หน้า 4 #69 เรซิ่นที่ไม่เหลืองถึง 25 ปี

บันทึก

เช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ 27 พ.ค. 2561
ผมฝันว่า ผมกลับไปเยี่ยมโรงงานแก้วเดิมของท่านปรามาจารย์แก้วของผม แต่เมื่อผ่านประตูที่ใหญ่มาก ก็เข้าสู่ดินแดนแห่งหนึ่ง ทุกอย่างโบราณแบบเรียบง่าย เตาหลอมแก้วก็ดี เครื่องมือต่างๆล้วนเป็นของแบบโบราณ ไม่เหมือนยุคเหล็ก แต่กลับไปสู่ยุคเครื่องปั้นดินไม่เผา คือใช้ดินดิบทำเตาหลอมแก้วกัน ขนาดที่ใหญ่โตมโหฬาร ประทับใจยิ่งนัก ปรามาจารย์ออกมาต้อนรับลำพังคนเดียว ไม่มีคนงานแม้แต่คนเดียว เราได้สนทนากันพอสมควร จากนั้นผมก็ตื่นขึ้นด้วยความมุ่งมั่นว่า เราคงต้องทำบันทึกนี้ เพื่อที่คนรุ่นหลังอาจได้ประโยชน์จากบันทึกนี้บ้าง เพราะอาจเกี่ยวข้องกับการหล่อพระแก้วในอนาคตกาล ตามที่ผมกับปรามาจารย์ได้พูดถึงการหล่อพระแก้วองค์หนึ่งในอนาคต

 

เคล็ดลับในการสร้างพระพุทธรูปจากทรายแก้วให้เป็นพระแก้วนั้น มีความสำคัญที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจในแทบทุกรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง แต่น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เป็นผู้หลอมแก้วด้วยตนเอง และน้อยคนนักที่เมื่อได้มีโอกาสเป็นผู้หลอมแก้วแล้ว จะมีโอกาสได้สร้างพระพุทธรูป เพราะส่วนมากการขึ้นรูปแก้วให้เป็นชิ้นงานมักเป็นสินค้าตัวอื่นๆ เช่น ถ้วย โถ โอ ชาม โคมไฟ แก้วโถเครื่องปั่นน้ำผลไม้ และอื่นๆ และยิ่งน้อยคนที่ถึงแม้ได้เข้าถึงโอกาสตรงนี้แล้ว จะได้มีโอกาสเข้าควบคุมงานการอบลดอุณหภูมิแก้วชิ้นงาน ดังนั้น ขอให้ติดตามกระทู้นี้ต่อไป ผมจะได้ค่อยๆเผยเคล็ดลับต่อไปครับ

 

ทรายแก้ว Silica Sand เป็นวัตถุดิบหลักๆในการหลอมแก้ว ทรายแก้วในธรรมชาติในไทย ในอดีตกาลนานมากแล้ว ช่างหลอมแก้วส่วนหนึ่งหาซื้อทรายแก้วที่บางครั้งยังไม่ได้ผ่านขบวนการทำทรายให้บริสุทธิ์ทำผ่านขบวนการทำให้ทรายบริสุทธิ์ตามที่ตนต้องการ ต่อมาอุตสาหกรรมแก้วมีความจำเป็นต้องใช้ทรายบริสุทธิ์มากขึ้น มีบริษัทหลายแห่งที่รับทำทรายให้บริสุทธิ์ให้มีคุณสมบัติตรงตามที่โรงงานหลอมแก้วแต่ละแห่งต้องการ บางโรงงานหลอมแก้วต้องการหลอมแก้วไปทำกระจกแผ่นที่มีสีใสอมเขียวมากๆ ในขณะที่บางโรงหลอมแก้วต้องการกระจกแผ่นที่ใสแต่ไม่อมเขียวเลย หรือบางโรงงานหลอมแก้วกลับต้องการหลอมกระจกแผ่นหลายสีในโรงเดียวกัน เช่น กระจกบางอย่างมีสีใสอมเขียวมาก บางอย่างมีสีใสอมเขียวน้อย บางอย่างมีสีใสอมดำเล็กๆ ไปถึงขนาดเป็นสีอื่นๆไปเลย ดังนั้น ทรายอาจไม่เหมือนกันได้

ดังนั้นการศึกษาเรื่องทรายจึงมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก

 

http://www.pandsgroup.com/th/silicasand.htm

เรื่องการศึกษาทรายแก้วต้องศึกษาให้กว้างและให้ลึก ไม่ควรเชื่อถือข้อมูลที่ท่านเองยังไม่ได้ทดสอบทดลองหรือพิสูจน์ให้แน่ชัดในภาคปฏิบัติ

 

ส่วนผสมของแก้ว

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

ท่านสามารถคลิกที่ลูกศรเพื่อไปยังหน้าต่างๆได้ ซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย

 

ผมนำสูตรเคมีผสมแก้วเพื่อหลอมเป็นแก้วคริสตัลสำหรับหล่อพระพุทธรูปมาไว้ที่นี่ ซึ่งเป็นสูตรที่ผมหลอมและสร้างเป็นพระแก้วคริสตัลมาแล้ว


สูตรเคมีผสมทรายแก้วเพื่อการหลอมเป็นแก้วคริสตัลที่ผมใช้

เฉลี่ยต้นทุนราคาวัตถุดิบกิโลกรัมละ 55 บาท 92 สตางค์

 

ทราบมาว่า ปัจจุบันในต่างประเทศมีการขายทรายที่ผสมเคมีภัณฑ์ที่คลุกเคล้ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ( มาเป็นถุงๆเพื่อนำมาหลอมได้ทันที ) เนื่องจากการผสมคลุกเคล้าเคมีภัณฑ์ให้เข้ากันอย่างดีนั้น อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับสตูดิโองานแก้วขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นโรงงานหลอมแก้วในอดีตที่ผมเคยผ่านงานมาทั้งหมด ทุกแห่งมีแผนกคลุกเคล้าเคมีภัณฑ์เข้ากับทรายและเศษแก้วเป็นของตนเอง พวกเราจึงไม่ได้สนใจ อีกอย่างหนึ่ง เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เขาได้ผสมสูตรเคมีให้ตรงกับที่เราต้องการ 100% ดังนั้น ช่างหลอมแก้วสมัยก่อนจึงมักไม่สนใจการสั่งซื้อเคมีภัณฑ์ที่ผสมคลุกเคล้ามาเสร็จๆ

 

ปัจจุบันช่างแก้วในต่างประเทศที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก อาจสามารถเลือกซื้อก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อได้ จึงสะดวกง่าย ไม่ต้องเสี่ยงกับการหลอมแก้วแล้วเกิดฟองอากาศบ้าง เกิดเบ้ารั่ว เบ้าแตก ทำให้เสียหายทั้งๆที่ยังไม่ได้น้ำแก้วมาใช้งานเลย



ทางออกนั้นคือการซื้อก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อ ซึ่งเขามีทุกสีให้เลือกซื้อ

 

แล้วต่างกันอย่างไร ระหว่างการหลอมแก้วเองกับการซื้อก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อ ผมขอยกตัวอย่างจากการหลอมแก้วเอง เราสามารถซื้อวัตถุดิบได้ในราคากิโลกรัมละประมาณ 56 บาท แต่ถ้าเราเลือกซื้อก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อจากก๊าฟเฟ่อร์ ราคากิโลกรัมละประมาณ 700 บาทยังไม่รวมค่าขนส่ง ค่าภาษีต่างๆ

ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจว่า งานเราใหญ่พอหรือไม่ ? หากเป็นงานที่มีจำนวนมาก หรือมีขนาดน้ำหนักมากจริงๆ การหลอมเองก็น่าจะคุ้มค่ากว่า

 

วิธีการนำน้ำแก้วมาขึ้นรูปเป็นชิ้นงานมีหลายวิธี

1 การเป่าแก้วด้วยปอด Mouth Blown Glass

จากภาพนี้แสดงให้เห็นขีดความสามารถของช่างเป่าแก้วด้วยปอดว่า สามารถเป่าแก้วด้วยปอดได้ขนาดใหญ่สุดก็คงประมาณนี้ ถ้าหากเทียบเท่ากับพระพุทธรูปก็คงประมาณหน้าตัก 29 นิ้ว ( ผมคาดเดาจากประสบการณ์ของผมเองที่เคยมีทีมช่างเป่าแก้วด้วยปอดในไทยในอดีตที่สามารถเป่าแก้วลูกกลมในแม่พิมพ์ได้เส้นผ่าศูนย์กลางถึง 36 นิ้ว ทำลายสถิติการเป่าแก้วด้วยปอดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย )

ช่างเป่าแก้วด้วยปอด mouth blown glass ในต่างประเทศที่อยู่ในแถวหน้าๆ อันดับต้นๆ หรือระดับ master ผมเชื่อว่าสามารถเป่าได้ประมาณหน้าตัก 36 นิ้ว แต่เราจะสู้ค่าตัวเขาไม่ไหว จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงแต่ช่างระดับหัวแถวที่เป่าได้หน้าตักประมาณ 29 นิ้ว

 

ภาพแสดงช่างเป่าแก้วด้วยปอดของจีนในยุคปัจจุบันที่ยังมีคนแกร่งงานในระดับนี้อยู่ ผิดจากประเทศไทยที่หายากที่นายช่างเป่าแก้วด้วยปอดจะยอมทนงานหนักขนาดนี้

ปัจจุบันในไทยจึงยากที่จะสามารถเป่าแก้วด้วยปอดได้พระพุทธรูปเกินหน้าตัก 9 นิ้วเท่านั้น

 

ภาพคุณแม่ผมท่านกรุณามาช่วยยืนหน้าเตาอบลดอุณหภูมิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมจะขอกล่าวในโอกาสต่อไป ( กันลืมมาโพสต์ภาพไว้ก่อนครับ )

 

ภาพนี้ที่โรงงานแก้วเจษฏา จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อต้นปี พ.ศ. 2548 ผมได้ขอให้คุณสมศักดิ์ เจ้าของโรงงานแก้วเจษฏาสร้างพระพุทธรูปแก้วด้วยวิธีเป่าแก้วด้วยปอดและด้วยวิธีแก้วปั๊ม หน้าตัก 9 นิ้ว และมาสร้างสำเร็จประมาณกลางปี พ.ศ. 2549

 

ข้อดีและเป็นข้อเด่นของการสร้างพระแก้วด้วยวิธีเป่าแก้วด้วยปอดคือ ราคาค่าสร้างเฉพาะองค์พระแก้วหน้าตัก 9 นิ้ว ราคาองค์ละ 450.- บาท ค่าสร้างฐานโลหะทึบแสงหล่อจากอลูมีเนียมพร้อมพ่นสีอบและติดตั้งขั้วไฟ E27 พร้อมสายไฟและปลั๊กเสียบอีก 250.- บาท รวมแล้วทั้งองค์ราคา 700.- บาท ส่วนหลอดไฟก็แล้วแต่จะใช้กี่วัตต์ ราคาก็จะต่างกันไปตั้งแต่หลอดละ 69.- บาทถึง 135.- บาท รวมแล้วทั้งหมดต้นทุนองค์ละ 770.- บาทเท่านั้น

ภาพพระแก้วหน้าตัก 9 นิ้วองค์ที่ 2 จากซ้ายและองค์ขวาสุดคือพระแก้วหน้าตักที่ผมสร้าง ซึ่งในระยะเวลาใกล้ๆกันนั้น ฝรั่งเศสได้สร้างพระแก้วตันหน้าตัก 8 นิ้วเศษโดยไม่ได้นัดหมายกัน แต่เขาขายองค์ละ 4 แสนบาทเศษ ส่วนของผมน้อมถวายไว้ในพระพุทธศาสนา ไม่ได้คิดเงินใครเลย

 

พระแก้วกลวงเป่าด้วยปอดหน้าตัก 9 นิ้ว ผมได้แจก และได้น้อมถวายไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น 500 องค์ และทางวัดบางแห่งได้นำไปให้ประชาชนบูชาแล้วทั้งหมด

 

สาระสำคัญที่จะกล่าวในเรื่องเคล็ดลับเทคนิคการอบลดอุณหภูมิพระแก้วนั้น ขอเชิญได้แล้วครับ จากตรงนี้จะเป็นเคล็ดลับเทคนิคการอบลดอุณหภูมิ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Annealing Process บางแห่งเรียกว่า Glass Forming Relaxation หรือบางแห่งเรียกว่า Reheat

 

องค์ประกอบของแก้วนั้น ที่เป็นหลักคือทราย ทราย บางสูตรเคมีของแก้วมีทรายเป็นส่วนประกอบมากถึงเกือบ 100% ซึ่งสูตรนั้นไม่มีใครนำมาหลอมเป็นแก้ว เพราะต้องใช้อุณหภูมิในการหลอมสูงถึง 2,100C นานถึง 12 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ทรายจึงจะหลอมเหลวกลายเป็นน้ำแก้ว สูตรเคมีที่โรงงานแก้วทั่วๆไปนำมาหลอมเป็นน้ำแก้วเพื่อแปรรูปเป็นชิ้นงานนั้น ส่วนมากเป็นสูตรที่มีทรายเป็นส่วนประกอบประมาณ 46% ขึ้นไป และสูตรที่มีทรายมากที่สุดคือสูตรแก้วโซดาไลม์ซิลิก้าของบางโรงงานที่ใช้ทรายมากถึง 79% จะเห็นว่า มีบางสูตรใช้ทรายน้อย และบางสูตรใช้ทรายมาก ปริมาณที่ต่างกันนั้น ต่างกันมากถึง 33% ยังไม่ต้องกล่าวถึงอีกหลายสูตรที่อาจมากกว่านี้ เพราะทราบมาว่า บางโรงงานแก้วในเมืองนอกขณะนี้ที่สามารถหลอมแก้วให้มีทรายเป็นส่วนผสมลดลงไปได้อีก จึงทำให้ปริมาณทรายยิ่งแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น

 

ในฐานะที่ผมเคยเป็นผู้จัดการโรงงานหลอมแก้วมาในอดีต คุณพ่อคุณแม่ให้ผมควบคุมสายงานการผลิตแก้วทุกชนิดอยู่นานหลายปี โดยได้เชิญปรมาจารย์แก้วฝีมือวางอันดับต้นๆของประเทศไทย ท่านก็เมตตาให้ความรู้โดยให้สิทธิในการไต่ถามก็ตาม หรือแม้แต่จะลงมือทำการทดสอบทดลองอะไรภายในโรงงานหลอมแก้วของคุณพ่อผมก็ได้ทั้งสิ้น จึงทำให้ผมมีความรู้ในเรื่องเคล็ดลับนี้มาจากการทดสอบทดลองหลายครั้ง

 

เคล็ดลับอยู่ตรงนี้ครับ

1 เข้าใจให้ถ่องแท้เกี่ยวกับสัดส่วนของทรายในน้ำแก้ว [ สูตรแก้ว ]

2 เข้าใจให้ถ่องแท้ถึงชิ้นงานว่า เป็นชิ้นงานกลวง ( มีความหนากี่มิลลิเมตร ส่วนมาก 1 - 12 มิลลิเมตร ) [ พระแก้วกลวงเป่าด้วยปอดจัดอยู่ประเภทนี้ ], ในโคมไฟถนนบางรุ่นแก้วมีความหนาครึ่งนิ้วถึง 1 นิ้ว, ชนิดกึ่งตันเช่นแก้วหมุดฝังบนพื้นถนนที่มีความหนาประมาณ 2 นิ้ว และในชนิดแก้วตันๆเช่น paper weight ที่ทับกระดาษขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว ตุ๊กตาแก้วตันๆ เช่นปลาโลมาขนาดใหญ่ รวมไปถึงแก้วกลมตันๆที่บางวัดชอบนำไปหลอกว่าเป็นแก้วพญานาคที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 1 นิ้วไปถึงเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้วหรือมากกว่า [ พระแก้วตันจัดอยู่ประเภทนี้ ]

3 รูปร่างของชิ้นงานและแรงดึงดูดของโลกที่ทำต่อชิ้นงานขณะที่ได้รับความร้อนจากการอบลดอุณหภูมิ Annealing Process ตำแหน่งและมุมการวางชิ้นงานในเตาอบลดอุณหภูมิ

4 รูปร่าง, ขนาด, ชนิดของเตาอบแก้ว

5 ชนิด และ ตำแหน่งของตัวหรือเครื่องวัดอุณหภูมิภายในเตาอบลดอุณหภูมิ