หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม : พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุปัน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 พฤศจิกายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๔

    เดินทางไปดูรอยพระพุทธบาท

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้พักภาวนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ออกเดินทางเพื่อไปดูรอยพระพุทธบาทตามที่วิญญาณอดีตพระราชาเมืองตองฮู้ ได้บอกไว้เมื่อคืนก่อน

    หลวงปู่เล่าว่า ท่านใช้เวลาเดินทางตามที่วิญญาณบอก ๑ วันเต็มๆ ก็ไปถึงปากถ้ำทางเข้าไปเพื่อดูรอยพระพุทธบาทนั้น ท่านได้พบก้อนหินยาวเหมือนรูปงูจริงๆ ซึ่งมันก็เป็นก้อนหินธรรมดานั่นเอง

    เดิน ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงริมแม่น้ำ ก็มองเห็นหินก้อนใหญ่เหมือนภูเขาทั้งลูกตั้งอยู่กลางแม่น้ำเลย และก็ได้พบรอยพระพุทธบาทตามคำบอกเล่าจริงๆ

    รอยพระพุทธบาทนี้ยาว ประมาณ ๘ ศอก กว้าง ๖ ศอก สูง ๔ ศอก โดยประมาณเห็นจะได้

    เมื่อ พิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้จริงๆ หลวงปู่จึงได้กระทำการสักการะ แล้วก็จากสถานที่นั้นไป

    ขณะที่หลวงปู่ ตื้ออยู่ปฏิบัติภาวนาในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามดอยตามป่าต่างๆ นั้น ท่านมักจะเจอกับพวกกายทิพย์ และมีเหตุการณ์แปลกๆ มารบกวนการบำเพ็ญภาวนาของท่านเสมอ

    หลวงปู่ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นเอา ชนะด้วยการบำเพ็ญภาวนาไปทุกครั้ง

    พวกวิญญาณหรือกายทิพย์ทั้งหลาย เหล่านี้ ส่วนมากมักจะเป็นพวกที่อยู่เฝ้าสมบัติมีค่าต่างๆ เมื่อได้ทดสอบความมั่นคงทางจิตใจของหลวงปู่แล้ว วิญญาณเหล่านั้นก็จะบอกถวายสมบัติที่พวกเขารักษานั้นให้ แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยสนใจ คงมุ่งหน้าแต่การปฏิบัติพระธรรมกรรมฐานเพียงอย่างเดียว
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๕

    พุทโธช่วยให้พ้นภัยอันตรายได้

    ลูก ศิษย์ลูกหาต่างก็เชื่อมั่นว่า นับตั้งแต่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านบวชมาในพระพุทธศาสนา ท่านก็ได้ดำเนินปฏิปทาในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ไม่เคยรู้สึกท้อแท้ หลวงปู่ท่านบอกว่า “จงสละไปเถิดวัตถุธรรม เพื่อความดีคือพระธรรม อันเป็นความดีที่สุดของชีวิต”

    จากเรื่องราวชีวิตของหลวงปู่ จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ท่านได้ออกธุดงค์ครั้งแรกเป็นต้นมา ก็จะพบเจ้าที่เจ้าทางและวิญญาณทั้งหลายมาทดสอบความเข้มแข็งทางจิตใจ เพื่อจะเอาชนะท่านเสมอ แต่ด้วยวิสัยของลูกศิษย์พระตถาคตแล้ว ท่านไม่เคยท้อแท้ หรือลดละความพยายามในการปฏิบัติธรรมเลย

    การท่อง ธุดงค์ของหลวงปู่ มักจะเป็นการผจญภัยใกล้ต่ออันตรายในชีวิตเสมอ นับเป็นปกติที่หลวงปู่ไม่ได้ฉันอาหารติดต่อกันตั้งแต่ ๗-๑๕ วัน เพราะต้องท่องเที่ยวอยู่ในป่าเขาที่ไม่พบผู้คนเลย ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าหลวงปู่ตื้อและพระธุดงค์ทั้งหลายท่านไม่มีความพึง พอใจในการกระทำเช่นนั้น ท่านเต็มใจทำไปเพื่อความเห็นแจ้งตามแนวทางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าอย่างแท้จริง

    เมื่อเวลาท่องธุดงค์ในป่าเขาที่ห่างบ้านผู้คน ท่านจะต้องนึกเอา พุทโธ เป็นอารมณ์ทำให้เกิดกำลังใจ จิตใจแช่มชื่น ทนต่อความหิวและความกระวนกระวายลงได้

    ท่านทั้งหลายยอมสละตาย มอบกายถวายชีวิตเพื่อค้นหาพระธรรม จึงไม่มีอะไรที่จะเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญเพียรของท่านเลย ท่านมีใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นต่อการค้นหาพระธรรมอย่างแท้จริง

    นิสัยของ หลวงปู่ตื้อที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ท่านชอบรู้สิ่งต่างๆ ที่เร้นลับ เช่น พวกกายทิพย์ ผีสางเทวดา เปรต และวิญญาณต่างๆ เป็นต้น

    หลวงปู่เคย เล่าให้บรรดาศิษย์ฟังเสมอ เกี่ยวกับพวกกายทิพย์นี้ เรื่องที่ท่านบอกเล่าล้วนแต่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นเรื่องที่นอกเหนือที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะรู้ได้ แต่สำหรับผู้สนใจใฝ่รู้ในด้านการปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธศาสนาแล้วก็เชื่อ มั่นว่าเป็นความจริง

    หลวงปู่ตื้อ ท่านยืนยันว่าเรื่องสิ่งเร้นลับต่างๆ เกี่ยวกับภพภูมิที่แตกต่างออกไป เช่น พวกกายทิพย์ เทวดา ผีสางนางไม้ สัตว์นรก และเปรตต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถสัมผัสรู้เห็นได้ ถ้าเรามีการฝึกฝนด้านจิตใจจนมีความละเอียดเพียงพอ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๖

    ถือเอาเสือเป็นอาจารย์กรรมฐาน

    เกี่ยว กับการผจญกับสัตว์ร้ายต่างๆ เช่นเสือ เป็นต้น ซึ่งพระธุดงค์ที่เดินทางในป่าดงในสมัยก่อน มักจะต้องพบเห็นอยู่เสมอ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านถือว่า เสือเป็นอาจารย์ในการปฏิบัติกรรมฐาน คือมาช่วยสอน ช่วยเตือน ให้พระธุดงค์ไม่ประมาทในการบำเพ็ญเพียรของตน ต้องทำสมาธิภาวนาอย่างไม่ลดละ

    หลวงปู่ท่านว่า เสือคือเทพเจ้าที่คอยรักษาเราให้ปลอดภัยจากการเดินธุดงค์ในป่าเขา ไม่ว่าเสือจริงๆ หรือเสือเทพเนรมิต เพราะเสือที่ท่านพบมักแสดงเหมือนกับรู้ภาษาคน

    หลวงปู่เล่าว่า “เวลาที่เสือมาหาเราในป่า เราก็เร่งภาวนาให้จิตยึดใน พุทโธ เป็นอารมณ์ ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญ ทำให้การปฏิบัติกรรมฐานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี

    เช้าขึ้นก็ออก เที่ยวบิณฑบาตตามสมณวิสัย ฉันอาหารบิณฑบาตแล้วก็นั่งสมาธิภาวนา พิจารณาอาการ ๓๒ ของร่างกายที่เราหลงใหลว่าเป็นของสะอาดงดงาม เมื่อรู้สึกง่วงก็เดินจงกรมภาวนา เพื่อป้องกันนิวรณ์มาครอบงำ

    สำหรับ เวลากลางคืนนั้น บำเพ็ญความเพียรโดยตลอด เวลาพักผ่อนจำวัดมีน้อยมาก ทำกิจวัตรอย่างนี้ไม่เคยขาด ทำอยู่เสมอและทำด้วยความพอใจที่สุด ไม่ได้ห่วงหน้าห่วงหลัง ยึดพุทโธเป็นสรณะตลอด ไม่เคยประมาท”

    หลวงปู่ ท่านเน้นย้ำว่า “ตราบใดที่จิตของเรายังมีอารมณ์ยึดมั่นอยู่กับพุทโธ เสือนั้นจะไม่ทำอันตรายอะไรเรา ไม่ว่าจะเป็นเสือจริงหรือเสือเทพเนรมิตก็ตาม แต่ถ้าจิตเรามัวแต่รักตัวกลัวตาย จนลืมภาวนาพุทโธ และจิตห่างจากพุทโธคราวใด เสือนั้นก็จะจ้องคอยทำร้ายให้เป็นอันตรายแก่ชีวิตได้

    ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่ตื้อ ท่านจึงไม่กลัวเสือ ท่านถือว่าเสือเป็นอาจารย์สอนให้เราได้ภาวนา และรู้จักคุณของพุทโธ

    หลวง ปู่ท่านยังแนะอีกว่า ในเรื่องของภูตผีปีศาจก็ตาม ถ้าหากใครกลัวผี ก็ให้ไปอยู่ภาวนาในป่าช้า จิตจะได้ตื่นกลัว แล้วจะได้ตั้งใจภาวนาตลอดคืนจนจิตเกิดสมาธิและสงบลง ทำให้หายกลัวไปได้

    เพราะอานุ ภาพของพุทโธ และจิตที่เป็นสมาธิ พวกภูตผีต่างๆ จึงไม่สามารถทำอันตรายใดๆ แก่เราได้ และเมื่อเราแผ่เมตตาให้ พวกนั้นก็ยินดีน้อมรับในส่วนบุญ กลายเป็นมิตรกับเราไปเสียอีก

    เรื่องราวข้างต้นนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้เมตตาเล่าให้พระเณรฟัง เป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งท่านจำพรรษาอยู่ที่พระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี ก่อนที่จะเดินทางมาบำเพ็ญเพียรที่เชียงใหม่

    [​IMG]
    พระพุทธบาทบัวบก ประดิษฐาน ณ วัดพระพุทธบาทบัวบก
    ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๗

    พบกับงูใหญ่ขณะเดินจงกรม

    บันทึก เหตุการณ์ส่วนนี้เกิดขึ้นในสมัยที่ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ พระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนกลางคืน ขณะที่หลวงปู่กำลังเดินจงกรมอยู่ ปรากฏมีงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาหยุดข้างทางเดินจงกรมของท่าน พอหลวงปู่เดินมาใกล้ งูตัวนั้นก็ชูคอจ้องดูท่านเดินจงกรมไปมา

    หลวง ปู่เดินไป-กลับบนทางเดินอย่างปกติ แสดงว่าไม่ได้ให้ความสนใจมัน เจ้างูใหญ่ยังคงจ้องมองดูท่านอย่างไม่ลดละ คล้ายจะนึกสงสัยว่า “พระองค์นี้กำลังทำอะไรอยู่ เดินกลับไปกลับมาอยู่ได้ ไม่หันมามองดูเราเลย เราสู้อุตส่าห์มาเยี่ยมถึงที่ ท่านน่าจะต้อนรับพูดจาปราศรัยกับเราบ้าง”

    เมื่อ เจ้างูใหญ่เห็นหลวงปู่ไม่สนใจ จึงได้เลื่อนเข้ามาติดทางจงกรม แล้วก็ขดตัวซ้อนกันเป็นวง ชูคอจ้องมองมายังหลวงปู่ หลวงปู่ก็ยังเดินตามปกติ ไม่แสดงท่าว่าสนใจมัน แต่ความจริงแล้วท่านก็แอบสังเกตอยู่ในใจว่า เจ้างูใหญ่ตัวนั้นจะทำอะไรต่อไป

    เจ้างูใหญ่เห็นหลวงปู่ไม่สนใจและไม่ กลัวมัน มันเฝ้าดูอยู่ไม่นานก็คลายขนด แล้วเลื้อยหายเข้าป่า พ้นจากทางเดินจงกรมของท่านไป
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๘

    ผจญเปรตเจ้าที่

    ในการ เดินจงกรมครั้งเดียวกันที่พระพุทธบาทบัวบก

    หลังจากงูใหญ่เลื้อยหาย เข้าป่าไปแล้ว ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเป็นคนร่างสูงใหญ่ กะว่าสูง ๑๐ วา มายืนกางขาที่ปลายทางจงกรมคล้ายกับจะคร่อมทางเดินไว้ แสดงท่าทางว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในถิ่นนั้น

    หลวงปู่ตื้อ ท่านเดินจงกรมตามปกติ แสดงท่าว่าไม่สนใจกับมัน ท่านบอกว่ารู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นบ้างเล็กน้อย ปรากฏว่าเริ่มมีกลิ่นสาบสางเหม็นขึ้นมา และก็เหม็นมากขึ้นทุกที จนรู้สึกว่าจะทนไม่ไหว ไม่สามารถดับเวทนาตัวนี้ได้

    หลวงปู่ได้กำหนด จิตแผ่เมตตาให้มันก็ไม่เป็นผล ได้ออกปากไล่ให้มันหนีไป มันก็ยังทำเฉย แถมยังคงปล่อยกลิ่นสาบสางนั้นเช่นเดิม ท่านพยายามเดินจงกรมไปมา และกำหนดจิตไล่มันอยู่นานพอสมควร ก็ไม่ได้ผล ท่านยังยึดพุทโธอยู่ในอารมณ์ตลอดเวลา ตอนนี้จิตใจท่านไม่หวั่นไหวหรือเกรงกลัวมันเลย

    ในที่สุดหลวงปู่ก็ หยุดเดิน แล้วพูดขึ้นว่า

    “ให้มึงรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะได้ลองดีกัน”

    หลวงปู่เดินขึ้นไปบนเพิงที่พัก จุดเทียนไข เอาไปติดที่ปลายไม้เท้าแล้วเดินกลับมาที่ทางเดินจงกรม พูดดังๆ ออกไปว่า “ให้มึงหนีไปเด้อ ถ้าบ่หนีจะเอาไฟจุดดาก (ก้น) มึงเดี๋ยวนี้ละ”

    ผี เปรตตนนั้นยังยืนนิ่งเฉย และส่งเสียงหัวเราะเยาะท่าน

    หลวงปู่เดิน เข้าไปใกล้ แล้วก็พุ่งเทียนเข้าใส่มัน

    ได้ผล ผีเปรตตนนั้นกระโจนหายไป แล้วไปปรากฏที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไป แต่กลิ่นเหม็นสาบกลับมากขึ้นกว่าเดิม จนหลวงปู่ไม่สามารถข่มใจเดินจงกรมต่อไปได้

    หลวงปู่ใช้ไฟเทียนไล่มัน ต่อไปอีก มันจึงหนีไป ดูท่าว่ามันจะหายไปแล้ว หลวงปู่จึงเข้าทางเดินจงกรมต่อไป พอได้เวลาพอสมควรท่านจึงหยุดพักการเดินจงกรม แล้วนั่งสมาธิภาวนาต่อไป
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๙

    โดนเปรตแกล้ง

    เมื่อ หลวงปู่หลับตานั่งสมาธิได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ท่านรู้สึกว่ามีใครบางคนมาเป่าลมเข้าไปในหูขวา ท่านรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย แล้วมันก็กลับมาเป่าทางหูซ้าย ท่านพยายามข่มใจนั่งสมาธิต่อไปแผ่เมตตาให้ก็ไม่เป็นผล มันยังคงรบกวนอยู่นั่นเอง

    หลวงปู่ลืมตาขึ้น เอ่ยปากขับไล่มัน มันก็หัวเราะชอบใจแล้วก็หนีไป

    หลวงปู่นั่งสมาธิต่อ ไม่นานมันก็กลับมาอีก แกล้งเป่าลมเข้าหูท่าน ทำล้อเล่นเช่นเดิม พอเอ่ยปากไล่ มันก็หนีไป ไม่นานมันก็กลับมาอีก ทำอยู่เช่นนั้น

    หลวง ปู่คิดอุบายที่จะขับไล่ โดยจะเอาน้ำมาสาดมัน ท่านลุกจากที่จะไปหยิบขันเพื่อตักน้ำ ปรากฏว่าไม่มีขันในที่ ที่หลวงปู่วางไว้ คิดว่าผีมันคงเอาไปซ่อน มันหัวเราะเยาะแบบรู้ทัน

    หลวง ปู่คิดจะเอาไม้ขีดมาเผาหัวมัน แต่ก็คว้าหากลักไม้ขีดไม่เจอมันเอาไปซ่อนอีก ดูมันเล่นตลกกับท่าน ท่านคิดจะทำอะไรรู้สึกว่ามันจะรู้ทันไปหมด เจ้าผีเปรตยิ่งหัวเราะได้ใจใหญ่

    หลวงปู่หมดหนทางจะจัดการกับผีเปรตตน นั้น ท่านจึงดึงมุ้งกลดลงกาง แล้วนั่งภาวนาในมุ้งกลดโดยไม่ยอมนอนเลยตลอดคืน ท่านทำสมาธิไปจนได้อรุณวันใหม่ เจ้าผีเปรตตนนั้นจึงหนีขึ้นไปบนเขา แล้วส่งเสียงร้องบอกท่านว่า “เรายอมแพ้ท่านแล้ว !”
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๐

    เข้ากราบเรียนถามหลวงปู่มั่น

    ถึง ตอนเช้า หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ก็เดินไปหาหมู่คณะที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งมีหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่เป็นประธานอยู่ ณ ที่นั้นด้วย

    พอ หลวงปู่ตื้อ เข้าไปถึง หลวงปู่มั่นก็กล่าวทักว่า “ท่านตื้อ เมื่อคืนนี้คุณทำอะไรอยู่?”

    หลวงปู่ตื้อกราบเรียนว่า “กระผมรบกับผีขอรับ...กระผมทำอย่างไร เจ้าผีตนนั้นก็ไม่หนี จนได้อรุณ สว่างขึ้นเจ้าผีตนนั้นจึงขึ้นเขาไป”

    หลวงปู่มั่นพูดขึ้นว่า “ดีแล้วท่านตื้อ ผีมันปลุกเราให้ภาวนา”

    จากนั้นหลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ และพระเณรทุกองค์ก็แยกย้ายออกเที่ยวบิณฑบาตตามสมณกิจ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ต่างองค์ต่างก็แยกย้ายไปบำเพ็ญเพียรยังสถานที่ของตน

    หลวงปู่ตื้อได้ เล่าให้ลูกศิษย์ฟังในภายหลังว่า “ผีตนนั้นเป็นผีเจ้าที่ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เราชนะมันได้จึงไปรอด แต่ถ้าเราเอาชนะมันไม่ได้ ก็คงจะลำบาก ต่อจากนั้นเจ้าผีก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย หากแพ้มันแล้ว มันคงจะมารบกวนทุกคืน

    ในเหตุการณ์เช่นนั้น ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้นเป็นที่สุด จะท้อถอยไม่ได้เลย หายใจเข้าออกก็ต้องมีพุทโธเป็นประจำ ขาดไม่ได้ คำว่าพุทโธนี้เอง ผีกลัวเกรงมากที่สุด”
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๑

    อาจารย์เสือที่บ้านภูดิน

    ใน สมัยที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่องธุดงค์อยู่ทางฝั่งประเทศลาว มีช่วงหนึ่งได้พักปักกลดอยู่ที่บ้านภูดิน เพียงคืนแรกที่หลวงปู่ไปถึง ได้ยินเสียงเสือใหญ่ลายพาดกลอนมาร้องอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่ท่านปักกลด และทราบจากชาวบ้านว่า เสือตัวนั้นเพิ่งฆ่าคนตายมาไม่นาน จัดเป็นเสือที่ดุร้ายที่ชาวบ้านหวาดกลัว

    ในคืนนั้น ทั้งชาวบ้าน รวมทั้งวัว ควาย ต่างพากันตระหนกกลัว ต่างเฝ้าคอยระวังตลอดคืน ไม่กล้าหลับนอน

    ชาวบ้านได้มาบอกให้หลวงปู่ระมัดระวังตัว เพราะกลัวเสือจะมาทำร้ายท่าน ด้วยท่านปักกลดอยู่องค์เดียว ห่างไกลหมู่บ้านคน

    หลวงปู่ไม่ได้แสดงอาการวิตกกังวลให้เห็น ท่านพูดกับโยมว่า “อาจารย์เสือมาช่วยสอนกรรมฐานให้หรือ?”

    หลวงปู่ ท่านบอกว่า ท่านเองก็ไม่ประมาท คอยระมัดระวังเช่นกัน แต่จะไปแสดงอาการกลัวหรือกังวลมากก็ไม่ได้ ท่านต้องหนักแน่นเพราะต้องเป็นที่พึ่งทางใจให้ชาวบ้านได้

    เสียงเสือ ร้องรอบๆ บริเวณที่ท่านปักกลดตั้งแต่หัวค่ำ หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนาอยู่ภายในตลอด ไม่ได้นึกหวั่นไหวเลย พอตกดึกเสียงเสือก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิตท่านสงบแนบแน่นอยู่ในสมาธิไปจนถึงเวลาไก่ขันต้น ก็คงประมาณตี ๓ หรือ ตี ๔ เกือบจะแจ้งแล้ว
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๒

    วิญญาณพระอาจารย์คำบ้อมาหา

    ใน คืนนั้น หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนาอยู่ในกลดไปจนได้ยินเสียงไก่ขันครั้งแรก ประมาณตี ๓-๔ น่าจะได้ ได้มีวิญญาณของพระเข้าหาหลวงปู่ ในสมาธิบอกว่าชื่อ พระอาจารย์คำบ้อ มาบอกท่านว่า

    “ท่านหลวงทหาร และหลวงชา เอาของมาฝากไว้ที่ใต้ต้นค้อเมื่อครั้งสมัยเมืองเวียงจันทน์แตก ท่านพระอาจารย์จะเอาไปก็ได้ แต่ก่อนจะเอาไป ให้สวดมงคลสูตรเสียก่อน และไม่ต้องมีเครื่องบูชาอะไรหรอก...”

    วิญญาณพระอาจารย์คำบ้อ ได้บอกสถานที่ซ่อนทรัพย์ให้และแนะนำว่า

    “เมื่อท่านเดินไปจากที่นี้ ถึงต้นค้อแล้ว ให้ยกเอาหินที่วางซ้อนกัน ๓ ก้อนออก แล้วขุดลึกลงไปประมาณ ๓ ศอก เท่านั้นก็จะเจอ ในนั้นมีพระเงินและพระทองคำหลายองค์ เพราะในขณะนั้นท่านหลวงทหาร และหลวงชา ได้นำมาฝากไว้ แล้วไม่รู้ว่าท่านทั้งสองหายไปไหน และเจ้าปู่เอง (พระอาจารย์คำบ้อ) ก็จะไปที่อื่นแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีคนเฝ้ารักษาแล้ว”

    หลวงปู่ตื้อ ท่านรับทราบเฉยๆ ไม่ได้โต้ตอบแต่อย่างใด สักครู่หนึ่งวิญญาณของพระอาจารย์คำบ้อก็หายไป
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๓

    วิญญาณชาวเผ่ากุยก่อมองกะเร

    อีก ครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม บำเพ็ญเพียรอยู่ที่บ้านภูดิน ในคืนหนึ่งได้ปรากฏนิมิตเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่และตัวดำมาก ท่านว่า ดำยิ่งกว่าถ่านไฟเสียอีก ได้มาปรากฏอยู่ข้างหน้าท่าน แล้วก็พูดว่าอย่างไรก็ฟังไม่ชัด

    หลวงปู่ได้ถามกลับไปว่า “เจ้าเป็นชาติอะไร?”

    เขาตอบสั้นๆ ว่า “เป็นเผ่ากุยก่อมองกะเร”

    หลวง ปู่ไม่เข้าใจ จึงถามไปอีกว่า “เป็นเทวดาหรือ?” เขาก็ตอกย้ำคำเดิม ฟังไม่ได้ความว่าเป็นชาติอะไรกันแน่ พูดจากันไม่รู้เรื่อง หลวงปู่จึงบอกให้นั่งลงและกราบพระ

    ผีตนนั้นได้แต่ยิ้ม ไม่ยอมไหว้พระ

    หลวง ปู่จึงพูดว่า “ถ้าไม่ไหว้พระก็จงหนีไปเถิด”

    เขาทำท่าจะนั่งลง แต่ไม่นั่ง แสดงอาการย่อตัวเล็กน้อย แล้วก็หลีกหนีไป
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๔

    เจ้าปู่ทีฆาวุโสมาบอกลา

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้ทำความเพียรอยู่ที่บ้านภูดินต่อไปเรื่อยๆ

    คืน หนึ่งมีเทพองค์หนึ่ง นามว่า ฑีฆาวุโส ได้ประกาศตนว่าชาติก่อนเป็นเจ้านครเวียงจันทน์ ได้เข้ามาหาท่าน

    ท่าน ฑีฆาวุโสได้พูดกับหลวงปู่ตื้อว่า “เจ้าหัวลูก มาจากไหน? เจ้าปู่ได้เฝ้าดูเห็นว่าท่านเคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมมาก น่าเลื่อมใส

    สมัย นครเวียงจันทน์ครั้งก่อนนั้น ชาวเมืองได้ตั้งใจบำเพ็ญกุศลกันดีมาก เจ้าเมืองก็ใส่บาตรทุกวันด้วย

    เจ้าปู่เห็นท่านไปบิณฑบาตแล้ว ไม่ค่อยจะมีคนใส่บาตรเลย นับว่าท่านมีความอดทน น่ายกย่องสรรเสริญท่านมาก ที่ไม่ท้อถอยในการบำเพ็ญเพียร ไม่เห็นแก่ได้

    บางวัน เจ้าหัวลูกไม่ได้ฉันอาหารบิณฑบาตเลย น่านับถือในความอดทนและความตั้งใจของท่านจริงๆ...”

    ต่อจากนั้น ท่านเจ้าปู่ฑีฆาวุโส ก็กล่าวอำลาว่า “วันนี้เป็นวันที่เจ้าปู่จะไปจากที่นี้แล้ว”

    กล่าวเพียงเท่านั้น เจ้าปู่เทพองค์นั้นก็หายวับไปทันที
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๕

    เจอเจ้าที่ลองดี

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาพำนักที่พระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี เป็นครั้งที่สอง ในขณะที่หลวงปู่กำลังเดินจงกรม เกิดมีก้อนหินตกลงมาจากที่สูงหลายสิบก้อน แต่ตกห่างจากที่เดินจงกรม หลวงปู่ไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงเดินต่อไป

    ไม่นานก็มีก้อนหินตกมาอีก คล้ายกับถูกปาลงมา คราวนี้ใกล้กับทางเดินจงกรมมากกว่าเดิม หลวงปู่จึงพูดขึ้นดังๆ ว่า “ใครเก่งก็ให้ออกมาต่อสู้กันเลย”

    คราวนี้ ได้ยินเสียงก้อนหินตกรอบตัวหลายสิบก้อน หลวงปู่จึงได้หยุดการเดินจงกรม แล้วเข้ามุ้งกลดนั่งสมาธิภาวนาต่อไป เสียงก้อนหินก็ยังตกลงมาเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนขว้างเข้ามา

    ในคืนนั้น มีญาติโยมชาวบ้านมารักษาศีลอุโบสถด้วยกัน ๕ คน หลวงปู่ได้บอกให้พระอีกองค์หนึ่งที่ไปด้วยกันมาภาวนาอยู่ใกล้ๆ โยม

    เสียง ก้อนหินก็ยังตกมารอบๆ บริเวณนั้น ตกมาเป็นระยะๆ มองออกไปรอบบริเวณก็เห็นเป็นก้อนหินจริงๆ ถ้าโดนศีรษะใครก็จะต้องแตกอย่างแน่นอน

    สักพักใหญ่ๆ ก็มีเสียงดังคล้ายกับมีคนออกแรงผลักก้อนหินขนาดใหญ่กลิ้งลงมาจากยอดเขา เสียงนั้นอยู่ห่างจากที่ๆ พระกับโยมพักพอสมควร

    หลวงปู่ได้กำหนดจิตดู เห็นมีชายร่างใหญ่ผลักก้อนหินลงมาจากยอดเขาจริงๆ จะด้วยจุดประสงค์อันใดนั้นท่านไม่สามารถกำหนดรู้ได้

    ในมุ้งกลดของพระ อาจารย์ที่อยู่เป็นเพื่อนโยม ได้จุดเทียนขึ้นสว่างไสว ท่านเฝ้าคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดทั้งคืน ทั้งหลวงปู่ และญาติโยมต่างไม่ได้หลับนอนกันเลย

    หลวงปู่ท่านบอกภายหลังว่า “พอนึกถึงคำพูดของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นที่ว่า ผีมันปลุกให้ภาวนา แล้วก็มีกำลังแข็งแรงทั้งกายและจิตทุกครั้งไป”

    พอสว่างหลวงปู่ก็ เตรียมตัวออกไปบิณฑบาต วันนั้นได้ไปเที่ยวบิณฑบาตที่บ้านติ้ว อำเภอบ้านผือ พอฉันอาหารเสร็จ พระอาจารย์ที่เป็นเพื่อนอยู่ในคืนนั้นก็เก็บบริขาร เตรียมตัวจะย้ายไปอยู่ที่อื่น

    หลวงปู่ถามพระองค์นั้นว่า “ท่านจะไปที่ไหน?” พระอาจารย์องค์นั้นตอบว่า “ผมอยู่ไม่ได้หรอก เพราะตลอดคืนมีแต่ก้อนหินตกลงมา จะภาวนาก็ไม่สะดวก”

    หลวงปู่ตื้อจึง แก้ว่า “เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องเวสสันดรชาดก เมื่อพระองค์กล่าวคาถาขึ้นเท่านั้น ก็มีฝนเงินฝนทองตกลงมาเป็นพุทธบูชา

    และ เมื่อมีการแสดงธรรมเวสสันดรทุกวันนี้ พระท่านกล่าวคาถาพันเท่านั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็โปรยข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องบูชาเช่นกัน

    ก็ เมื่อคืนนี้ ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าภาวนาพุทโธ เทวดาเขาก็อนุโมทนาโปรยดอกไม้ทิพย์เป็นเครื่องสักการบูชา”

    ท่านพระ อาจารย์องค์นั้นกล่าวสวนว่า “ดอกไม้ทิพย์อะไรกัน เห็นมีแต่ก้อนหินเท่านั้น ก็เรื่องข้าวตอกดอกไม้นั้น เป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาและรู้สาเหตุที่มาด้วย แต่นี่ไม่เห็นอะไรเลย”

    ทุกคนที่อยู่ที่นั้นต่างพากันหัวเราะขบขัน แล้วต่างแยกย้ายไปสู่ที่พักบำเพ็ญเพียรของตน แล้วพระอาจารย์องค์นั้นก็กราบลาย้ายไปที่อื่น

    หลวงปู่ตื้อ ยังคงพักอยู่ที่เดิม ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน “เพราะเพิ่งมาถึงคืนแรกเท่านั้น ก็จะท้อถอยกลัวมันแล้ว เจ้าผีจะหัวเราะเยาะเอาว่าเรากลัวมัน

    และเมื่อคืนนี้เราก็ไม่ได้เจ็บ กายอะไรจากการกระทำของมันเลย เพียงแต่มันรบกวนให้เราได้รับความรำคาญเท่านั้นเอง

    ถ้าหากเราไปอยู่ ที่อื่นแล้ว เจอเจ้าที่ที่อื่นอีกก็ต้องถูกลองดีกันเรื่อยไป เราต้องทำความเข้าใจกันเป็นที่ๆ ไป”

    หลวงปู่ตื้อก็พักบำเพ็ญภาวนา อยู่ ณ ที่นั้นต่อไป
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๖

    เจ้าที่ยังลองดีต่อไป

    ใน คืนต่อมาแค่เวลาเพียง ๓-๔ ทุ่ม เท่านั้นเอง หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม กำลังนั่งภาวนาอยู่ภายในกลดธุดงค์ ก็ได้ยินคล้ายเสียงฝีเท้าม้า เดินไปเดินมารอบๆ บริเวณที่ท่านนั่งอยู่ เสียงม้าเดินดังอยู่ที่ก้อนหินเป็นจังหวะ เสียงฝีเท้าม้าหนักเข้า เดินเข้ามาหามุ้งกลดของท่าน เสียงใกล้จนชิดมุ้ง

    หลวงปู่เลิกมุ้งกลด ขึ้นดู ก็เห็นม้าสีขาวมีขนาดใหญ่เดินเสียงห่างออกไป ท่านเอามุ้งกลดลงแล้วนั่งภาวนาต่อไป

    เสียงม้ายังดังรบกวนแบบเดิมอยู่ อีก หลวงปู่จึงออกจากมุ้ง แล้วมาเดินจงกรมแทน

    อีกไม่นานก็ได้ยิน เสียงม้าเดินอีก แต่อยู่ห่างออกไป เสียงเดินยังดังอยู่รอบๆ ห่างๆ มันคงไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน

    หลวงปู่คงเดินจงกรมเป็นปกติ ไม่นานนักเสียงฝีเท้าม้านั้นก็เงียบหายไป

    หลังจากนั้นอีกสักครู่ ปรากฏว่า ที่ทางเดินจงกรมของท่าน มีงูเลื้อยยั้วเยี้ยอยู่หลายสิบตัว จนหลวงปู่เดินจงกรมไม่ได้ พิจารณาดูงูเหล่านั้นล้วนมีสีดำสนิท ถ้าหากท่านเดินไป จะต้องเหยียบพวกมันอย่างแน่นอน

    หลวงปู่จึงหยุดเดิน และยืนดูเฉยๆ บนทางจงกรมนั้น หลับตาเพ่งดูพวกงูเหล่านั้นว่าจะพบอะไรบ้าง

    หลวง ปู่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นค่อนข้างนาน ปรากฏว่ามีงูมามากขึ้นกว่าเดิม แต่พวกมันไม่ได้เลื้อยมาใกล้ท่านเลย อยู่ห่างท่านในช่วง ๑ วาเศษเท่านั้น

    หลวง ปู่ตั้งใจว่า จะต้องยืนอยู่ที่นั้นจนกว่าบรรดางูจะหนีไปหมด ท่านไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกมันว่าจะมีมากหรือน้อยเพียงใด ยืนกำหนดจิตภาวนาอยู่อย่างนั้น

    ปรากฏว่ามีบุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น มาบอกหลวงปู่ว่า ขอให้ท่านเดินจงกรมต่อไปเถิด กระผมจะจับงูเหล่านี้ไปให้หมด จะเอาไปให้เป็นอาหารพญาครุฑ

    บุรุษนั้นเก็บเอางูทั้งหมดใส่ลงในถุงใบ ใหญ่ได้เกือบเต็มถุงแล้วก็เดินหายไป

    หลวงปู่มองดูที่เดินจงกรม ก็ไม่มีงูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว ท่านจึงออกเดินจงกรมต่อไป ตั้งใจว่าคืนนี้จะไม่นั่งและไม่นอน จะเดินและยืนภาวนาอยู่ในที่เดินจงกรมนี้จนสว่าง
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๗

    เจ้าที่ยังไม่ยอมลดละ

    หลัง จากบรรดางูทั้งหลายหมดไปจากทางเดินจงกรมแล้ว หลวงปู่ก็เริ่มเดินจงกรมต่อไป เดินไปได้สักครู่ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันประมาณว่ามี ๔-๕ คน หลวงปู่ไม่ได้สนใจว่าเขาพูดอะไรกัน เพียงแต่สักว่าได้ยินเท่านั้น ท่านยังคงเดินจงกรมต่อไป

    สักครู่เดียวก็เห็นคนเดินถือคบไฟลงมาจาก ก้อนหินใหญ่ด้านหน้าแล้วก็เลี้ยวขึ้นไปทางหลังเขา มีคนเดินตามหลังไปจำนวนหนึ่ง ท่านคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มคนที่คุยกันเมื่อสักครู่นี้เอง คนเหล่านั้นเดินหายไป

    หลวงปู่เดินจงกรมต่อไปจนได้อรุณวันใหม่ จึงเตรียมตัวเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน แล้วกลับมาฉันที่โรงฉันตามปกติรวมกับพระองค์อื่นๆ

    ชาวบ้านได้เล่าให้ พระอาจารย์ที่เป็นประธาน ณ ที่นั้นฟังว่า

    “เมื่อคืนนี้ วิญญาณเจ้าปู่ได้เข้าลงชาวบ้าน พูดชัดถ้อยชัดคำว่ามีเจ้าหัวธรรมมารบกวนที่อยู่ ลูกหลานทั้งหลายเดือดร้อนมาก ไม่ได้หลับนอนตลอดทั้งคืน ต้องการให้เจ้าหัวธรรมหนีไปเสียจากที่นี่

    ถ้าไม่หนีจะทำให้มีฝนและมี ฟ้าผ่าลงมาให้ได้รับความเดือดร้อนกันทุกคน วิญญาณเจ้าปู่บอกอีกว่า เจ้าหัวธรรมชุดนี้ เราพยายามขับไล่อย่างไรก็ไม่หนี ถ้าเขาไม่หนีก็จะต้องทำฝนให้ตกจนอยู่ไม่ได้”

    พระอาจารย์ผู้เป็นหัว หน้าพูดขึ้นว่า “ถ้าฝนตกและมีฟ้าผ่าลงมาจริง อาตมาจะยอมกินขวานเจ้าปู่เลย”

    แล้ว ท่านก็พูดต่อไปว่า “ผีมันโกหกเฉยๆ พูดไม่จริงหรอก ไม่มีอะไรจะจริงเหมือนพระพุทธเจ้าเลยในโลกนี้”

    เมื่อพระอาจารย์พูด หนักแน่นเช่นนี้ ชาวบ้านก็นิมนต์ให้พระสงฆ์พำนักอยู่ที่นั่นต่อไปอีก เพื่อพิสูจน์ความจริง พระสงฆ์เหล่านั้นได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้นอีกหลายราตรี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามคำขู่ของวิญญาณเจ้าปู่ ชาวบ้านเหล่านั้นจึงหันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก เลิกการนับถือผี แล้วพากันสร้างเสนาสนะให้เป็นที่พักสงฆ์เป็นการถาวรต่อไป
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๘

    หลวงปู่พูดถึงการเชื่อถือเรื่องวิญญาณ

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเผชิญภูตผีวิญญาณที่ผ่านมาว่า

    “...หาก วิญญาณเหล่านั้นได้รู้ความเป็นจริงแล้วก็จะไม่หลงวนเวียนอย่างนั้น กิเลส ทิฏฐิ มานะ นี่ร้ายกาจมาก มันสามารถดึงเอาคนตกเป็นทาสของมันให้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารได้อย่างง่ายดาย มาก ในโลกนี้ คนที่ตกเป็นทาสของมันมีมาก เพราะขาดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง การนับถือผีสางอันเป็นจำพวกวิญญาณที่หลงทางเดิน เมื่อตายแล้วนั้น เป็นการเชื่อแบบขอความอ้อนวอน จึงเป็นการเชื่อที่ไม่แน่นอน

    พระ พุทธองค์จึงทรงแนะนำไม่ให้พุทธศาสนิกชนหลงเชื่อในเรื่องเช่นนี้ พระองค์สอนให้เชื่อเรื่องกรรม คือ เชื่อการกระทำของตนเองดีกว่า”

    ลูก ศิษย์ลูกหาผู้ใกล้ชิดต่างยืนยันว่า หลวงปู่ตื้อท่านก็สอนศิษย์และประชาชนทั่วไปในทำนองนี้มาโดยตลอด

    พระ บูรฉัตร พรหฺมจาโร ศิษย์ผู้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ ได้บันทึกไว้ว่า

    “ตอน หนึ่งท่านหลวงตา (หลวงปู่ตื้อ) ได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องของวิญญาณต่างๆ ในโลกนี้มีหลายจำพวกเหลือเกิน บางพวกเป็นวิญญาณที่มีความเป็นอยู่ดีมาก มีศีลธรรม แต่พวกเราชอบเรียกรวมไปหมดว่า ผี

    ความจริงแล้ว ผีหรือวิญญาณต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมเลย เพราะในโลกนี้มีทั้งน่ารัก น่าชัง ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ ครบถ้วนอยู่แล้ว เหตุการณ์ทั้ง ๔ อย่างนี้ มีครบอยู่ในโลก และมีพร้อมๆ กันเลย มันก็น่าแปลก คนเราเวลาตาย เกิดอารมณ์ร้องไห้ ทำให้เศร้าใจ แต่เวลาเกิด กลับหัวเราะชอบใจ ทำให้ดีใจ

    คนที่หัวเราะก็หลง คนที่ร้องไห้ก็หลง หลงในฐานะที่ไม่รู้อะไรเป็นเหตุเป็นผล ความจริงแล้วตายหรือเกิดก็อันเดียวกันนั่นเอง เป็นแต่ว่าเขาเปลี่ยนกันทำหน้าที่เท่านั้นเอง”
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๙

    เรื่องชาวลับแลที่เมืองหลวงพระบาง

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้เล่าเรื่องราวที่ท่านพบเห็นเมื่อครั้งไปธุดงค์ที่ฝั่งประเทศลาวให้ลูก ศิษย์ฟัง ดังนี้

    ในช่วงที่ท่านไปพักจำพรรษาอยู่ที่ วัดวิชนุธาตุแตงโม เมืองหลวงพระบาง ท่านบอกว่า นอกกำแพงวัดออกไปไม่เกิน ๑๐ วา ตรงนั้นมีเรื่องแปลกๆ เสมอ

    พวก ชาวบ้านชอบกราบเรียนถามหลวงปู่เสมอๆ ว่า “ท่านสาธุภาวนาอยู่ที่วัดนี้เป็นอย่างไร?”

    หลวงปู่ไม่ได้สนใจกับคำ ถามดังกล่าว เมื่อถูกโยมถามบ่อยๆ ท่านจึงย้อนถามกลับไปว่า “ที่ตรงนั้นมีอะไรหรือ”

    ชาวบ้านบอกท่านว่า มีผีเจ้าที่อยู่ตรงนั้น แต่เดี๋ยวนี้จะยังอยู่หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้

    หลวงปู่ตื้อ ได้เรียนถาม ท่านพระครูสาธุสิงห์ ซึ่งเป็นสมภารวัดนั้นมานาน เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมา

    ท่านพระครู สาธุสิงห์ เล่าว่า “ข้าเจ้ามาเป็นสมภารอยู่วัดนี้นับได้ ๓๐ ปีแล้ว ทราบว่าผีพวกนี้เป็นวิญญาณเฝ้ารักษาเมือง โดยมากเป็นทหารเฝ้ารักษาประตูวังธาตุแตงโม วิญญาณพวกนี้ไม่ยอมไหว้พระเลย เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ของชาวเมืองหลวงพระบาง

    ชาวบ้าน เล่าให้ฟังว่า ตรงที่ป่าโน้นไม่มีบ้านคนเลย มีธารน้ำไหลลงมาจากภูเขาไม่ขาดสาย ทั้งฤดูแล้งและฤดูฝน

    พอค่ำลงจะได้ ยินเสียงคนพูดกัน มีทั้งชายและหญิงหลายๆ สิบเสียง ได้ยินเสียงตักน้ำ ได้ยินเสียงบั้งทิง (กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ) กระทบกัน ชาวบ้านพยายามแอบดูหลายๆ ครั้ง ก็ไม่เห็นอะไรผิดสังเกตเลย แต่ได้ยินเสียง

    ตอนกลางวันเงียบ สงัด ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

    ห่างจากที่ตรงนั้นออกไป มีเขาลูกหนึ่ง ชาวบ้านเล่าว่าเคยเห็นคนรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในถ้ำในภูเขาลูกนั้น ๗ วันจะปรากฏตัวให้เห็นที่หนึ่ง

    มีสมภารวัดหลายองค์พยายามเข้าไปในถ้ำ นั้น แต่ไปไม่ได้โดยตลอด เพราะข้างในมืดและอากาศเย็นมาก เมื่อเดินลึกเข้าไปจะรู้สึกแสบหูมาก พยายามเข้าไปอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

    หลัง จากนี้มาได้ ๗-๘ ปี ได้มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเดินธุดงค์มาจากเมืองไทย เคร่งครัดต่อระเบียบวินัยของพระกรรมฐานมาก ท่านเป็นที่เคารพนับถือ และเลื่อมใสของชาวเมืองหลวงพระบางมาก

    พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นพยายาม เข้าไปในถ้ำ และสามารถเข้าไปได้โดยตลอด เดินเข้าไปนานถึง ๗ วันถึงออกมา

    มี เรื่องเล่าว่า ท่านเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ไม่ปรากฏว่าเห็นมีอะไรผิดปกติ เดินเข้าไปจนถึงที่สุด พอมองขึ้นไปข้างบน เห็นเป็นทางขึ้นไป มีรอยขึ้นลงใหม่ๆ บนก้อนหิน ท่านขึ้นไปตามทางนั้นก็ไม่พบอะไร ฆ้องใหญ่ที่ชาวบ้านได้ยินทุก ๗ วันก็ไม่มี

    พระภิกษุจึงเดินกลับออกมา ตามทางเดิม แต่ท่านต้องแปลกใจมากที่ตอนขากลับออกมาพบว่า ทางที่ท่านเดินเข้าไปนั้นกลับมีบ้านคนเต็มไปหมด มีชายคนหนึ่งมานิมนต์ให้ท่านนั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้

    พระองค์นั้นแน่ ใจว่าท่านไม่ได้เดินหลงทางเป็นแน่ เมื่อพิจารณาดูโดยละเอียดแล้ว ท่านจึงถามโยมว่า “พวกโยมมาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ?”

    ชายผู้นั้นตอบ รับด้วยการพยักหน้า พระจึงถามต่อไปว่า “เมื่ออาตมาเข้ามาก็เดินผ่านมาทางนี้ ทำไม่จึงไม่เห็นบ้านเมือง?”

    ชายผู้นั้นไม่ตอบ กลับย้อนถามพระว่า “ท่านมาที่นี่ต้องการอะไร?”

    พระตอบว่า “ไม่ต้องการอะไร แต่อยากจะเห็นฆ้องที่โยมตีอยู่ทุกเจ็ดวัน เพราะฆ้องใบนี้เสียงดังไกลเหลือเกิน”

    โยมคนนั้นจึงเดินไปหยิบฆ้องมา ให้ดู ใบก็ไม่ใหญ่เท่าไรพร้อมทั้งถวายให้พระอาจารย์ผู้นั้นเก็บไว้เป็นอนุสรณ์

    จาก นั้นโยมก็พาท่านเดินชมไปตามถ้ำ พบสิ่งแปลกตาหลายอย่าง โยมคนนั้นบอกท่านว่า “สมบัติเหล่านี้เป็นของกลาง และจะมีอยู่อย่างนี้ตลอดไปชั่วกาลนาน”

    พระ ภิกษุนั้นได้อำลาโยมคนนั้น ได้นำฆ้องใบนั้นกลับออกมาด้วย ได้เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ที่คนในถ้ำมอบให้ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าเคยมีผู้เข้าไปในถ้ำและได้ฆ้องใบนั้นมา

    เดี๋ยว นี้ฆ้องใบนั้นยังเก็บไว้ที่ วัดวิชนุธาตุ แตงโม ในเมืองหลวงพระบาง จนทุกวันนี้

    ฆ้องใบที่ว่านั้นก็ไม่ ใหญ่เท่าไร แต่มีเสียงดังกังวานกว่าฆ้องธรรมดาทั่วไปที่ขนาดใหญ่เท่ากันหรือใหญ่กว่า หรือที่มีน้ำหนักเท่าๆ กัน

    มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า พระภิกษุนั้นหลังที่ได้ฆ้องมาแล้วท่านก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าท่านหายไปไหน มีความเชื่อกันว่าท่านหายเข้าไปอยู่จำพรรษาในเมืองลับแลแห่งนั้น
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม


    ๕๐

    หัวหน้าเทพเมืองลับแลมานิมนต์หลวงปู่

    เกี่ยวกับ เรื่องเมืองลับแลที่เมืองหลวงพระบางนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านให้ความเห็นว่า

    “วิญญาณพวกนี้เป็นพวกเทพที่มีอยู่เป็นทิพย์ พวกเขาจะไม่รบกวนมนุษย์เลย เขามีศีลธรรมดีมาก บางครั้งก็พบกันกับพวกเขา แต่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเท่านั้น”

    หลวงปู่เล่าว่า ตกเย็นท่านได้นั่งสมาธิกำหนดดู ปรากฏว่าผู้เป็นหัวหน้าเทพเหล่านั้น ได้มากราบอาราธนาท่านให้ไปจำพรรษาอยู่ที่นั่น โดยกราบเรียนว่าที่ที่พวกเขาอยู่นั้นก็มีวัดพระพุทธศาสนาด้วย

    หลวง ปู่ไม่รับคำนิมนต์ โดยบอกเขาว่าท่านมีกิจธุระที่จะต้องประกาศพระพุทธศาสนาต่อไปยังเมือง เชียงใหม่ รับนิมนต์ไม่ได้เพราะขณะนี้ยังไม่อาจกำหนดที่อยู่ประจำได้ ยังต้องการแสวงหาพระธรรมต่อไปอยู่ แล้วหลวงปู่ได้แสดงธรรมให้เขาฟัง

    มี ผู้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า “ท่านหลวงตาแสดงธรรมอะไรโปรดพวกเทพเหล่านั้น”

    หลวง ปู่ตอบว่า “พวกเทพเหล่านี้เขามีกายทิพย์ จึงไม่ค่อยเห็นความทุกข์ทางกาย จึงไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลวงตาก็พูดให้เขาฟังในแง่นี้ ให้เขามีความคิดว่าสภาพที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ไม่แน่นอน ถึงจะมีอายุยืนเท่าไรก็ตกอยู่ในสภาพที่ว่านี้เสมอไป”
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๑

    หลวงปู่หยุดธุดงค์และสร้างวัด

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม ใช้เวลาท่องธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ เป็นเวลายาวนาน ถ้ารวมเวลาทั้งหมดทั้งที่ท่านตระเวนในภาคอิสานและฝั่งลาว ออกธุดงค์ในภาคเหนือ ติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตลอด ๑๒ ปี และออกธุดงค์ในภาคเหนือ ภายหลังที่หลวงปู่มั่นกลับภาคอิสานแล้ว รวมเวลาที่ท่านท่องธุดงค์ทั้งหมดก็ยาวนานกว่า ๕๐ ปี นับเป็นเวลาที่ยาวนานมาก ประสบการณ์และเรื่องราวการเดินธุดงค์ของท่านมากมายเกินกว่าลูกศิษย์ลูกหาจะ สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด ที่นำมาถ่ายทอดต่อกันมาเป็นเพียงบางแง่บางมุมเท่านั้นเอง

    พระลูก ศิษย์ใกล้ชิดที่อุปัฏฐากหลวงปู่ ก็ยอมรับว่าการที่จะบันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ ให้หมดทุกแง่มุมเป็นเรื่องเหลือวิสัย แม้แต่จะกราบเรียนถามท่านเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่กล้า ต้องคอยจดจำเมื่อเวลาท่านยกมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่างๆ เท่านั้น

    เมื่อ หลวงปู่หยุดการเดินธุดงค์ ท่านได้สร้างวัดที่เชียงใหม่หลายแห่งด้วยกัน แต่วัดที่ท่านจำพรรษาอยู่นานที่สุดได้แก่ วัด ป่าสามัคคีธรรม อำเภอแม่แตง (ปัจจุบันชื่อ วัดป่าอาจารย์ตื้อ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่าน)

    หลวงปู่ปรารภให้ฟังว่า การสร้างวัดป่าสามัคคีธรรมแห่งนี้ “เพื่อจะได้อยู่เป็นที่เป็นทาง เพราะชราภาพมากแล้ว”

    หลวงปู่ใช้วัดป่าสามัคคีธรรมแห่งนี้เป็นสถานที่ ในการประกาศพระศาสนา ด้วยการแสดงธรรมแก่ผู้ที่สนใจใคร่ธรรม ส่วนผู้ที่สนใจในด้านวิปัสสนากรรมฐาน หลวงปู่ก็ให้การอบรมสั่งสอนอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จึงมีผู้สนใจใคร่ฟังธรรมและสนใจภาคปฏิบัติหลั่งไหลไปหาท่านไม่ขาดสาย

    [​IMG]
    พระวิหารหลวง วัดป่าดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๒

    วัดป่าดาราภิรมย์

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม พักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าดาราภิรมย์ติดต่อกันนานถึง ๙ ปี ก่อนที่จะย้ายไปจำพรรษาที่วัดป่าอาจารย์ตื้อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

    วัดป่าดาราภิรมย์ ในปัจจุบันตั้งอยู่ในตัวอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ห่างจากถนนสายแม่ริม-น้ำตกแม่สา ไปทางทิศใต้ประมาณ ๒๕๐ เมตร มีเนื้อที่ ๒๖ ไร่ ๑ งาน ๓ ตารางวา

    แต่เดิมสถานที่ตั้งวัดที่อยู่ในเขตบ้านข่วง เปา ตำบลริมใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นสนามยิงปืนของตำรวจตระเวนชายแดน และโรงเรียนแม่ริมวิทยาคม

    วัดตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ มีชื่อในครั้งนั้นว่า วัด ป่าวิเวกจิตตาราม

    เนื่องจากสถานที่ตั้งวัดแต่เดิมไม่สะดวกใน การคมนาคม ห่างไกลหมู่บ้าน และกันดารน้ำ ประกอบกับระยะนั้นไม่มีพระพักอยู่ คณะศรัทธาผู้สร้างวัด ซึ่งนำโดยนายแก้ว รัตนนิคม และนายศรีนวล ปัณฑานนท์ จึงย้ายวัดมาตั้งแห่งใหม่ที่ป่าช้าต้นกอก อันเป็นป่าช้าร้าง เขตบ้านแพะติดกับตำหนักดาราภิรมย์ สวนเจ้าสบาย ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๘๒ มีเนื้อที่ ๖ ไร่ และยังคงใช้ชื่อวัดว่า วัดป่าวิเวกจิตตาราม เหมือนเดิม

    ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๔ ทายาทในกองมรดกของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี อันมีเจ้าหญิงลดาคำ ณ เชียงใหม่ เป็นหัวหน้า ได้ถวายที่ดินให้แก่วัดอีก ๖ ไร่ เพื่อเป็นพระราชกุศลอุทิศถวายแด่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี และเพื่อเป็นพระราชอนุสรณ์ จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดป่าดาราภิรมย์ ตามนามตำหนักดาราภิรมย์ สวนเจ้าสบาย

    ถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คณะศรัทธาอันมี ตะก่า จองจิงนะ เป็นหัวหน้า ได้ถวายที่ดินให้วัดเพิ่มอีกประมาณ ๑๒ ไร่ ในสมัยที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นหัวหน้าสำนัก

    ต่อมา เมื่อหลวงปู่ตื้อย้ายไปอยู่วัดป่าสามัคคีธรรม (วัดป่าอาจารย์ตื้อ ในปัจจุบัน) ที่แม่แตง แล้ว คณะศิษย์จึงได้อาราธนา พระอาจารย์กาวงศ์ โอทาวณฺโณ จากวัดเจดีย์หลวง ในเมืองเชียงใหม่ มาเป็นเจ้าสำนัก เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ ภายหลังท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสังฆรักษ์ - กาวงศ์

    พระครูสังฆ รักษ์ - กาวงศ์ ได้สร้างความเจริญให้แก่วัดเป็นอย่างมาก ได้ดำเนินการจดทะเบียนวัดเป็นวัดประเภทสำนักสงฆ์ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ใน พ.ศ.๒๕๐๑

    พ.ศ.๒๕๐๔ พระครูสังฆรักษ์ - กาวงศ์ ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าดาราภิรมย์ นับเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนี้

    ก่อนหน้านี้ได้มีหัวหน้าสำนักมา แล้ว ๔ ท่าน คือ

    ๑. พระอาจารย์อ่อนตา อคฺคธมฺโม ๑ ปี

    ๒. พระอาจารย์พุทธา ๑ ปี

    ๓. พระญาณดิลก (พิมพ์ ธมฺมธโร) ๑ ปี

    ภาย หลังเป็นที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ

    ๔. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ๙ ปี

    พ.ศ.๒๕๐๙ กรมชลประทาน โครงการแม่แตง ได้ขุดคลองส่งน้ำผ่านวัดในส่วนที่เป็นที่ตั้งศาลาโรงธรรม และกุฏิพระ อันเป็นที่ดินที่เคยเป็นป่าช้าต้นกอก และที่ดินที่เจ้าหญิงลดาคำ ณ เชียงใหม่ ถวาย ทางวัดจึงย้ายศาลาโรงธรรมและกุฏิพระมาตั้งในเขตที่ดินที่ ตะก่า จองจิงนะ เป็นผู้ถวาย และยังได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมจากนายหน่อแก้ว สอนไว อีกส่วนหนึ่ง

    [​IMG]
    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี)


    พ.ศ.๒๕๑๐ ทางวัดได้จัดวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม เสด็จมาเป็นองค์ประธาน และเนื่องจากต่อมา พระครูสังฆรักษ์ - กาวงศ์ ได้ล้มป่วยลง จึงยังไม่มีการก่อสร้าง จนกระทั่งท่านมรณภาพในปี ๒๕๑๖

    พระราชวินยาภรณ์ (จันทร์ กุสโล) จากวัดเจดีย์หลวง เจ้าคณะอำเภอจังหวัดเชียงใหม่ (ธรรมยุต) ได้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส โดยมอบหมายให้พระมหาละม้าย สิริวณฺโณ เป็นผู้ดูแลวัดแทน

    เนื่องจากวัดป่าดาราภิรมย์ กำเนิดมาจากพระธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นเจ้าสำนักอยู่นานถึง ๙ ปี จึงพยายามหาพระกรรมฐานศิษย์หลวงปู่ตื้อ มาเป็นเจ้าอาวาส ทางวัดได้ไปขอพระอาจารย์ไท ฐานุตฺตโม ซึ่งเป็นศิษย์และหลานของหลวงปู่ตื้อ ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน มาเป็นเจ้าอาวาส แต่เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) ไม่อนุญาต

    ประกอบ กับทางวัดมีปัญหาเรื่องคนที่มาพักอาศัย ติดยาเสพติด ลักเล็กขโมยน้อย มีคนมาร้องเรียนประจำ พระราชวินยาภรณ์ จึงได้ย้ายองค์ท่านเองจากวัดเจดีย์หลวงมาจำพรรษาที่วัดป่าดาราภิรมย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑ เป็นต้นมา และได้พัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองมาจนปัจจุบัน

    พระราชวินยาภรณ์ ได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองทั้งวัดเจดีย์หลวงและวัดป่าดาราภิรมย์ไปด้วยกัน ต่อมาภายหลังท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ พระเทพกวี พระธรรมดิลก และพระพุทธพจนวราภรณ์ ในปี พ.ศ.๒๕๔๔

    สำหรับเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน คือ พระครูปลัดสุวัฒนคุณ

    นอกจากวัดป่าดาราภิรมย์จะเป็นวัดที่ร่มรื่น สวยงามแล้ว ทางวัดยังมีพระพุทธบาทสี่รอย จำลองให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะด้วย

    ผู้เขียนได้พาคณะมาทอดผ้าป่าที่ วัดป่าดาราภิรมย์ ในวันสำคัญทางศาสนา ไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง นอกจากนี้จะแวะทุกครั้งที่ผ่านเพื่อซื้อสินค้าหัตกรรม งานฝีมือ ผ้าทอ และผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ ที่ศูนย์หัตกรรมเมตตานารี เป็นโครงการหนึ่งของมูลนิธิศึกษาพัฒนาชนบท ตั้งอยู่ในบริเวณวัด
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๓

    การแสดงธรรมของหลวงปู่

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม มีชื่อเสียงในการแสดงธรรมที่เป็นไปอย่างดุเดือด โลดโผน ใช้คำเทศน์ที่รุนแรงชนิดไม่เกรงกลัวใคร ผู้ที่รับไม่ได้ เห็นว่าท่านใช้คำหยาบคาย หรือเทศน์ไม่รู้เรื่องก็มี

    ท่านพระภิกษุบูร ฉัตร พรหมฺจาโร ผู้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ ได้เขียนถึงเรื่องการแสดงธรรมของหลวงปู่ ดังนี้ (ในบันทึกใช้คำแทนท่านว่า หลวงตา ซึ่งผู้เขียนเปลี่ยนมาใช้คำว่าหลวงปู่เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียกขานใน หนังสือเล่มนี้ - ผู้เขียน)

    “ส่วนการแสดงธรรมนั้นท่านชอบพูดตรงไปตรง มา พูดความจริงที่มีอยู่ ยกอุทาหรณ์ในปัจจุบันให้เห็นได้ง่ายๆ ผู้ที่ฟังธรรมจากท่านโดยตรง แล้วนำไปพิจารณา จะเห็นว่า ล้วนแต่เป็นสัจจะหรือความเป็นจริงเท่านั้น

    วิธีการแสดงธรรมของท่าน ต้องการให้ความรู้จริงเข้าไปกระทบจิตของผู้ฟัง ท่านบอกว่าเพราะการรู้จริงแม้จะเพียงนิดเดียวก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ดีกว่าการไม่รู้จริง แม้จะรู้มากๆ ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรได้

    หลวง ปู่ชอบพูดว่า ธัมมะธัมโมนั้นมีอยู่ดาษดื่น คนส่วนมากมองข้ามไปหมด

    หลวง ปู่ท่านแปลบาลีก็ไม่เหมือนพระเถระองค์อื่นๆ การฟังธรรมะจากท่านจึงต้องฟังอย่างละเอียด ต้องพิจารณาและนำไปปฏิบัติตามให้เข้าถึงธรรม จะได้ชื่อว่าเป็นนักธรรม นักกรรมฐานที่แท้จริง ไม่เหลวไหล ไม่เลอะเทอะ

    หลวงปู่ชอบถามพระเณร ที่ไปหาท่านเสมอว่า “ที่พวกคุณภาวนานี้ พวกคุณได้พุทโธ หรือยัง?

    ผู้ ที่ยังไม่แน่ใจก็จะตอบว่า ยังขอรับ ผู้ที่ค่อนข้างแน่ใจก็ตอบท่านว่า ได้แล้วขอรับ” แล้วหลวงปู่มักจะย้อนถามว่า ได้แน่จริงหรือ?

    ถ้า หากว่าได้แล้ว ก็ให้ฟังและพิจารณาอย่างนี้ก่อน คือ ถ้าหากใครเขาด่าเราว่า ‘ไอ้หัวหงอก’ ให้เราลองนั่งชั่งดูใจของเราว่า เราโกรธเขาไหม

    ถ้าเรา ยังโกรธอยู่ ก็หมายความว่า เรายังรับรู้การด่าของเขาอยู่ นั่นหมายถึง เราเอาจิตออกมารับคำด่า เรายังอดทนไม่ได้ เรายังโกรธ หมายถึง เรายังไม่ถึงหรือยังไม่ได้พุทโธอย่างแท้จริงนั่นเอง

    ในการสอนกรรมฐาน ของหลวงปู่ สำหรับบางคนที่ไปขอฝึกกรรมฐานกับท่าน ท่านจะให้ท่องพุทโธจนขึ้นใจ ท่านว่า พุทโธยังไม่ซึ้งในใจของผู้นั้น เราจะต้องให้พุทโธมั่นในใจของเรา และมีความเชื่อมั่นจริงๆ มีบางคนเหมือนกัน ที่ไปฟังธรรมคำสอนของหลวงปู่แล้วจะซุบซิบกันว่า ท่านเอาอะไรมาสอน ไม่เห็นเป็นธรรม เป็นหนทางเลยสักหน่อย นี่แสดงให้รู้ว่า จิตของผู้พูดเช่นนั้นยังไม่เข้าถึงธรรมคือความจริงนั่นเอง เพราะหลวงปู่ท่านเทศน์แบบไม่เคยยกย่องใคร ไม่เคยเทศน์เพื่อเอาใจใคร เทศน์แต่เรื่องที่เป็นความจริงและเป็นปัจจุบันโดยแท้จริง”

    [​IMG]
    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
     

แชร์หน้านี้

Loading...