สู่แสงธรรมตอนที่26 ทำไมจึงต้องกำหนดเอาการดื่มสุราเข้าไว้ในศีล 5(ต่อ)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 18 มีนาคม 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ทำไมจึงต้องกำหนดเอาการดื่มสุราเข้าไว้ในศีล 5 ด้วย
    [​IMG]
    ติดมือกันไปบ้างก็แค่ไม้ขีด ไฟแช็ค หรือปากกาที่หาค่าไม่ได้ ยิ่งกาเมแล้วที่บ้านผมมีผู้หญิงคนเดียวคือเมีย ส่วนมุ้งที่อยู่ข้างล่างเป็นมุ้งของพลทหารรับใช้จะมีที่เข้าข่ายเห็นจะเป็นมุสานั่นแหละครับเพราะตอนเมานัดกันจังเลยแต่พอหายเมาแล้วลืมหมด แต่ต่างฝ่ายต่างลืมนะครับ”ข้าพเจ้าตอบและพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
    “เอ๊ะ ไม่เลวนี่ แต่ป้องกันไม่ตลอดหรอกนะ อย่างน้อยดื่มเหล้ามีกับแกล้ม และกับแกล้มนั้นแม้คุณไม่ได้ทำเอง มิได้ฆ่าเองแต่ถ้าหากสั่งให้ผู้อื่นทำแล้วมีการฆ่าเกิดขึ้น คุณก็หนีปาณาไม่พ้นอยู่ดีนะหรือแม้การหยิบฉวยไม้ขีด ไฟแช็คก็ดี ปากกาที่ไม่มีราคาค่างวดตามที่คุณว่าก็ดี ย่อมทำให้เจ้าของเขาเสียผลประโยชน์เหมือนกัน เพราะเขาเคยได้ใช้ แล้วไม่ได้ใช้เพราะสูญหายไปอยู่ที่คุณ ก็ผิดศีลอทินนาด้วยนะฉันคิดว่าคำพูดของฉันคุณเข้าใจแล้วทั้งหมดแต่แสร้งดันทุรันไปอย่างนั้นเอง
    ส่วนที่ว่าคุณดื่มอยู่ที่บ้านของคุณ แล้วไม่ได้ทำให้ใครเขาเดือดร้อนนั้นก็หาจริงไม่ เพราะการร้องรำทำเพลงของบรรดาขี้เมากลุ่มคุณหาได้ดังอยู่เฉพาะในตัวบ้านของคุณไม่ หากมันดังไป3 บ้าน 8 บ้านยิ่งดึกดื่นเที่ยงคืนผู้คนอื่นเขาจะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างผาสุกก็กลับต้องมาทนฟังเสียงเพลงจากนักร้องขี้เมาที่หาความไพเราะเสนาะหูไม่ได้เลย แม้เขาจะไม่มายืนด่าอยู่หน้าบ้านคุณ แต่เขาก็สาปแช่งอยู่ในใจนะ ไม่เป็นสิริมงคลเลยนะ นอกจากนั้นเมียของคุณเล่าก็จะต้องอดหลับอดนอน คอบเก็บกวาดล้างถ้วยล้างชามหลังจากที่วงเหล้าเลิกราแล้ว ส่วนคุณซึ่งเป็นคนหางานให้เมียทำ กลับมุดเข้ามุ้งนอนหลับสลบไสลเพราะความเมา มันควรแก่การน่าละอายบ้างไหม? คุณลองไปนั่งคิดพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันนะ”
    หลวงพ่อพูดและเมื่อเห็นข้าพเจ้านั่งคอตกตั้งใจฟังอยู่ ก็พูดต่อว่า”ความจริงแล้ว การดื่มสุรานั้นมันไม่เฉพาะแต่ทำให้ชาวบ้านและลูกเมียของคุณเดือดร้อนเท่านั้นนะ หากแต่ตัวของคุณเองนั่นแหละจะเดือดร้อนหนัก ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ก็อาจเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคกระเพาะ โรคไต โรคตับแข็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง แอลกอฮอลิสซึ่มหรืออัมพาตได้นะ และเมื่อตายไปหากเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหน้าก็จะต้องรับกรรมอีก กล่าวคือ ถ้าดื่มน้อย เกิดมาก็จะเป็นคนที่มีอาการปวดศรีษะ วิงเวียน มึนงง อยู่ตลอดกาลรักษาไม่หายขาด ถ้าดื่มขนาดกลางเกิดมาก็จะเป็นโรคประสาท และถ้าดื่มขนาดนั้น เกิดมาก็จะเป็นวิกลจริตหรือคนบ้าทีเดียวนะจำไว้ เอ้อ ทางที่ดีเอาอย่างนี่ซิ ใน 2-3 วันนี้ฉันขอให้คุณร่วมวงสุรากับเพื่อนๆ เช่นเดิม แต่คุณอย่าดื่มนะหากเพื่อหากคุณก็บอกไปว่าไม่สบาย หมอห้าม หรือไม่ก็บอกว่ารับปากฉันไว้ ผิดสัจจะไม่ได้ คุณจะทำได้ไหม?”
    “ผมรับปากครับหลวงพ่อแล้วหลังจากนั้นเล่าครับ?” ข้าพเจ้ารับปากแล้วถาม
    “คุณก็มาเล่าให้ฉันฟัง ถึงเหตุการณ์ในวงสุราของคุณซิว่าคุณมีความรู้สึกอย่างไร? ส่วนหลังจากนั้นคุณจะไปดื่มกินกับเพื่อนของคุณอีกก็เป็นเรื่องของคุณ”หลวงพ่อพูด
    ข้าพเจ้าเมื่อรับปากกับหลวงพ่อแล้ว ก็ปฏิบัติตามโดยขอตัวเพื่อน ๆ ไม่ยอมดื่มจริงๆ แต่อยู่พูดคุยร่วมวงด้วยเหมือนเดิมและคอบอำนวยความสะดวกให้ แม้จะถูกคะยั้นคะยอจากเพื่อนๆ สักเพียงไร ข้าพเจ้าก็ยืนกรานไม่ยอมดื่ม แก้วแล้วแก้วเล่าผ่านไปบรรดาเพื่อนชักเริ่มเมา บางคนก็เริ่มคุยอวดศักดาความเก่งกล้าของตนอีกคนก็คุยบ้างยกตัวเองเข้าข่มว่า ตนนั้นยิ่งแน่กว่าข้าพเจ้าซึ่งมิได้เมาด้วยชักเกิดความรำคาญ และมองเพื่อนๆ เหล่านั้นเหมือนคนแปลกหน้าในใจคิดสมเพชเวทนาว่า คนเหล่านี้เก่งเฉพาะตอนเมาแท้ๆ เวลาไม่เมาก็แหยๆ และไม่กล้าเผชิญหน้าต่ออะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่คอยรับหน้าคุ้มครองให้ พอเหล้าเข้าปากกลับกลายเป็นคนเก่งทั้งนั้น
    เวลาผ่านๆไปเพื่อนๆ ก็เมามายมากขึ้นส่งเสียงร้องเพลงกันลั่นไปหมด ข้าพเจ้าชักหนักใจยิ่งนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อขึ้นมาด้วยก็ยิ่งเกิดเกรงใจชาวบ้านข้างเคียง เพราะบ้านที่อยู่เป็นเรือนแถวเสียด้วย อีกทั้งเวลาขณะนั้นก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว ข้าพเจ้าจึงเลี่ยงลงจากบ้านแล้วเดินผ่านห้องข้างเคียงไปจนสุดเรือนแถว และแม้ออกไปจนถึงถนนใหญ่ เสียงนักร้องขี้เมาจากบ้านข้าพเจ้าก็ยังดังลั่นเกินกว่า 3 บ้าน 8 บ้านเสียอีก เมื่อข้าพเจ้ากลับขึ้นบ้านเพื่อนขี้เมาบางคนก็หันมาพูดพร้อมกับเรอเอิ้กอ้ากกลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งจนข้าพเจ้าแทบจะทนไม่ได้ ยิ่งมองดูกับแกล้มกลางวงมันมีสภาพเหมือนมิใช่คนกินจริงๆ ตามขอบจานตามพื้นมีชิ้นส่วนอาหาร และน้ำแกงหกเรี่ยราดคิดในใจว่า นี่เราร่วมกินเหล้ากับเขาเหล่านี้มาได้อย่างไรกันหนอ
    ในคืนนั้นกว่าเพื่อนขี้เมาของข้าพเจ้าจะเลิกราได้ก็ประมาณเกือบตี 1 โดยบางราย ก็เดินโซเซร้องเพลงกลับ บางรายก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับแต่กว่าจะตั้งตัวได้ก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายตลบทีเดียว เมื่อส่งเพื่อนๆเสร็จ ข้าพเจ้าก็ขึ้นบ้าน เข้าช่วยภรรยาและทหารรับใช้เก็บถ้วยชามไปล้างทำความสะอาดพื้น โดยเฉพาะระเบียงหน้าบ้านสกปรกมากเพราะมีบางคนมาอาเจียนทิ้งไว้ จิตใจของข้าพเจ้าในตอนนั้นเกิดความรักและสงสารภรรยาเป็นที่สุดที่ทนลำบาก อดหลับอดนอนทำทุกอย่างเพื่อข้าพเจ้าตลอดมาโดยมิได้ปริปากบ่นสักคำ พอกันทีเพียงครั้งเดียวที่ข้าพเจ้ามิได้ดื่มเหล้า และทนนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนร่วมแก๊งขี้เมาก็สุดแสนที่จะทนได้เสียแล้ว และในคืนนั้นเองข้าพเจ้าก็ตั้งปณิธานไว้โดยแน่ชัดว่า นับแต่บัดนี้ไปข้าพเจ้าจะเลิกดื่มสุราโดยเด็ดขาด และข้าพเจ้าก็ปฏิบัติได้มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งยังความปลื้มปิติยินดีแก่ภรรยาและบุตรของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
    สำหรับเหตุการณ์ในวงสุรานั้น ข้าพเจ้าก็ได้เล่าให้หลวงพ่อฟังโดยละเอียดรวมทั้งบอกความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นและความตั้งใจโดยเด็ดเดี่ยวที่จะเลิกดื่มด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็ยินดีและให้กำลังใจว่า
    “มันถึงเวลาของคุณแล้วนั่นเอง จึงทำให้คุณเกิดความรังเกียจที่จะดื่มสุราต่อไป และบัดนี้ทางเดินเข้าสู่แสงธรรมของคุณสว่างแล้วนะจงตั้งใจเดินไปเถิด”
    ท่านผู้อ่านที่รัก เคยสงสัยในปัญหาข้อนี้เช่นข้าพเจ้าบ้างไหมครับ?ถ้าเคยสงสัยมา ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำตอบของหลวงพ่อกระจ่างชัดแล้วนะครับ
    ที่มา http://www.geocities.com/magic_angelth/index23_1.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...