หลวงตาพระมหาบัวกล่าวถึงพ่อแม่ครูอาจารย์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 22 มิถุนายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม”

    [​IMG]
    หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม



    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



    รากแก้วของกรรมฐาน

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๙ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


    พระกรรมฐานรู้สึกจะมากทางภาคอีสานและมากเรื่อยมา เพราะรากแก้วของกรรมฐานในสมัยปัจจุบันก็อยู่ที่ภาคอีสานเป็นพื้นฐาน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นรากฐานของกรรมฐานมานาน เพราะฉะนั้นบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ต้องการอรรถธรรมจริง จึงต้องหมุนหาครูหาอาจารย์ซึ่งเป็นที่แน่ใจได้ แล้วก็ไม่พ้นหลวงปู่ทั้งสององค์นี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ท่านไม่ค่อยเทศน์ เงียบแต่ว่าไม่เทศน์ ถ้าจะเทศน์ก็พูดเพียงสองสามประโยคแล้วหยุดเลย สำหรับหลวงปู่มั่นการเทศนาว่าการทุกสิ่งทุกอย่างอยู่นั้นหมดเลย ธรรมทุกขั้นอยู่นั้นหมด ออกจ้าๆ เลย

    จากนั้นมาบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ไปศึกษากับท่านทั้งสององค์นี้มา ก็กลายเป็นครูเป็นอาจารย์ของพระทั้งหลายต่อมาเรื่อยๆ ดังที่เราเห็น เช่น อาจารย์นั้น อาจารย์นี้ ออกจาก เฉพาะอย่างยิ่งหลวงปู่มั่น ออกจากนี้ เรียกว่ามีอยู่ทั่วประเทศไทยทุกภาค บรรดาที่ได้รับจากครูบาอาจารย์ที่ท่านศึกษามาจากหลวงปู่มั่น ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่คำดี เหล่านี้มีแต่ออกจากนี้ล้วนๆ เลย นี่เราพูดเพียงเอกเทศนะ ทีนี้แต่ละองค์ๆ นี้ลูกศิษย์มากน้อยเพียงไรมาศึกษาอบรม แล้วก็แตกกระจายออกไป ซึ่งก็มีอยู่ทุกภาคๆ เป็นรุ่นหลาน รุ่นลูกก็คือลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน รุ่นหลานก็เป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้ใหญ่อีกทีนึง แตกกระจายออกไป ถึงจะไม่ได้แบบฉบับของครูของอาจารย์ ก็พอเป็นร่องเป็นรอยบ้างก็ยังดี เรียกว่าฐานอนุโลม ดีกว่าไม่ได้ไปศึกษาอบรมมา

    ตั้งแต่หลวงปู่สิงห์ จังหวัดนครราชสีมา ที่สร้างวัดสาลวันขึ้น นั่นเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน เท่าที่เราจำได้ก็อาจารย์สุวรรณ ท่านเสียไปแล้ว แล้วก็ไล่เลี่ยกัน อาจารย์สุวรรณท่านเคยไปอยู่ทางท่าบ่อ เคยสนิทสนมกับเรา เพราะเราไปเที่ยวทางท่าบ่อ ไปพบกับท่านที่นั่น นี่เรียกว่าอาจารย์สุวรรณ คู่เคียงกันกับหลวงปู่สิงห์ วัดสาลวัน หลวงปู่มหาปิ่น เป็นน้องของหลวงปู่สิงห์ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรัทธารวม ด้านตะวันออกโคราช ติดกัน แต่ก่อนอยู่ชานเมืองไป ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ ๒ กิโล เดี๋ยวนี้มันจะกลายเป็นใจเมืองเข้าไปแล้ว บ้านครอบหมด นี่ก็องค์หนึ่ง นอกจากนั้นเราก็จำไม่ค่อยได้ ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมาหาหลวงปู่แหวนอย่างนี้ ไล่เลี่ยๆ กันมา

    แต่ก่อนท่านอยู่ในป่าจริงๆ เพราะหลวงปู่มั่นท่านไม่ได้ออกมานอกๆ นาๆ ง่ายๆ ท่านอยู่ในป่าๆ จากป่าก็ภูเขา ออกมาตีนเขาตีนอะไร ถ้าไม่ใช่อยู่ภูเขาก็ต้องอยู่ในป่า ส่วนมากท่านจะอยู่ในภูเขา เอาจริงเอาจัง นี่ละต้นเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลากิ่งก้านแตกแขนงออกไปมันก็ปลอมก็แปลมไปเรื่อยๆ อย่างนั้น อย่างเรานี่เป็นวาระสุดท้ายท่านจริงๆ เรานี้เรียกว่าเหลนก็ถูก เรานี่เป็นรุ่นเหลนไป หรือยกๆ ขึ้นบ้างก็ว่าหลาน แต่ไม่เต็มใจนัก ถ้าว่าเหลนนั้นจะพอดี เพราะครั้งสุดท้ายของท่าน ลูกศิษย์ต้น ที่สองลำดับมาที่สาม สุดท้ายก็น่าจะเป็นอย่างพวกเรานี้

    ต้นจริงๆ ก็ท่านอาจารย์สิงห์ อาจารย์สุวรรณ แล้วต่อเนื่องมาท่านอาจารย์ฝั้น เกี่ยวโยงกันมาตลอดนะเรื่อยมา แล้วก็ค่อยต่อกันมาๆ ครูอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการอบรมมาแล้วมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ก็แนะนำสั่งสอน เป็นหลานไปละนะ เราจะอยู่ในขั้นหลานนี่ละ หลานกับเหลนนี้แย่งตำแหน่งกันอยู่ จากนั้นก็เหลว เข้าใจไหม มาลูกมาหลานมาเหลนแล้วก็เหลวไปเลย ถ้าพูดตามบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายนี้ เราพูดตามหลักความจริง มาพูดให้เราฟังเองก็มี แล้วเราสืบถามไปก็มี บรรดาลูกศิษย์ที่หัวดื้อนะ เหลนตัวนี้ดื้อกว่าทุกหัว เท่าที่ทราบมาไม่มีองค์ไหนจะกล้าถกเถียงกับท่านเหมือนอย่างเรานี้ เราก็ยอมรับ เพราะเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ


    Luangta.Com -
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม”

    ตอนนั้นเรากำลังเรียนหนังสืออยู่ที่วัดสุทธจินดา นครราชสีมา ทางวัดสาลวันท่านเปิดโอกาสเทศน์ ดูเหมือนสี่วันเทศน์ทีหนึ่งๆ เราก็ว่าง วัดสุทธจินดา ถ้าวันไหนว่างตรงกันกับวันฟังเทศน์ท่านแล้วไปทุกวัน เราไปวัดสาลวัน ไปคนเดียว แต่ก่อนไม่มีรถ รถหายาก แต่ก่อนไม่มีรถนะ เดินจากวัดสุทธจินดาไปวัดสาลวัน เดินคนเดียวนะ เดินตามทางไปเรื่อยๆ

    พอถึงเวลาบ่ายโมงท่านก็เริ่มเทศน์ ท่านอาจารย์สิงห์ละเทศน์ เราก็นั่งใกล้ๆเลย ท่านนั่งเทศน์ข้างหน้าเราก็นั่งข้างหน้า ไม่พูด แต่ไปนั่งตรงนั้นทุกวันจนกระทั่งท่านจำได้ว่าพระหนุ่มองค์นี้ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านจำชื่อเราไม่ได้ ท่านว่าพระหนุ่มองค์นี้แปลกอยู่นะท่านว่า ท่านไปเล่าให้พระทั้งหลายฟัง มานี้เป็นประจำ มาไม่พูดอะไรกับใครเลยละ ท่านทราบได้อย่างไร พอถึงเวลามาพระหนุ่มองค์นี้จะมาฟังตรงหน้าเรา นั่งเหมือนหัวตอ นิ่งเหมือนหัวตอ พอฟังเทศน์แล้วเราสังเกตดู พอลุกจากนี้แล้วหายเงียบเลย จะไปคุยกับพระองค์ใดๆ ไม่เห็นมีเลย ท่านว่าอย่างนั้นละ พระองค์นี้จะอยู่วัดไหนไม่รู้ พระหนุ่มองค์นี้

    ความจริงเราอยู่วัดสุทธจินดา ถึงเวลาฟังเทศน์วัดสาลวันเราไป คือเราเรียนหนังสือแต่เรามุ่งต่อด้านปฏิบัติอยู่ตลอด เวลาว่างทางด้านปฏิบัติท่านเทศน์อบรมกรรมฐานกันเราต้องไปๆ จนหัวหน้าวัดท่าน ท่านอาจารย์สิงห์ท่านจำได้ พระหนุ่มองค์นี้ไม่ทราบมาจากไหน ว่าอย่างนั้นนะ ท่านคงจะสังเกตอยู่นาน เราก็ไม่ได้พูดอะไรกับท่านกับใครละ เรานั่งตรงหน้าธรรมาสน์ท่าน พอมาเห็นนั่งรออยู่แล้วเป็นประจำ ว่าอย่างนั้นนะ ท่านอาจารย์สิงห์ละพูดเอง พอเทศน์จบลงหายเงียบไปเลย หายเงียบไปเลย ท่านคงจะสังเกต

    เราไปฟังด้วยความสนใจนะ เวลาเรียนหนังสือเรียนอยู่ที่วัดสุทธจินดาแต่ความมุ่งมั่นภาคปฏิบัติอยู่กับกรรมฐาน เพราะอย่างนั้นเกี่ยวกับเรื่องกรรมฐานฟังเทศน์ฟังธรรมเราต้องไป อยู่ที่วัดสาลวันเป็นวัดสำคัญเราไปทุกวันถ้าเวลาว่าง พอวันว่างมันไม่ตรงกัน คือเราว่างที่จะฟังเทศน์เราไป อันนี้ท่านว่างหรือประชุมอะไรท่านก็ประชุม เราคอยวัดคอยเทียบกันอยู่ ตรงกับวันประชุมหรือตรงกันเป๋งๆแล้วไปได้ง่ายนิดเดียว เป็นอย่างนั้นละ ไปฟังที่วัดสาลวัน เราอยู่วัดสุทธจินดา

    ทางพระกรรมฐานท่านเทศน์ ท่านอาจารย์สิงห์เทศน์ หลวงปู่สิงห์เทศน์ เทศน์ภายในจิต ไปทุกวันนะ ถ้าวันไหนว่างอย่างที่ว่าแล้วว่างตรงกันปั๊บๆ นี้ไปทุกวันเลย เราไม่อยู่ เราชอบฟังธรรมะภาคปฏิบัติ การเรียนเราเรียนพอเป็นปากเป็นทางนะ แต่ความมุ่งมั่นจริงๆ แล้วอยู่ภาคปฏิบัติจิตตภาวนา (กราบเรียนถามท่านเทศน์มั้ยครับหลวงปู่สิงห์) ท่านเทศน์นานอยู่ เป็นชั่วโมง อย่างนั้นละกรรมฐานเทศน์ ท่านเทศน์ท่านจะหมุนภายใน คือท่านไม่ค่อยออกข้างนอก ถ้าออกข้างนอกเป็นเวลาจะหยุด เวลาเทศน์มันจะหมุนอยู่ภายในๆ พอมันคลี่คลายออกมานี้เป็นเวลาจะหยุดเทศน์แล้วนะ ถ้าธรรมดาหมุนอยู่ภายในนี้หมุนเรื่อยเป็นชั่วโมงกว่าๆอันนี้เราเคยแล้วมันก็เข้ากันได้การเทศน์ ถ้าเทศน์มันหมุนอยู่ภายในนี้ไม่ออกละ เทศน์นาน ถ้ามันแย็บออกมาแล้วเป็นทางที่จะออกแล้ว เหมือนว่าเปิดประตูแล้วจะออก เป็นอย่างนั้นละ

    อยู่วัดสาลวัน โคราชนะ ที่เราอยู่นั้นก็คือ วัดสาลวัน วัดศรัทธารวม กรรมฐานสองวัดนี้ละ วัดที่เราอยู่เรียนหนังสือก็คือวัดสุทธจินดา อยู่ที่นั่น การไปเรียนหนังสือเพื่อออกในภาคปฏิบัตินี้เรียนอย่างนั้นละ มันจะได้อยู่ในจิตอะไรก็ตามนะ มันไม่ได้ถือเป็นอารมณ์นะ จิตมันมุ่งอยู่ภาคปฏิบัติ มุ่งอยู่อย่างนั้น การอยู่การกินการขบการฉันในเวลาศึกษาเล่าเรียนอยู่มันจะอดอยากขาดแคลนอะไรไม่สนใจนะ แต่มันมุ่งอยู่ทางภาคปฏิบัติ นี่เป็นอย่างนั้นละ ใครๆ ก็ตามเถอะเป็น

    เราอยู่วัดสุทธจินดาพอถึงเวลาฟังเทศน์วัดสาลวันเที่ยงแล้วออก ไปถึงนั้นก็บ่ายโมง ท่านเทศน์ดูว่าเป็นบ่ายสองโมง ไปคนเดียว คือแต่ก่อนไม่มีรถ รถอย่าไปถามหา แต่ก่อนเดินเลยจากวัดสุทธจินดาเดินไปวัดสาลวัน ไปคนเดียวนะ ไม่สนใจกับใคร เพราะมองดูมันไม่น่าจะสนใจ ว่าองค์นี้มีความสนใจกับธรรมอย่างไรๆ ก็ต้องไป ไปตามนิสัยของใครของเรา นิสัยอย่างเราไปเราก็ไปอย่างนั้น

    อยู่วัดสาลวันกับวัดสุทธจินดาเป็นวัดที่เราอบรมเรียนอยู่วัดสุทธจินดา เวลาไปฟังเทศน์ทางกรรมฐานท่านเทศน์ท่านอาจารย์สิงห์นะท่านเทศน์ เทศน์อยู่วัดสาลวันเราไปๆ จนกระทั่งท่านพูดถึงว่าพระหนุ่มองค์นี้ฟังเทศน์แทบจะครบทุกครั้งที่ประชุมเทศน์ ท่านว่า คือวันไหนเราว่างทางเรียนทีนี้พอดีกับจังหวะฟังเทศน์ทางนี้เรามาทางนี้ ถ้าเราไปว่างทางนู้นเราก็อยู่ทางนู้น เพราะอย่างนั้นถึงได้เห็นเราบ่อยๆ วัดสุทธจินดากับวัดสาลวันเป็นวัดที่เราท่องเที่ยวไปมาตลอด ฟังเทศน์

    คือจิตใจมันอยู่ภาคปฏิบัตินะ การเรียนนี้พอเป็นปากเป็นทาง จิตใจมันไม่หนักแน่นนะ มันหนักแน่นอยู่ทางภาคปฏิบัติ อย่างไรก็ตามหยุดจากเรียนนี้แล้วเราจะเข้าภาคปฏิบัติโดยถ่ายเดียว ก็เข้าอย่างนั้นจริงๆ พอหยุดแล้วเข้าเลยภาคปฏิบัติ จนท่านอาจารย์คำดีท่าน ท่านจำได้นะ เราเป็นคนพูดท่านเป็นคนจำ กระผมเรียนไปอย่างนั้นแหละ แต่ภาคปฏิบัติจริงๆ อยู่ที่กรรมฐาน ออกจากนี้ผมไปกรรมฐานเลยว่าอย่างนั้น เราออกจากนั้นก็ไปกรรมฐานเลย ท่านว่าพูดมีคำสัตย์คำจริงจริงๆ ท่านมหาพูดผมจำได้ทุกคำ นี้ออกทางปฏิบัติจริงๆ ท่านว่าอย่างนั้นละ


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๒ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


    Luangta.Com -
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ”

    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    [​IMG]
    แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ



    คุณแม่ชีแก้ว ผู้รอบรู้พิสดาร

    ที่บ้านห้วยทรายแห่งนี้ มีนักปฏิบัติธรรมหญิงท่านหนึ่ง นามว่า คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เวลาภาวนามักจะมีความรู้แปลกพิสดารมาก เมื่อท่านมาจำพรรษาอยู่ที่บ้านนี้ จึงได้มีโอกาสสนทนาและให้อุบายทางจิตตภาวนาอันสำคัญยิ่งต่อคุณแม่ชีแก้ว

    หลวงตาเล่าถึงชีวิตการปฏิบัติธรรมอันน่าอัศจรรย์ยิ่งของคุณแม่ชีแก้วไว้ ดังนี้

    “...แม่ชีแก้วที่อยู่บ้านห้วยทรายนี้ เป็นลูกศิษย์ดั้งเดิมของท่านอาจารย์มั่นมาตั้งแต่เป็นสาวโน่นนะ แกภาวนาเป็นตั้งแต่เป็นสาวโน่น ถ้าวันไหนภาวนาแปลกๆ พอท่านอาจารย์มั่นบิณฑบาตมาถึงนั้น ท่านจะว่า

    “วันนี้ออกไปวัดนะ”

    เพราะท่านหยั่งทราบทุกอย่าง...ทีนี้พอท่านจะจากที่นั่นไป ท่านก็บอกตรงๆ เลย บอกว่า

    “นี่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วเราจะเอาไปบวชเป็นเณรด้วย”

    อายุตอนนั้นราว ๑๖-๑๗ ปี

    “นี่เป็นผู้หญิงมันลำบากลำบน ไม่เอาไปแหละ อยู่นี่แหละ จะเป็นบ้าครอบครัวเหมือนโลกเขา ก็แล้วแต่เถอะ...”

    ว่าดังนี้แล้วท่านก็ไป ก่อนจะไปท่านสั่งว่า “แต่อย่าภาวนานะ”

    นี่สำคัญ ท่านสั่งไว้จุดนี้แหละ คือนิสัยแกผาดโผนมาก เรื่องภาวนานี้นิสัยผาดโผนมากจริงๆ เหาะเหินเดินฟ้าดำดินบินบนในหัวใจมันออกรู้ออกเห็นหมด เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเปรตผีนี้มันไปรู้ไปหมดนั่นซิ ทีนี้เวลาไม่มีครูมีอาจารย์คอยแนะคอยบอก กลัวมันจะเสีย ท่านจึงห้ามไม่ให้ภาวนา

    “เราไปนี้ไม่ต้องภาวนาแหละ ต่อไปมันก็จะมีครูมีอาจารย์สอนเหมือนกันนั่นแหละ”

    ท่านว่าอย่างนี้ ท่านว่าผ่านๆ ไปอย่างนี้แหละ...ทีนี้นานเข้าๆ หนักเข้ามันอดไม่ได้ มันอยากภาวนาอยู่ตลอด แกก็เลยภาวนา ก็พอดีเป็นจังหวะที่เราไปที่นั่น พอเหมาะดีเลยเทียว

    พอเราไปถึง แกก็มาเล่าให้ฟัง ตอนที่เราไปนั้นเราไปจำพรรษาบนภูเขา ให้หมู่เพื่อนจำพรรษาข้างล่าง เรากับเณรหนึ่งไปจำพรรษาอยู่บนภูเขา บ้านห้วยทรายนั่นแหละ

    พอวันพระหนึ่งๆ พวกเขาจะไป ไปพร้อมกันไปละ ไปทั้งวัดเขาเลยแหละ พวกแม่ชีแม่ขาวหลั่งไหลกันไป ขึ้นบนภูเขาหาเราตอนบ่าย ๔ โมง ๔ โมงเย็นเขาก็ไป ตอนจวน ๖ โมงเย็นเขาก็กลับลงมา พอไปถึงแกก็เล่าให้ฟัง ขึ้นต้นก็น่าฟังเลยนะ พอแกขึ้นต้นก็น่าฟังทันที

    “นี่ก็ไม่ได้ภาวนา เพิ่งเริ่มมาภาวนานี่แหละ ญาท่านมั่นท่านไม่ให้ภาวนา”

    แกว่าอย่างนั้น “ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา”

    เราก็สะดุดใจกึ๊ก มันต้องมีอันหนึ่งแน่นอน ลงหลวงปู่มั่นห้ามไม่ให้ภาวนานี้ ต้องมีอันหนึ่งแน่นอน จากนั้นแกก็เล่าภาวนาให้ฟังนี้ โถ ไม่ใช่เล่นๆ พิสดารเกินคาดเกินหมาย เราก็จับได้เลยทันที

    “อ๋อ อันนี้เองที่ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา”

    ...พอไปอยู่กับเรา...ไปหาเราก็ภาวนา พูดตั้งแต่เรื่องความรู้ความเห็น ไปโปรดเปรตโปรดผีโปรดอะไรต่ออะไร นรกสวรรค์แกไปได้หมด รู้หมด แกรู้ ทีนี้เวลาภาวนามันก็เพลินแต่ชมสิ่งเหล่านี้ ครั้นไปหาเรานานเข้าๆ เราก็ค่อยห้ามเข้า หักเข้ามาเป็นลำดับลำดา ห้ามไม่ให้ออก ต่อไปห้ามไม่ให้ออกเด็ดขาด...นี่แหละ เอากันตอนนี้ ทีแรกให้ออกได้ “ให้ออกก็ได้ไม่ออกก็ได้ ได้ไหม เอาไปภาวนาดู ?” ครั้นต่อมา “ไม่ให้ออก” ต่อมาดัดเลยเด็ดเลย “ห้ามไม่ให้ออกเป็นอันขาด”

    นั่น เอาขนาดนั้นนะทีนี้ ให้แกรู้ภายใน อันนั้นเป็นรู้ภายนอกไม่ใช่รู้ภายใน ไม่ใช่รู้เรื่องแก้กิเลส จะให้แกเข้ามารู้ภายใน เพื่อจะแก้กิเลส แกไม่ยอมเข้า เถียงกัน แกก็ว่าแกรู้ แกก็เถียงกันกับเรานี่แหละ ตอนมันสำคัญนะ พอมาเถียงกับอาจารย์ อาจารย์ก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงภูเขาเลย

    “ไป...จะไปที่ไหน...ไป สถานที่นี่ ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ มีแต่คนพาลนะ ใครเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ให้ไป ลงไป...”

    ไล่ลงเดี๋ยวนั้น ร้องไห้ลงไปเลย เราก็เฉย น้ำตานี้ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร เราเอาตรงนั้น ไล่...ลงไป

    “อย่าขึ้นมานะ แต่นี้ต่อไปห้าม" ตัดเด็ดกันเลย ไปได้ 4-5 วัน โผล่ขึ้นมาอีก”...ขึ้นมาอะไร !!!...

    “เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน” แกว่า

    “มันอะไรกัน นักปราชญ์ใหญ่” เราว่าอย่างนั้นนะ ว่านักปราชญ์ใหญ่ แกว่า “เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ” แกจึงเล่าให้ฟัง คือไปมันหมดหวัง แกก็หวังจะพึ่ง ก็พูดเปิดอกเสียเลย แกหวังว่า

    “จะพึ่งอาจารย์องค์นี้ ชีวิตจิตใจมอบไว้หมดแล้วไม่มีอะไร แล้วก็ถูกท่านไล่ลงจากภูเขา เราจะพึ่งที่ไหน ?

    แล้วเหตุที่ท่านไล่ ท่านก็มีเหตุมีผลของท่านว่า เราไม่ฟังคำท่าน ท่านไล่นี่ ถ้าหากว่าเราจะถือว่าท่านเป็นครูเป็นอาจารย์แล้วทำไมจึงไม่ฟังคำของท่าน เพราะเราอวดดี แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร

    ทีนี้ก็เลยเอาคำของท่านมาสอนมาปฏิบัติ มันจะเป็นยังไง ? เอาว่าซิ มันจะจม ก็จมไปซิ”

    คราวนี้แกเอาคำของเราไปสอนบังคับไม่ให้ออกอย่างว่านั่นแหละ แต่ก่อน มีแต่ออกๆ ห้ามขนาดถึงว่าไล่ลงภูเขา แกไม่ยอมเข้า มีแต่ออกรู้อย่างเดียว พอไปหมดท่าหมดทางหมดที่พึ่งที่เกาะแล้ว ก็มาเห็นโทษตัวเอง

    “ถ้าว่าเราถือท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ ทำไมไม่ฟังคำท่าน ฟังคำท่านซิ ทำลงไปแล้วเป็นยังไงให้รู้ซิ”

    เลยทำตามนั้น พอทำตามนั้นมันก็เปิดโล่งภายในซิ ทีนี้ จ้าขึ้นเลยเชียว นี่ก็สรุปความเอาเลย นี่แหละที่กลับขึ้นมา กลับขึ้นมาเพราะเหตุนี้ ทีนี้ได้รู้อย่างนั้นๆ ละทีนี้ รู้ตามที่เราสอนนะ

    “เออ เอาละ ทีนี้ขยำลงไปนะตรงนี้ ทีนี้อย่าออก อย่ายุ่ง ยุ่งมานานแล้วไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เหมือนเราดูดินฟ้าอากาศ ดูสิ่งเหล่านั้นน่ะ

    ดูเปรตดูผีดูเทวบุตรเทวดา มันก็เหมือนตาเนื้อเราดู สิ่งเหล่านี้ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ถอนกิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้นี่ ตรงนี้ ตรงถอนกิเลส”

    เราก็ว่าอย่างนี้ “เอ้า ดูตรงนี้นะ”

    แกก็ขยำใหญ่เลย เอาใหญ่เลย ลงใจไม่นานนะก็ผ่านไป แกบอกแกผ่านมานานนะ...พ.ศ. ๒๔๙๔ เราไปจำพรรษาที่ห้วยทราย ในราวสัก ๒๔๙๕ ละมัง แกก็ผ่าน...”

    คำกล่าวอีกตอนหนึ่งของท่านเล่าถึงเรื่องความรู้พิสดารของคุณแม่ชีแก้ว ดังนี้

    “...ความรู้ของคุณแม่แก้วแปลกพิสดารมาก สำคัญที่สุดที่เรียกว่าไม่พลาดเลย เวลาเราไปไหนมาไหนนี่นะ ไม่มีพลาดเลย แม่นยำ ไม่มีเคลื่อนเลย พอเราออกจากวัด

    “อ้าวญาท่านไปแล้วนะวันนี้นะ” ว่าอย่างนั้นนะ “ไปแล้ว”

    ที่เราไปไหนมาไหนนิสัยเราก็อย่างนี้ มันไม่เคยพูดไม่เคยบอกใคร มันเป็นนิสัยอย่างนั้นแต่ไหนแต่ไร ทางนี้ก็รู้แล้วเริ่มแล้วนะนี่

    “อบอุ่นเข้าแล้ว ค่อยอบอุ่นเข้ามาๆ”

    พอถึงที่ก็ว่า “ถึงแล้ว” ตอนเช้าก็ได้หุงข้าว แล้วเตรียมหมากทุกวันไม่มีพลาด เราถึงได้ถามนะสิ

    “นี่เตรียมมาทุกวันหรือ ? หมากนี่ข้าวเนี่ย”

    หุงข้าววันละหม้อเล็กมาให้ทุกวันตอนเราอยู่นั่นน่ะ บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง หุงข้าวเตรียมหมาก แกคอยจัด ตัวแกเองไม่มาหรอก แต่ให้แม่ชีมาจังหัน แม่ชีก็เอามา ส่วนแกนานๆ จะเอามาทีหนึ่ง ถามแม่ชีเรื่องหุงข้าว แม่ชีตอบว่า

    “เพิ่งหุงตอนญาท่านมานี่แหละ”

    เขาเรียกญาท่าน เป็นความเคารพของเขานะ “หมากนี่เพิ่งทำ ตอนญาท่านไม่อยู่ ข้าวนี่ก็งดหมด”

    “แล้วทำไมถึงรู้ว่าจะทำ ?”

    แม่ชีตอบว่า “ก็คุณแม่บอกให้ทำไปเถอะ ญาท่านมาแล้ว”

    นี่แหละ อันนี้ไม่พลาดนะ สำคัญไม่มีพลาด...กับตอนที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพ โอ๊ย แกแม่นยำของแกขนาดนั้น...

    “ญาท่านเสียแล้ว...เมื่อคืนนี้”

    แกเล่าว่า “ญาท่านมาบอกว่า มานี่มา ไปดูเสียซากเรา เห็นแต่ซากแล้ว ญาท่านว่า พ่อไปแล้วนะ”

    พอคุยพูดกันยังไม่เลิกเลย ไอ้หลานมันก็ไปคำชะอี ไปได้ข่าวเขาออกวิทยุตอนเจ็ดโมงเช้า ประกาศลั่นว่า

    “หลวงปู่มั่นเสียแล้ว”

    มาถึงมันก็วิ่งถึงวัดเลย วิ่งกระหืดกระหอบมา “อะไร ?”

    “โอ๊ย ญาท่านเสียแล้ว นั่นเห็นไหม...เห็นไหม เสียในเวลาเท่านั้นเท่านี้ เขาประกาศลั่น นี่ก็แม่นยำมาก...”

    ศิษย์คนสำคัญอีกท่านหนึ่งในระยะที่พักอยู่บ้านห้วยทรายแห่งคือ ตาปะขาว ชื่อ คำตัน

    ซึ่งระยะต่อมาไม่นาน ตาปะขาวก็ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลวงตาเมตตาเป็นผู้จัดหาบริขาร เครื่องบวชให้ด้วยตนเอง ดังคำกล่าวของท่านว่า

    “...หลวงพ่อตันนะ องค์หนึ่งนะ อันนี้ก็เราบวชให้เลยนะ เป็นตาปะขาว แกภาวนาดี แกเล่าภาวนาให้ฟัง เข้าท่านี่ว่ะ เราเลยให้ไปบวชมุกดาหาร เราไม่ไปแหละ แต่ให้โยมพาไป ให้พระพาไป บริขารเราเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ให้ไปบวชแล้วมาอยู่กับเรา หลวงพ่อตันนี้องค์หนึ่ง...”


    คัดลอกบางตอนมาจาก
    หนังสือ...หยดน้ำบนใบบัว คติธรรมและชีวประวัติ
    พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่ชอบ ฐานสโม”

    [​IMG]
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



    พระธาตุลูกศิษย์หลวงปู่มั่น

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๗ เดือนธันวาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๔
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


    เมื่อวานไม่ได้ทองคำเลย ดอลลาร์ได้ ๒๐ ดอลล์

    เขาบอกมาเมื่อวานหรือวานซืนนี้ ถึงเรื่องอัฐิของหลวงปู่ชอบกลายเป็นแก้วไปเลย ว่างั้น แต่เรายังไม่ได้ดู ถ้าหากว่ามีโอกาสพอดูได้เราจะไปดูเอง คือถ้าเราได้ดูของเราแล้วเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ได้ดูได้เห็นด้วยตาของเราเองแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ายังไม่ได้ดูก็ยังไม่เต็มเท่าไรนัก แต่ผู้ที่ควรเชื่อถือได้ด้วยการรู้เรื่องเหล่านี้ได้ดี เราก็เชื่อเช่นเดียวกับเราไปเห็นเอง หลวงปู่ชอบชื่อท่านก็ชอบแล้วนี่ ท่านเรียบๆๆ ธรรมดา ท่านชอบอยู่ในป่าในเขามาก พึ่งจะออกมาตอนเป็นอัมพาต

    ท่านเป็นโรคอัมพาตได้เกี่ยวกับหมอกับอะไร นอกจากเกี่ยวกับหมอแล้วเลยยุ่งไปหมดเลย โรคอัมพาตเป็นเหตุที่ให้ท่านมาเกี่ยวกับประชาชน ลูกศิษย์ลูกหาก็ลากท่านไป ท่านไม่ไปก็ลากท่านไป เลยเลอะๆ เทอะๆ ไปหมด ไม่ใช่ท่านเลอะๆ นะ เรื่องราวมันเกี่ยวกับท่านมันยั้วเยี้ยๆ เลยเสียไปนะอาจารย์ชอบ องค์ท่านเองไม่มีอะไร ลูกศิษย์ลูกหานั่นซี ท่านไม่สบายก็เอาไปหาหมอ ออกจากนั้นก็เลอะๆ เทอะๆ หามท่านไปที่นั่นที่นี่ไปแล้วใช่ไหมล่ะ เหมือนปลาเน่า หามไปประกาศขายกิน เวลาคุยกับเราคุยดีนะ คือสนิทกันมากกับหลวงปู่ชอบ เราไม่ค่อยเกี่ยวนักตอนที่คนรุมท่าน พระเณรไปรุมท่านทำให้ท่านไม่สบายใจด้วย แล้วเรื่องราวก็เลอะๆ เทอะๆ ไปด้วย เราเลยไม่เข้าไปเกี่ยว มีแต่มาดุเอาพระองค์หนึ่งมากับท่าน ชี้หน้าเลยเทียวนะเรา อย่างนั้นละ ต่อหน้าท่าน ท่านมาเยี่ยมเราบนศาลานี้ เพราะเราได้ทราบข่าวเลอะๆ เทอะๆ มากับพระองค์นี้ เขาบอกชื่อบอกนามมา

    พอมาก็ถาม องค์นี้ชื่อว่ายังไงๆ พอถึงองค์นี้ชื่อว่าอย่างนั้นก็เปรี้ยงทันทีเลย ท่านอาจารย์ชอบท่านก็นิ่งไม่พูดอะไร เราเอาจริงๆ ฟาดเปรี้ยงๆ ต่อหน้าท่านอาจารย์ชอบ ท่านสึกเสียอย่ามาอยู่ให้หนักศาสนา เอาขนาดนี้นะ ท่านมาทำครูบาอาจารย์ให้เลอะให้เสีย ครูบาอาจารย์ไม่เสีย ท่านกำลังเสียเป็นส้วมเป็นถานไปแล้วเหม็นคลุ้งไปหมดท่านรู้ไหม ซัดเอาจริงๆ ต่อหน้าท่านนะ อย่างนี้ละหลวงตาไม่ไว้ใคร นี่พวกนี้ทำให้ท่านเสีย ท่านไม่เสียก็เลอะๆ ไปกับพวกเหล่านี้เลยเสียไป

    นี่เกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่ชอบ ครูบาอาจารย์องค์ใดมักจะมีพระไปทำให้เหม็นคลุ้งๆ เป็นยังไงไม่รู้นะ ไม่ปรากฏเลยแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่น นอกจากนั้นมี ท่านไม่มีอะไร แต่พวกพระเณรชีไปทำเลอะๆ เทอะๆ มันก็เหม็นคลุ้งทั่วกันไปหมดจะว่าไง ครูอาจารย์องค์ไหนก็มีพระตัวสำคัญๆ ไปแทรกเป็นเปรตเป็นผีอยู่นั้น มี ถึงได้เอาพระองค์นี้ เดี๋ยวนี้ก็สึกไปแล้ว ผู้ที่ยังไม่สึกไล่เบี้ยกับนั้นเลย ท่านอยู่ให้หนักศาสนาทำไม เอาขนาดนั้นนะต่อหน้าหลวงปู่ชอบข้างบนนี้

    พอหันมาทางนี้ก็ถามล่ะซี เพราะได้เรื่องมานานแล้วเต็มหัวอกแล้ว ถามเข้าไป พอองค์ที่ตรงเป๋งกับที่เขาบอกก็เปรี้ยงเลยทันที อย่างนั้นเลอะเทอะ ไม่มีใครพูดนะ ครูอาจารย์ท่านขี้เกียจพูดท่านก็ปล่อยของท่านอยู่อย่างนั้นละจะว่าไง มันก็เลอะๆ เทอะๆ ครูอาจารย์องค์ไหนก็แบบเดียวกันท่านขี้เกียจยุ่ง ท่านไม่ยุ่ง แล้วก็สนุกสร้างความสกปรกรกรุงรังเข้าใส่ครูบาอาจารย์ เข้าใส่วงคณะตลอดศาสนาไปอย่างนั้น มันมีมันเป็นได้ ครูบาอาจารย์องค์ไหนมักจะมีเสมอ ไม่ปรากฏเลยก็พ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะเรื่องอติเรกลาภก็มี สำหรับหลวงปู่มั่นไม่ต้องถาม สำหรับท่านเองท่านไม่เคยเกี่ยว แต่นี้เราอยู่ใกล้ชิดละซีถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

    เอาจริงเรา เครื่องบริขารเราควบคุมหมดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ใครมายุ่งไม่ได้ว่างั้นเลย เราเป็นคนสั่งทีเดียวเลย สั่งนี้ไปนั้นสั่งนั้นไปนั้น แยกๆ เรียบวุธหมด บริสุทธิ์เต็มที่ นั่นเห็นไหมล่ะ เราเป็นคนจัดเอง พ่อแม่ครูจารย์มั่นจึงไม่ปรากฏเลยแม้นิดหนึ่งไม่มี ตอนนั้นจะว่าเราควบคุมอยู่นั้นก็ถูก แต่เราไม่ตั้งใจควบคุมเหล่านี้ละนะ เราตั้งใจกับครูบาอาจารย์ แต่เวลาสิ่งเหล่านี้มีมามันก็มาเกี่ยวโยงที่จะรับผิดชอบ นั่นซีที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง เรียกว่ากุมอำนาจเลยก็ได้ สั่งทันทีเลย ก็เรียบไปตลอด เราเป็นคนจัด บริขารอะไรที่เขามาถวายท่านมากน้อยนี้ เราสั่งเขาทันทีเลย บอกจำนวนมา บอกมาๆ เสร็จแล้วเราเป็นคนสั่งแยกๆ อันนี้แยกไปทางนั้นๆ แยกไปจนหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เป็นอย่างนั้นละเราจัดเอง เรียบไปเลยไม่เห็นมีอะไร

    ครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านไม่ค่อยพูด มันก็สนุกเลอะๆ เทอะๆ พระหน้าด้าน มาหน้าด้านกับเราไม่ได้นะหน้าผากแตกทันทีเลย ไม่ว่าองค์ไหนก็มาเถอะน่ะ คิดดูซิฟาดต่อหน้าหลวงปู่ชอบเห็นไหมล่ะ ท่านก็นั่งเฉยเลย ก็เราเก็บไว้หมดแล้วเรื่องราวทุกอย่างมีแต่รอจะออกเท่านั้นเอง พอได้จังหวะปั๊บพุ่งทันทีเลย บอก ให้สึกท่านอย่าอยู่ให้หนักศาสนา เอาขนาดนั้นนะ คนทั้งโลกเขารู้กันหมดท่านทำไมไม่รู้ท่าน ว่าขนาดนั้นนะ เอาขนาดนั้นต่อหน้าหลวงปู่ชอบ ท่านไม่ว่าอะไร เฉย ก็ท่านรู้ยิ่งกว่าเราทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเรื่องของพระเหล่านี้น่ะ เราเก็บเอามาจากคนนั้นคนนี้แล้วก็ใส่เปรี้ยง ท่านจะว่าอะไรเราก็เราพูดตามหลักความจริง ท่านไม่ว่าท่านก็เฉยของท่าน

    แต่ก่อนท่านมีแต่อยู่ในป่าในเขาทั้งนั้นนะ หลวงปู่ชอบ ก็มาเกี่ยวกับท่านเป็นอัมพาต แล้วแห่ไปโน้นหามไปนี้ สุดท้ายก็เลยเอาสินค้าท่านหามประกาศขายกินไปซิพระเลอะเทอะ พวกเลอะเทอะ ใครเลอะเทอะก็ตามมันก็ยุ่งไปตามๆ กันหมด เหม็นคลุ้งไปหมด หลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่าน ไปก็จะไปเจออีกก็จะเอาอีกนะ เจอตรงไหนเอาตรงนั้นไม่เหมือนใครนี่ ผิดจะให้มาเหยียบหน้าผากอยู่ได้ยังไง ก็รู้ว่าผิด ต่างคนต่างมาชำระความผิดแท้ๆ ทำไมจะพูดกันไม่ได้ ชำระกันไม่ได้ นั้นซิมันออกตรงนั้น เปรี้ยงเลยแหละเรา

    ส่วนมากครูบาอาจารย์มักจะมีแต่เราเป็นผู้น้อยกว่าท่านนะ แต่ถ้าพูดแบบโลกมักจะเป็นเรื่องเราโจมตีท่านเสมอแหละ ท่านไม่ค่อยได้ว่าอะไรเราเพราะเห็นมันไม่ถอยใครพระองค์นี้น่ะ ไปที่ไหนก็ใส่เปรี้ยงใส่ครูบาอาจารย์ ไล่เบี้ยหาเหตุหาผลแล้วก็ใส่กันเปรี้ยง ทีนี้ท่านก็ไม่ทราบจะเถียงเราว่ายังไง เพราะที่เปรี้ยงๆ มีแต่ถูกทั้งนั้น ยิ่งหลวงปู่ฝั้นด้วยแล้วเข้าท่าดีนะ นิสัยท่านน่ารักน่าเคารพเลื่อมใส เราเทิดทูนท่านตลอดนะ หลวงปู่ฝั้นอัธยาศัยใจคอทุกสิ่งทุกอย่างเรียบหมดเลย ถึงขนาดนั้นยังถูกเราโจมตีได้ ฟังซิพระองค์นี้มันถอยใครเมื่อไร

    อยู่ๆ ก็พวกบ้ามันสร้างเหตุการณ์ขึ้นมา รวมหัวกันเต็มอยู่ในครัวของท่านยั้วเยี้ยๆ พระก็ไม่มีองค์ไหนกล้าแตะต้อง มันจะตั้งโครงการขึ้นใหญ่โตเสียด้วย นิมนต์พระมาตั้งสองร้อยสามร้อย จะทำบุญใหญ่โตถวายอายุท่านครบรอบ เขาไม่มาปรึกษาท่าน เขาประชุมกันเรียบร้อยแล้ว ตกลงกันคนนั้นเอาอย่างนั้น คนนี้เอาอย่างนี้ไปหมดแล้ว มีแต่เขาโค้งๆ เราไม่โค้งใส่เปรี้ยงเดียวเอาหลงทิศไปเลย ทีนี้พระก็ไม่กล้าพูดว่ายังไง ไม่กล้ากราบเรียนท่าน เดี๋ยวพระก็จะกระทบกระเทือนไปด้วย คงอย่างนั้นแหละ พระไม่มีทางไปก็วิ่งมาหาเรานั่นละเรื่องมัน ตั้งหน้ามาเลยเชียว มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังต่างๆ นานา เหตุการณ์เหล่านี้มีแต่เรื่องเสียหายทั้งนั้น วงกรรมฐานไม่มีชิ้นดีเลย เสียหายหมด ตั้งอะไรๆ ขึ้นมาไม่เห็นมีเหตุมีผลอะไรเลย

    เราพูดจริงๆ เรื่องเหตุกับผล ต้องไปกับเหตุกับผล เขามาเล่าให้ฟังละซี เวลากับพระเราไม่ตอบอย่างไรเลย เฉย ท่านมาเล่าให้ฟัง อะไรๆ เล่าให้ฟังหมดเรื่องราวในวัด เราไม่ตอบสักคำเดียวเลย เฉย เหมือนไม่รู้ไม่ชี้นะ อย่างนั้นนะเฉย ฟังอยู่เฉยๆ อย่างนั้นก็มี ไม่ตอบไม่ถามคำไหน เพราะพระที่เล่าให้ฟังมันแจ่มแจ้งหมดแล้ว ไม่ทราบจะไปถามอะไรๆ จากนั้นพระท่านก็กลับไป อีกสองวันมั้ง เพราะจวนวันเข้าไปแล้วเราก็ไปเลยเทียว ไปก็บึ่งเข้าหาท่านเลย เด็กโจมตีผู้ใหญ่เข้าท่าดีนะ เหอๆ ขึ้นเลย ซัดผู้ใหญ่ ท่านใจดี เรามันอย่างที่เห็นนี่แหละ ยกเหตุยกผลมาอย่างนั้นๆ พอรวบรวมมาแล้วนี้วงกรรมฐานจะเสียตรงนี้ มีแต่ครูจารย์เท่านั้นที่จะห้ามทัพนี้ได้ นอกนั้นไม่มีใคร พระมาบอกเราก็ไม่ได้กราบเรียนท่านนะ กลัวจะกระทบกระเทือนท่าน เป็นเรื่องของเราล้วนๆ เก็บเรื่องทั้งหมดแล้วก็ขึ้นกราบเรียนท่านเลย ไม่บอกว่าใครมาบอกเราอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่บอก เอาความจริงเข้าใส่เปรี้ยงๆ เลย

    พอเสร็จแล้ว นี่ครูจารย์จะว่ายังไง เรื่องราวเป็นอย่างนี้ ครูจารย์จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้หรือครูจารย์จะพิจารณา ก็มีแต่ครูจารย์เท่านั้นจะชี้ขาดได้เรื่องเหล่านี้ นอกนั้นไม่มีในวัดนี้ ว่างั้น กระผมในฐานะเป็นลูกศิษย์มากราบเรียนให้ทราบ ด้วยความรักสงวนครูบาอาจารย์และคณะกรรมฐานของเรา เหอ ไม่ได้ๆ ไม่ได้ก็ครูจารย์ต้องเป็นผู้ห้ามเอง ไม่ได้ๆ ขึ้นเลยทันที ไม่ได้ก็ต้องเป็นเรื่องของครูจารย์ กระผมมากราบเรียนเฉยๆ เรื่องราวเป็นความจริงอย่างนี้ๆ พอเรามาแล้วท่านก็คงจะเอาใหญ่ละท่านะ เรื่องนั้นเลยหายเงียบไปเลย ก็มีแต่ท่านองค์เดียวเท่านั้น ท่านสั่งคำเดียวก็หมดเลย ทีนี้ท่านไม่รู้ซี เขาตั้งทัพอยู่ด้านหลังๆ รอบด้านไม่ให้ท่านรู้ พระท่านรู้หมดแล้วท่านมาหาเรา เราจึงไปเองก็เพราะสงวนครูบาอาจารย์วงหมู่คณะจะเลอะเทอะไปหมด เพราะหัวหน้าผู้ใหญ่ทำได้ ผู้น้อยต้องทำได้หมด ตรงนั้นตรงจะเสีย

    วันเกิดองค์นั้น วันเกิดองค์นี้ ใครก็เกิด ไอ้หยองมันก็เกิด ทำไมไม่เห็นทำบุญวันเกิดมัน ไอ้หยอง ไอ้ปุ๊กกี้ นั่น ทำบุญวันเกิดองค์นั้น ทำบุญวันเกิดองค์นี้ เราโมโหนะ ของเราเราไม่ได้มีนะ เรื่องของเราแต่ก่อนใครมาแตะไม่ได้เลย อันนี้มีช่วยชาติบ้านเมืองเราก็เลยเฉยๆ ไปเสีย เพื่อชาติบ้านเมืองไม่ได้เพื่อเรา เรื่องของเรามีอะไร พ่อแม่ครูจารย์เองท่านก็ไม่เคยมี จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไปไม่เคยมีวันเกิดวันตายอะไรเลย ที่จะดำริขึ้นมาหรือพูดมาแย็บหนึ่งไม่เคยมี เราก็ไม่เคยมี เรื่องก็รู้กันอยู่แล้วยุ่งหาอะไร

    สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้งานอะไรๆ ไม่มีโดยเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดไม่ให้มายุ่งเลย แต่ก่อนเป็นอย่างนั้นตลอดมาไม่ให้ยุ่ง ให้มีแต่ภาวนาอย่างเดียว พระองค์ไหนไม่ทำอย่างนั้นควรไล่ออกจากวัดไล่ทันทีเลย นี่มันเลอะเทอะมาพอแล้ว หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้นนะอยู่ทุกวันนี้ มันของดีเหรอ อยู่แบบหูหนวกตาบอด อดเอาทนเอาอย่างนั้น ก็เราไม่เคยทำมานี่ มันเลอะเทอะเสียจนแหลกหมด ไม่ว่าที่ไหนต่อที่ไหนเลอะเทอะไปตามๆ กันหมด

    พระก็ต้องได้เอาอีกแบบหนึ่ง คราวนี้เด็ดขาดเลยไม่ต้องถาม เราสั่งให้ไปทันทีๆ ไม่ต้องวินิจฉัย ถ้าอะไรเราเห็นด้วยตาของเราแล้วให้ออกจากวัดได้ ไล่ทันทีเลย ไม่ต้องถามให้เสียเวล่ำเวลา เอาอย่างนั้นจริงๆ ไม่เด็ดอย่างนั้นไม่ได้จะฉิบหายหมด ศาสนาจะไม่มีอะไรเหลือ พระเณรเข้ามาเลอะๆ เทอะๆ มองเห็นเก้งๆ ก้างๆ เอาแล้ว เปรี้ยงไล่หนีทันทีเลยไม่ให้อยู่ให้หนักวัด ผู้รักษา-รักษาอยู่ ผู้ทำลายเข้ามาทำลายหาอะไร เอาตรงนั้นซี ผู้รักษา-รักษาแทบล้มแทบตายรักษาอยู่ ผู้ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเข้ามาเหยียบมาถีบมาเตะมายันให้แหลกมันก็เสียหมดทั้งวัดล่ะซิ นี่ละถึงไม่วินิจฉัย ถ้าเจอด้วยตาแล้วเอาเลยๆ ไล่เลยทันที

    นี่พูดถึงเรื่องหลวงปู่ชอบ แต่ก่อนท่านอยู่ในป่าในเขาทั้งนั้นเลย อันนี้ก็มาเกี่ยวกับโรคอัมพาตท่านถึงได้ถูกแห่หามไปโน่นหามไปนี่ เลยกลายเป็นพระเลอะๆ เทอะๆ ไปตามกิริยาของโลกที่มองเห็น แต่ท่านเองท่านไม่ได้เป็นอะไร เรื่องภาวนาเล่าสู่กันฟัง โอ๊ย น่าฟัง ท่านเก่งนะกับพวกเทวบุตรเทวดาเก่งมาก เฉพาะสัตว์นี้คือเสือกับงู งูมันมาคลอเคลียอยู่กับหัวท่าน ไม่ใช่งูธรรมดางูเห่าเสียด้วย ท่านนอนพักอยู่กลางวัน มันมาอะไรก็ไม่รู้ท่านว่า มันขึ้นมา ท่านนอนอยู่กลางวันมันมาคลอเคลียอยู่หัว เอ้า นี่มันอะไรท่านว่างั้น ก็ไม่ได้นึกว่าเป็นงู งูมันมาเที่ยวธรรมดา ท่านนอนอยู่แคร่ท่านว่า มันมาได้ยังไงขึ้นมาแคร่นั่น มันมาอยู่ที่บ่าท่านคลอเคลียอยู่กับท่าน หัวมันอยู่ข้างบน งูเห่าตัวใหญ่ท่านว่า เห็นมันมาคลอเคลียก็เลยปัดไปถึงได้รู้ว่าเป็นงูเห่า มึงมาอะไร ไป

    ไล่มันไป มันก็เลยไป ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเขี่ยไปเฉยๆ ท่านไม่รู้ว่าเป็นงู มันมาคลอเคลียอยู่นี่ ท่านเลยเอามือเขี่ยไปตกเป๊ะ มึงมาอะไรนี่ไป มันค่อยๆ เลื้อยไป ท่านว่างั้น มันก็ไม่ทำอะไรละ มันก็มาตามประสาของมัน มันไม่รู้ว่าคนนะ มันรู้มันจะเข้ามาหาอะไร มาคลอเคลียอยู่บนหัวท่านว่า ท่านนอนอยู่ ท่านกับงูนี้รู้สึกจะมีนิสัยเกี่ยวโยงกัน กับหมานี้เหมือนกันกับหลวงตาบัวเลยนะ วันนั้นไปด้วยกัน เดินไปบิณฑบาตด้วยกัน นั่นละคนเราคุ้นกันพูดได้อย่างนั้นละ ท่านถือไม้เท้า ไม้เท้านั้นปลายมันแตกๆ ท่านถือไปอย่างนั้นแหละ เดินคุยกันไป พระเณรไปก่อนแล้ว เราไปกับท่านสององค์ เพราะมีเวลาเท่านั้นได้คุยกัน

    หลวงปู่ชอบ : ท่านมหา ขอเงินสักสามพันน่ะ
    หลวงตา : จะเอาไปอันใด๋ พระบวชมาบ่ได้บวชมาหาเงิน มาหาธรรมต่างหาก

    หลวงปู่ชอบ : เวลาบ่มีเงินมันก็อยากได้เงินเ...ด๊ล่ะ เวลามันจำเป็นกับเงินมันกะมีอยู่นี่
    หลวงตา แล้วจะเฮ็ดจังใด๋ล่ะ ข้าน้อย เว้าเบิ่งดู

    หลวงปู่ชอบ : ซิเฮ็ดอันนั้นๆ
    หลวงตา : เออ ให้เลย สามพัน เรากะบ่ลืมเด๊ เอ้า ถวายเลย แน่ะ จังซั่นแหละ ไม่ยากอีหยัง ทีนี้พอเดินไปถึงนั่น พวกญาติโยมเขายืนเป็นแถวรอใส่บาตรท่าน พอไปถึงนั้นก็มีหมา นี่ละมันเข้ากันได้กับหลวงตาบัวนะ เดินไปพอดีเขากำลังยืนกันเป็นแถวใส่บาตร พวกเขารู้นิสัยท่านแล้วละ เขาเฉยเขาไม่สนใจนะ เขารู้นิสัยกันแล้ว เราก็จับนิสัยได้เข้ากันได้กับเราสนิท พอไปปั๊บๆ ไปใกล้ๆ แล้วมีหมาตัวหนึ่งมาเดินป้วนเปี้ยนๆ อยู่นี่ ไม้เท้านั้นเวลาท่านจะรับบาตร ท่านก็วางทิ้งไว้แล้วเข้ารับบาตร กำลังจะไปถึงที่ทิ้งไม้เท้านั่น หมามันก็ป้วนเปี้ยนๆ ท่านก็จับอันนี้ละใส่หลังหมาเปรี๊ยะเลย ฟังเสียงหมาร้องแง้ก อันนี้ร้องแค๊กเลย พอหมาร้องแง้ก หมาวิ่ง ท่านก็ทิ้งปั๊วะ เราก็ขบขันดีแต่เราก็ไม่พูดนะ เฉย ส่วนโยมเขาเฉยเขารู้นิสัยท่าน ท่านก็เข้ารับบาตร ไอ้หมาตัวนั้นถูกไม้ตีหลังมันก็แง้กวิ่งเลย ท่านก็ทิ้งไม้เข้ารับบาตร ท่านกับหมาเอาดีอยู่นะ นี้อันหนึ่งตามปกติท่านชอบเล่นกับหมา

    ทีนี้อยู่ในวัด อยู่ดีๆ นี่นะ วัดท่านมีคลองข้ามวัด คลองข้ามผ่านวัดไปนั้น น้ำเต็มอยู่นั้น ทีนี้เวลาหมามานั่น ท่านบอกพระเณร ลัดๆๆๆ พระเณรไปไหนหมด ลัดๆๆๆ พระเณรมา อะไร นี่หมาตัวนี้ ให้ลัดหมา ให้องค์นั้นลัดตรงนั้น องค์นั้นลัดตรงนั้นๆ ลัดตรงนี้ๆ ไล่หมาลงคลอง ไม่ใช่อะไรนะ มันไม่มีที่ไป พระวิ่งมาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่านสั่งให้มาเดี๋ยวนี้ๆ วิ่งมา ที่ไหนได้มาลัดหมาตัวเดียว วิ่งไล่ทางนั้นก็ไล่ ทางนี้ก็ไล่ ท่านก็ไล่ทางนี้ มันก็โดดลงคลอง โดดลงคลองมันก็ว่ายน้ำไปทางนั้น นั่นเห็นไหมมึงสู้พระได้เหรอ มันกระโดดลงน้ำ ท่านก็หนีเลยนะไม่มีอะไร เท่านั้นแหละ ท่านชอบหมา เห็นหมา ไล่จนกระทั่งมันไม่มีที่ไปมันก็ลงคลอง ว่ายน้ำ นั่นเห็นไหมมึงเก่งกว่าพระเหรอ เราก็ขบขันดี ท่านอาจารย์ชอบนิสัยท่านชอบหมา

    อยู่ในป่าในเขา เวลาท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดา เสือนี่มาบ่อย มาหาท่าน แปลกอยู่นะ มันขึ้นมาบางทีกลางคืน บางทีตอนเช้ามันก็มา ท่านอยู่ถ้ำ มันร้องโว้กๆ ขึ้นมา กำลังจะบิณฑบาตท่านว่า สว่างแล้วแหละท่านกำลังเดินจงกรม จะลงไปบิณฑบาต ตอนนี้ท่านอยู่ไหนไม่ทราบแต่อยู่ถ้ำ ฟังเสียงมันร้องโว้กๆๆ ขึ้นมา เสือตัวนี้มันขึ้นมาอะไร ขึ้นมาตามทางคนขึ้นมา ท่านก็เดินจงกรมอยู่ มันก็โว้กๆๆ ตามประสา มาจริงๆ มาถึงที่ท่านเดินจงกรม พอมาเห็นท่านมันก็ยืนจ่ออยู่ มึงมาอะไร มันก็เฉย ท่านก็เดินไป พอมันมาอย่างนั้นแทนที่ท่านจะหนีท่านไม่หนีนะ มึงมาอะไรนี่ มันก็ยืนจ่อดูอยู่ดูท่าทางของคน ท่านก็จับผ้าจีวรโครมครามๆ มันก็โก้กทีเดียว เปิดเลยเท่านั้นละ ท่านไม่กลัวมัน มันก็โก้กทีเดียวเปิดเลย ท่านว่านะ ตอนเช้าออกบิณฑบาต

    กลางคืนมันก็มา เล่นกันเรื่อยกับเสือ ท่านว่างั้นนะ แต่มันไม่เคยทำอะไร ดูลักษณะท่านไม่กลัวเสือนะ ไม่ว่าจะมาหาท่านกลางคืนตอนไหนก็ตาม ท่านเล่นกับมันได้อย่างสบายไม่มีลักษณะกลัวนะ ดูกิริยาท่านพูดท่านอะไร มึงมาอะไร มึงภาวนาเป็นไหม กูภาวนามึงขึ้นมายุ่งทำไม สักเดี๋ยวก็เดินเข้าไปหามัน ทำผ้าจีวรใส่ปุ๊บปั๊บ มันก็หนีเสีย ลักษณะท่านไม่กลัวนะ เจอบ่อยกับเสือ หลวงปู่ชอบ นิสัยมันต่างกันนะ งูหนึ่ง เสือหนึ่ง หลวงปู่ชอบ กับพวกเรื่องเทวบุตรเทวดานี้หากเกี่ยวข้องอยู่เสมอละ

    ท่านพูดถึงเรื่องที่ท่านกลับมาจากพม่า เรียกว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา ท่านว่างั้นนะ ก็เรียกว่าสมท่านเป็นกรรมฐานกล้าหาญนั่นเอง ตอนนั้นเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง พวกทหารอังกฤษมาป้วนเปี้ยนอยู่ในเขตพม่า พอดีท่านบิณฑบาต กำลังนั่งให้พรเขาอยู่ พวกทหารอังกฤษเข้ามาเขาก็เลยมาถามพวกนี้ เขาไม่ไว้ใจว่าพระนี้เป็นพระไทย เวลานั้นเหมือนกับว่าทางโน้นเป็นข้าศึกกับไทยอยู่ พวกอังกฤษนะ ทางนี้ก็พูดรับรองยืนยัน ท่านมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกเกิด ท่านมาหลายปีแล้ว ท่านมาพักอยู่นี้นานท่านไม่มีอะไร เขาก็ยังไม่แน่ใจเขาดูแล้วดูเล่า พอกลับไปวันหลังเขามาอีก มาอีกเขายิ่งถามหนักเข้าๆ เห็นท่าไม่ได้การเขาจึงมาส่งท่าน กลัวว่าพวกอื่นมาจะหนักยิ่งกว่านี้ ดีไม่ดีฆ่าท่านเสีย เลยเอาท่านไปส่งใส่ทาง

    ทางนี้ก็เป็นทางไปเมืองไทย เป็นทางที่พวกขายของเถื่อน พวกฝิ่นพวกอะไร เขามีทางพอเป็นด่านๆ พอไปได้ เขาก็ไปบอกทาง ให้ท่านจับต้นทางอันนี้ไว้ให้ดี ท่านสังเกตให้ดีนะ รอยพวกสัตว์พวกเนื้อพวกเสือพวกช้าง มันผ่านไปผ่านมาก็ให้สังเกตให้ดี ให้จับต้นทางให้ดี ถ้าผิดจากนี้แล้วท่านจะไปไหนไม่ได้เลย ดงใหญ่มาก เดินเป็นวันเป็นคืนเลยจะว่าไง ท่านก็พยายามจับทางนั้นละมา นี่ละที่นี่ก็มาสำคัญตอนที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า วันนั้นท่านเพลียมากจริงๆ ท่านบอก ข้าวก็ไม่ได้ฉัน แล้วก็เดินทั้งวันด้วย เพลียมาก ท่านเลยรำพึงในใจ ท่านเล่าให้ฟังนะที่มันถนัดชัดเจนมาก

    พอมาถึงที่นั่นเพลียเป็นกำลัง ก้าวขาจะไม่ออกแล้ว ยังไงกัน แต่ก่อนตั้งแต่เราอยู่เป็นปกติ เทวบุตรเทวดาก็มาเกี่ยวข้องกับเราอยู่เสมอ ท่านนึกในใจ แต่เวลานี้เรากำลังจะเป็นจะตาย เทวบุตรเทวดาทำไมใจดำน้ำขุ่นเอานักหนา พระกำลังจะตายก็ไม่เหลียวแลกันบ้างเลยยังไงกัน ท่านนึกอย่างนี้ คือท่านอดอาหาร ท่านไม่ได้ฉันอาหาร ไปอีกดูไม่ถึง ๓๐ นาทีนะปรากฏว่า ถ้าว่าอย่างนานก็ระยะนี้ ท่านก็เดินไปๆ ดงข้างล่างมันโล่งๆ หน่อย ข้างบนมันมืดหนาไปหมดด้วยใบไม้ ข้างล่างมองเห็นโล่งๆ ท่านมองไปเห็นบุรุษคนหนึ่งนั่งจบอาหารอยู่ เลยมองไป อ้าว นี่คนจะใส่บาตรน้า ก็ดงอันนี้เป็นดงทั้งดงไม่มีผู้มีคน คนๆ นี้เขามาจากไหนถึงมาใส่บาตรเราน้า

    ท่านก็เดินไป พอเดินไปถึงนั้นเขาก็บอกว่านิมนต์ท่านพักที่นี่ก่อน ขอใส่บาตรท่าน โยมมาจากไหนท่านถาม มาจากโน้นชี้นิ้วสูงๆ โน่น ไม่ได้บอกว่ามาจากบ้านนั้นบ้านนี้ มาจากโน้นชี้ไปสูงๆ เขาก็เตรียมจะใส่ ท่านก็เลยปลดเปลื้องอะไรออกเอาบาตรออกรับเขา แล้วเขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแหละ ท่านจะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละ นิมนต์ฉันบิณฑบาตเสียก่อนค่อยไป จะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละเขาว่าอย่างงั้นนะ แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนทางคนไทยเราแต่งว่างั้นนะ แต่ดูลักษณะท่าทาง อู๊ย เป็นสง่าราศีทุกอย่าง คนๆ เดียวผู้ชาย อายุจะประมาณสัก ๓๐ นี้กะว่าประมาณนั้น

    พอท่านเตรียมบาตรออกไป เขาก็มาใส่บาตร พอเข้ามานี้กลิ่นไม่ใช่กลิ่นธรรมดา กลิ่นปึ๋งขึ้นมานี้ อ๋อ นี่พวกเทพใส่บาตรเรา ท่านนึกในใจ ใส่บาตรนั้นของพอดิบพอดีนี้อันหนึ่งที่สำคัญมากท่านว่า อาหารท่านบอกมีปลามีอะไรหลายอย่างไม่ใช่อย่างเดียว เขาใส่อย่างละพอดีๆ เขาจัดใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็ให้พรเขา ให้พรแล้ว ทีนี้ผมจะลากลับบ้านแหละ บ้านโยมอยู่ไหนล่ะ อยู่โน้น ชี้ไปทางโน้นอีกแหละ ชี้ขึ้นฟ้าโน่น ทีนี้จับจ้องจะดูเขาจะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหน พอรับบาตรแล้ว เขาไหว้เสร็จเรียบร้อยให้พรเขาแล้วเขาก็ไป มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้างๆ นั้น พอไปนี้เขาก็ไปลับต้นไม้ใหญ่ ทีนี้ยิ่งจ้องใหญ่เลยเขาจะไปยังไง พอถึงต้นไม้ใหญ่แล้วหายเงียบออกทางนี้ดักดูก็ไม่เห็น ออกทางไหนดักดูไม่เห็น หายเงียบเลย โอ๊ย เทวดาแล้วแหละท่านว่าอย่างงั้น ไม่เห็นเลยหายเงียบเลย นี่ท่านพูดเอง

    แล้วก็มาฉันจังหัน จังหันนี้ก็เอาอีกแหละ ถ้าจะเกินนั้นไปอีกก็ไม่ได้ อิ่มพอดีเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเรียกว่าหมดทุกชิ้น พอดีทุกอันท่านว่าอย่างงั้น เอ๊ มันทำไมถึงพอเหมาะพอสม ไม่ใช่เทวดาจะมาใส่ได้ยังไงอย่างนี้เอาอีกแหละ ต้องเทวดาแน่ๆ วันนั้นรู้สึกว่าปีติยินดีธาตุขันธ์ก็มีกำลัง เดินมาถึงเมืองไทยในวันนั้น เข้าทางเมืองกาญจน์นะ ท่านมาทางเมืองกาญจน์ นี่ท่านเล่าให้ฟัง เทพแหละไม่ใช่ใครท่านว่าอย่างงั้น อาหารการกินหอมหวน อาหารเอร็ดอร่อย ก็พวกปลาพวกอะไรธรรมดา แต่ทำไมหรือว่าจะเป็นเพราะเราหิวมากก็ไม่ทราบ ถ้าว่าหิวเราก็เคยหิวนี่นะ ถ้าว่ากลิ่นมันก็แปลกๆ อะไรก็แปลกๆ ไปหมดนี่น่ะท่านว่าอย่างงั้น นี่ท่านเล่าให้ฟังเป็นกันเอง ทุกอย่างท่านเล่าน่าฟังนะ กับพวกเทพรู้สึกท่านชำนาญอยู่มาก

    ท่านอาจารย์ฝั้นหนึ่ง ท่านอาจารย์ชอบหนึ่ง ยกพ่อแม่ครูจารย์มั่นเราเสีย เหล่านี้รู้สึกเด่นๆ ทั้งนั้น ท่านอาจารย์ชอบนี้องค์หนึ่งเด่นมาก เวลาท่านไปพักอยู่ทางเชียงใหม่ก็เหมือนกัน พูดถึงเรื่องพวกเทพพวกอะไรเขามาฟังเทศน์ฟังธรรม เขามาขับกล่อมท่านก็มีท่านว่านะ ขับกล่อมตามประสาของเทพเขานั่นแหละ ขับกล่อมเป็นลักษณะเหมือนเพลงแต่ไม่ใช่เพลงท่านว่าอย่างงั้นนะ เป็นเรื่องของเทพท่านว่า เขาทำนั้นเขาไม่ได้มีเรื่องโลกสงสารมาเจือปน กิริยาอาการที่เขาแสดงออก เขาแสดงออกด้วยความปลื้มปีติในครูบาอาจารย์ในธรรมทั้งหลายของเราต่างหาก ที่เขาแสดงอาการอย่างนั้นออกมา แต่ถ้าทางโลกแล้วก็เรียกว่า แสดงความรื่นเริงกันแบบมหรสพครบงันไปอย่างนั้นแหละนะ แต่นี้ไม่เป็นอย่างนั้น ท่านเล่าให้ฟัง นี่พูดถึงเรื่องเทพนะ

    นี่อัฐิของท่านได้ทราบว่าเป็นพระธาตุแล้ว ใสเป็นแก้วไปเลยแต่เรายังไม่ได้ไปดู มีโอกาสเราถึงจะไปดูอัฐิ อัฐิของครูบาอาจารย์จะไม่เหมือนกันนะ อย่างอัฐิของหลวงปู่ตื้อนี่เหมืองทองคำเลยนะเหลืองอร่ามเลย หลวงปู่ตื้อเราไปดูเอง ตั้งหน้าไปดูเลย ฉันจังหันเสร็จแล้วก็บึ่งไป เพราะเขาเล่าให้ฟังว่าเป็นมานานแล้ว คือเขาเล่าให้ฟังนานแล้วว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ แล้วไปก็เป็นจริงๆ ให้พระเอามาให้ดูใส่ตลับสวยงามมากนะตลับ มาเปิดให้เราดู โอ๊ย สวยงามจริงๆ มีหลายองค์ องค์เล็กๆ ดูจะเล็กกว่าเม็ดข้าวโพดเรา แต่สวยงามมาก เป็นสีทองคำเหลืองอร่ามเลย องค์หนึ่งเป็นอย่างหนึ่งๆ อัฐิของครูบาอาจารย์

    อันนี้จะขึ้นอยู่กับคำอธิษฐานของท่านก็ได้ไม่สงสัย เพราะอำนาจของจิตมีมากทีเดียว ที่จะครอบครองสิ่งทั้งหลายที่เป็นสมบัติของตน เช่น อัฐิ ร่างกายของท่านก็เป็นสมบัติของท่าน ท่านจะตั้งสัจจอธิษฐานอะไรๆ ที่ใจเป็นเจ้าของก็อาจเป็นไปได้ตามนั้นๆ หรือบางองค์ท่านตั้งสัจจอธิษฐานว่าอัฐิของท่านนี้ตายแล้วไม่ให้เป็นพระธาตุ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ท่านจะตั้งสัจจอธิษฐาน ไม่ให้เป็นพระธาตุอย่างนี้ก็เป็นได้เราแน่ใจ เป็นได้เลยเพราะจิตเป็นเจ้าของครองอยู่แล้ว ตั้งสัตยาธิษฐานอะไรมีอำนาจๆ เป็นตามนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูดได้เลยว่า อัฐิของครูบาอาจารย์ทั้งหลายไม่เหมือนกัน องค์หนึ่งจะเป็นอย่างหนึ่ง ๆ ตามแต่แง่อธิษฐานของท่าน จะอธิษฐานอย่างไรๆ ก็เป็นไปตามนั้น เพราะจิตขั้นนั้นเป็นจิตที่เลิศเลอจิตที่มีอำนาจมาก สามารถที่จะตั้งสัจจอธิษฐานควบคุมสิ่งที่เป็นสมบัติของท่าน เช่น ธาตุขันธ์ให้เป็นต่างๆ ก็ได้

    เวลานี้อัฐิลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่กลายเป็นพระธาตุนี้มีตั้งหลายองค์นะ ลองนับดูซิ (๑๑ องค์ครับผม) ลองนับดูซิ นับไปเลยว่าไปเลยเป็นไร ตั้งแต่ความชั่วมันทำเต็มโลกเต็มสงสาร ทำไมจึงกล้าทำกัน ทำไมจึงดูกันได้อย่างหน้าด้านไม่สนใจแก้ไขดัดแปลง ความดีทำไมพูดไม่ได้ ถ้าความดีพูดไม่ได้ศาสนาจะไม่มีในโลกนะ ความดีมีเต็มยันเหมือนกันกับความชั่ว พูดออกมาได้เต็มยันเหมือนกัน มีองค์ไหนบ้างที่ปรากฏ นับหนึ่งไปเลย หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่พรหม หลวงปู่ตื้อ ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์สิงห์ทอง หลวงปู่หล้า หลวงปู่คำดี หลวงพ่อชาก็เป็น ฝ่ายผู้หญิงก็แม่ชีแก้ว หลวงพ่อตันองค์หนึ่ง

    กี่องค์แล้วล่ะ เวลานี้น้อยเมื่อไร (๑๓ องค์ครับผม) เห็นไหมหลวงปู่มั่นเพียงองค์เดียว กระจ่ายผลอันเลิศเลอให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้ทราบทั่วหน้ากัน จากการปฏิบัติจริงตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่สอนอย่างแม่นยำ ผลปรากฏขึ้นมาอย่างนี้ แล้วเป็นยังไงมรรคผลนิพพาน ศาสนาบาปบุญมีหรือไม่มีพิจารณาซิ ยังไม่ยอมฟังเสียงอะไรเลยเหรอ ฟังเสียงตั้งแต่ความขี้เกียจขี้คร้าน เอาออกอวดกันเต็มศาลานี้ไม่มีที่เก็บ ตู้ไหนก็มีแต่ตู้ขี้เกียจขี้คร้าน เปิดไปเป็นงูเห่างูจงอางเต็มไปหมดแถวนั้น งูเห่างูจงอางตัวขี้เกียจขี้คร้านตัวเก่งๆ ว่างั้นเถอะ เป็นอย่างงั้นนะ เอาละวันนี้สายแล้ว


    Luangta.Com -
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่บุดดา ถาวโร”

    [​IMG]
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร


    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



    หลวงปู่บุดดาท่านเป็นเหมือนปู่เรานี่ จะว่าไง

    พระลูกศิษย์หลวงปู่บุดดาได้ไปหาเราที่สวนแสงธรรม เราก็ได้ถามถึงอาการของหลวงปู่ท่านว่า แต่ก่อนธาตุขันธ์ของท่านเป็นคุณเป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ให้โลกมามากต่อมากนานแสนนาน จนกระทั่งอายุถึงปูนนี้ และได้เข้ามาอยู่ศิริราชแล้ว เวลานี้เพื่อจะลาขันธ์ไป เพราะขันธ์นี้ใช้ไม่ได้แล้ว นอกจากใช้ไม่ได้แล้ว ยังเป็นโทษรอบตัวอีก ไม่มีช่องว่างของขันธ์ที่จะไม่เป็นโทษต่อท่าน แล้วยังจะเอาท่านไว้อย่างนั้นอยู่เหรอ สมควรแล้วหรือ ให้ลูกหลานไปพิจารณานะ

    นี่อาจารย์ชาก็เป็นอย่างนี้นะ เราบอกตรงๆ เลย อาจารย์ชาก็เกี่ยวกับเราอีกเหมือนกัน คุ้นกันมาสักเท่าไหร่แล้ว แล้วนี่หลวงปู่บุดดาก็เหมือนกัน คุ้นกันมานาน สนิทสนมกันมาก ทั้งสององค์นี่กับเรานะ

    หลวงปู่บุดดาท่านเป็นเหมือนปู่เรานี่ จะว่าไง พอเราไปกราบที่ตักท่าน ท่านก็ อู๊ย จับโน่นลูบนี่ จับนั่นจับนี่เรานะ ท่านทำด้วยความเมตตาจริงๆ แหละ

    ท่านยังยกยอต่อลูกศิษย์ลูกหาของท่านเองด้วย เขาเอาเทปเราไปเปิดให้ท่านฟัง กัณฑ์เด็ดๆ เสียด้วยนะ ลูกศิษย์มาเล่าให้ฟัง ท่านพูดเวลาจบแล้วท่านว่า ได้ยินชื่อท่านมานานและแหละท่านมหาบัวนี่ คุ้นกันมาสักเท่าไรแล้วยังไม่รู้อยู่เหรอ ว่าคุ้นกัน จะมาเล่าอะไรให้ฟังอีกล่ะ

    ที่นี้เมื่อพระมาหาเรา เราก็ฝากข้อคิดไปว่า เวลานี้ขันธ์ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับท่านแล้ว ลูกศิษย์จะหวังชื่นชมยินดีเพราะไฟคือธาตุขันธ์เผาไหม้ท่านอยู่อย่างนี้ สมควรแล้วเหรอ เวลานี้ไฟขันธ์เผาตลอดไม่มีว่างเลย ให้ไปพิจารณานะ


    ที่มา...หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ หน้า ๓๙๓-๓๙๔
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต”

    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    [​IMG]
    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต



    ท่านหล้า พระหายาก

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๐
    ณ วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


    พระเณรก็เยอะ ส่วนประชาชนนั้นมากจริงๆ เต็มหมดเลยภูเขาลูกนั้น ประชุมเกี่ยวกับจะก่อเจดีย์ของท่านหล้าขึ้นที่นั่น เพื่อให้ชาวพุทธเราได้กราบไหว้บูชาพระที่หายาก พระองค์นี้เป็นพระหายากองค์หนึ่ง ไปหาเพชรหาพลอยหาที่ไหนกำมาเต็มมือ แต่หาพระดีหาซิ หาแทบเป็นแทบตายก็ไม่ได้นะ หาเพชรหาพลอยนี้ไม่ได้หายาก หาตามข้อมือคนตามคอคน กำมาหมดทั้งคอก็ได้ไม่ยาก แต่หาพระดีนี้หายากนะ นี่ก็พระองค์นี้ก็ประเภทหายากองค์หนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงยินดีด้วยที่จะก่อเจดีย์ขึ้นเป็นที่สักการบูชา ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ผู้ที่จะควรก่อเจดีย์เป็นปูชนียบุคคลขึ้นมา หรือปูชนียสถาน ก็ได้แก่ พระพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ พระอรหันต์ ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑...๔ พระองค์นี้ควรอย่างยิ่งที่จะก่อเจดีย์ไว้ตามที่ชุมนุมชน ไม่ใช่ก่อสุ่มสี่สุ่มห้า ก่อเจดีย์ต้องมีหลักมีเกณฑ์ นี่ก็เห็นสมควรจะทำ เราก็อนุโมทนาด้วยแล้วไปด้วย เมื่อวานนี้ไป

    องค์นี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเรา ตั้งแต่ญัตติแล้วก็ไปอยู่หนองผือ จากนั้นมาพอหลวงปู่มั่นมรณภาพจากไปแล้วก็มาเป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว จนกระทั่งเราแยกจากห้วยทราย อำเภอคำชะอี ไปจำพรรษาที่จันทบุรี ท่านก็เลยอยู่ที่นั่นประจำเรื่อยมาจนกระทั่งสิ้นชีวิต
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต”

    ท่านหล้าชอบข้อวัตรปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ เราก็แนะนำให้

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๑๔ เดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
    ณ วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


    ท่านหล้า ภูจ้อก้อ ก็อยู่หนองผือด้วยกัน นี่เราเป็นคนแนะนำ เพราะท่านชอบข้อวัตรปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ เราก็แนะนำให้รู้จักวิธีปฏิบัติท่านด้วยวิธีการใดอะไร เราเป็นคนแนะนำให้ทั้งนั้น พอหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้วท่านก็เลยไปอยู่ด้วยที่ห้วยทราย ทีนี้พอเราเอาโยมแม่มาบวช ท่านก็เลยอยู่ที่นู่น ออกจากนี้เราก็ไป ท่านเลยอยู่ที่นั่นแล้วเสียที่นั่น เหล่านี้มีแต่อยู่ด้วยกันนานๆ ทั้งนั้น ที่นานมากก็ท่านบุญมี อันดับต่อมาก็ ท่านลี ท่านเพียร ท่านสิงห์ทอง พวกนี้เป็นเนื้อหนังของวัดป่าบ้านตาดทั้งนั้น มาอยู่นี้นาน



    ท่านหล้าอาศัยเวลาที่จะผ่านเท่านั้น

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อเช้าวันที่ ๗ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
    ณ วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


    ท่านหล้าก็เสียที่ภูจ้อก้อ อันนั้นเราไปดูอยู่นี่ ท่านอาจารย์หล้า ที่ภูจ้อก้อ พอจวนตัวเข้ามาเราก็ไปดู เราสั่งเสียทุกอย่าง สั่งพยาบาลด้วย พยาบาลมาคอยดูแลอยู่นั่น เราสั่งเสียให้ปฏิบัติเพียงพอเหมาะสมเท่านั้น ไม่ให้เลย คือตามธรรมดาเมื่อเอาเข้าโรงพยาบาลแล้ว หมอต้องทำหน้าที่ของหมอเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็เป็นแต่เพียงขอนซุง จะเป็นใหญ่ในตัวเองไม่ได้ ถ้าลงได้เข้าโรงพยาบาลแล้วเป็นหน้าที่ของหมอพยาบาล จะต้องดูแลเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    ทีนี้ คนไข้ร้อยทั้งร้อยก็เป็นไปตามหมอหมด ถ้าจะแยกออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็ ๑ % หรือ ๒ % จะแยกออกมาเป็นตัวของตัว ทางฝ่ายธรรมะ คือท่านผู้ที่มีจิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิตล้วนๆ แล้วนั้น ไปเพียงอาศัยเวลาที่จะผ่านเท่านั้น ท่านไม่ได้อาศัยว่าหวังพึ่งอะไร เพราะท่านพอทุกอย่างแล้ว ท่านจะไม่มีอะไรพึ่ง แย็บออกมาก็ไม่มี จึงว่าพยุง แต่ไม่ให้ขัดข้องจากการพยุง กลายเป็นอุปสรรคไป พยุงไว้พอเวล่ำเวลาที่จิตใจของคนมีจำนวนมากที่จ่ออยู่กับท่าน รอให้พอเหมาะพอแล้วดีก็ผ่าน

    ถ้าพูดให้เต็มยศ คือพระอรหันต์ตาย ว่างั้นเลย ท่านจะไม่ถามใครทั้งหมด ท่านพออยู่ในท่านหมดเลยทุกอย่าง
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต”

    นิพพานไม่ใช่ผู้รู้


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๑๙ เดือนกุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘
    ณ วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


    กิเลสนี้คือตัวสร้างทุกข์ กิเลสละเอียดสร้างทุกข์ละเอียด พอกิเลสทุกประเภทดับโดยสิ้นเชิง ทุกข์ไม่มีเลย เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์ ทุกข์ไม่มีเลยในหัวใจของผู้สิ้นกิเลสแล้วตั้งแต่บัดนั้น ไม่มีตลอดไป ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน อันนี้เหมือนโลกทั่วๆ ไป เป็นแต่เพียงว่าโลกไปตามภาษีภาษาของโลก ไม่มีสติปัญญาธรรมเครื่องรักษา แต่เรื่องธรรมอันนั้นเป็นความบริสุทธิ์แล้วเป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง ถึงธาตุขันธ์จะมีอะไรเป็นอะไรก็รู้ตามเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ แต่ไม่เคยหวั่น ไม่ได้ระวัง เป็นหลักธรรมชาติของใครของเรา

    ส่วนธาตุขันธ์มียังไงก็เป็นไปอย่างนั้นละ เผ็ดก็รู้ว่าเผ็ด เค็มรู้ว่าเค็ม ชอบก็รู้ว่าชอบ ความรู้นี้เป็นความรู้ประจำขันธ์ ท่านทั้งหลายฟังเสียคำดังว่านี่ มีใครเคยพูดไหม ความรู้ประจำขันธ์มี ความรู้ที่เป็นธรรมชาติสมมุติแล้ว จะบอกว่ารู้ก็ไม่ถูก ดังที่ท่านหล้าเขียนไว้ในภูจ้อก้อ นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นอีกไม่มีประมาณ ตรงเป๋งเลยเทียวท่านเขียนไว้นั้น เอ้อนี่น่ะ นั่นเห็นไหม มันยอมรับกันทันที คืออันนั้นพูดไม่ได้เลย นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ นิพพานตั้งเป็นสมมุติขึ้นมา ความรู้ที่เด่นอยู่ในวงขันธ์อันนี้เป็นความรู้กระแสแห่งความบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยว รักษาอยู่ภายในขันธ์ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ประจำขันธ์มันมีอยู่กับขันธ์นี้ถูกต้องนะ ชอบอันนั้น ไม่ชอบอันนี้ เพราะขันธ์นี้มันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มันหากเป็นของมัน บ่งบอก เช่น มองดูอาหารเอ้ออันนี้ดี มันรู้สึกยิบแย็บ เป็นเรื่องของขันธ์ทั้งนั้นละ ธรรมชาตินั้นไม่มี เพียงแต่รับทราบว่าอันนี้มันชอบ อันนี้มันไม่ชอบเท่านั้นละ มีอยู่แค่นั้นนะไม่เลยนั้น ให้หนักกว่านั้นไปไม่มี อยู่ในวงขันธ์ นี่เรียกว่าความรู้ในวงขันธ์เป็นอย่างนั้น ท่านก็ปฏิบัติต่อกันไปอย่างนั้นละ อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี โลกเขาว่าไงก็ว่าได้เหมือนโลกเขา เป็นแต่เพียงว่าธรรมชาติอันหนึ่งมันไม่ใช่อันนี้ นี่ละจิตเวลาเรียนเข้าไปถึงมันจริงๆ แล้ว ยังพูดไม่ได้ก็มี ดังที่ท่านหล้าท่านว่า นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกหาประมาณไม่ได้ ผู้รู้เด่นๆ ที่ใช้อยู่นี้ไม่ใช่ ก็คือในวงขันธ์ ความรู้อันนี้อยู่ในวงขันธ์ อันนั้นนอกจากนี้แล้วพูดไม่ได้เลย

    นี่แหละธรรมพระพุทธเจ้าที่ว่าเลิศเลอ เปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้เลย เลยไปหมดแล้ว ถ้าว่าดีก็เลย อะไรก็เลย อย่าง นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เราก็คาดเป็นสุขอย่างยิ่งอยู่นี้นะ แต่นิพพานแท้-ธรรมชาติแท้ไม่ใช่อันนี้ แน่ะก็อย่างนั้นแหละ อย่างที่ท่านว่านิพพานไม่ใช่ผู้รู้ ยังเหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกไม่มีประมาณ นั่นท่านพูดถูกต้อง นี่ผู้เจอแล้วพูด เจอธรรมชาตินั่นแล้วพูด หาที่ค้านกันไม่ได้ พอไปอ่านแล้วเอ้ออย่างนี้ซี เราก็ว่าอย่างนั้น อย่างนี้ซี

    มันอยู่ในจิตของเจ้าของเอง ไม่มีที่สงสัย ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน จ้าขึ้นในนั้นแล้วรู้หมด ส่วนละเอียดส่วนไหนอะไรที่มาเกี่ยวข้องรู้กันไปหมด นั่นละธรรมชาตินั้นละที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย ท่านท้อพระทัยเพราะเหตุนี้เอง ธรรมชาตินั้นเหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีประมาณ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัตินะ ธรรมพระพุทธเจ้านี่ท้าทายตลอดเวลา เรื่องมรรคเรื่องผลอยู่กับการปฏิบัตินะ ไม่ได้อยู่กับกาลสถานที่เวล่ำเวลา

    ท่านก็แสดงไว้แล้วว่า อกาลิโก ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่จะเกิดเวลานั้นเกิดเวลานี้ ถ้าเหตุมีเท่าไรหนุนเข้าไปแล้วเกิดได้ตลอดเวลา อิริยาบถใดก็ตามเกิดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเดือนปีนาทีโมง อันนั้นยังไกล ในอิริยาบถของเจ้าของเกิดได้ทุกเวลา ถ้ามีความเพียร ธรรมเกิดได้ตลอด สดๆ ร้อนๆ อย่าไปเชื่อหูหนวกตาบอดมันเต็มโลกเต็มสงสาร มันมีแต่ลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ ไม่มีทั้งนั้นละพวกตาบอด

    พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ทั้งหลายท่านสลดสังเวชนะ กับความหูหนวกตาบอดของแดนนรก แดนวัฏจักร มันพูดของมันอย่างนั้น นี่วิวัฏจักรเป็นยังไงท่านก็ดูของท่าน ดูหมดแล้ว พากันจำเอา


    Luangta.Com -
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่กู่ ธมฺมทินฺโน”

    [​IMG]
    หลวงปู่กู่ ธัมมทินโน


    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



    ท่านอาจารย์กู่

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๘ เดือนตุลาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๑๙
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


    เราเคยเห็นคนตาย เกิดความสลดสังเวช บางรายตายด้วยความมีสติสตัง รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจนถึงวาระสุดท้าย แต่บางรายตายไม่มีสติสตัง บ่นละเมอเพ้อไปต่างๆ แล้วหมดไปเลย อย่างนั้นน่าทุเรศ นี่เราเคยเขียนไว้ในปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น คิดว่าจำไม่ลืม เป็นพระกรรมฐาน ท่านอาจารย์องค์นี้เราจะระบุชื่อก็ได้เพราะท่านผ่านไปแล้ว คือท่านอาจารย์กู่ เป็นพี่ชายของท่านอาจารย์กว่าที่วัดบ้านภู่ ซึ่งพึ่งเสียไปเมื่อเร็วๆ นี้ ชื่อท่านอาจารย์กว่า ท่านอาจารย์กู่นี้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ตอนที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่บ้านหนองผือนาใน ท่านอาจารย์กู่นี้ก็ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านภู่ อันเป็นสถานที่ที่อาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นออกมาพักอยู่วัดบ้านภู่ด้วย ก็มาพักอยู่กับท่านอาจารย์กู่นี้แล ก่อนหน้าที่ท่านจะไปมรณภาพที่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร

    เวลาถึงคราวท่านอาจารย์กู่จะล่วงลับไป ท่านเป็นโรคอะไรไม่ทราบ อยู่ที่ไหปลาร้า ภาษาของเราเรียกว่า ฝีหัวปลาไหล ก็คงจะเป็นมะเร็งนั่นแหละ มันไม่หาย เป็นมานาน เป็นๆ หายๆ พอสงบลงไปเดี๋ยวก็เป็นขึ้นมาๆ จนกระทั่งวาระสุดท้ายท่านก็ไปเสียชีวิตอยู่ที่ถ้ำเจ้าผู้ข้า บ้านโคกกะโหล่งกะเหล่งอะไรนั่นแหละ ทางเข้าไปหนองผือ ท่านเสียอยู่ที่ถ้ำนั้น

    ตอนที่ท่านจะเสียก็มีพระอยู่กับท่านสามสี่องค์ ตอนนี้เป็นตอนสำคัญ ถึงวาระสุดท้ายพระพยุงท่านลุกขึ้นนั่งภาวนา เวลานั้นท่านบอก คือท่านเตือนพระให้พากันชำระจิตให้ดี ท่านว่า จิตเป็นเอก จิตเป็นตัวสำคัญที่จะก้าวไปสู่ภพหน้า สูงต่ำสำคัญอยู่ที่จิตได้รับการอบรม มีความเฉลียวฉลาดมากน้อยที่สามารถจะทรงตัวได้ หรือยิ่งขึ้นไปโดยลำดับก็เพราะการอบรม นี่ผมจวนตัวแล้วเวลานี้ การจากไปของผมเวลานี้อย่าเข้าใจว่าผมจะไปล่มจมนะ ผมเป็นแต่เพียงเปลี่ยนสภาพแห่งความเป็นอยู่นี้เข้าสู่สภาพอื่น หากจะมีสิ่งที่ติดต่อสืบเนื่องให้เป็นภพเป็นชาติกันอยู่ก็เข้าสู่สภาพอื่น ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้วก็หมดปัญหา ท่านทั้งหลายวิตกวิจารณ์กับผม

    ท่านสอนย่อๆ ผมไม่ได้ไปล่มจม เมื่อจิตไม่มีความล่มจมแล้วอะไรจะล่มจมไม่มี คนๆ หนึ่ง สัตว์ตัวหนึ่ง สำคัญอยู่กับจิต ถ้าจิตมีหลักยึด มีหลักฐานมั่นคง จิตนี้จะอยู่ในร่างก็ตาม ออกจากร่างไปแล้วก็ตาม จะเป็นจิตที่มีความมั่นคงต่อตัวเองอยู่เสมอ ฉะนั้นขอให้พากันตั้งใจอบรมจิตให้ดี อย่าได้มีความประมาทในการบำเพ็ญจิตใจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก พอเสร็จเท่านั้นทีนี้ผมจะได้ลาท่านทั้งหลายไปบัดนี้ นั่นพอว่างั้นก็ไม่ถึงสามนาที ท่านพูดเป็นคำสุดท้ายจะไปแล้วนะ จากนั้นภาษาของเราเรียกว่าหายใจปลา แล้วหายเงียบไปเลย ก่อนจากไปเล็กน้อยท่านบอกว่าผมไม่ได้ไปล่มจมตามโลกที่กลัวกันว่า การตายนี่เหมือนกับไปล่มไปจม แต่ผมไปตามธรรมชาติของผมเอง

    นี่คือผลหรืออานิสงส์แห่งการอบรมจิตใจ เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว แม้ขณะจะตายก็พูดได้อย่างสะดวกสบาย เพราะจิตใจไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะฉิบหายไป ไม่ใช่สิ่งที่จะสลายตัวไปเหมือนร่างกาย ร่างกายเป็นธรรมชาติที่จะต้องสลายตัวเป็นธรรมดา เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสลาย แต่จิตใจนี้แม้จะเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางต่ำและสูง แต่ความสลายของจิตไม่มี

    จิตใจที่ได้รับการอบรมแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงตนเองเข้าสู่ระดับสูงเรื่อยไปจนสามารถทรงตัวได้ ไม่วิตกวิจารณ์กับการเป็นการตาย เพราะจิตเป็นตัวของตัวโดยลำดับ หรือเป็นตัวของตัวอย่างเต็มที่แล้ว ผ่านไปจากร่างกายแล้วก็เป็นจิตดวงนั้น หากจะมีภพมีชาติสืบต่อ ก็เป็นภพชาติที่เหมาะสมกับจิตดวงนั้น ถ้าสิ้นเชื้อที่จะพาให้เกิดต่อไปอีกแล้วก็หมดปัญหา เป็นตัวของตัวอย่างสมบูรณ์ ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย

    นี่การอบรมจิตใจจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว จะยากลำบากเพียงไรก็ขอให้เห็นแก่คุณค่าของตัวเอง เพราะเราหวังพึ่งเราทั้งเป็นทั้งตาย การหวังพึ่งตนเองนั้นจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง จะสร้างอะไรให้เป็นที่พึ่งของตนได้นอกจากความดี พูดทางจิตโดยเฉพาะก็คือความดี เมื่อสร้างให้เป็นที่อบอุ่นให้เป็นที่พอใจแล้ว เจ้าของก็แน่ใจ การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่ประจักษ์อยู่กับผู้ปฏิบัติ ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ เวล่ำเวลาอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่การปฏิบัติตัวให้ดี ผลจะเป็นที่พึงใจ ตายที่ไหนก็ได้เมื่อเราแน่ใจแล้ว ไม่มีสำคัญอะไรกับเรื่องความตาย ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว เพราะจิตเป็นจิต กายก็เป็นกาย เมื่อสลายก็เป็นเรื่องสลายของธาตุของขันธ์ จิตไม่ได้สลายไปด้วย จะวิตกวิจารณ์กลัวว่าจะไปล่มจมที่ไหน

    เพราะจิตก็ทราบชัดแล้วว่าไม่ใช่ตัวล่มจม ไม่ใช่ผู้ล่มจม เป็นผู้รู้อยู่ชัดๆ และความรู้นั้นที่พร้อมแล้วด้วยการอบรม พร้อมแล้วด้วยสติปัญญา ก็ยิ่งมีความอาจหาญรื่นเริงต่อการไปหรือต่อหน้าที่ของตนไม่สะทกสะท้าน ผลแห่งการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ จงฟังให้ถึงใจ ปฏิบัติให้ถึงธรรม จะรู้ธรรมเห็นธรรมประจักษ์ใจดวงรู้ๆ อยู่นี่แล แต่ระวังกิเลสจะแอบมาจับหัวฟัดใส่หมอนเสียงดังครอกๆ จะว่าไม่บอก นี่เคยโดนมาแล้วจึงรีบบอกท่านทั้งหลายให้ระวังตัว ไม่งั้นจมลงหมอนไม่อาจสงสัย

    เพราะฉะนั้นพระขีณาสพท่านผู้ที่ผ่านพ้นไปแล้วทางด้านจิตใจ คือพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว ท่านจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายดังที่เราเห็นในตำรับตำรา องค์ไหนประสงค์จะนิพพานที่ไหน ท่านก็นิพพานของท่าน บางองค์ก็เดินจงกรมแล้วนิพพานก็มี ดังที่ท่านอาจารย์มั่นท่านปรากฏในสมาธิภาวนา ซึ่งได้เขียนไว้แล้วในประวัติของท่านอาจารย์มั่น บางองค์ก็นั่งนิพพาน บางองค์นอนนิพพาน บางองค์ยืนนิพพาน เพราะเป็นธรรมด๊าธรรมดาของเรื่องปล่อยธาตุขันธ์ ไปตามหลักธรรมชาติของเขาเท่านั้น ท่านไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกัน ในระหว่างความเป็นอยู่กับการตายไปของผู้สิ้นกิเลสแล้ว มีความหนักเบาเสมอกัน ถ้าจะถือตามหลักธรรมชาติของจิตแล้ว ความเป็นอยู่กับความตายไป ไม่มีเงื่อนใดหนักเบาต่างกัน มีน้ำหนักเสมอกัน หากจะคิดประโยชน์ทางโลกเข้าเกี่ยวข้อง เมื่อมีชีวิตอยู่จะได้ทำประโยชน์ให้โลกอย่างนั้นๆ การเป็นอยู่ก็ดี เพราะจะได้ทำประโยชน์ให้โลกผู้หวังพึ่งธรรม ผู้หวังประโยชน์กับท่านยังมีอยู่มาก ถ้าไม่คิดถึงประโยชน์ทางโลกแล้ว ไปเสียดี ไม่ต้องมายุ่งกับธาตุกับขันธ์ที่แสนรบกวนตลอดเวลา ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักนี้ ขันธ์นี้ต้องแบกหามต้องรับผิดชอบ ทั้งขันธ์ของปุถุชนและขันธ์ของพระอรหันต์ ต่างแต่ขันธ์ของพระอรหันต์ท่านไม่มีอุปาทานเท่านั้น
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่กู่ ธมฺมทินฺโน”

    ท่านอาจารย์กู่ ท่านสอนจนกระทั่งหมดวาระ

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อเช้าวันที่ ๑๕ เดือนกรกฎาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม เขตบางแค กรุงเทพมหานคร


    ใจนี้ตายไม่เป็น ให้จำให้ดีนะ ให้บำรุงอรรถธรรมคุณงามความดีไว้ ใส่ใจให้ดี ใจนี้ไม่ตาย สิ่งทั้งหลายมีมากมีน้อยเราอาศัยชั่วเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง แต่ใจนี้อาศัยบุญอาศัยธรรมเท่านั้น ไม่อาศัยอะไร สิ่งของอะไรจะมีมากมีน้อยชั่วระยะกาล เราอาศัยเขาไปชั่วระยะกาล พอลมหายใจขาดเท่านั้นสิ่งเหล่านั้นขาดสะบั้นไปตามๆ กันหมดเลย แต่บุญกุศลกับใจนี้ไม่ขาด ติดแนบเลย นี่เป็นของเรา เป็นอัตสมบัติ สมบัติของตนโดยแท้ อันนี้ไปเลย

    อย่างที่พูดท่านอาจารย์กู่ ท่านสอนพระเณร ท่านจวนจะตายท่านสอนจนกระทั่งหมดวาระ “ผมจะไปแล้วนะ ปั๊บๆ ไปเลย ท่านสอนว่า อย่าประมาท เอาจิตให้ดี เมื่อจิตดีแล้วอะไรๆ จะเป็นอะไรเป็นเรื่องเครื่องมือของจิต สังขารร่างกายเป็นเครื่องมือของจิตทั้งนั้น เอาจิตให้ดี ถ้าจิตดีแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย นี่ผมจวนจะไปแล้วนะ” นั่นบอก “ให้ตั้งใจภาวนา” สอนพระ “อบรมจิตให้ดี” พอเสร็จแล้วผมไปแล้วนะ ปั๊บไปเลย นั่น ท่านเผลออะไรที่ไหน นั่นละจิตดีเป็นอย่างนั้น


    http://www.luangta.com
    http://www.dhammajak.net
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่กว่า สุมโน”

    [​IMG]
    หลวงปู่กว่า สุมโน


    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



    จิตว่างเพราะวางกาย


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล
    เมื่อวันที่ ๒๔ เดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๑๙
    ณ วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี



    วันนี้เป็นวันถวายเพลิงศพท่านอาจารย์กว่า ไปปลง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และเคารพศพท่าน ขณะไปถึงพอก้าวขึ้นไปสู่เมรุท่านก็ไปกราบ เพราะมีความสนิทสนมกับท่านมานาน อาจล่วงเกินท่านโดยไม่มีเจตนาก็เป็นได้ เลยต้องไปกราบขอขมาท่าน

    ท่านเป็นคนไม่ชอบพูด มาคิดดูเรื่องปฏิปทาการดำเนินของท่านโดยลำดับ ท่านไม่เคยมีครอบครัว ท่านเป็นพระปฏิบัติมาอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์ได้ชมเชยเรื่องการนวดเส้นถวายท่าน เพราะบรรดาลูกศิษย์ที่มาอยู่อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านมีมากต่อมากเรื่อยมา ซึ่งมีนิสัยต่างๆ กัน ท่านเคยพูดเสมอว่าการนวดเส้นไม่มีใครสู้ท่านอาจารย์กว่าได้เลย ท่านว่า “ท่านกว่านี้ เราทำเหมือนกับหลับ ท่านก็เหมือนกับหลับอยู่ตลอดเวลา เราไม่ทำหลับท่านก็เหมือนหลับตลอดเวลา แต่มือที่ทำงานไม่เคยลดละความหนักเบา พอให้ทราบว่าท่านกว่านี้หลับไปหรือง่วงไป”

    นี่ท่านอาจารย์มั่นท่านชมท่านอาจารย์กว่า แต่ดูอาการนั้นเป็นเรื่องของคนสัปหงก “เวลานวดเส้นให้เรานี้สัปหงกงกงันเหมือนคนจะหลับ แต่มือนั้นทำงานอย่างสม่ำเสมอ แสดงว่าไม่หลับ พระนอกนั้นถ้าลงมีลักษณะสัปหงกแล้ว มือมันอ่อนและตายไปกับเจ้าของแล้ว” ท่านว่า

    ท่านอาจารย์มั่นท่านเป็นพระพูดตรงไปตรงมาอย่างนั้น ว่า “มือมันตาย เจ้าของกำลังสลบ” ก็คือกำลังสัปหงกนั่นเอง ว่าเจ้าของกำลังสลบแต่มือมันก็ตายไปด้วย ตายไปก่อนเจ้าของ ท่านว่า “ท่านกว่าไม่เป็นอย่างนั้น การอุปถัมภ์อุปัฏฐากเก่งมาก !”

    ทำให้เราคิดย้อนหลังไปว่า เวลาท่านอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านอาจารย์มั่น ดูจะเป็นสมัยที่อยู่ทางอำเภอ “ท่าบ่อ” หรือที่ไหนบ้างออกจะลืมๆ ไปเสียแล้ว

    จากนั้นจิตใจของท่านก็เขวไปบ้าง การปฏิบัติก็เขวไปในตอนหนึ่ง คือท่านคิดอยากจะสึก ตอนเหินห่างจากท่านอาจารย์มั่นไปนาน แต่แล้วท่านก็กลับตัวได้ตอนที่ท่านอาจารย์มั่นกลับมาจากเชียงใหม่ เลยกลับตัวได้เรื่อยมาและไม่สึก อยู่มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้และถึงวาระสุดท้ายของท่าน ได้ไปดูเมรุท่านดูหีบศพท่าน กราบแล้วก็ดูพิจารณาอยู่ภายใน นี่เป็นวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงแค่นี้ เดินไปไหนก็เดิน เที่ยวไปไหนก็ไป แต่วาระสุดท้ายแล้วจำต้องยุติกัน ไม่มีความเคลื่อนไหวไปมาวาระที่ขึ้นเมรุนี้ แต่จิตจะไม่ขึ้นเมรุด้วย !

    ถ้าจิตยังไม่สิ้นจากกิเลสอาสวะ จิตจะต้องท่องเที่ยวไปอีก ที่ขึ้นสู่เมรุนี้มีเพียงร่างกายเท่านั้น ทำให้คิดไปมากมาย แม้แต่นั่งอยู่นั่นก็ยังเอามาเป็นอารมณ์คิดเรื่องนี้อีก ปกติจิตทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ถ้ามีอะไรมาสัมผัสแล้วใจชอบคิดหลายแง่หลายทางในธรรมทั้งหลาย จนเป็นที่เข้าใจความหมายลึกตื้นหยาบละเอียดแล้ว จึงจะหยุดคิดเรื่องนั้นๆ

    ขณะนั้นพิจารณาถึงเรื่อง “วัฏวน” ที่วนไปวนมา เกิดขึ้นมาอายุสั้นอายุยาว ก็ท่องเที่ยวไปที่นั่นมาที่นี่ ไปใกล้ไปไกล ผลสุดท้ายก็มาที่จุดนี้ จะไปไหนก็มีกิเลสครอบงำเป็นนายบังคับจิตไปเรื่อยๆ จะไปสู่ภพใดก็เพราะกรรมวิบาก ซึ่งเป็นอำนาจของกิเลสพาให้เป็นไป ส่วนมากเป็นอย่างนั้น มีกรรม วิบาก และกิเลส ควบคุมไปเหมือนผู้ต้องหา ไปสู่กำเนิดนั้นไปสู่กำเนิดนี้ เกิดที่นั่นเกิดที่นี่ ก็เหมือนผู้ต้องหา ไปด้วยอำนาจกฎแห่งกรรม โดยมีกิเลสเป็นผู้บังคับบัญชาไป สัตว์โลกเป็นอย่างนี้ด้วยกัน ไม่มีใครที่จะเป็นคนพิเศษในการท่องเที่ยวใน “วัฏสงสาร” นี้ ต้องเป็นเช่นเดียวกัน ผู้ที่เป็นคนพิเศษคือผู้ที่พ้นจากกงจักร คือเครื่องหมุนของกิเลสแล้วเท่านั้น

    นอกนั้นร้อยทั้งร้อย มีเท่าไรเหมือนกันหมด เป็นเหมือนผู้ต้องหา คือไม่ได้ไปโดยอิสระของตนเอง ไปเกิดก็ไม่ได้เป็นอิสระของตนเอง อยู่ในสถานที่ใดก็ไม่เป็นอิสระของตนเอง ไม่ว่าภพน้อยภพใหญ่ภพอะไรก็ตาม ต้องมีกฎแห่งกรรมเป็นเครื่องบังคับบัญชาอยู่เสมอ ไปด้วยอำนาจของกฎแห่งกรรม เป็นผู้พัดผันพาให้ไปสู่กำเนิดสูงต่ำอะไรก็ตาม กรรมดีกรรมชั่วต้องพาให้เป็นไปอย่างนั้น ไปสู่ที่ดีมีความสุขรื่นเริง ก็เป็นอำนาจแห่งความดี แต่ที่ยังไปเกิดอยู่ก็เพราะอำนาจแห่งกิเลส ไปต่ำก็เพราะอำนาจแห่งความชั่ว และกิเลสพาให้ไป

    ไปกราบที่เมรุท่านวันนี้ ก็เห็นประชาชนมากมาย และเกิดความสงสาร ทำให้คิดถึงเรื่องความเป็นความตาย เฉพาะอย่างยิ่งคิดถึงองค์ท่านที่ประพฤติปฏิบัติมาก็เป็นวาระสุดท้าย ร่างกายทุกส่วนมอบไว้ที่เมรุ เป็นอันว่าหมดความหมายทุกสิ่งทุกประการภายในร่างกาย จิตใจเรายังจะต้องก้าวไปอีก ก้าวไปตามกรรม ตามวิบากแห่งกรรมไม่หยุดยั้ง ไม่มาสุดสิ้นอยู่ที่เมรุเหมือนร่างกาย แต่จะอยู่ด้วยกรรมและวิบากแห่งกรรมเท่านั้น เป็นผู้ควบคุมและส่งเสริม

    กรรมและวิบากแห่งกรรมอยู่ที่ไหนเล่า ? ก็อยู่ที่จิตนั่นแหละจะเป็นเครื่องพาให้เป็นไป ที่ไปดูไปปลงอนิจจังธรรมสังเวชกันที่นั่น ก็ด้วยความระลึกรู้สึกตัวว่าเราทุกคนจะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจงพยายามสร้างความดีไว้ให้เต็มที่ จนเพียงพอแก่ความต้องการเสียแต่บัดนี้ จะเป็นที่ภูมิใจทั้งเวลาปกติและเวลาจวนตัว

    ใครก็ตามที่พูดและกระทำไม่ถูกต้องตามอรรถตามธรรม อย่าถือมาเป็นอารมณ์ให้เป็นเครื่องก่อกวนใจโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากเกิดโทษขึ้นมากับตัวเอง เพราะความคิดไปพูดไปกับอารมณ์ไม่เป็นประโยชน์นั้น

    ผู้ใดจะเป็นสรณะของเรา ผู้ใดจะเป็นที่พึ่งที่ยึดที่เหนี่ยวของเรา เป็นคติเครื่องสอนใจเราในขณะที่เราได้เห็นได้ยินได้ฟัง ผู้นั้นแลคือกัลยาณมิตร ถ้าเป็นเพื่อนด้วยกันนับแต่พระสงฆ์ลงมาโดยลำดับ จะเป็นเด็กก็ตาม ธรรมนั้นไม่ใช่เด็ก คติอันดีงามนั้นยึดได้ทุกแห่งทุกหนทุกบุคคล ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าเด็กว่าผู้ใหญ่ยึดได้ แม้แต่กับสัตว์เดรัจฉาน ตัวใดมีอัธยาศัยใจคอดีก็น่ายึดเอามาเทียบเคียงถือเอาประโยชน์จากเขาได้

    ผู้ที่เป็นคนรกโลก อย่านำเข้ามาคิดให้รกรุงรังภายในจิตใจเลย รกโลกให้มันรกอยู่เฉพาะเขา โลกของเขาเอง รกในหัวใจของเขาเอง อย่าไปนำอารมณ์ของเขามารกโลกคือหัวใจเรา นั้นเป็นความโง่ไม่ใช่ความฉลาด เราสร้างความฉลาดทุกวัน พยายามเสาะแสวงหาความฉลาด ทำไมเราจะไปโง่กับอารมณ์เหล่านี้ ปฏิบัติไปอย่ามีความหวั่นไหวต่อสิ่งใด ไม่มีใครรับผิดชอบเรายิ่งกว่าเราจะรับผิดชอบตัวเองในขณะนี้โดยธรรม จนถึงวาระสุดท้ายปลายแดนแห่งชีวิตของเราหาไม่ เราจะต้องรับ รับผิดชอบตัวเราเองอยู่ตลอดสาย จะเป็นภพหน้าหรือภพไหนก็ตาม ความรับผิดชอบตนนี้จะต้องติดแนบไปกับตัว แล้วเราจะสร้างอะไรไว้เพื่อสนองความรับผิดชอบของเราให้เป็นที่พึงพอใจ นอกจากคุณงามความดีนี้ไม่มี !


    http://www.luangta.com
    http://www.dhammajak.net
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร”

    [​IMG]
    หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร


    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อเช้าวันที่ ๒๐ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๙
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม เขตบางแค กรุงเทพมหานคร



    อาจารย์มหาบุญมีนี้ ท่านไปอยู่ห้วยทรายกับเรา ท่านแก่พรรษากว่าเรา ดูเหมือน ๒ พรรษา ท่านเรียนเป็นเปรียญหลังเรา แล้วก็ออกปฏิบัติหลังเรา เราออกก่อน ท่านมาก็มาอยู่กับเราห้วยทราย ท่านออกมาทีแรกละท่านมาฝึกหัดทางด้านภาวนา ทีนี้จะออกภาวนาแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น ท่านออกมาอยู่ห้วยทราย เราอยู่บนเขากับเณรหนึ่ง ให้ท่านอยู่กับพวกพระอยู่ทางตีนเขาทางนู้น

    ท่านเป็นตุ๊กตาเลยนะ ท่านไม่ถือเนื้อถือตัว ท่านมอบให้เราหมด ท่านบอกว่าท่านเป็นพระอาคันตุกะเพียงมาอาศัยเท่านั้น มาอาศัยก็มาอาศัยท่านอาจารย์ บอกตรงๆ เลย มาอาศัยท่านอาจารย์เพื่อจะอบรมทางด้านจิตตภาวนา ท่านเอาจริงๆ คล้ายกันกับพระโปฐิละ ที่ไปเป็นลูกศิษย์ของเณรน้อย เณรน้อยเป็นพระอรหันต์ พระโปฐิละเป็นพระเรียนจบพระอรหันต์ ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของเณร อันนี้ก็ลักษณะเดียวกัน ถือแบบเดียวกัน กับเราทุกอย่างท่านมอบเลยทีเดียว ท่านมอบ อย่ามีอะไรกับผมนะ เพียงแต่อาวุโสภันเตเท่านั้นแหละ จากนั้นก็จนหลายปี อยู่ที่นั่นด้วยกัน แล้วก็จากกันไปแล้วก็มาพบกันเรื่อยๆ

    นี่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุนะ อาจารย์มหาบุญมีกลายเป็นพระธาตุ อยู่ที่มหาสารคาม เขาเรียกวังเลิง คุ้นกันมากกับเรานะ เพราะท่านเคยอยู่กับเราแล้ว จะเรียกตามหลักธรรมชาติอย่างพระโปฐิละกับเณรนั้นก็ไม่ผิด ท่านถือเราเป็นอย่างนั้น ท่านเคารพมาก แต่ท่านเป็นอาวุโส ท่านเคารพในทางด้านธรรมะธัมโม ทางพระวินัยเราเคารพท่าน เพราะพระวินัยมีอาวุโสภันเต ธรรมะไม่มี ถือคุณธรรมเป็นสำคัญ ท่านนับถือมากทีเดียว ลงเต็มที่ละ


    http://www.luangta.com
    http://www.dhammajak.net
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “พระธรรมไตรโลกาจารย์”

    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน กับ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (หลวงปู่รักษ์ เรวโต)


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๖ เดือนมิถุนายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


    เออ ท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นยังไง ท่านสบายดีเหรอ วัดศรีเมืองน่ะ จะแก่มากแล้ว ดูเหมือนจะ ๙๖-๙๗ ละมั้ง เหอ เดินไม่ได้แล้วนะเดี๋ยวนี้ อายุท่านแก่กว่าเราดูเหมือน ๖-๗ ปี เดี๋ยวนี้ไปไหนไม่ได้แล้วนะ ดูเหมือนอายุจะ ๙๕-๙๖ ละมั้ง ถูกกันดีนะกับเรา ท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกาจารย์ โอ๊ย.สนิทกันมากกับเรา เห็นกันเมื่อไรนี้พันกันเลย เรายังไม่ลืมไปเผาศพ ท่านเริ่มพูดมาตั้งแต่โน้นแหละ ไปเผาศพท่านอาจารย์ภูมี วัดโนนนิเวศน์ ท่านมาอยู่ก่อนแล้ว ตอนเช้าเราไป ดูท่านจะมาค้างคืนที่นั่น ตอนเช้าเราก็ไปจังหันที่นั่น ตอนบ่ายก็เผาศพ

    พอเห็นเราไป ก็คนคุ้นกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอเห็นเราไป เอ้อ พระสีวลีมาแล้วๆ ขึ้นเลย สีวลีวะแลอะไร เราก็ว่าอย่างนั้น ก็นี่แหละพระสีวลี เราเลยไม่ลืมนะ ว่าพระสีวลีมาแล้ว สนิทกันมากกับเจ้าท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกาจารย์ ท่านผิดใครไม่เป็น นิสัยท่านดีเข้าได้หมด ไม่มีคำว่าถือเนื้อถือตัว เข้าได้หมดแหละ คิดดูแต่ได้เห็นหน้าเราไป เอ้อ พระสิวลีมาแล้วๆ ขึ้นเลย ท่านถือเมื่อไร ก็ท่านเป็นขนาดเจ้าฟ้าเจ้าคุณ เราเพียงหลวงตาบัว ยังอุตส่าห์เอื้อมมือมารับเรา พระสีวลีมาแล้วๆ เราไม่ลืม


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๗ เดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    เวลาว่างก็ได้ไปกราบศพท่านเจ้าคุณปู่วัดศรีเมืองอยู่เสมอนะ ไปเงียบๆ พอว่างๆ ไปปั๊บเลย ไปกราบศพท่านอยู่เสมอ โอ๋ย ไม่ทราบว่ากี่เที่ยวนะ เพราะสนิทสนมคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เราบวชเป็นพระหนุ่มน้อย ท่านเป็นเปรียญอยู่นู้น เรื่อย ที่ไปสนิทสนมกันมากก็คือเราไปอยู่ที่หนองคาย ท่านก็อยู่วัดศรีเมือง เราอยู่วัดทุ่งสว่าง นั่นละถึงสนิทสนมกันมากตรงนั้นแหละ จากนั้นก็ต่อกันมา ท่านเป็นพระที่ไม่ถือเนื้อถือตัว เข้าได้หมด ท่านเจ้าคุณองค์นี้ สนิทกันมากกับเรา เรายังไม่ลืม

    ที่เคยพูดว่า ที่วัดโนนนิเวศน์ ท่านอาจารย์บุญมี ท่านเสียชีวิต เลยไปงานศพท่านหรือไง เขานิมนต์เราไปฉันเช้าที่นั่น พอดีท่านเจ้าคุณนี้ท่านก็มาฉันเช้าร่วมกัน ท่านอยู่ก่อนแล้วเราพึ่งไปทีหลัง ท่านเห็น อย่างนั้นแหละนิสัยเคยพูดหยอกกัน ปุ๊บปั๊บ “พระสีวลีมาแล้วๆ” มันอะไรเราโมโห ก็ท่านก็พูดสนุกของท่านเอง พระสีวลีมาแล้วๆ ขึ้นปึ๋งปั๋งๆ พระมากๆ บางองค์ไม่รู้เรื่องก็อาจจะตื่นเต้นนะ องค์ที่รู้เรื่องก็รู้ว่าท่านพูดเล่น พูดหยอกกับเรา

    เรายังไม่ลืม ท่านเป็นพระที่มี สมานตฺตตา วางตนได้กับคนทุกชั้นทุกวัยสม่ำเสมอ เวลาท่านมรณภาพลงไปแล้วเราก็เลยไปกราบเยี่ยมศพ ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่เราก็ไป ดูเหมือนสองครั้งหรือสามครั้ง โอ๊ยท่านดีใจ แสดงอะไร พูดอะไรไม่ได้ท่านแสดง พวกนั้นเป็นล่าม ในกิริยาของท่านที่แสดงออก รู้หมดนะ ไอ้เรานั่นเซ่อซ่าๆ ท่านชี้แจงบอกใบ้อะไรพวกนั้นรู้หมดเลย เราไม่รู้เรื่อง


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๖ เดือนพฤษภาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    ท่านเจ้าคุณวัดศรีเมือง โอ๋ย คุ้นกับเรามาตั้งแต่โน้น เหตุที่จะคุ้นกันก็เราไปพักอยู่ที่หนองคาย วัดทุ่งสว่าง ท่านอาจารย์กู่ท่านอยู่ที่นั่น เราพึ่งมาจากโคราช เพื่อมาให้ทันหลวงปู่มั่น มันไม่ทัน ท่านผ่านไปได้สองสามวันแล้วเราพึ่งมาถึง หมดหวังแล้วเลยไปหนองคาย ไปพักอยู่กับท่านอาจารย์กู่นี่ละ โอ๋ย นานหลายเดือน ได้คุ้นกันกับท่านเจ้าคุณวัดศรีเมือง แต่ก่อนก็รู้จักกันอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้คุ้นกัน ตั้งแต่นั้นคุ้นกันมาตลอดเลย อายุท่านดูเหมือนจะ ๙๖

    นิสัยท่านทะเลาะกับใครไม่เป็น นิสัยท่านดีนะ ดีมาก ไม่ถือเนื้อถือตัว เข้าได้หมด ท่านชอบรื่นเริง เข้าได้หมด ไม่มีคำว่าถือเนื้อถือตัว โอ๋ย คุ้นกันมาตั้งแต่วัดศรีเมือง ตอนนั้นเรา ๘ พรรษา ดูเหมือนท่านแก่กว่าเรา ๗ พรรษาหรือไง จากนั้นมาก็สนิทสนมเรื่อย ก่อนนั้นก็รู้จักกับท่าน แต่ยังไม่สนิท ตอนไปพักวัดศรีเมืองนี่สนิท เราพักตั้งแต่ออกพรรษาแล้วจากจักราช รีบมาจะให้ทันท่าน (อาจารย์มั่น) ดูเหมือนจะเดือนพฤศจิกาหรือไง จนกระทั่งถึงเดือนเมษา ปลายเดือนเมษา พฤศจิกาถึงเมษามันสี่ห้าเดือนเราอยู่วัดทุ่งสว่าง จากนั้นก็ออกเลยไปหาหลวงปู่มั่นที่วัดบ้านโคก นามน ตั้งแต่นั้นมาก็สนิทสนมกันเรื่อย

    ท่านชอบพูดเล่นพูดหยอก จึงว่าชอบรื่นเริง นิสัยท่านเป็นอย่างนั้น ทะเลาะกับใครไม่เป็นเท่าที่สังเกตดูด้วย คบกันมานานด้วย นิสัยดีจริงๆ นี่ท่านก็ล่วงไปตั้งแต่เดือนอะไรนะ โอ๊ย ไปหาท่าน รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ยกไม้ยกมืออะไร ท่านพูดไม่ได้ มีแต่อ๊าๆ พอเห็นเราไปเยี่ยมท่านดีใจ ดีใจจริงๆ นะ ชี้โน้นชี้นี้ ให้เอาเก้าอี้มามานั่งติดกับที่ท่านนอนอยู่ คุยกัน ท่านก็จับมือจับอะไรต่ออะไร ท่านดีใจมาก ตอนนั้นท่านเพียบมากแล้วแหละ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างท่านดีหมด สติสตังอะไรดีหมด เป็นแต่เพียงว่าพูดไม่ได้เท่านั้น ท่านไม่อยากให้มาง่ายๆ นะ ท่านทำมืออย่างนั้นอย่างนี้ด้วยความดีใจของท่านนั่นแหละ พอไปเยี่ยมคราวหลังนี่ อ้าว ทำอะไรไม่ได้แล้ว เราก็เลยไม่อะไรกับท่านแหละ เพราะจวนเต็มที่แล้ว ท่านไปด้วยความเรียบร้อยทุกอย่าง สงบเรียบร้อยทุกอย่าง ท่านไปด้วยความเรียบร้อย


    http://www.luangta.com
    http://www.dhammajak.net
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต”

    [​IMG]
    พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต)


    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



    ท่านอาจารย์มหาทองสุก
    คู่ทุกข์คู่ยากกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต



    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๑๖ เดือนสิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๐
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี



    พูดถึงเรื่องนี้แล้วมาคิดย้อนหลังที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ละ ท่านเล่าเองนะ ท่านอาจารย์มหาทองสุก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดสุทธาวาสจนกระทั่งมรณภาพนี้ เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย คู่ทุกข์คู่ยาก คู่ลำบากลำบนกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านอาจารย์มหาทองสุกเป็นคนจังหวัดสระบุรี ดูว่าอยู่บ้านหนองไผ่หรืออะไร เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปไหนในป่าในเขาทุกข์ไปด้วยกันเลย เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ ท่าน (หลวงปู่มั่น) ไปขู่ท่านนะ ท่านเป็นมหา บางทีคนอาจคิดว่าเป็นมหาบัวก็ได้ คืออาจารย์มหาทองสุก ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นมหา เรายังเรียนอยู่ ท่านเป็นมหาแล้วท่านไปกับหลวงปู่มั่น

    ทำไมถึงอ่อนแอเอานักหนา เหมือนผู้หญิง ท่านว่างี้นะท่านขู่ ไปเอาเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิงมานุ่งสวมใส่เข้าไปเสีย แล้วถอดออกเครื่องของผู้ชาย มันเสียเกียรติผู้ชายอย่างนี้น่ะ มันอะไรอ่อนแอนัก ร้องไห้ ความหมายว่าไม่ได้การ ท่านว่านะ ท่านทำท่านทำหาเหตุหาผลเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ตอนนั้นท่านป่วย ท่าน (หลวงปู่มั่น) ไปขู่เอา เพราะนิสัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวผึงๆ นิสัยท่านอาจารย์มหาทองสุกสุภาพเรียบร้อย เรียกว่าอ่อนแอก็ได้ถ้าเทียบกับหลวงปู่มั่น เป็นไข้อยู่ในป่าในเขาด้วยกัน ยาก็ไม่มีแต่ก่อน

    ท่านก็ไปขู่เอาบ้าง เป็นยังไงเจ็บไข้เพียงเท่านี้ถึงอ่อนแอเอาเหลือเกิน เหมือนผู้หญิง ถอดออกให้หมดอันนี้เอาเครื่องผู้หญิงมานุ่งมาใส่เข้าไปจะเข้ากันได้ ท่านว่างั้น เครื่องของพระนี้เข้ากันไม่ได้กับความอ่อนแอ ว่างั้นทดลองดู พอท่านว่าอย่างนั้นร้องไห้เลย ขนานนี้ไม่ได้การ เอาขนานใหม่นิ่มนวลที่นี่ ท่านใช้อย่างนั้นนะ ก็ท่านไม่มีกิเลส ถึงจะใช้กิริยาอาการใดจิตท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นการทดสอบทดลองดูเฉยๆ ตกลงก็เลยใช้แบบนิ่มนวลแบบผู้หญิงไปเลย ไม่ต้องสวมใส่ก็ได้เครื่องผู้หญิง มันใส่ไปในตัวเลยว่างั้นเถอะ นี่ละคู่ทุกข์คู่ยากกัน

    เกี่ยวกับเรื่อง ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ที่ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ก็อย่างตุ๊เจ้ายี่เขาว่าท่านเป็น เสือเย็น หลวงปู่มั่นเป็นเสือเย็น เวลาเขาหาเหตุหาผลยังไม่ได้เรื่องได้ราว เคยเล่าแล้วนี่นะ ท่านไปหาเขา เขานึกว่าท่านเป็นเสือเย็น เสือเย็นเสืออันตราย เสือเป็นพิษเป็นภัย เสือลึกลับ เขาเรียกเสือเย็น ตุ๊เจ้าสององค์นี้เป็นเสือเย็น ท่านอาจารย์มหาทองสุกกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เขาประกาศห้ามไม่ให้ใครไป ให้แต่ผู้ชายไป ให้ไปดูสังเกตการณ์ สังเกตการณ์ก็คือจอมโง่ไปสังเกตการณ์จอมปราชญ์ ไปท่านก็ไม่สนใจ ท่านรู้แล้ว

    ท่านบอกท่านอาจารย์มหาทองสุก อย่างนั้นละเวลาท่านใช้ในป่าในเขาท่านออกใช้หมด เขาคิดยังไงพูดยังไงรู้หมดเลย บอกท่านอาจารย์มหาทองสุก นี่เขาว่าอย่างนั้นๆ นะ แต่เราอย่าสนใจ เขาว่าเสือเย็นมาอยู่กับเขา ให้ระวังกัน เวลาตายแล้วพวกนี้จะเป็นสัตว์เป็นเสือตกนรกกันไปหมด ถ้าเราไปเสียตอนนี้เขาจะเป็นบาปเป็นกรรมมาก เราต้องทนอยู่ ต้องทนจริงๆ อยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น

    เขาจัดคนมาดูเสือเย็นสองตัวนี้ พวกเราไปดูซิ ดูหลายวันต่อหลายวันเข้าไม่เห็นมีอะไร ท่านไม่สนใจอะไรละ ท่านเดินจงกรมท่านก็เดินของท่านในป่า หลายวันเข้าไปเขาไปดู ก็มีผู้ใหญ่บ้านของเขาถาม เป็นยังไงไปดูเสือเย็นสองตัวนั่น คนที่ไปดูมันคงจะโมโห มันก็พูดด้วยความโมโห จะเป็นอะไร ขึ้นเลยนะ ท่านก็อยู่ของท่าน ไม่เห็นเป็นเสือเย็นอะไร ดีไม่ดีตกนรกนะพวกเรา เขาก็รู้นรกเหมือนกัน ไปดูท่านก็ธรรมดา เฉยๆ ท่านไม่สนใจกับใคร ถ้าเสือเย็นมันต้องมีกิริยาอะไรให้รู้ นี้ไม่มีเลย ดีไม่ดีพวกเราตกนรกนะ อยากจะทราบเหตุผลก็ไปถามท่านดูซิ ท่านนั่งหลับตาไม่สนใจกับใคร ท่านเดินไปเดินมาทำอะไรไปถามดูซิ

    ก็จอมโง่มาถามจอมปราชญ์ นั่นละที่ว่ามาถาม ตุ๊เจ้าทำอย่างนั้นทำอะไรๆ ท่านก็บอกว่าพุทโธหาย หาพุทโธ ท่านเอาอย่างนั้นนะจอมปราชญ์ พุทโธเป็นยังไงๆ เป็นดวงสว่าง ใครเห็นพุทโธแล้วจะสว่างจ้าในใจ ท่านว่างั้น พวกเราหาพุทโธด้วยได้ไหม ได้ ยิ่งดี หาพุทโธๆ อยู่ในนี้นะ พอดีตุ๊เจ้ายี่หัวหน้าไปทำมันก็เป็นจริงๆ จิตสว่างจ้า กำหนดออกมาดูท่าน ที่ว่าท่านเป็นเสือเย็น โหย ประกาศป้างเลย ไม่ได้นะพวกเรา

    พอไปฟังท่านแล้วท่านมาเล่าให้ฟัง มาภาวนามันเป็นจริงๆ ไปเห็นใจท่านเข้า ใจท่านสว่างจ้าครอบโลกธาตุ เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น พวกเรานี้ตกนรกนะ ไม่ได้นะ เขายังรู้จักมาขอโทษ เขายังรู้ ต้องไปขอโทษท่านนะ พวกเราผิด ไม่งั้นตายจมไปหมดนะ ก็เลยมาขอโทษขออภัย เขาว่าจิตของเขารวมแล้วเขามองดูจิตหลวงปู่มั่นนี้ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นอะไรอย่างนั้น นั่นละจึงได้ลงกันทั้งบ้าน

    นี่เราพูดถึงเรื่องความรู้มันออกไปรู้ มันรู้จนกระทั่งสัตว์มากินผลหมากรากไม้ที่เขาปลูกในสวน มากินมันก็เห็นตัวสัตว์ มันเห็นขนาดนั้น แล้วลงทั้งบ้านเลย นี่ละพูดถึงว่าท่านไม่ถืออะไรกับเขา เขาว่าท่านเป็นเสือเย็น เขาจะตกนรกต้องอยู่อนุเคราะห์เขา ให้เขาลงใจเสียก่อนแล้วไปไหนค่อยไป ท่านบอกว่าพุทโธหาย ให้เขาหาพุทโธ หาอยู่ในใจ นั่งก็ได้นอนก็ได้ทำอะไรก็ได้ ให้นึกพุทโธๆ อยู่ในใจนี้ หาพุทโธหาที่นี่แล้วจะเจอที่นี่ พอดีหัวหน้ามันเจอจริงๆ เจอมันสว่างจ้า

    ทีนี้ส่งจิตไปหาหลวงปู่มั่น โอ๋ย สว่างครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นยังไง เป็นอย่างนั้นละ ลงทั้งบ้านเลย เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น คือเขามาถามพุทโธหาย ท่านเลยสอนพุทโธให้เขาไปหาพุทโธ หาอย่างนี้ เขาเป็นพุทโธแล้วมันก็จ้า เลยไปเห็นจิตของหลวงปู่มั่นสว่างกระจ่างแจ้ง ยอมกันทั้งบ้านเลย นี่ละเป็นอย่างนั้น


    http://www.luangta.com
    http://www.dhammajak.net
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่ปัญญาวัฑโฒ”

    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    [​IMG]
    หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ


    สงสารชาวอังกฤษ


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒ เดือนธันวาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๖
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี



    ไอ้หลวงตาไปอังกฤษเที่ยวเดียวเข็ดจนกระทั่งป่านนี้ นั่งเครื่องบินจากอังกฤษมานี่ ๑๔ ชั่วโมง ตอนนั้น เราตั้งนาฬิกาไว้ตั้งแต่เริ่มนั่งปั๊บแล้วตั้งไว้ เครื่องบินออกจนกระทั่งมาถึงเมืองไทย ๑๔ ชั่วโมงกว่า เข็ดตั้งแต่นั้นเลย เขาจะมาเอาไปไหน อังกฤษนี้มานิมนต์ทุกปี เขาจะเอาไปอังกฤษ เลยบอกชัดๆ เลยว่า ไม่ไป เข็ด อย่ามานิมนต์อีกนะ จากนั้นเขาก็เลยไม่นิมนต์ เขาก็มาแต่ไม่นิมนต์ อังกฤษทั้งผู้หญิงผู้ชายเขามาที่นี่ มันเข็ด เจ็บเอว เที่ยวไปมันไม่เห็นทุกข์

    เรียกว่าชั้นที่หนึ่งหรืออะไรนั่นแหละ เวลาเราไปไม่มีผู้มีคนชั้นหนึ่ง มีอยู่สองสามคนเขาก็อยู่มุมนู้น เราก็ฝรั่งสามหรั่งอยู่สนุกสบาย อยากหลับอยากนอนสบาย มันไม่เห็นทุกข์ล่ะซี บทเวลาขากลับมา ชั้นนั้นละแน่นหมดเลย ขยับเขยื้อนอะไรก็ไม่ได้ โอ้โห ได้นั่งนั้นมาเป็นเวลา ๑๔ ชั่วโมง จากนั้นมาเลยเข็ด คือเจ็บบั้นเอว แต่ก่อนเรามีเจ็บเอวอยู่ด้วย เอวนี้ระบมไปหมด ตั้งแต่นั้นมาเข็ด เขามานิมนต์ไป บอกไม่ไปเราบอกเราเข็ดนั่งเรือบินนาน

    อย่างสหรัฐเขามาเอาอย่างเข้มข้นก็มี อย่างธรรมดาก็มีที่เขาจะมานิมนต์เราไป เข้มข้นคือว่าจะเอาไปด้วยเลย อย่างนั้นก็มี ไม่ไป ที่ไหนไกลๆ แล้วไม่ไป มันเข็ด อันนี้อยู่ประจำทำไมไม่เข็ด เราเข็ด เวลาไปนั้นดูเหมือนเป็น พ.ศ. ๒๕๑๗ ไปอังกฤษ ไปอยู่นั้นสองอาทิตย์กว่า เราตั้ง (ใจ) ไปดูบ้านเมืองของเขา ทัศนศึกษาเพื่อเหตุเพื่อผล ขี้เกียจขี้คร้านเท่าไรก็ต้องไป ถึงเวลากำหนดไว้ เช่นตอนเย็นบ่ายสี่โมงออก พระฝรั่งแล้วโชเฟอร์ก็เป็นคนอังกฤษ ไปดูซอกแซกซิกแซ็ก คือไปหาดูที่สำคัญๆ ไปดูหมด แม้ที่สุดโรงงานใหญ่ๆ เขาก็เข้า แต่ไม่ลงนะ เข้าไปดู

    โชเฟอร์เขาเป็นลูกศิษย์ โชเฟอร์ขับรถเขาเคยมาที่นี่ เขาเคารพมากอยู่ เรื่องรถทางอังกฤษก็ไม่อด สถานทูตไทยและลูกศิษย์ในอังกฤษก็มีเยอะ รถมารอตลอด เราอยากไปคันไหนได้ทั้งนั้น แต่เราจะไปตามเวลาของเรา มาแล้วก็ถามที่ไหนบ้างๆ ไปดู คือไปดูเป็นทัศนคติ ทัศนศึกษาแล้วก็เป็นทัศนคติ ดูซอกแซกซิกแซ็กไปหมด ยิ่งจวนจะกลับเท่าไร ค่ำ ๑๘ นาฬิกา ประชุมกัน ๖ โมงเย็นประชุม เลยจากนั้นแล้วยังไปอีก ออกจากที่ประชุม เขามาฟังเต็มหมดนะ คนไทย ฝรั่งมังค่า โอ๊ย ฝรั่งนี่เพิ่มขึ้นๆ เพราะลูกศิษย์ในอังกฤษ ในกรุงลอนดอนนั้นมีมากอยู่ เขามีความเลื่อมใส แต่เขาไม่ได้มา เวลาเราไปจึงมามากมาย เพิ่มขึ้นๆ สุดท้ายเก้าอี้ที่มาตั้งไว้นั้นล้มระนาวไปเลย ฝรั่งนี้นั่งไหนนั่งได้หมดเหมือนเรานะ เขาไม่สนใจ นั่งเหมือนเราเลย เพราะมันมากต่อมาก

    จึงรู้สึกเสียดาย เขาเป็นคนสุภาพ เป็นคนมีกฎมีเกณฑ์ มีวินัยมีประจำชาวบ้านเขาแล้วประเพณีของเขา เวลาได้พุทธศาสนาที่แท้จริงเข้าไปมันก็เรียบไปเลย นั่งเหมือนผ้าพับไว้ เหมือนหัวตอ ไม่ว่ารายใดเรียบตลอด ตอนเช้าก็เต็ม ตอนจังหันนู่นอาหารวาง ทั้งคนไทยทั้งอังกฤษ ตอนค่ำมากจริงๆ เต็มหมดเลย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เล็กน้อย เรารู้สึกสงสารชาวอังกฤษเหมือนกันที่เขาตั้งอกตั้งใจฟังเทศน์ แต่เสียใจที่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง ต้องให้ล่ามแปล มันไม่ได้จิ้มเลยๆ ถ้าจิ้มเลยนี่ โหย ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ

    ขนาดนั้นเรายังได้เห็นพวกคนอังกฤษหัวเราะลั่นเลย เราตอบปัญหา เขาหัวเราะกันลั่นเลย พวกอังกฤษหัวเราะ เขาก็คนเหมือนเรานี่ แต่เราได้ไปเห็นอังกฤษหัวเราะ คือตอบปัญหา เวลาเทศน์จบลงแล้วตอบปัญหาเขา เวลาฉันจังหันเสร็จเรียบร้อยแล้วหนึ่ง ตอนค่ำหนึ่ง ตอบปัญหาเขา พวกนี้เรียบมาก ฝึกหัดภาวนากัน นี่เราเสียดายถ้ามีพระตั้งใจปฏิบัติ เป็นพระที่ดีทั้งภายนอกภายในแล้ว ดีไม่ดีเมืองลอนดอนจะเป็นพุทธศาสนาได้ พุทธศาสนาที่มั่นคงขึ้นได้ในนั้นนะ แต่นี้ก็เหยาะแหยะๆ ทุกแห่งเป็นอย่างงั้น ก็เพราะพระเราเหยาะๆ แหยะๆ มันไม่จริงไม่จัง เจ้าของก็โลเล แล้วจะไปสอนใครให้แน่นหนามั่นคงได้ยังไง

    พระพุทธเจ้าเป็นคนโลเลที่ไหน ศาสดาองค์เอกไม่มีโลเล เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม กราบอย่างแนบสนิท ไม่มีเทวดา อินทร์ พรหม ตนใดที่จะมาตำหนิพระพุทธเจ้าได้ ไม่ปรากฏในตำรา มีแต่นอบน้อมตลอด นี่ตัวอย่างของโลก ตัวอย่างแห่งความร่มเย็นของโลกท่านเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลากระจายออกมาเป็นพระสาวกก็รองพระพุทธเจ้าลงมา ตามนิสัยวาสนาของตนที่จะแนะนำสั่งสอนได้ กระจายมามีตั้งแต่เพชรน้ำหนึ่งๆ อย่างเลิศเลอๆ ออกมา ผู้ตั้งอกตั้งใจฟัง ธรรมก็ออกมาจากหัวใจเอง ไม่ได้ไปหาคว้าเอาคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ เพราะคัมภีร์นั้นออกจากหัวใจ พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วยังไงก็จดจากที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วไปเป็นคัมภีร์ มันก็เป็นธรรมนอก ธรรมใน

    ธรรมใน คือธรรมในพระทัยพระพุทธเจ้า ธรรมในใจของพระสาวกที่ท่านรู้ท่านเห็นเต็มอยู่ในหัวใจหมดแล้ว ก็เรียกว่าจิ้มเลยๆ ๆ ทันเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง คือศาสดาองค์เอกเป็นตัวอย่างได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นพระอาการของพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาตลอด พระอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นศาสดาเอกได้ตลอด ไม่มีบกพร่องที่ตรงไหนคือศาสดาองค์เอก จากนั้นมาก็เป็นสาวก รองศาสดาลงมา เป็นคติได้ทั้งภายนอกภายใน ท่านไปที่ไหนก็ร่มเย็นเพราะท่านร่มเย็นอยู่แล้ว ไปที่ไหนท่านสง่าอยู่แล้ว ไปไหนก็สง่าไปหมด

    นี้มาหาพวกเรามันเหมือนลิงเหมือนค่าง พระก็พระลิงพระค่าง ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกัน หาหลักหาเกณฑ์ก็ไม่ได้ โลเลโลกเลก ดีไม่ดีเลวกว่าประชาชนเขาไปอีก จะไปสอนใครจะให้สนิทใจลงคอ เชื่อถือและปฏิบัติตามได้ล่ะ ไม่ได้ ใครก็เหมือนกัน นี่ละเสียตรงนี้ เราไปดูชาวอังกฤษ โอ๊ สงสาร เราก็ไม่เคยเห็นอังกฤษร้องไห้เหมือนกันนะ เวลาจากไปสุดท้ายนี่ น้ำตาพังเลยเทียว น่าสงสาร เราก็สงสารจะทำไง มันเป็นขั้นๆ ประตูเขา ประตูหนึ่ง ประตูสอง ประตูสุดท้ายนั่นแหละ แหม น่าสงสาร รุมไปเลย เราไปสุดท้ายไปส่ง น้ำตาพังได้เห็นชัดต่อหน้าต่อตา เราก็สงสาร

    เขาก็ขอพระท่านปัญญานี่ไว้ให้อยู่ที่อังกฤษ เราก็บอกเราไม่ขัดข้อง ให้พวกเขาคุยกันเองกับท่านปัญญา ท่านปัญญาก็หันมาหาเรา ทางชาวอังกฤษนี่เขานิมนต์ผมให้อยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์จะว่าไง คือเวลาท่านอาจารย์กลับแล้วเขาจะนิมนต์ผมให้อยู่ที่นี่ต่อไป ท่านอาจารย์จะว่าไง เราก็ตอบทันทีผมไม่มีอะไรขัดข้อง ผมสอน สอนเพื่อหมู่เพื่อคณะ สอนเพื่อโลกเพื่อสงสาร ผมไม่ได้สอนเพื่อผม ผมพร้อมเสมอ ถ้าอะไรที่จะออกเป็นประโยชน์ได้แล้วพร้อมเสมอ ผมไม่ขัดข้อง สำหรับท่านล่ะขัดข้องหรือสะดวก ขัดข้องอะไร นั่นถามมาอีก ขัดข้องทั้งภายในภายนอกของการปฏิบัติธรรมของพระล่ะซี ยังขัดข้อง สุดท้ายตอนนี้ติดเรา ว่าขัดข้อง เมื่อขัดข้องแล้วใครผิดใครถูกล่ะ ผมเปิดโอกาสตลอดเวลา ถ้าท่านพร้อมแล้วให้ท่านอยู่ได้ไปได้

    พอถาม ท่านว่ายังไม่พร้อม ไม่พร้อมแล้วท่านมาถามผมหาอะไร เลยดุ ทีนี้ฝรั่งก็หัวเราะล่ะซี คือท่านปัญญาพูดให้เขาฟังที่เราดุท่านปัญญา พวกอังกฤษเลยหัวเราะลั่น มีแต่ธรรมสำคัญเวลาออกสดๆ ร้อนๆ โต้ตอบกันในเวลานั้น ตกลงก็เลยไม่ได้ ถามว่าทำไมท่านไม่ไป ยังไม่พร้อม เลยอยู่นี้จนกระทั่งป่านนี้

    ท่านปัญญานี่ดูเหมือนได้ ๔๐ ปี ปี ๒๕๐๖ มาอยู่ที่นี่ นี่ตอนที่เราโง่กว่าพระฝรั่ง โง่กว่าท่านปัญญามาโง่ตอนนี้ เราไม่ลืม ทีแรกพระฝรั่งมาขออยู่ในวัดป่าบ้านตาดเรา ท่านปัญญามาก่อนมาขออยู่ เราก็ยังไม่รับ โห เก่งเหมือนกันนะ ขอที่หนึ่งยังไม่รับ มาขอที่สองอีกก็ยังไม่รับ ฟาดถึง ๕ ครั้งเลย

    ครั้งที่ ๕ นี่เราติด ใส่ ๕ หมัด หมัดที่ ๕ เราอยู่หมัดเลย สู้ท่านไม่ได้ พอครั้งที่ ๕ ท่านว่า ถึงไม่ให้อยู่ประจำก็ไม่เป็นไร ว่างั้นนะ ขอมาพักชั่วคราว จะให้ไปเมื่อไรก็ได้ ขอมาพักชั่วคราว นี่ละตอนนี้ตอนใส่เรา เราก็ให้อยู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ จนกระทั่งปีนี้ เป็นปี ๒๕๔๖ ใช่ไหมล่ะ ๔๐ ปี ยังชั่วคราวตลอด คงจะชั่วคราวตลอด เมื่อท่านมาอยู่แล้วดูท่านทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านเรียบๆ ตลอดเวลาก็จะไล่ท่านไปไหน เราก็หาคนดี พระดี ของดีอยู่แล้วใช่ไหม นี่แพ้ท่าน นี่ พ.ศ.๒๕๔๖ แล้วได้ ๔๐ เราแพ้ฝรั่งตรงนี้ ท่านปัญญานี่ฉลาดนะ


    Luangta.Com -
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่ปัญญาวัฑโฒ”

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๕ เดือนมิถุนายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี



    ท่านปัญญาไปตอนไหน (ไปตอนโมงกว่าครับ) ท่านไปบอกเมื่อวานนี้ พระฝรั่งสอนฝรั่ง สนิทดีกว่าคนไทยสอนฝรั่ง เพราะภาษาพื้นเพนิสัยกลมกลืนกันมาแล้วสอนกันได้ง่าย

    ให้ท่านปัญญาไปแล้ววันนี้ สอนพวกพระฝรั่งซึ่งมาอยู่ในเมืองไทยเรามีเยอะ บางทีก็ไปวัดนานาชาติบ้าง อะไรบ้าง เอาพระวัดนี้แหละไปสอน ท่านปัญญาวันนี้ไปแล้วแต่เช้า ฝรั่งสนใจมาก วัดเราก็รับไม่ได้เพราะมากแล้ว ยิ่งต้องส่งพระของเราไปอบรมสั่งสอนพระฝรั่ง

    ท่านปัญญาเป็นพระที่แยบคายอยู่นะในวงกรรมฐาน สำหรับพระต่างชาติท่านปัญญาเป็นพระสำคัญองค์หนึ่งอยู่ พอที่จะให้อรรถให้ธรรมแก่ชาวเมืองนอกได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นเราถึงปล่อยให้ไป วันนี้ไปแล้วออกแต่เช้า

    ความที่มันเคยชินกันมาดั้งเดิม ภาษาเดียวกัน พูดกันง่ายรู้เรื่องกันเร็ว อย่างฝรั่งต่อฝรั่งสอนกันได้ง่าย เป็นอย่างงั้นนะ เรื่องสอนได้น่ะได้ น้ำหนักมันต่างกัน ภาษาก็เป็นอันเดียวกันแล้ว


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อค่ำวันที่ ๑๘ เดือนสิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม เขตบางแค กรุงเทพมหานคร

    ...เออ ท่านปัญญาวัฑโฒ ที่วัดป่าบ้านตาด ได้ละขันธ์ไปแล้วตั้งแต่เมื่อเช้านี้ ดูเหมือนตอน ๘ โมงครึ่งมัง เสียไปแล้ว พอดีตอน ๘ โมงครึ่ง เราได้สั่งเสียไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เพราะก่อนจะมาก็ทราบอาการแล้วจะไม่ไหว จวนเต็มที่แล้ว ทีนี้วันเวลาของเราที่จะมานี้มันก็กำหนดตายตัวไว้แล้วเคลื่อนไม่ได้ ผู้เป็นก็เป็น ผู้ตายก็ตาย จะว่าไง ทำงานคนละหน้าที่ เราก็มาหน้าที่ของเรา ท่านก็ตายตามหน้าที่ของท่าน ก็เท่านั้นเอง ทุกอย่างสั่งไว้เรียบร้อยหมดเลย

    ท่านปัญญาได้ทำประโยชน์ให้วัดป่าบ้านตาดมากมายนะ เพราะเป็นช่าง เป็นช่างได้ทุกแบบท่านปัญญา ถามตรงไหนไม่มีอั้นเลย ไม่ว่าเครื่องยนต์กลไกอะไรทำเป็นหมด รถไฟ เรือเหาะเรือบิน ทำเป็นหมด จนกระทั่งจรวดดาวเทียม เราถามว่าทำได้ไหม ทำได้ท่านว่า แต่ว่าสิ่งเหล่านี้คนต้องจำนวนมากมายที่จะทำ คนเดียวทำไม่สำเร็จ ท่านก็มีทางออกของท่าน เราถามไปตรงไหนนี้ไม่มีอัดมีอั้นนะ ท่านรู้หมด เขาเรียกว่าวิศวปรมาณูหรืออะไร เพราะฉะนั้นท่านจึงเก่งทุกด้านทุกทาง แม้ที่สุดรถยนต์เข้าไปในวัด ไปตายอยู่ในวัด ท่านก็แก้ให้ รถเข้าไปในวัด ไปตายในวัดออกไม่ได้ ท่านก็แก้ได้ ไล่ออกจากวัดไป ท่านเก่งหมดเรื่องนาฬิกงนาฬิกา พวกเทปพวกวิทยุเหล่านี้ทำเป็นหมด อยู่ในวัดท่านแก้ให้ทั้งนั้น ท่านเก่งมากทุกอย่าง จึงว่าท่านทำประโยชน์ให้วัดมากมาย

    แล้วก็ยังมีส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือเป็นสื่อทางอันดีงามสำหรับชาวเมืองนอก เขามาเขาก็มาอาศัยท่านปัญญาเป็นผู้คอยแนะนำสั่งสอนเป็นลำดับลำดามา ท่านปัญญาตายไปก็ขาดประโยชน์อันนี้ สำคัญอันหนึ่ง สำหรับทางวัดก็ไม่ค่อยมีอะไรแหละ มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยท่านเป็นบางกาลเวลา ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรแหละในวัด แต่เรื่องอุบายแนะนำสั่งสอนบรรดาพระต่างชาติที่เข้ามา จะต้องมาถึงท่านปัญญาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างท่านปัญญาละเอียดลออดี การแนะนำสั่งสอนก็ถูกต้อง

    เวลาท่านดับจิตก็สงบเงียบไป ว่างั้น นี่สมชื่อสมนามกับพระปฏิบัติดูจิตของตัวเอง ท่านปัญญาก็ดีอยู่ไม่มีที่ต้องติ เวลาจะดับก็ไปด้วยความสงบเงียบเลย...พอสิ้นลมพระก็โทรมาเลย เราก็ทราบแล้วอย่างนี้ เราได้สั่งไว้หมดแล้วไม่มีปัญหาอะไร ให้จัดโดยสมบูรณ์ตามที่เราสั่งไว้แล้ว เวลาเรากลับไปก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่เราจะพาดำเนิน

    ท่านได้หลักใจจริงๆ แหละท่านปัญญา...จากพุทธศาสนาไม่สงสัย ถึงขนาดท่านยังพูดเอง พูดแบบไม่ลำเอียงให้เราฟังต่อปากต่อคำกัน ว่าท่านเสียดาย ท่านว่าอย่างนั้นนะ ถ้าพูดถึงเรื่องทางความฉลาดแล้วยกให้ว่าฝรั่งนี้ฉลาด แต่ทางธรรมนี้ฝรั่งโง่ ว่างั้นนะ คือพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอ พวกฝรั่งไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงว่าดีอันหนึ่ง ก็มาเสียอันหนึ่ง แล้วท่านก็ฉลาดดีนะ อันนี้มันก็คงเป็นกรรมของสัตว์ แน่ะท่านว่า น่าฟังนะท่านพูด คือทางฉลาด ฉลาดไปทางโลกทางสงสาร ทางวัฏวนเสีย ให้ฉลาดมาทางธรรมนี้ไม่ฉลาด โง่เสียตอนนี้ จากนั้นท่านก็สรุปว่าคงเป็นกรรมของสัตว์นั้นแหละ ท่านว่า มันก็ถูกต้องหมดใช่ไหมล่ะ

    เราจะถือเรื่องความฉลาดภายนอกมาวัดไม่ได้นะเรื่องธรรม ธรรมเป็นอันหนึ่ง กิเลสเป็นอันหนึ่งต่างหาก ท่านพูดเองนะ ท่านเสียดายอยากให้ฝรั่งที่ว่าฉลาดๆ หันเข้ามาปฏิบัติทางพุทธศาสนา ทางด้านจิตตภาวนาบ้าง แล้วฝรั่งจะทำประโยชน์ได้มากมายทีเดียว ว่างั้นนะ ถูกต้อง แต่นี้มันก็เป็นอย่างว่านั่นแหละ มันไม่มาสนใจเสีย โง่ไปทางหนึ่งเสีย แล้วท่านก็สรุปว่า อันนี้ก็คงเป็นกรรมของสัตว์นั้นแหละ เราก็หมดท่า ท่านพูดฉลาดดีนะ ท่านปัญญาท่านพูดฉลาดดี

    ท่านสุขุมมากท่านปัญญา ไม่มีที่ต้องติ ตั้งแต่วันมาอยู่กับเราไม่เคยได้ดุเลยนะ ไม่มี เรียบ สุขุมมาโดยตลอด ฉลาดมาตลอด พวกชาวเมืองนอกมาก็อาศัยท่านชี้แนะๆ พอท่านเสียไปก็จะเสียประโยขน์ไปทางหนึ่งเหมือนกัน อายุท่าน ๗๙ เกือบ ๘๐ นะ


    http://www.luangta.com
    http://www.dhammajak.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...