สึกพระเกษมและคลิป

หมายถึง อุปัชฌาอาจารย์? เอามาจากเกษมล่ะสิท่า^ ^ พูดไปแบบสีข้างเข้าถู อุปัชฌาเกษม มรณะไปแล้ว

วินัยท่านบอกว่าให้ "สงฆ์" ว่ากล่าวตักเตือน

ไปหาอ่านใน นวโกวาท นะ หรือไม่ก็ไปถามคนที่เรียนจบ นักธรรมชั้น ตรี ก็ใด้



มีอยู่ใน วิชา นวโกวาท ฉบับสมบูรณ์ หน้า 4 ข้อที่ 12 ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง "สงฆ์"สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ล่ะ ต้องสังฆาทิเสส

แล้วไอ้เกษมนี่ ทาง สงฆ์ เขาเตือนมันกี่ครั้งแล้วขอรับ

 

หลงตัวเองหรือเปล่า คนดีแบบที่ว่าด่าเก่งแบบนี้นะหรอ แบบศีล5ก็ไม่อา เอาแตด่า

 

แล้วหลวงพ่อไม่เชื่อฟังตรงไหนครับ ถ้าไม่ผิดธรรมวินัยท่านก็ฟังนะครับ ที่กะทืบโตะท่านก็ฟัง และไม่ได้ทำแล้ว อย่าบอกว่าให้สึกแล้วไม่สึกนะครับ เพราะอาบัติแค่ทุกฏ จะให้สึกได้ไงครับ คำสั่งไม่ชอบด้วยธรรมวินัย คนสั่งให้สึกกำลังล่วงธรรมวินัยอยู่นะ จะทำตามได้ไง

 

แล้วด่าถูกหรือเปล่าล่ะ จี้ใจดำล่ะซิ5555 ที่ด่ามันเรื่องจริงเอาเรื่องจริงมาด่าหลงตัวเองต้องไอ้เกษมคิดว่าตัวเองเป็นอรหัน แบบนี้หลงตัวเองหรือเปล่า รวมทั้งมึงด้วย สาวกอรเหี้... 55555 พูดเหมือนว่าตัวเองวิเศษ มีศีลหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ตอแหลทำตัวว่ามีศีล ใครจะรู้อย่างมีงอาจจะไปแย่งสามีใครก็ได้เพราะไม่มีใครเห็นชีวิตที่แท้จริง อาจจะไม่มีศีลเหลือเลยสักข้อก็ได้

 

แล้วทำไมไม่พูดเรื่องเผาทำลายพระพุทธรูปบ้างล่ะ เวลาไอ้เกษมทำมันทำหลายเรื่องอย่ามาอ้าง หลักฐานมี ไม่ผิดจริงใครเขาจะให้สึก และกิจของสงฆ์หลายๆอย่างที่สงฆ์ต้องปฏิบัติ ทำไมไม้ทำตามพระวินัย กลัวล่ะซิ ไหนมึงบอกไงว่าไม่มีใครทำอะไรได้แล้วที่หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ มันอะไร55555ยกยอตัวเองกันเก่งจริงๆ

 

นี่มันข้อแก้ตัวของมึงให้ไอ้เกษม แต่เรื่องจริงมันไม่ใช่อย่างที่มึงพูด อ้างไปเถอะ ไอ้หมาจนตรอก ความจริงย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น

 

เป็นภูมิปัญญาของควายที่น่าทึ่งมากกว่า ที่มันฉาบฟิล์มโคลนไม่ให้แสงแดดUV กระทบผิวหนังมันโดยตรง เอามาเปรียบเปรยแดกดันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับสัตว์ใหญ่ให้คุณอย่าง"กระบือ"( อ่ะย้อเย่น)

 

กรูจะไปแย่งสามีใครวะ กรูไม่ได้เป็นตุ๊ดเหมือนมึงนี่นา อ่ะอ่ะ

 

อ้าวจะไปรู้หรือ ลูกผู้ชายผิดเขายอมรับผิด แต่มึงนี่ผิดแล้วไม่ยอมรับก็เลยนึกว่า ตุ๊ด 55555

 

คนที่บอกว่ามีศีล 5 เริ่มแสดงสันดานออกมาแล้ว เห็นบอกตัวเองว่าคนอื่นเขาศีลไม่ครบ ว่าคนอื่นเขายกตัวว่าเป็นคนดี มันก็แค่หน้ากากที่พวกมึงหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ ที่แท้ตัวมันนั่นแหละเลว อัปปรีย์จัญไรกว่าใครๆ

 

ม่ะ.........ใบแดงมาได้แล้ว จ้ะ

 

ถ้าทำเพื่อพระศาสนา ใบแดงมาก็ไม่เป็นไร เพราะพูดกับคนจัญไรพูดดีๆไม่รู้เรื่องหรอก

 

นี่แสดงว่า จิตมืดแล้ว มองไม่เห็นความจริง โดยมองข้ามความจริงไปหลายอย่าง เช่น

พระเกษมด่ากลับคืนมติสงฆ์ เสียๆหายๆ
พระเกษมท้าให้มาสึก
พระเกษมยกพระวินัยแย้ง แบบผิดๆ ออกนอกประเด็น แต่กลับไม่ยก พระวินัยมาเตือนตน โดยอ้างว่า ผิดแค่ไม่กี่นาที แต่ท่าทีที่ตนจะสำนึกตนยอมรับ แล้วสำรวม ขออภัยต่อภิกษุ ส่วนใหญ่ ก็หาไม่มี
พระเกษม เบนประเด็นไปเรื่อง ภิกษุ จับเงิน
พระเกษม อ้างว่ามีเทวดามาบอก ต่างๆนาๆว่า มีภิกษุผิดวินัย
พระเกษม อ้างว่าจะรบ จะต่อต้าน เช่น ไม่จบง่ายๆหรอก เดี๋ยวจะมีมากกว่านี้

พฤติกรรมแบบนี้ เป็น สมณะแกลบ

ขอยกพระสูตรมาอีกรอบหนึ่ง

แนะนำ Bamrung ว่า หยุดไปเถอะ อย่าไปสร้างกรรมเพิ่ม ด้วยการออกมาสนับสนุนพระเกษม อย่างไม่พิจารณาให้ถ่องแท้เลย

ให้ตั้งสติ พิจารณาให้ถ่องแท้ แล้วมีข้อสงสัยอะไร แล้วค่อยมาถก จะดีกว่าเถียงแบบไม่ลืมหูลืมตา
จะยิ่งทำให้เรานั้น มืดไปเรื่อยๆ

ดู คลิบล่าสุด พระเกษม นั้นมืดไปเรื่อยๆ อ้างไปสาระพัด เหมือนคนขาดสติ สตัง ไปทุกวัน
มีบ๊ายบาย มียกมือไหว้
มีอ้าง พระสูตรเรื่องผลการปรามาสพระอริยะ ทั้งๆที่ไม่ดูเลยว่า ผลของการปรามาสพระอริยะ นั้นแหละ คือ ผลที่ตนรับอยู่ทั้งสิ้น

นี่เรียกว่า มืดบอด แล้วจะดิ่งลงเรื่อยๆ ถ้าไม่หยุด

 

ลองสำรวจดูว่า พระเกษม ได้รับผลเหล่านี้หรือไม่

 

แน่นอนทีเดียว
แม้ใครหลายคนจะช่วยดึงคนที่หลงไปเชื่อผิด ๆ ให้ออกมา
แต่มันก็ยากนักที่คนเหล่านั้นจะกลับใจมาสู่ความเห็นชอบได้
ผมเคยมีประสบการณ์ที่บอกสิ่งถูกให้ แต่กลับโดนว่า โดนด่า
ก็เลย เออ บอกที่ถูกให้แล้ว ยังไปเอาที่ผิด ๆ กันอยู่ได้
ก็ทำได้แค่บอก ส่วนเขาจะเห็นถูกหรือเห็นผิดนี่
มันยากนะ........

 

ผมเคยบอกให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านให้ทราบว่าพวกนี้มีเจตนาทำลายพระพุทธศาสนา และหมิ่นเบื้องสูง ให้ทานได้พิจรณาว่าที่ผมพูดนั้นมันจริงหรือเปล่า มันเป็นลัทธิที่อาศัยจุดอ่อนในพระพุทธศาสนา มาทำลายหากหลงกลคนเหล่านี้แล้วสักวันบ้านเมืองของเราจะแย่ พวกนี้มีคนที่ไม่หวังดีพยายามทุกวิถีทางทำให้คนในชาติแตกแยก ผมต้องขอโทษท่านผู้อ่านที่ต้องมาอ่านคำไม่สุภาพ แต่กับคนพวกนี้ท่านใช้คำพูดดีๆไม่ได้หรอกครับ เพราะพวกนี้มันถูกฝึกมาให้ด้าน โดยเฉพาะ ผมคนหนึ่งแหละที่จะไม่ยอมให้ ไอ้ อี ตัวไหนมาทำให้พระพุทธศาสนาเกิดความแตกแยก และหมิ่นเบื้องสูงโดยเด็ดขาด หากสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับผมผมก็จะยอมรับ ผมถือว่าผมทำหน้าที่ของผมอย่างเต็มกำลังแล้ว วันข้างหน้าผมจะได้ไม่มานั่งเสียใจว่าทำไมวันนั้นผมไม่ยอมทำอะไรเลย

 

ผมยกตัวอย่างนะ

เช่น ผมเคยบอกคนที่เผากงเต๊กว่า
เอาเงินที่ไปแลกเป็นเงินปลอมมาเผาทิ้งเนี่ย ไปทำประโยชน์อย่างอื่นให้ผู้ตายจะดีกว่ามั้ย?
(เช่น เอาไปถวายสังฆทาน ทำบุญ หรือเลี้ยงเด็กกำพร้า)
แต่กลับโดนว่ากลับมาว่าไปดูหมิ่น ลบหลู่พิธกรรมของชาวจีน (อะไรกันฟะ) และ ฯลฯ
แล้วเผา ๆ ไปเนี่ย นั่งสูดควันพิษจากสารเคลือบกระดาษเงิน-กระดาษทองกันมั้ย?
ก็ไม่ ปล่อยให้เป็นมลภาวะ เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์กันอีก
คนที่ดมควันพิษจากการเผา ก็ละแวกบ้านใกล้ ๆ ไม่ใช่เจ้าตัวที่เอามาเผาเลย
แบบเนี้ย ผมเคยโดนมาแล้ว
หวังดี จะให้เกิดประโยชน์กับผู้ล่วงลับ (ของเขา) ให้มากที่สุด
แต่กลับได้คำด่าทอกลับมา

กรณีนี้เหมือนกัน แม้จะปรารถนาดี ให้เลิกยึดติดในบุคคลวิปริต (เกษม) นี้เสีย
แต่ก็ยังดื้อดึง หัวรั้นอยู่นั่นแหล่ะ
น่าเบื่อหน่าจริง ๆ หนอ

 

การกระทําเล็กๆน้อยๆอาบัติแค่ทุกข์กฏเหลอ? แค่คําพูดก็ปรามาสศีลเข้าไปแล้ว ผิดสังโยชข้อที่สาม โสดาบันยังเป็นไม่ใด้ แล้วจะเป็นอรหันต์ใด้ยังไง เล็กๆน้อยๆรวมกันแล้วมากมายนะ ชาวโลกเขารังเกรียดอ่ะ



เกษมชอบทําตัวอย่างนี้

มีมรรยาทไม่สมควร(ถ่อยเพราะอยากดัง)
เป็นผู้วิบัติทางศีล(อาบัติมาก)
มีมานะทิฐิมาก(หัวดื้อคณะสงฆ์เขาห้ามเกษมห่มผ้าเหลืองแต่ยังดื้อห่มอยู่)
กล่าวติเตียนคณะสงฆ์และพระผู้ใหญ่(หลงตัวเองหรืออยากดัง)
คึกคะนอง(แกล้งบ้าเพราะอยากดัง)
ประพฤติอนาจาร(ไม่มียางอายเพราะอยากดัง)
มิจฉาทิฐิ(สอนคนในทางผิดคือห้ามกราบพระพุทธรูป ทุบทําลายพระพุทธรูป อุทิศบุญให้เชื้อโรค ห้ามสวดมนต์เพราะผีจะเดือดร้อน ฯลฯ)

 

จิตนี้ เหมือน ภาชนะใส่ ความจำ ความรู้สึก ความคิดนึก ต่างๆนาๆ

เมื่อเรา ยอมรับกิเลส ความไม่รู้เข้าสู่ใจบ่อยๆ จะทำให้เรา คิด นึก ไปในทางที่ผิด เรียกว่า เอาอวิชชาเข้าสู่ใจ

เมื่อ เรารู้จัก มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พิจารณา ตามความจริง ย้ำเข้าไป จะทำให้ จิตนี้ตื่นขึ้นมา เห็นจริงขึ้นมา

ก็ที่เรามีชีวิต ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ทุกวันนี้ ก็เรารับ แต่ความไม่รู้เข้ามา ทำแต่สิ่งที่เคยชิน โดยไม่ได้ลืมหูลืมตา ฉุกคิดว่า แท้จริงแล้วควรเป็นอย่างไร ก็เรียกว่า ไม่ได้มีธรรมไหลสู่ใจ

ปริมาณแห่งอวิชชา ที่ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนแล้วแต่เป็น บริวารของอวิชชา ทั้งหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงนอนไป แม้กระทั่งคิดนึกอะไรที่เราปรุงแต่งเอง เราก็ขาดการไตร่ตรองที่เป็นธรรม

ส่วน ปริมาณ แห่งธรรมที่จะเกิดขึ้นในใจ หรือ ที่เราจะรับมา ให้ซึมซับเข้าสู่ใจ ก็มีน้อยลงไปทุกวัน

การทวนกระแสอวิชชา เพื่อให้ ธรรมไหลเข้าสู่ใจ จึงจะต้องมีการหมั่นทำ จะต้องย้อมสีของใจ ด้วย ธรรม คำสอน และ ด้วยการโยนิโสมนสิการ ด้วยการเจริญสติ จนเรา เห็นจริงปรากฎขึ้น

นั่นแหละ ธรรมจึงจะไหลเข้าสู่ใจ เมื่อ ใจถึงธรรม ธรรมถึงใจแล้ว ทุกกิริยาอาการจะถูกผลักดันด้วยธรรม
เมื่อนั้น เราจะมีปัญญาผ่องแผ้ว

ใครที่ยังไม่ค่อยจะมีธรรมที่ถูกต้อง ผ่านทาง หู ทางตา ก็ต้องหมั่น เจริญธรรม ให้เข้าสู่ใจให้มาก
อย่าตามอวิชชา ที่เคยชินอยู่ในใจ