หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ปฏิปทา วัตรปฏิบัติ และหลวงปู่สอนศิษย์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 4 พฤศจิกายน 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    นะโม วิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา
    ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นทังหลาย ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรม


    ปฏิปทา วัตรปฏิบัติ และหลวงปู่สอนศิษย์จากหนังสือพุทโธ
    หลวงปู่ผู้พูดน้อย

    ปฏิปทาหลวงปู่นั้นท่านไม่พูดอะไรมาก แม้กระทั่งประวัติส่วนองค์ท่าน ท่านก็เล่าเพียงสั้นๆเท่านั้น ส่วนใหญ่ท่านจะปฏิบัติให้เห็นมากกว่าการเอ่ยด้วยถ้อยคำ หากจะสอนสิ่งใดก็เพียงปรารภอุบายธรรมสั้นๆพอให้ตรงกับอุปนิสัยของผู้นั้น โดยท่านปรารภทีเดียวเท่านั้น แล้วแต่ผู้ฟังจะนำไปพิจารณาทางปํญญาได้มากน้อยเพียงใด เช่น " ไปอยู่กรุงเทพ เดี๋ยวหลงแสง หลงสี กินแต่ของดี ขี้เหม็น" เพื่อเตือนสติพระผู้ติดตาม สมัยหลวงปู่ท่านเข้ารับการรักษาอาพาธที่กรุงเทพมหานคร


    เป็นพระยากที่สุด

    หลวงปู่ท่านอยู่อย่างพระภิกษุผู้ยากจน ไม่ขอไม่ร้องในเหตุเกินควรแก่ฐานะพระภิกษุสงฆ์ ท่านไม่เคยขอร้อง ไม่เคยออกปากอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรๆ กับใคร แม้แต่กับญาติพี่น้อง ท่านมีความเป็นอยู่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างสม่ำเสมอ นับแต่ปี ๒๔๗๘ ที่ได้บวชมา อาหารบิณฑบาต ๑ มื้อ ก็เพียงพอต่อสังขารร่างกายของท่าน ให้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อไปได้อย่างบริบูรณ์ยิ่ง

    บริขารก็เช่นกัน ท่านอาศัยเพียงผ้า ๓ ผืนฉันในบาตร อยู่ในอาสนะพอควร หนักแน่นด้วยธรรมปฏิบัติ เจริญศีล เจริญภาวนา ครั้งหนึ่งท่านเคยปรารภว่า

    "พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระมหากษัตริย์ ท่านยังสละออกป่า อนาถานอนกลางดิน กินของชาวบ้าน จนสำเร็จมรรคผลนิพพาน นั่น... นี่เราเป็นคนด้อยวาสนา เป็นชาวนา จะเอาอะไรให้มากกว่านี้ พระนั้นมิใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ บวชเข้ามาเป็นผีเฉยๆก็มาก ลงนรกก็แยะไป เออ...เป็นพระน่ะมันยากที่สุด ไม่ใช่ว่าใครจะคิด จะทำ จะนึก เอาตามใจตัวเองนั้นไม่ได้หรอก บวชแล้วลืมตัวว่าเป็นพระก็ลงนรก เพราะยังพกเอาความหลงมาทำให้พระศาสนาสกปรก"
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การบิณฑบาต


    หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ท่านเป็นพระที่เคารพและหนักแน่นต่อการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ อันเป้นสิกขาบทสำคัญข้อหนึ่งของพระภิกษุที่จะต้องดำเนินตามรอยแห่งพระอริยะ ประเภณีที่สืบต่อกันมา

    แม้ว่าวัยสังขารของท่านจะย่างเข้าสู่ปัจจิมวัยแล้ว ขณะที่ท่านยังสามารถพูดออกเสียงได้ แม้จะเจ็บไข้ หากพอไปได้ ท่างก็จะออกรับบิณฑบาตทุกวัน แม้ท่านไม่สามสรเดินได้เอง ท่านยังให้รถมารับท่านไปถึงแม้ว่าจะมีลูกศิษย์เป็นห่วงขอนิมนต์ท่านไว้เพียง ไร จนแม้กระทั่งที่ท่านไม่สามารถฉันได้เอง อันเป็นผลเนื่องมาจากโรคเส้นโรหิตในสมองตีบท่านก็ยังสื่อสารให้รับรู้ว่า ท่านจะออกรับบิณฑบาต วันหนึ่ง ท่านมีอาการเหนื่อยและมีฝนตกโปรย จึงขอนิมนต์หลวงปู่ไว้ว่า
    ถาม "หลวงปู่ไม่เหื่อยหรือครับ ?"
    หลวงปู่ตอบ "เหนื่อย"
    ถาม "ถ้าอย่างนั้้น นิมนต์หลวงปู่ไม่ต้อองออกไปบิณฑบาตนะครับเพราะว่าฝนตก จะทำให้ไม่สบายได้"

    แม้จะพยายามขอนิมนต์ห้ามหลวงปู่ไว้ หลวงปู่ก็ยังบอกให้ไปเอารถมารับ และ กล่าวต่อท้ายว่า "ไปใกล้ๆ พอได้กิน"

    เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ก็ไม่เคยต้านทานหลวงปู่ท่านอีกเลย ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปศึกษาปฏิปทาเกี่ยวกับการออกรับบิณทบาตของท่านจากลูก ศิษย์เก่าๆแล้วยิ่งต้องยอมท่าน เพราะสมัยก่อนนั้นท่านจะเคร่งครัดเรื่องการบิณฑบาตมากดังเรื่องที่จะยกมาให้ ท่านผู้อ่านได้พิจารณากัน คือ

    สมัยเมื่อท่านมาพักจำพรรษาที่วัดประชาชุมพลพัฒนารามปีแรกนั้นหลวงปู่ท่านก็ ได้เข้าไปบิณฑบาตโปรดญาติโยมในกองบิน ๒๓ ซึ่งอยู่ไม่ห่งจากวัดมากนัก และยังไม่มีใครรู้จังหลวงปู่มาก่อน เพราะเป็นพระรูปแรกที่เข้าไปบิณฑบาทที่นั่น จึงทำให้ไม่มีใครเตรียมตัวใส่บาตรให้ท่าน

    ด้วยอุบายภายในของหลวงปู่ องค์ท่านจะเมตตาโยมผู้หนึ่ง ซึ่งไม่เคยใส่บาตรท่านเลย แม้ท่านจะไปหยุดยืนรออยู่ที่หน้าบ้านทุกวันก็ตาม วันหนึ่ง เมื่อหลวงปู่บิณฑบาตมาถึงบ้านหลังนี้อีก หลวงปู่ก็ได้เดินขึ้นไปบนบ้านโดยเจ้าของบ้านไม่ทันตั้งตัว แล้วหลวงปู่ก็ถามว่า

    "มีหมากเขียบกินบ่?" (มีน้อยหน่ากินมั้ย?)

    เมื่อเจ้าของบ้านตอบว่าไม่มี หลวงปู่ก็กลับออกมา แล้วกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น สะพายบาตรพร้อมกับถือถุงน้อยหน่ามาด้วย เพื่อที่จะนำมาให้กับเจ้าของบ้านหลังนี้นั่นเอง(สมัยก่อนนั้นในวัดหลวงปู่ ปลูกต้นน้อยหน่า จำนวนมาก)ได้เคยถามเรื่องนี้กับหลวงปู่ หลวงปู่ก็จะหัวเราะพร้อมกับบอกว่า
    "เฮ็ดปานนั้น จำเป็นก็ต้องใส่บาตรเฮาตั้ว!"
    (ทำขนาดนั้น จำเป็นก็ต้องใส่บาตรให้เราสิ)

    หลังจากวันนั้นเจ้าของบ้านหลังนั้นก้ใส่บาตรหลวงปู่เรื่อยมา

    อีกเรื่อง สมัยที่หลวงปู่ท่านไปผ่าตัดกระจกตาที่ร.พ. จักษุรัตนิน ลูกศิษย์ที่ดูแลท่านเล่าให้ฟังว่า หลังจากวันรุ่งขึ้นที่หลวงปู่ผ่าตัดเสร็จหลวงปู่ก็นำผ้าที่ปิดตาออกแล้วลุก ขึ้นทำท่าเหมือนจะไปทางไหน ลูกศิษย์จึงถามท่านว่า
    "หลวงปู่จะไปไหน?"
    ท่านว่า
    "จะไปบิณฑบาตร"
    ทำให้ลูกศิษย์เตรียมตัวแทบไม่ทัน พร้อมทั้งยังสงสัยว่าทำไมหลวงปู่ท่านจึงไม่มีอาการอะไรเลย เพราะเพิ่งผ่าตัดกระจกตาไปเพียงคืนเดียวเท่านั้น
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ไม่ลาสิกขาให้ใคร

    เกี่ยวกับการลาสิกขาของพระเณร หลวงปู่ท่านไม่เคยทำพิธีลาสิกขาให้ใคร ตรงกันข้ามท่านมักจะบอกให้บวชเสียมากกว่า แต่ถ้าใครมาลาสิกขา ท่านก็บอกให้ไปลาสิกขากับท่านองค์นั้นองค์นี้แทน แม้ในหนังสือสวดมนต์หลวงปู่ท่านว่า

    "ไม่ควรมีบทลาสิกขา ถ้าจะมีให้ลงพิธีบวชถึงจะถูกต้อง บทลาสิกขาไม่ต้องเอามาลงไว้ มันไม่ใช่แนวทาง"

    ในวันออกพรรษาปี ๒๕๔๕ หลวงปู่ท่านได้ให้โอวาทแก่พระเณรว่า

    "ออกพรรษาแล้วผู้ได๋ซิสิกก็สิก ผู้ได๋ซิอยู่ก็อยู่ อยู่ตายคาผ้าเหลืองนำกันนี่ล่ะ" (ออกพรรษาแล้ว ใครจะสึกก็สึก ใครจะอยู่ก็อยู่ อยู่ตายคาผ้าเหลืองด้วยกันนี่ล่ะ)


    มั่นคงต่อพระวินัย รักสะอาดและประหยัด

    เรื่องแรกที่จะขอยกขึ้นมา ณ ที่นี้ คือ ประมาณตันปี พ.ศ.๒๕๔๖ หลวงปู่มีอาการอาพาธต้องเข้ารับการรักษาทีั่่โรงพยาบาล ทำการตรวจเลือดพบว่า ความเข้มข้นเลือดของหลวงปู่ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ต้องหาสาเหตุว่ามีแผลในระบบทางเดินอาหารหรือไม่ โดยส่องกล้องตรวจ เบื้องต้นให้ฉันยาระบายเพื่อขับถ่ายของเสียในระบบทางเดินอาหาร แต่องค์ท่านไม่สามารถขับถ่ายได้ จึงต้องใช้วิธีสวนร่วมด้วย ในขณะที่ท่านมีอาการอ่อนเพลียอยู่นั้น ผู้ล้วงช่วยก็กำลังตั้งใจมาก จึงบอกให้ท่านเบ่ง หลวงปู่จึงพูดออกมาทั้งๆที่มีเวทนาขณะนั้นว่า "ในพระวินัย เพิ่นบ่ให้เบ่งเด้อ" (ในพระวินัยของพระห้ามมิให้ออกแรงเบ่งในขณะขับถ่าย)

    อีกเรื่องหนึ่ง คือในช่วงเวลาที่หลวงปู่ยังแข็งแรงอยู่นั้น องค์ท่านจะนั่งรถกอล์ฟเพื่อตรวจดูบริเวณวัด ตรวจกุฏิหลังนั้นหลังนี้ หากพบว่ากุฏิหลังใดไม่มีพระอยู่ แต่เปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้ ท่านก็จะบอกคนขับรถลงไปปิดให้เรียบร้อยเสียก่อนที่ท่านจะผ่านไป ซึ่งในธรรมวินัยนั้น "หากภิกษุจะออกจากกุฏิไปสู่อาวาส อื่น ต้องทำความสะอาดปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย เพื่อเป็นการรักษาสมบัติของสงฆ์ มิให้ชำรุดทรุดโทรมหรือเสียหายก่อนเวลาอันควร"

    สำหรับเรื่องความรักสะอาดของหลวงปู่นั้น ท่านจะเน้นมากแต่ท่านไม่พูดมาก นานๆท่านจึงจะพูดออกมา ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการถูพื้นกุฏิ เรื่องมีอยู่ว่า ที่พื้นห้องของหลวงปู่จะเป็นไม้ เวลามีผู้เข้ามากราบนมัสการท่านจะทิ้งรอยนั่ง รอยเท้าหรือรอยมือไว้ หลวงปู่ก็จะบอกให้เอาผ้ามาถูตามบริเวณพื้น ซึ่งท่านก็พูดครั้งเดียว แต่ก็แสดงให้รับรู้ว่า ท่านเป็นพระที่รักความสะอาดและรักความเรียบร้อย ไม่ว่าเรื่องใดหากท่านเห็นว่า สิ่งใดวางไม่อยู่ที่เดิมท่านก็จะบอกให้จัดการทันที หรือตู้ที่แง้มฝาไว้ ลิ้นชักที่ปิดไม่สนิท ท่านจะมองและให้แก้ไขทุกครั้งไป

    หลวงปู่ท่านสอนต่อว่า "ไปอยู่ที่ไหนวัดไหน ให้ทำความสะอาดที่นั่น กวาดใต้กุฏิให้มันแปลน(สะอาด) อย่าขี้เกียจ"

    เวลามีงานพิธีสำคัญภายในวัด หลวงปู่ท่านมีเมตตาออกดูลูกศิษย์ที่เตรียมงานอยู่เสมอๆ ท่านจะชอบมองดูคนทำงาน หรือเวลาท่านนอนท่านก็จะชอบมองดูพระเณรที่ทำความสะอาดทำข้อวัตรอยู่ในขณะ นั้นโดยไม่ละสายตาเลย พระรูปใดทำอย่างไรท่านจะสังเกตหมด ถ้าไม่ทำอะไรท่านก็ไม่ว่าอะไร แต่ท่านจำไว้ แล้วคอยเล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า พระรูปใดเป็นแบบไหนคนนั้นเป็นแบบนั้นแบบนี้ และท่านจำไม่ลืม แม้นานเป็นปีหากได้ทำผิดพลาดให้เห็นแล้วไม่ลืม ที่สำคัญ ท่านเล่าให้คนอื่นฟังบ่อยด้วย...

    ส่วนเรื่องความประหยัด จะขอยกตัวอย่างเรื่องการประหยัดไฟ หากท่านพิจารณาเห็นว่า หลอดไฟจุดใดในวัดไม่ได้ปิดไว้หรือเปิดไดยไม่จำเป็น ท่านก็จะบอกให้ไปปิดทันที บางครั้งท่านไม่ได้ออกไปตรวจนอกกุฏิ ท่านก็ยังรู้ว่า จุดนั้นจุดนี้ยังไม่ได้้ปิดไฟไว้ ท่านก็จะบอก แต่ท่านไม่ได้บอกบ่อยนักเพราะเมื่อท่านพูดแล้ว พระเณรต่างก็ระมัดระวังมากขึ้น
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วัตรปฏิบัติเดินจงกรม

    ตลอดช่วงเวลาที่พระรูปหนึ่งได้มีโอกาสมาอยู่จำพรรษากับหลวงปู่พบว่า ทุกคืนองค์ท่านจะลุกขึ้นมาเดินจงกรมจับราวภายในกุฏิของท่านแม้ท่านจะชราภาพ มากเดินไม่ไหว แต่ท่านก็ไม่มีอาการหวั่นไหวกลับมีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเหมือนไม่มีอะไร เกิดขึ้นกับองค์ท่านเลย โดยจะให้คนที่เฝ้าท่านพาท่านลงจากเตียงไปยังทางเดินจงกรม บางคืนท่านก็เดินได้มาก บางคืนท่านก็เดินได้น้อย จนกระทั่งคืนหนึ่ง...

    เรื่องมีอยุ่ว่า ช่วงประมาณต้นปี ๒๕๔๖ ท่านเริมฉันอาหารน้อยลงบางวันฉันเพียง ๕ คำ ทำให้ท่านไม่ค่อยแข็งแรงเท่าที่ควร คืนหนึ่งเวลาประมาณสองนาฬิกา ท่านให้พาท่านนั่งรถเข็นไปเข้าทางเดินจงกรมเช่นเคย พอเดินได้สองรอบท่านก็หยุดนั่งรถเข็นและจะขึ้นเตียง ขณะที่จะนำท่าน ขึ้นจากรถเข็นนั้นหลวงปู่ก็มีอาการก้มหน้าแล้วหน้าท่านก็ฟุบลงบนบ่าของพระ ที่ดูแลท่านมีน้ำลายไหลออกเป็นทาง มีเม็ดเหงื่อออกท่วมตัว จึงได้จับท่านเงยหน้าขึ้นท่านก็ไม่ตอบสนองอันใด สังเกตว่าขณะนั้นท่านมีอาการตาลอย จึงรีบบีบคั้นตัวท่าน แล้วน้ำท่นขึ้นเตียงเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ทายาหม่องยาลม จนกระทั่งท่านรู้สึกตัวท่านก็หลับด้วยอาการอันอ่อนเพลีย

    พอรุ่งเช้า คณะลูกศิษย์ก็นิมนต์หลวงปู่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อตรวจร่างกาย หลังจากนำเลือดไปตรวจ พบว่าความเข็มข้นของเลือกต่ำ เป็นสาเหตุทำให้ท่านซึมลงพร้อมกับหมดสติดังกล่าว


    พรากของเขียว

    สำหรับเรื่อง การพรากของเขียว นั้น ในพระธรรมวินัยท่านห้ามไว้มิให้พระภิกษุพรากของเขียวให้หลุดออกจากที่มีการ เด็ดใบไม้เป็นต้นถ้าละเมิดท่านปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่แล้วก็มีเหตุท่านเมตตาสอนจนได้ เรื่องมีอยู่ว่า ในบริเวณวัดของหลวงปู่ซึ่งก็มีพื้นที่ไม่มากนักทางพระเณรได้ทำการปลูกต้นไม้ ยืนต้นไว้ตามที่ต่างๆ และต้องคอยดูแลตัดหญ้าไม่ให้ขึ้นปรกคลุมต้นไม้ที่ปลูกประมาณสองถึงสามปีจึง ปล่อยได้

    วันหนึ่งพระสองรูปเห้นว่าหญ้าขึ้นท่วมกล้าไม้แล้วไม่มีคนตัดลำพังสามเณรรูป เดียวคงทำไม่ไหว จึงพากันลงมือตัดเองเพราะหลวงปู่ยังไม่ทันกลับเข้าวัด จนถึงเวลาค่ำจึงพากันเข้าหาหลวงปู่ที่กุฏิ องค์ท่านถามทันที่ว่า"ใครตัดหญ้า" ก็ได้ตอบท่านตามจริง ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจหนึ่งกลับดีใจเพราะท่านรู้ทุกอย่างได้แม้ไม่ได้อยู่ วัดในขณะนั้น สังครูหนึ่งองค์ท่านก็เมตตาเตือนสติว่า "อย่าไปหาตัดเอง ให้โยมเขามาตัดให้ บางคนเข้าวัดเแฉยๆมีแต่เอา ให้ใช้เขาตัดนะ ถ้าไม่มีคนตัดก้ปล่อยมันรกอยู่อย่างนั้นแหละ" คืนนั้นทั้งคืนรู้สึกสุขใจที่ท่านเมตตาเตือนสติ เพราะปกติแล้ว องค์ท่านจะไม่พูดหรือไม่สนใจจะสอนใครง่ายๆ นัก


    ชอบทดสอบความรอบครอบไหวพริบปฏิภาณ


    หลวงปู่มีอุบายที่จะถามพระอยู่เรื่อยๆว่า อุปัชฌาย์ชื่ออะไร?อยู่วัดไหน? ใครเป็นพระกรรมวาจาจารย์? เมื่อมีพระอาคันตุกะมาพพักที่วัดก็จะามพระเณรว่า พระที่มาพักนั้นชื่ออะไร? ฉายาอะไร? มาจากวัดไหน? ให้พักกุฏิหลังไหน? ถ้าตอบชื่อท่านไม่ได้ท่านจะว่า "คนอะไรไม่มีชื่อ " ถ้าตอบได้ ท่านก็จะถามไล่เอาผู้ตอบจนมุม เช่นว้า พระที่มาพักนั้นเป็นคนบ้านไหน? อายุเท่าไหร่?่ เขาบวชที่ไหน? เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้หากพิจจารณาตามปัญญาที่น้อยนิดนี้ออกเป็นสองกรณี กรณีแรก หล่วงปู่ต้องการทราบว่า พระที่มาพักนั้น เป็นพระแท้มีสังกัดหรือไม่ อยู่ในความปกครองของใครจะได้ไม่ถูกหลอก เพราะสมัยนี้มีพระปลอมคอยเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนาไม่น้อย ส่วนกรณีหลังพิจจารณาได้ว่า หลวงปู่ท่านต้องการทดสอบสติปัญญาของผู้ถูกถามว่ามีปฏิภาณไหวพริมมากน้อย เพียงใด ได้พูดคุยต้อนรับพระอาคันตุกะหรืไม่ แต่สำหรับหลวงปู่แล้วท่านไม่เคยติดขัดอะไรเลยเวลามีคนมาถามท่าน ท่านจะตอบได้หมดทุกคำถาม
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มรณสติ

    เคยมีพระถามหลวงปู่ถึงวิธีภาวนาว่า ทำอย่างไรสมาธิถึงจะเกิดเพราะลองปฏิบัติแล้วแต่จิตยังไม่อยู่นิ่งเป็นสมาธิ หลวงปู่ก็เมตตาสอนว่า "ให้นับหนึ่งถึงสิบ ถ้าไม่อยู่ให้นับถึงยี่สิบ ถ้ายังไม่อยู่อีกให้นับถึงร้อยแต่ถ้ายังไม่อยู่อีก คราวนี้ให้บริกรรม ตายๆๆๆๆ"


    รวมเรื่องเล่าถึงหลวงปู่


    เคยสอบถาม "หลวงตาแตงอ่อน กลฺยาณธมฺโม" วัดป่าโชคไพศาลว่าสมัยที่ท่านอยู่วัดหนองผือ(นาใน) หลวงปู่อ่อนสาท่านเป็นอย่างไรบ้าง หลวงตาแตงอ่อนท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า

    "กุฏิ ของหลวงปู่อ่อนสาในครั้งนั้นเป็นกุฏิใบมะพร้าว ข้างกุฏืมีกกบากใหญ่(ต้นพวง) อยู่ทางฟากโพน(เนินดิน) ทิศใต้กุฏิหลวงตาแตงอ่อน ท่านไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร ไม่คลุกคลีกับใครอยู่เรียบๆเฉยๆ ต่างคนต่างทำความเพียรของใครของมัน ตัวหลวงปู่อ่อนสาเอง ท่านก็เป็นครูบาไม่ได้มาเอาวัตรใกล้ชิดกับหลวงปู่มั่น ปล่อยให้พระหนุ่มน้อยทำวัตรกับหลวงปู่มั่นไป โดยท่านคอยดูอยู่ห่างๆ"


    วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เวลาบ่ายสองโมง หลวงปู่ผ่าน ปญฺญาปทีโป และหลวงปู่บุญหนาได้มาเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาล หลวงปู่บุญหนาเมตตาเล่าให้ฟังว่า
    "สมัยตอนเป็นเณร หลวงปู่อ่อนสา ท่านมักจะหยอกท่านด้วยการล็อคคอ และเอารอยสักที่แขนซ้าย(รูปผู้หญิง) มาถูที่หน้าเรา"

    ท่านเล่าไปพลางหัวเราะพลาง ภายหลังเมื่อหลวงปู่บุญหนาได้ญัตติเป็นพระแล้ว ก็ได้หลวงปู่อ่อนสาเป็นผู้พาพินทุผ้าและอธิษฐานผ้าทุกอย่าง หลวงปู่บุญหนาก็สงสัยว่า "แล้วกรดต้องอธิษฐานด้วยหรือเปล่า?"

    หลวงปู่อ่อนสาท่านจึงตอบว่า "อธิษฐานทำไม กางออกใช้เลย"

    หลวงปู่บุญหนาเล่าต่อว่า สมัยก่อนไม่มีองค์ไหนเทศน์ มีอาจารย์เดียวคือหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวก็เงียบ หลวงปู่อ่อนสา นี่ยิ่งเงียบมาก สมัยนั้นทุกองค์เงียบมาก เลาจะคุยกันต้องกระซิบ ส่วนใหญ่เวลาท่านมาพบกัน มักจะถามกันว่า "เป็นจั๋งได๋ ภาวนาเป็นจั๋งได๋" (เป็นอย่างไร ภาวนาเป็นอย่างไร) ไม่เหมือนสมัยนี้ พอมาพบกันก็ถามกันว่า "เป็นจั๋งได๋ ศาลาสร้างไปถึงไหนแล้ว?"

    หลวงตาบุญเลิง วัดป่าบ้านหนองผือ (อดีตเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านหนองผือ)เล่าให้ฟังว่า

    "ครั้ง หนึ่งหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ว่า "ถ้าใครกลัวตายจะไม่ได้อะไรกับเขา" ทำให้ครั้งนั้นพระที่จำพรรษากับหลวงปู่มั่น ต่างพากันออกวิเวกกัน ตัวหลวงปู่อ่อนสาเองครั้งนั้นท่านก็ไปวิเวกบ้านอุ่นโคก เมื่อถึงเวลากาลเข้าพรรษาท่านก็กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าหนองผือแห่งนี้"

    มีพระรูปหนึ่งเคยบวชเป็นสามเณรน้อยอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี เคยเห็นหลวงปู่เดินเข้ามาที่วัดนี้บ่อยๆ ซึ่งสมัยก่อนหลวงปู่ท่านมักจะเดินเท้ามาจากวัดของท่าน ถนนหนทางไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน พระรูปนี้เล่าให้ฟังว่า "แค่ หลวงปู่เดินเข้าประตูวัดเท่านั้น สามเณรจะพากันหนีเข้ากุฏิเงียบหมดเลย เพราะว่าเกรงกลัวหลวงปู่มาก และหลวงปู่ท่านดุมากนะสมัยนั้น"


    www.dhammajak.net
     
  6. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]

    กราบพระอรหันต์ นามองค์หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
    พระอรหันต์ในยุคคปัจจุบัน

    เกษาหลวงปู่ครับ
    กอดตัวกันกลมเลย
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    พระธาตุหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2><HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>[​IMG]
    [​IMG] P1-1.jpg (144.75 KB, 566x549 - ดู 363 ครั้ง.)
    [​IMG]

    ขอบคุณที่มา
    http://www.udon108.com/board/index.php?PHPSESSID=edf275f305ca9fcd9ce163be54958b5c&topic=12316.450

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2010
  7. chakapong

    chakapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    497
    ค่าพลัง:
    +1,305
    อัฐิธาตุหลวงปู่ที่ข้าพเจ้ามีไว้บูชา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,418
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

แชร์หน้านี้

Loading...