"หญิงขอลาไปนิพพาน" : พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 26 สิงหาคม 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า "หญิงขอลาไปนิพพาน"

    "..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภาคใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปางมีเรื่องตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอีก พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำสมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า "วิภาวดี เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก" คำว่า "เสร็จกิจ" ก็หมายถึง "กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ" เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดียวมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป

    ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น อุพเพงคาปีติ สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต

    จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า "ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย" ความหมายของท่านก็คือ "พระนิพพาน" ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ "ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข" ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก

    การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา "ต้องการพระนิพพาน" ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า "ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน" แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

    รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมนต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า "วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไม่ได้"

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ทราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ดี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรงน่อง แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้

    สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมาก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่าอย่างไรก็ตาม "วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ" ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า "ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน" การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร

    ฉะนั้น "การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ" อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า "เอหิภิกขุ" แปลว่า "เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้" แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า "ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓" ท่านก็ตกลง

    เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า "หลวงปู่ ท่านหญิงไม่ลงรึ" เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า "ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่ามมาให้" ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า "หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง" พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไปว่า "เราเสียท่าเขาแล้ว"

    ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข้าแต่ไปเข้าจุดว่าง เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ "ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน" เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า "ท่านหญิงปวดไหม" ท่านก็ตรัสว่า "ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ"

    แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า "โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน" แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า "หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน" แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า "นิพพาน นิพพาน นิพพาน" นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า "โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน" พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ

    การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัยการเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับแบบสบายๆ แต่พอไปถามเข้าว่า "เจ็บไหม" ท่านก็บอกว่า "เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ" เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า "ขอไปนิพพาน" โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า "สว่างแล้ว สว่างแล้ว" เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน

    และก็มีคนถามว่า "ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน" อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า "มันเรื่องอะไร" ก็ทราบว่า "กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง" ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

    เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้.."


    https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/-44-14
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภารกิจสุดท้ายของพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ท่านสิ้นชีพแล้วไปไหน

    [​IMG]


    “เรื่องที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต”

    ที่สถานวิทยุ ทหารอากาศ จ.เชียงราย มีลุงหนวดคนหนึ่งแกมานั่งต่อว่าต่อขานว่า เรื่องที่ท่านหญิงวิภาวดีจะตายซึ่งเขาเรียกว่าสิ้นชีพิตักษัยน่ะ หลวงพ่อรู้หรือเปล่า และถ้ารู้ทำไมไม่ห้ามปราบ และท่านหญิงวิภาวดีตายแล้วไปไหน จะรู้ได้ยังไง อันนี้เป็นปัญหาสำคัญที่บรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านสนใจ นับตั้งแต่ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ถูกกระสุนปืนของข้าศึกที่บ้านหลังคลอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต้องสิ้นชีพิตักษัตคราวนั้นก็รู้สึกว่า คนโจษจันกันไปหลายกรณี อาตมาก็นำเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาคุยให้ท่านทั้งหลายฟังพอสมควรแก่เวลา และเท่าที่นึกได้

    เรื่องราวของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต อาตมาได้มีโอกาสเดินทางกับท่านหลายวาระน้ำใจของท่านหญิงประกอบไปด้วยความเมตตาปรานีมาก พระองค์ไม่เคยสนใจเรื่องของพระองค์เลยว่าจะเป็นยังไง นั่งคิดนอนคิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำอย่างไรปวงชนชาวไทยทั้งมวลจึงจะมีความสุข การปฏิบัติงานของท่านประสานงานกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

    การไปทำงานที่จังหวัดนครศรีธรรมราชคราวนั้น อาตมาและคณะของอาตมามีหลวงปู่ครูบาธรรมไชย คุณนนทา อนันตวงษ์ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หรือที่เราเรียกกันว่า คุณอ๋อย และลูกชายของอาตมาคนหนึ่งคือ คุณวิชัย โกศล ได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับคณะของท่านหญิงวิ ภาวดีโดยรถไฟ เมื่อถึงอำเภอทุ่งสง ก็มีทหารตำรวจ และข้าราชการพลเรือนมารับ จัดที่พักให้ที่โรงปูนซีเมนต์ทุ่งสง ความจริงสถานที่พักแห่งนั้นเป็นของพระบาทสมเด็จระเจ้าอยู่หัวซึ่งพระองค์ทรงอนุญาต และเขาจัดห้องให้อาตมาพักรู้สึกว่ามีความสุขดีมีเครื่องปรับอากาศ จะนั่งก็สบาย จะนอนก็สบาย แต่ว่าคนอย่างอาตมาเป็นคนไม่ชอบสบาย

    บ่ายวันนั้นได้เดินทางไปที่กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดนเขต ๘ ทุ่งสง ซึ่งมีพันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา เป็นผู้กำกับ

    พอไปถึงที่นั่นทางตำรวจก็รายงานว่า “หลวงพ่อ ขอรับ ได้ยินข่าวว่า ข้าศึกจะยกมาตีกองกำกับการเขต ๘“ อาตมาจึงบอกท่านหญิงวิภาวดีว่า “ถ้ามีข่าวอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ไปนอนที่โรงปูนซีเมนต์ ขอนอนกับตำรวจ” เขาจึงจัดที่นอนเป็นห้องของผู้กำกับให้

    ในคืนวันนั้นกว่าจะนอนได้ก็เป็นเวลา ๕ ทุ่มเศษ หลับไป พอถึงเวลา ๖ ทุ่มเศษก็ตกใจตื่นขึ้น เพราะมีอาการคล้ายมีใครมาดึงหัวแม่เท้ากระตุกแรง ๆ ให้ตื่นขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่เห็นใคร ห้องก็ใส่กลอน หน้าต่างก็มีลูกกรงและหน้าต่างก็ไม่ได้เปิด ประตูก็ใส่กลอน แต่ก็มีสภาพคล้ายคนมากระตุกจนต้องตื่น มองมามองไปไม่เห็นใคร เห็นวิทยุติดต่อเขาวางไว้ข้าง ๆ ใกล้ที่นอน จึงย่องเข้าไปเปิดฟัง เผื่อว่าจะมีข่าวพิเศษ ก็เป็นการพอดีมีข่าวทางตำรวจเขาติดต่อกันมาจาก ต.ช.ด. กองร้อย ๒ ตั้งอยู่ภายนอก แจ้งมาว่า เวลานี้ที่คลองปาง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่เพียง ๙ คน เพราะเป็นตำรวจกักด่านเฉย ๆ ไม่ใช่ตำรวจสำหรับจับผู้ร้าย แต่วันนั้นกำลังตำรวจเหลือ ๖ คน เพราะไปธุระเสีย ๓ คน มีข้าศึกมาล้อมตี ๖๐ คนเศษ ตำรวจคลองปางวิทยุมาขอร้องให้ ต.ช.ด. กองร้อย ๒ ไปช่วย ทางผู้บังคับกองก็แจ้งมาทางผู้กำกับ

    เสียงผู้กำกับตอบไปผ่านเครื่องที่อาตมารับฟังว่า “ให้รออยู่ก่อน ดูลีลาข้าศึกก่อนการไปกลางคืนอาจเสียทีข้าศึก” อาตมาฟังเขาโต้ตอบกันประมาณ ๕ นาที ก็รู้สึกรำคาญเลยพูดแทรกลงไปว่า “ถ้าขืนพูดกันอยู่อย่างนี้ ตำรวจคลองปางตายหมด ควรจะเสี่ยงให้ตำรวจกองร้อย ๒ นั่นแหละไปช่วย การเดินทางไปช่วยจะใช้รถยนต์ หรือรถมอเตอร์ไซด์ก็ตาม ก่อนถึงคลองปางสัก ๕ กิโลเมตร ให้ลงเดินเข้าไปในทุ่ง อย่าเดินตามทาง เพราะข้าศึกจะโจมตี” ที่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่พูดอย่างคนรู้รำคาญก็เลยบอกไปตามนั้น ก็เคยทราบอยู่เสมอว่า ถ้าข้าศึกตีหน่วยเล็ก และถ้าหน่วยใหญ่ไปช่วย จะถูกข้าศึกดักตีตามทาง

    ในที่สุด ผู้กำกับฯ เขาก็สั่งการไปตามนั้น แล้วอาตมาก็นอน ไม่ใช่เรื่องของพระจะไปรบกับเขา พอหลับตาก็มีคนคนหนึ่ง ไม่ใช่คนหรอก ผี แต่งตัวชุดสีแดง ประดับเพชรแพรวพราว จึงถามไปว่า “ใคร” เขาใช้นามของเขาว่า “ผมคือลุงเปรม” จึงถามว่า “ลุงเปรม มาทำไม”

    ลุงเปรมก็บอกว่า “ไปดูมันตีกันดีกว่า”

    ถามว่า “มันตีกันที่ไหน”

    ลุงเปรมบอกว่า “มันตีกันที่คลองปาง”

    ถามว่า “จะไปได้ยังไง”

    ลุงเปรมก็บอกว่า “ท่านนอนอยู่ยังงี้แหละ เดี๋ยวก็ฝันตามผมไปเอง” ก็เลยตกลง ก็มีสภาพคล้ายความฝัน คือ ตัวเราเดินตามแกไป คงจะเป็นฝันไปลอยอยู่กลางอากาศที่คลองปาง เห็นข้าศึกมีกำลังประมาณ ๖๐ คน ล้อมรอบ และดักอยู่ ๒ ข้างทางส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ถ้าตำรวจจากกองร้อย ๒ เข้าไปก็จะถูกโจมตีทันที

    ขณะที่ฝันว่าไปลอยอยู่ใกล้ ๆ สถานีตำรวจคลองปาง ก็ได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงของข้าศึกที่เข้าโจมตีประกาศออกไปว่า “ขอให้ตำรวจวางอาวุธ เรามาดี เราไม่ต้องการฆ่าคน เราต้องการอย่างเดียว คือ อาวุธ ขอทุกท่านวางอาวุธเสีย ยอมแพ้โดยดุษณีภาพ แล้วท่านจะไม่มีอันตราย” พอขาดคำข้าศึกก็มีเสียงประกาศก้องของหัวหน้าสถานีซึ่งเป็นจ่าตอบว่า “คำว่าวางอาวุธไม่มีสำหรับที่นี่ เวลานี้ได้วิทยุขอกำลังตำรวจมาช่วยแล้ว ประเดี๋ยวตำรวจก็มา” พอสิ้นคำพูด ต่างคนต่างยิงกัน แต่เป็นเรื่องน่าแปลกอยู่นิดหนึ่ง ที่ข้าศึกเข้าไปใกล้สถานีไม่เกิน ๑๐ เมตร สัก ๕-๖ เมตร เห็นจะได้ สถานีนั้นก็เล็กไม่มีเครื่องบัง ตำรวจทุกคนต่อสู้อยู่ข้างล่าง แต่ว่าข้าศึกยิงขึ้นไปบนสถานี มันก็ยิงไม่ถูกซิ ปรากฏว่าตำรวจ ๖ คน นั่นยิงข้าศึกตายไป ๒-๓ คน ที่วิ่งหนีเลือดโชกไปก็หลายคน ก็เป็นเรื่องแปลก

    สักครู่หนึ่งก็มีรถขายถ่านวิ่งไปจากป่า เจ้าข้าศึกก็นึกว่าเป็นรถบรรทุกตำรวจตระเวนชายแดนที่ขอกำลังมาช่วยก็เลยยิงรถถ่าน ไอ้รถถ่านถูกยิงก็คิดว่าถูกปล้นเพราะห่างจากสถานีประมาณ ๕ กิโลเมตร พอถึงสถานีตำรวจก็ตั้งใจมาแจ้งความ พอเห็นเขายิงกันก็เลยวิ่งต่อไปยางแตกก็เลยฟุบ เจ้าข้าศึกเข้าใจว่ามีตำรวจตระเวนชายแดนมาช่วยก็เลยถอยออกไป ก็พอดีกำลังตำรวจตระเวนชายแดนมาถึง ข้าศึกถอยไปแล้ว

    ตอนเช้า ท่านหญิง ก็มาบอกว่า เมื่อคืนตำรวจคลองปางถูกยิ่งจะไปเยี่ยมกัน แล้วก็ไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนกองร้อยต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ภายนอก ไปโดย ฮ. หลังจากนั้นก็ไปที่บ้านหลังคลอง สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดที่ท่านหญิงวิภาวดีถูกยิง พอไปถึงท่านผู้กำกับก็บอกว่า “ที่นี่ลงไม่ได้ครับหลวงพ่อ เพราะมันยิงกันอยู่ทุกวัน จึงบอกผู้กำกับว่า ให้ฮ. บินวน ๓ รอบก่อน ถ้าฉันตัดสินใจให้ลงก็ขอให้ลง ถ้าฉันบอกว่าไม่ควรลง ก็ไม่ต้องลง เมื่อบินวนครบ ๓ รอบ กำลังใจมันบอกลงได้ ก็เลยบอกให้ลง จุดที่ลงไปนั่นเป็นจุดใจกลางที่ข้าศึกตั้งอยู่ พอลงไปแล้วรู้สึกว่า พวกผู้ชายเขาหลบไปหมด มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ท่านหญิงวิภาวดีก็เรียกเข้ามา มีคนมากระซิบว่า “พวกนี้เป็นพวกผู้ก่อการร้าย” ท่านหญิงวิภาวดีก็บอกว่า “คำว่า ผู้ก่อการร้ายสำหรับฉันไม่มี ที่ฉันมานี่ฉันมาเยี่ยมคนไทย ถ้าทุกคนที่อยู่ในเมืองไทย ไม่ว่าชาติเชื้อศาสนาใด ฉันถือว่าเป็นคนของฉันหมด ฉันเป็นเพื่อนกับเขาทั้งหมด”

    เครื่องบินเราจอดอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง แจกข้าวของ ยา เสื้อผ้ากันตามระเบียบสำหรับท่านหญิงวิภาวดี ท่านก็คลุกคลีกับคนทั้งหลาย นี่ ถ้าเราไม่ทราบมาก่อนว่า ท่านเป็นหม่อมเจ้าละก็จะไม่รู้เลยในสภาวะของท่าน เพราะท่านไม่เคยแสดงตนว่าเป็นจ้าว ท่านแสดงตนเป็นคนเสมอกัน นั่งตีเข่าคุยกัน จูงมือคนนั้นคนนี้ บางคนทำลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่กล้าเข้ามา ท่านก็เรียกให้เข้ามา แล้วท่านก็เดินไปจูงมือเขาเข้ามา นี่แสดงว่า “น้ำใจของท่านหญิงวิภาวดี เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปรานี”

    ทั้งนี้ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงสนับสนุน ถ้าการแจกของแก่บรรดาประชาชนทั้งหลายในถิ่นทุรกันดาร สิ่งของที่มีไปถ้าไม่ตรงตามประสงค์ของบุคคลผู้รับพอเวลา ๒ ทุ่ม ท่านหญิงวิภาวดี ก็สั่งเจ้าหน้าที่วิทยุตรงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วท่านก็กราบถวายบังคมทูลให้ทรงทราบว่าที่นั่นเขาต้องการอะไรบ้าง แล้วรุ่งข้นวันหนึ่งหรืออย่างช้าก็วันที่ ๒ สิ่งของที่ต้องการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะส่งไปถึงสถานที่ที่จะแจกทันที นี่เป็นอันว่า ภารกิจที่เราทำจุดนั้น ก่อนหน้าที่จะถูกยิง ๑ วัน ดูจะเป็นวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ นี่ ก็จำไม่ได้นะ พอเยี่ยมจุดนั้นแล้วก็เดินทางไปเยี่ยมจุดอื่นต่อไปตลอดวัน ได้เวลาเย็นก็กลับ

    กลางคืนวันนั้น อาตมาก็ยังคงนอนที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนแดนเขต ๘ ตำรวจทหารเขาเป็นรั้วป้องกันเรา ยามที่เขามีทุกข์เราก็อยู่เป็นเพื่อนเขา ถ้าตำรวจทหารตามหมดนี่ คนอื่น ๆ น่ะ อาจจะยังไม่ตาย แต่ว่าความเป็นไทอาจจะตาย ความเป็นไทนี่แปลว่า ไม่ใช่ทาส เพราะฉะนั้น เราจะปล่อยให้ทหารตำรวจหรืออาสาสมัครตามนั้นไม่ได้ เพราะว่าถ้าเขาตายแล้ว อิสรภาพที่เรามีอยู่จะหมดไป ดูคนลาวเป็นตัวอย่าง

    ที่อาตมานอนกับตำรวจที่กองกำกับฯ นั้น ความจริงไม่ใช่จะอวดวิเศษว่าตัวจะไม่ตาย เพราะตำรวจมีความหวั่นไหวคิดว่าข้าศึกจะโจมตีกองกำกับฯ ก็เลยอยู่ให้กำลังใจตำรวจ ถ้าบังเอิญเขาจะตีจริง ๆ แล้ว ถ้าบังเอิญตำรวจจะต้องตาย ข้าศึกก็จะได้กำไรพระอีก ๑ องค์ การให้กำลังใจแบบนั้น เพราะถือว่า ตำรวจเขามีทุกข์เพราะเรา เราอยู่แนวหลังนี่ จะคิดกันว่าเรา อย่างลำบากที่สุดก็คือ แดดร้อนไปนิดหนึ่ง ลมหนาวไปสักนิดหนึ่งก็บ่น กินข้าวสายไปหน่อยก็บ่นว่าหิวมันจะเลยเวลา ทำงานเลยเวลาไปนิดหนึ่งเราก็บ่นว่าวันนี้ขาดทุน ถ้ารับราชการหรือรับจ้าง

    แต่ถ้าเราจะดูชีวิตทหารตำรวจชายแดนกันบ้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ท่านไม่มีเวลาพัก ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีทั้งเวลาพักและไม่มีเวลาเผลอ ถือปืนที่ดูเหมือนว่ามีค่าประเสริฐสุด รักปืนยิ่งกว่าภรรยา เพราะว่าปืนกับชีวิตเป็นของคู่กัน ดึกแสนดึก หนาวแสนหนาว ตำรวจทหารไม่เคยบ่น ฝนจะตกฟ้าจะร้องก็ไม่บ่น บางครั้งฝนตก น้ำท่วมบังเกอร์ที่ยืนอยู่ ก็จำเป็นต้องยืนแช่น้ำอยู่อย่างนั้น แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นยืนทำอะไร รายได้ของเขาสูงส่งมากมายนักรึ พลตำรวจ พลทหาร นายตำรวจ นายทหาร มีรายได้ดีกว่าข้าราชการธรรมดารึเปล่า ก็เปล่า รายได้ของเขาแต่ละคน ๑ เดือน บางทีสู้รายได้ของเราครึ่งเดือนก็ไม่ได้ แล้วทำไมเขาจึงต้องทำอย่างนั้น ที่เขาทำอย่างนั้นก็เพื่อชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย การเสียสละเพื่อให้คน ๔๓ ล้านคน มีความสุข แต่เขาเองยอมลำบาก เขาอาจจะต้องเจ็บตัวจากอาวุธของข้าศึกและอาจจะต้องเสียชีวิตจากอาวุธของข้าศึกเขาก็ยอมเสียสละ

    ฉะนั้น อาตมาจึงเห็นว่า ตำรวจมีความหวั่นไหวเมื่อรู้ข่าวว่าข้าศึกจะโจมตี จึงอยู่เป็นเพื่อน เพื่อเป็นกำลังใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นพระเครื่องป้องกันอันตรายให้ตำรวจได้

    คืนวันนั้นนอนเกือบ ๕ ทุ่มก็หลับ เพราะกลางวันเหนื่อยตลอดวัน พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่า เอาอีกแล้ว เมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ คลองปางมีเรื่อง วันนี้ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ก็ไม่ทราบว่า อะไรจะมีเรื่อง ก็เปิดวิทยุรับส่งที่เขาตั้งไว้ข้าง ๆ ที่นอน ก็มีเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศเป็นระยะ ๆ ว่า “ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ที่เคียนซากับพระแสงให้ระมัดระวัง คืนนี้เวลาประมาณตีหนึ่ง ได้ข่าวว่าข้าศึกจะเข้าโจมตี การโจมตีของข้าศึกจะตี ๓ ระลอก ฉะนั้น ขอให้ตำรวนที่ฐานปฏิบัติการทั้ง ๒ แห่ง ยิงป้องกันแบบประหยัดกระสุนไว้ก่อน เพราะกำลังจากภายนอกพร้อมที่จะตีโอบล้อมข้าศึกไว้แล้ว”

    อามตาก็มานั่งคิดว่านโยบายแบบนี้เขาดีมาก เพราะความจริงคลื่นวิทยุที่ส่งไปน่ะ ข้าศึกรับได้ เมื่อข้าศึกได้ฟังแบบนั้น ข้าศึกที่ไหนมันจะเข้าโจมตี มันก็เลยไม่ตี ตอนเช้าอาตมาก็ไปถามผู้กับ คือ พันตำรวจโทสุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ถามว่าทำไมจึงทำอย่างนั้นล่ะ ท่านผู้กำกับก็บอกว่า ความจริงถ้าข้าศึกโจมตี ๒ ฐานนั่น เราช่วยไม่ได้เลย เราปล่อยข่าวว่าจะไปช่วยก็ใช้คลื่นวิทยุที่ข้าศึกรับได้ มันฟังว่าจะไปช่วยก็เลยไม่ตี ก็เป็นการป้องกันชีวิตของตำรวจเหล่านั้นไว้ได้

    คืนนั้นพอตื่นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งซึ่งเมื่อนอนตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำ คือ สมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ก็ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังษี รัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไหวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทว่าองค์นั้นจะใช่หรือไม่อาตมาไม่ทราบ เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสขึ้นมาเฉย ๆ ว่า

    “วิภาวดี มันเสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก” คำว่าเสร็จกิจก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลส ให้เป็นสมุจเฉทปหานไม่มีแล้วที่จะต้องทำ”

    เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสมาแบบนั้น พอจบแล้วภายนั้นก็หายไป อาตมาก็มาคิดในใจว่า “เสียงอย่างนี้ ภายอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์” ถ้าหากว่าอารมณ์ของเราไม่เลือนเกินไป หรือว่าไม่ใช่อุปาทาน ก็แสดงว่า “ท่านหญิง วิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์” แต่อาตมาไม่รับรองนะว่า เป็นหรือไม่เป็น นี่พูดกันตามทัศนะว่า “ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น”

    เมื่อเสียงหมดไป ภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับ เพราะมันไม่อยากจะหลับ มันตื่นอยู่ตลอดเวลาก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป ปรากฏว่า เวลา ๔ นาฬิกาภาพประหลาดเกิดขึ้น “เป็นภาพดวงไฟเล็ก ๆ มีความร้ายแรงมาก ร้อนจัด ดวงนิดเดียว มีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และเป็นเหตุร้ายที่แก้ไขไม่ได้ เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรง พยายามดับเท่าไร ยังไงก็ไม่ดับ ความร้ายแรง ของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป จึงมีความเข้าใจว่าพรุ่งนี้เหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับเรา และเป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้

    ความจริงท่านหญิง วิภาวดี รังสิต นี่เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่มานอนด้วยนะ ไม่ใช่เกาะครูนะเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วัน ผ่านไป ก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษ เป็นอุเพ็งคาปีติ และสามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ แล้วต่อมาท่านก็ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบทูลอาการนี้ให้ทรงทราบ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงต้องไปขอหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานมาให้ฉันเล่มหนึ่งจากหลวงพ่อ ไม่อย่างนั้นท่านหญิงจะออกหน้าฉันไป ฉันไม่ยอม”

    ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต จึงมาแจ้งอาตมาทราบ อาตมาก็มอบหนังสือไปถวายแล้ว บอกกับท่านว่า “ท่านหญิงระวังจะเสียท่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้พระกรรมฐานมาตั้งแต่เด็ก ถ้าท่านหญิงสงสัยละก็ไปสอบถามท่านว่า เมื่ออายุประมาณ ๗–๘ ปี ไม่เกิน ๑๒ ปี ท่านเคยเจริญอานาปานุสสติกรรมฐานจนกระทั่งเห็นแสงมี มีอามรณ์จิตแน่นสนิทเป็นสมาธิดี ท่านได้มาตั้งแต่ตอนนั้นจนปัจจุบันท่านก็ไม่ได้ละ เวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกำลังสมาธิสูงมาก สามารถเข้าฌานออกฌานได้ตลอดเวลา และยิ่งกว่านั้น ยังสามารถฝึกสมาธิเป็นพิเศษเป็นกีฬาสมาธิ บางส่วนได้ด้วย”

    เมื่อท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ได้รับทราบ เมื่อเอาหนังสือไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทูลถาม ท่านก็ทรงรับว่าเป็นความจริง

    หลังจากนั้นมา ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ท่านก็เจริญพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ พระกรรมฐานนี่มี ๒ อย่าง คือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิต ซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาประเดี๋ยวมันก็พัง ถ้าไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ แล้วก็เอาดีไม่ได้เมื่อสมาธิดี เข้มข้นดี วิปัสสนาญาณยังอ่อน ตอนหลังก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต ตอนนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านหญิงวิภาวดีเคยตรัสเป็นปกติว่า

    “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใด ๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการจะสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “ทำยังไงชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์ส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทานก็มีเยอะ และยิ่งไปกว่านั้น นอกจากจะไปแจกของกินของใช้ในปัจจุบันแล้ว ยังช่วยสงเคราะห์ในการประกอบอาชีพอีกด้วย ชาวบ้านเขาทำอะไรขึ้นมาท่านก็ช่วยเอามาขายให้ในกรุงเทพฯ ขายได้เท่าไร ท่านส่งไปให้เจ้าของหมด ไม่ได้กันเอาไว้เลย เป็นอันว่าน้ำพระทัยของท่านเต็มเปี่ยมมีความปรารถนาดีต่อปวงชนชาวไทย

    การเจริญกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา “ต้องการพระนิพพาน” มาก่อนหน้านั้นประมาณ ๓ เดือน เจอะหน้าใครท่านก็พูดว่า “ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน” นี่ทราบอารมณ์ของพระองค์ไว้ด้วยว่า “ท่านหญิงวิภาวดีมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริง ๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดตามตำราคา คือ ตามพระไตรปิฏก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริง ๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงวิภาวดีตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่ อาตมาไม่รับรองเพราะอาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า นี่เล่าอาการที่ปรากฏ

    เป็นอันว่าเมื่อถึงเวลารุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ โดยปกติ ๗ นาฬิกา ฮ. ก็มารับ และวันนั้นก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซีเมนต์ที่พักของท่านหญิง ก่อนขึ้น ฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า “วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่เราไปลงมาเมื่อวันวานแล้ว และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับ ฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ ฮ. ไปรับโดยเฉพาะ แล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับเราประมาณเที่ยง เรากินเพลกันที่กองร้อย ๓ ต.ช.ด. หลังจากนั้นพวกเราจะไปเคียนซากับพระแสงไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด”

    แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า “วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนวันวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธเราก็กล้าลง แต่ว่าวันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราสู้เขาไม่ได้ เพราะมันเป็นวันเปิด”

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่เขาบอกว่าเก่ง หนังเหนียวเนื้อเหนียว กระดูกเหนียวกระไรก็ตาม ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้า อะไรก็ตาม ทั้ง ๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตาย เป็นอันว่าถ้าวันเปิดอย่างนี้ประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็รู้ตัวว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดีที่เคียนซาหรือพระแสงก็ดี อาตมาเองก็ถูกยิง ดูแล้วว่าจะถูกยิงที่เขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูก แต่ถูกเนื้อน่อง แต่ก็ตั้งใจว่า เมื่อเราพูดว่าจะไปแล้วเราก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซี.ซี. ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกายเพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือด รู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเองก็คุ้มครองไม่ได้

    สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่า ยังไงก็ตามวันนี้ท่านหญิงวิภาวดีจะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริงคือว่า “ตามธรรมดา ฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายบวชได้บวชทัน ไม่เป็นไร แต่การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ก็จะต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงชีวิตอยู่ ในเมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า “เอหิภิกขุ” แปลว่า เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเธอจะบวชขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้ว ตถาคตจะบวชให้” แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที นิพพานโดยลักษณะนั้น

    สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตายท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์ จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมารู้อย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า ท่านหญิงวันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไง ๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓ ท่านก็ตกลง

    เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินลงส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่า ท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดู ถามพระครูบาธรรมชัยที่ไปด้วยกันว่า “หลวงปู่ท่านหญิงไม่ลงรึ” เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า ท่านหญิงเขียนหนังสือใส่ย่ามมาให้พอกำลังอ่านหนังสืออยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า

    “หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง” พอเขาบอกเท่านั้น ก็บอกเขาไปว่า

    “เราเสียท่าเขาแล้ว” ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินเราถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะละเพียงนัดเดียว นอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย ไอ้กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี มันเข้าข้างหลังท่าน คือทะลุท้องเครื่องขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิง เมื่อรู้ว่า ฮ. ถูกยิงทุกคนเข้าล้อมท่านหญิงวิภาวดีหมด ไอ้จุดที่คนล้อมกระสุนมันไม่เข้าไปเข้าจุดว่าง

    เมื่ออาตมาไปถึง เห็นท่านหญิงนอนนิ่งจึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระไม่มีอะไรมาก “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่านหญิงวิภาวดี เพราะรู้ว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉย ๆ จึงถามว่า “ท่านหญิงปวดไหม” ท่านก็ตรัสมาว่า

    “ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัด” แล้วท่านก็เปล่งวาจาดัง ๆ ว่า

    “โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน” แล้วเปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า

    “หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบแล้วทูลท่านชาย ปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า

    “นิพพาน นิพพาน นิพพาน” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดัง ๆ ว่า

    “โอ สว่างแล้ว สว่างแล้ว เห็นนิพพานแล้ว เห็นนิพพานแล้ว นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าสิ้นลมปราณ

    การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาคุยวันนี้ เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก โดยเฉพาะลุงหนวดแกชื่ออะไรไม่ทราบที่มานั่งต่อว่าต่อขาน ว่าหลวงพ่อรู้ได้ยังไงว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้ยังไงนี่มันตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัย การเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับหรือนอนแบบสบาย ๆ แต่พอไปถามเข้าว่าเจ็บไหม ท่านก็บอกว่าเจ็บ เจ็บมาก และก็มีหายใจขัด ๆ เวลาพูดก็ใช้เสียงปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า “ขอไปนิพพาน”

    โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า “สว่างแล้ว สว่างแล้ว” เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น บอกว่า สว่างเหลือเกิน นิพพานสวยเหลือเกิน สวยเหลือเกิน หญิงขอลาแล้วขอลาไปนิพพาน หลวงพ่อ หลวงปู่ หญิงขอลาไปนิพพาน และกรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และทูลท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน พระสุรเสียงปกติและดังชัดมาก ดังมากเหมือนอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันรู้เรื่องกันว่า เวลาท่านดีใจ ท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด เมื่ออาการอย่างนี้ปรากฏท่านบอกว่าท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ก็เรื่องของท่าน

    แล้วก็มีเสียงถามขึ้นมาอีกว่า ในเมื่อหลวงพ่อรู้ว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมหลวงพ่อจึงไม่ช่วยป้องกัน อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิด ว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริง ๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือพระมหาโมคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้ายมีฤทธิ์ ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูยังทรงมีชีวิตอยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรมพระมหาโมคคัลลานะถูกโจรล้อม ท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง

    พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า มันเป็นเรื่องอะไร ก็ทราบว่า กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้ เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้วเราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เวลาโจรทุบท่านไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านประสานกายประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้านิพพาน

    นี่เป็นอันว่า ถ้าคนจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ปล่อยให้ร่างกายพัง พระมหาโมคคัลานะท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะไหวไหม ถ้าจะพูดกันอีกที ท่านหญิงวิภาวดียังมีความสำคัญไม่เท่าโยมผู้หญิง โยมผู้ชายของอาตมา เพราะโยมทั้งสองท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะไปห้ามใครก็ได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตาย และอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้

    กลับมาเล่าเรื่องพระเจ้าอยู่หัวต่อไป…

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภกับพ่อว่า หลวงพ่อฝึกเด็ก ๆ ดีจริง ๆ เด็กพวกนี้ดีมาก หลวงพ่อฝึกให้เขารู้จักคุณในการเป็นผู้สงเคราะห์ มีความเมตตาปรานี เด็กพวกนี้น่าสรรเสริญ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ ลูกรักทั้งหมดของพ่อควรจะภูมิใจว่าความดีของลูกที่ทำไป แม้แต่คนอื่นถ้าเขาไม่เห็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงเห็น เราเองและคณะของเราเองก็เห็น เทวดาหรือพรหม หรือพระที่ท่านเข้าพระนิพพานไปแล้ว ท่านก็เห็น ขอลูกรักของพ่อทุกคนจงคิดว่าศูนย์ฯ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบพ่อมานี้ ขอลูกทุกคนจงคิดว่าศูนย์นี้เป็นของลูกนะลูกรัก เวลาพ่อแก่ลงไป ทำไม่ไหว หรือป่วยมากลงไป ทำไม่ไหว หรือว่าพ่อตายแล้วก็ตาม ขอลูกรักจงทำต่อกันไป

    ถ้าลูกจะถามพ่อว่า เวลาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อเคยประหม่าไหม พ่อก็ต้องตอบว่า ในชีวิตของพ่อไม่เคยมีคำว่าประหม่า และก็ไม่เคยมีความรู้สึกว่าประหม่าไม่ว่าสถานที่ใดทั้งหมด พ่อมีความรู้สึกอย่างเดียวว่า ถ้าเรามาดีเสียอย่างจะต้องไปกลัวอะไรก็หมดเรื่อง ในมันก็ไม่ประหม่า ใจมันก็ไม่หวาดหวั่น และอีกตอนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสกับพ่อว่า พระองค์จะมีความรู้สึกเรื่อย ๆ ถ้ามีใครว่าหรือนินทาท่าน ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคนจงนำพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปปฏิบัติ จิตอย่างนี้เขาเรียกว่า อุเบกขาจิต ถ้าจะเรียกเป็นวิปัสสนาญาณ เขาเรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ คนที่มีกำลังใจถึงอุเบกขาญาณ บุคคลประเภทนี้ไปพระนิพพานไม่ยาก

    พ่อขอขอบใจลูกรักของพ่อทุก ๆ คน ที่ลูกทุกคนอยู่ในโอวาทจริง ๆ ไม่ว่าชายไม่ว่าหญิง เป็นคนดีจริง ๆ ไม่เป็นคนนอกโอวาท ไม่ถืออิสรภาพตนจนเกินพอดี พูดอะไรกันเพียงคำเดียวเท่านั้นทุกคนรับฟัง พ่อรักและพ่อชื่นใจมาก ดีใจที่ลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี นับตั้งแต่ออกเดินทาง พ่อรู้สึกว่าร่างกายมันไม่สบาย มันกวนใจกวนประสาทอยู่ตลอดเวลา ประสามก็มึน มาจับลีลาได้ว่า อาหารในท้องที่กินเข้าไปก่อน มันออกมาไม่หมด ก็ปรากฏว่ามันยันไม่ให้อาหารใหม่เข้า แล้วมันก็เข้าไปกวนประสาท ทำมึนไปมึนมา เป็นอันว่าความสุขทางกายไม่มี แต่ว่าความสุขทางใจมีมาก

    ทั้งนี้ ก็อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสำคัญ “ที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงสั่งสอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ทรงสั่งสอนให้รู้จักสภาวะของร่างกายและสังขาร” ว่าร่างกายมันเป็นอนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้ ร่างกายมันเป็นทุกขัง ถ้าเราไปยุ่งกับมัน ใจเราก็เป็นทุกข์ ร่างกายมันเป็นอนัตตา มันจะเป็นยังไงขึ้นมา เราก็ห้ามไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งพระองค์ตรัสว่าร่างกายเป็นโรคนิทัง มันเป็นรังของโรค ทุกคนต้องมีโรคทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บของร่างกาย มันมีเป็นของธรรมดาและอีกศัพท์หนึ่งท่านว่า ร่างกายเป็นปภังคุณัง มันจะต้องเปื่อยเน่าเป็นธรรมดาในที่สุด

    นี่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ่อจำได้ และก็ไม่ลืมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าเราต้องการหมดความทุกข์ ต้องการมีความสุขก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นเป็นพวกเราเป็นของเรา จงคิดว่าร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกัน เห็นร่างกายในคือร่างกายของเราก็ทำความรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าเห็นคือไม่สนใจ ไม่ยึดถือว่ามันกับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดกาลตลอดสมัย ตัดความโลภเสียด้วยการให้ทาน ตัดความโกรธเสียด้วยการเห็นใจซึ่งกันและกัน ตัดความหลงคือยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ลูกชายและหญิงขอพ่อถ้ามีอารมณ์ได้อย่างนี้ทั้งหมด ก็ปรากฏว่าทุกคนจะมีกำลังใจเป็นสุขทุกคนจะหาความทุกข์ไม่ได้ เพราะมีใจสบาย อารมณ์ใจของเราจะสบายได้ เมื่อเรายอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

    สมมติว่าตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้น ตอนเที่ยงพระอาทิตย์ร้อนจัด ตอนเย็นพระอาทิตย์หายลับ ตอนกลางคืนความมืดเข้าถึง ถ้าเรารู้ไว้อย่างนี้เป็นปกติ เราก็ไม่มีความหนักใจ เมื่อค่ำลงไปเมื่อไร เราก็หาตะเกียงหาไฟเข้าไว้ เพื่อจะทำแสงสว่างให้ปรากฏ เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคต ก็มีแสงปรากฏ คือแสงไฟสว่างแทน มันก็หมดความหนักใจ เวลาเช้าพระอาทิตย์ขึ้นมาใหม่ เราก็ดับไฟเตรียมตัวไว้เวลากลางคืน เวลาตอนกลางวันเที่ยงจัด ก็ปรากฏว่าอากาศมันร้อนจัด เราก็รู้อยู่แล้ว น้ำใจของเราก็มีแต่ความผ่องแผ้ว ไม่มีความกลัดกลุ้ม เพราะมันจะร้อนยังไงก็ตามที ถือว่าเป็นเรื่องที่มีมาทุกวัน เอาละบรรดาลูกรักทั้งหลายของพ่อ ถ้อยคำขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ ถ้าลูกทุกคนปฏิบัติได้ กำลังใจของลูกจะมีความสุข ก็เพราะว่าใจเราจะสบาย เพราะยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

    ถ้าลูกรักทั้งชายและหญิงพยายามตัดโลภะ คือ ความโลภ โทสะ คือ ความโกรธ โมหะ คือความหลงเสียได้แล้ว ลูกทุกคนจะมีแต่ความสุข และก็เป็นความสุขที่เราคิดไม่ถึง มีบางคนว่ามันจะมีความสุขได้อย่างไร ความสุขอันนั้นจะมีความรู้สึกประการใด อันนี้อธิบายไม่ได้จริง ๆ ลูกรัก ถึงแม้ร่างกายมันจะปั่นป่วน ร่างกายมันจะผันผวน อาการต่าง ๆ มันจะรุกราน แต่รู้สึกว่าถ้าใจของเรานี้นั้นเป็นใจที่ปราศจากความโลภ เป็นใจที่ปราศจากความโกรธ เป็นใจที่ปราศจากความหลง ขึ้นชื่อว่าความผันผวนใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายหรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบกระทั่ง มันจะเป็นยังไงก็ช่าง ใจมีความสุข

    “ในที่สุดจงทราบตามกำลังใจของพ่อว่าต้องการให้ลูกทุกคนมาคราวนี้ รู้จักสถานที่ที่เราจะทำประโยชน์ ให้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ไม่ใช่มาเที่ยวหาความสุขหาความสบาย เรามาช่วยกันตั้งใจสร้างสรรค์ความเจริญให้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยทั้งหมดจนกว่าจะสิ้นลมปราณ”


    http://www.luangporruesi.com/1010.html
     
  3. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,612
    พระองค์หญิงได้ทรงปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จแทนพระองค์ไปเยี่ยมเยียนประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารทางภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ทรงมีพระทัยกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก แม้ในเขตที่มีผู้ก่อการร้ายปฏิบัติการอย่างรุนแรง ก็ยังทรงอุตสาหะเสด็จไปเยี่ยมเยียนบำรุงขวัญเจ้าหน้าที่ถึงแนวหน้า

    “ทิวาวารผ่านมาเยือนโลก พร้อมความโศกสลดให้ฤทัยหาย

    อริราชพิฆาตร่างท่านวางวาย แสนเสียดายชีพกล้าวิภาวดี"

    เพราะบุญญาธิการและบารมีของท่านหญิงท่านจึงได้พบนิพพานอันสูงสุดแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...