา
    พวกเขาจึงสามารถเชื่อและยอมรับสิ่งที่เรากล่าว
    คนเหล่านี้
    จะยอมรับพระสูตรนี้ด้วยความขอบคุณ โดยกล่าวว่า
    “ความปรารถนาของเราคือในสมัยอนาคต
    เราอาจใช้ชีวิตอันยาวนานของเราในการช่วยสรรพสัตว์
    ดุจเดียวกับในวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
    กษัตริย์แห่งศากยวงศ์
    ทรงบันลือสีหนาทในสถานแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียร
    ทรงสอนพระธรรมโดยปราศจากความกลัว
    ดังนั้น พวกเราด้วยเช่นกัน ในสมัยข้างหน้า
    จะได้รับเกียรติและได้รับความเคารพจากคนทั้งหลาย
    เมื่อเรานั่ง ณ สถานแห่งการปฏิบัติ
    บรรยายอายุกาลของเราในทำนองเดียวกัน”
    ถ้ามีพวกที่ มีความลึกซึ้งในจิต
    บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ และเที่ยงตรง
    ผู้ที่ได้ฟังมาก สามารถจดจำไว้ได้ทั้งหมด
    ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการในความเข้าใจพระพุทธวาจาแล้ว
    บุคคลเช่นนี้
    จะไม่มีความสงสัย เกี่ยวกับอายุกาลของพระพุทธเจ้าเลย
    “นอกจากนี้ อชิตะ ถ้ามีผู้ที่ได้สดับระยะเวลาอันยาวนานแห่งอายุกาลของพระพุทธเจ้าแล้ว สามารถเข้าใจความหมายของถ้อยคำเช่นนั้น ผลบุญกุศลที่คนเช่นนั้นได้รับจะมีไม่จำกัดหรือวัดได้ สามารถที่จะปลุกตถาคตปัญญาอันสูงสุดในตัวเขาให้ตื่นขึ้น แล้วจะยิ่งมากอีกสักเท่าใด ถ้าคนผู้หนึ่งรับฟังพระสูตรนี้แล้วทำให้ผู้อื่นได้รับฟังไปทั่ว เขาเองยึดถือหรือทำให้ผู้อื่นยึดถือ เขาเองคัดลอกหรือทำให้ผู้อื่นคัดลอก หรือถวายเครื่องสักการะแด่ม้วนพระสูตรด้วยดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย ธงริ้ว ธงป้าย ฉัตรผ้าไหม น้ำมันหอม หรือตะเกียงน้ำมันเนย บุญกุศลของคนเช่นนั้นจะมีมากมิอาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด สามารถกระตุ้นปัญญาที่ครอบคลุมทุกชนิดในตนให้เกิดขึ้น”
    “อชิตะ ถ้าสาธุชนชายหญิงทั้งหลาย เมื่อได้สดับฟังการบรรยายอายุกาลอันยาวนานของเรา ในส่วนลึกแห่งจิตของพวกเขามีความเชื่อและมีความเข้าใจแล้ว พวกเขาจะได้เห็นพระพุทธเจ้าสถิตอยู่บนเขาคิณกูฏิตลอดเวลา กำลังเทศนาพระธรรม อันแวดล้อมอยู่แล้วด้วยพระมหาโพธิสัตว์และหมู่พระสาวก พวกเขายังจะได้เห็นสหาโลกธาตุนี้ พื้นเป็นแก้วไพฑูรย์ราบและเรียบ ถนนแปดสายกั้นขอบด้วยโซ่ทองชมพูนุท ต้นไม้อัญมณีเรียงรายเป็นแถว ระเบียง หอคอย และหอสังเกตการณ์ล้วนทำด้วยอัญมณี ทั้งหมดเป็นที่อาศัยของหมู่พระโพธิสัตว์ ถ้ามีพวกที่สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ เธอพึงทราบว่า นั่นคือเครื่องหมายแห่งความศรัทธาและความเข้าใจอันลึกซึ้ง”
    “อนึ่ง ถ้าหลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว มีพวกที่เมื่อได้สดับฟังพระสูตรนี้แล้วไม่ดูหมิ่นหรือพูดให้ร้าย แต่กลับรู้สึกปิติยินดีในหัวใจ เธอพึงรู้ว่า นี่คือเครื่องหมายที่พวกเขาได้แสดงให้เห็นความศรัทธา และความเข้าใจอันลึกซึ้งเรียบร้อยแล้ว จะยิ่งมีมากกว่านี้อีกเท่าใดในกรณีของผู้ที่อ่าน สวด และยึดถือพระสูตรนี้! บุคคลเช่นนั้น ตามความจริงพวกเขาได้ยึดถือพระตถาคตเจ้าไว้บนเศียรเกล้าของพวกเขาอยู่แล้ว”
    “อชิตะ สาธุชนชายหญิงเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างหอสถูปและวิหารเพื่อเรา หรือสร้างที่พักสงฆ์ หรือถวายปัจจัย ๔ แก่หมู่ภิกษุสงฆ์ ทำไมหรือ เพราะว่าสาธุชนชายหญิงเหล่านี้ ในการที่พวกเขารับ ยึดถือ อ่าน และสวดพระสูตรนี้ พวกเขาได้สร้างหอสถูป สร้างที่พำนักสงฆ์ และบริจาคทานแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เรียบร้อยแล้ว ควรจะถือว่าพวกเขาได้สร้างหอสถูปประดับด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่างเพื่อบรรจุพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีฐานกว้างและยอดเรียวสูงจรดพรหมโลก ขึงไว้ด้วยป้าย ฉัตร และพวงระฆังอัญมณี พร้อมด้วยดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย แป้งหอม ขี้ผึ้งหอม กำยาน กลองหลายชนิด เครื่องดนตรี ปี่ พิณ ระบำและสันทนาการต่างๆ และด้วยเสียงอันมหัศจรรย์ ขับร้องทำนองบทสวดสดุดี มันเป็นประหนึ่งว่าพวกเขาได้บริจาคทานตลอดเวลามากมายหลายพันหมื่นล้านกัปมาเรียบร้อยแล้ว”
    “อชิตะ ถ้าหลังจากเราได้เข้าสู่ความดับแล้ว มีพวกที่เมื่อได้สดับฟังพระสูตรนี้แล้ว น้อมรับและยึดถือ คัดลอกเองหรือให้ผู้อื่นคัดลอกแล้ว ถือได้ว่าพวกเขาได้สร้างที่พักสงฆ์เรียบร้อยแล้ว หรือใช้ไม้จันทร์แดงสร้างหอ ๓๒ หอ สูงเท่าแปดชั่วต้นตาล ตระหง่านกว้างขวางและประดับอย่างสวยงาม เพื่อให้เป็นที่พักของหมู่ภิกษุสงฆ์หลายร้อยและหลายพันรูป สวนไม้ดอก สวนไม้ผล สระน้ำ ทะเลสาบ ที่เดินจงกรม คูหาฝึกฌาน เครื่องนุ่งห่ม อาหาร เครื่องดื่ม เตียงนอน พรมปูพื้น เวชภัณฑ์และภาชนะเครื่องมือเครื่องใช้ทุกชนิด เพื่อความสะดวกสบาย บรรจุไว้เต็มที่พักสงฆ์ และหอเหล่านี้มีจำนวนมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านไม่อาจวัดจำนวนได้จริงๆ สิ่งของทั้งหมดเหล่านี้ได้ถวายต่อ
    หน้าเรา เป็นทานแก่เราและหมู่ภิกษุสงฆ์”
    “ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า ถ้าหลังจากพระตถาคตเจ้าเข้าสู่ความดับแล้ว มีพวกที่น้อมรับ ยึดถือ อ่าน และสวดพระสูตรนี้ หรือสอนพระสูตรนี้แก่ผู้อื่น พวกเขาเองคัดลอกหรือทำให้ผู้อื่นคัดลอก หรือพวกเขาถวายเครื่องสักการะแด่ม้วนพระสูตรแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างหอสถูป หรือสร้างวิหาร หรือสร้างที่พักสงฆ์ หรือบริจาคทานแก่
    หมู่ภิกษุสงฆ์อีก แล้วความจริงนี้จะมีมากกว่าอีกสักเท่าใดแก่ผู้ที่สามารถยึดถือพระสูตรนี้ และในเวลาเดียวกันก็ปฏิบัติทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน และปัญญา! คุณความดีของเขาจะสูงที่สุด ไม่อาจวัดได้และไม่มีขอบเขตจำกัด ดุจดังท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ อนุทิศทั้งสี่ ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง บุญกุศลของคน
    เช่นนั้นจะมีมากมายไร้ขอบเขตจำกัดดังนี้ และคนเช่นนั้นจะได้บรรลุปัญญาที่คอบคลุมทุกชนิดโดยเร็ว”
    “ถ้าผู้ใดอ่าน สวด น้อมรับ และ ยึดถือพระสูตรนี้ หรือสอนพระสูตรนี้แก่ผู้อื่น เขาเองทำการคัดลอกหรือทำให้ผู้อื่นคัดลอก และถ้าเขาสามารถสร้างหอสถูป สร้างที่พักสงฆ์ บริจาคทาน และยกย่องหมู่พระสาวก ถ้าเขาสามารถใช้วิธีการสรรเสริญหลายร้อยพันหมื่นล้านวิธี ทำการสรรเสริญบุญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และถ้าเพื่อเห็นแก่
    ประโยชน์ของผู้อื่น เขาใช้เหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สอดคล้องกับหลักการในการอธิบายและการสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ และถ้าเขาสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์ คบหาสมาคมกับคนที่มีความสุภาพและสงบเสงี่ยม มีความอดกลั้นและไม่มักโกรธ ความตั้งใจและความคิดมั่นคง ให้ความสำคัญแก่การปฏิบัติฌานอยู่เสมอ บรรลุภาวะต่างๆ แห่งฌานอันลึกซึ้ง ขยันหมั่นเพียรและกล้าหาญ มีความเชี่ยวชาญในคำสอนที่ดีทั้งหลาย
    มีอินทรีย์และปัญญาเฉียบแหลม มีความชำนาญในการตอบปัญหายากๆ อชิตะ ถ้าหลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว มีสาธุชนชายหญิงเหล่าใดยอมรับ ยึดถือ อ่าน และสวดพระสูตรนี้ และมีคุณสมบัติดีอย่างนี้แล้ว เธอควรจะทราบว่า พวกเขาเหล่านั้นได้มุ่งตรงไปยังสถานแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียร และขณะที่พวกเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งมรรคนั้น พวกเขากำลังเข้าไปใกล้อนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว อชิตะ ที่แห่งใดที่สาธุชนชายหญิงเหล่านี้นั่งอยู่ หรือยืนอยู่ หรือเดินจงกรมอยู่ ที่นั่นควรจะสร้างหอสถูปองค์หนึ่ง เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายควรถวายเครื่องสักการะแด่พระสถูปนี้ให้เหมือนกับการถวายแด่หอสถูปของพระพุทธเจ้าที่เดียว”
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าหลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ผู้ใดสามารถให้เกียรติและยึดถือพระสูตรนี้
    บุญกุศลของเขาจะมีมากมาย
    ดังที่เราได้บรรยายมาแล้วข้างต้น
    เป็นดุจดังว่าเขาได้บริจาคแล้ว
    ด้วยทานทุกประเภท
    สร้างหอสถูปเพื่อบรรจุพระสารีริกธาตุ
    ประดับด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง
    มีเสากลาสูงและกว้างมาก
    ยอดเรียวแหลมจนจรดพรหมโลก
    ระฆังประดับอัญมณีจำนวนพันหมื่นล้าน
    แกว่งไกวไปตามลม เปล่งเสียงมหัศจรรย์
    และตลอดเวลามากมายหลายกัป
    เขาถวายเครื่องสักการะแด่หอสถูปนี้
    ด้วยดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อยนานาชนิด
    ผ้าทิพย์และเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ
    จุดตะเกียงน้ำมันหอมและตะเกียงน้ำมันเนย
    อันทำให้อาณาบริเวณสว่างอยู่เป็นนิจ
    ในยุคชั่วร้ายแห่งสมัยธรรมปลาย
    ถ้ามีผู้ใดสามารถยึดถือพระสูตรนี้
    จะเป็นดังว่าเขาได้บริจาคทานทั้งหลาย
    ดังที่ได้บรรยายมาแล้วข้างต้น
    ถ้าผู้ใดสามารถยึดถือพระสูตรนี้
    จะเป็นดังว่า ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
    เขาได้ใช้ไม้จันทน์ศีรษะโค
    สร้างที่พำนักสงฆ์เป็นของถวาย
    หรือสร้างหอ ๓๒ หอ
    สูงเท่า ๘ ชั่วต้นตาล
    และจัดให้มีสิ่งของต่างๆ
    อาหารอันเลิศ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนอันยอดเยี่ยม
    ที่พักอาศัยสำหรับคนหลายร้อยหลายพัน
    สวนไม้ดอก สวนไม้ผล สระน้ำ และทะเลสาบ
    ลานเดินจงกรมและคูหาฝึกฌาน
    ทั้งหมดพร้อมด้วยเครื่องประดับชนิดต่างๆ
    ถ้าผู้ใดด้วยการมีใจเชื่อ และเข้าใจ
    น้อมรับ ยึดถือ อ่าน สวด และคัดลอกพระสูตรนี้
    หรือทำให้ผู้อื่นคัดลอก
    หรือถวายเครื่องสักการะแด่ม้วนพระสูตร
    โปรยดอกไม้ เครื่องหอม และแป้งหอม
    หรือตลอดเวลาจุดตะเกียงน้ำมันหอม
    สกัดจากดอกสุมนะ ดอกจัมปกะ
    หรือดอกอติมุกตกะ
    ถ้าเขาถวายเครื่องสักการะเหล่านี้
    เขาจะได้บุญกุศลมากมาย
    ไม่มีขอบเขตจำกัดดุจดังอากาศอันเวิ้งว้าง
    และบุญกุศลของเขาจะเป็นเหมือนอย่างนี้
    จะมีมากกว่าอีกสักเท่าใดถ้าเขายึดถือพระสูตรนี้
    และในเวลาเดียวกันบริจาคทาน รักษาศีล
    มีความอดทน ยินดีในฌาน
    และไม่มักโกรธหรือกล่าวคำหยาบ
    ถ้าเขาแสดงความเคารพต่อหออนุสรณ์สถูป
    มีความนอบน้อมต่อพระภิกษุสงฆ์
    จิตห่างไกลจากความหยิ่งยโส
    คอยคิดตรึกตรองอยู่ที่ปัญญาอยู่เสมอ
    และไม่นึกโกรธเมื่อถูกถามปัญหายากๆ
    แต่สนองตอบโดยดีด้วยการอธิบาย
    ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติเช่นนี้ได้
    บุญกุศลของเขาจะมีมากมายสุดที่จะวัดได้
    ถ้าเธอได้เห็นพระธรรมาจารย์
    ผู้ที่ได้อบรมคุณความดีเช่นอย่างนี้เล้ว
    เธอควรจะโปรยดอกไม้ทิพย์ให้เขา
    คลุมร่างกายของเขาด้วยผ้าทิพย์
    กระทำความเคารพด้วยการกราบที่เท้าของเขา
    และจินตนาการในใจว่า เธอได้พบพระพุทธเจ้า
    เธอควรจะคิดกับตนเองด้วยว่า
    อีกไม่นาน เขาจะไปยังสถานแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียร
    และได้บรรลุสภาพแห่งการไม่มีอาสวะและไม่มีการกระทำ
    นำคุณประโยชน์กว้างขวางสู่เทวดาและมนุษย์!
    ในสถานที่ที่คนเช่นนั้นอาศัยอยู่
    สถานที่ที่เขาเดินอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่
    หรือสวดแม้เพียงคาถาเดียวของพระสูตร
    ที่นั่น เธอควรจะสร้างหอสถูปองค์หนึ่ง
    ประดับให้มีลักษณะพอเหมาะและมหัศจรรย์
    และถวายเครื่องสักการะชนิดต่างๆ แด่หอสถูปนี้
    เมื่อพระพุทธบุตรอาศัยอยู่ในที่เช่นนั้น
    พระพุทธเจ้าจะทรงรับและทรงใช้ที่นั่นด้วย
    และตลอดเวลาในหมู่พวกเขา
    พระองค์จะทรงเดิน ทรงนั่ง และทรงนอนอยู่ด้วย
     
  18. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๘
    บทบุญกุศลตามความปีติยินดี

    ในเวลานั้น พระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้ามีสาธุชนชายหญิงทั้งหลาย ผู้ซึ่งเมื่อได้สดับสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้แล้ว ตอบรับด้วยความปีติยินดีพวกเขาจะได้รับบุญกุศลสักเท่าใด พระเจ้าข้า”
    ครั้นแล้ว ท่านได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    ถ้าพวกที่เมื่อได้สดับฟังพระสูตรนี้แล้ว
    สามารถที่จะตอบรับด้วยความปิติยินดี
    พวกเขาจะได้บุญกุศลสักเท่าใด พระเจ้าข้า
    เวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า “อชิตะ หลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว สมมุติว่ามีหมู่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และคนมีปัญญาอื่นๆ ไม่ว่าชราหรือหนุ่ม ผู้ซึ่งเมื่อได้สดับพระสูตรนี้แล้วตอบรับด้วยความปิติยินดี และเมื่อออกจากที่ประชุมไปแล้ว ได้ไปยังสถานที่อื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นที่พักสงฆ์ ที่อันเป็นที่ร้างและเงียบสงัด เป็นเมือง เป็นชุมชน เป็นนิคม หรือเป็นหมู่บ้าน และ ณ ที่นั่น พวกเขาได้ใช้ความพยายามในการสอนและการแสดงธรรมตามที่พวกเขาได้สดับมาเพื่อประโยชน์แก่บิดามารดาและญาติ พี่น้อง กัลยาณมิตรและผู้คุ้นเคยของพวกเขา คนเหล่านี้หลังจากได้สดับแล้ว ตอบรับด้วยความปีติยินดี และแล้วพวกเขาเหล่านี้อีกเช่นกันได้ถ่ายทอดคำสอนนี้ต่อไปอีก แล้ว มีคนผู้หนึ่งเมื่อได้สดับแล้วตอบรับด้วยความปีติยินดีและได้ถ่ายทอดคำสอนนี้ต่อไปอีก และในทำนองนี้คำสอนได้ถูกถ่ายทอดต่อไปจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่ง จนกระทั่งได้ถ่ายทอดถึงคนที่ห้าสิบ”
    “อชิตะ บุญกุศลที่สาธุชนชายหรือหญิงคนที่ห้าสิบ ผู้ซึ่งตอบรับด้วยความปีติยินดีนี้ได้รับนั้น เราจะบรรยายให้พวกเธอทราบ ณ บัดนี้ พวกเธอจะต้องตั้งใจฟังให้ดีสมมุติว่ามีสรรพสัตว์ทั้งหลายแห่ง ๖ ภูมิ ในสี่ร้อยหมื่นล้านอสงไขยโลกธาตุ อันเกิดจาก ๔ กำเนิด คือ เกิดจากไข่ เกิดจากครรภ์ เกิดจากความชื้น และเกิดโดยโอปปาติกะ เป็นพวกที่มีรูป พวกที่ไม่มีรูป พวกที่มีความคิด พวกที่ไม่มีความคิด พวกที่ไม่ใช่มีความคิด พวกที่ไม่ใช่ไม่มีความคิด พวกไม่มีขา พวกมี ๒ ขา ๔ ขาหรือหลายขา และสมมุติว่า ในหมู่สรรพสัตว์จำนวนมหาศาลนี้ มีคนผู้หนึ่งเข้ามาเพื่อแสวงหาบุญกุศล ได้ทำการสนองตอบความต้องการต่างๆ ของสรรพสัตว์ แจกจ่ายวัตถุแห่งความเพลิดเพลินและของเล่นต่างๆ แก่สรรพสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด สรรพสัตว์เหล่านี้ได้รับทอง เงิน ไพฑูรย์ หอยสังข์ หินโมรา หินปะการัง อำพัน และอัญมณีอันมหัศจรรย์และมีค่า รวมทั้ง ช้าง ม้า รถ ปราสาท และหอสูงซึ่งสร้างด้วยรัตนะ ๗ ชนิด มีมากพอที่จะบรรจุให้เต็มชมพูทวีป มหาทานบดีนี้ได้บริจาคทานในลักษณะนี้เป็นเวลา ๘๐ ปีเต็มแล้ว ได้เกิดความคิดดังนี้ “เราได้บริจาควัตถุแห่งความสำราญและของเล่นแก่สรรพสัตว์เหล่านี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แต่สรรพสัตว์เหล่านี้ในเวลานี้ ล้วนแก่ชราอายุกว่า ๘๐ ปี มีผมหงอกขาว หน้าเหี่ยวย่นและอีกไม่นานพวกเขาก็จะตายแล้ว อย่ากระนั้นเลย ในเวลานี้ เราควรใช้พระธรรมของพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนและแนะนำพวกเขา”
    ในทันที เขาได้เรียกสรรพสัตว์ทั้งหลายมาประชุมกันแล้ว ได้เผยแพร่พระธรรมไปในหมู่พวกเขา ทำการสอน ยังคุณประโยชน์และทำความพอใจให้แก่พวกเขา ในชั่วขณะหนึ่ง สัตว์ทั้งหมดสามารถได้บรรลุโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค ทำอาสวะทั้งหลายให้หมดสินแล้ว และเข้าไปอยู่ในฌานอย่างลึกซึ้ง ทั้งหมดได้บรรลุความเป็นอิสระและได้มีวิโมกข์ ๘ เป็นสมบัติแล้ว นี่แน่ะพวกเธอมีความเห็นเป็นไฉน บุญกุศลที่มหาทานบดีนี้ได้รับมีมากมายหรือไม่”
    พระเมตไตรยได้กราบทูลตอบพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุญกุศลของคนผู้นี้มีมากมายจริงๆ ไม่อาจวัดได้และไม่มีขอบเขตจำกัด แม้ว่าทานบดีผู้นี้ได้ให้เพียงแต่ของเล่นทั้งหมดแก่สรรพสัตว์เท่านั้น บุญกุศลของเขาก็ยังมากมายมิอาจวัดได้ แล้วจะยิ่งมีมากกว่าอีกสักเท่าใด เมื่อเขาสามารถทำให้สรรพสัตว์เหล่านั้นได้บรรลุ
    อรหัตผลเล่า พระเจ้าข้า!”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระเมตไตรยว่า “บัดนี้ เราจะกล่าวถึงเรื่องนี้ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง คนผู้นี้ได้บริจาควัตถุแห่งความสำราญทั้งหลายนี้ให้แก่สรรพสัตว์แห่ง ๖ ภูมิ ในสี่ร้อยหมื่นล้านอสงไขยโลกธาตุ และยังทำให้พวกเขาได้บรรลุอรหัตผลอีกด้วย แต่บุญกุศลที่เขาได้รับไม่อาจเทียบเท่ากับบุญกุศลของคนที่ห้าสิบ ผู้ซึ่งเมื่อได้สดับเพียงคาถา
    หนึ่งของสัทธรรมปุณฑริกสูตรแล้ว ตอบรับด้วยความปีติยินดีได้รับเลย ไม่อาจเท่ากับหนึ่งในร้อย หนึ่งในพัน แม้หนึ่งในร้อย พันหมื่นล้าน มันมากมายเหนือการคำนวณ การอุปมา หรือการเปรียบเทียบจะแสดงการเปรียบเทียบได้จริงๆ”
    “อชิตะ บุญกุศลแม้คนที่ห้าสิบผู้ซึ่งใด้สดับสัทธรรมปุณฑริกสูตร ขณะที่ถ่ายทอดต่อกันมาจนถึงเขา และตอบรับด้วยความปีติยินดีได้รับนั้น มีมากมายหลายอสงไขยไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัดเพียงนี้แล้ว จะมีมากกว่านี้อีกสักเท่าใดแก่ผู้ที่เป็นคนแรกสุดในที่ประชุม ผู้ซึ่งเมื่อได้สดับพระสูตรนี้แล้ว ตอบรับด้วยความปีติยินดีเล่า! บุญกุศลของเขาจะมีมากกว่าด้วยจำนวนอสงไขยอันไม่อาจวัดได้ ไม่มีขอบเขตจำกัดอันที่จริงแล้วไม่อาจเปรียบเทียบได้เลย”
    “อีกประการหนึ่งอชิตะ สมมุติว่าคนผู้หนึ่งด้วยเห็นแก่พระสูตรนี้ได้ไปยังที่พักพระสงฆ์ และไม่ว่านั่งอยู่หรือยืนอยู่ แม้เพียงชั่วขณะที่ได้สดับพระสูตรนี้จึงได้รับเอาไว้ บุญกุศลที่เขาได้รับจะมีดังนี้ เมื่อเขาเกิดใหม่ในชาติต่อไป เขาจะได้รับความเพลิดเพลินจากยานพาหนะที่สวยที่สุดเลิศที่สุดและ มหัศจรรย์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้าและรถ และเสลี่ยงประดับเพชรพลอย และจะ ได้ขึ้นนั่งบนราชรถสวรรค์ หรือสมมุติว่ามี คนผู้หนึ่งผู้ซึ่งกำลังนั่งฟังการแสดงธรรมอยู่ และเมื่อมีอีกคนหนึ่งเข้ามา คนแรกเชิญชวนให้เขานั่งลงฟังธรรมด้วย หรือแบ่งที่ให้เขาและเชิญให้เขานั่งลงแล้ว บุญกุศลที่คนผู้นี้ได้รับจะเป็นดังนี้คือ เมื่อเขาไปเกิดใหม่เขาจะไปเกิดบนบัลลังก์ของท้าวศักระ เกิดบนบัลลังก์ของพระพรหมเทพราช หรือไปเกิดบนบัลลังก์ของพระเจ้าจักรพรรดิราช”
    “อชิตะ สมมุติว่า มีคนผู้หนึ่งผู้ซึ่งได้พูดกับอีกคนหนึ่งว่า “มีพระสูตรหนึ่งชื่อ สัทธรรมปุณฑริก ขอให้เราไปฟังด้วยกันเถิด” และสมมุติว่า อีกคนหนึ่งได้ไปเมื่อได้รับการชักชวน และเพียงชั่วขณะหนึ่งได้สดับพระสูตรนี้ ผลบุญของคนแรกจะเป็นดังนี้คือ เมื่อเขาไปเกิดใหม่เขาจะได้ไปเกิดใหม่ร่วมสถานที่กับพระโพธิสัตว์ผู้บรรลุธารณี มีอินทรีย์และปัญญาเฉียบแหลม ตลอดเวลาร้อยพันหมื่นยุคเขาจะไม่เป็นใบ้ ปากของ
    เขาจะไม่มีกลิ่นเหม็น ลิ้นของเขาจะไม่เจ็บ หรือปากของเขาจะไม่เจ็บ ฟันของเขาจะไม่ห่าง ไม่ดำ ไม่เหลือง ไม่เป็นรู ไม่หักหลุด หรือไม่เกะกะ ริมฝีปากของเขาจะไม่ห้อยลง หรือปริ้นขึ้น หรือหยาบ หรือแตกปริ หรือเป็นแผลพุพอง หรือผิดรูป หรือบิดเบี้ยว หรือหนาเกินไป หรือใหญ่เกินไป หรือสีดำ หรือสีซีด หรือไม่มีตรงไหนที่ไม่น่าดูเลย จมูกของเขาจะไม่กว้างเกินไป หรือแบน หรือบู๊บี้ หรือโค้งงอจนเกินไป ใบหน้าของเขาจะไม่เป็นสีดำ หรือจะไม่ยาวและแคบ หรือแก้มตอบและบิดเบี้ยว ไม่มีสิ่งใดที่ไม่น่าดูบนใบหน้าของเขาเลย ริมฝีปาก ลิ้นและฟันของเขาทั้งหมดได้สัดส่วนอย่างสวยงาม จมูกของเขาจะยาว
    และตั้งสูง ใบหน้าของเขากลมเต็ม คิ้วยาวและตั้งสูง หน้าผากกว้างเรียบและได้รูปพอดี และเขาจะมีลักษณะประจำทุกอย่างที่เหมาะกับความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเขาจะเกิดในชาติใดๆ เขาจะได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมของพระองค์ และมีความศรัทธาในคำสอนของพระองค์”
    “อชิตะ พึงสังเกต! ถ้าผลบุญที่ได้รับเพียงด้วยการชักชวนคนผู้หนึ่งไปรับฟังพระธรรมมีมากดังนี้! แล้วจะมีมากกว่านี้อีกสักเท่าใด ถ้ามีผู้ใดรับฟัง สอน อ่าน และสวดพระสูตรนี้ด้วยใจเดียว และต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ ทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชน และปฏิบัติตามที่พระสูตรแนะนำ!”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าผู้ใดในที่ประชุมนี้
    สามารถได้ฟังพระสูตรนี้
    แม้เพียงคาถาเดียว
    และตอบรับด้วยความปีติยินดี แล้วสอนแก่ผู้อื่น
    และในแนวทางนี้ คำสอนได้ถูกถ่ายทอดต่อไป
    จนกระทั่งถึงคนที่ห้าสิบ
    บุญกุศลที่คนสุดท้ายนี้ได้รับการ
    จะเป็นเช่นที่เราจะอธิบายให้ฟัง ณ บัดนี้
    สมมุติว่า มีมหาทานบดีคนหนึ่ง
    ผู้ให้ความสุขสำราญแก่หมู่ชนนับไม่ถ้วน
    ทำอย่างนี้เป็นเวลา ๘๐ ปีเต็ม
    สนองตอบความต้องการของทุกคน
    เมื่อได้เห็นเครื่องหมายแห่งความชราและอายุมาก
    ผมหงอกขาวและหน้าเหี่ยวย่น
    ฟันหักและรูปร่างร่วงโรย
    เขาคิดว่า “พวกเขาใกล้ความตายแล้ว
    บัดนี้เราจะต้องสอนพวกเขา
    เพื่อให้พวกเขาได้รับผลแห่งมรรค!"
    ในทันที เขาได้ใช้กุศโลบาย
    ทำการสอนพระธรรมแท้แห่งนิพพาน
    “ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดถาวรหรือมั่นคง
    แต่ทั้งหมดเป็นเหมือนฟองอากาศ ฟองน้ำ หรือ เปลวแดด
    เพราะฉะนั้น พวกท่านทั้งหลายจะต้องเร่งรีบ
    เรียนรู้ไม่ให้ยินดีและจงหลีกเลี่ยงจากมันเสีย”
    เมื่อประชาชนได้ฟังพระธรรมนี้
    ทั้งหมดสามารถได้เป็นพระอรหันต์
    มีอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และวิโมกข์ ๘
    แต่คนที่ห้าสิบ
    ผู้ที่เมื่อได้ฟังคาถาเดียวแล้วตอบรับด้วยความปีติยินดี
    จะได้รับบุญกุศลมากกว่านั้นเสียอีก
    เหนือการบรรยายด้วยการอุปมาหรือการเปรียบเทียบ
    และถ้าผู้ใดที่มีคำสอนที่ได้ถ่ายทอดมาถึงเขา
    ได้รับบุญกุศลที่ไม่อาจวัดได้ดังนี้
    แล้วจะมีมากกว่านี้อีกสักเท่าใดแก่ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมนี้
    ได้ฟังพระสูตรเป็นครั้งแรกและตอบรับด้วยความปิติยินดี
    สมมุติว่า คนผู้หนึ่งชักชวนคนอีกคนหนึ่ง
    ชักนำเขาไปฟังสัทธรรมปุณฑริก
    กล่าวว่า “พระสูตรนี้ลึกซึ้งและมหัศจรรย์นัก
    ยากที่จะพบได้ในเวลาหนึ่งพันหมื่นกัป!”
    และสมมุติว่า เมื่อถูกชักชวน คนนั้นได้ไปฟัง
    แม้ว่าเขาจะได้ฟังเพียงชั่วขณะหนึ่ง
    บุญกุศลที่คนที่หนึ่งจะได้รับตอบแทน
    เราจะบรรยายให้ละเอียด ณ บัดนี้
    ยุคแล้วยุคเล่า ปากจะไม่เจ็บ
    ฟันไม่หัก ไม่เป็นสีเหลืองหรือสีดำ
    ริมฝีปากไม่หนา ไม่ปลิ้นหรือไม่แตก
    ไม่มีลักษณะใดที่น่าเกลียด
    ลิ้นไม่แห้ง ดำ หรือสั้นเกินไป
    จมูกตั้งตรง ยาว และเหมาะสม
    หน้าผากกว้าง เรียบ และได้รูปพอดี
    หน้าและตาเข้ากันพอดีดูน่าประทับใจ
    เป็นชนิดที่ประชาชนใคร่ได้ยลยิ่งนัก
    ลมหายใจไม่มีกลิ่นเหม็น
    แต่จะมีกลิ่นหอมของดอกอุบล
    ระเหยออกจากปากของเขาเป็นนิจ
    สมมุติว่า มีคนผู้หนึ่งไปยังที่พักสงฆ์
    ตั้งใจที่จะได้สดับฟังสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    และสดับฟังด้วยความปีติยินดีสักครู่หนึ่ง
    เราจะบรรยายบุญกุศลที่เขาจะได้รับให้ฟัง
    ในชาติหน้าหมู่เทวดาและมนุษย์
    เขาจะได้รับช้าง ม้า รถมหัศจรรย์
    เสลี่ยงประดับเพชรพลอยอันหายาก
    และจะขึ้นโดยสารบนราชรถแห่งสวรรค์
    ถ้าในสถานที่ที่มีการแสดงธรรมอยู่
    ผู้ใดเชื้อเชิญให้อีกคนหนึ่งนั่งลงและฟังพระสูตรนี้
    บุญกุศลที่เขาได้รับจะช่วยให้เขาได้รับ
    บัลลังก์ของท้าวศักระ
    ของพระพรหมและของพระเจ้าจักรพรรดิราช
    แล้วจะมีมากกว่านี้อีกสักเท่าใดถ้าเขารับฟังด้วยใจเดียว
    อธิบายและแสดงความหมาย
    และปฏิบัติตามที่พระสูตรสอนแล้ว
    บุญกุศลของคนผู้นั้นจะมีมากมายไร้ขอบเขต !
     
  19. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๑๙
    บทบุญกุศลของธรรมาจารย์

    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสัตตสมิตาภิยุกตะโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า “ถ้าสาธุชนชายหญิงทั้งหลาย น้อมรับและยึดถือ สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ ถ้าพวกเขาอ่าน สวด อธิบาย สอนหรือคัดลอกพระสูตรนี้ คนเช่นนี้ทั้งหลายจะได้รับบุญกุศลแห่งตา ๘๐๐ ประการ บุญกุศลแห่งหู ๑,๒๐๐ ประการ บุญกุศลแห่งจมูก ๘๐๐ ประการ บุญกุศลแห่งลิ้น ๑,๒๐๐ ประการ บุญกุศลแห่งกาย ๘๐๐ ประการ และบุญกุศลแห่งใจ ๑,๒๐๐ ประการ พวกเขาสามารถที่จะประดับอวัยวะสัมผัสทั้ง ๖ ของตนด้วยผลบุญเหล่านี้ อันทำให้อวัยวะสัมผัสทั้ง ๖ มีความบริสุทธิ์”
    “สาธุชนชายหญิงเหล่านี้ ด้วยตาเนื้ออันบริสุทธิ์ที่พวกเขาได้รับมาจากบิดามารดาแต่กำเนิด จะเห็นทุกอย่างที่มีอยู่ในส่วนภายในและส่วนภายนอกแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ ทั้งภูเขา ป่าไม้ แม่น้ำและทะเล เบื้องล่างถึงนรกอเวจี และเบื้องบนถึงชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ และในนั้นจะเห็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย และยังเห็นและเข้าใจเหตุและปัจจัยทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพวกเขา และการเกิดใหม่ที่คอยพวกเขาอยู่ อันเป็นผลและการตอบแทนของการกระทำเหล่านั้น”
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าในท่ามกลางที่ประชุม
    ผู้ใดด้วยใจไม่หวาดกลัว
    ทำการสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    จงฟังผลบุญที่เขาจะได้รับ!
    คนเช่นนั้นจะได้รับบุญกุศลแห่งตา
    อันดีกว่าตาธรรมดา ๘๐๐ ประการ
    เพราะผลแห่งเครื่องประดับเหล่านี้
    ตาของเขาจะกลายเป็นตาบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
    ด้วยตามที่ได้รับมาแต่กำเนิดจากบิดามารดา
    เขาจะเห็นสามพันโลกธาตุทั้งหมด
    ทั้งส่วนภายในและส่วนภายนอกของมัน
    เขาพระเมรุ เขาพระสุเมรุ เขาจักรวาล
    ภูเขาอื่นๆ และป่าไม้ทั้งหมด
    ทะเลใหญ่ แม่น้ำ และลำธาร
    เบื้องล่างลงถึงนรกอเวจี
    เบื้องบนถึงสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ
    และเขาจะเห็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ในโลกธาตุเหล่านั้น
    แม้ว่าเขายังจะมิได้รับตาทิพย์
    แต่พลังแห่งตาเนื้อของเขาจะเป็นเช่นอย่างนี้
    “อนึ่ง สัตตสมิตาภิยุกตะ ถ้าสาธุชนชายหญิงทั้งหลายน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ ถ้าพวกเขาอ่าน สวด อธิบาย สอน หรือคัดลอกพระสูตรนี้ พวกเขาจะได้รับบุญกุศลแห่งหู ๑,๒๐๐ ประการ ด้วยบุญกุศลนี้จะทำความบริสุทธิ์ให้แก่หูของพวกเขา อันจะทำให้พวกเขาสามารถได้ยินถ้อยคำและเสียงชนิดต่างๆทั้งหมด ในตรีสหัสะมหาสหัสสะ
    โลกธาตุ เบื้องล่างถึงนรกอเวจี เบื้องบนถึงชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ และในส่วนภายในและส่วนภายนอก เสียงช้าง เสียงม้า เสียงโค เสียงรถ เสียงร้องไห้ เสียงคร่ำครวญ เสียงสังข์ เสียงกลอง เสียงระฆัง เสียงกระดิ่ง เสียงหัวเราะ เสียงพูด เสียงผู้ชาย เสียงผู้หญิง เสียงเด็กผู้ชาย เสียงเด็กผู้หญิง เสียงเป็นธรรม เสียงไม่เป็นธรรม เสียงเจ็บปวด เสียงสนุกสนาน เสียงปุถุชน เสียงอริยชน เสียงเป็นสุข เสียงเป็นทุกข์ เสียงเทวดา เสียงนาค เสียงยักษ์ เสียงคนธรรพ์ เสียงอสูร เสียงครุฑ เสียงกินนร เสียงมโหรคะ เสียงไฟ เสียงน้ำ เสียงลม เสียงสัตว์นรก เสียงสัตว์เดรัจฉาน เสียงเปรต เสียงภิกษุ เสียงภิกษุณี เสียงพระสาวก เสียงพระปัจเจกพุทธะ เสียงพระโพธิสัตว์ และเสียงพระพุทธะ กล่าวโดย
    สรุปคือ ถึงแม้ว่าเขาจะยังมิได้รับหูทิพย์ แต่ด้วยหูธรรมดาอันบริสุทธิ์ที่เขาได้รับมาแต่กำเนิดจากบิดามารดา เขาสามารถที่จะได้ยินและเข้าใจเสียงทั้งหมดที่มีอยู่ ในส่วนภายในและส่วนภายนอกของตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ ถึงแม้เขาสามารถแยกแยะเสียงชนิดต่างๆ มากมายได้ทั้งหมดในลักษณะนี้ก็ตาม แต่ทั้งนี้ ก็จะไม่ทำให้ความสามารถแห่งการฟังของเขาเสื่อมลงเลย”
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ด้วยหูที่ได้รับมาแต่กำเนิดจากบิดามารดาของเขา
    บริสุทธิ์และปราศจากมลทิน
    ด้วยหูธรรมดาเหล่านี้ เขาสามารถได้ยิน
    เสียงแห่งสามพันโลกธาตุ
    เสียงช้าง ม้า รถ โค
    เสียงระฆัง กระดิ่ง สังข์ กลอง
    เสียงพิณน้ำเต้าและพิณตั้ง
    เสียงปี่และเสียงขลุ่ย
    เสียงขับร้องอันบริสุทธิ์และไพเราะ
    เขาสามารถฟังได้โดยไม่ยึดติดกับมัน
    เสียงชนิดต่างๆ นับไม่ถ้วนของมนุษย์
    เขาสามารถได้ยินและเข้าใจเสียงเหล่านี้ทั้งหมด
    อีกอย่างเขาสามารถได้ยินเสียงของเทวดา
    เสียงเพลงอันละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์
    และเขาสามารถได้ยินเสียงผู้ชายและเสียงผู้หญิง
    เสียงชายหนุ่มและเสียงหญิงสาว
    ในกลางภูเขา แม่น้ำ และเหวลึก
    เสียงนกกะละวิงคะ
    นกชีวกะชีวกะและนกอื่นๆ
    เขาจะได้ยินเสียงเหล่านี้ได้ทั้งหมด
    จากหมู่สัตว์นรกที่ถูกทรมาน
    เสียงแห่งความทุกข์ทรมานชนิดต่างๆ
    เสียงพวกเปรตที่ถูกบีบคั้นด้วยความหิวกระหาย
    ขณะที่พวกมันเที่ยวเสาะหาอาหารและเครื่องดื่ม
    เสียงของอสูร
    ที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลใหญ่
    เมื่อพวกมันพูดคุยกัน
    หรือส่งเสียงร้องดังกึกก้อง
    ด้วยเหตุนี้ เขาผู้เป็นธรรมาจารย์
    จึงสามารถอยู่อย่างปลอดภัยท่ามกลางเสียงเหล่านี้
    การได้ยินเสียงมากมายเหล่านี้ได้จากที่ไกล
    โดยไม่ทำให้ ความสามารถแห่งการฟังของเขาเสียหาย
    ในโลกทั้งหลายแห่งสิบทิศ
    เมื่อพวกสัตว์ป่าและพวกนกร้องกู่หากัน
    บุคคลผู้สอนธรรมะนี้
    ได้ยินเสียงพวกมันทั้งหมดจากที่ที่เขาอยู่
    ในสวรรค์ชั้นพรหมและชั้นสูงขึ้นไป
    สวรรค์ชั้นอาภัสระ สวรรค์ชั้นสุทธาวาส
    และสูงขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ
    เสียงการพูดคุยกันที่นั่น
    พระธรรมาจารย์ อาศัยอยู่ที่นี่
    สามารถได้ยินเสียงเหล่านั้นทั้งหมด
    หมู่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย
    ไม่ว่าพวกเขากำลังอ่านหรือสวดพระสูตร
    หรือกำลังสอนพระสูตรแก่ผู้อื่นอยู่
    พระธรรมาจารย์อาศัยอยู่ที่นี่
    สามารถได้ยินเสียงเหล่านั้นทั้งหมด
    และเมื่อมีพระโพธิสัตว์
    ผู้อ่านและสวดคำสอนสูตร
    หรือสอนสูตรเหล่านั้นแก่ผู้อื่น
    หรือเลือกข้อความแล้วอธิบายความหมาย
    เสียงแห่งเสียงพูดของพวกเขา
    เขาสามารถได้ยินมันทั้งหมด
    เมื่อพระพุทธะมหามุนี และผู้ควรเคารพทั้งหลาย
    ทำการสอนและเปลี่ยนแปลงสรรพสัตว์
    ในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่
    ทรงแสดงและสอนพระธรรมอันสุขุมและมหัศจรรย์
    ผู้ที่ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    สามารถได้ยิน เสียงเหล่านั้นทั้งหมด
    เสียงในส่วนภายในและในส่วนภายนอก
    แห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ
    เบื้องล่างถึงนรกอเวจี
    เบื้องบนถึงสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ
    เขาสามารถได้ยินเสียงเหล่านี้ทั้งหมด
    และไม่ทำให้ความสามารถแห่งการฟังของเขาเสื่อมลงเลย
    เพราะว่าความสามารถแห่งหูของเขาไวนัก
    เขาจึงสามารถจำแนกและเข้าใจเสียงเหล่านี้ทั้งหมด
    ผู้ที่ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    แม้ว่าเขายังมิได้มีหูทิพย์
    เขายังสามารถทำอย่างนี้ได้ด้วยหูที่ได้มาแต่กำเนิด
    นั่นคือบุญกุศลที่เขาได้รับ
    “อนึ่ง สัตตสมิตาภิยุกตะ ถ้าสาธุชนชายหญิงทั้งหลายน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ ถ้าพวกเขาอ่าน สวด อธิบาย สอน หรือคัดลอกพระสูตรนี้แล้ว ถ้าพวกเขาจะสำเร็จในการได้รับบุญกุศลแห่งจมูก ๘๐๐ ประการ กับจะทำให้ความสามารถแห่งการดมกลิ่นของพวกเขาบริสุทธิ์ด้วย เพื่อว่าพวกเขาสามารถดมกลิ่นต่างๆ ทั้งหมด จากเบื้องบนถึงเบื้องล่าง จากในส่วนภายในและส่วนภายนอกแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ กลิ่นดอกสัมนะ ตอกชาติกะ ดอกมัลลิกะ ดอกจัมปกะ ดอกปาตละ ดอกบัวแดง ดอกบัวขาว กลิ่นต้นไม้ดอก ต้นไม้ผล ไม้จันทน์ ไม้กฤษณา ไม้ตมาลพัตร์ และไม้ตัคระ รวมทั้งกลิ่นน้ำหอมผสมจากกลิ่นต่างๆ พันหมื่นชนิด แป้งหอม เม็ดหอม หรือขี้ผึ้งหอม ผู้ที่ยึดถือพระสูตรนี้
    ขณะที่เขาอยู่ที่นี่ เขาสามารถที่จะแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด”
    “อีกประการหนึ่ง เขาสามารถที่จะจำแนกและระบุกลิ่นของสรรพสัตว์ กลิ่นของช้าง ม้า วัว แกะ และสัตว์อื่นๆ กลิ่นของผู้ชาย ผู้หญิง เด็กชาย เด็กหญิง และกลิ่นของพืช ต้นไม้ ป่าละเมาะ และป่าไม้ใหญ่ ไม่ว่ามันจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล เขาสามารถที่จะดมกลิ่นเหล่านี้ได้ทั้งหมด และสามารถจำแนกแยกสิ่งหนึ่งจากอีกสิ่งหนึ่งได้โดยไม่มีผิด”
    “ผู้ที่ยึดถือพระสูตรนี้ แม้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่ เขายังสามารถที่จะดมกลิ่นของสวรรค์ชั้นต่างๆ ในฟากฟ้าข้างบน กลิ่นต้นปาริชาตกะ และต้นโควิทาร กลิ่นดอกมณฑารพ ดอกมหามณฑารพ ดอกมัญชูษกะ ดอกมหามัญชูษกะ กลิ่นไม้จันทน์ ไม้กฤษณา กลิ่นแป้งหอมชนิดต่างๆ และน้ำหอมทำด้วยดอกไม้หลายชนิด กลิ่นทิพย์เช่นกลิ่นเหล่านี้และ
    กลิ่นที่เกิดจากต้นกำเนิดหรือจากส่วนผสม ไม่มีกลิ่นใดที่เขาดมไม่ได้ และบอกชื่อไม่ได้”
    “เขายังสามารถที่จะดมกลิ่นกายของเทวดา กลิ่นของท้าวศักระ เทวนัม อินทรา ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในวิมานอันสง่างาม ทรงเพลิดเพลินพระองค์ด้วยความพอพระทัยในกามคุณ ๕ หรือกลิ่นเมื่อพระองค์ประทับอยู่ในสุธรรมสภา กำลังแสดงธรรมะแก่หมู่เทวดาแห่งดาวดึงส์สวรรค์ หรือกลิ่นเมื่อพระองค์กำลังทรงเที่ยวประพาสชมอุทยานของพระองค์ รวมทั้งกลิ่นกายของเทพบุตรและเทพธิดาอื่นๆ กลิ่นเหล่านี้ทั้งหมด เขาสามารถที่จะดมกลิ่นได้จากที่ไกล”
    “เขาสามารถที่จะขยายการรับรู้ของเขาสูงขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นพรหม และสูงขึ้นไปอีกถึงสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ โดยการดมกลิ่นกายของเทวดาทั้งหลาย และเขายังจะดมกลิ่นเครื่องหอมที่เผาโดยเหล่าเทวดา ยิ่งกว่านั้นกลิ่นของพระสาวก กลิ่นของพระปัจเจกพุทธะ กลิ่นของพระโพธิสัตว์ และกลิ่นกายของพระพุทธะทั้งหลาย ทั้งหมดนี้
    เขาจะดมกลิ่นได้จากที่ไกล และทราบที่อยู่ของท่านเหล่านี้ด้วย และถึงแม้เขาสามารถดมกลิ่นเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ความสามารถแห่งการดมกลิ่นของเขา จะไม่ถูกทำลายหรือผิดปกติ ถ้าเขาประสงค์จะแยกกลิ่นหนึ่งจากอีกกลิ่นหนึ่งและบรรยายให้คนอื่นฟัง เขาก็สามารถที่จะนึกออกบอกได้โดยไม่ผิดพลาดเลย!”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ความบริสุทธิ์แห่งจมูกของคนผู้นั้น
    จะเป็นเช่นว่า ทั่วทั้งโลกนี้
    เขาสามารถที่จะดมกลิ่นและบอกชื่อ
    ทุกชนิดของกลิ่น หอมหรือเหม็น
    ดอกสุมนะและดอกชาติกะ
    ไม้ตมาลพัตร์และไม้จันทน์
    กลิ่นไม้กฤษณาและกลิ่นอบเชย
    กลิ่นดอกไม้และผลไม้นานาชนิด
    เขาจะรู้จักกลิ่นของสรรพสัตว์
    กลิ่นของผู้ชายและผู้หญิง
    แม้ว่าธรรมจารย์ผู้นี้จะอาศัยอยู่ห่างไกล
    เขาจะดมกลิ่นเหล่านี้และรู้ที่อยู่ของคนเหล่านั้น
    พระเจ้าจักรพรรดิราชผู้ทรงมหิทธานุภาพ
    จุลจักรพรรดิราชกับราชบุตร
    เสนาบดีและข้าราชบริพารทั้งหลาย
    เขาจะดมกลิ่นและรู้ที่อยู่ของพวกเขาได้
    อัญมณีล้ำค่าที่เป็นเครื่องประดับกาย
    คลังสมบัติที่อยู่ใต้ดิน
    นางแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิราช
    เขาจะดมกลิ่นและรู้ที่อยู่ของพวกเขา
    จากเครื่องประดับกายของบุคคล
    เครื่องนุ่งห่มและสายสร้อย
    น้ำมันหอมทาตัวนานาชนิด
    โดยการดมกลิ่นเหล่านี้ เขาจะรู้ว่าผู้ใช้เป็นใคร
    เมื่อเหล่าเทวดาเดินอยู่หรือนั่งอยู่
    กำลังสนุกสนานหรือกำลังแสดงอิทธิฤทธิ์
    ผู้ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    โดยการดมกลิ่น เขาสามารถรู้สิ่งทั้งหมดนี้
    ดอกและผลของต้นไม้ต่างๆ
    และกลิ่นน้ำมันเนย
    ผู้ยึดถือพระสูตรนี้ อาศัยอยู่ที่นี่
    รู้ที่อยู่ของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
    ลึกในภูเขา ในที่อันสูงชัน
    อันเป็นที่ไม้จันทน์ออกดอกบานสะพรั่ง
    สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น
    โดยการดมกลิ่น เขาสามารถรู้สิ่งทั้งหมดนี้
    สรรพสัตว์ในภูเขาจักรวาล
    ในทะเลใหญ่หรือในพื้นดิน
    ผู้ยึดถือพระสูตรนี้ได้ดมกลิ่นแล้ว
    รู้ที่อยู่ของสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด
    เมื่ออสูรผู้ชายและอสูรผู้หญิง
    และขบวนผู้ติดตามของพวกมัน
    กำลังต่อสู้กันหรือเล่นสนุกกัน
    เขาดมกลิ่นแล้วรู้สิ่งทั้งหมดนี้
    ในทุ่งกว้าง ในที่แคบ
    อันเป็นที่สิงโต ช้าง เสือ หมาป่า
    วัวป่าและควายป่าท่องเที่ยวอยู่
    โดยการดมกลิ่น เขารู้ที่อยู่ของสัตว์เหล่านี้
    เมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์
    ไม่มีใครบอกได้ว่าทารกเป็นชายหรือเป็นหญิง
    จะเป็นเด็กพิกลพิการหรือเป็นอมนุษย์
    โดยการดมกลิ่น เขาสามารถรู้สิ่งทั้งหมดนี้
    และด้วยความสามารถในการดมกลิ่นนี้
    เขารู้ว่าผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์แต่เมื่อใด
    ครรภ์นั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่
    เธอจะคลอดบุตรที่สมบูรณ์โดยปลอดภัยหรือไม่
    ด้วยความสามารถ ในการดมกลิ่นของเขา
    เขาสามารถรู้ความคิดของผู้ชายและผู้หญิง
    จิตของพวกเขาเปื้อนด้วยความโลภ ความหลง
    หรือความโกรธ
    และเขารู้ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความดีหรือไม่
    การกักตุนสินค้าที่เก็บไว้ใต้ดิน
    ทอง เงิน และสมบัติมีค่า
    สิ่งของที่กองอยู่ในภาชนะสัมฤทธิ์
    โดยการดมกลิ่น เขาสามารถบอกที่อยู่ของมันได้
    สายสร้อยนานาชนิด
    อันมีมูลค่าไม่อาจตีราคาได้
    โดยการดมกลิ่น เขารู้ว่าอันไหนมีค่าและอันไหนไม่มีค่า
    มันมาจากไหนและขณะนี้อยู่ที่ไหน
    ดอกไม้ทิพย์บนสวรรค์
    ดอกมณฑารพ ดอกมัญชูษกะ
    ต้นไม้ปาริชาตกะ
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
    วิมานทั้งหมดบนสวรรค์
    ไม่ว่าจะเป็นชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นต่ำ
    ประดับด้วยบุบผามณีมากมาย
    ด้วยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกมันทั้งหมด
    สวนนันทวัน วิมานไพชยนต์
    หอราชมณเฑียร หอสุธรรมสภา
    และผู้ที่กำลังสำราญอยู่ที่นั้น
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกเขาทั้งหมด
    เมื่อเหล่าเทวดากำลังฟังธรรมะ
    หรือกำลังเพลิดเพลินอยู่กับกามคุณ ๕
    กำลังมา กำลังไป กำลังเดิน กำลังนั่ง และกำลังนอน
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกเขาทั้งหมด
    เครื่องภูษาที่เหล่าเทพธิดาทรง
    ประดับด้วยดอกไม้อันสวยงามและน้ำหอม
    เมื่อพวกเธอเที่ยวไปเพื่อความสำราญ
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกเธอทั้งหมด
    ในแนวทางนี้ขยายความรู้ตัวของเขา
    ให้สูงขึ้นไปจนถึงสวรรค์ชั้นพรหม
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกนั้นทั้งหมด
    ว่าพวกใดอยู่ในฌานหรือออกจากฌาน
    ในสวรรค์ชั้นอาภัสระและชั้นสุทธาวาส
    และสูงขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ
    พวกที่เพิ่งปฏิสนธิ พวกที่ได้จุติไปแล้ว
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกเขาทั้งหมด
    หมู่ภิกษุทั้งหลาย
    ตลอดเวลาเอาใจใส่ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระธรรม
    ไม่ว่ากำลังนั่งอยู่หรือกำลังเดินไปรอบๆ
    หรือกำลังอ่าน หรือกำลังสวดคำสอนพระสูตร
    บางครั้งภายใต้ต้นไม้ในป่า
    รวมกำลังของตน กำลังนั่งอยู่ในฌาน
    ผู้ยึดถือพระสูตรได้กลิ่นของพวกเขาแล้ว
    จะรู้ที่อยู่ของพวกเขาทั้งหมด
    พระโพธิสัตว์ด้วยความตั้งใจมั่นคง
    กำลังนั่งในฌานหรือกำลังอ่านพระสูตร
    หรือกำลังสอนพระธรรมแก่ผู้อื่น
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกเขาได้ทั้งหมด
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในทุกสารทิศ
    ได้รับความเคารพและนับถือจากสรรพสัตว์
    ทรงมีความเมตตาแก่หมู่สัตว์ กาลังเทศนาธรรมะ
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพระองค์ได้ทั้งหมด
    สรรพสัตว์ผู้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
    ได้ฟังพระสูตรและมีความปีติยินดี
    ผู้ใดปฏิบัติธรรมะตามที่พระธรรมแนะนำ
    โดยการดมกลิ่น เขารู้จักพวกเขาทั้งหมด
    แม้เขาจะยังมิได้รับจมูกอันเป็นของ
    พระโพธิสัตว์แห่งพระธรรมอันปราศจากอาสวะก็ตาม
    แต่ผู้ยึดถือพระสูตรนี้
    ก็จะได้รับจมูกอันมีคุณสมบัติดังได้บรรยายมาแล้ว
    “อนึ่ง สัตตสมิตาภิยุกตะ ถ้าสาธุชนชายหรือหญิงทั้งหลายน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ ถ้าพวกเขาอ่าน สวด อธิบาย และสอน หรือคัดลอกพระสูตรนี้พวกเขาจะได้รับบุญกุศลแห่งลิ้น ๑,๒๐๐ ประการ สิ่งใดไม่ว่ารสดีหรือรสเลว มีรสหรือไม่มีรส เมื่อสัมผัสกับความสามารถแห่งลิ้นของคนผู้นี้ รสทั้งหลายจะเปลี่ยนเป็นรสเลิศดุจดังน้ำอมฤตแห่ง
    สวรรค์ไปหมด และไม่มีสิ่งใดที่จะมีรสไม่เป็นที่นาพอใจเลย”
    “ถ้าด้วยความสามารถแห่งลิ้นเหล่านี้ เขาใช้ในการแสดงและสอนในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ เขาจะทำให้เกิดเสียงอันลึกซึ้งและมหัศจรรย์ อันสามารถซึมซาบเข้าไปในจิต ให้ผู้ฟังทั้งหลายมีความสุขและความพอใจ เมื่อเหล่าเทพบุตรและเทพธิดา ท้าวศักระ พระพรหมและเทวดาอื่นๆ ได้ยินเสียงอันลึกซึ้งและมหัศจรรย์กำลังแสดงและกำลังสอน การถกเถียงที่ก้าวหน้าไปที่ละประเด็นแล้ว พวกเขาทั้งหมดจะมาประชุมกันเพื่อรับฟัง พวกนาคกับนาคบุตรี พวกยักษ์กับยักษ์บุตรี พวกคนธรรพ์กับคนธรรพ์บุตรี พวกอสูรกับอสูรบุตรี พวกครุฑกับครุฑบุตรี พวกกินนรกับกินนรบุตรี พวกมโหรคะกับมโหรคะบุตรี ทั้งหมดจะมารวมกันรอบเจ้าของเสียงโดยใกล้ชิด เพื่อรับฟังพระธรรม จะทำความเคารพและถวายทานแก่เขา หมู่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กษัตริย์ เจ้าชาย อำมาตย์และข้าราชบริพาร จุลจักรพรรดิราชและมหาจักรพรรดิราช พร้อมด้วยแก้ว ๗ ประการและราชบุตร ๑,๐๐๐ องค์ ข้าราชบริพารฝ่ายในและฝ่ายหน้า จะขึ้นประทับราชรถ และทั้งหมดจะพากันมาเพื่อสดับพระธรรม”
    “เนื่องจากพระโพธิสัตว์นี้มีความเชี่ยวชาญในการเทศนาธรรม พราหมณ์ คฤหบดี และประชาชนทั่วทั้งประเทศ จะอุทิตชีวิตที่เหลือของพวกเขาคอยติดตามรับใช้และบริจาคทานแก่เขา พระสาวก พระปัจเจกพุทธะ พระโพธิสัตว์ และพระพุทธะทั้งหลาย จะพึงพอใจที่จะได้เห็นเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าคนผู้นี้จะอยู่ที่ใด เมื่อพระพุทธะทั้งหลายจะเทศนาพระธรรม พระองค์จะทรงหันพระพักตร์ไปทางทิศนั้นเสมอ และเขาสามารถที่จะน้อมรับและยึดถือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์ และนอกจากนี้เขายังสามารถที่จะเปล่งเสียงแห่งพระธรรมอันลึกซึ้ง และมหัศจรรย์ออกไปอีกด้วย”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ความสามารถแห่งลิ้นของคนผู้นี้จะบริสุทธิ์ยิ่งนัก
    อันเขาจะไม่ได้สัมผัสกับรสอันเลวใดๆ เลย
    แต่ทุกอย่างที่เขารับประทาน
    จะกลายเป็นเหมือนน้ำอมฤต
    ด้วยเสียงอันลึกซึ้ง บริสุทธิ์ และมหัศจรรย์
    เขาจะสอนพระธรรมในที่ประชุมใหญ่
    ด้วยการใช้เหตุ ปัจจัย และการอุปมา
    ในการนำและชี้แนะจิตของสรรพสัตว์
    ทุกคนที่ได้ฟังเสียงเขาจะมีความสุข
    แล้วจะบริจาคทานอันประณีตแก่เขา
    หมู่เทวดา นาค ยักษ์
    รวมทั้งอสูรและสัตว์หมู่อื่น
    ทั้งหมดจะเข้ามาหาเขาด้วยจิตเคารพ
    และรวมกันมาเพื่อที่สดับพระธรรม
    ถ้าธรรมาจารย์ผู้นี้
    ประสงค์ที่จะใช้เสียงอันมหัศจรรย์ของเขา
    ให้ดังไปทั่วทั้งสามพันโลกธาตุ
    เขาก็สามารถทำได้ดังใจปรารถนา
    จักรพรรดิราชใหญ่และน้อย
    พร้อมด้วยราชบุตรหนึ่งพันและข้าราชบริพาร
    จะประนมมือด้วยจิตคารวะ
    และจะได้มาสดับและรับฟังพระธรรมบ่อยๆ
    หมู่เทวดา นาค ยักษ์
    รากโษสและปีศาจ
    ด้วยใจอันเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีเช่นกัน
    จะมีความพอใจในการนำทานมาถวายอยู่เสมอ
    เทพพรหมราช พญามาราธิราช
    เทพอิศวรและเทพมเหศวร
    หมู่เทวดาทั้งหลาย
    จะเข้ามาหาเขาเป็นประจำ
    พระพุทธะทั้งหลายและสาวกของพระองค์
    เมื่อได้ยินเสียงเขาเทศนาธรรม
    จะรักษาเขาไว้ในความคิดเสมอและเฝ้าดูแลเขา
    และบางคราวจะแสดงพระองค์ให้ปรากฎแก่เขา
    “อนึ่ง สัตตสมิตาภิยุกตะ ถ้าสาธุชนทั้งหลายชายหรือหญิงน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ ถ้าพวกเขา อ่าน สวด อธิบายและสอน หรือคัดลอกพวกเขาจะได้รับผลบุญกุศลแห่งกาย ๘๐๐ ประการ พวกเขาจะได้รับกายอันบริสุทธิ์ เหมือนแก้วไพฑูรย์อันบริสุทธิ์ อันสรรพสัตว์พึงพอใจที่จะได้เห็น เพราะว่าความบริสุทธิ์แห่งกายของพวกเขา เมื่อสรรพสัตว์แห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุเกิดหรือตาย เกิดในภูมิภาคเบื้องบนหรือเบื้องล่าง ในสภาพแวดล้อมสวยงามหรือน่าเกลียด ในสถานที่ดีหรือเลว ทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นในกายเหล่านี้ ภูเขาจักรวาล ภูเขามหาจักรวาล ภูเขามรุ และภูเขามหาเมรุ รวมทั้งสรรพสัตว์ที่อยู่ในภูเขาเหล่านั้น ทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นที่ในกายนั้น เบื้องล่างถึงนรกอเวจี เบื้องบนถึงชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ ภูมิภาคทั้งหมดและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ภายใน ทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นในกายนั้น พระสาวก พระปัจเจกพุทธะ พระโพธิสัตว์ พระพุทธะทั้งหลายที่กำลังเทศนาธรรม รูปและร่างของท่านเหล่านี้ทั้งหมด จะสะท้อนให้เห็นในกายของพวกเขา”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ถ้าผู้ใดยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    กายของเขาจะบริสุทธิ์ยิ่งนัก
    เหมือนแก้วไพฑูรย์อันบริสุทธิ์
    อันสรรพสัตว์ต่างยินดีที่จะได้เห็น
    มันบริสุทธิ์เหมือนกระจกเงาใส
    ซึ่งสะท้อนให้เห็นรูปร่างทั้งหลาย
    พระโพธิสัตว์ในกายอันบริสุทธิ์ของเขา
    จะเห็นทุกอย่างที่อยู่ในโลก
    เขาผู้เดียวจะเห็นแจ่มแจ้ง
    ในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
    ภายในสามพันโลกธาตุ
    สัตว์ทุกหมู่ที่กำลังเจริญเติบโต
    เทวดาและมนุษย์ อสูร
    สัตว์นรก ภูตผี เดรัจฉาน
    รูปและร่างของสัตว์เหล่านี้
    จะสะท้อนให้เห็นได้ในกายของเขา
    วิมานแห่งสวรรค์ชั้นต่างๆ
    จนถึงชั้นสูงสุดแห่งรูปภพ
    ภูเขาจักรวาล ภูเขาเมรุ และภูเขามหาเมรุ
    ทะเลใหญ่และแหล่งน้ำอื่นๆ
    ทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นในกายของเขา
    พระพุทธะและพระสาวก
    พระพุทธบุตรและพระโพธิสัตว์
    ไม่ว่าอยู่โดดเดี่ยวหรืออยู่ในที่ประชุม
    กำลังเทศนาธรรมะ ทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็น
    ถึงแม้คนผู้นี้จะยังมิได้รับ
    ธรรมกายอันมหัศจรรย์ ปราศจากอาสวะ
    แต่เพราะความบริสุทธิ์แห่งกายธรรมดาของเขา
    สิ่งทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นในกายนั้น
    “อนึ่ง สัตตสมิตาภิยุกตะ ถ้าสาธุชนทั้งหลายชายหรือหญิง หลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว น้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ พวกเขาอ่าน สวด อธิบายและสอน หรือคัดลอกพระสูตรนี้แล้ว พวกเขาจะได้รับผลบุญกุศลแห่งใจ ๑,๒๐๐ ประการ เนื่องจากความบริสุทธิ์แห่งความสามารถทางจิตของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้ฟังแม้เพียงคาถาหนึ่งหรือวลีหนึ่งของพระสูตร พวกเขาจะเข้าใจถ่องแท้ในหลักการจำนวนมากมายไม่มีขอบเขตจำกัด และเมื่อมีความเข้าใจหลักการเหล่านี้แล้ว พวกเขาสามารถที่จะอธิบายและสอนเกี่ยวกับวลีเดียว หรือคาถาเดียวนั้นได้ตลอดเวลา ๑ เดือน ๔ เดือน หรือตลอด ๑ ปี และคำสอนที่พวกเขาสอนในเวลานั้นจะสอดคล้องกับประเด็นสำคัญของหลักการ และจะไม่ขัดแย้งกับความเป็นจริงที่แท้เลย”
    “ถ้าพวกเขาจะต้องอธิบายคัมภีร์ทางโลกบางเรื่อง หรือพูดถึงเรื่องการปกครอง หรือเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติและการทำมาหากิน ในทุกเรื่องทุกกรณีพวกเขาจะพูดได้สอดคล้องกับธรรมะที่ถูกต้อง เกี่ยวกับสรรพสัตว์ใน ๖ ภูมิแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ พวกเขาจะเข้าใจได้ว่าจิตของสัตว์เหล่านั้นทำงานอย่างไร เคลื่อนไหวอย่างไร
    หมกมุ่นอยู่กับทฤษฎีเหลวไหลอะไร”
    “ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังมิได้รับปัญญาอันปราศจากอาสวะ แต่ความบริสุทธิ์แห่งจิตของพวกเขาจะเป็นเช่นเดียวกับความคิดของคนเหล่านี้ การคำนวณและการคาดคะเนของพวกเขาและถ้อยคำที่พวกเขาใช้พูด ในทุกกรณีจะแทนพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ ไม่ห่างไกลจากความจริง และยังจะสอดคล้องกับสิ่งที่ได้สอนไว้ในพระ
    สูตรของพระพุทธะองค์ก่อนๆ ด้วย”
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    จิตของคนเหล่านี้จะบริสุทธิ์
    ฉลาด หลักแหลม ปราศจากมลทิน
    และด้วยความสามารถแห่งจิตอันมหัศจรรย์เหล่านี้
    พวกเขาจะเข้าใจธรรมะขั้นสูง กลาง และต่ำ
    ด้วยการได้ฟังไม่มากกว่าคาถาเดียว
    พวกเขาจะเข้าใจหลักการมากมายได้ละเอียด
    และสามารถสอนทีละขั้นสอดคล้องกับพระธรรม
    ตลอดเวลา ๑ เดือน ๔ เดือน หรือ ๑ ปี
    สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ในส่วนภายในและส่วนภายนอกของโลกนี้
    พวกเทวดา นาค มนุษย์
    ยักษ์ ภูตผี
    พวกที่อยู่ใน ๖ ภูมิ
    และความคิดต่างๆ ทั้งหมดของสัตว์พวกนี้
    ผู้ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    จะรู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ในทันทีเป็นผลตอบแทน!
    พระพุทธะนับไม่ถ้วนในสิบทิศ
    ประดับพระองค์ด้วยเครื่องหมายแห่งบุญร้อยชนิด
    เพื่อสรรพสัตว์ทรงสอนพระธรรม
    และคนเช่นนั้นได้ฟังแล้วสามารถที่จะน้อมรับและยึดถือไว้
    พวกเขาจะคิดใคร่ครวญหลักการมากมาย
    และสอนพระธรรมด้วยวิธีการนับไม่ถ้วน
    แต่ตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่มีหลงลืมหรือผิดพลาดเลย
    เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
    พวกเขาจะเข้าใจคุณลักษณะแห่งปรากฏการณ์ทั้งหลาย
    สอดคล้องกับหลักการ จำลำดับที่ถูกต้องของมันได้
    เข้าใจถ่องแท้ถึงชื่อและถ้อยคำ
    แล้วแสดงและสอนสิ่งต่างๆ ตามที่พวกเขาเข้าใจ
    สิ่งใดที่คนเหล่านี้สอน
    ทั้งหมดล้วนเป็นพระธรรมของพระพุทธะแต่ปางก่อน
    และเพราะพวกเขาแสดงพระธรรมนี้
    พวกเขาจึงไม่มีความหวั่นกลัวต่อหน้าที่ประชุม
    นั้นคือความบริสุทธิ์แห่งความสามารถแห่งจิต
    ของผู้ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตรเหล่านี้
    ถึงแม้พวกเขาจะยังมิได้เป็นอิสระจากอาสวะ
    ก่อนที่พวกเขาจะได้แสดงให้เห็นเครื่องหมาย
    ดังบรรยายแล้วที่นี่
    ขณะที่คนเหล่านี้ยึดถือพระสูตรนี้
    พวกเขาจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยบนพื้นฐานอันเลิศ
    โดยสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    มีความยินดี ให้ความรัก และความเคารพ
    สามารถใช้ถ้อยคำพันหมื่นชนิด
    ได้อย่างเหมาะสมและคล่องแคล่ว
    ในการทำให้เป็นลักษณะเฉพาะต่างๆ แสดงและสอน
    เพราะว่าพวกเขายึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
     
  20. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๐
    บทพระสทาปริภูตโพธิสัตว์

    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า “เธอควรจะเข้าใจดังนี้ เมื่อเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร ถ้ามีผู้ใดกล่าวร้าย แช่งด่า หรือหมิ่นประมาทพวกเขา ผู้นั้นจะได้รับโทษอันแสนสาหัสสำหรับความผิดของเขา ดังเราได้อธิบายให้ทราบไว้ก่อนแล้ว และเรายังได้อธิบายไว้แล้วถึงบุญกุศลที่ผู้ยึดถือพระสูตรนี้ได้รับ นั่นคือ การทำให้ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจของพวกเขาให้บริสุทธิ์”
    “มหาสถามปราปต์ ในอดีตกาลนานมาแล้ว เวลาจำนวนอสงไขยกัปมากมาย ไม่มีขอบเขตจำกัด สุดที่จะคิดนึกได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนามว่า ภีษมครรชิตสวรราชตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า กัปของพระองค์มีชื่อว่า วินิรโภค และพุทธเกษตรของพระองค์มีชื่อว่า มหาสัมภาวะ”
    “พระพุทธเจ้าภีษมครรชิตสวรราชนี้ ในสมัยที่พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดเทวดา มนุษย์และอสูรทั้งหลาย แก่พวกที่แสวงหาความเป็นพระสาวก พระองค์ทรงสอนด้วยพระธรรมแห่งอริยสัจ ๔ เพื่อให้พวกเขาได้อยู่เหนือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และได้บรรลุนิพพานในที่สุด แก่พวกที่แสวงหาความเป็นพระปัจเจกพุทธะ พระองค์ทรงสอนด้วยพระธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท ๑๒ แก่พระโพธิสัตว์ เพื่อเป็นทางนำพวกเขาไปสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิ พระองค์ทรงสอนด้วยพระธรรมแห่งบารมี ๖ เพื่อพวกเขาจะได้รับพุทธปัญญาในที่สุด”
    “มหาสถามปราปต์ พระพุทธเจ้าภีษมครรชิตสวรราชนี้ จำนวนกัปแห่งพระชนมายุของพระองค์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาสี่ร้อยพันล้านนยุตะสาย สมัยสุทธิธรรมของพระองค์ดำรงอยู่ในโลกเป็นจำนวนกัปมากมายเท่าเม็ดธุลีในหนึ่งชมพูทวีป สมัยรูปธรรมดำรงอยู่ในโลกนานหลายกัปเท่าเม็ดธุลีของ ๔ ทวีป หลังจากพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ได้สำเร็จภารกิจ ในการนำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่มาสู่สรรพสัตว์แล้วพระองค์ก็ได้เสด็จเข้าสู่ความดับ”
    “หลังจากสมัยสุทธิธรรมและสมัยรูปธรรมหมดไปแล้ว พระพุทธะอีกพระองค์หนึ่งได้อุบัติขึ้นมาในพุทธเกษตรเดียวกันนั้น พระองค์ทรงมีพระนามเหมือนกันคือ ภีษมครรชิตสวรราชตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า กระบวนการนี้ได้ดำเนินต่อกันมา โดยมีพระพุทธะองค์แล้วองค์เล่าได้อุบัติขึ้นมาจำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านพระองค์ ทั้งหมดล้วนพระนามเดียวกัน”
    “หลังจากการเสด็จเข้าสู่ความดับของพระภีษมครรชิตสวรราชตถาคตองค์แรก และหลังจากสมัยสุทธิธรรมของพระองค์ได้ผ่านไปแล้ว กำลังอยู่ในสมัยรูปธรรม พวกภิกษุที่มีความหยิ่งยโสมีอำนาจมาก ในยุคสมัยนี้ มีพระโพธิสัตว์ภิกษุองค์หนึ่งนามว่า สทาปริภูต ดูก่อน มหาสถามปราปต์ เพราะเหตุใดเขาจึง ได้ชื่อว่า สทาปริภูต เพราะว่าภิกษุรูปนี้เมื่อเขาได้พบบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกหรือุบาสิกา เขาจะโค้งคำนับด้วยความเคารพแก่พวกเขาทุกคน แล้วกล่าวถ้อยคำยกย่องว่า “ข้าพเจ้ามีความเคารพพวกท่านอย่างลึกซึ้ง ข้าพเจ้าไม่กล้าดูถูกเหยียดหยามและจองหองต่อพวกท่าน ทำไมหรือ เพราะว่าพวกท่านกำลังปฏิบัติโพธิสัตว์มรรคและจะบรรลุพุทธภาวะแน่นอน”
    “ภิกษุรูปนี้มิได้อุทิศเวลาของตนให้กับการอ่าน หรือการสวดคัมภีร์เลย เขาเพียงแต่เข้าโค้งคำนับแก่ประชาชน และถ้าเขาบังเอิญได้เห็นบริษัท ๔ เหล่าใดๆ แต่ไกล เขาจะเข้าไปหาพวกนั้นอย่างตั้งใจ โค้งคำนับแล้วพูดด้วยถ้อยคำยกย่องว่า “ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะดูถูกเหยียดหยามพวกท่าน เพราะพวกท่านจะบรรลุพุทธภาวะแน่นอน!”
    “ในบริษัท ๔ นั้น มีพวกที่มักโกรธจิตใจไม่บริสุทธิ์ ได้กล่าวร้ายและด่าเขาว่า “ภิกษุจองหองรูปนี้เขามาจากไหน จึงบังอาจประกาศว่า เขาไม่กล้าดูถูกเหยียดหยามพวกเรา และยังทำนายว่าพวกเราจะได้บรรลุพุทธภาวะ พวกเราไม่ต้องการคำทำนายอันไร้สาระและขาดสติเช่นนั้น!”
    “เวลาผ่านไปหลายปีในลักษณะนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่ภิกษุรูปนี้ต้องถูกแช่งด่าว่าร้ายตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เขาไม่ยอมปล่อยให้เกิดความโกรธ แต่ทุกครั้งเขาจะพูดถ้อยคำเดียวกันว่า “ท่านจะได้บรรลุพุทธภาวะแน่นอน” เมื่อเขาได้พูดในลักษณะนี้ มีบางคนในกลุ่มนั้นตีเขาด้วยกระบอง หรือขว้างปาด้วยกระเบื้องและก้อนหิน แต่เมื่อเขาวิ่งหนี
    ไปยืนอยู่ในที่ไกล เขายังตะโกนบอกด้วยเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะดูถูกเหยียดหยามพวกท่านหรอก เพราะพวกท่านทุกคนจะได้บรรลุพุทธภาวะแน่นอน!” และเพราะว่าเขาได้พูดแต่คำนี้อยู่เสมอ พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกาผู้หยิ่งยโสทั้งหลายจึงได้ขนานนามให้เขาว่า สทาปริภูต”
    “เมื่อภิกษุรูปนี้ใกล้จะถึงความตาย จากท้องฟ้าเขาได้ยินสัทธรรมปุณฑริกสูตรทั้ง ๒๐ พันหมื่นล้านคาถา ที่พระพุทธเจ้าภีษมครรชิตสวรราชได้เทศนาไว้ และเขาสามารถน้อมรับและยึดถือคาถาเหล่านี้ไว้ทั้งหมด ในทันใดนั้น เขาได้รับชนิดของความบริสุทธิ์แห่งการเห็น และความบริสุทธิ์แห่งความสามารถของหู ของจมูก ของลิ้น ของกาย และของใจ ดังได้บรรยายมาแล้วข้างต้น ด้วยการได้รับความบริสุทธิ์แห่งความสามารถทั้งหกนี้ อายุกาลของเขาได้เพิ่มขึ้นอีกสองร้อยหมื่นล้านนยุตะปี และเขาได้ใช้เวลานั้นสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง”
    “ครั้งนั้น พวกบริษัท ๔ ผู้มีความหยิ่งยโสทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา ผู้ซึ่งเคยมองภิกษุรูปนี้ด้วยการดูถูกเหยียดหยาม และขนานนามเขาว่า สทาปริภูตา นั้น เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าเขาได้รับอภิญญาอำนาจในการสอนอย่างน่าฟังและคล่องแคล่ว อำนาจแห่งความดีอันยิ่งใหญ่และความสงบเงียบ และเมื่อพวกเขาได้สดับการสอนธรรมะของเขา พวกเขาทั้งหมดได้มีความศรัทธาในตัวเขาและได้เป็นลูกศิษย์ของเขา
    ด้วยความเต็มใจ”
    “พระโพธิสัตว์องค์นี้ได้เปลี่ยนแปลงหมู่ชนจำนวนหนึ่งพันหมื่นล้าน ทำให้พวกเขาได้เข้าอาศัยอยู่ในสภาวะแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิ หลังจากชีวิตของเขาสิ้นสุดแล้ว เขาสามารถได้พบพระพุทธะสองพันล้านพระองค์ ทั้งหมดล้วนทรงพระนามว่า พระสุริยจันทรประทีป และในพระธรรมของพระพุทธะเหล่านั้นเขาได้สอนสัทสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    ด้วยเหตุและปัจจัยที่เขาได้สร้างมาแล้วนั้น เขายังได้พบพระพุทธะอีกสองพันล้านพระองค์ ทั้งหมดทรงพระนามเดียวกันคือ เมฆัสวรราช ในพระธรรมของพระพุทธะเหล่านี้ เขาได้น้อมรับ ได้ยึดถือ ได้อ่าน ได้สวดและได้สอนพระสูตรนี้แก่บริษัท ๔ เพราะเหตุนั้นเขาจึงสามารถได้รับการทำให้ตาธรรมดาของเขาบริสุทธิ์ และทำความบริสุทธิ์ให้แก่ความสามารถแห่งหู จมูก ลิ้น กาย และใจของเขาด้วย ในหมู่บริษัท ๔ เขาได้สอนพระธรรมโดยไม่มีความกลัวในใจเลย”
    “มหาสถามปราปต์ พระสทาปริภูตโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้นี้ได้ถวายเครื่องสักการะในลักษณะนี้แด่พระพุทธะจำนวนมหาศาล ปรนนิบัติพระพุทธองค์ด้วยความเคารพ ถวายพระเกียรติและถวายการสรรเสริญแด่พระองค์ ด้วยการได้ปลูกรากเหง้าที่ดีเหล่านี้ไว้ ต่อมาเขาได้พบพระพุทธะอีกหนึ่งพันหมื่นล้านพระองค์ และในพระธรรมของพระพุทธะเหล่านี้ เขาได้สอนพระสูตรนี้จนได้รับผลบุญกุศลอันทำให้เขาได้บรรลุพุทธภาวะ”
    “มหาสถามปราปต์ เธอคิดอย่างไร พระสทาปริภูตโพธิสัตว์ในครั้งนั้น เธอรู้จักเขาหรือไม่ อันที่จริงเขาหาใช่ใครอื่นไม่ เขาคือตัวเราเอง! ถ้าในชาติก่อนเราไม่ได้น้อมรับ ไม่ได้ยึดถือ ไม่ได้อ่าน ไม่ได้สวดพระสูตรนี้ และไม่ได้สอนแก่ผู้อื่นแล้ว เราคงไม่สามารถบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิได้โดยเร็วอย่างนี้ เพราะว่าภายใต้พระพุทธะเหล่านั้น แต่ปางก่อนเราได้น้อมรับ ได้ยึดถือ ได้อ่าน ได้สวด และได้สอนพระสูตรนี้แก่ผู้อื่น เราจึงสามารถบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิได้โดยเร็ว”
    “มหาสถามปราปต์ ในครั้งนั้นบริษัท ๔ อันมีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา เพราะความโกรธได้เกิดขึ้นในใจ พวกเขาจึงได้กระทำต่อเราด้วยการดูถูกเหยียดหยาม ทำให้ตลอดเวลาสองร้อยล้านกัปพวกเขาไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธะ ไม่ได้สดับพระธรรม หรือไม่ได้พบพระสงฆ์เลย พวกเขาได้รับทุกข์หนักอยู่ในนรกอเวจีเป็นเวลาหนึ่งพันกัป หลังจากพวกเขาได้ชดใช้บาปหมดสิ้นแล้ว พวกเขาได้มาพบกับพระสทาปริภูตโพธิสัตว์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาได้สอนอนุตตรสัมมาสัมโพธิให้แก่พวกเขา”
    “มหาสถามปราปต์ เธอคิดอย่างไร บริษัท ๔ ผู้ซึ่งในครั้งนั้นได้ดูถูกเหยียดหยามพระโพธิสัตว์นี้เป็นประจำ เธอรู้จักพวกเขาหรือไม่ ในเวลานี้พวกเขาอยู่ในที่ประชุมนี้ คือพระภัทรปาลโพธิสัตว์ กับพวกโพธิสัตว์ห้าร้อยของเขา นางภิกษุณีสีหจันทรากับพวกภิกษุณีห้าร้อยของเธอ และอุบาสกสุคตเจตนากับพวกอุบาสกห้าร้อยของเขา พวกเขาทั้งหมดได้เข้าถึงสภาวะแห่งการไม่ถอยกลับ จากการแสวงหาอนุตตรสัมมาสัม
    โพธิแล้ว!”
    “มหาสถามปราปต์ เธอควรจะเข้าใจว่า สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ให้ผลบุญกุศลอย่างมากมายแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ อันทำให้พวกเขาได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ เพราะเหตุนี้หลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายควรจะน้อมรับ ยึดถือ อ่าน สวด อธิบาย สอน และคัดลอกพระสูตรนี้ไว้เสมอ”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ในอดีตมีพระพุทธะพระองค์หนึ่ง
    พระนามว่า ภีษมครรชิตสวรราช
    ทรงมีอำนาจศักดิสิทธิ์และปัญญาอันไม่อาจวัดได้
    ทรงบอกทางและชี้แนะสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    เทวดาและมนุษย์ นาค ภูตผี
    ร่วมกันถวายเครื่องสักการะแด่พระองค์
    หลังจากพระพุทธะพระองค์นี้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    เมื่อพระธรรมของพระองค์กำลังจะสิ้นสูญ
    ได้มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง
    มีนามว่า สทาปริภูต
    บริษัท ๔ ในครั้งนั้น
    ได้พินิจพิเคราะห์และยึดมั่นอยู่กับพระธรรม
    พระสทาปริภูตโพธิสัตว์
    จะไปยังที่พวกเขาอยู่
    และพูดกับพวกเขาว่า
    “ข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะดูถูกพวกท่าน
    เพราะพวกท่านกำลังปฏิบัติมรรค
    และพวกท่านจะได้เป็นพระพุทธะกันทุกคน!"
    เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้
    พวกเขาได้เยาะเย้ย สาปแช่ง และด่าทอเขา
    แต่พระสทาปริภูตโพธิสัตว์
    รับสิ่งทั้งหมดนี้ไว้ด้วยความอดกลั้น
    เมื่อบาปของเขาถูกชำระไปหมดแล้ว
    และชีวิตของคนกำลังจะสิ้นสุดลง
    เขาสามารถได้สดับพระสูตรนี้
    และอินทรีย์ทั้งหกของเขาถูกทำให้บริสุทธิ์
    เพราะเหตุแห่งอภิญญาของเขา
    อายุขัยของเขาถูกยึดให้ยืนยาวออกไป
    และเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
    เขาได้สอนพระสูตรนี้อย่างกว้างขวาง
    คนจำนวนมากผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับพระธรรม
    ทั้งหมดได้รับการสอนและการเปลี่ยนแปลง
    จากพระโพธิสัตว์องค์นี้
    ทำให้คนเหล่านี้ได้หันเข้าอยู่ในพุทธมรรค
    เมื่อชีวิตของสทาปริภูตสิ้นสุดลง
    เขาได้พบพระพุทธะจำนวนนับไม่ถ้วน
    และเพราะว่าเขาได้สอนพระสูตรนี้
    เขาได้รับบุญกุศลมากมายอันไม่อาจวัดได้
    เขาได้รับบุญกุศลมาทีละน้อย ๆ
    และทำพุทธมรรคให้สำเร็จได้โดยเร็ว
    สทาปริภูตผู้มีชีวิตอยู่ในครั้งนั้น
    หาใช่ใครอื่นไม่ เขาคือตัวเราเอง
    และบริษัท ๔
    ผู้ซึ่งได้ยึดมั่นอยู่กับพระธรรมในครั้งนั้น
    อันเป็นผู้ที่ได้ยินสทาปริภูตกล่าวว่า
    “ท่านจะได้เป็นพระพุทธะ!”
    และโดยเหตุที่พวกเขาได้สร้างเอาไว้เช่นนั้น
    พวกเขาจึงได้พบพระพุทธะจำนวนนับไม่ถ้วน
    พวกเขาอยู่ที่นี่ในที่ประชุมนี้
    กลุ่มพระโพธิสัตว์ห้าร้อย
    และบริษัท ๔
    บุรุษและสตรีผู้มีความศรัทธาบริสุทธิ์
    ผู้ซึ่งเวลานี้อยู่ต่อหน้าเรา
    กำลังรับฟังพระธรรม
    ในชาติก่อนๆ
    เราได้ให้กำลังใจแก่คนเหล่านี้
    ให้ได้รับฟังและยอมรับพระสูตรนี้
    อันยอดเยี่ยมที่สุดในพระธรรม
    ทำการเปิดเผย ทำการสอนแก่ประชาชน
    และทำให้พวกเขาเข้าอาศัยอยู่ในนิพพาน
    ดังนั้น ในยุคแล้วยุคเล่าพวกเขาจึงได้น้อมรับและยึดถือ
    คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้
    เวลาหนึ่งล้านล้านหมื่นกัป
    อันสุดคาดคิดได้ผ่านไป
    ก่อนที่ในที่สุด เขาสามารถได้ฟัง
    สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้
    เวลาหนึ่งล้านล้านหมื่นกัป
    อันสุดคาดคิดได้ผ่านไป
    ก่อนที่พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย
    จะได้สอนพระสูตรนี้
    เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
    หลังจากพระพุทธเจ้าเข้าสู่ความดับแล้ว
    เมื่อพวกเขาสดับพระสูตรเช่นนี้
    ไม่ควรมีความสงสัยหรือมีความงุนงง
    แต่ควรจะด้วยใจเป็นหนึ่งเดียว
    ทำการสอนพระสูตรนี้ให้กว้างไกลไปทั่ว
    ยุคแล้วยุคเล่าจะได้พบพระพุทธะมากมาย
    และจะทำพุทธมรรคให้สำเร็จได้โดยเร็ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...