สัพเพเหระ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย phanbuaphet, 4 ธันวาคม 2011.

  1. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    การโทษกรรมให้เป็นคุณ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)<!-- google_ad_section_end -->

    [​IMG]
    การโทษกรรมที่มักจะโทษกันมาก
    มีทั้งคุณและมีทั้งโทษ



    ควรทำความเข้าใจให้ดี จะได้ไม่ทำการโทษกรรมให้เป็นโทษ แต่ถ้าการโทษกรรมให้เป็นคุณ พูดเช่นนี้อาจจะมีบางคนฟังแล้ว ไม่เข้าใจชัดนักว่าหมายความว่าอย่างไร จะอธิบายตามที่เข้าใจว่าถูก ไม่ผิด

    คือมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ต่างๆ กัน แม้อะไรที่เกิดขึ้นจะให้ความทุกข์แก่ชีวิต เมื่อรู้แล้วเห็นแล้ว ไม่ปรารถนาให้เกิดเช่นนั้น ไม่ปรารถนาให้เป็นไปเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจทำให้เป็นไปสมปรารถนาได้ ความทุกข์ หรือความเคราะห์ร้ายคงเกิดอยู่ ไม่หมดไป

    ตามความรู้สึกนึกคิดของผู้เผชิญเคราะห์กรรมนั้น
    ก็ย่อมยกให้เป็นเรื่องของกรรม
    ที่มุ่งให้หมายถึงกรรมไม่ดีว่า กำลังเข้าครอบครองชีวิตของเขา

    จึงเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวายต่างๆ นานาไม่รู้จบไม่รู้สิ้น
    ตรงนี้ที่สำคัญ ที่จะเกิดโทษหรือเกิดคุณก็ตรงนี้
    ตรงที่คิดโทษกรรมว่าเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนร้อยแปดประการ

    คิดให้ดี คิดให้เป็นปัญญา
    คิดให้เป็นคุณ ก็คือต้องคิดให้เด็ดขาดลงไปว่า
    กรรมที่กำลังเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรา
    ที่กำลังทำให้เดือดร้อนต่างๆ นานา
    จะต้องไม่สามารถทำให้เราต้องตกอยู่ใต้อำนาจของกรรมโดยเด็ดขาด

    กรรมจะทำให้เราเดือดร้อนไม่ได้
    เราจะไม่ยอมให้กรรมบัญชาให้เราคิด
    หรือให้เราพูด หรือให้เราทำ ไปตามอำนาจความกดดันบัญชาใช้ของกรรม
    อันจะนำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ชีวิตต่อไป

    ที่สำคัญคือแม้กรรมจะเป็นเหตุให้ต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนหนักหนาก็ตาม เราจะไม่ยอมแพ้ จะไม่ยอมเดือดร้อน จะรับกรรมที่เข้ามาสู่ชีวิตอย่างไม่ยอมเป็นทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่อะไรอื่น ความทุกข์อยู่ที่ใจ ความทุกข์อยู่ที่ความคิด ถ้าเราไม่ยอมแพ้กรรม ไม่ยอมคิดให้เป็นทุกข์ เราก็จะไม่ทุกข์แน่นอน เพราะความทุกข์อยู่ที่ความคิด พระพุทธศาสนารับรองไว้เช่นนี้ จะไม่เป็นอื่น.

    การโทษกรรมให้ถูกก็เป็นคุณ
    คือรู้ว่ากำลังเผชิญปัญหาเดือดร้อนรุนแรงร้อยแปด
    ก็รู้ทันกรรม คือรู้ว่ากรรมกำลังเข้ามาก่อความเดือดร้อนให้ชีวิตแล้ว
    จะไม่แพ้กรรมโดยเด็ดขาด คือจะไม่ยอมให้กรรมสั่งให้คิดจนเป็นทุกข์เดือดร้อนไปตามบัญชาของกรรม ไม่ยอมคิดให้เป็นทุกข์เสียอย่าง
    ต่อให้กรรมจะเข้ามาทำฤทธิ์ทำเดชกับเราเพียงไร ก็ไม่มีที่กรรมจะทำสำเร็จ กรรมจะทำให้เป็นทุกข์ไม่ได้ สำคัญที่เราต้องเก่งให้จริงในการสู้กับกรรม หัวเด็ดตีนขาดไม่ยอมแพ้กรรมคือจะไม่คิดให้เป็นทุกข์ ไม่คิดให้ทุกข์ใจก็จะไม่ทุกข์ ทุกข์ก็จะไม่เกิดแก่เราได้

    จะเหนื่อยยากลำบากตรากตรำต้องทำงานหนักเพียงไร เพราะความยากจนนักหนาก็ตาม เมื่อรู้ทันว่ากรรมกำลังเข้ามาครอบครองชีวิตเราแล้ว เราจะต้องชนะกรรม จะต้องไม่ยอมให้กรรมชนะเรา

    นั่นก็คือเหนื่อยยากลำบากกายก็ให้เหนื่อยให้ยากให้ลำบากไป ต้องไม่มีความทุกข์ใจในความเหนื่อยยากนั้น กรรมหรือจะชนะเราได้ ไม่มีทาง สำคัญที่สุดอยู่ที่ต้องระวังความคิดให้ดี อย่าคิดให้เป็นทุกข์อย่างยอมแพ้กรรม ต้องไม่คิดให้เป็นทุกข์กรรมจะชนะไม่ได้แน่นอน.


    : แสงส่องใจ อาสาฬหบูชา กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
  2. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]

    ผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้มีบุญสูงสุด (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)<!-- google_ad_section_end -->

    ผู้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง แต่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา คือปฏิบัติให้จริงตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเป็นผู้มีบุญสูงสุด

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐสุด ไม่มีที่เปรียบได้ เพราะพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะพาไปให้รู้จักพลังพิเศษ คือความคิดที่สามารถทำลายความทุกข์ได้ ตั้งแต่ทุกข์น้อย จนถึงทุกข์ทั้งปวง จนถึงเป็นผู้ไกลทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีเวลากลับมาให้เป็นทุกข์อีกเลย ตลอดไป

    ผู้มีพลังพิเศษพาหนีทุกข์ได้ พาดับทุกข์ได้ พาพ้นทุกข์ได้ คือผู้มีความคิดพิเศษ และความคิดพิเศษนี้เกิดได้จากความรู้จักปฏิบัติพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    พลังแห่งความคิดพิเศษ หรือความคิดพิเศษนั่นเอง ที่เป็นผู้ช่วยยิ่งใหญ่ พร้อมที่จะช่วยทุกคนที่รู้ค่าของความพิเศษ ที่ยอมรับยอมเชื่อ ว่าความคิดพิเศษนั้นมีอำนาจใหญ่ยิ่งจริง อาจพาให้พ้นทุกข์ได้จริง ทั้งทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่ จนถึงทุกข์สิ้นเชิง

    จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของตนเองนี้เป็นสัจจะ คือเป็นความจริงแท้ ไม่ว่าผู้ใดจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อก็ตาม ก็เป็นความจริง ผู้ใดจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของผู้นั้น

    ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาความไม่มีทุกข์ ทุกคนล้วนปรารถนาความไม่มีทุกข์ แต่ไม่ทุกคนที่ยอมรับความจริง ว่าการที่หนีความทุกข์ไม่พ้นนั้นเป็นเพราะคิดไม่เป็น ถ้าคิดให้เป็นจะไม่มีความทุกข์ใดใกล้กรายได้เลย เพราะความคิดนั้นแหละคือกำลังสำคัญที่สามารถทำไม่ให้ทุกข์เกิดได้

    ความคิดไม่เป็น หรือความคิดไม่ถูก ของตนเองเท่านั้น ที่ทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจตน ไม่มีการกระทำคำพูดของผู้ใดอื่นจะอาจทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจใคร ถ้าใครนั้นเป็นผู้รู้จักคิดให้เป็น รู้จักคิดให้ถูก ความคิดจึงสำคัญนัก ความคิดจึงมีพลังนัก มีอิทธิพลนัก ต่อชีวิตจิตใจผู้คนทั้งปวง ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ไม่เลือกสูงต่ำ ร่ำรวยหรือยากดีมีจนเพียงใดก็ตาม

    ผู้ปรารถนาความเบิกบานสำราญใจไม่เศร้าหมองร้อนรนด้วยความทุกข์ พึงเห็นความสำคัญของความคิดให้มาก เห็นให้จริงใจว่า ความคิดของใครก็ตามที่ถูกต้องเป็นธรรมจะนำไปสู่ความเบิกบานสบายใจแน่นอน สมดังที่ปรารถนาอยู่ทุกเวลานาที

    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    : แสงส่องใจ วัดบวรนิเวศวิหาร ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
  3. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
    ปัญญาของตน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)<!-- google_ad_section_end -->

    การเรียน การท่อง การจำ เป็นเพียงระดับหนึ่งของความสำคัญในการศึกษาพระพุทธศาสนา ปัญญายังไม่เกิดจากการเรียนและจำได้ท่องได้ สอนเขาต่อไปได้เท่านั้น

    อันความรู้ที่ได้จากการเรียนการท่องจำ รวมทั้งการพูดได้สอนได้เช่นนั้น
    ยังไม่ใช่ปัญญาของผู้เรียนรู้ท่องจำได้นั้น
    ยังเป็นเพียงการยกปัญญาของท่านผู้อื่นมาพูดมาสอนเท่านั้น

    แน่ๆ คือเป็นพระปัญญาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และอาจเป็นปัญญาของพระอริยบุคคลที่ได้ยินได้ฟังมาจากท่าน และจดจำไว้แสดงต่อเท่านั้น

    จะเป็นปัญญาของเราแต่ละคนก็ต้องหมายความว่า เราเรียนรู้จากการฟังการอ่านข้อเขียนของท่านผู้นั้นผู้นี้ จนเข้าถึงใจแม้พอสมควร นั่นจึงจะเป็นปัญญาของเราผู้เรียนรู้และปฏิบัติ จนเกิดความเข้าใจหรือความรู้ด้วยตนเอง

    เมื่อใดเป็นปัญญาของเรา เมื่อนั้นเราจึงจะได้ประโยชน์จากการเรียนธัมมะ
    จะพูดถึงส่วนที่เป็นปัญญาคือความรู้ของเราได้อย่างไม่ผิด
    ขอฝากให้เข้าใจเรื่องความรู้และปัญญาไว้ให้ดี
    ทำความเข้าใจให้ชัดเจนตั้งแต่บัดนี้
    จะได้ไม่รู้ธัมมะเพียงการท่องจำ ซึ่งเป็นประโยชน์น้อย
    เหมือนทำตัวเป็นหนังสือที่มีข้อเขียนสำหรับให้มีผู้เปิดอ่าน
    ให้ผู้อื่นฟังบ้างให้ตัวเองรู้เรื่องบ้างเท่านั้น
    เป็นประโยชน์สำหรับผู้ทำตัวเป็นเพียงหนังสือเท่านั้น

    จงทำปัญญาให้เกิดจะดีกว่า ปัญญานั้นเกิดแต่การเรียนรู้แล้วคิดทำความเข้าใจให้เป็นปัญญาของตน ไม่เป็นปัญญาของท่านผู้รู้จริงทั้งหลายเท่านั้นท่องจำให้เป็นหนังสือนั้นอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้มาอ่าน แต่เป็นประโยชน์แก่ตนเองน้อยมากและอาจเป็นโทษด้วยซ้ำไป

    แม้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่า
    ตนเป็นผู้รู้ธัมมะที่สำคัญที่มีรู้น้อยคน
    แล้วความทะนงใจ ยกตนข่มท่าน ข่มใครต่อใคร ก็จะตามมา
    ไม่มีคุณแก่ตนเอง ทั้งยังมีโทษอย่างมาก

    เรื่องนี้จึงสำคัญมาก ขอจงพยายามทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง
    เตือนตนเองไว้ให้สม่ำเสมอว่า
    ปัญญาเกิดแต่ต้องเรียนเป็นอันดับแรก
    แล้วจึงนำที่เรียนไว้นั้นไปคิดไตร่ตรองให้เกิดความเข้าใจชัดเจน
    ที่เรียกว่าเกิดเป็นปัญญานั่นเอง

    อย่างไรก็ตามขอให้พยายามคิดพูดทำอย่างมีสติ ทุกขณะจิตคิดพูดทำแต่ที่ดีงาม
    และจำไว้ให้มั่นด้วย ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทางภาษิตไว้ว่าดังนี้

    “ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย
    มันทำสมองของเขาให้เขว ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพวกนั้นเสีย”

    พูดง่ายๆ ก็คืออย่าเป็นคนพาล เพราะมีความรู้แล้วจะได้ไม่เป็นโทษร้ายแรง



    : แสงส่องใจ มาฆบูชา ๒๕๔๕
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก<!-- google_ad_section_end -->
     
  4. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]


    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1792297/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  5. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    วิธีฟื้นฟูผมแห้งเสีย

    นี่คือวิธีช่วยให้เส้นผมที่แห้งเสียจากแสงแดดดูสวยสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้น

    [​IMG]

    ทำความสะอาดเส้นผมอย่างล้ำลึก
    ด้วยการผสมน้ำสะอาดสามส่วนกับน้ำมะนาวคั้นสดหนึ่งส่วนแล้วฉีดลงบนเส้นผมที่เพิ่งสระเสร็จใหม่ๆปล่อยทิ้งไว้20นาทีกรดซิตริคจะช่วยความสะอาดและเติมความสว่างไสวให้กับสีไฮไลต์ของคุณแต่ห้ามใช้วิธีนี้เกินเดือนละสองครั้งเพราะอาจทำให้เส้นผมแห้งได้


    หลังจากล้างน้ำจนสะอาดแล้ว
    ก็ชโลมคอนดิชันเนอร์ชนิดล้ำลึกลงไปเพื่อเติมความชุ่มชื้นและเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นผมปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา10นาทีแล้วล้างน้ำออก


    ถ้าคุณมีเส้นผมที่แห้งเสียมากๆก็ไม่ควรสระผมบ่อย
    เพราะจะทำให้สูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติบนหนังศีรษะไปถ้าจะสระก็สระเฉพาะบริเวณโคนผมก็พอและควรใช้คอนดิชันเนอร์ในบริเวณปลายผมเป็นประจำทุกวันเพื่อช่วยให้เส้นผมแห้งๆฟื้นตัว
    ได้เร็วขึ้น


    ข้อมูลจาก sanook.com
     
  6. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]


    ท้องผูกทำให้เป็นมะเร็งได้ไหม แล้วจะแก้ไขอาการได้อย่างไร


    เป็นไปได้จริงครับ มะเร็งในลำไส้ใหญ่มักสัมพันธ์กับภาวะท้องผูก คือคนที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เรื้อรังนานๆ ก็อาจจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อมีอายุมากขึ้นได้ (เนื่องจากมีความเชื่อที่ว่าสารเคมี และสารพิษถูกขับออกมาทางอุจจาระสัมผัสอยู่กับเซลล์ของมะเร็งลำไส้ใหญ่นานเกินไป เพราะอุจจาระคั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นานนั่นเอง) หากมีอาการท้องผูกบ่อยๆ เรื้อรังแนะนำให้ล้างพิษในร่างกายเพื่อขจัดสารเคมี และมลพิษที่ตกค้างอยู่ตามเซลล์ต่างๆ ของร่างกายด้วยการดีท็อกซ์เสียก่อน จากนั้นหันกลับมาใส่กับเรื่องของการรับประทานให้มากขึ้นการกินอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากๆ ได้แก่ ผัก ผลไม้ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาท้องผูกแล้ว ยังมีผลดีต่อการลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยควบคุมโรคเบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูงด้วย กรณีที่ไม่สามารถกินได้ก็ควรเสริมด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภทเส้นใยอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ฝึกการขับถ่ายให้เป็นนิสัย

    นพ. มาศ ไม้ประเสริฐ : แพทย์ที่ปรึกษาด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ


    ข้อมูลจาก ผู้ญิ๋งนะคะ
    <!-- google_ad_section_end --><!-- / message -->
     
  7. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    4 ท่าออกกำลังกาย สลายความเครียด

    [​IMG]


    ด้วยสภาวะบ้านเมืองที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นักในเรื่องของสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังกระหน่ำซัด กทม. และพื้นที่โดยรอบอยู่ในขณะนี้ อาจทำให้สาวๆ หลายคนเกิดความเครียด ความกังวล ชนิดที่หาทางออกกันไม่ค่อยจะเจอเลยจริงไหมคะ ผู้หญิงเราปกติ เครียดนิดหน่อย ออกไปช็อปปิ้ง หาอะไรอร่อยๆ ทานซักนิดเดี๋ยวก็หาย แต่เวลานี้จะออกจากบ้านก็ห่วงบ้าน กังวลว่าน้ำจะมาไหมหนอ แล้วถ้ามาจะกลับบ้านได้ไหมเนี่ย อะไรประมาณนี้ จึงไม่ค่อยจะออกจากบ้านกันเท่าไหร่ ความเครียดก็เริ่มสะสม ยิ่งลุ้นหนักว่าน้ำจะมาไม่มา ยิ่งพาให้เครียดไปกันใหญ่จนอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาก็ได้ ดังนั้นถ้าคุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ไหนๆ ก็อยู่บ้านเฉยๆ แล้วเลิกคิดซักพัก! ปล่อยวางแล้วมาออกกำลังกายสลายความเครียดไปพร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ

    [​IMG]

    ผ่อนคลายกล้ามเนื้อมือ

    บางครั้งความสภาวะความเครียด ความกดดัน ฯลฯ พอหนักๆ เข้า อาจทำให้เกิดอาการเกร็งชาในส่วนของมือและข้อมือขึ้นมาได้และอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอื่นๆ ในระยะแรกๆ เลยนะคะ มาแก้ไขอาการนี้ หรือป้องกันก่อนที่จะเกิดกันก่อนดีกว่า ท่านี้เริ่มต้นที่การทำมือในลักษณะจีบคว่ำ ทั้ง 5 นิ้ว จินตนาการว่ากำลังจุ้มนิ้วที่จีบลงไปในน้ำ จากนั้นให้ดีดนิ้วมือออกในลักษณะที่เหมือนกับกำลังพรมน้ำ โดยเหยียดนิ้วทั้ง 5 ออกให้สุดนะคะ ทำแบบนี้ซัก 10 ครั้ง จากนั้นเปลี่ยนมากำมือให้แน่นๆ ให้เหยียดออกให้สุดเหมือนกันอีก 10 ครั้ง ท่านี้ตจะช่วยลดการชาที่ปลายนิ้วเรื่อยไปจนถึงข้อมือได้ค่ะ



    [​IMG]

    ยืดคอ ยืดแขน ยืดขา
    เป็นการออกกำลังที่กายด้วยท่าที่เบสิกมากๆ เลยค่ะ แต่ท่าพวกนี้แหละที่สามารถช่วยผ่อนคลาย ยืดเส้นยืดสายได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เรากำลังเฝ้าระวังอยู่ที่บ้านหรือติดอยู่กับพี่น้ำในบ้านแล้วก็ตาม อย่าเอาแต่นั่นเครียดค่ะ ลุกขึ้นยืนจากนั้นค่อยๆ ยืดคอขึ้นมาหมุนตามเข็มนาฬิกาซัก 5 -10 รอบ และทวนเข็มนาฬิกาอีกครั้งในจำนวนเท่าเดิม จากนั้นมาต่อที่ส่วนแขนและขากันบ้าง เริ่มต้นที่การนำมือซ้ายและขวามาผสานกันแล้วยืดตัวขึ้นพร้อมๆ กับเขย่งขาและยืดแขนขึ้นเหนือศีรษะในลักษณะที่คล้ายกับการบิดขี้เกียจนั่นแหละค่ะค้างไว้ 5 -10 วินาทีก็พอแล้ว



    [​IMG]


    หายใจลึกๆ
    การหายใจเข้าออกลึกๆ หลายครั้งในรูปแบบที่เรียกว่าหายใจโยคะ วิธีนี้เป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดที่คลาสสิกที่สุดเลยค่ะ แถมยังได้ผลที่ดีต่อร่างกายมากๆ อีกด้วย เริ่มต้นด้วยการหาสถานที่ที่เงียบ สงบ รวมความรู้สึกและสมาธิทั้งหมดไปไว้ที่ปอด สร้างมโนภาพให้เหมือนกับลุกโป่งที่ยุบพองตามจังหวะการหายใจของเราเอง จากนั้นก็ค่อยๆ หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ซักประมาณ 10 นาทีก็พอค่ะ หลังจากนั้นความเครียดสะสมที่อาจจะนำไปสู่อาการปวดหัว ปวดคอ ปวดท้อง ปวด
    หลัง ฯลฯ ก็จะค่อยๆ ทุเลาไปเอง



    [​IMG]


    เล่นฮูลาฮูป
    สุดท้ายท้ายสุด ขอใช้อุปกรณ์ช่วยเล็กน้อยค่ะ นั่นคือการออกกำลังกายโดยใช้ห่วงพลาสติกที่เรียกว่า ฮูลาฮูป ที่ได้รับความนิยมมาได้พักใหญ่แล้วเหมือนกันส่วนมากสาวๆ จะนิยมเล่นเพื่อลดความอ้วนกันใช่ไหมค่ะ แต่รู้ไหมค่ะว่าการเล่นฮูลาฮูปก็เป็นการออกกำลังกายที่สามารถทำได้คนเดียวและช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย วิธีการเล่นก็ง่ายๆ ค่ะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว หยิบเจ้าห่วงพลาสติกนี้มาใส่เอวแล้วก็หมุนๆ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ให้ได้ระยะเวลาซักรอบละ 3- 5 นาทีก็พอค่ะ

    หวังว่าวิธีการออกกำลังกายภายใต้สภาวะความเครียดที่แนะนำไปจะสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆ ทุกคนในช่วงเวลานี้ได้นะคะ ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตกันได้อย่างปลอดภัย ไร้ความทุกข์ หรือถ้าทุกข์ก็ให้ผ่านพ้นไปได้เร็วๆ ละกันค่ะ



    ข้อมูลจาก sanook woman
     
  8. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อยากผอมต้องกินให้เป็น

    หลายคนคงเคยประสบปัญหา ลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลงสักที ถึงกินน้อยก็ยังอ้วน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
    หากจะลดให้ได้ผล สิ่งสำคัญคือ ควรจะกินให้ครบสามมื้อ กินให้ตรงเวลา และกินในปริมาณที่แน่นอน งดอาหารว่างเด็ดขาด ให้ดื่มน้ำหรือชาไม่ผสมน้ำตาลให้มาก ๆให้ร่างกายมีเวลาสลายไขมัน และหากเรารู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เราอ้วนได้นั้น ก็จะยิ่งทำให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างถูกวิธี สาเหตุที่ว่านี้คือ สภาพสภาวะร่างกายของเรา ซึ่งในคนแต่ละคนจะมีสภาพร่างกายที่มีลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งมีดังนี้คือ

    1.ลักษณะที่เรียกว่าเสมหะชื้น

    อาการ

    มักมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร อยากอาเจียน รู้สึกอิ่ม แม้ไม่ได้กินอะไร รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในลำคอ มักเวียนหัว ปวดหัว มือเท้าอ่อนเปลี้ย ไม่มีแรง ท้องอืดแน่น อ้วนง่าย

    อาหารที่คนกลุ่มนี้ควรกิน

    น้ำขิงสด ไม่เติมน้ำตาล ไม่ควรกินน้ำผลไม้ น้ำอัดลม น้ำหวาน เบียร์ นม ซึ่งจะทำให้ร่างกายเย็น ทำให้ตัวบวมได้

    การออกกำลังกาย

    ใช้ถุงร้อนวางที่หน้าท้อง เพื่อเป็นการรักษาอุณหภูมิหน้าท้องให้อุ่นเสมอ จะช่วยขับเสมหะ นวดและตบท้องเบา ๆ เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่อวัยะภายใน


    2.ลักษณะที่เรียกว่าชื้นร้อน

    อาการ

    ลำตัวส่วนบนบริเวณอก หลัง และลำคอมีไขมันค่อนข้างหนา มักรู้สึกแน่นหน้าอก ใบหน้าแดงก่ำ ความร้อนสะสมที่ม้าม กระเพาะ อาหารที่กินเข้าไปจะถูกย่อยอย่างรวดเร็ว รู้สึกหิวง่ายและกินบ่อย ส่วนใหญ่มักเป็นเบาหวาน และท้องผูกง่าย

    อาหารที่คนกลุ่มนี้ควรกิน

    ควรกินผักที่มีรสค่อนข้างขม จะช่วยลดความอยากอาหาร รวมทั้งขึ้นฉ่าย ถั่วงอกเห็น ข้าวสาลี หากรู้สึกหิว ควรดื่มน้ำอุ่นแทนอาหารว่าง

    การออกกำลังกาย

    หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแดด ควรเป็นเช้าหรือเย็น การออกกำลังกายด้วยวิธีการว่ายน้ำจะดีที่สุดสำหรับคนกลุ่มนี้


    3.ลักษณะที่เรียกว่าชื้นพร่อง

    อาการ

    เป็นคนลำตัวใหญ่ มีเนื้อมาก เคลื่อนไหวช้า ผิวหนังหย่อนยาน ใบหน้าบวม ผิวหนังบนใบหน้าไม่มีความยืดหยุ่น หัวใจเต้นเบา ความดันต่ำ ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี

    อาหารที่คนกลุ่มนี้ควรกิน

    ควรเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงเลือดลม เช่น เครื่องดื่มน้ำโสม ชาแดง อาหารพวก
    ไก่ตุ๋นโสม หวงฉี

    การออกกำลังกาย

    ควรออกกำลังโดยเน้นช่วงเอว คอ หรือใช้วิธีการนวดก็ยิ่งดี จะเป็นการกระตุ้นต่อมหมวกไตและต่อมไทรอยด์ ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ หรือเดินเพื่อให้กล้ามเนื้อมีแรง


    4.ลักษณะที่เรียกว่าชื้นเย็น

    อาการ

    ท้องเย็น ปวดขา เข่า เป็นประจำ ร่างกายส่วนล่าง ตามต้นขาสะโพกมีเนื้อมาก มือเท้าเย็นจนเขียว มักมีเหงื่อเย็น ชั้นไขมันตามตัวค่อนข้างหนา
    อาหารที่คนกลุ่มนี้ควรกิน
    เครื่องดื่มประเภทน้ำโสมคน ชาแดง น้ำขิงสดไม่เติมน้ำตาล อาหารที่กินควรเติมพริก หอมใหญ่ กระเทียม ลงไป เพื่อเป็นการปรับสภาพการทำงานของต่อมหมวกไต

    การออกกำลังกาย

    ควรบริหารร่างกายกลางแดด อาบแดด ออกกำลังกายกลางแจ้ง ไม่ควรว่ายน้ำเย็นจัด


    ข้อมูลจาก sanook woman
     
  9. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  10. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  11. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ขจัดความเครียด…อาหารช่วยได้

    กรมสุขภาพจิตให้ความหมายว่า ความเครียด เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ กลัว วิตกกังวล ตลอดจนถูกบีบคั้น เกิดจากการที่บุคคลรับรู้ หรือประเมินสิ่งที่เข้ามาในประสบการณ์ของตนว่าเป็นสิ่งที่คุกคามจิตใจ หรือก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย อันเป็นผลให้สภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจเสียไป ซึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองหลายอย่าง เป็นต้นว่า การใช้กลไกป้องกันตัวเอง การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระ ด้านพฤติกรรม ด้านความนึกคิด และด้านอารมณ์ความรู้สึก โดยผลจากความเครียดอาจจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตที่แย่ลง

    สัญญาณเตือนเมื่อเกิดความเครียด ทางด้านจิตใจ ได้แก่ ความกังวลใจ ความกดดัน ขาดความอดทน อารมณ์แปรปรวนง่าย สับสน ไม่มั่นใจในตัวเองและบุคคลรอบข้าง ขาดความสุข

    ด้านร่างกาย ได้แก่ มีอาการปวดหัว ไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ รู้สึกเมื่อยล้าทั้งที่ยังไม่ได้ใช้แรงร่างกาย มือสั่น ระบบทางเดินอาหารผิดปกติท้องเสียหรือท้องผูก อาหารไม่ย่อย ท้องอืด จุก เสียด แน่นท้อง ความดันโลหิตสูงขึ้น หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ทางด้านพฤติกรรม อาจมีการบริโภคอาหารมากเกินกว่าปกติ ในบางคนก็ไม่อยากบริโภคอาหาร หาบางสิ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวมากเป็นพิเศษเช่นติดสุรา ติดสารเสพติด นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมชอบโทษตนเอง อารมณ์เสียกับบุคคลรอบข้าง หงุดหงิดโมโหง่ายมีอารมณ์รุนแรง เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีความเครียดเกิดขึ้นแล้ว การที่เราปล่อยให้ความเครียดเกิดขึ้นบ่อยๆจนกลายเป็นความเครียดเรื้อรังนั้นจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตามมา
    ความเครียดจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง ประสิทธิภาพการทำงานเปลี่ยนไป ติดเชื้อได้ง่าย และโรคเรื้อรังตามมา เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคกระดูกและไขข้อ โรคสมองเสื่อมรวมถึงส่งผลต่อการนอนหลับ นอนหลับไม่สนิททำให้รู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรง ไม่ใช่เพียงโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น ความเครียดนั้นอาจก่อให้ปัญหาในด้านอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุจากการขาดสมาธิ ปัญหาการใช้สมองในการตัดสินใจ และการกระทำอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องขจัดความเครียดก่อนที่ความเครียดจะทำร้ายเรา ซึ่งอาหารก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยได้


    อาหารที่ช่วยขจัดความเครียด



    [​IMG]

    ผัก ผลไม้สด อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่ช่วยในกระบวนการลดความเครียด ได้แก่ กลุ่มวิตามินบีที่ช่วยบำรุงประสาท สมอง และทำให้ระบบประสาทผ่อนคลาย แมกนีเซียม จากการศึกษาและวิจัยพบว่าผู้ที่มีปัญหาความเครียด ส่วนใหญ่แล้วเมื่อตรวจเลือดจะพบว่ามีค่าของแมกนีเซียมในเลือดน้อยกว่าในกลุ่มผู้ที่ไม่มีความเครียด สังกะสีเมื่อร่างกายมีความเครียด ระดับสังกะสีในเลือดจะต่ำลง ทำให้เกิดการติดเชื้อ แผลหายช้า ร่างกายอ่อนแอ สารต้านอนุมูลอิสระในผัก ผลไม้ จะช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยจากความเครียด และช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายหลังจากผ่านความเครียดไปแล้ว อาหารที่มีใยอาหารสูงช่วยลดการบริโภคอาหารที่มากเกินไปเมื่อมีภาวะเครียด ทำให้รู้สึกอิ่ม และช่วยทำให้ระบบขับถ่ายกำจัดของเสียออกนอกร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    [​IMG]

    อาหารจำพวก หัวเผือก หัวมัน มันฝรั่ง มันเทศ ฟักทอง ข้าวซ้อมมือ ข้าวตอก ข้าวเม่า ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง ลูกเดือย เหล่านี้จัดเป็นอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งมีส่วนช่วยให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทชื่อเซโรโทนิน สารนี้ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ ลดความวิตกกังวล ลดความโกรธและลดความซึมเศร้า นอกจากนี้ยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ผลจากการที่น้ำตาลในเลือดไม่คงที่ ทำให้หงุดหงิดง่าย อยากอาหารรสหวาน อ่อนเพลีย อาหารที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวพวกน้ำตาลและน้ำหวานช่วยลดความเครียด ด้วยก็จริงแต่อยู่ได้ไม่นานน้ำตาลในเลือดก็จะลดลงเร็วทำให้อารมณ์แปรปรวนได้ง่าย นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนมักติดน้ำหวานเพราะหลังดื่มเข้าไปจะสดชื่นและรู้สึก อารมณ์ดีซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว



    [​IMG]


    สมุนไพร ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม ขมิ้น ใบบัวบก ช่วยลดความตึงเครียด ผ่อนคลายระบบประสาท ช่วยย่อยอาหาร ลดความดันโลหิต ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการปวดกล้ามเนื้อและไขข้อเมื่อมีภาวะเครียด


    ข้อมูลจาก sanook woman<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->


     
  12. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  13. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อาหารไทย ภูมิปัญญาไทย

    [​IMG]

    อาหารไทย ถือว่าเป็นอาหารที่มีพืชสมุนไพรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งหมายถึงพืชผักต่างๆ รวมทั้งเครื่องปรุง เครื่องเทศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของอาหารไทย การใช้เครื่องเทศนอกจากใช้ในการแต่งกลิ่น รส และเพิ่มสีสันของอาหารแล้ว ยังใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นเครื่องเทศที่ใช้ในอาหารไทยส่วนใหญ่ ยังมีสรรพคุณในทางยาที่ทำให้ถือว่าอาหารไทยนั้นเป็นอาหารที่เหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพ

    เสน่ห์อาหารไทยนอกจากรสชาติกลมกล่อมลงตัว ประกอบไปวัตถุดิบในการปรุงที่ทรงอานุภาพเรื่องสุขภาพ และความอร่อยถูกลิ้นไม่ว่าใครได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะ พริก กระชาย ขิง ข่า ใบโหระพาใบกะเพรา ตะไคร้ ใบมะกรูด ฯลฯ เรียกว่าขนสมุนไพรมาปรุงอาหารกันจนได้เป็นหลากหลายเมนูอร่อยเลื่องชื่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  14. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ชนิดของอาหารไทย
    อาหารไทยแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ อาหารคาว และอาหารหวาน นอกจากนี้ยังมีอาหารว่าง ซึ่งเป็นอาหารคาวก็ได้ หรืออาหารหวานก็ได้ ไว้รับประทานระหว่างแต่ละมื้อ

    อาหารคาว
    อาหารคาวของไทยประกอบด้วยรสทุกรส ทั้งเค็ม หวาน เปรี้ยว และมีรสเผ็ดอีกรสหนึ่ง ตามปกติอาหารคาวที่รับประทานตามบ้านทั่วๆ ไป จะประกอบด้วย
    1.แกง แกงของไทยมีหลายชนิด ได้แก่ แกงเผ็ด แกงคั่ว แกงส้ม แกงจืด ต้มยำ ต้มโคล้ง ต้มส้ม ซึ่งจะใส่เนื้อสัตว์และผักต่างๆ ตามลักษณะของแกงแต่ละชนิด
    2.ผัด แยกได้เป็น ๒ อย่างคือ ผัดจืด และผัดเผ็ด ผัดจะใช้ผักและเนื้อทุกชนิด ปรุงรสด้วยน้ำปลา หรือซีอิ๊วขาว ส่วนผัดเผ็ด ใช้เนื้อทุกชนิดผัดกับพริกสด หรือพริกแห้ง ซึ่งอาจจะนำเครื่องแกงมาผัดแห้ง เช่น พะแนงไก่ ปลาดุก ผัดเผ็ด เป็นต้น
    3.ยำ เทียบได้กับสลัดผักของอาหารฝรั่ง รสของยำจะเหมาะกับลิ้นของคนไทยคือ มีรสจัด ยำแบบไทยแยกได้เป็น ๒ รส คือ รสหวาน และรสเปรี้ยว ยำที่มีรสหวานประกอบด้วย กะทิ มะพร้าวคั่ว เช่น ยำถั่วพู ยำทวาย ยำหัวปลี ส่วนยำที่มีรสเปรี้ยวได้แก่ ยำใหญ่ และยำที่ใช้เนื้อประกอบผัก
    4.ทอด เผา หรือย่าง สำหรับเนื้อสัตว์จะปรุงรส และดับกลิ่นคาว ด้วยรากผักชี กระเทียม พริกไทย และเกลือ เช่น กุ้งทอด หมูทอด ปลาทอด หรือจะเผาหรือย่าง เช่น กุ้งเผา ไก่ย่าง เป็นต้น
    5.เครื่องจิ้ม เป็นอาหารที่คนไทยชอบรับประทานมาก ได้แก่ น้ำพริกกะปิ น้ำพริกมะม่วง กะปิคั่ว แสร้งว่า ปลาร้าหลน เต้าเจี้ยวหลน และน้ำปลาหวาน เป็นต้น เครื่องจิ้มนี้ จะรับประทานกับผัก ทั้งผักสด และผักสุก ผักสด ได้แก่ มะเขือ แตงกวา ผักบุ้ง ขมิ้นขาว ผักสุก ได้แก่ หน่อไม้ลวก มะเขือยาวเผาหรือชุบไข่ทอด ชะอมทอด ถ้าต้องการให้อร่อยมากขึ้น ก็จะรับประทานกับปลาทอด กุ้งเผา หรือกุ้งต้ม ตัวอย่างเช่น น้ำพริกและผัก รับประทานกับปลาทูทอด หรือกุ้งต้ม หลนกับปลาช่อนทอดและผัก น้ำปลาหวานยอดสะเดากับกุ้งเผาหรือปลาดุกย่าง เป็นต้น
    6.เครื่องเคียง อาหารไทยจะมีเครื่องเคียง หรือเครื่องแนมประกอบ เพื่อชูรสชาติยิ่งขึ้น เช่น แกงเผ็ด จะมีของเค็มเครื่องเคียง ได้แก่ ไข่เค็ม ปลาเค็ม หรือเนื้อเค็ม อาหารบางชนิดจะรับประทานกับผักดอง เช่น แตงกวาดอง ขิงดอง กระเทียมดอง เป็นต้น ผู้ปรุง หรือแม่ครัวจะต้องเลือกจัดให้เข้ากันตามลักษณะของอาหาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  15. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อาหารหวาน

    อาหารหวานของไทยมีทั้งชนิดน้ำและแห้ง ส่วนมากปรุงด้วยกะทิ น้ำตาล และแป้งเป็นหลัก เช่น กล้วยบวชชี ขนมเปียกปูน ขนมใส่ไส้ (สอดไส้) ขนมเหนียว เป็นต้น ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชาวยุโรปได้ถ่ายทอดการทำขนมด้วยไข่ให้แก่คนไทยหลายอย่าง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา และขนมหม้อแกง
    เมืองไทยมีผลไม้มากมายหลายชนิด จึงต้องหาวิธีเก็บรักษาผลไม้เหล่านั้นไว้รับประทานนานๆ คนไทยมีวิธีถนอมอาหารหลายวิธี ได้แก่ วิธีดอง เช่น มะม่วงดอง มะยมดอง วิธีกวน เช่น กล้วยกวน ทุเรียนกวน สับปะรดกวน วิธีตาก เช่น กล้วยตาก วิธีเชื่อม เช่น กล้วยเชื่อม สาเก เชื่อม วิธีแช่อิ่ม เช่น มะดันแช่อิ่ม ฟักแช่อิ่ม เป็นต้น
    ขนมหวานชนิดแห้ง รับประทานได้ทุกเวลา ส่วนมากจะเป็นขนมอบ เพื่อเก็บใส่ขวดโหลไว้ได้นาน เช่น ขนมกลีบลำดวน ขนมโสมนัส ขนมหน้านวล ขนมทองม้วน และขนมผิง เป็นต้น


    [​IMG]

    อาหารว่าง

    ระหว่างอาหารแต่ละมื้อ ยังมีอาหารที่รับประทานเล่น เรียกว่า อาหารว่าง อาจเป็นอาหารคาวที่รับประทานกับน้ำชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ในตอนบ่าย ได้แก่ สาคูไส้หมู ปั้นสิบนึ่ง-ทอด ข้าวเกรียบปากหม้อ ข้าวตังเมี่ยงลาว ข้าวตังหน้าตั้ง ขนมปังหน้าหมู หรืออาจเป็นขนมหวาน เช่น ขนมใส่ไส้ ขนมเบื้อง ข้าวเม่าทอด กล้วยทอด หรือที่เรียกกันว่า กล้วยแขก เป็นขนมที่รับประทานเล่นในยามหิว หรือระหว่างสนทนากับเพื่อนฝูง

    อาหารไทย ถือว่าเป็นอาหารที่มีพืชสมุนไพรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งหมายถึงพืชผักต่างๆ รวมทั้งเครื่องปรุง เครื่องเทศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของอาหารไทย การใช้เครื่องเทศนอกจากใช้ในการแต่งกลิ่น รส และเพิ่มสีสันของอาหารแล้ว ยังใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นเครื่องเทศที่ใช้ในอาหารไทยส่วนใหญ่ ยังมีสรรพคุณในทางยาที่ทำให้ถือว่าอาหารไทยนั้นเป็นอาหารที่เหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  16. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    วิธีปรุงอาหารไทย
    อาหารไทยปรุงได้หลายวิธี แต่ละวิธีของการปรุงให้รสชาติ และลักษณะแตกต่างกัน ได้แก่
    1.การตำ หมายถึง การนำอาหารอย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายๆ อย่างมารวมกัน แล้วตำเข้าด้วยกัน บางอย่างอาจตำ เพื่อนำไปประกอบอาหาร และบางอย่างตำเป็นอาหาร เช่น ปลาป่น กุ้งป่น น้ำพริกสด น้ำพริกแห้ง น้ำพริกเผา พริกกับเกลือ ส้มตำ

    2.การยำ หมายถึง การนำผักต่างๆ เนื้อสัตว์ และน้ำปรุงรส มาเคล้าเข้าด้วยกันเบาๆ จนให้รสซึมซาบเสมอกัน ยำของไทยมีรส หลักอยู่ ๓ รส คือ เปรี้ยว เค็ม หวาน สำหรับน้ำปรุงรสจะราดก่อนเวลารับประทานเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้ยำมีรสชาติดี ตัวอย่างอาหารประเภทยำคือ ยำผัก เช่น ยำผักกระเฉด ยำถั่วพู ยำ เกสรชมพู่ ฯลฯ ยำเนื้อสัตว์ เช่น ยำเนื้อย่าง ยำไส้กรอก ยำหมูยอ ฯลฯ
    อาหารประเภทพล่า ลาบ น้ำตก จัดอยู่ในอาหารประเภทยำเช่นกัน เพราะมีกรรมวิธี และรสชาติคล้ายกัน เช่น พล่ากุ้ง ลาบหมู ลาบเนื้อ ลาบเป็ด และเนื้อน้ำตก เป็นต้น

    3.การแกง หมายถึง อาหารน้ำ ซึ่งใช้เครื่องปรุงโขลกละเอียด นำมาละลายกับน้ำหรือน้ำกะทิให้เป็นน้ำแกง มีเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งผสมกับผักด้วย ตัวอย่างเช่น 1.แกงรสเผ็ดใส่กะทิที่มี ๒ รสคือ เค็ม และหวาน เช่น แกงเผ็ดไก่ แกงเขียวหวานเนื้อ
    2.แกงรสเผ็ดใส่กะทิที่มี ๓ รสคือ เปรี้ยว เค็ม หวาน เช่น แกงหมูเทโพ ฯลฯ
    3.แกงรสเผ็ดไม่ใส่กะทิที่มี ๒ รสคือ เค็มและหวาน เช่น แกงป่าเนื้อ แกงป่าไก่ แกงป่าปลา แกงรสเผ็ดไม่ใส่กะทิที่มี ๓ รสคือ เปรี้ยว เค็ม หวาน เช่น แกงส้มผักบุ้ง แกงส้มผักกะเฉด แกงส้มผักรวม ฯลฯ
    4.แกงรสไม่เผ็ดไม่ใส่กะทิ เช่น ต้มกะทิสายบัว ต้มข่าไก่ แกงเลียง ฯลฯ
    5.แกงรสไม่เผ็ดไม่ใส่กะทิ เช่น ต้มส้ม ต้ม โคล้ง ฯลฯ

    4.การหลน หมายถึง การทำอาหารให้สุก ด้วยการใช้กะทิข้นๆ มี ๓ รส เปรี้ยว เค็ม หวาน ลักษณะน้ำน้อย ข้น รับประทานกับผักสด เพราะเป็นอาหารประเภทเครื่องจิ้ม ตัวอย่างอาหาร เช่น หลนเต้าเจี้ยว หลนปลาร้า หลนเต้าหู้ยี้ ฯลฯ

    5.การปิ้ง หมายถึง การทำอาหารให้สุก โดยวางของสิ่งนั้นไว้เหนือไฟไม่สู้แรงนัก การปิ้งต้องปิ้งให้ผิวสุกเกรียมหรือกรอบ เช่น การปิ้งข้าวตัง การปิ้งกล้วย การปิ้งขนมหม้อแกง (ตามแบบสมัยโบราณปิ้งด้วยเตาถ่าน มิได้ใช้เตาอบเหมือนปัจจุบัน)

    6.การย่าง หมายถึง การทำอาหารให้สุก โดยวางอาหารไว้เหนือไฟอ่อนๆ หมั่นกลับไปกลับมา จนข้างในสุก และข้างนอกอ่อนนุ่ม หรือแห้งกรอบ ต้องใช้เวลานานพอสมควร จึงจะได้อาหาร ที่มีลักษณะรสชาติดี เช่น การย่างปลา ย่างเนื้อสัตว์ต่างๆ

    7.การต้ม หมายถึง การนำอาหารที่ต้องการต้มใส่หม้อพร้อมกับน้ำ ตั้งไฟให้เดือดจนกว่าจะสุก ใช้เวลาตามชนิดของอาหารนั้นๆ เช่น การต้มไข่ ต้มผัก ต้มเนื้อสัตว์ ฯลฯ

    8.การกวน หมายถึง การนำอาหารที่มีลักษณะเป็นของเหลวมารวมกัน ตั้งไฟแรงปานกลาง ใช้เครื่องมือชนิดใดชนิดหนึ่งคนให้เร็วและแรงจนทั่วกัน คือ ข้นและเหนียว ใช้มือแตะอาหารไม่ติดมือ เช่น การกวนกาละแม ขนมเปียกปูน ตะโก้ ถั่วกวน ฯลฯ

    9.จี่ หมายถึง การทำอาหารให้สุกด้วยน้ำมัน โดยการทาน้ำมันน้อยๆ พอให้ทั่วกระทะแล้วตักอาหารใส่ กลับไปกลับมาจนสุกตามต้องการ เช่น การทำขนมแป้งจี่ ขนมบ้าบิ่น เป็นต้น

    10.หลาม หมายถึง การทำอาหารให้สุกในกระบอกไม้ไผ่ โดยใช้ไม้ไผ่สดๆ ตัดให้มีข้อติดอยู่ข้างหนึ่ง แล้วบรรจุอาหารที่ต้องการหลามในกระบอกไม้ไผ่นั้น ก่อนหลามต้องใช้กาบมะพร้าวห่อใบตองอุดปากกระบอกเสียก่อน แล้วนำไปเผาจนสุก เช่น การหลามข้าวหลาม ฯลฯ

    นอกจากนี้ คนไทยปัจจุบันนิยมการทำอาหารให้สุกด้วยวิธีที่รับหรือนำมาจากชนต่างชาติ เช่น ชนชาติจีน และยุโรป คนไทยทำจนคิดไปว่า การปรุงอาหารที่ทำอยู่นั้นเป็นคนไทยเราเอง

    วิธีปรุงอาหารที่นำมาจากชนชาติจีน คือ

    1.การนึ่ง หมายถึง การทำอาหารให้สุกด้วยไอน้ำ โดยนำอาหารใส่ลงในลังถึง ตั้งน้ำให้เดือด ใช้ฝาปิดไม่ให้ไอน้ำออกได้ เช่น ปลานึ่งเกี้ยมบ๊วย ปลาแป๊ะซะ ฯลฯ

    2.การผัด หมายถึง การทำอาหารสิ่งเดียว หรือหลายสิ่ง ซึ่งต้องการให้สุกสำเร็จเป็นอาหารสิ่งเดียว ให้รสอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยการใช้น้ำมันใส่ลงในกระทะ พอร้อน ใส่ของที่ต้องการให้สุกลงไป คนให้สุก และปรุงรสตามชอบ การปรุงอาหารแบบนี้ใช้ไฟแรง เวลาสั้น เช่น การผัดผักบุ้ง ผัดถั่วลันเตา ผัดโป๊ยเซียน ฯลฯ

    วิธีปรุงอาหารที่นำมาจากชนชาติยุโรป คือ

    1.การอบ หมายถึง การทำอาหารให้สุก ด้วยความร้อนในเตาอบ โดยการใช้อุณหภูมิตามลักษณะอาหารชนิดนั้นๆ อาหารที่ได้จะต้องมีลักษณะที่ภายนอกสุกเหลือง เกรียม แต่ภายในนุ่ม เช่น การอบขนมเค้ก พายต่างๆ เป็นต้น

    วัสดุในการทำอาหารไทย

    ข้าว

    อาหารไทยใช้ข้าวเป็นหลัก ข้าวของไทยมีหลายประเภท คือ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว (ข้าวเหนียวดำและขาว) และข้าวฟ่าง
    กรรมวิธีในการประกอบอาหาร


    [​IMG]

    1. หุง
    ใช้ข้าวเจ้าหุงให้เป็นข้าวสวย เดิมหุงโดยใช้หม้อดิน แล้ววิวัฒนาการมาเป็นหม้ออะลูมิเนียม ปัจจุบันนิยมใช้หม้อไฟฟ้า ถ้าหุงใส่กะทิแทนน้ำเรียกว่า “ข้าวมัน” ใช้รับประทานกับแกงไก่ หรือส้มตำ
    2. นึ่ง
    ใช้ข้าวเหนียว และข้าวเจ้า ในการนึ่ง เดิมนึ่งด้วย “หวด” ปัจจุบันนึ่งด้วยลังถึง ข้าวเเหนียวที่นึ่งแล้ว ใช้เป็นอาหารคาวและหวานได้
    1.ข้าวเหนียวที่ใช้เป็นอาหารคาว ใช้รับประทานกับไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ แกงแห้ง เช่น พะแนง แกงฮังเล
    2.ข้าวเหนียวที่ใช้เป็นอาหารหวาน ใช้มูนกับกะทิ เป็นข้าวเหนียวที่นำมารับประทานกับสังขยา มะม่วง หรือทุเรียน นำมานึ่งใส่กะทิ เป็นข้าวเหนียวตัด หรือนึ่งแล้วกวนกับกะทิน้ำตาล เป็นข้าวเหนียวแก้ว ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวกวน รับประทานกับหน้ากุ้ง สังขยา ปลาแห้ง และกระฉีก

    3.ย่าง
    ใช้ข้าวเหนียวดำหรือขาวก็ได้ ใส่กะทิ แล้วใส่กระบอกย่างเป็นข้าวหลาม หรือนำมาปั้นเป็นก้อน เสียบด้วยไม้ แล้วชุบไข่ย่างไฟอ่อนๆ เรียกว่า “ข้าวจี่” เป็นอาหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    4.เปียกหรือกวน
    ใช้ข้าวเหนียวทำข้าวเหนียวเปียก ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว มีการทำอาหารชนิดหนึ่งเรียกว่า “ข้าวยาคู” ใช้ข้าวเจ้าที่ออกรวงใหม่ๆ เปลือกสีเขียว ลักษณะภายในของเมล็ดข้าวยังเป็นน้ำนม นำมากวนกับกะทิ น้ำตาลให้มีลักษณะข้นๆ ใช้ในพิธีทำบุญสารทตอนสิ้นเดือน ๑๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  17. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    เนื้อสัตว์

    เนื้อสัตว์ที่นำมาเป็นอาหารมีทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์ปีก ที่นิยมรับประทานกันเป็นอาหารประจำวัน ได้แก่ เนื้อหมู วัว ไก่ ปลา ปู กุ้ง หอย กบ และเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในนาหรือหนองใกล้บ้าน สัตว์ปีก เช่น นก นิยมรับประทานกันมาก เพราะหาได้ง่าย สำหรับสัตว์ป่า เช่น เก้ง กวาง หมูป่า ในสมัยก่อน จะรับประทานเนื้อสัตว์เหล่านี้เฉพาะเมื่อมีงานบุญพิเศษเท่านั้น แต่ปัจจุบันรับประทานได้ทุกโอกาส เพราะมีขายตามท้องตลาด นอกจากนำมาปรุงเป็นอาหารประจำวันแล้ว ยังมีวิธีเก็บไว้รับประทานนานๆ โดยนำไปตากแห้งเป็นเนื้อเค็ม ปลาเค็ม หรือหมักเป็นปลาร้า ปลาเจ่า หรือแช่เย็น เป็นต้น

    พืชผัก
    พืชผักประเภทที่มีผู้นิยมรับประทาน ได้แก่

    1.พืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ที่ข้างบ้าน ริมทาง ในไร่นา ป่าดง เช่น ผักหวาน ผักหนาม ผักเสี้ยน กระถิน ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด และใบบัวบก เป็นต้น ในแต่ละภาคจะมีผักแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
    2.พืชปลูก ทั้งที่ปลูกแบบสวนครัว และสวนผักทั่วไป เช่น พริก มะเขือ ผักบุ้ง ข่า และตะไคร้ เป็นต้น

    ส่วนต่างๆ ของผักที่ใช้เป็นอาหาร ได้แก่
    •ใบ เช่น ใบยอ ใบชะมวง ใบย่านาง ใบบัวบก ใบสะระแหน่ ใบกะเพรา ใบแมงลัก ใบโหระพา ฯลฯ
    •ราก หัว เหง้า เช่น ขิง ข่า กระชาย รากผักชี หัวผักกาด หัวหอม หัวกระเทียม หัวสาคู
    •เมล็ด เช่น พริกไทย แมงลัก งา ถั่ว ผักชี ฯลฯ
    •ผล เช่น มะกรูด มะนาว มะระ ส้มซ่า มะอึก มะเขือพวง ฯลฯ
    •เปลือก เช่น อบเชย ฯลฯ
    •ดอก เช่น ดอกขจร ดอกแค ดอกโสน
    •ลำต้น เช่น บอน คูน (พืชหัวชนิดหนึ่งคล้ายเผือก ก้านใบ และแผ่นใบสีเขียวอ่อน มีนวล ก้านใบใช้เป็นผักได้) ฯลฯ


    [​IMG]

    รสชาติของอาหารไทย

    •รสเค็ม
    อาหารไทยได้รสเค็มจากน้ำปลาเป็นส่วนใหญ่ การประกอบอาหารไทยเกือบทุกชนิด ถ้าต้องการรสเค็มแล้ว จะขาดน้ำปลาไม่ได้เลย สังเกตจากเวลารับประทานอาหาร จะต้องมีถ้วยน้ำปลาเล็ก ๆ รวมอยู่ในสำรับอาหาร แต่บางครั้งนอกจากน้ำปลาแล้วยังใช้เกลือหรือซีอิ๊วขาวเป็นตัวปรุงรสอาหารให้เกิดความเค็ม
    •รสหวาน
    การประกอบอาหารไทยรสหวาน โดยทั่วไปในอาหารไทยใช้น้ำตาลทรายในการประกอบอาหารแล้ว ยังมีน้ำตาลอีกหลายชนิด เช่น น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลโตนด น้ำตาลงบ ฯลฯ
    •รสเปรี้ยว
    อาหารไทยนอกจากจะได้จากน้ำส้มสายชู แล้วยังมีมะนาว และที่นำมาใช้ประกอบอาหารกันมาก โดยที่ประเทศอื่น ๆ ไม่มีใช้ก็คือ ความเปรี้ยวที่ได้จากน้ำส้มมะขามเปียก น้ำมะกรูด น้ำส้มซ่า นอกจากนั้นรสเปรี้ยวจากใบมะขามอ่อน ใบมะดัน ใบส้มป่อย มะดัน ซึ่งรสเปรี้ยวจากสิ่งเหล่านี้มีแต่ในอาหารไทย
    •รสเผ็ด
    รสชาติอาหารของประเทศใดก็ไม่เผ็ดร้อนเหมือนอาหารไทย รสเผ็ดที่ได้จากอาหาร มาจากพริกขี้หนู พริกชี้ฟ้าสด เรายังนำมาตากแห้งเป็นพริกแห้ง คั่วแล้วป่นเป็นพริกป่น รสเผ็ดเป็นรสที่อาหารไทยจะขาดไม่ได้ ในการประกอบอาหารคาวชนิดที่ต้องมีรสเผ็ด การจะใส่พริกมากน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการรสของผู้บริโภค
    •รสมัน
    อาหารไทย ได้รสมันจากกะทิและน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ในการประกอบอาหารไทยโดยเฉพาะอาหารประเภทแกงกับขนมไทย ความมันที่ได้จะมาจากแกงที่ใส่กะทิ เช่นแกงหมูเทโพ แกงเขียวหวาน ขนมชั้น ตะโก้ ฯลฯ ฉะนั้นรสชาติของอาหารไทย จึงมีความกลมกล่อมจากรสชาติต่างๆ
    อาหารไทยภาคต่าง ๆ

    อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ
    ภาคเหนือรวม 17 จังหวัดประกอบด้วยภูมินิเวศน์ที่หลากหลายพร้อมด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ที่ดอน และที่ภูเขาสูงในการดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยพื้นราบซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ ที่พื้นที่ลุ่มบริเวณแม่น้ำสายใหญ่ เช่น ปิง วัง ยม น่าน ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน และ อิง ลาว ของลุ่มน้ำโขง มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัฒนธรรมการปลูกข้าวโดยชาวไทยพื้นราบภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด (เชียงใหม่เชียงรายลำปางลำพูนแม่ฮ่องสอนพะเยาอุตรดิตถ์แพร่น่าน) มีวัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก
    อาหารของคนเหนือจะมีความงดงาม เพราะด้วยนิสัยคนเหนือจะมีกริยาที่แช่มช้อย จึงส่งผลต่ออาหาร โดยมากมักจะเป็นผัก


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  18. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งในเขตที่ราบ ในแอ่งโคราชและแอ่งสกลนครอาศัยลำน้ำสำคัญ เช่น ชี มูล สงคราม โขง เป็นต้น และชุมชนที่อาศัยในเขตภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาภพานและเทือกเขาเพชรบูรณ์ซึ่งความแตกต่างของทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ระบบอาหารและรูปแบบการจัดการอาหารของชุมชนแตกต่างกันไปด้วย แต่เดิมในช่วงที่ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ อาหารจากธรรมชาติมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์มาก ชาวบ้านจะหาอาหารจากแหล่งอาหารธรรมชาติเท่าที่จำเป็นที่จะบริโภคในแต่ละวัน เท่านั้น เช่น การหาปลาจากแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องจับปลามาขังทรมานไว้ และหากวันใดจับปลาได้มากก็แปรรูปเป็นปลาร้าหรือ ปลาแห้งไว้บริโภคได้นาน ส่งผลให้ชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากตลาดน้อยมาก ชาวบ้านจะ “ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” สวนหลังบ้านมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งอาหารประจำครัวเรือน ชาวบ้านมีฐานคิดสำคัญเกี่ยวกับการผลิตอาหาร คือ ผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค มีเหลือแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและทำบุญ
    อาหารอีสานจะเน้นไปทางรสชาติที่อ่อนหวาน เช่น ผัดหมี่โคราช ส้มตำ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  19. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อืมหืม..อย่างนี้ต้องยกถาด..


    [​IMG]
     
  20. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    เครื้องดื่มยอดฮิตของอิฉันที่เลือกในมื้อนี้และพบว่า

    [​IMG]




    เมื่อ "น้ำส้ม" จะทำร้าย "นางเอก" : LOW vitamin C - HI sugar

    หลายคนซื้อน้ำส้มพร้อมดื่มไว้ติดตู้เย็น เชื่อว่าเมื่อดื่มแล้วจะได้วิตามินซีบำรุงสุขภาพ แต่ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ น้ำส้มพร้อมดื่มไม่ว่าจะยี่ห้อดีแค่ไหน ก็แทบไม่เหลือคุณค่าทางอาหาร ยกเว้น 'น้ำตาล' ที่มีจำนวนมากถึง 5 ช้อนชาต่อ 1 แก้ว ควรดื่มน้ำสัมคั้นสดๆ ดีกว่า


    น้ำผลไม้ในความคิดคนส่วนใหญ่ คือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพราะรู้ว่าผลไม้มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะน้ำส้มคั้น ซึ่งเป็นที่นิยมมากขนาดนางเอกหนังไทยต้องสั่งมาดื่มทุกครั้ง จนถูกขนานนามว่า 'น้ำนางเอก'ความจริงแล้ว น้ำส้มหากคั้นแบบสดๆ แล้วดื่มทันทีจะคุณค่าทางโภชนาการอย่างมาก แต่หากคั้นทิ้งไว้แม้เวลาจะผ่านไปไม่นาน วิตามินและเกลือแร่ในน้ำส้มจะเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อการคงคุณภาพของน้ำส้มให้นานขึ้นและสะดวกสำหรับการขนส่ง จึงมีการผลิตน้ำส้มพร้อมดื่ม (น้ำส้มบรรจุในภาชนะปิดสนิท) ออกมาจำหน่าย เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค

    เราจะเห็นได้ว่าตามชั้นวางขายเครื่องดื่มตามห้างสรรพสินค้า มีน้ำส้มพร้อมดื่มหลากหลายยยี่ห้อ ทั้งที่เป็นแบบน้ำส้มแท้ 100% น้ำส้มผสม ซึ่งมีน้ำส้มผสมตั้งแต่ 25 % ขึ้นไป และน้ำสมผสม แบบเป็นหัวเชื้อประมาณ 10 - 15% แล้วทำการแต่งสี กลิ่น และรสสังเคราะห์ เพื่อทำให้คล้ายน้ำส้มจริงๆ ซึ่งตามกฎหมายจะต้องเรียนกว่า 'น้ำรสส้ม'

    เนื่องจากน้ำส้มเป็นสินค้าสุดฮิต! เราจึงไม่พลาดที่จะหยิบมาทดสอบ โดยการเก็บตัวอย่างน้ำส้มและน้ำรสส้ม 22 ยี่ห้อ เพื่อนำมาทดสอบหาปริมาณ'น้ำตาล' และ 'วิตามินซี' ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อเอาเองว่า ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เมื่อเป็นน้ำส้มจึงต้องมีวิตามินสูงตามไปด้วย ซึ่งเป็นความเชื่อที่ 'เกือบถูก' แต่ไม่ถูก

    ผลการทดสอบน้ำส้มและน้ำรสส้มพร้อมดื่ม 22 ยี่ห้อ


    - น้ำส้มและน้ำรสส้ม 3 อันดับแรก ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ได้แก่
    1.น้ำรสส้ม ยี่ห้อ 'ฟรุ้ตฟิตเตอร์ฟัน' ซึ่งมีน้ำตาล 15 ช้อนชาต่อขวด 330 มล.
    2.น้ำส้ม 'มาลี จู๊ซมิกซ์' มีน้ำตาล 13 ช้อนชาต่อขวด 350 มล.
    3.น้ำส้ม '30% ทิปโก้ คูลฟิต' มีน้ำตาล 11 ช้อนช้าครึ่งต่อขวด 300 มล.


    - น้ำส้ม 100 % ที่ไม่ได้เติมน้ำตาลจะมีน้ำตาลประมาณ 5.5 ช้อนชาต่อ 200 มล. (1 แก้ว) ขณะที่น้ำส้มผสมจะมีน้ำตาลโดยเฉลี่ย 6 ช้อนชา

    - เมื่อทดสอบหา 'วิตามินซี' พบว่าน้ำส้มส่วนใหญ่ไม่มีวิตามินซี หรือเหลือวิตามินซีน้อยมาก นอกจากนี้ บางยี่ห้อที่อ้างว่าได้เพิ่มวิตามินซี ก็ไม่พบว่ามีการเพิ่มดังกล่าว เช่น น้ำส้ม 25% ฟิวเจอร์ และน้ำรสส้ม 20 % โออิชิ เซกิ

    - น้ำส้มที่พบว่ามีวิตามินซีมากกว่า 20 มก./100 มล. ได้แก่ น้ำรสส้ม 'แบร์รี่ ซันเบลสท์' มีวิตามินซี 24 มก., น้ำส้ม 40% ยูเอฟซี มีวิตามินซี 23 มก. และน้ำรสส้ม อะมิโนโอเค มีวิตามินซี 20 มก.

    คำแนะนำ

    1.น้ำส้มพร้อมดื่มไม่ควรเป็นเครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะมีปริมาณน้ำตาลสูง
    2.เมื่ออยากดื่มน้ำส้ม ควรเลือกซื้อขวดขนาดเล็ก หรือแบ่งดื่มทีละน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับน้ำตาลมากไป
    3.น้ำรสส้ม ที่ผลิตโดยค่ายน้ำอัดลม เช่น 'สแปลช' หรือ 'ทรอปิคานา ทวิสเตอร์' ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีความหวานไม่ต่างจาก 'น้ำอัดลม' โดย 'สแปลช' มีน้ำตาล 6 ช้อนชาต่อกล่อง และ 'ทรอปิคานา ทวิสเตอร์' มีน้ำตาล 12 ช้อนชาต่อขวด
    4.ความแตกต่างระหว่างน้ำผลไม้กับผลไม้ คือ 'เส้นใยอาหาร' เมื่อเป็นน้ำผลไม้ เส้นใยจะหายไปทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้เร็วขึ้น
    5.อย่าเข้าใจผิดว่า น้ำส้มหรือน้ำรสส้มพร้อมดื่ม จะมีวิตามินซีสูง แม้ว่าจะอ้างว่าได้เติมวิตามินซีลงไปด้วยเทคโนโลยีล่าสุดก็ตาม
    6.น้ำส้มที่ผสมวิตามินซีไม่ควรผสมกับวัตถุกันเสีย 'กรดเบนโซอิก' เพราะอาจทำให้เกิดสารพิษที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย


    แนะนำผัก-ผลไม้ 'วิตามินซี' สูง

    น้ำผลไม้คั้นสด (100 มิลลิลิตร) ปริมาณวิตามินซี (มิลลิกรัม)
    น้ำฝรั่ง 155.7
    น้ำส้มเขียวหวาน 51.4
    น้ำมะม่วง 51.9
    น้ำสัปปะรด 49.05
    น้ำแตงโม 30


    ที่มา นิตยสาร 'ฉลาดซื้อ' ฉบับที่ 89 โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เขียนโดย ทัศนีย์


    ข้อมูลจาก matichononline
     

แชร์หน้านี้

Loading...