หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม : พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุปัน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 พฤศจิกายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๔

    แสดงธรรมเป็นประจำที่วัดอโศการาม สมุทรปราการ

    นอกจากหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จะแสดงธรรมในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ช่วงออกพรรษา ท่านมักจะได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรมที่อื่นด้วย สถานที่ที่ท่านไปแสดงธรรมเป็นประจำ ได้แก่ วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ในสมัยนั้น ท่านพ่อลี ธมฺมธโร เป็นเจ้าอาวาส

    หลวงปู่ตื้อไปแสดงธรรมและพักอยู่ที่วัดอโศการามเป็น เวลานานๆ เพราะมีญาติโยมนิมนต์ท่านไว้ให้อยู่โปรดนานๆ เนื่องจากท่านเป็นศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นับว่าเป็นศิษย์ใกล้ชิดและได้รับการถ่ายทอดธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่มั่นโดยตรง

    ศิษย์ อาวุโสท่านหนึ่งของหลวงปู่ตื้อ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแสดงธรรมของท่านดังนี้

    “สำหรับการแสดง ธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่านพระอาจารย์ตื้อนั้น เห็นว่าท่านแสดงธรรมโดยตรง ตรงที่เราสงสัย แสดงตามจริง ไม่มีการอ้อมค้อม ตรงไปตรงมา แต่ลักษณะท่าทางอาจจะไม่ไพเราะ ทั้งนี้ก็เพราะว่า พวกเรายังไม่ชินกับเหตุการณ์เช่นนั้น เนื่องจากพระอาจารย์ท่านเดินธุดงค์กรรมฐานผ่านไปในที่หลายแห่ง มีประสบการณ์และอารมณ์แปลกๆ บางครั้งต้องเจอะเจอและสนทนากับผีสางนางไม้ บางครั้งก็พบกับพวกเทพ พวกเทวดาอารักษ์ บางครั้งก็พบพวกวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง

    ท่านต้องประสบกับเหตุการณ์ ต่างๆ เหล่านี้ ในระหว่างนั้นอารมณ์ท่าทาง คำพูด จะออกมาในรูปไหนนั้นยากที่จะกำหนดได้ สำหรับผู้ที่เคารพนับถือในท่านแล้ว จะยิ่งมีความเคารพและเลื่อมใสในธรรมของท่านมากขึ้น”
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๕

    ได้ลูกศิษย์ที่มีอดีตเป็นขุนโจร

    ช่วง ที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พำนักอยู่ทางภาคเหนือ ได้มีผู้มาฟังธรรมด้วยจำนวนมาก รวมทั้งที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ขอแนวปฏิบัติกรรมฐานก็มีเยอะ

    ในปีที่ หลวงปู่จำพรรษาที่วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในวันหนึ่งได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาจากภาคใต้ ตั้งใจมาขอเป็นศิษย์เรียนกรรมฐานกับหลวงปู่

    พระภิกษุรูปนั้นก็คือ พระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต แห่งสำนักวัดป่าผาลาด จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว เป็นพระป่าที่มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่ง ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีงามน่าเลื่อมใสมาก หลังจากการเผาศพของท่านแล้ว อัฐิท่านได้กลายเป็นพระธาตุ ท่านได้รับฉายาว่าพระอรหันต์ผู้มีอดีตเป็นขุนโจรอิสไมล์แอ

    ในประวัติ ของพระอาจารย์ประยุทธ ท่านบันทึกไว้ว่า ท่านใช้เวลาเดินทางจากภาคใต้สู่ภาคเหนือ ๓ เดือนเต็ม ตอนนั้นหลวงปู่ตื้อท่านกำลังก่อสร้างสำนักสงฆ์แห่งใหม่ในเขตอำเภอแม่ริม ซึ่งปัจจุบันก็คือวัดป่าดาราภิรมย์

    กุฏิสงฆ์เป็นเพียงกุฏิไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก พอได้อาศัยหลบแดดฝนเพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น พระเณรก็มีอยู่ไม่กี่รูป

    พระอาจารย์ประยุทธยังเป็นพระใหม่ บวชได้พรรษาเดียว ท่านบุกบั่นไปหาหลวงปู่ตื้อด้วยความทรหดอดทน สมกับที่เป็นอดีตขุนโจรผู้นำสมุนจำนวนมาก

    พระอาจารย์ประยุทธเดินเข้า ไปในวัด เห็นพระนั่งอยู่ตามลำพังที่ศาลาโรงฉัน ดูจากท่าทางมั่นใจว่าเป็นหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จึงเข้าไปกราบ และเรียนท่านว่าเดินทางมาจากภาคใต้ ใช้เวลา ๓ เดือน ตั้งใจฝากตัวขอเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมด้วย

    เพราะหลวงปู่ตื้อท่านพูดจา โผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่ชอบพูดยาวอ้อมค้อมหรือเกรงอกเกรงใจใคร หลวงปู่ได้ถามทันทีว่า “ก่อนบวชเคยทำอาชีพอะไรมา ให้บอกไปตามความจริง”

    พระ อาจารย์ประยุทธ ทำท่าอึกอัก ไม่รู้จะตอบท่านอย่างไรดี

    หลวงปู่ก็ชี้ หน้าว่า “ให้บอกมา ไม่เช่นนั้นจะไม่รับเป็นศิษย์”

    พระอาจารย์ประยุทธ จึงพูดละล่ำละลักว่า “เป็นโจรครับ”

    หลวงปู่พูดหนักแน่นว่า “การเป็นศิษย์ต้องมีข้อแม้ เมื่อท่านรับปากจะปฏิบัติตาม”

    แล้วท่านก็ ให้พระอาจารย์ประยุทธ ไปจุดธูปปักในกระถางหน้าพระประธานบนศาลาโรงฉัน แล้วให้พูดตามท่านว่า “ข้าพเจ้าจะบวชตลอดชีวิต ไม่ลาสิกขา”

    พระ อาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต ได้เป็นศิษย์ติดตามหลวงปู่ตื้ออยู่ ๓ ปี ไม่ว่าหลวงปู่จะออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร ในท้องถิ่นใด ก็ได้ติดตามท่านไปด้วยเสมอ เว้นแต่เวลาบำเพ็ญเพียร ก็จะแยกไปปักกลดภาวนาในที่ไม่ห่างไกลนัก เมื่อมีปัญหาติดขัดในการปฏิบัติก็มากราบเรียนถามท่านได้

    [​IMG]
    พระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๖

    รู้ล่วงหน้าว่าใครจะมาหา

    พระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต มีความเคารพเลื่อมใสในองค์หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอาจารย์ของท่านมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านฤทธิ์อภิญญา

    จากบันทึกของพระอาจารย์ประยุทธ บอกว่า วันหนึ่งพระเณรเข้ากุฏิกันเกือบหมดแล้ว หลวงปู่สั่งให้เณรไปต้มน้ำกาใหญ่

    เณรย้อนถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่มีใครอยู่ฉันน้ำแล้วหลวงปู่จะให้ต้มน้ำกาใหญ่ไปทำไม”

    หลวงปู่พูด ด้วยน้ำเสียงดุว่า “บอกให้ต้มก็ต้มเถอะ ต้มน้ำชงชา” แล้วสั่งในเณรเอาถ้วยชามาเตรียมไว้ ๕๐ ถ้วย

    พระอาจารย์ประยุทธ ก็รู้สึกงงๆ หลวงปู่พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีญาติโยมมาจากกรุงเทพฯ”

    สัก ครู่ใหญ่ๆ ก็มีรถบัสเข้ามาจอดในบริเวณวัด หลวงปู่ให้นำน้ำชาร้อนๆ มาเลี้ยงญาติโยม ปรากฏว่าถ้วยชา ๕๐ ถ้วยที่เตรียมไว้ครบจำนวนคนพอดี
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๗

    เตรียมรอรับการนิมนต์

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม จะเรียกพระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต ว่า ตุ๊ไทย

    (ตุ๊ หรือ ตุ๊เจ้า เป็นภาษาเหนือ ใช้เรียกพระสงฆ์ ผู้เขียนเข้าใจว่าน่าจะมาจากคำว่า สาธุ ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย)

    คราวหนึ่ง ขณะที่นั่งกันอยู่ หลวงปู่ก็สั่งพระอาจารย์ประยุทธว่า “ตุ๊ไทย รีบไปสรงน้ำไวๆ”

    สร้าง ความงุนงงสงสัยให้พระเณร ณ ที่นั้น แต่ไหนแต่ไรมาหลวงปู่ไม่เคยยุ่งกับการสรงน้ำท่าของใครเลย

    พระอาจารย์ ประยุทธได้เรียนถามว่า “หลวงปู่ให้กระผมไปสรงน้ำทำไม?”

    หลวงปู่ตอบ ว่า “ให้ไปสรงก็ไปเถอะ” แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า “เย็นนี้ ๖ โมงเย็น จะมีโยมผู้ชายมานิมนต์ไปปัดรังควานให้ลูกเขาที่ตกต้นลำไย แต่เด็กมันต้องตายแน่ๆ ไม่รอดดอก จะให้ตุ๊ไทยไปแทน”

    พระอาจารย์ประ ยุทธจึงรีบไปสรงน้ำ สรงเพิ่งเสร็จ ยังไม่ทันครองผ้า โยมที่ว่าก็ขับรถกระบะเข้ามาจอดในวัด รีบเข้ามากราบหลวงปู่ ขอนิมนต์ไปปัดรังควานให้ลูกชายตามที่หลวงปู่บอกไว้ไม่มีผิด
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๘

    หลวงปู่แกล้งพญานาค

    พระ อาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต ได้ถ่ายทอดเรื่องที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เคยเล่าให้ฟังในสมัยที่ท่านออกธุดงค์กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ว่า

    หลวง ปู่มั่น ท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเคยพบพญานาค หลวงปู่ตื้อคิดค้านในใจว่าไม่เชื่อ ใครๆ ก็พูดถึงพญานาคได้โดยไม่เคยเห็นตัวตน

    หลวงปู่มั่น ท่านรู้วาระจิต จึงสั่งหลวงปู่บุญ ซึ่งจำมิได้ว่าฉายาอะไร ว่า “จงพาท่านตื้อ พระขี้ดื้อ ไปกรรมฐานบนเขา ให้อยู่กันคนละลูกเขานะ”

    หลวงปู่บุญก็พาหลวงปู่ตื้อ ไป เมื่อถึงเขาที่จะนั่งกรรมฐานลูกแรก หลวงปู่ตื้อท่านพบรูดินใหญ่เข้ารูหนึ่ง คิดในใจว่าถ้าพญานาคมีจริงก็จะลองดู ท่านจึงแอบเอาก้อนหินใหญ่มาวางไว้ปากรู แล้วไปกับหลวงปู่บุญเพื่อไปดูที่ปักกลดยังเขาอีกลูกหนึ่ง

    เมื่อส่ง หลวงปู่บุญแล้ว หลวงปู่ตื้อก็กลับมายังที่เดิม ผลักก้อนหินให้กลิ้งลงไปในรู แล้วพูดว่า “ถ้าพญานาคมีจริง หินตกถูกก็ขอโทษด้วย”

    แล้วท่านก็เอา ผ้ารองนั่งปิดรู กางกลดลง ณ ที่ตรงนั้น

    คืนนั้น ขณะที่หลวงปู่ตื้อนั่งทำสมาธิภาวนาภายในกลด ก็ได้ยินเสียงขู่ฟู่ๆ อย่างขัดเคือง เสียงฟู่ๆ นั้นดังมาจากงูใหญ่จำนวนมากมาแผ่พังพานอยู่รอบๆ กลดของท่าน หลวงปู่จึงหยิบก้อนหินมาปลุกเสก แล้วโยนออกไปนอกกลด ได้ยินเสียงงูเลื้อยหนีกันเกรียวกราวกระจัดกระจายกันออกไป

    พอรุ่ง เช้า หลวงปู่บุญท่านมาบ่นให้ฟังว่า “เมื่อคืนผ่านไปเล่นอะไรกับพวกงู พวกเขาจึงไปฟู่ๆ อยู่กับผม ไม่ต้องหลับนอนกันละ”

    ครั้นถอนกลด กลับไปหาหลวงปู่มั่น ขณะก้มกราบ ก็ถูกหลวงปู่มั่นชี้หน้าบอกว่า “ท่านไปเล่นกับงูมาละซิ”

    [​IMG]
    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปญฺโญ วัดป่าประดู่ จ.ปราจีนบุรี


    หมายเหตุ : จากการศึกษาประวัติครูอาจารย์ หลวงปู่บุญ ที่ระบุในเรื่องนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่าน่าจะเป็น หลวงปู่บุญ ทัน ฐิตปญฺโญ วัดป่าประดู่ ตำบลเมืองเก่า อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ท่านเป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ มีประวัติโลดโผนและมีความอัศจรรย์ทางจิตอยู่มาก ติดตามท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ และร่วมปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ด้วย ถ้าผิดก็กราบขออภัยด้วย
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕๙

    น่าจะเป็นความอารมณ์ดีของท่าน

    พระ อาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต เล่าอีกตอนหนึ่งว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ไปร่วมประชุมสงฆ์ในกรุงเทพฯ ท่านพระเถระนั่งกันอยู่พร้อมแล้ว ยังขาดแต่สมเด็จพระสังฆราช ที่จะเสด็จมาเป็นองค์ประธานของการประชุม

    หลวงปู่ตื้อท่านไปถึงก่อน จึงเดินตรงจะไปนั่งตรงอาสนะที่เขาเตรียมไว้สำหรับสมเด็จฯ

    เจ้า หน้าที่เข้ามาร้องห้ามว่า “ที่นี่เป็นที่ประทับของสมเด็จฯ ที่เสด็จมาเป็นประธาน หลวงตามาจากไหน นั่งไม่ได้นะ”

    หลวงปู่ตื้อตอบ ว่า “ไม่เป็นไรน่า เป็นเพื่อนกัน” แล้วท่านก็นั่งลงไปบนที่นั่งนั้น ทำแบบไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่รู้จะขับไล่อย่างไร

    พระเถระทั้ง หลายก็นั่งดูเฉย บางรูปก็อมยิ้มกัน เพราะรู้จักอุปนิสัยของหลวงปู่ตื้อดี

    พอ สมเด็จฯ ท่านเสด็จมาถึง หลวงปู่ตื้อท่านก็ลุกถวายที่ให้ ทำการกราบไหว้แก่ยศฐานะ พอกราบเสร็จ สมเด็จฯ ท่านก็ลุกขึ้นกราบคืนในฐานะที่หลวงปู่ตื้ออาวุโสกว่า

    อีกเรื่องหนึ่ง คราวไปประชุมสงฆ์ที่วัดอโศการาม สมัยที่ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ยังอยู่

    หลวง ปู่ตื้อ ท่านถามพระสงฆ์ที่มาร่วมประชุมว่า “ในที่ประชุมนี้มีพระเถระรูปใดมีอายุพรรษาถึง ๕๐ พรรษาบ้าง”

    ที่ ประชุมเงียบ ไม่มีใครตอบ หลวงปู่ตื้อจึงว่า “งั้นผมก็ต้องเป็นประธานซิ”

    แล้ว ท่านก็หัวเราะชอบใจ ที่ประชุมก็หัวเราะ

    หมายเหตุ : สมเด็จพระสังฆราชที่กล่าวถึงในเรื่องนี้ เมื่อตรวจสอบดูตามประวัติแล้ว ผู้เขียนเข้าใจว่า น่าจะเป็น สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี) วัดมกุฎกษัตริยาราม

    มีบันทึกตอนหนึ่งว่า มีคุณหญิงคุณนายที่ได้ฟังเทศน์จากหลวงปู่ในงานแห่งหนึ่ง พากันไปทูลฟ้องสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฎกษัตริยาราม ซึ่งสมเด็จฯ ท่านก็คุ้นเคยกับหลวงปู่ตื้อเป็นอย่างดี

    เมื่อ หลวงปู่เข้าเฝ้า สมเด็จฯ จึงถามท่านว่า “ท่านผู้หญิงมาฟ้องว่าท่านเทศน์หยาบคาย จริงไหม?”

    หลวง ปู่ท่านตอบรับตรงๆ ว่า จริง เพราะสิ่งที่ท่านเทศน์นั้นล้วนแต่เป็นธรรมะของจริง ไม่รู้จะยกไปซ่อนเร้นปิดบังไว้ที่ไหน แล้วท่านก็ย้อนทูลถามสมเด็จฯ กลับไปว่า

    “สมเด็จฯ จะฟังไหม เกล้าฯ จะเทศน์ให้ฟัง”

    เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเรื่องฮือฮามากในครั้งนั้น
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๐

    เรื่องของพระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต

    ผู้ เขียนได้อ่านเรื่องของพระอาจารย์ประยุทธ จากนิตยสารโลกทิพย์ ฉบับที่ ๑๖๔ น่าสนใจมาก มีผู้เคยนำไปสร้างเป็นนิยาย ผู้เขียนจึงนำมาเสนอโดยย่อไว้ ณ ที่นี้

    ในนิตยสารโลกทิพย์ ได้ขึ้นหัวเรื่องว่า “พระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต แห่งวัดป่าผาลาด อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี อดีตขุนโจรอิสไมล์แอ ผู้หันเหชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ จนมรณภาพในสมาธิ และอัฐิกลายเป็นพระธาตุ”

    เรื่องของพระอาจารย์ประยุทธ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หนังสือพิมพ์เคยลงข่าวเกรียวกราวเกี่ยวกับ “ขุนโจรอิสไมล์แอ สลัดทะเลหลวงผู้โหด*ม เสรีไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน บางคราวก็ฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ...”

    เรื่องของพระ อาจารย์ประยุทธจริงๆ แล้วไม่เป็นที่เปิดเผย เพิ่งจะมีผู้สืบเสาะนำประวัติมาเผยแพร่หลังจากท่านมรณภาพไปแล้วถึง ๑๐ ปี โดยสอบถามเอาจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่ได้จึงยังเลือนลางอยู่

    ท่าน อาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต นามสกุลเดิม สุวรรณศรี เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี ในครอบครัวที่มีฐานะดีพอควร ทราบแต่ว่า ท่านเกิดวันเสาร์ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๗๑ มีพี่น้องรวมทั้งตัวท่านด้วย ๕ คน

    ครอบครัวท่านอพยพไปอยู่ ทางหัวหิน ท่านจึงเติบโตที่นั่น

    พระอาจารย์เล่าว่า ชะตาของท่านต้องฆ่าคนเมื่ออายุ ๑๑ ปี โดยไม่เจตนา คือขว้างมีดเล่นๆ ไปถูกที่สำคัญทำให้ชายผู้หนึ่งตาย แต่ยังเป็นเด็กจึงยังไม่ถูกลงโทษฑัณฑ์

    เมื่อ อายุครบบวช โยมบิดาสิ้นชีวิตแล้ว โยมมารดาจึงจัดให้บวชตามประเพณีอยู่ ๑ พรรษา ท่านบอกว่าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะบวชตามประเพณีจริงๆ

    หลัง จากลาสิกขาแล้ว ก็จากครอบครัวไปทำมาหากินทางภาคใต้ ประกอบอาชีพหลายอย่างในหลายจังหวัด เคยทำประมง เป็นกัปตันเรือหาปลา มีเพื่อนฝูงและลูกน้องมาก และเคยไปตั้งบาร์ไนท์คลับที่ประเทศมาเลเซีย

    ระยะ ผกผันในชีวิต คือ มีพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้ว่าจ้างให้ขนฝิ่นไปส่งลูกค้าที่มาเลเซีย ในราคาเที่ยวละ ๒,๐๐๐ บาท ไปรับเงินที่ปลายทาง

    ผู้มารับฝิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ ๒ คนบอกว่าจ่ายเฉพาะค่าฝิ่น ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ค่าขนเขาไม่เกี่ยว สรุปว่าโดนหักหลัง ทางเจ้าของฝิ่นทางกรุงเทพฯ คงไม่ไว้ใจท่านแน่ โทษฑัณฑ์ในวงการฝิ่นก็คือ การฆ่าลูกเดียว

    แต่ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ ๒ คนนั้นขู่ว่า ถ้าไม่ตกลงตามราคาที่เสนอก็จะแจ้งตำรวจมาเลเซียจับ

    เรียก ว่าท่านไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจฆ่าเจ้าหน้าที่ ๒ คนนั้นแล้วโยนศพลงทะเลไป ปรากฏว่า ศพเกิดลอยน้ำมาติดอยู่ข้างเรือ ท่านจึงถูกจับฐานสงสัยว่าฆ่าคนตาย แต่ไม่มีเรื่องค้าฝิ่น

    พระอาจารย์ประยุทธ ถูกขังในคุกมาเลเซียหลายเดือน ขึ้นศาลหลายครั้ง พอครั้งที่ ๖ มีผู้ชายบุคลิกดีอายุราว ๕๐-๖๐ พยายามขอเข้าเยี่ยม บอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่ถึงตาย หรือติดคุกหรอกหลานชาย ลุงจะช่วย”

    ลุงคนนั้นบอกคาถาสั้นๆ ให้ไว้บริกรรมเวลาขึ้นศาล ท่านไม่เชื่อแต่ก็ยอมทดลองดู ปรากฏว่าได้ผล “เพราะวันตัดสิน ศาลปล่อย แต่ห้ามเข้ามาเลเซียอีก รอดประหารไปได้อย่างปาฏิหาริย์”

    พระอาจารย์ประยุทธ บอกให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านมาทราบในภายหลังว่าคุณลุงคนนั้นเป็นเทพ มาช่วยปกปักรักษาท่าน เมื่อพ้นโทษจากมาเลเซีย พระอาจารย์ก็กลับเมืองไทย ยังวนเวียนอยู่ทางภาคใต้เช่นเดิม ในช่วงนั้นอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลไทยต้องเข้าร่วมกับญี่ปุ่นด้วยความจำเป็นบังคับ

    ขณะเดียวกัน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกับคนไทยจำนวนหนึ่งจัดตั้งคณะเสรีไทย ทำงานใต้ดินเพื่อขัดขวางกองทัพญี่ปุ่นทุกวิถีทาง

    พระอาจารย์ประยุทธ ได้เข้าร่วมกับคณะเสรีไทย อยู่ในกลุ่มที่คอยตัดกำลังญี่ปุ่น เรียกว่า กลุ่มไทยถีบ คือเมื่อญี่ปุ่นขนอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหาร ไปให้กองทัพของตนตามภาคต่างๆ ซึ่งส่งไปทางรถไฟ ก็จะถูกกลุ่มไทยถีบ ถีบของเหล่านี้ลง เพื่อไม่ให้ส่งไปถึงปลายทางได้

    พระอาจารย์ประยุทธ ได้รวมสมัครพรรคพวก ได้ประมาณ ๒๐๐ คน ไปซ่องสุมอยู่เกาะตะรุเตา ส่วนหนึ่งเป็นโจรสลัดอยู่ในทะเล คอยปล้นเรือสินค้าและเสบียงทางเรือของกองทัพญี่ปุ่น แล้วนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่กำลังอดอยากตามชายฝั่ง อีกส่วนหนึ่งกระจายกันอยู่บนฝั่งคอยเป็นหูเป็นตาให้

    โจรสลัดทะเลหลวง กลุ่มขุนโจรอิสไมล์แอ โด่งดังมากในช่วงนั้น

    เมื่อสงครามสงบลง การปล้นของโจรกลุ่มนี้ก็เปลี่ยนแผนใหม่ ในช่วงนั้นประชาชนทางภาคใต้มีข้าวไม่พอกิน ในตลาดก็ไม่มีขาย แต่มีเรือของผู้มีอิทธิพลขนข้าวไปขายทางมาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในภาวะขาดแคลนเหมือนเมืองไทย แต่ขายสินค้าได้แพงกว่ามาก

    ขุน โจรอิสไมล์แอ เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าปล้นเรือขนส่งสินค้าเหล่านั้นหลายหน แล้วนำสินค้าเหล่านั้นออกแจกประชาชนเช่นเคย

    ผู้มีอิทธิพลเจ้าของ สินค้าพยายามเจรจาต่อรอง แต่กลุ่มโจรไม่ยอม ถ้าไม่หยุดส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ

    พระอาจารย์ประยุทธ หรือ นายประยุทธ สุวรรณศรี คุมลูกน้องเป็นโจรสลัดในทะเลหลวงอยู่ ๕ ปี เป็นขุนโจรอิสไมล์แอที่โด่งดังที่ไม่มีใครปราบได้

    เหตุการณ์พลิกผัน ในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อน้องสาวส่งข่าวว่าคุณแม่ตาย ก่อนตายคร่ำครวญหาแต่ “เล็กของแม่” จนกระทั่งสิ้นใจ

    พระอาจารย์ประ ยุทธ มากราบรูปถ่ายของแม่ ระลึกย้อนถึงเหตุการณ์แต่ครั้งหลัง ถึงความรักความห่วงใยของแม่ พลัน...จิตของท่านก็สงบลง และวูบลงไป

    ปรากฏ เป็นชายร่างกำยำ ๔ คน ตรงมาจับส่งท่านกระชากลงไปในนรก จับใส่เครื่องขื่อคา แล้วบังคับให้ลงไปในกระทะทองแดง ท่านหวาดกลัวมาก พลันคิดถึงแม่ จึงร้องเรียก

    “แม่ช่วยลูกด้วย”

    ปกติโยมแม่เป็นคนใจบุญ ชอบทำบุญ และอยู่ในศีลในธรรมเสมอมา

    พอท่านร้องว่า “แม่ช่วยด้วย” ก็มีใบบัวใหญ่เท่ากระด้งตากปลามาช้อนร่างท่านขึ้นไปบนที่สูง ได้ไปเห็นวิมานที่สวยงาม พบเหล่านางฟ้าเทพธิดาต่างๆ จำนวนมาก...

    หลัง จากท่องวิมานพอสมควร ก็มีนางฟ้าท่านหนึ่งพูดว่า “ไปเสียก่อนเถอะ ไปสร้างกุศลบารมีให้พอเสียก่อน จึงค่อยมาเจอกันใหม่”

    แล้วท่าน อาจารย์ประยุทธ ก็รู้สึกตัวอยู่ตรงหน้ารูปถ่ายของคุณแม่นั้น แต่ท่านก็งุนงงกับเหตุการณ์มาก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หลังจากนั้นท่านก็บอกกับพี่สาว น้องสาว ว่าจะขอออกจากบ้านไปอีกครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะไปนานเท่าใด พี่สาวเอาเงินมาให้ ๕,๐๐๐ บาท ท่านหยิบเอาเพียง ๕๐๐ บาท เหลือนอกนั้นบอกให้เอาไปทำบุญให้แม่

    ความจริงท่านมีเงินมาก แต่ไม่กล้าบอกให้พี่น้องรู้ รับไว้เพียง ๕๐๐ บาทพอเป็นพิธีเท่านั้น

    พระ อาจารย์ประยุทธ มุ่งลงใต้ เพราะลูกสมุนยังมีอยู่มากและคุ้นเคยกับภูมิภาคแถบนั้นดี ท่านอยู่ที่นั่นนานพอสมควร ก็ได้พบกับ “หลวงปู่” องค์หนึ่ง ท่านเกิดความเลื่อมใส จึงแจกจ่ายเงินทองทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูกน้อง แล้วท่านก็บวชเป็นพระอย่างเงียบๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้ยุ่งยาก เรียกว่า “โกนหัวเข้าวัด”

    พระอาจารย์ประยุทธ ได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับ “หลวงปู่” ๑ ปี ได้ฝึกกรรมฐานและธุดงค์วัตรตามแบบพระป่า

    วันหนึ่ง “หลวงปู่” ก็บอกว่า ท่านหมดความรู้ที่จะสอนแล้ว ต้องไปหาอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ตอนนี้อยู่ทางภาคเหนือ พระองค์นั้นแหละที่จะเป็นครูอาจารย์ของท่าน

    “หลวง ปู่” บอกว่าได้คุยฝากฝังกับพระอาจารย์องค์นั้นในทางจิตและรู้เรื่องกันหมดแล้ว

    “หลวง ปู่” ได้บอกรูปร่างลักษณะและที่อยู่ของพระอาจารย์องค์นั้นอย่างละเอียด

    และ สั่งว่า “ข้อสาคัญ การไปหาท่านอาจารย์จะขึ้นรถลงเรือไม่ได้ ต้องเดินธุดงค์ด้วยเท้าจากใต้ไปถึงภาคเหนือ จะนานเท่าไรก็ตาม”

    พระ อาจารย์ประยุทธ ใช้เวลาเดินธุดงค์ ๓ เดือนเต็มจึงได้ไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่นำเสนอแล้วในตอนต้น

    พระอาจารย์ ประยุทธ อยู่ในสำนักหลวงปู่ตื้อ ๓ ปี ท่านจึงได้ธุดงค์ต่อไป ท่านได้ไปสร้างสำนักสงฆ์ที่ถ้าผาพุง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และไปมรณภาพที่วัดป่าผาลาด ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒

    [​IMG]
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๑

    หลวงพ่อเปลี่ยนเข้าไปเป็นลูกศิษย์

    หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก บ้านปง ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ก็เป็นศิษย์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

    หลวงพ่อเปลี่ยน ได้เล่าถึงหลวงปู่ตื้อ พระอาจารย์องค์หนึ่งของท่าน ดังนี้

    ใน ระหว่างที่อาตมาพักอยู่ ณ วัดสันติธรรม (ในเมืองเชียงใหม่ ก็ได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ในขณะนั้นพักอยู่ ณ วัดธรรมสามัคคี (วัดป่าสามัคคีธรรม ซึ่งต่อมาก็คือวัดป่าอาจารย์ตื้อ) อาตมาจึงเดินทางไปพบทันที

    อาตมาดีใจมาก เพราะเดินทางมาภาคเหนือนี้ ได้ตั้งใจมากราบท่านโดยตรง เมื่อกราบนมัสการท่านเรียบร้อย และสอบถามความเป็นมาจนเข้าใจดีแล้ว เย็นวันนั้นอาตมาจึงได้เล่าสิ่งที่ภาวนาติดขัดอยู่ในจิตใจเป็นเวลานาน คือ เรื่องการตามจิตไม่ทัน คำอธิบายของท่านที่แนะนำก็แบบเดียวกับที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นผู้ชี้บอกให้นั่นเอง

    หลวงปู่ตื้อท่านบอก ว่า เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก เมื่อสติ สมาธิ ปัญญา มันพอดีกันเมื่อไร เมื่อนั้นจะเข้าใจเองนั่นแหละ ไม่นานหรอกให้ตั้งใจภาวนาไปเรื่อยๆ

    อาตมา ได้รับกำลังใจมาก และได้อยู่จำพรรษากับท่านในปีนั้น จึงได้ปฏิบัติภาวนากับท่าน เพื่อหาทางพิจารณาเกี่ยวกับความจริงแห่งจิตใจ

    การ ที่อาตมาได้อยู่ปรนนิบัติใกล้ชิดกับหลวงปู่ตื้อ ทำให้ได้เห็นปฏิปทาการปฏิบัติของท่านอย่างใกล้ชิด เคารพศรัทธาท่านเป็นอย่างมาก หลวงปู่ท่านเป็นพระพูดจริง ทำจริง ปฏิบัติธรรมอย่างชนิดทุ่มเทกำลังทั้งหมด ยอมสละแม้กระทั่งชีวิต

    อาตมา มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ความเป็นผู้มีพลังจิตวิเศษของท่านให้มากเท่าที่จะ มากได้ สมกับที่บุคคลทั่วไปกล่าวขวัญกันว่า ท่านสำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ

    หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระแท้ มีความสามารถในการสอนธรรมะอย่างยอดเยี่ยม อธิบายข้อสงสัยได้กระจ่าง อาตมาจึงปลื้มปิติมากที่ได้มาอยู่กับท่าน สมกับความเหน็ดเหนื่อยที่สู้อุตสาห์บุกป่าฝ่าดงมา เพื่อถวายตัวเป็นศิษย์ท่าน ไม่มีผิดหวังเลย
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๒

    การอุปัฏฐากครูบาอาจารย์

    หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ได้อยู่จำพรรษากับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดธรรมสามัคคี สมกับความตั้งใจ ท่านเล่าให้ฟัง ดังนี้

    ในระหว่างพรรษานั้น อาตมาก็ได้อยู่จำพรรษากับหลวงปู่ตื้อสมความปรารถนา ดังนั้น การปฏิบัติตนในฐานะศิษย์ และได้อยู่ปรนนิบัติพระอาจารย์ตามฐานะและกำลังกาย จึงนับได้ว่ายอดเยี่ยม เป็นการแสดงความกตัญญูมากทีเดียว

    ข้อปฏิบัติ ต่อผู้เป็นพระอาจารย์ มีดังนี้ ๑. ต้มน้ำร้อน ถวายน้ำล้างหน้า ๒. ทำความสะอาดกุฏิ และเช็ดบาตร ๓. จะทำหน้าที่ต่างๆ ช่วยดูแลสอดส่องสิ่งของของครูอาจารย์ เช่น ซักจีวร ย้อมผ้าจีวร เป็นต้น ๔. ถวายการนวด กวาดลานวัด และทางเดินจงกรมถวายท่าน

    เวลาพิเศษสำหรับพระ เณรลูกวัดก็เห็นจะได้แก่เวลาค่ำ ในเวลาดังกล่าว ครูบาอาจารย์จะหยุดพักผ่อนดื่มน้ำชาน้ำร้อน พระภิกษุ สามเณรต่างมาพร้อมกันที่กุฏิของท่าน

    สำหรับอาตมานั้นเป็นผู้อุปัฏฐาก จึงไม่เคยขาดการบีบนวดถวายท่าน ก็ในระหว่างนี้เองหลวงปู่ท่านจะเทศน์ให้ฟังบ้าง สอนธรรมะบ้าง สอนวิธีปฏิบัติที่ได้ผลมากๆ เช่น การละขันธ์ ๕ เพราะเป็นแนวทางแห่งความพ้นทุกข์จริงๆ

    พระเณรที่มีปัญหาขัดข้องในการ ปฏิบัติธรรมประการใดๆ ก็นำมาถามมาตอบกันในช่วงนี้เอง จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและให้ประโยชน์มาก

    ในส่วนของอาตมา หลังจากถวายการอุปัฏฐากแล้ว ก็ออกไปบำเพ็ญภาวนาด้วยตนเอง ได้แก่ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จะนอนหลับจริงๆ ก็เพียงคืนละ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น

    ความ เคยชินของอาตมา จะนอนได้ไม่มากกว่านี้ คือ ๒ ชั่วโมง ถ้าพ้นจากนี้นอนไม่หลับ จะต้องตื่นลุกขึ้นมาทำความเพียรทันที

    ในช่วง แรกๆ อาตมาทำความเพียรอย่างเคร่งครัดมาก ไม่มีเวลาจะมานั่งพูดคุยอย่างนี้หรอก

    อาตมาสังเกตตัวเองว่า ในพรรษานั้นจิตใจก้าวหน้าไปไกลทีเดียว ทั้งนี้เพราะได้พระอาจารย์ที่มุ่งมั่นหาทางพ้นทุกข์ และหลวงปู่ก็สอนเราอย่างหนักหน่วงจริงจังมากด้วย

    อาตมาเริ่มตามดูจิต ใจที่ตกหายไปกลางทาง เริ่มเข้าเค้าความจริง จิตจะนิ่งดีมาก รู้ชัดเจน เมื่อรู้ทางดำเนินจิตก็ทำให้ปิติเป็นอันมาก มีกำลังใจปฏิบัติภาวนาให้หนักยิ่งขึ้น เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แม้หลังเที่ยงคืนก็จะนั่งสมาธิไปจนเช้า เป็นต้น
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876


    คิดอยากได้วิชาจากหลวงปู่

    เกี่ยว กับปฏิปทาของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม นั้น หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ได้เล่าไว้ ดังนี้

    อาตมาเคยสังเกตความอัศจรรย์ทางจิตของหลวงปู่ตื้อ เป็นอันมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากฉันเสร็จ วันนั้นไม่มีญาติโยมคนใดนั่งอยู่เลย อาตมาเห็นว่าสมควรจะได้นิมนต์ให้ท่านไปพักผ่อนกลับขึ้นกุฏิ พอออกปากนิมนต์ หลวงปู่ก็พูดออกมาว่า

    “เราเห็นญาติโยมกำลังมาหาอยู่แล้วขณะนี้ กำลังออกเดินทางจากเชียงใหม่”

    เมื่อท่านว่าอย่างนั้น อาตมาก็มิได้ว่าอะไร ก็กลับขึ้นกุฏิ มองเห็นท่านยังนั่งเฉยอยู่ อาตมาได้นั่งสังเกตดูอยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้วก็เห็นมีผู้คนเดินมายังที่ท่านนั่งอยู่ หลวงปู่รออยู่แล้วจึงเชิญนั่ง ต้อนรับกันอยู่ตรงนั้น จนบรรดาญาติโยมคณะนั้นกลับกันหมด ท่านก็ไม่พูดอะไร อาตมาเห็นท่านนั่งยิ้มน้อยๆ อยู่อย่างนั้น

    อาตมาคิดอยากได้วิชาอย่าง นี้บ้าง หลวงปู่ท่านรู้ใจของอาตมาและก็ได้พยายามอบรมบ่มนิสัย สอนสั่งอาตมาอยู่ตลอดเวลา เกี่ยวกับการที่จะหยั่งรู้วาระจิตต่างๆ ด้วยจิต

    แรกๆ ความอยากรู้อยากได้ของอาตมามีมาก จึงทำให้เกิดล่าช้า แต่เมื่อหลวงปู่ท่านสอนไปเรื่อยๆ จิตใจก็สงบเย็นมากขึ้น และรู้ว่าบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๔

    แนะนำถึงความลี้ลับของจิต

    ใน คราวที่อยู่ปรนนิบัติหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่วัดธรรมสามัคคีนั้น หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ได้รับการสั่งสอนแนะนำถึงความลี้ลับของจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนั่งภาวนา เมื่อเกิดเห็นนิมิตบางอย่างขึ้น แม้จะออกจากสมาธิมาแล้ว ขณะเมื่อเดินบิณฑบาต ก็ยังมองเห็น “สิ่งประหลาดๆ” อยู่เนืองๆ

    หลวงปู่ตื้อท่านสอนสั่งในเรื่องนิมิตที่เกิดขึ้น ว่านิมิตนั้นจำแนกไปหลายประการ จิตของนักปฏิบัติมีหลายขั้นตอนตามนิสัยบารมีของแต่ละคน

    พูดถึงผู้มี สมาธิดี จิตใจบริสุทธิ์สะอาด ก็จะปรากฏนิมิตที่แจ่มใส เป็นไปด้วยอำนาจฌานและอำนาจแห่งญาณ

    ตอนที่หลวงพ่อเปลี่ยนออกเดิน บิณฑบาตตามหลังหลวงปู่ตื้อ และพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ ท่านมองเห็นผู้คนในลักษณะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกับที่ตาเราเห็น ตอนแรกๆ ก็คิดว่าเราไปสร้างนิมิตเอาเอง พอนานๆ ไปก็เห็นว่าเราพบเรื่องจริงเข้าแล้ว จึงได้นำมากราบเรียนปรึกษากับหลวงปู่ตื้อ แล้วท่านให้ข้อคิด ดังนี้

    ๑. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มผ้าสีเหลืองเดินเข้ามาหา แสดงว่าจิตของบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล ๕ อยู่เป็นปกติ มีสมาธิ มีการปฏิบัติศีลอย่างสม่ำเสมอ ละเว้นจากการทำชั่ว มีใจเป็นพระ เป็นธรรม

    ๒. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มด้วยผ้าขาว แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นมีศีล ๕ เป็นปกติ และมีใจเป็นเทพเทวดา

    ๓. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มเสื้อผ้าขาด ผิวคล้ำไม่มีสง่าราศี แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นตกต่ำลงไปกว่าความเป็นคน คือ มีความคิดแต่จะทำความชั่ว

    ๔. ถ้านิมิตเห็นบุคคลที่ใส่เสื้อผ้าดำสนิท จิตของเขามีศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ใจหยาบ

    ที่ต่ำไปกว่านั้น คือ จะเห็นเป็นลักษณะของเดรัจฉาน เช่น ควาย ต่ำลงไปก็เป็นสุนัข ต่ำลงไปก็เป็นสัตว์ประเภทเลื้อยคลาน เช่น งู เป็นต้น

    หลวงพ่อเปลี่ยน ได้รับการบอกเล่าเช่นนี้จากหลวงปู่ตื้อ นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งนัก
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๕

    ใช้พลังจิตรักษาศิษย์ที่ป่วยไข้

    ช่วง ที่หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ไปอยู่ปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม นั้น ท่านได้พยายามฝึกฝนจิตใจให้แก่กล้า ด้วยการดำเนินรอยตามพระผู้เป็นอาจารย์อย่างชนิดทุ่มเทจิตใจเลยทีเดียว ท่านว่าไว้อย่างนั้น

    จากการที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ ตื้อ ทำให้หลวงพ่อเปลี่ยนได้เห็นความอัศจรรย์ในองค์หลวงปู่มากมาย หลวงพ่อเปลี่ยนจึงมีความตั้งใจว่า จะต้องเอาวิชาเช่นนี้จากท่านให้ได้

    คุณลักษณะ สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่หลวงพ่อเปลี่ยนได้รับการถ่ายทอดอย่างถอดแบบมา คือ ความเฉียบขาดในพลังอำนาจจิตของท่าน สิ่งนี้เป็นกิตติศัพท์ที่รู้กันทั่วในหมู่พระป่าผู้ปฏิบัติกรรมฐาน และผู้สนใจทั่วไป

    ครั้งหนึ่ง พระเณรในวัดเกิดเจ็บป่วยเป็นไข้ป่า เพราะไปติดเชื้อมาเลเรียมาจากการไปภาวนาอยู่ในป่าดงพงไพร เมื่อหลวงปู่ตื้อท่านทราบ ก็จะทำการรักษาให้เป็นอย่างดี ท่านให้เหตุผลว่า อายุเขายังน้อย ควรที่จะฝึกฝนอบรมให้มีพลังต่อไป จะต้องรักษาให้หาย

    แล้ว หลวงปู่ตื้อก็นั่งเพ่งใช้พลังจิตเป็นอำนาจในการรักษา ท่านใช้เวลานั่งเพ่งนานพอสมควร แล้วท่านก็ทำภารกิจของท่านไปตามปกติ เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พอได้เวลาสมควร ท่านก็จะมานั่งเพ่งจิตช่วยเหลือต่อ ท่านทำอย่างนี้เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น อาการไข้ของพระเณรก็จะหายเป็นปกติ พระเณรบางรูปก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านส่งพลังจิตไปช่วยเหลือ แต่ทุกรูปก็หายเจ็บไข้ในเวลาที่รวดเร็ว นับว่าหลวงปู่มีอำนาจจิตที่แก่กล้า มีพลังมหาศาลเลยทีเดียว

    สำหรับองค์ของหลวงปู่ตื้อเอง ถ้าเกิดอาพาธเจ็บป่วยขึ้นมา ท่านก็เฉยเสีย เดินจงกรมก็เป็นไปตามปกติ นั่งภาวนาก็เป็นไปตามปกติ หลวงพ่อเปลี่ยนเข้าไปกราบเรียนขอให้ท่านเพ่งรักษาโรคภัยในร่างกายของท่าน บ้าง ท่านก็ตอบว่า

    “เราไม่เคยตามใจสังขาร มันเป็นได้ ก็ต้องปล่อยให้หายเอง ใครเอาอะไรมาให้ก็กิน ใครไม่เอาอะไรมาให้ ก็ไม่กิน การเจ็บป่วยมันเป็นเรื่องของสังขาร ใจเราเฉยๆ ก็จะสบายไปเองแหละ”

    เมื่อ หลวงพ่อเปลี่ยนกราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่เจ็บมากไหม”

    หลวงปู่จะ ตอบว่า “มากหรือไม่มาก หนักหรือไม่หนัก ก็ดูเอาเอง”

    เมื่อเป็นดังนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จึงต้องมีศิษย์ที่เคยรับใช้ใกล้ชิดกันมาก่อนและรู้ใจของท่านได้ดี ไว้คอยดูแล เมื่อเห็นว่าท่านมีอาการเจ็บป่วยขึ้นมา ซึ่งปกติท่านจะไม่บอกให้ใครรู้ เราต้องคอยสังเกตอาการของท่านจึงจะพอเข้าใจ ในการถวายการรักษาและการจัดยาก็ต้องจัดถวายท่าน โดยพระอุปัฏฐากต้องคาดคะเนเอาเอง

    [​IMG]
    ท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
    คือ พระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต) ในปัจจุบัน
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๖

    เกี่ยวกับการขบฉันภัตตาหาร

    การ ขบฉันภัตตาหารของพระป่ากรรมฐานกับพระบ้านโดยทั่วไปนั้น ไม่ค่อยจะเหมือนกัน พระบ้านโดยปกติจะนั่งฉันเป็นหมู่ เป็นวงร่วมกัน และฉันจากจานหรือภาชนะต่างๆ หลายใบ ส่วนพระธุดงค์หรือพระวัดป่าท่านจะฉันในบาตร คือจะพิจารณาแล้วจัดอาหารในส่วนที่ท่านต้องการใส่ลงในบาตร แล้วลงมือฉันเฉพาะในบาตร ต่างองค์ต่างฉันเงียบๆ ไม่พูดไม่คุยกัน ฉันเสร็จก็เก็บบาตร ลุกขึ้นไปไม่ต้องรอกัน

    ผู้เขียนขออนุญาตออกนอก เรื่องหน่อย คือ เกี่ยวกับเรื่องการฉันอาหารของพระสงฆ์นี้ ท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ท่านพูดกับผู้เขียนในลักษณะเปรียบเปรยขำขันว่า

    หมายเหตุ : ต่อมาภายหลังท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต) แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ พระราชวรคุณ - สาวิกาน้อย

    เวลา ดูพระท่านฉันภัตตาหาร ก็คล้ายกับการเล่นดนตรี คนเก่งก็เล่นหลายชิ้น คนไม่เก่งก็เล่นดนตรีชิ้นเดียวเงียบๆ พระป่าเวลาฉันก็เหมือนตีกลองอยู่ตรงหน้าเพียงใบเดียว นักดนตรีที่เก่งหน่อยก็ตี ระนาด ขยายไปถึงตีฆ้องวง ส่วนนักดนตรีที่เก่งก็บรรเลงกันเป็นวง และขยายเป็นวงใหญ่ๆ มีผู้ร่วมบรรเลงหลายคน ญาติโยมซึ่งเป็นคนชม ก็สนุกสนานครื้นเครงไปด้วย - ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเขียน ก็กราบขออภัยด้วยครับ

    สำหรับ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระที่แปลกกว่าพระเถระองค์อื่นๆ ซึ่งหลวงพ่อเปลี่ยนเล่าให้ฟัง ดังนี้

    มีอยู่วันหนึ่ง พระผู้ใหญ่รูปหนึ่งมาที่วัด พอถึงเวลาฉันพระอาจารย์ ท่านนั้นก็นั่งรอเฉยอยู่ หลวงพ่อเปลี่ยนก็กราบนิมนต์ให้ท่านฉัน ท่านก็บอกว่ารอหลวงปู่ตื้อก่อน หลวงปู่ยังไม่มา

    เมื่อพระผู้ใหญ่ไม่ ลงมือฉัน พระลูกวัดก็ต้องนั่งรอไปด้วย ใช้ผ้าปิดบาตรนั่งภาวนารอนานพอสมควร หลวงปู่ตื้อท่านก็เดินขึ้นมา พอเห็นว่ายังไม่ได้ฉันกันเลย ท่านก็พูดว่า “จะรอไปทำไม ขันธ์ ๕ ของใครก็ของใคร ท้องใครก็ท้องใคร นั่นปากใครก็ปากใครสิ ไม่ต้องรอ ฉันไปเถิด ฉันเสร็จแล้วก็ไปล้างบาตร ตากแห้งเลย แล้วไปภาวนา เราจะฉันเวลาไหน หรือไม่ฉันเลย ก็ขอให้เป็นเรื่องของเราเถิด”

    หลวง ปู่ตื้อจึงเป็นพระรูปเดียวในวัด เป็นพระผู้นั่งฉันเสร็จเป็นรูปสุดท้าย ส่วนอาตมา (หลวงพ่อเปลี่ยน) เป็นผู้นำบาตรของท่านไปล้างทำความสะอาด เช็ดจนแห้ง แล้วก็เทกระโถนของท่านด้วย ดูเวลาพอสมควรแล้วจึงนิมนต์ท่านขึ้นกุฏิ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๗

    ท่านสอนไม่ให้ใครเอาอย่างท่าน

    หลวง พ่อเปลี่ยนได้เล่าถึงปฏิปทาของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ต่อไปดังนี้

    การ ที่ท่านเป็นพระที่พูดจาโผงผางไม่อ้อมค้อมนี้ อจลธมฺโมภิกขุ จึงเป็นที่รู้จักในหมู่พระสายกรรมฐาน และในบรรดาประชาชนทั่วไปว่า

    “ใครหน้าบาง ก็อย่าไปนิมนต์พระอาจารย์ตื้อ เพราะนอกจากท่านจะเทศน์ตรงแล้ว ยังพูดตรงอีกด้วย ถ้าใครหน้าบางเป็นนางอายละก็ฟังไม่ได้”

    หลวงพ่อ เปลี่ยนได้เล่าต่อไปว่า

    หลวงปู่ตื้อท่านมีปฏิปทาที่ไม่เหมือนใคร และใครก็เอาอย่างท่านไม่ได้ เป็นลักษณะนิสัยเฉพาะองค์ท่าน หลวงปู่ไม่เคยสอนใครให้เอาอย่างท่าน แต่ท่านสอนให้ศิษย์ทุกรูปปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้ทุกคนมีความกล้าหาญ เพราะความกล้าหาญเป็นมรดกในทางธรรมของพระพุทธเจ้า อันหมายถึงว่า ถ้าเราดีจริงๆ แล้วไม่ต้องหวั่นเกรงอันตราย ไม่มีใครจะมาทำร้ายเรา ขอให้ดีจริงๆ ก็แล้วกัน

    ความดีมีศีลธรรม มีคำสัตย์ มีคำจริง ไม่มีนิสัยหลอกลวงโลก ชี้ทางพระนิพพานได้จริง นี่เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้าที่ควรจะดำเนินจิตใจของเรา
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๘

    ตัวอย่างความกล้าและพูดตรงของหลวงปู่

    หลวง พ่อเปลี่ยนได้ยกตัวอย่างเรื่องความกล้า และพูดตรงของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ขึ้นมาตอนหนึ่งว่า

    ความกล้าตอนหนึ่งที่อาตมาจำได้ดี วันนั้นจะมีญาติโยมมาหาท่าน ท่านพูดว่า

    “เดี๋ยวจะมีผีมานั่งตรง นี้...” ท่านชี้ไปตรงที่ว่างๆ “ดูจะมีคนมานั่งที่นี่” ท่านชี้ไปอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กัน

    นั่งอยู่พักใหญ่ๆ ก็มีโยมเดินทางมาหาท่านจริงๆ มีผู้ชายมานั่งตรงที่ท่านบอกว่าผีจะมานั่ง พอนั่งแล้วก็ไม่กราบพระสงฆ์องคเจ้า นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น

    ส่วนตรงที่ ท่านบอกว่าจะมีคนมานั่ง ก็มีผู้ชายกับผู้หญิงมานั่ง ทั้งหมดมาด้วยกัน มารถคันเดียวกัน แต่แยกลงนั่งที่ต่างๆ กัน สองคนหลังกราบหลวงปู่อย่างนอบน้อม พร้อมกับพูดคุยด้วยจิตใจศรัทธาและเบิกบาน

    ครั้น คนกลุ่มนั้นขอให้ท่านแสดงธรรมะคือเทศน์ให้ฟัง ซึ่งหลวงปู่ท่านพร้อมเสมออยู่แล้วก็พูดขึ้นว่า

    เอ้า...ฟังเทศน์นะ คนนี้เขาไม่เอาพุทโธ มาถึงพระพุทธรูปก็ไม่กล้าจะกราบ มาถึงก็นั่งยังกับว่าไม่มีสัมมาคารวะ นี่เป็นผีไม่ใช่คน...”

    นี่แสดง ถึงความกล้าของท่าน ตาในเห็นอย่างไร ท่านก็พูดอย่างนั้น ไม่เกรงว่าใครจะโกรธ ใครจะฟังหรือไม่ ชอบหรือไม่ชอบ ท่านไม่ใส่ใจ

    หลวง ปู่ตื้อมักจะพูดว่า “เราเทศน์เรื่องจริง เราไม่ได้เทศน์เพื่อเอาใจใคร เอาใจผู้อื่นก็เท่ากับเลี้ยงกิเลสให้อ้วนพี เรามีความจริงใจ เราไม่ได้เทศน์เอาบุหรี่เกล็ดทองของใคร”

    หลวงปู่ตื้อท่านมีจิตใจหนัก แน่นและเปิดเผย ท่านพูดตรง จนพระเถระผู้ใหญ่บางท่านได้ห้ามปราม แต่ท่านก็ยังคงยืนหยัดเชื่อมั่นในองค์ท่าน และเหตุผลของท่านก็เป็นจริงเช่นนั้นด้วย
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖๙

    หลวงปู่ตื้อก็เคยใบ้หวย

    ดู ชื่อหัวเรื่องออกจะน่าเกลียดไปหน่อย เรื่องนี้ผู้เขียน (นายปฐม นิคมานนท์) เคยได้ยินจากพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหนและชื่อไร จำได้แต่เรื่องราว

    เรื่องมีอยู่ว่า มีญาติโยมผู้นิยมหวยกลุ่มหนึ่งมีทั้งชายและหญิง เช่าเหมารถเพื่อไปกราบโดยหวังจะได้เลขเด็ดจากหลวงปู่ ทุกคนเต็มไปด้วยความหวัง

    หลวงปู่ก็ให้การต้อนรับขับสู้ตามปกติทั่วไป พอได้จังหวะ สมาชิกที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็เจรจาเลียบเคียงขอเลขเด็ดจากท่าน

    หลวง ปู่พูดว่า “มันจะไปยากอะไร ก็อยู่ที่ตูดของพวกสูนั่นแหละ นั่งทับกันอยู่ก็ยังไม่รู้ กลับไปดูเอาเองก็แล้วกัน”

    สมาชิกกลุ่มผู้ นิยมหวยต่างนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ละคนก็ไม่เคยดู “ตูด” ของตัวเอง ขากลับจากวัดก็พากันหาสถานที่เหมาะ จอดรถแล้วพากันลง ชายแยกไปเฉพาะชาย หญิงแยกไปเฉพาะหญิง ช่วยกันพินิจพิจารณาดูตูดของกันและกัน ดูอย่างละเอียดลออทั้งนอกผ้าและในผ้า (อันนี้ผู้เขียนจินตนาการเอาเอง)

    ใน เรื่องไม่ได้บอกว่า ตัวเลขเด็ดที่ทุกคนใฝ่หานั้นสถิตอยู่ที่ชิ้นส่วนของใคร? ผู้หญิงหรือผู้ชาย?

    แต่ที่แน่ๆ... เลขที่ออก ก็คือ...เลขป้ายทะเบียนรถที่ทุกคนนั่งไปนั่นเอง

    [​IMG]
    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๐

    เรื่องบอกเล่าจากหลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก

    ศิษย์ อีกท่านหนึ่งที่มีโอกาสใกล้ชิดกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ก็คือ หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก แห่งสำนักวัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    หลวง ปู่บุญเพ็ง ไปบำเพ็ญเพียรที่เชียงใหม่ และได้อยู่อุปัฏฐากใกล้ชิดกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๗

    หลวงปู่บุญเพ็ง พูดถึงหลวงปู่ตื้อ พระอาจารย์ของท่าน ดังนี้

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นนักเทศน์โผงผาง ใครมีกิเลสมาก จะพากันรังเกียจท่าน ถ้าผู้มีปัญญาพ้นสนิมกิเลสบ้างไม่มากมาย เพียงน้อยนิด พอฟังเข้าใจได้ ก็จะศรัทธาชื่นชมกับความเปิดเผย ความจริงใจ และความเด็ดเดี่ยวของท่าน

    อย่าง เมื่อตอนที่หลวงปู่ตื้อ ท่านพักที่วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม นั่งสนทนากันอยู่หลายองค์ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ก็ได้ถามขึ้นว่า

    “ท่านตื้อ ถ้าไม่รักษาศีล ไม่เจริญสมาธิ ไม่บำเพ็ญปัญญา จะไปนิพพานได้ไหม ตอบหน่อย”

    พระดัง อย่างหลวงปู่ตื้อ เรื่องมงคลหมา ท่านก็เคยเทศน์มาแล้ว ตอบหลวงปู่อ่อนว่า

    “มี ก็จะเป็นอะไรไป ถ้าไม่รักษาศีล ก็ให้รักษาซิ่น (ผ้าถุงที่สตรีนุ่ง) ไม่เจริญสมาธิ ก็ให้รักษาช่องเข้า ไม่เจริญไม่บำเพ็ญปัญญา ก็ให้รักษาช่องขี้เท่านั้นแหละ”

    หลวงปู่อ่อน ท่านก็ว่า “โอ...ท่านตื้อนี้พูดหยาบคาย”

    “ไม่หยาบหรอกหลวงพ่อ ผมจะอธิบายให้ฟัง คืออย่างนี้

    ๑. ก็ธรรมดา ร่างกายสังขารของเรานี้ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม เครื่องนุ่งเครื่องห่มก็ต้องรักษาให้สะอาด สังขารร่างกายก็เปรียบเหมือนผ้าเหมือนซิ่น ต้องรักษาให้สะอาดอย่าให้มัวหมอง

    ๒. ไม่บำเพ็ญสมาธิ ให้รักษาช่องเข้า ก็อะไรเล่า กิเลสมันเข้าทางไหน มันเข้าช่องตา ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ลิ้น กาย และใจ ใช่ไหม? ช่องเข้าเหล่านี้เราต้องรักษาไว้ อย่าให้กิเลสมันเข้า มันจึงจะเกิดความสะอาดบริสุทธิ์ได้ จริงไหม

    ๓. ไม่บำเพ็ญปัญญา ให้รักษาช่องขี้ ก็ขี้ทุกขี้ ขี้ยาก ขี้ลำบาก ยากจน ขี้คร้าน ขี้เกียจ ขี้คุก ขี้ตะราง ขี้อิจฉาริษยา ขี้โกรธ ขี้หึง ไล่มันออกไปให้หมด อย่าให้มันเข้ามารังควานซี เท่านี้ทำได้บ่...”

    นั่นความจริงท่านไม่ เจตนาพูดคำหยาบอะไรเลย ท่านพูดความจริง บางคนไม่เข้าใจธรรมะ ฟังพระสอนมากแล้วแต่ไม่เข้าใจ ก็เพราะยังไม่เคยฟังเรื่องจริงๆ ของนักเทศน์อย่างหลวงปู่ตื้อ

    นี่แหละ ธรรมะมิใช่จะสอนให้คนโง่ ให้หลับฟุบคาพื้น ฟังแล้วอย่าให้ง่วง เราไม่ใช่พระอภัยมณีนี่นะ จึงเป่าปี่ให้หลับทั่วเมือง นี่ต้องอย่างนี้

    [​IMG]
    หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๑

    คนฟังน้อยหรือมากก็เทศน์ดุเดือดเหมือนกัน

    หลวง ปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ได้พูดถึงหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอาจารย์ของท่านต่อไปว่า

    ในระหว่างการได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ครั้งนั้นอาตมาก็มีโอกาสได้กราบหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม อำเภอแม่แตง ปากทางเข้าไปทางแม่แฝก (ปัจจุบันคือปากทางเข้าเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล) เรียกว่า วัดป่าอาจารย์ตื้อ

    พอออกพรรษา หน้าแล้ง อาตมาได้ไปฝึกฝนอบรมอยู่กับท่าน ตลอดวันตลอดคืนเลยทีเดียว ท่านเทศน์อย่างองอาจกล้าหาญ สังเกตว่า เมื่อท่านอยู่ในป่าดง มีคนฟังแค่คนสองคนท่านก็เทศน์ดุเดือดอย่างนั้น

    เมื่อท่านไปเทศน์ตาม สาธารณชน มีคนมากๆ ท่านก็เทศน์ดุเดือดอย่างนั้น

    คนฟังไม่เป็นจะเข้า ใจว่าท่านพูดหยาบคาย พระบ้าพระบออะไร จึงมาเทศน์อย่างนี้

    ความจริง แล้ว ท่านเทศน์เรื่องจริง เป็นความดีทั้งหมด นอกจากว่า คนเราไม่ชอบฟัง ไม่ชอบคนพูดตรงๆ มันคอยปกปิดความชั่วของกันและกันอยู่ แล้วมันก็เที่ยวหวังความสุขความสงบกัน จะได้ยังไง

    ธรรมะเป็นของจริง จะให้พูดแต่เรื่องเอาใจกัน พูดเรื่องไม่จริงกัน ก็หาของหาผลประโยชน์ใส่ตัวกันละนะ

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระเปิดเผย พูดจริงแล้วได้ธรรมะจริงๆ ทำตัวท่านพ้นทุกข์ได้จริง ท่านไม่เทศน์ยกยอใคร กัณฑ์เทศน์ไม่เกี่ยว เทศน์ให้ได้สติรับรู้วาระจิตจริงๆ ก็เป็นอันว่าเอาตัวรอดได้

    อาตมาก็ได้ทางดำเนินชีวิตจากท่านนี่แหละ ธรรมปฏิปทานั้นก็มีครูบาอาจารย์รูปแรก คือ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร และรูปที่สองก็หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

    ได้ ปัญญาก็เพราะหลวงปู่ตื้อ ได้ความฉลาด และวิธีแก้ปัญหาของผู้คนทั้งหลายนะ วิชาการต่างๆ ก็ได้จากท่านนะ ท่านสอน ก่อนจะสอนกรรมฐานก็ต้องมีพิธีการของท่าน

    เวลานั้น หลวงปู่แหวนท่านอยู่ที่บ้านปง (วัดอรัญญวิเวก อยู่ห่างจากวัดป่าอาจารย์ตื้อประมาณ ๓ กิโลเมตร) ทั้งสององค์ไปมาหาสู่กันเสมอๆ เคยได้ฟังธรรมะจับใจจริงๆ เมื่อฟังหลวงปู่สองท่านพูดคุยธรรมะกัน

    หมายเหตุ : หลวงปู่บุญเพ็ง เคยไปโปรดที่บ้านผู้เขียน ๒-๓ ครั้ง ท่านได้รับการถ่ายทอดบุคลิก ปฏิปทา และลีลาการเทศน์มาจากหลวงปู่ตื้ออย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะลีลาการเทศน์ที่ดุดัน พูดจริง พูดตรง ไม่เทศน์เพื่อเอาประโยชน์หรือเอาใจใคร เป็นพระวิปัสสนาที่ยอดเยี่ยมองค์หนึ่งในปัจจุบัน

    [​IMG]
    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๒

    ปฏิปทาหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม

    ใน ระหว่างที่หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ได้ไปอยู่ภาวนากับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม นั้น ท่านได้เล่าถึงปฏิปทาครูบาอาจารย์ ดังนี้

    ประสบการณ์ที่เคยได้อยู่ กับครูบาอาจารย์น่ะ รูปอื่นๆ เช่น หลวงปู่สิม น่ะ ท่านก็เป็นพระเถระที่เงียบๆ ไม่ค่อยจะพูดอะไรนัก เมื่อสอนธรรมะเท่านั้นที่หลวงปู่จะพูดสอนนานๆ ส่วนเวลาที่นั่งดื่มน้ำชาร่วมกับพระอื่นๆ ท่านพูดน้อยมาก ไม่ถามไม่ตอบ

    เมื่อ ได้อยู่กับหลวงปู่ตื้อ โอ...ท่านพูดเก่งมาก สอนธรรมะนี่ ทั้งวันทั้งคืนไม่จบสิ้น ฟังจนขึ้นใจ จำคำพูดของท่านได้หมด

    ส่วนหลวง ปู่แหวนนี่ ท่านเงียบเลย ไม่ถามไม่ตอบ ไม่ถามไม่พูดอะไรเลย


    หลวง ปู่ตื้อนั่นท่านพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ พอค่ำมาก็นำทำวัตร สวดมนต์ ทำวัตรเสร็จท่านก็หันหน้ากลับมา ที่นี้ท่านจะเทศน์สอน การปฏิบัติทางจิตให้เกิดความสงบอย่างไร อะไรที่วุ่นวายท่านให้จับตัวนั้นให้ได้ มองดูภายใน พอได้เห็นชัดอย่างนั้น ก็สามารถกำหนดความดีเข้าสู่จิตใจได้แล้ว ท่านว่าอย่างนั้น

    หลวงปู่ ตื้อท่านเทศน์เท่าไรๆ อาตมานั่งฟังได้ตลอด จะเป็น ๒ ชั่วโมง หรือ ๓ ชั่วโมง ก็สุดแท้แต่ สามารถนั่งฟังได้ตลอดเวลา
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๓

    ต้องเทศน์สอนตัวเองด้วย

    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก เล่าต่อไปว่า

    อยู่ กับหลวงปู่สิม พุทฺธจาโร ที่วัดสันติธรรมในตัวเมืองเชียงใหม่ ๒ พรรษา (พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๔) มีโอกาสได้ไปฟังเทศน์หลวงปู่ตื้อ เพื่อแลกเปลี่ยนคำสอนและสถานที่อยู่หลายครั้ง

    อย่างกับในฤดูหนาวอีก ปีหนึ่ง พอนั่งสมาธิได้ เอาผ้าคลุมศีรษะไว้ เพราะมันหนาวจริงๆ เย็นเฉียบเลย นั่งนิ่ง พอจิตมันรวมแล้ว อะไรก็ช่าง หนาวก็ไม่รู้จัก ร้อนก็ไม่วุ่นวาย ทำความเพียรตลอด

    หลวงปู่ตื้อท่านก็เทศน์ ๒-๓ ชั่วโมงเลยเหมือนกัน ท่านเทศน์นะ ท่านสอนตัวของท่านเองด้วย ท่านอธิบายว่า

    “ตนเองเทศน์เอา ความดีให้คนอื่นๆ ได้ ตัวเองก็ควรฟังเทศน์ด้วย จึงจะถูก เราผิดเราแก้ไขได้ ถ้าเทศน์สอนคนอื่นได้ แต่ตัวเองยังมีทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบอยู่ ทำอะไรก็เป็นปัญหา เอาอะไรก็ต้องดีต้องเด่น อย่างนี้นะ สอนคนอื่นไม่ได้หรอก ยังโกรธ ยังมีความลุ่มหลงอยู่เป็นธรรมะดำ”

    ธรรมะของหลวงปู่ตื้อ คนที่ฟังได้ก็ไม่มีอะไรทำให้สะดุด แต่ถ้าหากว่าคนฟังไม่ได้ คิดว่าท่านพูดคำหยาบ พูดอะไรไม่ได้สาระ ท่านเทศน์แบบชนหักไปเลย ไม่มีการอ้อมค้อม

    คนถูกชนด้วยคำพูดคำเทศน์ของท่านนะ ก็มีหลายคนแตก หลายคนร้าว ต่อมาภายหลัง เมื่อคนเหล่านั้นคิดได้ ก็มากราบมาทำบุญกับท่านอีก ทั้งนี้คงเข้าใจคำพูดของท่านนะ

    ธรรมะของท่านหลวงปู่ตื้อ ก็มีอยู่ในคำเทศน์ของอาตมา อาจขวางทางกับเทศน์ของคนอื่นๆ บ้างก็ได้นะ

    [​IMG]
    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก
     

แชร์หน้านี้

Loading...