หลวงปู่ขาวพระอริยะคุณประเสริฐ ตอน ปาฏิหาริย์ วันมรณภาพหลวงปู่ขาว

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 31 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    หลวงปู่ขาวพระอริยะคุณประเสริฐ ตอน ปาฏิหาริย์ วันมรณภาพหลวงปู่ขาว
    [​IMG]
    บางเวลาที่ไปกราบท่าน ถ้าไม่มีหลวงปู่หลุย จันทสาโร หรือท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ นำไป เราก็ไปกันเอง บางครั้งท่านอาจจะเหนื่อย จะไม่ค่อยพูด ซึ่งอาจเป็นเพราะต้องรับแขกศิษย์กลุ่มอื่นๆ อยู่นาน แต่จะอย่างไรก็ตามที ถ้าผู้เขียนกราบเรียนถามถึง “ถิ่นธุดงค์” เก่าของท่าน ที่ท่านเคยสร้างบารมี และเราก็เคยทราบประวัติของหลวงปู่มาจากท่านพระอาจารย์จวนอยู่บ้างแล้ว อย่างเช่นที่ถ้ำค้อ ที่ดงหม้อทอง ที่ถ้ำแก้ว และที่ภูวัว เป็นต้น

    ลักษณะของป่าเขาลำเนาไพรที่ผ่านมา เสือ ช้าง งูใหญ่ ฯลฯ ท่านทรมานมาแล้วทั้งนั้น

    นัยน์ตาของท่านจะแจ่มใสเป็นประกายวาว ถ้านอนอยู่ก็จะลุกขึ้นนั่ง ถ้านั่งอยู่ก็อาจจะลุกขึ้น ทำท่าเสือหมอบ เสือย่าง ให้ดู หลวงปู่ไม่เพียงแค่ทำท่าทางเท่านั้น แต่ก็ทำเสียงด้วย เสือคราง ช้างร้องโกญจนาทอย่างไร ฟังแล้วก็นึกวาดภาพตามท่านไป และพลอยสนุก อยากตามไปลิ้มรสชีวิตธุดงค์อย่างท่านบ้าง

    เราพูดกันอยู่ว่า อย่างพวกเรานี้ ถ้าเข้าป่า เผชิญหน้าเสือ เผชิญหน้าช้าง ก็คงถูกมันขบกัด เหยียบตายแน่ เพราะความที่ฟังแต่ว่า สัตว์เหล่านั้นถูกท่านทรมาน อ่อนศิโรราบไปตามๆ กันแต่อย่างเดียว ก็อาจจะลืมตัวกลัวตายไป เห็นมันก็ไม่วิ่งหนี ลืมนึกไปว่า สัตว์เหล่านั้น “ยอมแพ้” เฉพาะท่านผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ทรงคุณธรรม อย่างหลวงปู่ ต่างหาก...!

    เวลาหลวงปู่เล่า ท่านจะตบเข่า ตบพื้น ชวนให้นึกสนุกตามท่านไปด้วย จนบางครั้งต้องขออาราธนาว่า พอเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวหลวงปู่จะเหนื่อย จะเจ็บ ท่านจะหยุด และก็ “หวัว” อย่างพอใจ ที่เราแพ้ท่าน

    ปีหลังๆ ท่านไม่ค่อยจะมีแรงที่จะคุยให้สนุกมากนัก ด้วยสุขภาพของท่านถดถอยลง แต่ไม่ว่าท่านจะแสดงท่าเหนื่อยหน่าย นิ่งเฉย ไม่ยิ้มแย้มอย่างไรก็ตามที แต่ถ้าเมื่อผู้เขียนไปกราบนมัสการ กราบเรียนเรื่องที่พวกเราตามท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ไปธุดงค์ถึงถิ่นที่ท่านเคยพำนัก เช่น ที่ดงหม้อทอง ตรงกระท่อมหลังเล็ก ข้างหลังกุฏิหลวงปู่ ที่ตาผ้าขาวอยู่ และช้างยื่นงวงเข้าไปกวาดหาข้าวของในกระท่อม จนเจ้าของต้องไปนั่งตัวลีบ แอบอยู่ที่มุมกระท่อม ที่ถ้ำยาว บนตาดปอ ที่มีพญานาคเกเร มาปรากฏให้ท่านทรมาน ท่านจะแสดงอาการสดชื่น พูดคุยด้วยอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส พอถึงตอนสนุก ผู้เขียนทำท่านเลียนเสียงที่ท่านเคยเล่า ซึ่งคงเพี้ยนจนน่าขบขัน ท่านก็จะหัวเราะอย่างขันเต็มที่

    ผู้เขียนเคยตัวกับการที่มากราบหลวงปู่ และได้เห็นหลวงปู่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้เห็นอยู่ตลอดมา จะมีข่าวอาพาธอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเข้ากราบ กราบเรียน และให้เสียงว่าเป็นใครมากราบท่าน ( ระยะหลัง นัยน์ตาของท่านแทบมองไม่เห็นเลย ) ท่านก็จะยิ้มด้วยยิ้มที่สว่างหัวใจดังเดิม ผู้เขียนเคยตัวอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ได้กราบท่าน จำได้ว่า เราเพิ่งกลับจากการรับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานรูปหล่อท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ที่ภูทอก เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2526 รุ่งขึ้นก็ชวนกันว่า ขากลับกรุงเทพฯ ควรจะแวะมากราบหลวงปู่ขาว อนาลโย ด้วย

    วันนั้นมีครูบาอาจารย์นำเรามาหลายท่าน เช่น หลวงปู่หลุย ท่านพระอาจารย์เหรียญ ท่านพระอาจารย์บัวพา เป็นต้น หลวงปู่อาพาธ มีอาการหลอดลมอักเสบอย่างรุนแรง ท่านนอนสงบนิ่ง หลับลึกอยู่บนเตียง แต่มองแล้วก็น่าใจหาย ด้วยสุขภาพของท่านดูทรุดโทรมมาก ผอมจนแทบเห็นกระดูกใสเป็นแก้วเลย

    ปกติถ้าหลวงปู่หลุย มา อย่างน้อยท่านจะลืมตาขึ้นคุยด้วย เพราะท่านสนิทสนมกันมาก ท่านเล่าว่า ท่านบวชวันเดียวกัน หลวงปู่หลุย บวชก่อนท่าน 15 นาที เป็นนาคขวา ส่วนท่านเป็นนาคซ้าย

    วันนั้นท่านไม่ลืมตา รอกันอยู่พักใหญ่ หลวงปู่หลุย ก็กล่าวว่า ควรปล่อยให้ท่านนอนพักต่อไป อย่าไปรบกวนท่านเลย เราทุกคนจึงออกมาจากห้อง พร้อมทั้งรูดม่านปิดด้วย

    ขณะที่ทุกคนกลับลงไปจากกุฏิหมดแล้ว ผู้เขียนกลับทรุดตัวลงนั่งหน้าห้อง กราบท่านอีกครั้ง อธิฐานจิตขอให้ท่านหายทุกข์เถิด ที่ท่านบอกรับอาราธนาเราไว้ ว่าจะอยู่ให้จนอายุครบ 100 ปีนั้น ลูกไม่ต้องการแล้ว หลวงปู่ดูทรมานเหลือเกิน ถ้าหลวงปู่จะอยู่ให้ลูกหลานชื่นใจ ก็ขอให้อยู่อย่างเป็นสุขเถิด โปรดอย่าอยู่อย่างในสภาพที่น่าเศร้าสลดใจอย่างนี้เลย

    ผู้เขียนก้มหน้าลงกับพื้นหน้าห้อง...นิ่งอยู่ ใจหนึ่งก็เผอนึกรำพันขึ้นมาว่า หลวงปู่เจ้าขา วันนี้ลูกไม่ได้เห็นหลวงปู่ยิ้ม ดูเหมือนจะหายใจไม่ออก น่าประหลาด ผู้เขียนรู้สึกเหมือนว่า ได้เห็นภาพที่หลวงปู่ที่นอนสงบนิ่ง ไม่ไหวติงนั้น เหมือนจะเริ่มกระดุกกระดิก นัยน์ตาท่านขยับเหมือนจะกระพริบถี่ อันแสดงว่าท่านเริ่มที่จะรู้สึกตัว

    ผู้เขียนขยับตัวจากที่หมอบกราบ และเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า ม่านข้างหน้าก็ยังรูดปิดสนิท แต่ “ใจ” เราก็มองผ่านผ้าม่านเข้าไปได้ เห็นนัยน์ตาหลวงปู่กระพริบถี่ แขนขยับ ขณะนั้นผู้เขียนไม่ได้นึกถึงความอัศจรรย์อะไร ที่ว่าทำไมเมื่อเราก้มหน้าอยู่กับพื้น เราจึงเห็น ทำไมผ้าม่านปิดอยู่ เราจึงเห็นภาพภายในห้องหลวงปู่ได้ ใจเราคิดแต่เพียงอย่างเดียวว่า หลวงปู่ตื่นแล้ว และเดี๋ยวหลวงปู่ก็จะยิ้มแล้ว ผู้เขียนให้คนเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่หลุย และท่านพระอาจารย์เหรียญ ท่านพระอาจารย์บัวพา และตัวเองก็รีบเข้าไปกราบท่านข้างในห้อง ท่านกระพริบตาซ้ำๆ แล้วก็ลืมตา ตาท่านคงใสบริสุทธิ์อย่างเดิม แม้จะมีท่าทางระโหยอยู่มากก็ตามที

    ท่านฟังผู้เขียนเล่าเรื่องรับเสด็จแม่เจ้า การจัดตั้งที่บูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ และพระธาตุครูบาอาจารย์ ให้แม่เจ้าสักการบูชา อย่างเช่น พระธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ พระธาตุของหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ พระธาตุของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ พร้อมทั้งพระธาตุของท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม พระธาตุของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร และพระธาตุของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ด้วย

    พอแม่เจ้ารับสั่งที่ภูทอกว่า คิดถึงหลวงปู่ขาว ทางขบวนเสด็จก็เตรียมตัว และวิทยุมาทางอุดรแล้วว่าอาจจะเสด็จฯ มายังวัดถ้ำกลองเพล แต่บังเอิญ พระองค์ท่านต้องเสด็จฯ เยี่ยมราษฏรอยู่นานจนสองทุ่มกว่า พระองค์จึงเสด็จมายังวัดถ้ำกลองเพลไม่ได้

    พระที่ปรนนิบัติหลวงปู่ก็รับสั่งว่า เมื่อคืนนี้ทางบ้านเมืองมารอรับเสด็จฯ อยู่จนถึงสามทุ่ม แน่ใจว่าพระองค์ไม่เสด็จแล้วจึงกลับ พอคุยไป สีหน้าท่านแจ่มใสขึ้น ข้อไหนเป็นคำถามต่อท่านโดยตรง ท่านก็ตอบ

    ในที่สุด...แม้จะยังมีท่าทางเหนื่อยเพลียอยู่มาก แต่ยิ้มของท่านก็เป็นยิ้มที่เปิดโลก สว่างเข้าไปในหัวใจ ดังเดิม เมตตาธรรมของท่านยังเปี่ยมล้น แม้ในวาระที่สังขารของท่านล่วงไปเกือบจะถึงปลายทางอยู่แล้ว

    ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว อนาลโย เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2527 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธาน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นั้นปรากฏว่าวัดถ้ำกลองเพล ซึ่งมีอาณาบริเวณหลายพันไร่ กลับแคบเล็กไปถนัดใจ ประชาชนจากทั่วทุกทิศานุทิศ ได้หลั่งไหลกันมาถวายสักการะสรีระร่างของท่านผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เป็นคำรบสุดท้าย นับจำนวนหลายแสนคน เป็นประวัติการณ์สูงสุดของประเทศ

    ในคืนวันถวายพระเพลิงนั้น ได้มีศิษย์ผู้หนึ่งถ่ายภาพเหตุการณ์วันนั้นไว้ หลังจากนำฟิล์มมาล้าง และอัดภาพ ปรากฏว่ามีภาพ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นชุดหนึ่ง

    ภาพชุดนี้ คุณวิรัช ผู้ถ่ายภาพ ยืนยันว่าเป็นภาพที่ถ่ายในคืนถวายพระเพลิงจริง เวลาประมาณ 22.30 น. ขณะถ่ายภาพมองด้วยตาเปล่า จะเห็นเพียงเปลวไฟ และกลุ่มควันขาวกระจายเท่านั้น แต่เมื่อล้างฟิล์ม และอัดแล้ว จึงเห็นเป็นภาพปาฏิหาริย์ เจ้าของภาพได้นำมาถวายให้ท่านพระอาจารย์เพ็ง เขมาภิรโต เจ้าอาวาสวัดถ้ำกลองเพล ด้วยเห็นเป็นอัศจรรย์เหมือนกัน กล้องสามารถจับแสง และรังสี อันพิสดารไว้ได้ โดยที่ตาเปล่าไม่อาจจะมองเห็นได้...อย่างงดงาม และบางภาพแม้จะดูมีลักษณะคล้ายกัน และถ่ายในมุมใกล้เคียงกัน แต่ลำแสงหรือรังสีที่ปรากฏนั้น ก็แตกต่างกันไป

    ก่อนจะกล่าวต่อไป ผู้เขียนเห็นสมควรจะต้องเอ่ยถึงภาพปาฏิหาริย์ ที่เคยปรากฏในกรณีของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ศิษย์เอกของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่มรณภาพไปก่อนแล้วด้วย ภาพชุดนั้นถ่ายที่ภูทอก มีทั้งหมด 7 ภาพ ด้วยกัน ลักษณะมีรังสีในทำนองเดียวกันกับภาพชุดนี้ของหลวงปู่

    ผู้ถ่ายภาพปาฏิหาริย์ของภูทอก ครั้งแรกเข้าใจว่าภาพของตนเสีย มาบ่นกับเพื่อนว่าฟิล์มม้วนเดียวกัน ถ่ายมาทุกวัดดีหมด ( ผู้ถ่ายภาพร่วมไปในขบวนที่เดินทางไปทอดผ้าป่าหลายวัดด้วยกัน ) ทำไมมาเสียที่ภูทอกแห่งเดียว เจ้าของจะโยนภาพทิ้ง แต่เพื่อนขอนำมาให้ผู้เขียนดู ผู้เขียนพิจารณาแล้ว ก็เห็นประหลาดอยู่ด้วย มีลำแสงแปลกๆ พุ่งจากพระประธานบ้าง จากองค์ท่านพระอาจารย์จวนบ้าง และมีลำแสงฉวัดเฉวียงในอากาศบ้าง แสงเป็นสีฟ้าบ้าง เหลืองนวลบ้าง บางทีภาพถ่ายในเวลาติดกัน โดยสังเกตจากภาพบุคคลในรูปเหล่านั้น เกือบจะอยู่ในท่าเดียวกัน แต่แสงก็มีลักษณะต่างกันอยู่มาก

    ผู้เขียนจึงนำภาพชุดนั้นไปถวายองค์ท่านพระอาจารย์จวน ท่านถามก่อนว่า เราคิดเช่นไร ผู้เขียนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็เรียนท่าน ภาพที่ภูทอกคิดว่าคงเป็นการถ่ายภาพ “ ศักดิ์สิทธิ์” หรือภาพ “เทวดา” โดยท่านคงจะมี “รังสี” ซึ่งเราไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากนั้นความเคลื่อนไหวของเทพคงจะรวดเร็วยิ่งนัก ภาพที่ถ่ายในเวลาใกล้เคียงกัน ลักษณะแสงรังสี (อันแสดงถึงการเคลื่อนไหว) ถึงต่างกันไปมาก ท่านพระอาจารย์จวน พยักหน้ารับว่า ความเข้าใจของผู้เขียนถูกต้องแล้ว

    ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสนำภาพไปถวายครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ รวมทั้งหลวงปู่ขาว ดูด้วย ท่านก็รับว่าเป็นภาพถ่ายรังสีของเทพเช่นกัน

    ดังนั้น ครั้งนี้เมื่อภาพที่ถ่ายในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เอง เป็นไปในทำนองเดียวกันกับภาพปาฏิหาริย์ที่ภูทอก จึงเป็นไปได้ไหมว่ารังสีที่ปรากฏในภาพต่างๆกัน จะเป็นการถ่ายภาพ “เทพ” ได้เช่นเดียวกัน เป็นไปได้ไหมว่า ในคืนถวายเพลิงสรีระร่างของหลวงปู่นั้น ได้มี “ ปวงเทพ” จากทิพย์วิมาน สวรรค์ รวมทั้งพรหมโลกเบื้องบนลงมาถวายสักการหลวงปู่ และแสดงภาพปาฏิหาริย์ให้ปรากฏ

    ภาพปาฏิหาริย์ชุดนี้ผู้เขียนได้ไปเห็นครั้งแรกที่วัดถ้ำกลองเพล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2527 ทางวัดจัดใส่กรอบตั้งให้บูชา มีทั้งหมด 6 ภาพด้วยกัน โดยใส่กรอบ 2 กรอบ กรอบละ 3 ภาพ เมื่อขออนุญาตจะนำมาลงพิมพ์ทำหนังสือ “อนาลโยปูชา” ท่านเจ้าอาวาสก็แกะออกจากกรอบมอบให้ผู้เขียน

    รุ่งขึ้นวันที่ 8 ตุลาคม 2527 เมื่อนำภาพเหล่านี้ไปถวายให้ท่านพระอาจารย์แยง สุกาโม และท่านพระอาจารย์เติมศักดิ์ ยุตติธัมโม ดูที่วัดภูทอก และกำลังวิจารณ์กันว่า อาจจะมีผู้สงสัยในพระบารมี และพระคุณานุคุณของหลวงปู่ขาว อนาลโย คิดว่ามีการอาศัยเทคนิคการถ่ายภาพ ล้างอัดจัดทำกันขึ้นจะได้หรือไม่ ระหว่างนั้นเราจึงสังเกตเห็นว่าภาพชุดนี้กลับกลายเป็นมี 7 ภาพ มีภาพเกินขึ้นมาอีก 1 ภาพ แทนที่จะเป็น 6 ภาพ ดังที่ได้รับมาจากท่านพระอาจารย์ที่วัดถ้ำกลองเพลเมื่อวันวาน และน่าสังเกตด้วยว่า ภาพทั้งหมดไม่มีภาพใดเหมือนหรือซ้ำกันเลย หากจะว่าเมื่อรับมาจากท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง เราอาจจะนับผิด อาจจะมี 7 ภาพตั้งแต่ครั้งแรกแล้วก็เป็นได้ แต่...แกะภาพจากกรอบ 2 กรอบ และแต่ละกรอบก็มีภาพอยู่กรอบละ 3 ภาพ เช่นนี้จะไม่เรียกว่าภาพหลวงปู่แสดงปาฏิหาริย์ ก็ไม่ทราบว่าจะคิดอย่างอื่นอย่างใดได้

    เราอดนึกรำพึงอีกครั้งไม่ได้ โอ...อย่าว่าแต่มนุษย์เราจะมีความชื่นชมปีติที่ได้มากราบบูชาหลวงปู่เลย แม้เทพเจ้าก็ยังปรารถนามาคารวะบูชาท่าน ด้วยถือเป็นมงคลอันสูงสุด เป็นนาบุญอันประเสริฐ ยากจะหาบุญใดเปรียบปานได้เลย

    เราช่างมีบุญจริงหนอ ที่ได้มีโอกาสมากราบนมัสการ ได้เห็น ได้เข้าใกล้ ได้ฟังคำสั่งสอนของท่าน ได้สัมผัสจิตใจอันเปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรมของท่าน แม้สังขารของท่านจะแตกดับไปแล้วตามธรรมดาของโลก แต่พระบารมีและพระคุณานุคุณ “อนาลโย คุโณ” ย่อมจะดำรงอยู่เป็นที่ระลึกนึกถึง เป็นที่เคารพบูชา เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ต่อบรรดาศิษย์ ตลอดกาลนาน
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...