หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม : พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุปัน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 พฤศจิกายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๔

    ฟังเทศน์ของหลวงปู่ครั้งแรกไม่เข้าใจ

    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก เล่าให้ฟังต่อไปว่า

    ตอนแรกที่ฟังเทศน์ของหลวงปู่ตื้อนะ อาตมาฟังแล้วไม่เข้าใจ คิดว่านี่ท่านพูดอะไรของท่าน

    จำได้ว่าท่านมา เทศน์ในงานฉลองพัดของหลวงปู่สิม ที่วัดสันติธรรมนะ ท่านเทศน์นานตั้ง ๒ ชั่วโมง ฟังไม่เข้าใจเลย เลยลุกขึ้น กลับมานอนในกุฏิ จิตใจมันไม่ยอมรับเป็นเหมือนกันนะ อันนี้ญาติโยมต้องระวัง

    การฟัง ธรรมะแล้วเราไม่เข้าใจ จงพยายามหลบหลีกไปพิจารณาเสียก่อน อย่าด่วนตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์ แต่ถ้าหากท่านเทศน์เลอะเทอะจริงๆ คือนอกเหตุนอกผลตามแนวทางของพระพุทธองค์ การตำหนิก็ไม่มีบาป

    แต่ถ้า ท่านเทศน์ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เราตำหนิท่าน ต้องเป็นบาป

    ธรรมะ ทั้งหลายเป็นของละเอียด ต้องอาศัยสมาธิจึงจะรู้เรื่องได้นะ

    ถ้าหาก เรายิ่งได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ก็ยิ่งวิเศษมาก ท่านจะได้เทศน์ให้เราฟังทุกวันๆ เช่นเดียวกับอาตมาได้อาศัยนั่งฟังเทศน์หลวงปู่สิมทุกวัน ทั้งเช้าทั้งเย็นตลอดพรรษา จิตเกิดความรู้ความฉลาดในทางธรรมขึ้นมา

    ที่ ฟังธรรมะของหลวงปู่ตื้อไม่รู้เรื่องน่ะ ก็เพราะเรายังไม่มีพื้นฐาน จึงยืนยันได้ว่า พื้นฐานในการปฏิบัติทางจิต เรื่องพระธรรมกรรมฐานที่เข้าใจได้ ก็เพราะว่าได้พื้นฐานจากหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ตั้งแต่นั้นมาเลยเข้าใจคำสอนของท่านแจ่มแจ้งขึ้นอีกแยะเลย

    นี่ เป็นประสบการณ์ในทางธรรมะ ในทางบำเพ็ญภาวนา ด้วยจิตใจมีความเชื่อว่า กรรมฐานให้ผลมากคือความสงบสุข และก็ได้จริงๆ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๕

    หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวน

    หลวง ปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ได้เมตตาเล่าย้อนความหลังครั้งที่ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

    ในระหว่างพรรษาที่จังหวัด เชียงใหม่นั้น อาตมาได้ภาวนา เดินจงกรม ฝึกฝนตนเองอยู่ ณ วัดสันติธรรม อยู่กับหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

    แต่เมื่อออกพรรษาเป็นหน้าแล้ง ก็ได้ไปอยู่บำเพ็ญภาวนา ออกเดินธุดงค์กับหลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่แหวน

    หลวง ปู่ตื้อท่านพูดเก่งมาก ช่างพูดช่างคุย มีอะไรดีๆ ท่านก็นำมาบอกมาเล่าตลอด ไม่เคยปิดบัง และไม่เคยคิดรังเกียจที่จะสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเลย

    ส่วน หลวงปู่แหวนท่านไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว สมัยนั้นท่านไม่พูดกับคนหรอก

    หลวง ปู่ตื้อท่านเป็นพระที่พูดจริงทำจริง ท่านเอาชีวิตของท่านออกบำเพ็ญภาวนาเพื่อหาทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ออกภาวนาเพื่อหาทางเอาใจญาติโยม ไม่เคยเข้าใจใคร ถ้าผิดท่านแย้งแบบฝ่ายค้าน หัวชนดังกึกเลย ไม่ยอมท้อ ไม่หวั่นเกรงอะไรเลย

    แต่ ถ้าผิดจากวินัย ท่านไม่เอาด้วย ท่านมีปัญญาพิจารณา ถ้าไม่ควร ท่านก็ไม่พูด ไม่ยุ่งเกี่ยว ท่านออกป่า เอาบาตรคล้องคอ มือซ้ายหิ้วกาน้ำ มือขวาคว้ากลด ออกแน่วเข้าป่าไปเลย

    หลวงปู่แหวนก็เหมือนกันไม่ชอบยุ่งกับคน เข้าป่าเงียบ ใจท่านดุจพญาราชสีห์ เด็ดขาดมากทั้งสองรูป

    รูปหนึ่ง ท่านพูดไม่หยุด คือหลวงปู่ตื้อ อีกรูปหนึ่งไม่ชอบพูด เงียบสนิท คือหลวงปู่แหวน แต่การปฏิบัติที่ล้ำลึกของครูอาจารย์ทั้งสองท่านนั้น ใครไม่อาจรู้ได้ นอกจากตัวของท่านเอง

    หมายเหตุเพิ่มเติม : ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากหลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ว่า พวกภูตผีปีศาจกลัวหลวงปู่ตื้อ พวกงูและสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ กลัวหลวงปู่แหวน ส่วนเรื่องอาหารการขบฉัน หลวงปู่ตื้อไม่ชอบฉันกล้วย แต่หลวงปู่แหวนท่านชอบฉันกล้วย หลวงปู่ทั้งสององค์ท่านจึงไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๖

    ตอบคำถามเกี่ยวกับนิมิตต่างๆ

    คำ เล่าของหลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ต่อไป มีดังนี้

    อาตมาจะเล่า ประสบการณ์เท่าที่หลวงปู่ตื้อท่านเล่าให้ฟัง ก็เพราะท่านตอบคำถามของอาตมาเกี่ยวกับนิมิต ความรู้ความเห็นตลอดถึงการนั่งสมาธิสู้กับผีต่างๆ

    หลวงปู่ตื้อท่าน ว่า นิมิตมีหลายแบบ นิมิตนะดีก็มีมาก นิมิตหลงก็มีมาก แต่มันจะดีหรือมันจะหลอกนั้น ผู้ภาวนาเป็นมันจะรู้เองหรอก คนที่ถูกนิมิตหลอกก็เพราะภาวนาไม่เป็น มันหลงทางนะ

    ก็ถ้านิมิตมัน หลอกเอาคนไปกินจริง พระพุทธเจ้า พระสาวกเจ้า ครูอาจารย์ ก็คงเหลือแต่กระดูกเท่านั้นซี

    คนฉลาด มีปัญญา นิมิตมาหลอกไม่ได้หรอก คนโง่ นั่งเซ่อไม่ลืมหูลืมตาต่างหาก ที่นิมิตพาไปบ้าบอเสียสตินะ ก็สติมันเสียแต่แรกแล้วนะ คนเช่นนั้นน่ะ

    นี่หลวงปู่ตื้อ จึงพูดว่า คนเราเกิดมามีทุกอย่างในตัว มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีสติ มีความดี มีความโง่ มีปัญญา อยู่ในนั้นแหละ เว้นแต่ว่าเรายังไม่ได้ฝึก เราก็ยังไม่รู้

    เมื่อได้ฝึกอบรม มีองค์พระพุทโธอยู่ในจิตใจแล้ว สมควรแล้ว ก็จะรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น

    ที่ว่า รู้ รู้อะไรน่ะ ก็รู้เท่าทันกิเลส คนมีปัญญาต้องรู้อย่างนี้นะ อย่าไปรู้เรื่องอื่นๆ ยิ่งไปกว่ารู้เท่าทันกิเลส

    เห็นน่ะเห็นอะไร เห็นหนทางที่จะฆ่าจะดับกิเลส เปิดประตูเข้าพระนิพพานไป อย่าไปเห็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เห็นนะ อย่าไปเห็นว่าเป็นผัว อย่าไปเห็นว่าเป็นเมียเขามาก่อนในอดีตชาติ เป็นต้น

    อย่างนี้หลวงปู่ ตื้อ เคยเปรียบเทียบว่า “มันมองเห็นเลย ผ้าซิ่นของเขานี่ มันเป็นปัญหานี่ มันเป็นทุกข์นี่ มันไม่มีปัญญาหลบนี่ มันก็เข้าไหปลาร้าเก่าแหละเว้ย”

    นี่ แหละ พระพุทธเจ้ารู้ชัดว่า พระองค์จะขนหมู่มนุษย์ไปได้ไม่หมด เอาแต่คุณภาพ คือผู้มีปัญญาไปนิพพานได้เป็นส่วนน้อย เหมือนใบไม้ในป่า พระองค์เอาไปได้แต่กำมือเดียวเท่านั้นรู้ไหม ท่านว่าอย่างนี้

    นิมิต ที่เกิดจากจิตภายในนั้น เราจะต้องฝึกให้เกิดความเห็นที่ถาวร ทำอย่างไร?

    หลวง ปู่ตื้อท่านให้ข้อคิดแก่อาตมา ดังนี้

    “เรื่องสมาธิ เรื่องนิมิต ถ้าหากได้ภาวนาอยู่เสมอๆ ไม่มีตัวอยากจนเกินไป อยากรู้อยากเห็นนะ เป็นตัวกิเลสใหญ่ทีเดียวแหละ”
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๗

    ยกนิมิตของหลวงปู่มั่นเป็นตัวอย่าง

    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก เล่าต่อไปว่า

    ที่ นี้ผู้ภาวนาเกิดเห็นสิ่งต่างๆ (นอกจากตาเห็น) ได้จริงหรือไม่นั้น หลวงปู่ตื้อได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้นะ

    สมัยที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านอยู่ที่บ้านหนองผือนาใน (อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร) โน้น สมัยก่อนมันเป็นป่าดงพงไพรทั้งนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นทุ่งนาของญาติโยม ทุ่งนาก็ดี ป่าก็ดี เวลานั้นลำบากเรื่องน้ำใช้น้ำอาบมาก ทีนี้มันมีลำธารอยู่แห่งหนึ่ง ทุกวันหลวงปู่มั่นท่านจะลงไปตักน้ำสรงเสมอๆ พอท่านเดินไปถึงริมลำธารท่านจะถอดรองเท้า แล้วเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง จึงวกกลับมาตักน้ำสรงตัวท่าน

    พอได้สรงน้ำเสร็จ ท่านก็เดินอ้อมไปหยิบรองเท้าแล้วเดินกลับกุฏิไป

    หลายๆ ครั้งเข้า พวกชาวบ้านเขาเห็นนี่นะว่าทำไมหลวงปู่มั่นไปถึงตรงนั้น แล้วถอดรองเท้าเดินอ้อมไปอีกทางก่อนจะวกมาอาบน้ำ สรงน้ำที่ริมธารนั้น

    ความ จริงท่านเดินตรงไปอีกนิดเดียวก็ถึงลำธารแล้ว ทำไมท่านจะต้องถอดรองเท้าไว้ แล้วเดินอ้อมที่ตรงนั้นไป

    หลวงปู่มั่นท่านก็ไม่ได้บอก ไม่ได้เล่าเหตุผลของท่าน ท่านคงทำอยู่อย่างนั้นเป็นประจำอยู่หลายปี จนท่านอาพาธหนัก ต้องช่วยกันแบกหามแคร่ของท่านเดินทางไปวัดป่าสุทธาวาส ในตัวจังหวัดสกลนคร แล้วท่านก็ละสังขารไป

    เอาแล้วซิครับ...เป็นปัญหา ที่ผู้สนใจจะต้องหาคำตอบ ฝากเป็นการบ้านก็แล้วกันนะครับ ใครรู้คำเฉลยช่วยบอกผู้เขียนด้วยครับ กราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    หมายเหตุเพิ่มเติม : เขียนไปค้นเจอในภายหลังว่า ชาวบ้านหนองผือสงสัยว่า ทำไมหลวงปู่มั่นจึงต้องถอดรองเท้าและเดินอ้อมที่ตรงนั้นทุกครั้ง หลังหลวงปู่มรณภาพแล้ว ได้พากันขุดดู ก็พบพระพุทธรูปฝังดินอยู่ ณ สถานที่นั้น จึงอัญเชิญขึ้นมาไว้สักการบูชาต่อไป

    ข้อคำถามตามมาคือ เดี๋ยวนี้พระพุทธรูปองค์นั้นอยู่ที่ไหนครับ?
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม


    ๗๘

    หลวงปู่ครับ ผีมีจริงหรือเปล่า?

    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ได้เล่าต่อไปว่า

    อาตมาจะขอ เล่าต่อไปนะ...

    คนสงสัยมันสงสัยเรื่อยแหละ อาตมาถามหลวงปู่ตื้อว่า “หลวงปู่ครับ มีผีจริงหรือเปล่า?”

    “อ้าว...มีซิ ถ้าสงสัยไปถามท่านแหวนดูก็ได้ ผีมีจริงนะ...”

    แล้วหลวงปู่ตื้อก็เล่า เรื่องหลวงปู่แหวนว่า “เดือนที่ไปภาวนาใหม่ๆ เวลานั้น เราก็ดี ท่านแหวนก็ดี เพิ่งจะฝึกภาวนาใหม่ๆ เป็นพระมหานิกายอยู่ ยังไม่เคยได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หรอก เวลานั้นยังเป็นมหานิกาย แต่ก็อยากเดินธุดงค์กรรมฐานแสวงหาความจริง”

    ทีนี้หลวงปู่ตื้อท่านก็ เล่าให้ฟังว่า ท่านไปธุดงค์กันสองรูปนั่นแหละ ไปทางพม่า แล้วกลับมาทางกอกะเรก เข้าทางอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นะ

    ที่นี้ก็พา กันไปพักยังศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งกลางป่านั่น สมัยก่อนไม่มีผู้คนหรอก

    มา ถึงฝั่งไทยก็เหน็ดเหนื่อยมาก จึงมาพักอยู่ที่ศาลาหลังนั้น แขวนกลดคนละมุมศาลา

    “เรานอนอยู่มุมหนึ่ง ท่านแหวนก็นอนอยู่มุมหนึ่ง คืนแรกสบายดี จนรุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาต ได้อาหารมาแล้วก็กลับมาฉันที่ศาลา

    พอ วางสิ่งของและบาตรเท่านั้นเอง ท่านแหวนนั่งลง เอามือยันไปข้างหน้ากับพื้นกระดานนะ ผีเล่นงานท่าน ขากรรไกรแข็งหมด ท้องแข็งหมด น้ำลายไหลไม่หยุด”

    หลวงปู่ตื้อคิดว่าหลวงปู่แหวนท่าน เป็นลมหรือไง

    “เอ...ท่านแหวนๆ” เรียกอย่างนั้น “เออ...ก็ไปบิณฑบาตกลับมาดีๆ อยู่นี่นะ เอาแล้วซี”

    เข้าที่ ทำจิตดูก็รู้ว่า “นี่มันผีนี่นะ” ว่าแล้วหลวงปู่ตื้อก็ทำท่าขู่ผี

    ด่า เลย ! ด่าผี เวลานั้นการปฏิบัติยังอ่อนทั้งคู่ ไม่มีคาถานี่นะ เลยด่าเอา ผีก็ยังไม่กลัว ด่ามันก็ไม่กลัว ก็เลยหาอุบายใหม่ เอาใบไม้แห้งๆ นำมากองไว้ แล้วก็จุดไฟขู่เลย “เอาละ ถ้าหากไม่ไปนะ จะเอาดุ้นฟืนที่ติดไฟแดงๆ นี่เผาเสียเลย ผีมันไม่กลัวไฟให้มันรู้ไปซี”

    ว่าแล้วก็เอาไม้ขีดจุด ไฟ เอาดินแห้งๆ ก้อนโตๆ มาเผา เผาจนแดง แล้วก็เอาไม้มาคีบ ทำเป็นเหมือนคีมหนีบยื่นเข้ามา แล้วก็ขู่ว่า “เอาละ ถ้าไม่ออกจากร่างพระสงฆ์องคเจ้า ไม่เกรงกลัวบาปกรรมละก็เราจะเผาให้ตายจริงๆ”

    หลวงปู่ตื้อท่านทำจริง นะ ด่าก็เก่ง ทำก็เก่ง เอาซีทีนี้ ท่านจะเผาผีด้วยดินจี่ (จี่ แปลว่า เผา เป็นภาษาอิสาน) ร้อนๆ ยื่นเข้าไปข้างหน้าของหลวงปู่แหวน

    “เอาละนะ วันนี้ถ้าเจ้าไม่ออกไป ข้าจะเอาตายเลยวันนี้ว่ะ...มาเล่นกับตาตื้อหรือไง เอาละ...”

    ว่าแล้วก็เอาดินจี่จี้ลงบนหัวของหลวงปู่แหวนจริงๆ เท่านั้น ผีออกเลยทีเดียว หลวงปู่แหวนกระดุกกระดิกตัวได้ก็พูดออกมาว่า “บ๊ะ มันจะเอาตายจริงๆ นะ ท่านตื้อ !”

    วันนั้น พอฉันเสร็จ ล้างบาตรเสร็จ ก็เตรียมตัวออกเดินธุดงค์ต่อไป อยู่ไม่ได้ หลวงปู่แหวนเก็บกลดห่มผ้าแล้วออกเดินเลย

    หลวงปู่ตื้อไม่ยอมไป บอกหลวงปู่แหวนว่า “ไปรอข้างหน้านะ ผมจะจัดการกับผีตัวนี้ให้ได้”

    หลวง ปู่แหวนท่านไม่ฟังเสียง ออกเดินธุดงค์ไปเลย ไม่อยู่แล้ว “ท่านตื้อจะอยู่ก็อยู่ไปเถิด ผมไปก่อน”

    หลวงปู่ตื้อก็ว่า “เอาเถิดๆ ไปรอข้างหน้าก่อน ผมจะพิสูจน์กับผีสักหน่อย แล้วจะตามไป”

    หมายเหตุเพิ่มเติม : ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามครูบาอาจารย์ว่า ทำไมสมัยนี้ ผีไม่ดุเหมือนสมัยก่อนๆ ได้รับคำตอบว่า เพราะพระธุดงค์ได้ไปช่วยปลดปล่อยวิญญาณให้ได้ไปผุดไปเกิด และให้เลิกมิจฉาทิฏฐิต่างๆ รวมทั้งสอนประชาชนให้เลิกเรื่องการนับถือ การเส้นสรวงภูตผีวิญญาณต่างๆ ด้วย

    ผู้เขียนกราบเรียนถามอีกว่า ที่ไหนผีดุที่สุด? องค์ที่เคยลงใต้ก็บอกว่า ที่ป่าช้าบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนหลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ท่านก็ว่า ที่ผานกเค้า จังหวัดเลย ก็แล้วแต่ประสบการณ์ของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗๙

    ผีผู้หญิงจะเอาหลวงปู่แหวนไปทำผัว

    ดู ชื่อหัวเรื่องค่อนข้างอาจหาญมาก ผู้เขียนกราบขออภัยต่อหลวงปู่ด้วยครับ

    หลวง ปู่ตื้อนั่งอยู่บนศาลานั้น ตกกลางคืนท่านสวดมนต์ไหว้พระ ไม่มากหรอก ท่านให้เหตุผลว่า

    “ไม่สวดมนต์มาก เอาพอเป็นพิธีนิดๆ หน่อย หรือพอสาบานน้ำไม่ให้ไหลได้เท่านั้น !”

    (คำนี้เป็นปริศนาธรรม ลองพิจารณาดูก็พอจะคิดออก แต่ผู้หญิงคงเข้าใจลำบากหน่อย ผู้ชายมีโอกาสคิดได้มากกว่า - ผู้เขียน)

    เออ...นั่นท่านสวดมนต์พอ เป็นพิธี พอสาบานน้ำไม่ให้ไหลได้เท่านั้น...พิจารณาเอาเองนะ เสร็จแล้วท่านก็นั่งภาวนา จิตสงบดี สว่างทั่วบริเวณนั้น

    ผีผู้หญิงก็ มาปรากฏเข้ามาเลย ปรี่เข้ามาหา เสร็จแล้วท่านก็เพ่งจิตเข้าใส่ บอกว่า หยุด !

    “เจ้า ไม่รู้จักพระสงฆ์ผู้มีศีลมีธรรมเลยจริงๆ เจ้าจะเอาอะไร? เจ้ามาจากไหนวะ? เจ้าผีร้าย”

    ผีก็ตอบว่า “ใช่แล้ว ฉันเป็นผีตายทั้งกลม ลูกตายในท้อง เขาเอามาฝังไว้ที่นี่”

    “อ้าว ! เจ้าใช่ไหมที่ทำพระสงฆ์ท่าน?”

    “ใช่ !”

    “แล้วทำท่านทำไม บาปกรรมรู้ไหม?”

    ดิฉันชอบพระรูปนั้น ท่านสวย ท่านหล่อดี ฉันชอบท่าน จะเอาพระรูปนั้นไปทำผัว”

    หลวงปู่ตื้อ ได้ฟังก็พูดว่า

    “โอ...ท่านแหวนนี่มีเสน่ห์หลายนะ ผีจะเอาทำผัวน่ะ เกือบมิล่ะ...เจ้ามันเป็นบ้านะเออ พระเจ้าท่านมาหาบำเพ็ญภาวนา หาศีลหาธรรม ละเว้นกิเลสตัณหา จะมาเอาท่านเป็นผัว เป็นบาปกรรมนะ เวลานี้เจ้าก็เป็นเปรตเป็นผีอยู่จะให้ตกนรกมากกว่านี้หรือ ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่าทำพระป่าพระธุดงค์นะ เห็นท่านก็อนุโมทนาสงเคราะห์ท่านซี จะได้ไปเกิด...เอาเจ้ารับศีลเดี๋ยวนี้...”

    นั่น...หลวงปู่ตื้อ ท่านให้ผีรับศีลเลย สอนศีลห้าให้ จนผีตัวนั้นลดละทิฏฐิลง ยอมรับความดีงาม

    แรกๆ มันไม่รู้ มันบอกไม่รู้ว่าเป็นพระเป็นเจ้า “หลวงปู่แหวนตอนเป็นพระรุ่นหนุ่ม ท่านผิวขาว งามหลายนะ มันก็จะเอาไปเป็นผัวละซี”

    หลวงปู่ตื้อท่านเล่าว่า “เราอยู่ที่ศาลาหลังนี้เป็นเวลา ๑ เดือน อยู่สอนผีตนนั้นให้รู้จักทำดีบ้าง อย่างน้อยก็จะเป็นวิสัยตามส่ง เราก็แผ่เมตตาให้ ทำบุญให้บ้าง จนผีผู้หญิงนี้ค่อยๆ สุขสบายขึ้น”

    แล้วหลวงปู่ตื้อจึงเดินทางมุ่งไป ทางจังหวัดเชียงใหม่ ไปพบหลวงปู่มั่น พบหลวงปู่แหวน ที่วัดเจดีย์หลวง ในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วญัตติเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตเป็นศิษย์ติดตามหลวงปู่มั่นต่อไป

    โอ ! ขนาดผี หลวงปู่ยังเมตตาถึงเพียงนี้ เสียสละเวลาให้ถึง ๑ เดือนเต็มๆ แล้วลูกศิษย์ที่เป็นคนละ? ท่านจะเมตตาและเสียสละให้สักเพียงไรหนอ? นี่แหละครูบาอาจารย์ที่แท้จริง...สาธุ...ขอกราบแทบเท้าหลวงปู่ด้วยเศียร เกล้า
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๐

    เมตตาธรรมของหลวงปู่

    หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ได้เล่าถึงคำสอนของหลวงปู่ต่อไปว่า

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านสอนอาตมาว่า การเดินธุดงค์อยู่ป่าดงพงไพร ทำความสงบทางใจ ทำไปเพื่อความสิ้นทุกข์นั้น ต้องอาศัยอย่างมากเรื่องของภาวนาธรรมนะ

    อีก ประการหนึ่ง เราดำเนินไปเพื่อหนทางแห่งการสร้างบารมี ไม่ใช่ว่าจะนั่งเฉย ไม่มีเมตตาปราณี ไม่ทำจิต - กิจอันชอบด้วยธรรม มีเมตตากรุณา เป็นต้น

    เหมือน อย่างที่เราได้เล่าให้ฟังมานั่นแหละ เป็นเรื่องของวิญญาณ เป็นเรื่องที่เราเห็น ก็ควรช่วยเหลือโปรดสัตว์ เมื่อมาปรากฏ วิญญาณเหล่านี้เขามีทุกข์อย่างมาก จึงต้องค่อยๆ โปรด ค่อยๆ สอนมันไป เพื่อให้วิญญาณเหล่านั้นได้เลื่อนภพภูมิของมันบ้าง

    “ช่วยมัน” ท่านว่า ไม่งั้นจะเป็นเปรตเป็นผีอยู่อย่างนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด ผุดเกิดก็ไม่ได้ บาปบุญคุณโทษก็ไม่รู้

    นี่การเดินธุดงค์นะ เดินธุดงค์ไปก็สอนธรรมะให้ประชาชนบ้าง เขาจะได้มีหูตาสว่าง ดำเนินชีวิตได้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

    นี่เป็นคำสอนของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ใครจะเชื่อหรือไม่ ต้องพิจารณาเอาเอง

    ผีเข้าหลวงปู่แหวน ก็เป็นคำบอกเล่าจากหลวงปู่ตื้อ แต่เป็นเมื่อครั้งที่ท่านทั้งสองจะเริ่มภาวนา

    แต่...กาลต่อมา ผีจะกล้าเฉียดท่านหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ อย่าว่าแต่ผีเลย เสือสางช้างป่าท่านก็ไม่หวั่นไหว

    แม้ความตาย ท่านก็ไม่เคยเกรงกลัวด้วยซ้ำไป

    [​IMG]
    หลวงปู่รินทร (ลิ้นทอง) กิตฺติสทฺโท
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๑

    เรื่องจากหลวงปู่ลิ้นทอง หาดใหญ่ สงขลา

    ศิษย์ที่เคยมีโอกาสอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ ตื้อ อจลธมฺโม อีกท่านหนึ่งคือ หลวง ปู่รินทร (ลิ้นทอง) กิตฺติสทฺโท แห่งวัดพุทธิการาม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ท่านได้กรุณาถ่ายทอดประสบการณ์ลงในหนังสือโลกทิพย์ ดังต่อไปนี้

    วันนั้นเป็นวันโกน หลวงปู่ตื้อท่านกำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชียงใหม่กลุ่มหนึ่งมากราบท่านในเวลานั้นพอดี คุณนายท่านหนึ่งอยากได้เส้นผมของหลวงปู่ จึงบอกกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ว่า

    “ตุ๊ เจ้าๆ ช่วยเก็บเกศาของหลวงปู่ไว้ให้ด้วยน่ะ”

    หลวงปู่ตื้อท่านได้ยิน จึงบอกคุณนายท่านนั้นไปว่า “อย่าเลยนะคุณนาย เดี๋ยวอาตมาจะให้อะไรดีๆ”

    คุณ นายท่านนั้นแสนจะยินดี เมื่อหลวงปู่บอกจะให้อะไรดีๆ จึงไม่ติดใจที่จะเอาเส้นเกศาของท่าน

    พอปลงผมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาน้ำราดให้เส้นเกศาที่โกนแล้วนั้น ไหลไปกับน้ำจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ไปสรงน้ำ เรียบร้อยแล้วจึงออกมาสนทนากับญาติโยม

    คณะชาว เชียงใหม่สนทนาธรรมอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจะถึงเวลากลับ คุณนายท่านนั้นจึงได้ทวงถาม “อะไรดีๆ” จากหลวงปู่

    “หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปู่บอกว่าจะให้อะไรดีๆ แก่ดิฉันล่ะเจ้าคะ”

    หลวงปู่ตื้อท่าน ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า

    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ”

    แล้วท่านก็พูดต่อ ไปว่า

    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว พระในประเทศทุกรูปจะต้องมี จะต้องถือพุทโธ ธัมโม สังโฆ ถ้าพระรูปใดไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว รู้ได้เลยว่าพระรูปนั้นเป็นพระปลอม ขนาดขึ้นบ้านใหม่ยังต้องว่า พุทธัง สรนัง คัจฉามิ ธัมมัง สรนัง คัจฉามิ สังฆัง สรนัง คัจฉามิ เลย”

    นี่แหละ อะไรดีๆ ที่หลวงปู่ตื้อ ท่านมอบให้คุณนายท่านนั้น
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๒

    ก็ไปถามหัวตอดูซิ

    หลวงปู่ลิ้นทอง ได้เล่าเรื่องอำนาจพลังจิตของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ดังนี้

    กล่าวกัน ว่าอำนาจพลังจิตของหลวงปู่ตื้อนั้นยอดเยี่ยมมาก อย่าว่าแต่วัตถุสิ่งของที่ท่านปลุกเสกอธิษฐานจิตให้เลย แม้แต่ที่ที่ท่านปัสสาวะรดใส่ยังยิงไม่ออกเลย

    เรื่องนี้เป็นเรื่อง จริง ไม่ใช่เรื่องเอามาคุยโม้กันเล่นๆ เคยมีคนเอาปืนไปลองยิงมาแล้ว ปืนยิงไม่ออก กระสุนไม่ลั่น ลูกศิษย์ผู้ที่เอาปืนไปลองยิงนั้นถึงกับตกใจ ประหลาดใจ รีบวิ่งไปกราบเรียนถามหลวงปู่ แทบฟังไม่เป็นศัพท์เป็นภาษา “หลวงปู่ๆๆ ผมเอาปืนไปยิงหัวตอ ทำไมปืนยิงไม่ออกละครับ?”

    หลวงปู่ ตื้อ ท่านตอบสวนมาทันทีว่า

    “ก็ไปถามหัวตอดูซิ จะมาถามอาตมาทำไม”
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๓

    ผมของกูไปลักควายพ่อมึงหรือ

    หลวงปู่ลิ้นทอง ได้เล่าเกี่ยวกับเรื่องอำนาจพลังจิตและวาทะของหลวงปู่ ต่อไปอีกว่า มีบางคนคิดพิเรนเล่นแปลกๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ถึงกับเอาเส้นเกศาของหลวงปู่ตื้อ ที่ท่านโกนทิ้งแล้วเอาไปลองยิงดู

    ปรากฏ ว่า ยิงไม่ออก !

    พอลงมือยิง ปืนไม่ลั่น ก็รีบมาบอกหลวงปู่ตื้ออีกเช่นกัน เพื่อหวังว่าจะให้หลวงปู่ชมที่ตนเองค้นพบความมหัศจรรย์ ถือว่าเป็นคุณความดีเกิดขึ้นกับตัว

    “หลวงปู่...หลวงปู่ครับ ผมลองเอาปืนยิงเส้นเกศาของหลวงปู่ดู มันยิงไม่ออกนะครับหลวงปู่”

    หลวง ปู่ตื้อย้อนถามเสียงดังว่า “ผมของกูไปลักควายพ่อมึงหรือ ผมของกูไปนอนกับแม่มึงหรือ มึงเอาผมกูไปยิงทำไม ทำอย่างนี้แสดงว่าไม่เชื่อกันน่ะสิ”

    แม้หลวงปู่ท่านจะกล่าวด้วยคำพูด ที่ดุดัน แต่สีหน้าอาการสงบเงียบ แสดงชัดว่าการดุด่าของท่านมิได้เป็นไปด้วยอารมณ์ปุถุชน แต่เป็นการเตือนสติให้พิจารณาถึงสิ่งอันควรไม่ควร

    เป็นไงละครับ คำพูดของท่านตรงดีไหม?
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๔

    เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง

    คำ บอกเล่าของหลวงปู่ลิ้นทอง อีกเช่นกัน

    พวกเครื่องรางของขลังต่างๆ นี้หลวงปู่ตื้อ ท่านไม่ชอบเอามากๆ อันนี้เป็นปฏิปทาที่โดดเด่นในลูกศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

    พระ ป่าท่านไม่ติดยึดกับเรื่องเหล่านี้ การที่ท่านยอมให้ทำเหรียญ ทำพระต่างๆ หรือไปร่วมพิธีปลุกเสกต่างๆ นั้นถือเป็นการอนุโลม ทำด้วยจิตเมตตา ให้ใช้เป็นเครื่องระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย มั่นใจในความดี มิใช่เอาไว้ตีรันฟันแทงหรือเอาไปทำมาค้าขายเพื่อหาเงินกัน

    มีครั้ง หนึ่ง พวกทหารอากาศไปนมัสการท่าน แต่ในใจอาจจะนึกปรามาสท่านอยู่ และคงมีเหตุที่ไม่ชอบมาพากลบางอย่าง หลวงปู่ตื้อท่านผลุนผลันลุกขึ้นเดินไปปัสสาวะใส่ตอไม้ แล้วกล่าวเชิงท้าทายกับทหารกลุ่มนั้นว่า

    “คนเราถ้ามันจะขลัง ต้องขลังกระทั่งเยี่ยวเอ้า...ยิงเลย”

    ทหารกลุ่มนั้นยิงปืนใช่ตอไม้ กระสุนไม่ลั่นแม้แต่นัดเดียว
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๕

    เหตุการณ์บนรถโดยสาร-หลวงปู่ตื้อดังระเบิด

    หลวง ปู่ลิ้นทอง เล่าเหตุการณ์ดังนี้

    เส้นทางเชียงใหม่-แม่แตง ในสมัยนั้นยังไม่เจริญเอามากๆ แต่ก็มีรถยนต์โดยสารวิ่งรับส่งผู้คนบนเส้นทางสายนี้แล้ว ในปีที่หลวงปู่ตื้อกำลังบุกเบิกสร้างวัดป่า ท่านจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างอำเภอแม่แตงกับตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อทำธุระในการก่อสร้าง จึงจำเป็นต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางไปมาอยู่บ่อยๆ

    พวกรถโดยสารจะชินตา กับ “หลวงตาพระป่าแก่ๆ กับศิษย์ชาวเขาผู้เฒ่าที่โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว สะพายย่าม เดินตามต้อยๆ”

    พวกรถโดยสารคงรำคาญ และหมั่นไส้หลวงตาพระป่ารูปนั้น เอาการอยู่ เพราะว่า “พอขึ้นไปนั่งบนรถปุ๊บ พระหลวงตาก็เอาเท้าขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเบาะปั๊บ แล้วก็หลับตาปี๋ หลับเฉยโดยไม่สนใจใคร”

    ช่างน่าเบื่อหน่าย และน่ารำคาญจริง ผู้โดยสารคนอื่นๆ นั่งห้อยขา เบาะเดียวนั่งได้ ๓-๔ คน แต่หลวงตาแก่รูปนั้นนั่งเอ้เตอยู่คนเดียว

    เด็กหนุ่มกระเป๋ารถจึงพูด กึ่งขอร้อง กึ่งไม่พอใจ

    “ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่น...ตื่นเอาตีนลงจากเบาะเน่อ”

    “ลงบ่ได้” หลวงปู่ตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

    กระเป๋ารถเริ่มโมโห เลือดขึ้นหน้า ขณะนั้นรถกำลังตระเวนรับส่งผู้โดยสารตามรายทาง

    กระเป๋าหนุ่มกล่าวสบถ เสียงดัง “มันเป็นอะหยังหือ...จึงเอาตีนลงบ่ได้”

    พร้อมกันนั้นก็เอา มือกระชากขาของหลวงปู่เพื่อเอาลงจากเบาะ

    ทันใด ครืด...ครืด...ครืด...ฉึก !

    เครี่องยนต์ดับสนิท รถโดยสายหยุดกึกอย่างฉับพลัน ผู้โดยสารทั้งคันหัวคะมำไปตามๆ กัน

    หลวง ปู่พูดขึ้น “หลวงตาบอกแล้ว...ลงบ่ได้...ลงบ่ได้”

    คนขับพยายามติด เครื่องรถอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ไม่ติด ผู้โดยสารก็ส่งใจไปลุ้น แต่เครื่องก็ไม่ติดสักที

    หลวงปู่พูดขึ้นว่า “ผู้ใด๋เอาตีนกูลง มาเอาขึ้นคืนเน่อ”

    กระเป๋ารถจำเป็นต้องทำด้วยความจำยอม จากนั้นเครื่องยนต์ก็ติด รถโดยสารวิ่งสะดวกจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่

    เหตุการณ์ เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารหลายคน จากการเล่าขานปากต่อปาก นับจากนั้นมาหลวงตาพระป่าแก่ๆ อยู่ในอำเภอแม่แตงก็ดังระเบิด !

    รถ โดยสารทุกคันไม่เก็บเงินหลวงปู่ และต่างก็อยากให้หลวงปู่นั่งรถของตน แม้นั่งคนเดียวทั้งคันก็ยินดี
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๖

    เรื่องสามล้อเมืองเชียงใหม่

    เรื่อง นี้ก็ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงปู่ลิ้นทองอีกเช่นกัน

    เมื่อหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เข้ามาในตัวเมืองเชียงใหม่ ท่านจะพักที่วัดเจดีย์หลวง แล้วบรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็จะพากันไปทำบุญฟังธรรม และกราบคารวะท่านอย่างเนืองแน่น

    ในช่วงเช้าตรู่ทุกวัน หลวงปู่จะออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร แล้วจะมีลูกศิษย์ลูกหามารอคอยใส่บาตรท่านตั้งแต่ประตูวัดเป็นแถวยาวเหยียดไป ตามถนน และทุกเช้าเช่นกัน บรรดาสารถีในเมืองเชียงใหม่ ก็จะพากันจูงรถเดินตามหลวงปู่เป็นพรวน ตอนขากลับจากบิณฑบาตต่างก็มะรุมมะตุ้มยื้อแย่งหลวงปู่ นิมนต์ให้ท่านนั่งรถสามล้อของตนเพื่อความโชคดีมีชัย ว่ากันอย่างนั้น

    ตอน แรกๆ ก็มีสารถีสามล้อคนอิสานไม่กี่คน มานิมนต์ให้ท่านขึ้นนั่ง ท่านก็เมตตาฉลองศรัทธาให้ทุกคัน ลงคันนี้ ขึ้นคันนั้น แบ่งเฉลี่ยคันละนิดละหน่อยได้ทั่วถึงกัน

    นับวันสามล้อก็มีมากขึ้น เพิ่มจำนวนเป็นร้อยๆ คัน ทุกๆ เช้า ดังนั้น ตอนหลวงปู่บิณฑบาตสุดแถว แล้วเดินกลับวัด จึงมีเหตุการณ์เกือบจลาจลวุ่นวาย ต่างยื้อแย่งนิมนต์หลวงปู่ให้ขึ้นนั่งรถของตน

    บรรดาสารถีต่างล้อม หน้าล้อมหลังท่าน ดูมะรุมมะตุ้มไปหมด เสียงนิมนต์ดังเซ็งแซ่

    “หลวง ปู่ ขึ้นรถผม...หลวงตา ขึ้นรถผม...”

    คนนั้นก็หลวงปู่...คนนี้ก็หลวง ปู่...คนโน้นก็หลวงปู่...หลวงปู่...หลวงปู่ๆๆๆ ดูสับสนวุ่นวาย จนกระทั่งเกินที่หลวงปู่จะรับฉลองศรัทธาได้ไหว ปัญหาจึงเกิดขึ้น

    เช้า วันหนึ่ง เป็นเช้าที่หลวงปู่แก้ปัญหาในขั้นแตกหัก ไม่มีใครคาดคิดในเรื่องนี้

    ตอนหลวงปู่เดินกลับวัด สามล้อเป็นร้อยก็มามะรุมมะตุ้มหลวงปู่เช่นเคย คันนี้ก็หลวงปู่ คนนั้นก็หลวงปู่ หลวงปู่ หลวงปู่...

    หลวงปู่ ว่าคาถาคำเดียวว่า “ขึ้นบ่ได้”

    ขึ้นบ่ได้...ขึ้นบ่ได้...ขึ้นบ่ได้...ไปตลอดทาง หลวงปู่เดินไปเรื่อยจวนจะถึงประตูวัดแล้ว สร้างความผิดหวังให้บรรดาสามล้อเป็นอย่างมาก

    ทันใดนั้น มีสามล้อหนุ่มคนหนึ่ง แกคงบ้าบิ่นพอสมควร ตัดสินใจจู่โจมเข้าอุ้มหลวงปู่เอาไปนั่งบนสามล้อของเขาทันที

    พลัน เมื่อร่างหลวงปู่แตะเบาะนั่งเท่านั้น ทุกคนตกใจเสียง โป้ง...โป้ง...โป้ง ๓ ครั้งติดกัน

    เสียงดังสนั่น...เส้นยางระเบิดทั้ง ๓ เส้น

    ทุกคน ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน !
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๗

    การรักษาศีลสิกขาของพระเณรไม่มียกเว้นโดยเด็ดขาด

    ใน วงสนทนาของบรรดาผู้ศรัทธาในสายพระป่าของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ้าหยิบยกเรื่องของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาสนทนาคราใดก็ตาม จะต้องได้รสชาติในวงสนทนาเป็นอย่างดี รวมทั้งได้ฮากันตึงทีเดียว

    ปฏิปทา ของหลวงปู่ตื้อ นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของท่าน ซึ่งไม่เหมือนของครูบาอาจารย์องค์ใดๆ เลย เรื่องการสั่งสอนศิษย์แบบทุบกิเลสตรงๆ นี้ หลวงปู่ท่านถนัดเป็นพิเศษ

    เรื่อง การรักษาความสะอาดของวัด ศาลา กุฏิที่พักอาศัย หลวงปู่ตื้อท่านเข้มงวดมาก เป็นกิจวัตรของพระเณรในสายของวัดป่าที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นอย่างดี

    เรื่อง การรักษาศีล รักษาวินัยของพระเณร หลวงปู่ก็เข้มงวดชนิดไม่มีย่อหย่อนให้เลย

    หลวง ปู่ท่านจะถามพระเณรในวัดทุกรูปว่า “ศีลทั้ง ๒๒๗ ข้อนั้น มีข้อใดเมื่อพากันปฏิบัติแล้วให้ถึงกับใจขาดตายบ้าง มีไหม?”

    พระเณร กราบเรียนไปว่า “ไม่มีครับ”

    หลวงปู่ก็ว่า “ถ้าเช่นนั้น ต้องพึงระมัดระวังอย่าล่วงในศีลนั้น ไม่ยกเว้นแม้แต่ศีลข้อเล็กๆ น้อยๆ”

    หลวง ปู่ตื้อท่านอบรมสั่งสอนศิษย์ของท่านว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใหญ่ๆ การเริ่มต้นในสรรพสิ่งทั้งปวง เริ่มแต่เล็กๆ มาก่อน แม้แต่จุดรอยรั่วรูเล็กๆ ให้น้ำหยดจากหลังคา ถ้าไม่รีบแก้ไข ในที่สุดก็เป็นรูขนาดใหญ่ได้ อันนิสัยมนุษย์จะเริ่มประพฤติชั่วจากครั้งแรกขโมยสตางค์แม่แค่สลึงเดียวก่อน ต่อไปก็ขโมยวัวควาย ฉกชิงวิ่งราว สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในคุกเพราะเป็นโจรปล้น

    ศีลสิกขาของบรรดาพระเณร หลวงปู่ท่านจะกวดขันแม้ข้อเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ละเว้น เพราะเป็นอาบัติซึ่งมักจะถูกมองข้ามไป พระเณรบางรูปคิดว่าไม่สำคัญ หลวงปู่ท่านกล่าวเปรียบเทียบว่า ให้พิจารณาเวลาที่เศษผงเข้าตานั้นมีแต่ฝุ่นเล็กๆ เท่านั้น ก้อนหินเท่ากำปั้นนั้นไม่เคยปลิวเข้าตาพระเณรเลย

    หลวงปู่ท่านถามพระ เณรว่า เวลาสะดุดตอไม้เคยเดินไปสะดุดตอขนาด ๔-๕ คนโอบไหม? เห็นมีแต่ตอไม้ขนาดเท่านิ้วก้อย ที่พระเณรเดินสะดุดจนเป็นแผลอาบเลือด

    อัน ภิกษุที่กล้าล่วงในศีลเล็กน้อย ก็เหมือนกับขโมยเงินสลึงเดียวของแม่เป็นการเริ่มต้น แน่นอนที่สุด ในเมื่ออาบัติปาจิตตีย์ยังกล้าล่วงเกินได้แล้ว ศีลในข้อสังฆาทิเสสก็ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วนับประสาอะไรกับศีลในข้อปาราชิก
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๘

    อย่าคิดว่าศีล ๒๒๗ นั้นไม่มีใครประพฤติตามได้

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม กวดขันเรื่องศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ

    อย่าได้มองเห็นไปว่า ศีลทั้ง ๒๒๗ ข้อนั้น ในโลกนี้จะไม่มีผู้ที่ประพฤติตามได้ ผู้ที่กล่าวเช่นนั้นคือผู้ที่มีจิตไม่เอื้อเฟื้อต่อธรรมวินัย เป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง ที่ตกอยู่ภายใต้จิตใจฝ่ายต่ำที่ครอบงำ จึงตีความเอาว่า ไม่มีภิกษุรูปใดจะทำตามพุทธบัญญัตินั้นได้ เห็นไปว่า การปฏิบัติตามศีล ๒๒๗ ข้อทั้งหมดนั้นตึงเกินไป ถึงกับสมณบางรูป บางสำนัก สอนกันว่า ศีลทั้งหมดรักษาไว้แต่ปาราชิก ๔ ข้อก็พอ

    โถ ! น่าสงสาร ก็เลยไม่ต้องเป็นพระกันเลย

    หลวงปู่ย้ำว่า การเป็นพระไม่เว้นในศีลข้อใดข้อหนึ่ง แม้แต่มุสาวาท เพราะมุสาวาทนี้ยังเป็นศีลของคฤหัสถ์ด้วย เป็นแค่เบญจศีล ที่ทำให้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถือเพียงแค่ศีลห้าของคฤหัสถ์เท่านั้น ก็ยังไม่ได้ จะเป็นศีล ๑๐ ของสามเณรก็ยังมิได้เสียแล้ว

    ถ้าภิกษุ กล่าวมุสาวาท โกหกตอแหล แค่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ยังเป็นไม่ได้ ประสาอะไรที่จะเป็นพระ !

    หลวงปู่สอนว่า ที่ให้พากันปฏิบัติตามพุทธบัญญัตินี้หาได้เป็นเรื่องเคร่ง เรื่องตึง ที่ตรงไหน เพราะเพียงแค่งดเว้นในสิ่งที่พระบรมศาสดาทรงห้ามไว้ และประพฤติปฏิบัติตามที่พระองค์สอนก็เท่านั้น

    พระเณรในวัดทุกรูปจะ อยู่ในสายตาของหลวงปู่ตื้อตลอดเวลา ถ้าประพฤติไม่สมควรสอนไม่ได้ ท่านจะบอก “ไม่พึงปรารถนา ให้พิจารณาตัวเองไปเสียให้พ้นวัด”

    ตัวอย่างพระเณรที่ หัวดื้อ เตือนแล้วเตือนอีก ก็เช่นมีพระภิกษุรูปหนึ่งที่วัด แอบเขียนจดหมายติดต่อกับฆราวาสกลางดึกดื่น ไม่เอาเวลานั้นมาภาวนา ปรากฏว่า เสียงไม้เท้าฟาดเข้าข้างกุฏิ หลวงปู่ตวาดเสียงเขียวไล่ภิกษุนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “ไป...ไปซะ ไป๊ อยากไปนอนกอดขี้ก็ไป”
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘๙

    แม้พระผู้ใหญ่หลวงปู่ก็ว่าเอาแรงๆ

    อย่า ว่าแต่ลูกศิษย์เลยที่หลวงปู่ตื้อท่านเตือนเมื่อเวลาหลงผิด หรือประพฤติไม่เหมาะสมกับความเป็นพระ

    แม้แต่พระผู้ใหญ่หรือสหธรรมิก ของท่าน หลวงปู่ก็ไม่เว้น ท่านจะบอกจะเตือนตรงๆ และบางทีก็แรงๆ ด้วย

    มี ตัวอย่างตอนหนึ่งในประวัติของ หลวงปู่บุญ ทัน ฐิตปญฺโญ แห่งวัดป่าประดู่ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ในสายกรรมฐานของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

    หลวงปู่ บุญทัน ท่านเล่าว่า ในระหว่างที่ท่านเร่งความเพียรอย่างหนัก ทำให้ท่านหลงสำคัญตนว่า ท่านสำเร็จหมดจากกิเลสแล้ว จึงได้ออกติดตามหาหลวงปู่มั่น เพื่อจะแจ้งความในใจให้พระอาจารย์ได้รับรู้

    หลวง ปู่บุญทันติดตามหลวงปู่มั่นจนไปพบที่เชียงใหม่ เข้าไปนมัสการพระอาจารย์ แล้วกราบเรียนอย่างถ่อมตัวว่า “สำคัญว่ากระผมเดินทางมาทางอากาศ”

    หลวง ปู่ตื้ออยู่ในที่นั้นด้วย ก็ออกไปยืนแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำท่ารอดูหลวงปู่บุญทัน แล้วพูดเตือนท่านด้วยเสียงอันดังว่า

    “โน่น พระอรหันต์ผีบ้า พระอรหันต์โลกีย์ พระอรหันต์เวียนตายเวียนเกิดมาแล้ว โน่นเหาะมาแล้ว”
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๙๐

    ดิฉันปล่อยวางหมดแล้ว

    เรื่อง นี้หลายคนบอกว่า สะใจ บางคนก็ว่าแรงไป

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่วัด อโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ในการจัดอบรมกรรมฐานให้แก่พระและญาติโยม มีผู้สนใจใคร่ธรรมมาเข้าร่วมอย่างเนืองแน่น

    ในวันนั้น หลวงปู่ท่านแสดงธรรมได้อย่างจับใจได้อรรถรส ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และปริโยสาน อะไรเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นตัวทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ตลอดจนวิธีดับทุกข์ อะไรที่ควรมั่น อะไรที่ควรปลง ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกู

    ว่ากันว่า หลวงปู่ตื้อได้แสดงธรรมให้สาธุชนที่อยู่ ณ ที่นั้น ตรองตามแล้วเห็นจริงได้ เสมือนหงายสิ่งที่คว่ำ เสมือนจุดประทีปโคมไฟในที่มืด เสมือนชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง...

    อุบาสกอุบาสิกาที่ได้สดับเทศนา ของหลวงปู่ตื้อในครั้งนั้นแล้ว ต่างก็รู้สึกปีติ อิ่มเอิบในบุญ รู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ ต่างก็รู้สึกว่าภายในจิตได้ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว

    พอหลวงปู่เทศน์จบลง ท่านว่า “เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้” แล้วญาติโยม “สาธุ” เสียงดังสนั่นน่าอนุโมทนายิ่ง

    สุด จะเก็บความปิติไว้ได้ มีอุบาสิกาท่านหนึ่งแหวกผู้คนเข้ามาข้างหน้าสุด ใกล้กับหลวงปู่ที่สุด แล้วรายงานผลว่า

    “หลวงปู่เจ้าคะ ดิฉันได้ฟังหลวงปู่เทศน์แล้วรู้สึกเบากายเบาใจ ดิฉันปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าคะ”

    หลวงปู่กล่าวด้วยเมตตา “อนุโมทนาด้วยคุณโยมที่ได้ดวงตาเห็นธรรม ”

    “จริงๆ นะคะหลวงปู่...เดี๋ยวนี้ดิฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้ว ปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าค่ะ...”

    “...อีตอแหล...” ไม่ใครคาดคิดว่าหลวงปู่จะอนุโมทนาด้วยการหักมุมเช่นนั้น

    “ว้าย ! ตายแล้ว ทำไมหลวงปู่จึงมาด่าอีฉัน !” แล้วรีบผลุนผลัน ลุกหนีด้วยความโกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ บ่งบอกลักษณะของคน “ปล่อยวาง” ได้อย่างประจักษ์ชัด

    หลวงปู่ได้แต่หัวเราะหึ...หึ ในลำคอ ขณะเดียวกันบนศาลาการเปรียญก็เงียบกริบ ตามด้วยเสียงซุบซิบ และบางส่วนก็หัวเราะสะใจ !

    อ้อ ! คนปล่อยวางมีลักษณะเช่นนี้เองหนอ ! !
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๙๑

    มงคลหมา

    เรื่องที่หลวง ปู่ตื้อ อจลธมฺโม ชอบพูดประกอบในเวลาที่ท่านสั่งสอนศิษย์ หรือบางครั้งในการแสดงพระธรรมเทศนา ท่านมักจะยกเรื่องความดีของสุนัข ซึ่งท่านเรียกว่า มงคลหมา

    บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องชวนขำ แต่ว่านำไปพิจารณาแล้ว จะเห็นว่าหลวงปู่ได้พิจารณาเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งเป็นสายของสัตว์โลก มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด การนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของคนก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย

    หลวง ปู่บอกว่าบางครั้งสัตว์ยังดีกว่าคนบางคนเลยอีก สัตว์ทุกจำพวกมันมีดีประจำอยู่ในตัวของมัน ตามภูมิของมัน การพิจารณาชีวิตของสัตว์อันเป็นเครือของวัฎฏสงสารเหมือนกันนี้ เป็นการหาอุปมาเครื่องเปรียบเทียบ ดังนั้น เวลามีโลกธรรมครอบงำ เราก็สามารถพิจารณาหาเหตุผลมายับยั้งชั่งใจได้ เช่นถ้าใครเขาด่าเปรียบเปรย ว่าเราเป็นหมา ก็ไม่น่าจะโกรธ เพราะหมาก็มีความดีหลายอย่าง

    หลวงปู่ ดื้อบอกว่า ลองพิจารณาดูให้ดี จะเห็นว่าหมาก็มีมงคลคือความดีประจำตัวอย่างน้อยก็ ๒๐ ประการ คือ

    ๑. หมาวิ่งได้เร็ว คนวิ่งตามไม่ทัน

    ๒. หมาเดินกลางคืนได้ ไม่ต้องจุดไฟ

    ๓. หมาเข้าป่าหนามไม่ปักตีน

    ๔.. หมามีจมูกเป็นทิพย์

    ๕. หมากินอาหารได้ไม่เลือก

    ๖. เวลาเยี่ยวมันยกขาไหว้ธรณี

    ๗. ก่อนนอนหมาเดินเวียนสามรอบ

    ๘. เวลาสืบพันธุ์ หมาไม่รู้จักอาย

    ๙. หมารู้จักเจ้าของดี

    ๑๐. ถ้ามีแขกแปลกหน้ามา หมามันเห่า

    ๑๑. หมาออกลูกไม่ต้องมีแม่หมอ

    ๑๒. หมากินอาหารก้างไม่ติดคอ

    ๑๓. หมาไม่เคยห่มผ้า

    ๑๔. เวลานอนหมาไม่หนุนหมอน

    ๑๕. หมาไม่ต้องปูที่นอน

    ๑๖. หมากินข้าวแล้วไม่ต้องกินน้ำ

    ๑๗. หมาไม่ต้องคิดบุญคิดบาป

    ๑๘. หมานอนตากแดดได้นานถึง ๓ ชั่วโมง

    ๑๙. ไม่ถึงฤดูกาลไม่มีการสืบพันธุ์

    ๒๐. หมาตกน้ำไม่ตาย ว่ายน้ำได้เร็วกว่าคน

    หลวงปู่ท่านบอกว่า คนเราหากไม่มีดี ก็สู้สัตว์ไม่ได้ และจะถูกตราหน้าว่า เป็นคนประพฤติถอยหลัง ไม่สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์

    หมาบางตัวที่เขาเลี้ยงไว้ มียศถึงนายพันเอกมีเงินเดือนหลายพันบาท ใครจะว่าหมาไม่ดีก็ว่าไม่ได้ ลูกสาวคุณนายเลี้ยงมาแต่เล็กๆ หมดเงินเป็นแสน เวลาโตขึ้นมาทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ต้องลำบาก เดือดร้อนเนรคุณก็มี เรื่องเช่นนี้ไม่มีในหมา

    หลวงปู่ยกมงคลหมาขึ้นมาแสดง เพื่อให้เราเห็นเป็นเครื่องเปรียบเทียบว่า คนเราถ้าไม่มีศีลธรรมก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เพราะมีการกิน การนอน การสืบพันธุ์ เหมือนกัน ก็เท่านั้น
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    พระครูภาวนาภิรัต (หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ)
    พระ หลานชายของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม



    ๙๒

    วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    ใน ตอนนี้ เรามารู้จักวัดที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านอยู่จำพรรษานานที่สุดในชีวิตของท่าน และเมื่อหลวงปู่ท่านหยุดการเดินธุดงค์แล้ว ท่านก็มาพำนักประจำอยู่ที่วัดป่าอาจารย์ตื้อแห่งนี้

    วัดป่าอาจารย์ตื้อ ตั้งอยู่เลขที่ ๓๒๕ บ้านปากทาง ซอยศรีมหาพน หมู่ที่ ๗ ตำบลสันมหาพน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ถ้าหากเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปตามเส้นทางเชียงใหม่-เชียงดาว ก็จะผ่านตัวอำเภอแม่ริม ผ่านตัวอำเภอแม่แตงไปไม่ไกล ก็จะถึงทางแยกเข้าเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ซึ่งอยู่ทางขวามือ ระยะทางจากเชียงใหม่มาถึงทางแยกเข้าเขื่อนนี้ก็ ๔๐ กิโลเมตรกับนิดหน่อย ก่อนถึงทางแยกเข้าเขื่อน อยู่ตรงมุมด้านขวามือจะเห็นป้ายวัดป่าอาจารย์ตื้อ ได้ชัดเจน อยู่ก่อนทางแยกไม่ถึง ๕๐ เมตร

    และถ้าหากเลี้ยวขวาไปตามเส้นทาง เขื่อนแม่งัดระยะทาง ๓ กิโลเมตร ก็จะถึงวัดอรัญญวิเวก ที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เคยพำนักอยู่ถึง ๑๑ ปีก่อนไปอยู่ที่ดอยแม่ปั๋ง ปัจจุบันหลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ท่านเป็นเจ้าอาวาส

    เส้นทางเส้น นี้จะผ่านไปทางเขื่อนแม่งัดไปทะลุออกเส้นทางเชียงใหม่-พร้าว ได้อย่างสะดวกสบาย ระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตรกว่าๆ สามารถไป วัดดอยแม่ปั๋ง และ วัดป่าอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) ซึ่งอยู่ในอำเภอพร้าว ได้อย่างสะดวกสบาย ทิวทัศน์สวยงามมาก ผ่านวัดป่าสายหลวงปู่มั่นหลายแห่ง รวมทั้งแวะไปดู ถ้ำดอกคำ สถานที่ที่หลวงปู่มั่นท่านพิชิตกิเลสได้อย่างราบคาบ ก็สะดวกใช้ได้

    แหม... ผมน่าจะเขียนสารคดีท่องเที่ยว คิดว่าคงทำได้ไม่เบาเลย

    [​IMG]
    วัดป่าอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต)


    ขอ อนุญาตพากลับมาที่วัดป่าอาจารย์ตื้อกันครับ วัดนี้สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต มีเนื้อที่ ๒๒ ไร่ ๒ งาน ๒๑ ตารางวา หนังสือกรรมสิทธิ์ที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๑๑๓ และ ส.ค.๑ เลขที่ ๗๐๗

    ตอนนี้ต้องให้ตัวเลขที่ถูกต้อง อาจจะมีความหมายสำหรับคนชอบตัวเลขก็ได้

    อาคารเสนาสนะก็มี พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ศาลา หอฉัน หอระฆัง โรงครัว โรงต้มน้ำ ปูชนียวัตถุก็มี พระพุทธรูปเนื้อโลหะ และองค์พระเจดีย์

    วัดป่าอาจารย์ตื้อ ชาวบ้านจะเรียกสั้นๆ ว่า วัดป่า เดิมที่เป็นที่ดินของนายหมื่น เกษม นางสา มะลิวัลย์ นายเลิศ ประทุม และนายปลั่ง จันทรวัชร

    ก่อนนั้นชาวบ้านศรัทธาญาติโยมได้เคยนิมนต์พระ ธุดงค์มาพำนักเพื่อโปรดชาวบ้าน พระท่านไปๆ มาๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๖ คณะศรัทธาจึงได้นิมนต์หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาพำนักประจำที่นี่

    ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ตื้อ ได้ก่อสร้างศาลาขึ้น ๑ หลัง และตั้งเป็น สำนักสงฆ์สามัคคีธรรม ขึ้น ได้มีพระธุดงค์ หรือพระป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แวะเวียนมาพำนักตลอดมา

    จน ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๑ หลวงปู่ตื้อ ได้รับนิมนต์กลับไปจำพรรษาที่จังหวัดนครพนม บ้านเกิดของท่าน หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ ซึ่งเป็นหลานของท่านได้รับมอบหมายให้ดูแลปกครองวัดนี้ตลอดมา

    ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ คณะศรัทธาซึ่งมีนายเลิศ ประทุม เป็นหัวหน้า ได้ทำเรื่องขอยกสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้นเป็นวัด

    ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ (โอ้โฮ ! ใช้เวลาถึง ๑๐ ปี) ทางกรมการศาสนาจึงได้อนุมัติการเป็นวัดให้ตามที่ขอและได้ชื่อว่า วัดป่าอาจารย์ตื้อ ตามข้อเสนอแนะของท่านเจ้าคุณพระเทพกวี (ต่อมาเป็นพระธรรมดิลก และได้รับสถาปนาเป็นพระพุทธพจนวราภรณ์ ในปี ๒๕๔๔ ท่านเป็นเจ้าคณะภาค และเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงกับวัดป่าดาราภิรมย์)

    ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ และกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งเป็นวัดเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ นี้เอง มีเขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๑๗ เมตร ยาว ๓๐ เมตร การบริหารและการปกครองก็มีเจ้าอาวาสดังที่กล่าวมา

    ความเป็นระเบียบ สงบ และสะอาดสะอ้าน ไม่ต้องพูดถึง เพราะหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเข้มงวดมาก และเป็นแบบฉบับของวัดป่าโดยทั่วไป

    ผู้เขียน (รศ.ดร.ปฐม นิคมานนท์) ได้พาคณะศรัทธาไปทอดผ้าป่า ถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕ นี้เอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น

    นี่คือประวัติที่ สังเขปที่สุด ส่วนบรรยากาศและพลังบารมีทางธรรมนั้นขอเรียนเชิญทุกท่านไปสัมผัสด้วยตัวของ ท่านเอง คงไม่สามารถบอกแทนกันได้ จริงไหมครับ?
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๙๓

    ถวายพระพุทธรูป ๖๘ องค์มอบให้ชาวนครพนม

    ใน ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม อายุ ๘๑ ปี ได้รับนิมนต์ลงไปกรุงเทพมหานคร แล้วท่านไปพักที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ เหมือนเช่นเคย

    คณะศรัทธาญาติโยมได้ถวายพระพุทธ รูปบูชากับหลวงปู่ มีจำนวนถึง ๖๘ องค์ หลวงปู่จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งหมดขึ้นไปถวายเพื่อประดิษฐานประจำวัด ต่างๆ ในจังหวัดนครพนม ถิ่นมาตุภูมิของท่าน นับเป็นบุญของชาวนครพนมเป็นอย่างยิ่ง

    แล้วหลวงปู่ก็ได้ไปพำนักที่วัด อรัญญวิเวก บ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม บ้านเกิดของท่าน ลูกหลานและญาติโยมทั้งหลายจึงได้กราบอาราธนาให้ท่านได้อยู่จำพรรษา ณ วัดแห่งนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า “เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานทางนี้บ้างเพราะหลวงปู่ได้จากบ้านเกิดไปมากกว่า ๕๐ ปีแล้ว”

    หลวงปู่จึงรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดอรัญญวิเวกแห่งนี้ ในปี พ ศ. ๒๕๑๒ นั้นเอง ท่านหลวงปู่ (ทางภาคอีสานเรียกว่า หลวงตา เพราะมีเพียงคำว่า ตา กับ ยาย เท่านั้นไม่มีคำว่า ปู่ กับ ย่า เหมือนภาคกลาง) ได้จัดสร้างพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นมา โดยนำเอาช่างจากเชียงใหม่มาดำเนินการก่อสร้าง

    มีพุทธศาสนิกชน จากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เดินทางมากราบขอพรท่านมิได้ขาด หลวงปู่ต้องรับแขก และแสดงธรรมโปรดพระเณรและญาติโยมทุกวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย จนคณะศิษย์อุปัฏฐากต้องกำหนดเวลาพักผ่อนสำหรับท่านไว้อย่างแน่นอน เพื่อถนอมหลวงปู่ไว้ให้พวกเราได้กราบไหว้ไว้นานๆ เพราะอายุสังขารของท่านชรามากแล้ว

    หลวงปู่ท่านไม่เคยเบื่อหน่ายในการ แสดงธรรมท่านบอกว่า “หลวงตาจะแสดงธรรม เพื่อให้ลูกหลานและลูกศิษย์ทั้งหลายได้เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง”

    ขณะ เดียวกัน ท่านก็อบรมกรามฐานแก่พระภิกษุสามเณร “เพื่อให้เป็นนักธรรม นักกรรมฐานอย่างแท้จริง” ด้วย

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ทุ่มเทการเผยแผ่ธรรมะอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ผู้สนใจใคร่ธรรมก็หลั่งไหลมาฟังธรรม และรับการอบรมจากท่านชนิดไม่ขาดสายเลยทีเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...