" หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พยากรณ์อายุ "

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 มีนาคม 2016.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    เรื่องการต่ออายุจาก ๖๐ ปี มาเป็น ๘๐ ปี ท่าน (พระอาจารย์มั่น-ภิเนษกรมณ์)

    ได้เล่าไว้หลายสถานที่ หลายโอกาส หลายวาระ ปีนั้นท่านจำพรรษาที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่ราบไม่ใช่ภูเขา กับพระมหาทองสุก สุจิตโต

    ปีนั้นพอเริ่มเข้าพรรษา ท่านมีอาการเจ็บป่วย พระผู้พยาบาลก็พระมหาทองสุก สุจิตโต นั้นล่ะ

    ท่านมีความรู้ทางยาด้วย ท่านพระอาจารย์กำหนดรู้แล้วว่า ท่านถึงอายุขัย จะสิ้นชีพปีนี้แน่

    แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าท่านมีอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว สามารถอยู่ต่อไปได้อีก ๒๐ ปี เป็น ๘๐ ปี เท่ากับอายุของพระพุทธเจ้า

    ท่านจึงมาพิจารณาดูว่า อยู่กับตายอย่างไหนมีค่ามากกว่า รู้ว่าอยู่มีค่ามาก

    เพราะสานุศิษย์ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตหวังเฉพาะให้ท่านอยู่

    แต่คำว่าอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว เจริญขึ้นขั้นไหน อย่างไร ธรรมทั้งหลายที่ปรากฏแล้ว ทั้งโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม นำมาพิจารณา ก็ไม่ขัดข้อง ไม่สงสัย

    แต่ก็ยังไม่ได้ความ อาการป่วยจะดีขึ้นก็ไม่ใช่ จะหนักก็ไม่เชิง

    แต่เที่ยวบิณฑบาตได้ทุกวัน อาการที่สำคัญ คือ คอมองซ้ายมองขวายาก

    เดือนที่ ๒ ผ่านไป อาการดีขึ้น และได้ความรู้เกิดขึ้น ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า...

    นาญฺญตฺตร โพชฺฌาตปสา นาญฺญตตร ปฏินิสฺสคฺคา นาญฺญตฺตร อินฺทริยสํวรา

    แปลได้ความว่า อิทธิบาท ๔ อันอบรมดีแล้ว ก็คือ การพิจารณาโพชฌงค์ ๗ นี้เอง

    ท่านฯ อธิบายว่า เจริญให้มาก ทำให้มาก ก็เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ พร้อมความดับสนิท (หมายถึงอวัยวะที่ชำรุดในร่างกาย แล้วเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ด้วยฌาน)

    แล้วท่านยังอุปมาเปรียบเทียบว่า เมื่อพระมหาโมคคัลลาน์ และพระมหากัสสปะเถระเจ้า ได้ฟังพระดำรัสนี้ ก็หายจากอาพาธ

    แม้ในกาลบางคราวพระพุทธองค์ก็ยังให้พระสาวกสวดถวาย แต่คำว่า ผู้มีอิทธิบาท ๔ อันเจริญดีแล้ว ขอเล่าเท่าที่จำได้ ท่านฯ ว่า........

    " เราพิจารณาปุพพภาคปฏิปทา ตั้งแต่จิตเรารวมเป็นสมาธิโดยลำดับ

    ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน แล้วเข้าอรูปฌานต่อเป็นอากาสา ฯลฯ จนถึง

    เนวฺสญฺญานาสญฺญายตน หน่อยหนึ่งก็ไม่มีแล้ว ถอยจิตออกมาอยู่ในสญฺญาเวทยิตฺนิโรธ อุปมาเหมือนหนทาง ๓ แพร่ง

    ท่านว่า จิตเราอยู่ในท่ามกลางทาง ๓ แพร่ง แพร่งหนึ่งไปอรูปพรหมโลก

    แพร่งหนึ่งไปรูปพรหมโลก คือ จตุตถฌาน อีกแพร่งหนึ่งเข้าสู่พระนิพพาน

    จิตอยู่ขั้นนี้ และเราได้อธิษฐานว่า เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วก็ถอยจิตออกจากทาง ๓ แพร่งนั้น มาพักที่จตุตถฌาน จะพักนานเท่าไรก็แล้วแต่

    พอมีกำลังแล้วจิตจะถอยออกสู่ ตติยฯ ทุติยฯ พอมาถึงปฐมฌาน ก็อธิษฐานรู้ว่า เราจะอยู่ไปอีกเท่านั้นปี เท่านี้ปี "

    กว่าจะมาถึงขั้นนี้ ก็เป็นเวลาเดือนสุดท้ายแห่งการจำพรรษาแล้ว

    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า...... ดูก่อนอานนท์ ผู้ที่มีอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นกัปป์หรือเกินกว่า นั้นเป็นความจริง

    ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ท่านว่า ท้าวสักกะ (พระอินทราธิราช) จากแก่ก็กลายเป็นท้าวสักกะหนุ่มก็ด้วยอิทธิบาทนี้

    แต่ท้าวสักกะ (พระอินทราธิราช) ยังมีกิเลส ไม่ได้ฌานด้วยตัวเอง

    แต่ด้วยพระพุทธานุภาพ ทรงนำกระแสพระทัยของท้าวสักกะ ให้ผ่านขั้นตอนจนเป็นอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว ที่ถ้ำอินทสาร

    ท้าวสักกะแก่จึงกลายเป็นท้าวสักกะหนุ่มได้ ด้วยพระพุทธานุภาพดังนี้



    หนังสือ "รำลึกวันวาน" อันเป็นบันทึกของ หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ เกี่ยวกับเกร็ดประวัติและปกิณกธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่านครับ


    https://www.facebook.com/groups/ThammaLuangpuMun/?fref=nf
     

แชร์หน้านี้

Loading...