หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท พระอริยสงฆ์ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ตอน ปฐมบท

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 พฤษภาคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท พระอริยสงฆ์ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ตอน ปฐมบท
    หลวงปู่เจี๊ยะ พระผู้เป็นดังผ้าขื้ริ้วห่อทอง
    [​IMG]
    ในวงศ์พระกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่เจี๊ยะจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับเรื่องธรรมภายใน กิริยาภายนอกที่สบาย ๆ ของท่านนั้นทำให้เป็นเหมือนม่านบังปัญญา บังตาเนื้อของชาวโลกที่นิยมชื่นชมด้านวัตถุชอบมองแต่สิ่งสวยงามภายนอก แต่ไม่เคยหันกลับมาย้อนดูภายในใจตน จึงมองท่านไม่ออก บอกไม่ถูก ผู้ไม่เท่าถึงในสิ่งที่มี ที่เป็น ที่ปรากฏภายในจิต เพราะธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์ไม่มีอาการลวงเหมือนอาการทางกายวาจา

    ศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นทั้งหลายมี หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงตามหาบัว ญาณสมปนฺโน ครูบาอาจารย์ที่เป็นดั่งอาจารย์ของท่านและคุ้นเคยเป็นอย่างดีนี้ เมื่อทราบว่าหลวงปู่เจี๊ยะอยู่ที่ใด มักจะแวะเยี่ยมและสนทนาธรรมอยู่เสมอ มิได้ขาด เสมือนอย่างว่าสายใยแห่งธรรมชักนำให้ดึงดูดต่อกันมิรู้ลืม

    ท่านเป็นประเภทตรงไปตรงมา การพูดการจาจึงเป็นดั่งโบราณท่านว่า “น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย” คือคำสอนของท่านเผ็ดร้อน เป็นความจริงมันอาจจะไม่ถูกใจเรา ท่านไม่พูดเอาใจเรา แต่คำสอนนั้นเมื่อนำมาประพฤติปฏิบัติ ก็เกิดผลดีกับชีวิตจิตใจเราได้จริงๆ คำสอนประเภทนี้อาจไม่ถูกใจคนบางคนที่นิยมการยกยอปอปั้น แต่เป็นคำสอนประเภททะลุทะลวงเพื่อเข้าสู่ความจริง

    น้ำร้อน คือคำพูดที่เผ็ดร้อนจริงๆ จังๆ ปลาเป็น คือทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนดีขึ้นมาได้ การพูดการสอนแบบนี้เรียกว่า “น้ำร้อนปลาเป็น”

    นัยทางตรงกันข้าม คำสอนประเภท น้ำเย็นปลาตาย พูดจาไพเราะเพราะพริ้งคุณโยมอย่างนั้นอย่างนี้ ยกยอเอาเสียจนคนมาปฏิบัติธรรมไม่รู้ความผิดของตนพูดจาเอาอกเอาใจ โดยไม่มุ่งสอนตามความเป็นจริง ทำให้คนที่เข้ามาแสวงหาความดีกลับกลายเป็นคนเสียคนไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นธรรมะ ก็คือธรรมะเอาอกเอาใจ เอาอกเอาใจเขาเพื่อทำให้เขาศรัทธาในตัวเอง เขาพอใจเขาก็ศรัทธา เขาไม่พอใจเขาก็ไม่ศรัทธา การพูดการสอนแบบนี้ มุ่งเน้นให้คนมาชอบศรัทธาในตนมากกว่าสอนเขาให้เข้าใจในพระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    น้ำเย็น ก็คือคำพูดที่ฟังแล้วชุ่มฉ่ำเย็นใจสำหรับมนุษย์ที่ชอบความนิ่มนวลอ่อนหวาน แต่แฝงไปด้วยพิษร้าย เพราะไม่ใช่คำจริงเพื่อถึงความจริง คำพูดฟังดูดีแต่ทำตามแล้วกลับมีผลเสียตามมาทีหลัง

    ปลาตาย คือเป็นคนตายทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียกว่า ตายทั้งเป็น ผู้สอนก็ตายจากคุณงามความดี ผู้ฟังก็ตายจากการได้รับสัจจะความจริงแห่งพระสัทธรรมการพูดการสอนแบบนี้เรียกว่า “น้ำเย็นปลาตาย”

    การเขียน-ทำประวัติของท่าน จึงมีแนวโน้มนำเสนอแบบตรงไปตรงมาเหมือนอุปนิสัยขององค์ท่านเอง คณะผู้จัดทำเดินทางไปถึงวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๓ เมื่อกราบนมัสการและกราบขอให้ท่านเล่าประวัติขององค์ท่านเองให้พวกเราฟัง หลวงปู่เจี๊ยะท่านกำลังนอนขาพาดเก้าอี้หวายอยู่หน้ากุฏิ อันเป็นที่พำนักจำพรรษามานานตั้งแต่ขณะที่ท่านยังแข้งขาดีอยู่ จนถึงเวลานี้ที่ธาตุขันธ์ทรุดโทรมไปมากแล้ว นั่งนานๆ ก็ไม่ได้ ความจำก็หลงลืมไปบ้าง แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคเพื่อที่จะเข้าถึงความจริงแห่งชีวิต แต่ท่านเองกลับแสดงกิริยาท่าทางสอนเราว่า นี่แหละเป็นธรรมะที่เราทุกคนควรจะนำไปพินิจพิจารณาเพื่อสอนตน

    เมื่อได้กราบเรียนวัตถุประสงค์พวกเราให้ท่านทราบแล้ว ท่านแสดงความเมตตาที่จะให้พวกเราจัดทำประวัติ เพื่อพุทธศาสนิกชนรุ่นหลังจะได้ระลึกตาม อันเป็นแบบอย่างแห่งชีวิต และเป็นอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งต่างออกไปจากครูบาอาจารย์ทั้งหลายซึ่งทรงคุณค่าและเป็นคติธรรมอันดีงามได้เช่นเดียวกัน

    “หลวงปู่เจ้าคะ” อุบาสิกาคนหนึ่งกราบเรียนถามขึ้น พร้อมๆกับพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า เพื่อขอโอกาสเรียนถาม “หลวงตามหาบัวฯ พูดที่สวนแสงธรรมชมหลวงปู่มากว่าเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เป็นเหมือนพระทองคำถูกปูนโบกไว้ด้วยปูน แต่เวลานี้หลวงตาท่านกำลังกะเทาะปูนออก ให้คนทั้งหลายได้เห็นพระทองคำที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน อันมีค่าเหลือประมาณไม่ได้ เมื่อใดที่คนเขาไม่รู้ว่าเป็นพระทองคำ พระนั้นก็เหมือนพระปูนธรรมดา แต่เมื่อใดที่คนทั้งหลายมาทราบว่า ภายนอกเป็นปูนแต่ภายในเต็มไปด้วยทองคำ ทองคำเช่นนั้นย่อมจะเป็นประโยชน์มหาศาล เป็นสมบัติอันล้ำค่า ตอนนี้หลวงตาท่านบอกว่า กำลังกะเทาะปูนออกให้คนดู หลวงปู่รู้บ้างหรือเปล่าที่หลวงตาท่านชื่นชม และหลวงปู่มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

    “ครูบาอาจารย์ท่านชมก็นับว่าเป็นสิริมงคลดี” หลวงปู่กล่าวขึ้นพร้อมๆ กับยกกระโถนขึ้นมาบ้วนน้ำลาย แล้วกล่าวต่อไปว่า “อย่าว่าแต่ชมเลย แม้ท่านติก็นับว่าเป็นสิริมงคลดี เพราะทั้งการชมการตำหนิ ล้วนเป็นไปด้วยเหตุผลอันประกอบด้วยธรรมทั้งนั้น”

    คำพุดที่อาจารย์มหาบัวเรียกเราว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” นั้น จริงๆแล้วท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้ที่เรียกองค์แรก สงสัยท่านไปได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นเรียกจึงเรียกตาม หรือบางทีท่านอาจจะเรียกขึ้นเองด้วยความเมตตา การพูดทั้งนี้ทั้งนั้นท่านอาจารย์มหาบัว ท่านไม่ได้มาพูดกับเรา แต่ท่านนำเรื่องของเราไปพูดถึง ตามปกติท่านก็เมตตาเรามากอยู่ พระลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่นที่เป็นกัลยาณมิตรที่สนิทชิดเชื้อมากคือ พระอาจารย์ฝั้น, หลวงปู่ขาว, ท่านอาจารย์มหาบัว, หลวงปู่ชอบ, หลวงปู่หลุย ฯลฯ

    ท่านอาจารย์มหา(บัว) ท่านชมว่าเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ท่านพูดให้โยมฟัง ท่านไม่ได้พูดกับอาตมา แสดงว่าท่านต้องการสอนพวกโยมนั่นแหละ ชีวิตคนบนโลกนี้มันก็เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะทั้งนั้นแหละโยม บรรจุเอาแต่สิ่งที่สกปรกโสโครก นินทา-สรรเสริญ สุข-ทุกข์ ทรัพย์-สมบัติ ลาภ-ยศ ตลอดจน เกียรติยศ-เกียรติภูมิ ที่พวกเราทั้งหลายแบกหามหวงแหนกันอยู่นี่ สิ่งเหล่านี้ภาษาธรรมท่านเรียกว่า “ผ้าขี้ริ้วหรือถังขยะ หรือก้อนเขฬะน้ำลายที่พระพุทธเจ้าทรงบ้วนทิ้ง” เอาสาระคุณกับมันมากนักไม่ได้ เพราะเป็นเพียงส่วนเกินหาใช่ส่วนจริงไม่ เพียงแต่เราพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ไม่ประมาท มีสติอยู่ทุกเมื่อ ย้อนพิจารณาเข้ามาในตนด้วยความเป็นธรรม เราก็จะทราบไม่หลงไม่เสียใจ เมื่อหันกลับมามองดูตัวและดูใจเราเองแล้ว ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่หลงตัวลืมตน ไม่เพลิดเพลินกับสิ่งชั่วเสียหาย หาอุบายพากันมาสร้างคุณงามความดี ปลีกตัวอย่ามั่วสุมจนหลงลืม พยายามสร้างความดีให้ความดีผุดโผล่ขึ้นมาในใจ เหมือนดอกบัวที่มันจมอยู่ในโคลนตม น้ำโคลนเหลวๆ ที่คนว่าสกปรกนั่นแหละเป็นปุ๋ยได้อย่างดี ทำให้ดอกบัวงดงาม กิ่งก้านใบชูชันขึ้นมาได้ ตรงกันข้ามถ้าน้ำนั้นสะอาดเหมือนน้ำดื่ม แม้โคลนตมก็ไม่มี ดอกบัวคงเกิดไม่ได้มีแต่ตายอย่างเดียว ธรรมชาติของชีวิตที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏวนที่แท้จริงมันก็เป็นเช่นนั้น ถ้าเราฝ่าอันตรายคือ ความหมักหมมโง่หลง ก็จะเห็นความบริสุทธิ์สว่าง เพราะเบื้องต้นแห่งจิตชีวิตกรรมวิบากของแต่ละบุคคลมันเป็นเช่นนั้นนะ ชีวิตที่ดีเลิศประเสริฐศรีจนมองไม่เห็นความจริงแท้อะไรก็เช่นเดียวกัน มักเป็นผู้โง่เขลาในเรื่องชีวิต

    พระพุทธองค์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าพระองค์ไม่เห็นแก่นแท้ของชีวิตพระองค์ก็จะไม่ทรงตัดสินพระทัยอย่างมั่นแม่นเพื่อการบรรพชา แต่พระองค์ทรงพิจารณาเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มนุษย์ยังชื่นชมว่าดี ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ไม่มีคุณค่าราคาอะไรเลย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเป็นเพียงของทิ้ง เป็นเพียงผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งที่ใช้แล้วจำต้องทิ้ง ใครที่ทะนุถนอมสิ่งของที่ต้องทิ้ง ต้องบูดเน่า คนนั้นก็นับได้ว่าเป็นคนบ้าและโคตรโง่เลยทีเดียว แต่ที่พระองค์จะมีจิตเบื่อหน่ายในสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นเพราะพระบารมีญาณ ที่พระองค์สั่งสมมาหลายแสนชาติ มาเตือน ทำให้อินทรีย์แก่กล้า จึงทำให้พระองค์สละได้ง่าย การที่พระองค์สละทุกอย่าง มิใช่สละได้ในวันนั้นเพียงวันเดียว แต่พระองค์บำเพ็ญเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณมาตั้งนานแล้ว

    ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละจะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรม รูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว นามธรรมคือหัวใจ ที่ฝึกปฏิบัติ จนได้เห็นธรรมตามความสามารถ นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน

    แต่ถ้าพวกเราไม่สนใจในการฝึกจิตรักษาใจ สร้างคุณงามความดีแล้วละก็ คนประเภทนี้ก็อาจเรียกได้ว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อก้อนขี้หมา” เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่รู้จักคุณค่าของคนแล้วยังไม่พอ ยังกลับไม่รูจักค่าของคุณงามความดีด้วย คือการปฏิเสธความดี แต่จิตนี้มั่งมีไปด้วยความชั่วเสีย เกิดเป็นคนแต่ใจไพล่ไปในทางเปรตผี รูปร่างแบ่งแยกมนุษย์ให้รู้ว่าสวยขี้เหร่อย่างใด ใจก็แบ่งแยกมนุษย์เรื่องดี-ชั่ว สะอาด-สกปรก ได้อย่างนั้นเหมือนกัน

    เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ใจมันไม่เหมือนกัน ใจนี่แหละทำให้คนต่างกัน ไม่ใช่ร่างกาย ทรัพย์สมบัติเงินทองของนอกกาย

    พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา แต่พระทัยของพระองค์เป็นโลกวิทู รู้แจ้งโลก ที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็คือพระทัยของพระองค์ที่บริสุทธิ์นั่นแหละ พระอรหันต์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านก็เป็นคนเหมือนพวกเรา แต่ท่านไม่เหมือนพวกเราในเรื่องหัวใจที่ใสบริสุทธิ์ คือเป็นคนเหมือนกันแต่หัวใจมันต่างกัน ท่านผู้ประเสริฐมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านี้ ท่านเป็นผู้ฝึกตนมาดี เก็บเกี่ยวเอาทุกๆ เรื่องมาสอนตน ในที่สุดท่านก็กลายเป็นผู้ประเสริฐขึ้นมาได้ท่ามกลางโลกที่โสมม

    เมื่อองค์หลวงปู่พูดจบลงท่านก็ยิ้มน้อยๆ ทำให้พวกเราอัศจรรย์ใจในวาทะวาทีขององค์ท่านที่คมคาย ทำให้นึกขึ้นมาได้ในใจว่า พระทองคำที่องค์หลวงตากำลังกะเทาะออกให้คนได้ดูชมนั้น ช่างเป็นความจริงเสียเหลือเกิน ทำให้อยากค้นหาในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาที่สถิตย์อยู่ภายในใจองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะองค์ท่านก็คือ เพชรน้ำหนึ่งของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดประกายแสงสว่างย่อมปรากฏให้ผู้คนที่ต้องการทราบความจริงแห่งชีวิตได้พบเห็นและค้นคว้า
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างศาลาการเปรียญ-วัดหัวสะแกตก-พร้อมรับวัตถุมงคล.564170/
     

แชร์หน้านี้

Loading...