หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี บุกเมืองพญานาคและท่องนรก

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 6 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    รูปหล่อหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
    ณ วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี



    โดย สิทธา เชตวัน
    หนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ 11 ปีที่ 2 เดือนมีนาคม 2526



    พญานาคมีจริงหรือ ?

    คนไทยเราชาวพุทธ พอเกิดมาเดินได้เข้าไปตามวัดวาอารามย่อมจะเคยได้พบเห็นรูปร่างพญานาค ประดิษฐานอยู่ตามราวบันไดทางขึ้นสู่โบสถ์ วิหาร กุฏิศาลา มณฑป พญานาคทำด้วยไม้ก็มี ปั้นด้วยปูนทาสี มีหงอนแดง อ้าปากแลบลิ้นแดงฉานน่าสะดุ้งกลัวก็มี

    รูปพญานาคที่ประดับอยู่ตามหน้าจั่วกุฏิศาลาโบสถ์วิหารนั้น เรียกว่านาคสะคุ้ง เป็นศิลปกรรมเอกลักษณ์ที่พบเห็นได้ทุกแห่ง

    คติความเชื่อถือของชาวพุทธ มีความเชื่อว่า พญานาคมีจริง มีบ้านเมืองอยู่ใต้พื้นพิภพเรียกว่า เมืองบาดาล

    พญานาคเป็นพวกกายทิพย์ครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานอีกครึ่งหนึ่งเป็นเทพยดา มีมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งนัก สามารถเนรมิตบิดเบือนร่างกาย ให้เป็นมนุษย์ชายและหญิงก็ได้ เนรมิตเป็นพญางูใหญ่ลำตัวโตขนาดไหนก็ได้

    คติทางพุทธศาสนาถือว่าพญานาคเป็นเทพยดาเฝ้าพิทักษ์วัดวาอารามและปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาทั่วไป ข้าพเจ้าสนใจเรื่องพญานาคมานานแล้ว ได้พยายามศึกษาค้นคว้า หาทางพิสูจน์อยู่เสมอมา แต่เป็นเรื่องเร้นลับอยู่เหนือธรรมชาติของ ตา หู จมูก กายของปุถุชนจะสัมผัสให้เห็นได้โดยยากเพราะเป็นสภาวะทิพย์วิสัย

    แต่ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็มิท้อถอย ได้พากเพียรศึกษาค้นคว้ารวบรวมเรื่องพญานาคอยู่เรื่อยมา เรื่องที่รวบรวมได้มา จึงอยู่ในลักษณะเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟังซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์ลงไปให้แน่ชัดว่าเป็นจริงเช่นสองบวกสองเป็นสี่ อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่รวบรวมได้มา ล้วนมาจากผู้ทรงศีล มีธรรมวินัย หากท่านเหล่านั้น นำเรื่องพญานาคมาโกหกเป็นความเท็จ ต้องเป็นบาปหนักแน่ๆ ขอให้ข้าพเจ้าและท่านผู้อ่านมีความเชื่อว่า ท่านผู้ทรงศีลจะไม่เสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงพวกเราให้งมงาย

    มีพระธุดงค์ผู้เฒ่าองค์หนึ่งอายุเกือบร้อยปีแล้ว มีฌานตบะแก่กล้าอยู่แต่ในป่าในถ้ำมา 40 กว่าปีแล้ว ไม่เคยเข้าหมู่บ้านหรือเข้าอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่งเลย เวลานี้ท่านลี้ภัยออกจากลาวแดงมาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งริมฝั่งโขงฝั่งไทย

    ท่านชื่อ หลวงปู่คำคะนิง อายุ 86 ปี

    เรื่องถ้ำเรื่องป่าเขาแดนลี้ลับอันตรายต้องยกให้หลวงปู่คำคะนิง ท่านผ่านถ้ำผ่านภูเขามานับร้อยนับพันแห่งในอินโดจีนและฝั่งโขงทั้งสองฟาก

    ผจญเสือ ผจญช้าง กระทิงป่า มหิงสา หมียักษ์และงูร้ายอสรพิษนานาชนิด มาแล้วอย่างโชกโชน ตลอดจนภูตวิญญาณร้ายกาจสารพัดภูตผีปีศาจคะนองไพร

    และที่น่าสนใจที่สุด

    “หลวงปู่คำคะนิงเคยเข้าไปในถ้ำใต้แม่น้ำโขง เดินสามวันสามคืนไม่หยุดยั้ง พบเมืองบาดาลนาคพิภพของพญานาค มหัศจรรย์ที่สุด”

    เรื่องนี้จึงทำให้อยากไปพบหลวงปู่คำคะนิง เพื่อสอบถามเรื่องเมืองพญานาคใต้แม่น้ำโขง ถ้าสามารถเป็นไปได้ อยากจะให้หลวงปู่คำคำคะนิงพาเข้าถ้ำที่ว่านี้ ไปดูชมเมืองนาคพิภพให้เป็นบุญตา

    ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องการไปนมัสการหลวงปู่คำคะนิงที่ถ้ำคูหาสวรรค์ริมฝั่งโขง ตอนใกล้ปากแม่น้ำมูลไหลตกลงสู่แม่น้ำโขง ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงเรื่องพญานาคที่รวบรวมไว้ แทรกเข้าขัดจังหวะสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการประกอบเรื่องให้มีน้ำหนักขึ้น

    ๐ รัตนสูตร

    พระบาลีพระสูตรต่างๆ ของพุทธศาสนามีกล่าวถึงพญานาคอยู่บ่อยๆ พระพุทธมนต์หรือพระปริตรที่พระและฆราวาสนิยมสวดกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันบำบัดปัดเป่าภยันตรายต่างๆ และบันดาลให้ประสบสิ่งที่เป็นมงคลได้ อย่างใน “รัตนสูตร” ได้เล่าไว้ไนอรรถกถาว่า

    ในสมัยหนึ่ง พระนครเวสาลีได้เกิดทุพภิกขภัยความอดอยากข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ผู้คนพากันล้มตายเป็นอันมาก เนื่องมาจากความอดอยากหิวโหย

    เมื่อตายลงแล้วก็ไม่มีผู้ทำจะอนุเคราะห์ช่วยเอาศพไปฝังหรือเผาเสีย ตายที่ไหนก็ถูกทอดทิ้งอยู่ที่นั่น ทำให้กลิ่นศพเหม็นตลบไปทั่วพระนคร เกิดอหิวาตกโรคแพร่ระบาดซ้ำเข้าอีก ทำให้ผู้คนล้มตายลงเหมือนใบไม้ร่วง

    เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ อำมาตย์ผู้หนึ่งได้กราบทูลพระเจ้าลิจฉวีว่า

    “สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวง มีพระหฤทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณไม่มีผู้เสมอเหมือน ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประกาศพระธรรมอันบริสุทธิ์ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    บัดนี้พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ของพระเจ้าพิมพิสาร บรมกษัตริย์กรุงราชคฤห์ พระพุทธองค์ทรงมีอภินิหารบารมีคุณสูงยิ่งนัก ถ้ากราบทูลอัญเชิญขอให้พระพุทธองค์เสด็จมายังพระนครเวสาลี ข้าพระองค์เชื่อเหลือเกินว่า ภัยชั่วร้ายอัปมงคลที่ชาวพระนครเวสาลีประสบอยู่เวลานี้จักต้องสงบราบคาบลงเพราะอานุภาพของพระพุทธองค์”

    พระเจ้าลิจฉวีจึงทรงโปรดให้เจ้าชายมหาลิ พร้อมด้วยบุตรชายของท่านปุโรหิตกับพลนิกรเป็นอันมาก เป็นราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อกราบทูลขอประทานโอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปบำบัดภัยพิบัติในพระนครเวสาลี

    พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นใจยินดีสนับสนุนในการที่จะทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จสู่พระนครเวสาลี

    ต่อจากนั้นจึงได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลอัญเชิญแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ทรงทราบทุกประการ

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำทูลเชิญเสด็จของคณะราชทูตชาวพระนครเวสาลีแล้ว ทรงใคร่ครวญดูด้วยพุทธญาณก็ทรงทราบว่า

    “เมื่อเราสวดรัตนสูตรในพระนครเวสาลี อาชญาจักแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักรวาล เมื่อสวดรัตนสูตรจบลง สัตว์ทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันก็จักบรรลุมรรคผล ภัยทุกอย่างจักสงบไป”

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบในพระหฤทัยดังนี้แล้ว จึงทรงรับคำทูลเสด็จไปยังพระนครเวสาลีของเจ้าชายมหาลิหัวหน้าคณะราชฑูต

    แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จสู่พระนครเวสาลีพร้อมด้วยพระสาวกห้าร้อยรูป พระเจ้าพิมพิสารพร้อมต้วยอำมาตย์ราชเสวกและพลนิกรได้ตามเสด็จสมเดจพระผู้มีพระภาคจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคา

    พระเจ้าพิมพิสารทรงลุยลงไปในแม่น้ำคงคาจนถึงพระศอเพื่อส่งเสด็จสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสาวกที่ลงนาวาข้ามแม่น้ำคงคาไป

    เหล่าอากาศเทวาเบื้องบนก็ชวนกันทำสักการบูชา ตราบเท่าถึงชั้นอกนิฏฐพรหมโลกและพญูานาคที่อยู่ในเเม่น้ำคงคาก็พากันมากระทำสักการบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    จากข้อความในอรรถกถานี้บอกกล่าวว่า “พญานาค” มีจริง !
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พญานาคอิทธิฤทธิ์

    ในตำนาน พระพุทธชัยมงคลคาถาบทที่ 7 มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคว่า

    สมัยหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร วันหนึ่งทรงรับนิมนต์ที่จะเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น

    ครั้นเวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงพิจารณาดูหมู่เวไนยสัตว์ปรากฏว่า “พญานันโทปนันทนาคราช” เข้ามาปรากฏอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์

    พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า พญานาคราชนี้เป็นสัตว์เดรัจฉานมีวาสนาเข้ามาข้องในข่ายพระญาณของเราตถาคต ควรที่เราตถาคตจะเสด็จไปโปรดแต่พญานันโทปนันทนาคราชนี้ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิศักดานุภาพยิ่งนักและเป็นมิจฉาทิฐิ

    ผู้ที่จะทรมานทำให้หมดพยศร้ายได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยมหิทธิฤทธิ์อันพิเศษ พระโมคคัลลานะเถระมีความสามารถที่จะทรมานพญานันโทปนันทนาคราชให้หมดพยศร้ายได้

    พอได้เวลาจึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏิ แล้วมีพระดำรัสสั่งให้พระอานนท์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน แล้วทรงอธิษฐานว่า ขอให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นพระตถาคตและพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลบัดนี้

    ครั้นทรงอธิษฐานแล้วก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหาะมาโดยทางนภากาศ แล้วมาสู่สวรรค์เทวโลก เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปในอากาศวันนั้น ประกอบด้วยพระรัศมีอันสว่างไสว

    วันนั้นพญานันโทปนันทนาคราชได้แลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดความพิโรธยิ่งนัก จึงคำรามว่า สมณะโล้นเหล่านี้ จะได้ยำเกรงเราสักนิดก็ไม่มี พาพรรคพวกเหาะมาบัดนี้ชะรอยว่าจะไปสู่ดาวดึงส์พิภพกระมัง

    ถ้าเหาะไปทางอื่นก็ช่างเถิด แต่ถ้าเหาะข้ามเราไปเมื่อไร เป็นต้องผิดใจกัน เพราะเมื่อเหาะข้ามเราไป ผงละอองธุลีในฝ่าเท้าก็จะต้องหล่นลงเหนือหัวของเราเป็นมั่นคง ทางที่ดีเราควรจะไปสกัดหน้าหมู่สงฆ์เอาไว้ อย่าให้เหาะข้ามเราไปได้

    เมื่อคิดดังนั้นก็สำแดงมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพ เนรมิตตนให้มหึมาใช้ลำตัวรัดเขาพระสุเมรุราช อันสูงประมาณแปดหมื่นสี่พันโยชน์ด้วยขนดหาง 7 รอบแล้วแผ่พังพานปิดเมืองดาวดึงส์กว้างประมาณได้สิบสองโยชน์ปรากฏอยู่เหนือเขาพระะสุเมรุราชนั้น แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นควันและหมอกมืดมัวไปทั่ว

    ฝ่ายพระรัฐบาลอรหันตเถรเจ้า ครั้นเห็นมืดมนอนธการไปทั่วเช่นนั้น จึงกราบทูลถามมูลเหตุแด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาว่าเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น

    สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่าที่มืดมนอนธการเช่นนี้เป็นเพราะ “อานุภาพของพญานาคราชอันมีชื่อว่า นันโทปนันทะ” มีจิตกริ้วโกรธพยาบาทต่อเราผู้ตถาคตยิ่งนัก จึงเอาร่างกายกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุราชไว้ประมาณเจ็ดรอบแล้วแผ่พังพานปกคลุมไปในเขตเมืองดาวดึงส์สวรรค์ แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นหมอกควันมืดมัวไปทั่วแดนดาวดึงส์สวรรค์

    เมื่อพระรัฐบาลอรหันตเถระเจ้าได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธองค์เช่นนั้น จึงกราบทูลอาสาที่จะทรมานพญานาคราชให้พ่ายแพ้สิ้นพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต

    ต่อจากนั้นพระอรหันตเถระเจ้าทั้งหลายได้กราบทูลขออาสาที่จะทรมานปราบพญานาคราชนั้นให้เสื่อมหายจากพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เดชพระโมคคัลลา

    เมื่อพระมหาโมคคัลลานะเถระ ผู้เป็นอัครสาวกเบึ้องซ้าย ได้กราบทูลขออาสาไปทรมานพญานาคราชนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต

    พระมหาโมคคัลลานะเถรเจ้า เมื่อได้รับพระพุทธานุญาตแล้วจึงมาดำริว่า

    พญานาคราชตนนี้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานสำคัญตนว่า มีร่างกายยาวใหญ่ยิ่งกว่าพญานาคราชอื่นๆ ไม่มีผู้ใดที่จะมาต่อสู้ตนด้วยอานุภาพได้ จึงบังเกิดความกำเริบมัวเมาคิดอาละวาด เราจะต้องทรมานให้หมดพยศอันร้ายนี้เสีย

    ครั้นคิดเช่นนั้นแล้ว จึงเนรมิตกายให้กลับกลายเป็นพญานาคราชอันเรืองฤทธา มีกายยาวใหญ่กว่าพญานันโทปนันทนาคราชประมาณสองเท่า แล้วเนรมิตพังพานประมาณกว้างแสนหนึ่ง แล้วกระหวัดรัดตัวพญานันโทปนันทนาคราชนั้น ให้แน่นเข้ากับภูเขาพระสุเมรุสี่รอบ แล้วแผ่พังพานออกไปอย่างใหญ่หลวงมหึมาอยู่เหนือเบึ้องบนแห่งพญานันโทปนันทนาคราช แล้วรัดให้แน่นเข้าๆ กับภูเขาพระสุเมรุราชนั้น

    ฝ่ายพระยานันโทปนันทนาคราชให้บังเกิดความอึดอัดประหนึ่งว่าจะขาดใจตาย ทั้งกระดูกนั้นเล่าก็เหมือนจะแตกแหลกลาญเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกายสักนิดก็มิได้ ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเดือดตาลใจเป็นกำลังจึงบันดาลพ่นพิษให้เป็นควันแผ่ออกไปในระยะไกลได้ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ตั้งแต่พื้นพสุธาถึงภวัคพรหม พระมหาโมคคัลลานะเถระก็บันดาลมหิทธิฤทธิ่ให้เป็นควันมากขึ้นเป็นสองเท่า ให้ผจญกับฤทธิ์ของพญานันโทปนันทนาคราช

    พญานันโทปนันทนาคราช มิสามารถจะผจญกับฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะเถรได้ก็ให้บังเกิดคั่งแค้นอย่างใหญ่หลวง จึงบันดาลเนรมิตให้เกิดเป็นไฟขึ้น เพื่อหวังจะให้เผาผลาญพระเถระเจ้าให้ย่อยยับไป

    พระมหาโมคคัลลานะเถระจึงบันดาลให้เกิดเปลวไฟขึ้นบ้าง ลุกลามไหม้กายพญานันโทปนันทนาคราชไพโรจน์โชติช่วงทั้งภายในและภายนอก สร้างความรุ่มร้อนระส่ำระสายสุดที่จะทนทานได้

    พญานันโทปนันทนาคราชครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกว่าบุคคลผู้นี้ชื่อใด มาแต่ไหนหนอ จึงประกอบไปด้วยฤทธิ์ศักดาเดชานุภาพมากมายนัก จึงถามไปว่า ท่านมาแต่ไหน มีชื่อเสียงว่าอย่างไร จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบหน่อยเถิด พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวตอบว่า เราเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อว่าโมคคัลลานะ

    เมื่อพญานันโทปนันทนาคราชได้ทราบดังนั้นจึงกล่าวอย่างมีเล่ห์อุบายว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นสมณะ มาทำกรรมอย่างนี้เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง พระมหาเถระจึงตอบว่าการที่เราต้องกระทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการจะทรมานท่านให้หมดพยศร้าย หายจากมิจฉาทิฐิ ว่าแล้วพระมหาเถระเจ้าก็บันดาลให้เพศพญานาคราชอันตรธานหายไปกลับกลายเป็นสมณะอย่างเดิม แล้วกล่าวว่า
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กัมมวิปากชาฤทธิ์

    [​IMG]
    รูปหล่อหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
    ณ วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี




    ท่านพญานันโทปนันทนาคราช ตัวท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีมหิทธิฤทธิ์อานุภาพยิ่งล้นด้วยบุพกรรมเท่านั้น แต่หาได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักคุณพระรัตนตรัย คุณมารดา บิดา กล้าด่าบริภาษแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระบรมครูกับพระอรหันตสาวกทั้งหลายด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่างๆ นานา

    เท่านี้ยังไม่พอ ท่านยังบังอาจเนรมิตกายให้ยาวใหญ่ด้วยน้ำใจอหังการ์ เพื่อจะไม่ให้พระพุทธองค์กับเหล่าสาวกเสด็จไป ด้วยกลัวว่า ธุลีที่ติดอยู่ตามพระบาทนั้นจะตกลงมาใส่หัวแห่งตน

    ความจริงท่านควรจะปลื้มปีติใจ ถ้าละอองธุลีที่พระบาทของพระพุทธองค์ตกใส่หัวท่าน เพราะการที่พระบาทยุคลแห่งองค์สมเด็จพระบรมทศพลถูกต้องศรีษะแห่งใครนั้น ย่อมเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่

    ทั้งนี้เพราะผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ ยากนักที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างเกิดมาเปล่าไปเสียหลายหมื่นหลายแสนชาติ จะได้พบพระพุทธเจ้านั้นก็หามิได้

    ตัวท่านเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์เดชโดยกำเนิดเกิดแก่ผลกรรมเรียกว่า “กัมมวิปากชาฤทธิ์” ประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิเช่นนี้ ท่านสมควรจะได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส ในปัจจุบันทันตาเห็นบัดเดี๋ยวนี้ เพราะผลแห่งกรรมปัจจุบันอันชั่วช้าของท่าน

    ครั้นว่าดังนี้แล้ว พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็เข้าไปในช่องหูข้างขวาของพญานันโทปนันทนาคราช แล้วออกมาทางหูข้างซ้าย แล้วย้อนกลับเข้าหูข้างซ้าย ออกทางหูขวา แล้วเข้าไปทางช่องจมูกข้างขวา ออกทางช่องจมูกซ้าย ย้อนเข้าช่องจมูกซ้าย ออกช่องจมูกขวา

    เดินไปเดินมาอยู่อย่างนี้ สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่พญานันโทปนันทนาคราชอย่างแสนสาหัส ถึงกับคร่ำครวญในใจว่า

    บรรดาพญานาคทั้งหลายจะมีฤทธิ์เดชานุภาพมากเหมือนตัวเรานี้ย่อมหาไม่ได้ แต่สมณะองค์นี้ทำให้เราได้รับทุกขเวทนาลำบากสุดแสนสาหัสเหลือที่จะอดทนได้ จำเราจะใช้อุบายหลอกลวงสมณะองค์นี้ให้หลงเข้าไปในปากเรา แล้วเคี้ยวให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงไปเสียบัดนี้เถิด

    คิดดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่สมณะ ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมปฏิบัติตามคำพูด ก็ท่านพูดว่ามิได้โกรธเคืองแก่ข้าพเจ้าแต่บัดนี้ท่านมากระทำให้ข้าพเจ้าได้รับความลำบากยิ่งนัก

    พระโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงตอบว่า การที่เราต้องกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้ท่านละจากมิจฉาทิฐิอันวิปริตผิดจากคลองธรรม นำให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิ เราหวังดีต่อท่านถึงกระนี้แล้ว ตัวท่านยังคิดร้ายจะให้เราเข้าไปในปากของท่าน แล้วท่านก็จะขบกัดเราให้แหลกละเอียดเป็นธุลีไปอีกหรือ?

    ว่าแล้วพระมหาเถรเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธานุภาพก็ปาฏิหาริย์เข้าไปในปากของพญานาคราชมิจฉาทิฐิตัวนั้น แล้วก็เดินจงกรมไปมาอยู่ในท้องของพญานาคราช
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ฤทธิ์ปราบฤทธิ์

    ฝ่ายพญานันโทปนันทนาคราชคิดในใจด้วยอุบายว่า ถ้าสมณะองค์นี้มิได้มีใจโกรธเราแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้เบียดเบียนทำอันตรายแก่เราเลย ขอจงออกมาจากในท้องของเราในบัดนี้เถิด

    พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าทราบความนึกคิดของพญานาคราชดังนั้น ท่านก็เดินออกมาจากในท้องของพญานาคราชนันโทปนันทะแล้วนั่งอยู่

    พญานันโทปนันทนาคราชเห็นดังนั้นจึงรีบฉวยโอกาสพ่นลมพิษออกไปหมายทำร้ายพระอรหันตเถระเจ้า แต่ก็หาทำร้ายพระเถระเจ้าได้ไม่

    ต่อจากนั้นพญานาคราชได้สำแดงฤทธิ์ด้วยประการต่างๆ ด้วยความเคียดแค้นพยาบาท หวังจะทำลายพระมหาโมคคัลลานะเถระให้พินาศย่อยยับไปด้วยฤทธิ์เดชของตน

    แต่ผลสุดท้ายก็ถูกพระมหาเถระเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธิ์เดชานุภาพทรมานจนหมดพิษสงฤทธิ์ชั่วร้าย ยอมพ่ายแพ้สำนึกผิดกลายเป็นสัมมาทิฐิ เนรมิตกายเป็นมานพหนุ่มน้อยเข้าไปถวายนมัสการลงแทบเท้าของพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าอ้อนวอนขอขมาโทษและขอนับถือเป็นที่พึ่ง

    พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงพาพญานันโทปนันทนาคราชไปสู่สำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้พระพุทธองค์ทรงยกโทษให้แก่พญานาคราชนันโทปนันทะ

    เมื่อไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงประทานศีลห้าให้แก่นันโทปนันทนาคราชยึดถือรับไปเป็นหลักปฏิบัติ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ไปสู่เรือนของอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี เพื่อรับภัตตาหารสืบไป

    จากอรรถกถานี้ “พญานาคมีจริง !”
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พญานาคฟังธรรม

    [​IMG]
    ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน


    ทีนี้มากล่าวถึงยุคสมัยเมื่อไม่นานมานี้ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านมีความเกี่ยวข้องกับพวก “พญานาค” อยู่อย่างลึกลับ จากข้อความในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน กล่าวไว้ว่า ในสมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นออกเที่ยวแสวงวิเวกอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรในภาคเหนือและภาคอีสาน ตลอดจนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ขณะที่ท่านพักบำเพ็ญเป็นสุขวิหารธรรมอยู่สบายในป่าในเขาที่สงัดปราศจากผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน

    พระอาจารย์มั่นมีการติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม พญานาค ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ วิทยาธร และภูตผีปิศาจที่มาจากที่ต่างๆ อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ ท่านถือเป็นเรื่องธรรมดา เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ติดต่อกับมนุษย์ชาติต่างๆ ในโลกนี้เพื่อผลประโยชน์ ซึ่งกันและกัน

    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าว่า

    ขณะที่ท่านกำลังแสดงธรรมอบรมพระเณรตอนกลางคืน ที่หมู่บ้านสามผง นครพนม ได้มีพญานาคอยู่แถบลำแม่น้ำสงครามได้แอบมาฟังเทศน์ท่านแทบทุกคืน โดยเฉพาะวันพระ พญานาคมาทุกคืน ถ้าไม่มาตอนท่านอบรมพระเณร พญานาคก็มาตอนดึกขณะที่ท่านเข้านั่งสมาธิภาวนา

    ส่วนเทวดาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างมีมาห่างๆ ไม่เหมือนอยู่ที่อุดรฯ หนองคาย

    ยิ่งวันเข้าพรรษาและวันกลางพรรษา และวันปวารณาออกพรรษาด้วยแล้ว ไม่ว่าท่านพระอาจารย์มั่นจะพักจำพรรษาอยู่ที่ไหน แม้แต่ในตัวเมือง ก็ยังมีพวกเทวดาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ชั้นใดชั้นหนึ่ง และที่ใดที่หนึ่งมาฟังธรรมเทศนาท่านมิได้ขาด เช่น ที่วัดเจดีย์หลวงจังหวัดเชียงใหม่เป็นต้น

    เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่นธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าเชิงเขาใหญ่ลูกหนึ่งฝั่งไทย ทางทิศตะวันตกนครหลวงพระบาง ภูเขาลูกนี้อยู่ชายฝั่งแม่น้ำโขง

    พระอาจารย์มั่นเล่าว่า

    ที่ใต้เชิงเขาลูกนั้น มีเมืองพญานาคตั้งอยู่ ใหญ่โตมาก หัวหน้าพญานาคพาบริวารมาฟังธรรมของท่านเสมอ และมักมากันมากมายในบางครั้ง พวกพญานาคไม่ค่อยมีปัญหาซักถามมากเหมือนพวกเทวดา พวกเทวดาทั้งเบื้องต้นและเบื้องล่างมักมีปัญหามากพอๆ กัน หมายถึงปัญหาข้อสงสัยทางธรรมะ

    ส่วนความเลื่อมใสในธรรมะนั้นพวกพญานาคและเทวดามีความเลื่อมใสพอๆ กัน

    พระอาจารย์มั่นพักบำเพ็ญเพียรอยู่เชิงเขาลูกนั้นนานพอสมควร พวกพญานาคมาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่านแทบทุกคืนพวกพญานาคมาเยี่ยมคารวะท่านไม่ดึกนัก ท่านว่าอาจเป็นเพราะที่พักของท่านสงัดเงียบ ห่างไกลจากหมู่บ้านก็ได้ พวกพญานาคจึงมาเยี่ยมในราว 4-5 ทุ่ม

    ส่วนสถานที่อื่นๆ พวกพญานาคมาดึกกว่านี้ก็มี เวลาขนาดนี้ก็มี พวกพญานาคตามสถานที่ต่างๆ มีความเคารพเลื่อมใสท่านมาก พวกเขาจัดให้บริวารพญานาคมารักษาคุ้มครองป้องกันภัยให้ท่านทั้งกลางวันกลางคืน โดยผลัดเปลี่ยนวาระกันมิได้ขาด ท่านไปอยู่สถานที่ใด พวกพญานาคในสถานที่นั้นมักอาราธนานิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ที่นั่นนานๆ เพื่อโปรดพวกเขา

    เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พักจำพรรษาอยู่บ้านน้ำเมา อำเภอแม่ปั๋ง เชียงใหม่ พระอาจารย์มั่นเล่าว่า ท่านต้อนรับแขกจำพวกกายทิพย์บนสวรรค์มี ท้าวสักกเทวราช เป็นหัวหน้ามาก เป็นพิเศษ

    แม้หน้าแล้งท่านจะหลีกเลี่ยงออกไปเที่ยววิเวกองค์เดียว อยู่ในถ้ำดอกคำ ท้าวสักกเทวราชก็พาพวกเทวดาติดตามไปเยี่ยมท่าน ซึ่งพวกเทวดามาแต่ละครั้งนี้ มากันเป็นหมื่นเป็นแสนและมาบ่อยที่สุด

    ถ้าพวกที่ไม่เคยมา ท้าวสักกเทวราชต้องเตือนให้พวกเขาเข้าใจวิธีฟังธรรม ก่อนที่พระอาจารย์มั่นจะแสดงให้ฟัง โดยมากพระอาจารย์มั่นท่านแสดง “เมตตาอัปปมัญญาพรหมวิหาร” ให้พวกเทวดาฟัง เพราะพวกเทวดาชอบฟังธรรมนี้มากเป็นพิเศษ

    พวกเทวดาชอบสถานที่อยู่ลึกๆ เงียบสงัดห่างไกลจากมนุษย์เพราะมนุษย์มีกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนซากศพ เนื่องจากมนุษย์กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์หลายชนิดมาก ในท้องในกระเพาะมนุษย์จึงเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ชนิดต่างๆ ส่งกลิ่นเหม็นกระจายออกมา ตามรูขุมขน แต่มนุษย์ด้วยกันเคยชินกลิ่นของกันและกัน เลยไม่รู้สึกว่าเหม็นเหมือนกลิ่นศพ

    ซึ่งผิดกับพวกเทวดามีจมูกพิเศษสัมผัสได้ว่องไวเป็นสภาวะทิพย์ จึงสามารถได้กลิ่นเหม็นเน่าซากศพ โชยออกมาจากร่างมนุษย์ได้เต็มที่ ทำให้สะอิดสะเอียนเหียนรากทนไม่ไหว ไม่ต่างอะไรกับคนเราทนไม่ได้กับกลิ่นซากศพเน่าๆ ในโลงศพฉะนั้นแหละ

    พวกเทวดาทุกคนทุกภูมิเคารพท่านพระอาจารย์มั่นและเคารพสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่านมาก แม้แต่ทางเดินจงกรมที่ญาติโยมชาวบ้านเอาทรายมาเกลี่ยไว้สำหรับให้พระอาจารย์มั่นเดินได้สะดวก พวกเทวดาก็ไม่กล้าผ่านทางจงกรม ต้องเดินอ้อมไปทางหัวจงกรมทุกครั้งที่มาและไป

    พวก “พญานาค” ก็เช่นเดียวกัน เวลาเข้ามาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่าน พวกพญานาคไม่กล้าเดินเข้าทางจงกรมเลย ต้องเดินอ้อมไปทางอื่น

    บางครั้งพญานาคใช้ให้บริวารมากราบนิมนต์พระอาจารย์มั่นในกิจบางอย่าง ให้ไปโปรดพวกพญานาค คล้ายกับมนุษย์เรามานิมนต์พระไปในงานไม่มีผิดเลย
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พญานาคเชียงดาว

    [​IMG]
    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ


    พญานาคที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่รู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยก็มีเหมือนกัน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระเล่าว่า

    สมัยเมื่อครั้งท่านไปพักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ ถ้ำเชียงดาว ถ้ำที่ว่านี้ไม่ใช่ถ้ำเชียงดาวซึ่งยาวเข้าไปในกลางเขาที่ประชาชนเข้าไปเที่ยวกัน หากเป็นอีกถ้ำหนึ่งซึ่งอยู่สูงขึ้นไป ประชาชนขึ้นไปไม่ถึง เพราะทำเลซ่อนเร้นลับตา ถ้ำที่ท่านขึ้นไปบำเพ็ญเพียรนี้แหละ มีพญานาคตนหนึ่งเฝ้ารักษาถ้ำอยู่มาเป็นเวลานาน

    พญานาคตนนี้ไม่ได้ปรากฏร่างออกมาให้พระอาจารย์มั่นเห็นด้วยสายตาธรรมดา หากแต่พระอาจารย์มั่นสามารถมองเห็นได้ด้วยนัยน์ตาทิพย์ว่า

    พญานาคตนนี้มีกายทิพย์หรือปรมาณู มีวังอันสวยงามอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำอันเร้นลับยากที่ปุถุชนธรรมดาจะล่วงรู้เห็นได้ พญานาคตนนี้คอยโผล่หัวจ้องมองจับผิดท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ตลอดเวลา คือจ้องมองอยู่ในถ้ำลึกเวียงวังของตน ไม่ได้โผล่เข้ามาใกล้ที่พักของพระอาจารย์มั่นแต่อย่างใด แต่พญานาคมีสายตาเป็นทิพย์มองไกลๆ แค่ไหนก็ย่อมเห็นได้ แต่พญานาคตนนี้ก็ยอมรับฟังเทศนาธรรมจากพระอาจารย์มั่นในที่สุดจนได้
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ไปคูหาสวรรค์

    [​IMG]


    ทีนี้กลับมากล่าวถึง “หลวงปู่คำคะนิง” ที่เคยเข้าไปเที่ยวในเมืองพญานาคใต้แม่น้ำโขง ว่าแตกต่างกับที่พระอาจารย์มั่นเห็นเป็นประการใด

    ข้าพเจ้าออกเดินทางจากกรุเทพฯ ไปนมัสการหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2523 ที่ผ่านมานี้เอง คณะของพวกเราเป็นนักปฏิบัติธรรม มุ่งกำจัดกิเลสตัณหาออกจากกาย วาจาและใจเป็นจุดสำคัญ ขณะเดียวกันก็ใฝ่ใจศึกษาค้นคว้าถึงสิ่งเร้นลับทั้งนามธรรมและรูปธรรมไปด้วยในเชิงวิชาการ

    เราไปพักแรมคืนกับ พระอาจารย์โชติ อาภคฺโค (พระครูพิบูลธรรมภาณ) ที่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานีหนึ่งคืน

    รุ่งเช้าต่อมาก็นำรถลงแพขนานยนต์ ที่ท่าข้ามแม่น้ำมูลอำเภอพิบูลมังสาหาร ไปขึ้นฟากฝั่งตรงข้าม ซึ่งที่นั่นมีถนนสายยุทธศาสตร์จะพุ่งไปทางทิศตะวันออกเลียบฝั่งโขง ผ่านอำเภอบ้านด่าน ปากแม่น้ำมูลซึ่งไหลตกแม่น้ำโขง ถนนสายนี้จะเลียบเลาะฝั่งโยงไปทางอำเภอโขงเจียม อำเภอเขมราฐ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นถนนสายยุทธศาสตร์สำคัญ เล่นผ่านพื้นที่สีแดงที่พวก ผกค. พยายามแผ่อิทธิพลอยู่ แต่ถนนสายนี้ก็ดีกว่าทางเกวียนเล็กน้อย เป็นถนนดินลูกรังฝุ่นคละคลุ้ง เข้าใจเอาว่ารัฐบาลคงยังไม่มีงบประมาณพอที่จะลาดยางให้ราบเรียบแน่นหนาถาวร

    มัคคุเทศก์นำทางไปครั้งนี้เป็นพระอาจารย์องค์สำคัญผู้มีชื่อเสียงเลึ่องลือสองฟากฝั่งโขง ท่านคือ พระอาจารย์กิ ธัมมุตตะโม แห่งวัดสนามชัย อำเภอพิบูลมังสาหาร

    เดิมทีนั้นท่านพระอาจารย์กิ เป็นชาวจำปาศักดิ์ ท่านเชี่ยวชาญทางธุดงควัตร ชอบอยู่ตามป่าตามถ้ำเขาเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เป็นสามเณร มีความเชี่ยวชาญเรื่องป่าเรื่องถ้ำเขาและยาสมุนไพรอย่างหาตัวจับยาก

    สมัยอยู่แขวงลาวใต้ ท่านเป็นพระอาจารย์สอนสมถะ วิปัสสนา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ในความเคารพเลื่อมใสของชาวบ้านนั้น เพราะท่านพระอาจารย์กิ ธัมมุตตโมมีอภินิหารมาก

    หลวงปู่คำคะนิง อยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ อำเภอบ้านด่าน

    ท่านผู้อ่านที่สนใจใคร่จะไปนมัสการท่านโปรดอ่านแล้วจดไว้เลย คือดังนี้นะครับ

    เมื่อขึ้นจากแพขนานยนต์ ที่ท่าข้ามอำเภอพิบูลมังสาหารแล้ว ขับรถเลี้ยวไปทางขวามือ มีป้ายเขียนบอกไว้ หรือจะถามชาวบ้านแถวนั้นก็ได้ เขาจะยินดีชี้ทางให้ด้วยความเต็มใจ มีอัธยาศัย

    ถ้าไม่มีรถขับไปออกจะไม่สะดวก เพราะรถเมล์รถประจำทางมีน้อยคัน ดูเหมือนจะวิ่งวันละเที่ยวเท่านั้น

    ทางที่ดีที่สุดก็คือเหมารถสองแถวหรือแท็กซี่จากตลาดอุบลฯ หรือจากตลาดวารินชำราบไปกลับจะสะดวกกว่า

    รถจะแล่นผ่านทุ่งนาและป่าโปร่งไปเรื่อยๆ แล้วจะขึ้นเขาผ่านสำนักสงฆ์ “ถ้ำเหวสินไชย” ไป ตอนนี้รถจะเลี้ยวซ้ายขึ้นไปบนยอดเขา ไปสักพักจะเห็นมีบ้านเรือนของชาวป่าอยู่หลังหนึ่งซ้ายมือ

    จงจอดรถที่บ้านหลังนี้แล้วมองไปทางทิศตะวันออกหรือขวามือ จะเห็นแม่น้ำโขงอยู่ต่ำลงไปคดเคี้ยวคล้ายงูยักษ์ และมองเห็นตลาดอำเภอบ้านด่านอยู่ตีนเขาลิบๆ ตลาดบ้านด่านนี้อยู่ริมฝั่งโขงและตรงปากแม่น้ำมูลไหลตกแม่น้ำโขง ให้ถามเจ้าของบ้านกลางป่าทางลงสู่ถ้ำคูหาสวรรค์อยู่ตรงไหน เขาจะยินดีชี้บอกทางให้และนำทางไปเอง เพราะเขาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่คำคะนิง

    ท่านที่ชมชอบธรรมชาติจะต้องตะลึงลานกับธรรมชาติของอำเภอบ้านด่าน มันงามวิจิตรพิสดารด้วยต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำและภูเขาชวนให้เคลิบเคลิ้มนี่กระไร

    พวกเราเข้ามนัสภารหลวงปู่คำคะนิงที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ท่านเป็นรูปร่างสูงใหญ่แบบคนโบราณผิวพรรณศิริราศีผ่องใสไปทั่วทั้งอินทรีย์
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ก่อนนี้คือฤๅษี

    แม้วัยของท่านจะ 86 และ 42 พรรษาแล้วก็ตาม ยังนั่งเอวตั้งตรง แผ่นหลังตรงดุจดามไว้ด้วยแท่งเหล็ก บ่งบอกถึงความเข้มแข็งเปี่ยมพลังภายในลึกล้ำ แม้ท่านจะบอกกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า ท่านไม่สบายป่วยเรื้อรังมาสองปีแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ได้มรณภาพไปสามวันสามคืน ญาติโยมจะเอาไปเผาแล้วซี แต่ท่านก็ฟื้นขึ้นมาอีก ยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่าคล้ายไม่ป่วยไข้เลย แสดงว่ากำลังใจของท่านเข้มแข็ง และมีบุญญานุภาพอย่างลึกลับ

    หลวงปู่คำคะนิงได้อนุญาตให้คณะเราสัมภาษณ์ท่านและบันทึกเสียงได้ อัธยาศัยของท่านเปี่ยมเมตตาจิตและเปิดเผย ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งสมมติ ชีวิตคนเราเหมือนตัวละครที่แสดงไปตามบทบาท ไร้สาระแก่นสาร มีแต่มรรค ผลนิพพาน เท่านั้น เป็นสารธรรมอันจริงแท้แน่นอน บริสุทธิ์ สะอาด สงบ ศานติชั่วนิรันดร์

    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี เป็นชาวคำม่วน แขวงคำม่วน ประเทศลาว ปีนี้อายุเต็ม 86 ปี แรกเริ่มเดิมทีก่อนจะเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้น มีครอบครัวลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน

    แต่พออายุได้ 30 ปีก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือน จึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤๅษีดาบส ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลานานถึง 15 ปี ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร ถือสัจจะเคร่งในศีลฤๅษีโยคี ฝึกตนอย่างเคร่งเครียดละเว้นความชั่วทุกประการ

    7 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง 15 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง เป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อพิสูจน์กำลังใจและความทรหดอดทนของตนว่า มีความกลัวตายไหม? อาลัยใยดีในสังขารร่างกายขนาดไหน?

    จากการปฏิบัติตนแบบฤๅษีชีไพรอย่างยิ่งยวดนี้เอง ทำให้ท่านพบกับความศานติสงบกายสงบจิตอย่างล้ำลึก มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ในองค์ฌานสมาธิ เป็นพระฤๅษีผู้แก่กล้าฌานสมาบัติ สามารถเข้าฌานได้นานวัน โดยไม่อ่อนเพลียไม่หิวโหย

    ร่างกายกระชุ่มกระชวยแข็งแรงเป็นปกติ สามารถเดินธุดงค์ขึ้นเขาลงห้วยได้เหมือนคนหนุ่มฉกรรจ์ เพียงแต่ว่าร่างกายไม่อ้วน ร่างกายผอมเกร็ง แข้งขามือกำได้รอบ แต่ทว่าแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ ไปไหนมาไหนในป่าในถ้ำ สัตว์ป่าก็เป็นมิตรไม่กล้ามาทำอันตราย ด้วยอำนาจเมตตาที่แผ่ออกมาจากฌานสมาธิ

    อยู่แต่ในป่าในถ้ำนับร้อยนับพันถ้ำในภูเขาแดนลาว เสวยสุขในฌานจนเบื่อหน่าย เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ ไปสู่มรรค ผลนิพพาน หลวงปูคำคะนิงจึงได้ลาเพศฤๅษีดาบสเข้าสู่พระพุทธศาสนาอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อปฏิบัติธรรมสูงทางพ้นทุกข์อันถูกต้องร่องรอย

    เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็ยังถือมั่นอยู่ในสัจจอธิษฐานคืออยู่ในป่าในถ้ำเป็นวัตร ไม่ยอมเข้าอยู่หมู่บ้านหรือสำนักสงฆ์และวัดวาอารามใดๆ เป็นเด็ดขาด มุ่งถือ “พระธรรม” คือการปฏิบัติทางจิตเพื่อความหลุดพ้นเป็นใหญ่ ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาตามถ้ำตามทิวเทือกเขาต่างๆ ในแดนลาวปีแล้วปีเล่า ตราบจนกระทั่งเวลานี้ได้ 27 พรรษา ถ้ารวมเป็นพระฤๅษีด้วยก็เป็น 42 พรรษา
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถ้ำมืดชาวบังบด

    เมื่อหลายปีที่ผ่านมา หลวงปู่คำคะนิงได้ทราบจากคำเล่าลือของชาวบ้านและพระธุดงค์ว่า ณ ที่ถ้ำมืดใกล้กับภูปัง ฝั่งไทยเขตโขงเจียม อยู่เลยอำเภอบ้านด่านขึ้นไปทางเหนือนั้น เป็นถ้ำ “เมืองลับแล” หรือที่ชาวบ้านเรียก “ชาวบังบด”

    “ถ้ำมืด” นี้เป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์มี เหล็กไหล ชาวเมืองลับแลหวงแหนมาก แต่วันดีคืนดี ใครมีวาสนาหลงเข้าไปในถ้ำเมืองลับแลที่ว่านี้ จะได้รับแก้วแหวนเงินทองจากชาวลับแล หรือไม่ก็ได้พระทองคำมาบูชา

    ลึกลงไปใน “ถ้ำมืด” เป็นนครเร้นลับใต้พิภพ คือเมืองบาดาลของพญานาค อยู่ใต้แม่น้ำโขง เป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร ถ้าเข้าไปจากถ้ำฝั่งไทยจะลอดไปใต้แม่น้ำโขง เป็นอุโมงค์กว้างใหญ่และมีทางแยกไปสลับซับซ้อนคล้ายรวงผึ้ง สามารถจะทะลุขึ้นฝั่งโขงด้านประเทศลาว

    อุโมงค์บางสายทะลุไปออกแก่งลี่ผีสีทันดร ระยะทางนับร้อยกิโลเมตร อุโมงค์บางสายซึ่งเป็นเมืองบาดาลนี้ไปทะลุออกเมืองแกวเมืองญวน ซึ่งพระธุดงค์หลายรูปได้นั่งทางในตรวจสอบด้วยกระแสญาณแล้ว เห็นตรงกันว่าเป็นความจริง ได้มีชาวบ้านพวกแสวงหาทรัพย์สินโบราณสมบัติปู่โสมหลายคณะ ได้เข้าไปค้นหาสมบัติในถ้ำมืดนี้ ปรากฏว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่ลักษณะถ้ำตัน ไม่มีอุโมงค์ลับซับซ้อน ไม่มีเมืองพญานาคไม่มีเหล็กไหล ไม่มีทรัพย์สมบัติโบราณแต่อย่างใดเลย

    พวกคนโลภโมโทสันทั้งหลายต่างผิดหวังพากันด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้าหาว่าโกหกหลอกลวงนั่งหลับตาพยากรณ์ส่งเดชอวดอุตริมนุสธรรม ด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้า ผลกรรมทันตาเห็น ปรากฏว่าพวกค้นหาสมบัติในถ้ำ พากันหาทางออกจากถ้ำไม่ได้ ทั้งๆ ที่จุดคบไฟสว่าง พวกเดียวกันแท้ๆ ก็มองไม่เห็นกันต่างหลงทางเดินร้องตะโกนเรียกหากันโหวกเหวกอยู่ 15 วัน อดข้าวอดน้ำแทบตาย จนต้องดื่มน้ำปัสสาวะตัวเองแทนน้ำ พอวันที่ 16 จึงหาทางออกจากถ้ำได้ นับเป็นเรื่องเร้นลับอาถรรพณ์ น่าพิศวง
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ค้นหาด้วยฌาน

    หลวงปู่คำคะนิงอยากจะพิสูจน์ความจริงเรื่อง “ถ้ำมืด” นี้ให้กระจ่างออกมา จึงได้เดินทางมายังถ้ำมืด ได้พบว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่มาก ถ้าติดฟืนไฟให้สว่างขึ้นในถ้ำมืดนั้นสามารถจะใช้เป็นห้องประชุมผู้คนได้เป็นหมื่นๆ คนทีเดียว ในถ้ำมีค้างคาวอาศัยอยู่มาก มีลำธารไหลลอดใต้ภูเขาอยู่ในถ้ำ มีบาตรโบราณเก่าๆ บรรจุพระเครื่องหักชำรุดและผ้าไตรผุเปื่อยซุกอยู่ซอกถ้ำแห่งหนึ่ง แสดงว่ามีคนเข้ามาบูชาเอาพระเครื่องไปหรือแก้บนผีสางเทวดา

    หลวงปู่คำคะนิงได้ออกเดินสำรวจดูถ้ำมืด ใช้คบไฟจุดให้แสงสว่าง สำรวจตรวจดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ไม่พบว่ามีช่องทางจะทะลุเข้าไปข้างในได้อีกเลย มันเป็นถ้ำตันขนาดใหญ่ คล้ายห้องโถงที่มีทางเข้าและออกทางเดียวเท่านั้น

    ที่เล่าลือกันว่า ถ้ำนี้เป็นถ้ำเมืองลับแล และมีอุโมงค์ลับลงไปใต้บาดาลเป็นเมืองพญานาคนั้น เห็นจะรู้เห็นด้วยสายตาธรรมดาไม่ได้ เพราะสิ่งดังกล่าวเป็นสภาวะทิพย์ มีความละเอียดอ่อนสุขุมยิ่งกว่าสายลม เบาบางยิ่งกว่าใยแมงมุม แต่ทว่าแข็งกล้ายิ่งกว่าเหล็กเพชร มีอานุภาพยิ่งกว่าสายฟ้า สามารถจะให้คุณและโทษแก่มนุษย์ผู้หยาบช้าจิตใจสกปรกโลภโมโทสันได้ถึงแก่วิบัติฉิบหายในพริบตา

    ฉะนั้น จำจะต้องใช้อำนาจฌานสมาธิตรวจสอบด้วยทางในให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อหลวงปู่คำคะนิงนั่งเข้าฌานตรวจสอบด้วยทางใน เห็นนิมิตปรากฏสว่างจ้าขึ้นตรงมุมถ้ำด้านหนึ่ง มองเข้าไปตรงผนังถ้ำเห็นใสกระจ่างคล้ายผนังถ้ำทำด้วยแผ่นกระจก ในผนังถ้ำนั้นมีบ่อน้ำหิน ในบ่อน้ำนี้มีหินก้อนหนึ่งแช่อยู่รูปร่างคล้ายจระเข้เสียงในนิมิตบอกว่า ให้ข้ามหรือรอดให้ท้องจระเข้หินนี้เข้าไป แล้วจะพบประตูลับแลเข้าสู่ถ้ำข้างใน

    เมื่อทราบแล้วดังนั้น หลวงปู่คำคะนิงจึงได้ออกจากสมาธิแล้วออกเดินสำรวจถ้ำมืดอีกครั้ง โดยตรงไปที่ผนังถ้ำที่ปรากฏเห็นในนิมิตก็พบด้วยความประหลาดใจว่า

    มีหินย้อยลงมาคล้ายหลืบฉากเล็กๆ ซึ่งตอนแรกเดินตรวจดูอย่างละเอียดแล้วไม่ได้พบหินย้อยตรงนี้ ดูคล้ายตาเซ่อไปเองหรือไม่ก็มีอะไรบังตาไว้ยังงั้นแหละ

    หลวงปู่คำคะนิงจึงนั่งยองๆ ลงชะโงกเข้าไปดูในซอกหลืบหินย้อยนี้ก็พบว่า เป็นซอกมุมทำเลพิกล มีรูดำมืดเข้าไป เป็นรูขนาดคนพรรมดามุตคลานเข้าไปได้ทีละคน แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะเป็นรู้ตันหรือข้างในเป็นเหวลึกยังไม่รู้ อาจเป็นรูเข้าสู่ที่อยู่อาศัยของงูเหลือมยักษ์ก็เป็นได้
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ธรรมย่อมรักษา

    การที่จะมุดคลานเข้าไปนับเป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แต่หลวงปู่คำคะนิงไม่เคยนึกหวาดกลัวเลย เพราะมีประสบการณ์เรื่อง มุดสำรวจถ้ำ เสี่ยงมฤตยูมาแล้วอย่างโชกโชนนับถ้ำไม่ถ้วน

    ประการสำคัญที่สุดก็คือพระกรรมฐานอย่างท่านซึ่งจาริกธุดงค์อยูในป่าเขาแดนอันตรายร้อยแปดพันเก้าประการนี้ ได้อธิษฐาน “ตาย” ไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่สมาทานธุดงค์แล้ว

    นั่นคือพร้อมเสมอที่จะตายทุกเวลา ไม่อาลัยเสียดายชีวิต ถ้ากรรมเก่าในอดีตสร้างไว้ให้ผล ก็พร้อมที่จะอุทิศสังขารร่างกายให้ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าด้วยความยินดี เพื่อชดใช้กรรมเก่าให้หมดสิ้นกันไปเสียเลยในชาตินี้ ไม่ต้องติดค้างหนี้เวรหนี้กรรมกันอีกต่อไป

    พระธุดงค์ขณะตกเป็นเหยื่อเสือขบกัดหรือตกเป็นเหยื่อ 4 เหลือม ท่านจะต้องตั้งสติให้มั่นคง กำหนดจิตให้แช่มชื่นเบิกบานใจที่ได้อุทิศร่างตัวเองให้เป็นอาหารของสัตว์นั้นๆ

    แล้วจึงแผ่เมตตาให้อโหสิสัตว์ตัวนั้นไม่ขออาฆาตจองเวร จากนั้นก็ปล่อยวางสังขารร่างกายรูปนามขันธ์ห้าโดยสิ้นเชิง เจริญวิปัสสนากำหนดอารมณ์ปัจจุบันเป็นตัวปัญญา

    เมื่อจิตปล่อยวางได้แล้วเช่นนี้ ความเจ็บปวดขณะตกอยู่ในปากสัตว์ก็จะไม่มี จะมีแต่สติติดตามจิตอยู่ทุกขณะจิตเป็นอารมณ์ปัจจุบัน เมื่อวิญญาณในขันธ์ห้าดับคือสิ้นใจตาย สติก็ยังดำรงอยู่ว่าขันธ์ห้าของตนแตกดับแล้ว

    ตอนนี้เองจิตในจิตหรือตัวสติปัญญา อันเป็นนามธรรม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สว่าง สะอาดบริสุทธิ์ ก็จะสืบต่อเป็นสันสติออกจากร่างไปสู่กระแสมรรค ผลนิพพานแดนสงบศานติสุข ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    เมื่อพระธุดงค์ตัดสินใจพร้อมที่จะตายได้ทุกเวลาเช่นนี้จิตย่อมยังเกิดความเบาสบาย ชุ่มชื่นเบิกบาน มีความกล้าหาญอยู่ตลอดเวลา ไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ให้มันเกิดขึ้น ถ้าเป็นกรรมเก่าส่งผลก็พร้อมที่จะยอมรับกรรมนั้น แต่ถ้าไม่เคยสร้างกรรมเวรไว้ในอดีต หากเผชิญอันตรายใดๆ ธรรมะย่อมปกปักรักษาให้ปลอดภัย สรุปแล้วพระธุดงค์ท่านเชื่อมั่นใน “พระธรรมย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม” และเชื่อใน “กฎแห่งกรรม”
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มีอีหยังขอเบิ่งแหน่

    [​IMG]
    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี



    หลวงปู่คำคะนิงจึงกำหนดจิตอธิษฐานว่า สาธุ นโม อันว่านมัสการแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสรณะที่พึ่งประเสริฐสูงสุด อาตมาภาพจักขออนุญาตเข้าไปในถ้ำสถานอันลึกลับแห่งนี้

    ขอปวงเทพเจ้าทั้งหลาย อันมีเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ ตลอดจนยักษ์ คนธรรพ์ และพญานาคทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ ณ ถ้ำสถานแห่งนี้ จงได้รับทราบและเปิดทางสะดวกให้แก่อาตมาภาพด้วยเถิด

    อาตมาภาพอยากจะขอเข้าไปดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นวาสนาบุญหูบุญตาม ถ้าหากมีจริงก็ขอให้ได้ดูชมสมใจ มิได้มีเจตนาโลภโมโทสันอยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทรัพย์สมบัติของพวกท่านแต่ประการใดเลย

    เมื่ออธิษฐานจบแล้ว หลวงปู่คำคะนิงก็จุดเทียนเล่มใหญ่ที่เตรียมมาในย่ามหลายห่อ แล้วมุดคลานเข้าไปในรูดำมืดนั้น เข้าไปลึกประมาณสองร้อยวาก็ทะลุออก คูหาถ้ำข้างในเป็นถ้ำกว้างประมาณห้าวา เพดานสูง มีหินย้อยจากเพดานและผนังถ้ำสีขาวหม่นๆ งดงาม บ้างเป็นพู่พวงห้อยลงมาคล้ายม่านหรือโคมระย้า พื้นถ้ำเป็นตระพักซ้อนขึ้นไปมีขั้นบันไดธรรมชาติ

    บนตระพักนั้นเป็นแอ่งน้ำใสแจ๋วปานกระจกมีหินรูปร่างคล้ายจระเข้แช่ขวางอยู่ในแอ่งน้ำ ถัดลึกเข้าไปมองเห็นปากอุโมงค์ดำมืดพอที่จะคลานมุดเข้าไปได้ก็ปรากฏว่าตรงกับนิมิตในสมาธิเป็นความจริงทุกประการ

    หลวงปู่คำคะนิงจึงเดินลุยลงไปในแอ่งน้ำนั้นซึ่งลึกแค่เอว พอไปถึงจระเข้หินจึงปีนป่ายขึ้นหลังมันเพื่อจะข้ามไป

    แต่เป็นที่น่าประหลาดว่าจระเข้หินนั้นเคลื่อนไหวได้ มันยกตัวลอยสูงขึ้นเหนือน้ำปิดทากอุโมงค์ไว้ เอ๊ะ...นี่มันยังไงกัน? หลวงปู่คำคะนิงแปลกใจ จึงลองเอาเท้าแหย่เข้าไปใต้ท้องจระเข้หินดูทำท่าคล้ายจะมุดลอดใต้ท้องมันไป แปลกอีกแล้ว จระเข้หินก็จมตัวลงในน้ำไม่ยอมให้มุดลอดไปอีก นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว ต้องเป็นสิ่งลึกลับอาถรรพณ์คอยพิทักษ์รักษาปากถ้ำไว้เป็นแม่นมั่น

    ท่านจึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นดังๆ ว่า

    “โอ๊ย...ผู้ข้า...ขอเข้าไปเบิ่งบูชาหูบูชาตาดอก ถ้ามีอีหยังขอเบิ่งแหน่ ไม่มีเจตนาอย่างอื่นใดดอก”

    เป็นภาษาไทยอีสานมีความหมายว่า ตัวข้าหรือกระผม ขอเข้าไปดู เพื่อบูชาหูบูชาตา ถ้ามีอะไรขอดูหน่อย ไม่มีเจตนาอย่างอื่นใดหรอก

    ทันทีที่อธิษฐานจบลง แปลกแท้ๆ จระเข้หินจมตัววูบลงไปกบดานอยู่ใต้น้ำราวมีชีวิต อนุญาตให้หลวงปู่คำคะนิงลุยน้ำข้ามหลังมันไปโดยสะดวก จากนั้นก็คลานมุดเข้าไปในปากอุโมงค์ดำมืดนั้น

    ตอนนี้แสงเทียนยังจุดสว่างถือไว้อยู่ตลอดเวลา เทียนจะดับไม่ได้ เพราะแสงเทียนคือสิ่งบอกเตือนว่า อากาศในถ้ำมีพอหายใจหรือไม่

    อุโมงค์ลาดต่ำลึกลงไปยาวประมาณสามสิบวาก็ทะลุถึงอีกคูหาถ้ำ เป็นถ้ำกว้างพอสมควรเพดานสูงโค้ง มีหินย้อยใหญ่น้อยทั้งยาวและสั้น สีต่างๆ เช่น น้ำตาลอ่อน ขาวนวล แดงและเหลืองรูปร่างแปลกๆ คล้ายจีบม่านแพรเป็นริ้วๆ ก็มี คล้ายสายน้ำตกก็มี

    สลับซับซ้อนคล้ายตำหนักที่เทพเจ้าสร้างไว้เมื่อกระทบแสงไฟเทียนจะเกิดประกายระยิบระยับดุจโรยด้วยกากเพชร สวยงามวิจิตรพิสดารมาก
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พุทโธคุ้มหัว

    ตรงกลางถ้ำมีสิ่งมีชีวิตร่างหนึ่งตระหง่านอยู่ ทำให้หลวงปู่คำคะนิงต้องตะลึงจังงัง

    สิ่งมีชีวิตนั้นคือพญางูตัวหนึ่งใหญ่เท่าต้นตาล ดำมะเมื่อมเลื่อมพราย ชูคอขึ้นสูงท่วมหัว นัยน์ตาเขียวเปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายแสงมรกต จ้องมองมายังหลวงปู่คำคะนิงอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นพญางูที่ไม่มีหงอน

    หลวงปู่คำคะนิงเล่าถึงตอนนี้ว่า ท่านไม่รู้สึกหวาดกลัวมัน แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด จะกลัวไม่ได้ ถ้านึกกลัวจะเป็นอันตราย ต้องกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกภาวนา “พุทโธๆๆ” ไว้ในใจเรื่อยๆ

    “ท่องพุทโธตัวเดียวนี้แหละคุ้มครองได้หมด พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์รวมลงอยู่ที่พุทโธตัวเดียวนี้แหละ พุทโธตัวเดียวเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในสากลโลกนี้ จำไว้ให้ดี คาถาของหลวงปู่มีพุทโธตัวเดียว ใช้ได้ทุกอย่างแล้วแต่จะอธิษฐานเอา ”

    “เมื่อหลายปีมาแล้ว หลวงปู่อยู่ในถ้ำ พวกผู้ร้ายห้าหกคนมันมาปล้น มันคิดว่าหลวงปู่ร่ำรวยเพราะญาติโยมมาหามาก มันเอาปืนอาก้าจ่อยิงหัวหลวงปู่นะ”

    “หลวงปู่หลับตาภาวนาพุทโธๆๆ ตัวเดียวนี้แหละ มันยิงกันใหญ่ ปืนมันไม่ลั่นเลย หลวงปู่ก็บอกมันว่า เอาเลยยิงให้หลวงปูตายเลย ถ้าเราเคยมีเวรกรรมต่อกัน”

    “แต่มันก็ยิงหลวงปู่ไม่ออกเพราะพุทโธตัวเดียวแท้ๆ คุ้มครอง พวกมันก็พากันหนีไป แล้วตำรวจก็จับได้”

    หลวงปู่คำคะนิงกล่าวและประสิทธิ์พระคาถานี้ให้กับข้าพเจ้าและผ่านมายังท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านครับ

    เมื่อกำหนดจิตกาวนาพุทโธๆๆ แล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้พูดขึ้นกับพญางูดังๆ ว่า อาตมาภาพถือสัจจะที่เข้ามานี้ มาขอดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของท่าน ถ้ามีอะไรก็ขอดูชมให้สนใจเพื่อเป็นวาสนาบุญตาด้วยเถิด ขอดูชมเฉยๆ ไม่เอาไปหรอก
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุโมงค์แก้วใต้โขง

    เมื่อกล่าวจบลง สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น พญางูใหญ่ลดหัวลงต่ำทันที มันเลื้อยเข้าไปข้างใน ตัวมันยาวใหญ่มาก หลวงปู่คำคะนิงยังคงยืนงุนงงถือเทียนเฉยอยู่

    พญางูได้เอี้ยวคอหันมาดูแล้วผงกหัวให้คล้ายเป็นเชิงบอกให้ตามไป หลวงปู่คำคะนิงจึงถือเทียนเดินตามไปห่างๆ ลำตัวพญางูยาวคล้ายจะไม่สิ้นสุด ท่านเดินตามไปข้างๆ มัน

    ครั้นแล้วมันก็หยุดลง ทำหัวก้มๆ เงยๆ ลงที่พื้นถ้ำ 2-3 ครั้ง ตรงนั้นเป็นปากหลุมถ้ำดำมืด ท่านเข้าใจได้โดยวิถีจิตว่าพญางูบอกกล่าวไม่ให้ลงไปในปากถำหลุมดำมืดนั้น เพราะจะเป็นอันตรายให้ระวัง

    จากนั้นพญางูได้เลื้อนตรงไปทางขวามือแล้วหันมาผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ ให้ท่านเข้าไปดู เมื่อเข้าไปดูพบว่าตรงนั้นมีหินย้อยลงมาสวยกมมากคล้ายม่านแพรริ้วๆ พญางูได้ยื่นหัวของมันชะโงกเข้าไปข้างๆ หินย้อยรูปม่าน

    ปรากฏว่ามีรูใหญ่ดำมืด พญางูผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ คล้ายจะบอกให้ลงไปในรูนี้ จากนั้นมันก็เลื้อยนำทางลงไปก่อน

    ท่านถือเทียนจุดสว่างลงไปในรูนี้ตามหลังมันไป ทางลงราบรื่นเกลี้ยงเกลา เพดานและผนังอุโมงค์ทางลงกระทบแสงเทียนเป็นประกายระยิบระยับพร่างพรายไปหมด คล้ายแสงดาวนับแสนนับล้านดวงในท้องฟ้า บอกให้รู้ว่าเป็นพวกแร่ธาตุอัญมณี

    อุโมงค์ทางลงลาดต่ำลงไปเรื่อยๆ จากการกำหนดหมายจดจำไว้

    หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า

    อุโมงค์นี้พุ่งตรงไปยังด้านทิศตะวันออกคือแม่น้ำโขง อุโมงค์ยาวมาก เดินจนรู้สึกเหนื่อย เทียนหมดไปหลายเล่ม

    เมื่อท่านหยุดยืนพักเหนื่อย พญางูก็จะหยุดบ้างแล้วเอี้ยวคอมาดูผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ คล้ายบอกให้ตามไป ท่านก็ออกเดินต่อไปอีก กะว่าเดินไปหนึ่งวันเต็มๆ

    ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นคูหาถ้ำกว้าง วิจิตรพิสดารด้วยหินย้อยเป็นหลืบฉากคล้ายท้องพระโรง มีแสงสว่างรุ่งเรืองอันเกิดจากหินย้อยเปล่งแสงคล้ายดวงดาว

    ตอนนี้เทียนที่จุดสว่างนำทางได้ดับลง หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกหายใจไม่ออก ไม่มีอากาศหายใจ จึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นว่า “โอ๊ย...ข้าน้อย...ขอให้ได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถิด ข้าน้อยอยากเบิ่ง อย่าเพิ่งให้ตายเลย”

    อธิษฐานจบก็มีอากาศหายใจอย่างสดชื่น รู้สึกร่างกายหายเหนื่อยกระปรี้กระเปร่าขึ้น ตอนนี้พญางูใหญ่ซึ่งหยุดดูอยู่ไต้ผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ ให้ตามไป

    เมื่อออกเดินไปก็เห็นเพดานอุโมงค์ข้างบนเป็นหินสีขาวใสกระจ่างเหมือนกระจก กว้างประมาณยี่สิบวา มองขึ้นไปเห็นเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลเอื่อย เห็นท้องฟ้าอยู่เหนือน้ำด้วย

    ความรู้สึกบอกว่า ข้างบนคือแม่น้ำโขง เวลานี้ท่านกำลังอยู่ในอุโมงค์แก้วเมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขง

    พญางูเลื้อยนำทางเข้าถ้ำโน้นออกถ้ำนี้วกไปวนมาคล้ายรวงผึ้งยักษ์ แต่ละถ้ำสวยงามพิสดารด้วยหินงอกหินย้อย ตามผนังถ้ำรุ่งเรืองไปด้วยแสงแก้วมณีสีต่างๆ สว่างไสวเต็มไปหมด
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เมืองใต้พิภพ

    ไปเรื่อยๆ 3 วัน 3 คืน ไม่ได้ฉันข้าวน้ำอะไรเลย แต่ไม่รู้สึกหิวโหยอ่อนเพลียแต่ประการใด กลับมีแต่ความรู้สึกอันสดชื่นเบิกบาน ร่างกายกระชุ่มกระชวยผาสุก อุโมงค์และคูหาถ้ำน้อยใหญ่ที่พญางูใหญ่นำเที่ยวดูชม ล้วนงามรุ่งเรืองตระการตา ทำให้เพลิดเพลินเจริญใจจนลืมเวล่ำเวลาที่ผ่านไปไม่รู้ตัว

    จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยอยู่ใต้พิภพ น้ำไม่ลึกมองเห็นกรวดทรายสีต่างๆ ระยิบระยับอยู่ใต้ขึ้นน้ำที่ใสกระจ่างปานกระจก พญางูใหญ่เลื้อยปราดลงไปในแม่น้ำแล้วหายวับไป จะว่ามุดน้ำหนีไปก็ไม่ใช่เพราะจับตาดูอยู่ เป็นการหายไปเฉยๆ คล้ายแสงไฟดับยังงั้นแหละ

    แต่พอหลวงปู่คำคะนิงขึ้นถึงฟากฝั่งตรงข้ามก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า มีรอยมนุษย์เพิ่งขึ้นจากน้ำไปใหม่ๆ รอยนั้นเปียกน้ำอยู่ แต่ไม่เห็นตัวคน

    พลันหลวงปู่คำคะนิงก็ล่วงรู้ได้ด้วยญาณว่า แม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ขวางกั้นด่านชั้นในเข้าสู่เมืองพญานาคใต้พิภพ เมื่อพวกพญานาคหรืองูใหญ่เลื้อยลงสู่แม่น้ำนี้แล้ว จะกลายร่างจากงูใหญ่เป็นร่างมนุษย์ไปในบัดดล

    แน่แล้วพญางูผู้นำทาง จะต้องเป็นเจ้าของรอยเท้ามนุษย์เปียกน้ำ ท่านจึงออกเดินสะกดรอยนั้นไป แต่เพื่อป้องกันหลงทางในตอนขากลับ จึงได้เก็บเอาก้อนหินมาวางไว้เป็นเครื่องหมาย

    เดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นคูหาถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล เพดานถ้ำอยู่สูงลิ่วเป็นรูปโค้งคล้ายท้องฟ้าจำลอง แสงสว่างรุ่งเรืองสดใสคล้ายอาบด้วยละอองสีทอง ทำให้จีวรย้อมฝาดของหลวงปู่กลายเป็นสีทองเข้ม ไหลออกไปสุดสายตาเป็นแสงสว่างสีชมพูอ่อนๆ สลัวหมอกมัวมองไม่ทะลุ

    ภายในคูหาถ้ำแห่งนี้มีพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่สูงลิบลิ่ว เป็นทองคำทั้งแท่ง สุกปลั่งอร่ามพร่างพราย ชวนให้ตะลึงลาน รอบๆ องค์มหาเจดีย์ทองคำมีพระพุทธรูปทองคำตั้งเรียงรายไว้เป็นชั้นๆ มากมายสุดคณานับ แต่ละชั้นทำด้วยหินผลึกสลักลายทองคำลวดลายละเอียดยิบ กระถางธูปและเชิงเทียนตั้งเรียงราย ตัว กระถางเป็นสีมรกตจางใสโตขนาดช่วงแขนโอบ

    ภายในกระถางบรรจุไว้ด้วยทรายทองคำเต็มสำหรับปักธูปซึ่งจุดส่งควันกรุ่น มีกลิ่นหอมตลบอบอวลชื่นใจ เชิงเทียนเป็นมณีแดง เทียนที่จุดมีทั้งเทียนขาว เหลือง แดง

    ถัดออกไปเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบพระมหาเจตีย์ กำแพงแก้วฝังไว้ด้วยเพชรเม็ดใหญ่ๆ ตามลวดลายกนกส่องแสงวุบวับเป็นประกายดุจดวงดาวนับหมื่นนับแสนดวงมาประดับไว้ ณ ที่นั้น

    นอกกำแพงแก้วออกไปเป็นมหาวิหารคด และพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวประดับลวดลายด้วยเส้นลายทองคำฝังแก้วเจ็ดประการงามรุ่งเรืองวิจิตรพิสดารน่ามหัศจรรย์

    “หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปนะ ไม่ได้เข้าฌานถอดกายทิพย์ไป แต่ไปด้วยร่างกายแก่เฒ่าของปู่นี้แหละ หลวงปู่ยังเข้าไปโอบกอดพระมหาเจดีย์ทองคำเลย เป็นทองคำจริงๆ เนื้อแน่นหนาทึบเย็นเหมือนน้ำ หลวงปู่ดูละเอียดหมด ยังได้จุดธูปเทียนในภาชนะแก้วทองสักการะเลย” หลวงปู่คำคะนิงกล่าวยืนยันเป็นถ้อยคำแข็งแรง

    [​IMG]
    ลูกแก้วพญานาคของหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มนุษย์นาค

    “หลวงปู่พบพระสงฆ์องค์เจ้าหรือเปล่าครับ” ข้าพเจ้าถาม

    “ไม่มีพระเณร เงียบมาก เงียบจนกระทั่งหลวงปู่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตึกๆ หลวงปู่เดินเที่ยวดูหมด ไม่มีพระเณรเลยสักองค์จริงๆ กุฏิหินอ่อนสีขาวหลังคาเป็นแก้วประพาฬปลูกไว้เรียงรายหลายสิบหลัง ปิดประตูหน้าต่างเงียบ คล้ายเป็นวัดร้าง” หลวงปู่กล่าว

    “วัดนี้ไปอยู่ในถ้ำได้อย่างไรครับ”

    “มีผู้สร้างขึ้นไว้ ไม่ใช่มนุษย์บนโลกสร้าง แต่เป็นมนุษย์นาคสร้าง”

    “มนุษย์นาค”

    “ก็พญานาคนั่นแหละ ที่นี่เป็นเมืองบาดาลของพวกพญานาค พวกเขานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พญานาคเป็นสิ่งมีชีวิตเร้นลับ เป็นกึ่งสัตว์เดรัจฉานและกึ่งเทพเจ้า มีมหิทธานุภาพมาก สามารถจำแลงกายเป็นชายหนุ่มละหญิงสาวสวยงามได้ ชอบทำบุญสร้างกุศลในพุทธศาสนา

    ในคัมภีร์มหาวรรคกล่าวว่า

    พญานาคตนหนึ่ง มีศรัทธาที่จะบวชในพระพุทธศาสนาจึงเนรมิตบิดเบือนกายเป็นมนุษย์ แล้วได้บวชเป็นพระภิกษุสมความปรารถนา ครั้นอยู่นานมา พระคุณเข้าท่านประมาทเผลอตัว รูปนิมิตก็กลับกลายเป็นพญานาคอย่างเดิม

    สมเด็จพระพุทธองค์ทรงทราบ จึงมีพระพุทธฎีกาโปรดประทานนามว่า ชื่อว่าสัตว์เดรัจฉานมีชาติอันต่ำช้าแล้ว ห้ามมิให้บวชในพระพุทธศาสนา

    ความในมหาวรรคมีเพียงแค่นี้

    แต่ต่อมาท่านพระอรรถกถาจารย์บางท่านได้เขียนอธิบายขยายความไว้ว่า

    พญานาคที่ปลอมเป็นมนุษย์บวชพระนั้น ได้กราบวิงวอนพระพุทธองค์ขอให้ผู้ที่จะบวชต่อไปใช้คำว่า นาค ในเวลาบวชเถิด ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงยินยอมตามคำขอร้องนั้น

    หลวงปู่ว่าเป็นไปได้ที่พวกพญานาคสร้างวัดทองคำประดับด้วยแก้วมณีอันมีค่านี้ไว้สักการบูชา เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงพระรัตนตรัย”

    “หลวงปู่ทำไมไม่อยู่จำพรรษาที่นั่นล่ะครับ”

    “อยู่ไม่ได้ เพราะหลวงปูแค่ขออนุญาตเขาเข้าไปดูชมให้เป็นบุญหูบุญตาเท่านั้น”

    “นอกจากวัดที่หลวงปู่เห็นแล้วมีอะไรอีกครับ”

    “หลวงปู่เดินดูชมบริเวณวัดจนทั่วแล้วก็เลยไปทางสระใหญ่มีดอกบัวสีต่างๆ ขึ้นเต็ม ดอกบัวส่งกลิ่นหอมชื่นใจมาก มีสนามหญ้าสีเขียวตัดเรียบ มีสวนดอกไม้กว้างสุดสายตา แล้วก็มีทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่นๆ

    สองข้างทางเป็นต้นไม้ทั้งดอกทั้งใบสีแปลกๆ ลูกผลยั้วเยี้ยเลย ก็เลยเดินเข้าไปตามทางนี้ รู้สึกกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้รุนแรงยิ่งขึ้น หอมจนฉุนกึ้กขึ้นจมูกเลย หลวงปู่รู้สึกวิงเวียน

    [​IMG]
    ลูกแก้วพญานาคของหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ดาบสฤๅษี

    “ก็พอดีเดินเข้าไปถึงเบื้องผาแห่งหนึ่ง มีขั้นบันไดหินทอดขึ้นไปสูงประมาณสองวา พบคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เป็นพระฤๅษีดาบสผมยาว”

    “พระฤๅษีหรือครับ”

    “เป็นคนนี่แหละ แก่เฒ่าแล้ว ผมขาวยาวหนวดเครายาวถึงเอว นั่งพิงหมอนขวานใบใหญ่อยู่ใต้เงื้อมผา อาสนะที่นั่งเป็นเบาะปูลาด”

    “หลวงปู่ก็นั่งลงยกมือไหว้ ตาแกคนนั้นร้องห้ามหลวงปู่ไว้ ไม่ให้ไหว้ แกบอกว่า ข้าเจ้าไม่ใช่พระ อย่าไหว้ข้าเจ้าให้เป็นบาปเลย ข้าเจ้าเป็นตาปะโสหรือดาบสฤๅษี”

    “ดาบสฤๅษีเป็นพญานาคแปลงกายหรือครับ”

    “ไม่ใช่ ท่านบอกว่าท่านบวชเป็นพระฤๅษีดาบสมาได้ 3,000 ปีแล้ว บำเพ็ญศีลเจริญภาวนาอยู่แก่งลี่ผี”

    “เป็นไปได้หรือครับ ที่คนเราจะมีอายุถึงสามพันปี”

    “พวกฤๅษีดาบสที่บำเพ็ญพรตเจริญภาวนาในพระธรรมจนบรรลุอภิญญาสมาบัติชั้นสูงพวกท่านย่อมมีอำนาจสามารถยืดอายุเวลาให้ยืนนานออกไปได้นับพันๆ ปี อันนี้หลวงปู่เชื่อว่าเป็นความจริง มันเป็นวิชชาลึกลับ”

    ๐ แก่งลี่ผี

    “แก่งลี่ผีอยู่ที่ไหนครับ”

    “แก่งลี่ผีอยู่ในแม่น้ำโขง เบื้องทิศใต้นครจำปาศักดิ์ลงไป แม่น้ำโขงแถวๆ นั้นมีเกาะแก่งมากมายนับร้อยๆ เกาะ แล้วมีภูเขาลูกหนึ่งขวางกั้นแม่น้ำโขงอยู่ แม่น้ำโขงไหลข้ามเขาไปกลายเป็นน้ำตกลงไป”

    “ชาวบ้านเรียกว่าลี่ผี หมายถึงที่ดักปลาของภูตผี ท่อนซุงใหญ่ๆ ขนาดหลายคนโอบตกลงไปในแก่งลี่ผีจะแหลกละเอียดหมด เรือแพผ่านเข้าไปไม่ได้ เป็นวังน้ำวนแก่งน้ำตกมฤตยู แล้วยังมีอุโมงค์ใต้น้ำ ให้น้ำโขงไหลลอดภูเขาด้วยหลายอุโมงค์”

    “ภูเขาลูกนี้ลึกลับอาถรรพณ์ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พวกฤๅษีชีไพรตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ชอบไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่น เพราะเงียบสงบ คนไปรบกวนไม่ได้”

    “ดาบสฤๅษีตนนี้ มาทำไมที่นี่”

    “หลวงปู่ถามดูแล้ว ท่านดาบสผู้มีอายุยืนนานเล่าให้ฟังว่า พวกบังบดนิมนต์ท่านมาเทศนาธรรม”

    “พวกบังบด คืออะไรครับ”

    “หมายถึงพวกลับแลหรือพวกมีสภาวะเป็นทิพย์ อย่างพวกพญานาคนี้ก็ถือว่าเป็นพวกลับแลพวกหนึ่งได้เหมือนกันเพราะมีสภาวะทิพย์”

    “พระฤๅษีดาบสบอกว่า ท่านมาเทศนาธรรมอบรมชาวลับแลได้สามวันแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรอยู่ภูจอมทองฝั่งลาว”

    หลวงปู่ถามว่า

    “แล้วพวกชาวเมืองลับแลไปไหนหมด ทำไมไม่เห็นสักคนเดียว ท่านตอบว่า พวกชาวลับแลไม่อยากแสดงตัวให้เห็น หลวงปู่เลยบอกท่านว่า จะเข้าไปเที่ยวดูชมข้างในต่อไป ท่านได้ห้ามไว้”

    “ทำไมพระฤๅษีถึงห้ามไว้ครับ”
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๐ กฎลึกลับ

    “พระฤๅษีท่านบอกว่า ข้างในเป็นเวียงวังของพญานาค เป็นเขตอาถรรพณ์ หากมนุษย์เข้าไปแล้วจะต้องอยู่ที่นั่นเลย กลับออกมาไม่ได้ ถ้ากลับออกมาต้องตาย มนุษย์ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีวิชาอาคม ได้ฌานสมาบัติ ถึงจะมีอำนาจต้านทานพิษร้ายแรงของพญานาคได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วต้องจำพรรษาอยู่ในเวียงวังพญานาคตลอดไป จะออกมาไม่ได้”

    “ทำไมถึงกลับออกมาไม่ได้ครับ”

    “มันเป็นกฎลึกลับของบานเมืองบาดาลเป็นอย่างนั้น อย่างพระฤๅษีดาบสท่านมาจากแก่งลี่ผี ท่านก็ยับยั้งอยู่แค่เขตวัดมหาเจดีย์ทองคำนี้เอง ไม่เข้าไปในเขตเวียงวังของพญานาค ถ้าเข้าไปแล้วท่านว่าต้องอยู่เป็นสมภารเจ้าวัดในเมืองบาดาลตลอดไป กลับออกมาอีกไม่ได้ ดังนั้นพวกพญานาคจึงออกจากเวียงวังชั้นในมาฟังธรรมเทศนาของท่านที่ข้างนอกแห่งนี้”

    “แล้วหลวงปู่ไปไหนอีก”

    “พระฤๅษีดาบสท่านบอกให้หลวงปู่กลับ ท่านว่าหลวงปู่มาสามวันแล้ว อย่าอยู่นานกว่านี้เลยไม่ดี อาจแพ้พิษของพวกพญานาคได้ เพราะในอาณาเขตใต้พิภพเมืองบาดาลนี้ พวกพญานาคคายพิษอันตรายไว้ทั่วไป อากาศเป็นพิษกับมนุษย์และสัตว์ทั่วไป หลวงปู่ได้รับคำเตือนเช่นนั้นก็เลยกลับออกมา”.

    “กลับออกมายังไงครับ”

    “กลับออกมาทางเก่า พอข้ามแม่น้ำที่หลวงปู่ทำเครื่องหมายกองหินไว้ก็พบพญางูใหญ่ตัวนั้นอีก แปลกแท้ๆ เขามารออยู่แล้วคล้ายรู้ว่าหลวงปู่จะกลับ”

    “พญางูตัวนั้นนำทางอีกใช่ไหมครับ”

    “เออ...ขากลับนี้เขาเลื้อยนำหน้าพากลับทางลัด เป็นอุโมงค์มีขั้นบันไดหิน สูงชันมาก สองข้างอุโมงค์มีแสงสว่างคล้ายแก้วระยิบระยับ แล้วก็มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล หลวงปู่รู้สึกว่ามาประมาณเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ในราวสักครึ่งชั่วโมงกระมั้ง”

    “กลับมาถึงไหนครับ”

    “ก็กลับมาถึงถ้ำมืดนั่นแหละ”

    “หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปแน่นะครับ ”

    “จะฝันอะไร ก็หลวงปู่เดินไปนี้แหละ หลวงปู่ได้ไปเห็นมาจริงๆ ก็เล่าให้พระสงฆ์องค์เจ้าด้วยกันฟังรู้กันหมด”
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๐ อาจารย์คำดี

    “คืออย่างนี้ หลวงปู่ลืมเล่าให้ฟังตอนแรก ทีแรกนั้นตอนจะได้ไปถ้ำมืดเพื่อค้นหาถ้ำเมืองพญานาคใต้บาดาล ท่านอาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง พาพวกชาวบ้านจากจังหวัดศรีสะเกษมาไหว้หลวงปู่ มากันเต็มสองคันรถเลย”

    “พวกอาจารย์คำดีอยากได้พระเครื่องของโบราณในถ้ำมืดไปบูชา แล้วก็มีพวกฆราวาสที่มาด้วย เป็นนักวิชาอาคมเก่งไสยศาสตร์ เขาอยากค้นหาเหล็กไหลในถ้ำมืดด้วย”

    “ทีนี้ก็อยากจะให้หลวงปู่พาไปถ้ำมืด ลำพังพวกพระพวกโยมที่มาจากศรีสะเกษกลัวจะแพ้ภัยตัวเองเป็นอันตราย เพราะข่าวเล่าลือว่าถ้ำมืดศักดิ์สิทธิ์ เฮี้ยนหลาย เป็นเมืองลับแลมีงูใหญ่ตัวเท่าต้นตาลให้คนเห็นอยู่บ่อยๆ พวกเขาหวังพึ่งหลวงปู่ในเรื่องนี้ ว่าคงจะช่วยคุ้มครองให้เขาได้”

    “หลวงปู่ไม่อยากขัดศรัทธาก็เลยไป เพราะได้ตั้งใจไว้อยู่แล้วเหมือนกัน อยากจะไปพิสูจน์ความจริงเรื่องถ้ำมืดนี้”

    “พวกที่ไปด้วย ทำไมไม่เข้าไปเที่ยวเมืองพญานาคกับหลวงปูละครับ”

    “เขากลัวกัน ไม่กล้าเข้าไปด้วยกับหลวงปู่น่ะซี พวกเขาทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำกัน อ้อนวอนขอพระเครื่องพระบูชาของโบราณ และขอเหล็กไหลด้วย”

    “หลวงปู่ไม่ยุ่งด้วยกับพิธีของเขา หลวงปู่ใช้สมาธิอธิษฐานธรรมตรวจสอบ”

    “ทีนี้พวกเขาเกิดกลัวกันขึ้นมาเพราะมีนิมิตอะไรบางอย่างในพิธีของเขา รู้สึกว่าเขาจะพบนิมิตเป็นงูใหญ่น่ากลัวมาก พอหลวงปู่จะเข้าถ้ำลึก พวกเขาไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ฉุดแขนพระอาจารย์คำดีจะให้มุดเข้ารูถ้ำไปด้วยกัน พระอาจารย์คำดีกลัวมาก ไม่ยอมเข้าท่าเดียว บอกว่าจะคอยอยู่ข้างนอกถ้ำมืด”

    “เมื่อพวกเขากลัวกันไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ไล่ให้พระอาจารย์คำดีพาญาติโยมทั้งหมดหนีไปให้ห่างไกล อย่าอยู่ใกล้ถ้ำมืดเป็นอันขาด เพราะหากมีอะไรออกมาแปลกๆ เช่น พญางูใหญ่ออกมา จะทำให้พวกเขาตกใจกลัว อาจพากันวิ่งหนีด้วยความเสียขวัญตกเหวตกหน้าผาตายกันหมด ”

    “พวกเข้าก็เชื่อ พากันรีบหนีออกจากถ้ำมืดไปคอยหลวงปู่อยู่ตั้งไกล สามวันให้หลัง เมื่อหลวงปู่กลับออกมาพวกเขาก็ยังคอยอยู่”

    “หลวงปู่ไม่ได้อะไรออกมาฝากพวกพระอาจารย์คำดีบ้างหรือครับ อย่างเช่นพระเครื่องของโบราณ”

    “ไม่มี...หลวงปู่ไม่เห็นมีพระเครื่องที่เขาอยากได้กัน อีกอย่างไม่กล้าหยิบเอาอะไรออกมา เพราะได้บอกเจ้าถ้ำเจ้าเขาแล้วว่า ไม่ต้องการอะไร อยากจะเข้าไปดูชมเพื่อเป็นวาสนาบุญตาเท่านั้น”
     

แชร์หน้านี้

Loading...