หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ผู้เปิดโลกหลังความตาย

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย chaokhun, 25 เมษายน 2015.

  1. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    หลวงปู่เดินหนเรียกวิญญาณทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
    เรื่องราวน่าแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจยังมีอยู่จริงอย่างเรื่องโลกหลังความตาย เรื่องราวของเหล่าดวงวิญญาณยังมีผู้ฅนสนใจเสาะหาค้นคว้าหลายยุคสมัย โลกทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ต่างมีความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายทั้งสิ้น อาจแตกต่างกันไปบ้างในส่วนเนื้อหาตามประเพณีและความเชื่อของแต่ละศาสนาต่างท้องถิ่นไปบ้างก็ตามที ความเชื่อเรื่องวิญญาณหรือโลกหลังความตายของชาวไทเรานั้น มีความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายว่ามีอยู่จริงวิญญาณมีจริง ตามหลังพุทธศาสนาได้กล่าวถึงโลกทั้ง ๓ เรียกว่าภพ หรือ ภูมิ ทั้งสามที่ว่านี้มี
    ๑. โลกมนุษย์
    ๒. สวรรค์
    ๓. นรก
    โดยส่วนใหญ่ฅนเรามักเรียกผู้ที่อยู่ในโลกหลังความตายว่า“วิญญาณ หรือ อมนุษย์” ซึ่งในความเป็นจริงวิญญาณยังแบ่งออกได้อีกหลายประเภทแยกย่อยไปได้อีกเช่น โอปปาติกะ, เปรต, อสุรกาย, สัมภเวสี หรือบางครั้งแม้นแต่เทพเทวดาที่มีผู้ฅนไปพบเจอเข้า เขาก็ยังเรียกรวมว่าผีด้วยเช่นกัน เช่นผีป่า ผีเรือน ผีเมือง
    ปัจจุบันบ้านเมืองเปลี่ยนไปมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุมากขึ้น แต่ยังคงมีผู้ฅนสนใจเสาะหาข้อมูล บ้างเดินทางไปพิสูจน์เรื่องราวของ “ภูตผี วิญญาณ” ตลอดจนเรื่องเหนือธรรมชาติ โดยใช้เครื่องมือทันสมัยตรวจจับพลังงานที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณ แต่ทั้งหมดยังไม่มีใครสามารถนำดวงวิญญาณหรือเรียกดวงวิญญาณมาให้พบเห็นจริงได้

    ใครจะรู้ว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วในยุคปีพ.ศ. ๒๕๐๐ ในเมืองไทยเราเคยมีผู้ที่สามารถเชิญวิญญาณ หรือที่เรียกกันว่า “ผี”ให้มากินเครื่องเซ่น สามารถเดินเหินเป็นเสียง ทั้งยังกินดื่มอาหารความหวานเหมือนดังมนุษย์เรานี้ได้ เรื่องราวนี้ข้าพเจ้ากล้านำมาเขียนด้วยตัวข้าพเจ้าเองเคยได้อยู่ร่วมในพิธีกรรม “เชิญวิญญาณ”ดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน หลายท่านคงสงสัยว่าท่านใดหนอ หรือใครที่สามารถเรียกวิญญาณฅนที่ตายแล้วกลับมาได้อีก ท่านคือ หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ท่านเป็นพระโบราณมีอายุขัยผ่านโลกผ่านวันเวลามานานนับพันปี ทราบว่าท่านอยู่มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลหลวงปู่เดินหน ท่านมาผ่านร่างลูกศิษย์ (ร่างทรง) คือ ท่านอาจารย์สุวัฒน์ นาคสมบูรณ์ การมาผ่านร่างทรงเพื่อโปรดสัตว์ของหลวงปู่เดินหนนี้ เป็นไปคล้ายคลึงกับหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้, หลวงพ่อสีมั่น วัดห้วยลาด, หลวงปู่เผือก วัดสาลีโข ซึ่งท่านที่กล่าวมานี้ก็มาผ่านร่างทรงเพื่อโปรดสัตว์เช่นกัน โดยศิษย์ของหลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในทุกวันนี้มีอยู่มากมายหลายท่าน และมีศิษย์อยู่ท่านหนึ่งผู้ที่ได้เรียนวิชาเกี่ยวกับวิญญาณไปคือ หลวงพ่อบ๋าวเอิง วัดญวนสะพานขาว ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่ขอนำเรื่องราวในส่วนนี้มาเสนอ แต่จะขอนำเรื่องราวการเชิญวิญญาณที่หลวงปู่เดินหนท่านเคยทำพิธีดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์ว่าหลวงปู่ท่านเคยทำพิธีเชิญวิญญาณหลายคราว โดยเริ่มประกอบพิธีกรรมนี้มาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมาจวบจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๖สถานที่ประกอบพิธีกรรมเชิญวิญญาณมีหลายสถานที่ เช่น วัดตาเจี่ย จังหวัดสมุทรปราการ, วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี, โรงสีแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี,บ้านพักย่านเตาปูน, บ้านพักถนนประชาชื่น, บ้านพักที่ปทุมธานี (ฟาร์มเป็ด), บ้านสวนที่สระบุรี(สวนส้ม) การทำพิธีเชิญวิญญาณครั้งสุดท้ายกระทำที่ บ้านสวนส้ม จังหวัดสระบุรี
    เหตุการณ์ที่หยิบยกมาเล่าบอกเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ของ“พิธีเชิญวิญญาณ” ณ วัดทุ่งสมอ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยพิธีกรรมในครั้งนี้เคยมีนักเขียนอาวุโสท่านหนึ่งได้เข้าร่วมพิธีกรรมได้สังเกตการณ์อยู่ในพิธีกรรมดังกล่าวนี้ด้วยตนเองตลอดพิธีกรรม นักเขียนท่านนี้มีคือคุณทองหยก เลียงพิบูลย์ หรือนามปากกาอันเป็นที่รู้จักในนาม “ท. เลียงพิบูลย์” ท่านผู้นี้เป็นผู้สนใจค้นคว้าทั้งนำเรื่องราวของกรรมตลอดจนเรื่องราวลี้ลับอัศจรรย์มาเผยแพร่แก่ฅนทั่วไป ให้ได้รู้จักผลของกรรมดีและชั่ว เพื่อให้เกรงกลัวต่อผลอันเกิดขึ้นจากการทำผิดบาปนั้น ข้าพเจ้าได้สอบถามข้อมูลได้ทราบเบื้องลึกในหลายส่วนคาดว่าสาเหตุที่คุณ ท. เลียงพิบูลย์นำนามเปิดเผยเมื่อเรืองราวดังกล่าวนี้ผ่านไปแล้วเกือบ ๒๐ ปีด้วยเหตุการณ์เชิญวิญญาณที่คุณท. เลีงพิบูลย์ ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์นี้เกิดขึ้นในราวปีพ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๐๙ แต่นำมาเรียบเรียงเปิดเผยครั้งแรกในราวปี พ.ศ.๒๕๑๖ ด้วยเรื่องราวของหลวงปู่เดินหนเป็นเรื่องราวที่ลี้ลับอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่มองได้หลายแง่มุมทั้งดีและร้ายต่างไปตามความคิดซึ่งเรื่องราวของหลวงปู่หากฅนที่ไม่เคยได้พบเห็นหรือฅนหัวสมัยใหม่ก็ยากที่จะให้เชื่อถือในเรื่องอัศจรรย์เหล่านี้
    หากพิจารณาดูจะทราบได้ว่าในหลายส่วนของเรื่องราวที่คุณ ท. เลียงพิบูลย์ เลี่ยงที่จะกล่าวถึงหรือเบี่ยงเบนประเด็นเป็นตัดบทไปในหลายส่วนเช่น ชื่อเรื่องก็กล่าวเพียงว่า “หลวงปู่”ไม่ยอมระบุชื่อของท่าน สาเหตุก็เป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์ว่าหลวงปู่ท่านไม่อนุญาตให้ใครนำชื่อท่านไปเขียนหรือไปโฆษณาป่าวประกาศแก่ผู้ฅนในทุกรูปแบบ สาเหตุว่าท่านไม่ต้องการให้ฅนแห่กันมารบกวน มาลองดี ลองของ มันทำให้ท่านเสียเวลากับฅนพวกนี้ที่ไม่ได้มีธุระเดือดร้อนใจใดมาเพียงแค่ดูเท่านั้น พวกนี้ท่านเบื่อหน่าย จึงมีกฏว่าใครพาฅนมาพบหลวงปู่ฅนที่พามาต้องรับผิดชอบหากฅนที่มานั้นมาดีร้ายอย่างไร ศิษย์ผู้นำพาต้องรับผิดชอบด้วย เหตุนี้ศิษย์จึงเข้มงวดกันเองมากเรื่องพาฅนมาพบหลวงปู่ท่าน อีกประการคือไม่มีการกล่าวถึงชื่อฅนทรงทั้งที่คุณ ท. เลียงพิบูลย์ รู้จักนามแต่ไม่เอ่ยนาม ด้วยกลัวผู้ฅนเสาะหาสืบค้นไปรบกวนผู้เป็นร่างทรงจากการสอบถามครูมะลิ แนวตานาค ท่านผู้นี้เป็นอดีตครูใหญ่ โรงเรียนวัดทุ่งสมอเป็นผู้รู้ใกล้ชิดเห็นเรื่องราวของหลวงปู่กอบตลอดทุกครั้งที่มีการประทับทรงที่วัดทุ่งสมอ ทั้งยังอยู่ในพิธีเชิญวิญญาณร่วมกับ ท. เลียงพิบูลย์ ด้วย ท่านกล่าวว่าในพิธีกรรมตอนเชิญวิญญาณนี้ มีหลายช่วงที่ท่านเล่าไว้น่าสนใจ ด้วยในช่วงทำพิธีตัวของครูมะลิท่านนั่งอยู่ด้านหลัง คุณ ท. เลียงพิบูลย์ สวนผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าใกล้หลวงปู่เท่าที่ครูมะลิจำได้ ส่วนมากเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผู้พิพากษา ประธานศาล นายทหาร นายตำรวจใหญ่ คหบดีหลายท่าน รวมถึงดารานักแสดงชื่อดังอย่าง คุณมิตร ขัยบัญชา และนายตำรวจมือปราบอย่าง พล.ต.ตเนื่อง อาขุบุตร เป็นต้น ในช่วงที่วิญญาณทหารมาถึงนั้นครูมะลิเล่าว่าตอนที่หลวงปู่ดุวิญญาณในพิธี คุณ ท.เลียงพิบูลย์ เกิดตกใจโดขึ้นมานั่งบนตักของครูมะลิช่วงเวลานั้นครูมะลิเล่าว่าตัวท่านเองก็กลัว แต่อดขำคุณ ท. เลียงพิบูลย์ กับคนอื่นๆ ไม่ได้ที่ต่างพากันตกใจพร้อม ๆ กัน เป็นเรื่องราวที่ครูมะลิจำได้แม่นยำมาจนวันนี้
    อาจเป็นด้วยว่า คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ต้องเสนอเรื่องอย่างเป็นกลาง ไม่แสดงตนว่าเชื่อถืองมงายในเรื่องเจ้าเข้าทรง หากท่านอ่านให้ดีจะเห็นหลายตอนที่กล่าวว่าไม่มีคำอธิบายใดได้ในเรื่องของหลวงปู่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางฅนหมู่มาก ไม่ได้ทำในที่ลับตาหรือมีสิ่งใดบังตา ทั้งการคว้าของจากอากาศก็ดี การเป่าตะกรุดเข้าในสายสร้อยก็ดี จึงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเพื่อจับพิรุธว่ามีข้อสงสัยใดแอบแฝง เรื่องราวการเชิญวิญญาณที่ วัดทุ่งสมอ กาญจนบุรีเป็นอย่างไรนั้นของท่านทั้งหลายพิจารณาดูเอาเถิดว่า เป็นเรื่องราวน่าอัศจรรย์อย่างไร เพราะหากว่าไม่อัศจรรย์ไร้คำอธิบายในพลังจิตอัศจรรย์ของหลวงปู่แล้วไฉน คุณ ท. เลียงพิบูลย์ จึงกล้านำมาบันทึกไว้ให้ฅนทั้งหลายได้รู้เพราะหากว่าท่านไม่บันทึกไว้ในเรื่องนี้ เชื่อว่าต่อไปผู้ฅนอาจลืมเลือนไม่รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เคยเกิดขึ้นจริง เรื่องราวเป็นอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าได้หยิบยกเนื้อหาบางส่วนมาให้ท่านได้รับรู้ดังต่อไปนี้
    เรื่องราวต่อไปนี้นำมาจากบทความเรื่อง“หลวงปู่” เขียนโดยคุณ ท. เลียงพิบูลย์
    - จากหนังสือเรื่อง “เงาบุญ – เงาบาป(นิทานชีวิต) และ จิตตานุภาพ และวิญญาณ” จัดพิมพ์โดย สถานีวิทยุ ๐๑ ภาคพิเศษ กองบินยุทธการ ชุดจิตตานุภาพและวิญญาณ หน้า ๑ – ๓๖ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗
    - จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่มที่ ๘ หน้าที่ ๙๕ – ๑๒๓พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๘ จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม
    เมื่อมีผู้รู้ว่าข้าพเจ้าสนใจเรื่อง “วิญญาณ” ก็มีท่านที่เคารพนับถือและเพื่อนฝูงได้แนะนำ และได้สละเวลาพาไปสถานที่ต่าง ๆให้ไปรู้ไปเห็น และมีผู้ส่งเรื่องจิตตานุภาพกับวิญญาณมาให้มากด้วยกัน นี่เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีความสนใจสิ่งใดก็มีผู้แนะนำในสิ่งที่สนใจนั้น ฉะนั้นข้าพเจ้าก็ต้องขอขอบคุณท่านที่ได้กรุณาแนะนำ และส่งเรื่องมาให้จำนวนมาก ซึ่งบัดนี้ข้าพเจ้าจะขอแนะนำเรื่องที่ได้ไปพบเห็นด้วยตนเอง ได้พยายามขอลงนามจริงของบุคคลที่รู้เห็นในเรื่องนี้ และสถานที่เกิดเหตุขึ้นเท่าที่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของนามมาให้ เมื่ออ่านแล้วจะได้ใช้เวลากับปัญญาพิจารณาดูเพื่อให้เข้ากับเรื่อง“จิตตานุภาพ และวิญญาณ” เพื่อท่านจะได้ไม่หลงเชื่อลมๆ แล้ง ๆ ดังเรื่องที่ได้เล่าต่อไปนี้
    บ่ายวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์ แม้เรื่องจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ดี ข้าพเจ้าก็จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเสาร์ เสียงที่พูดมาทางโทรศัพท์นั้นบอกว่า
    “นี่เชื้อพูด คืนนี้อยากจะให้คุณไปพิสูจน์เรื่องเข้าทรงของหลวงปู่ ที่วัดทุ่งสมอ เมืองกาญจนบุรี มีเวลาไปได้ไหม” แม้จะไม่ต้องบอกชื่อ ข้าพเจ้าก็จำเสียงได้ว่าเป็น คุณเชื้อ แนวบุญเนียร จึงย้อมถามไปว่า “คืนนี้มีอะไรพิเศษหรือ พอจะคุ้มกับเวลาที่ต้องเสียไปไหม” เสียงตอบบอกว่า “คืนนี้หลวงปู่จะเรียกวิญญาณทหารญี่ปุ่น และทหารฝรั่งตายในสงครามที่เมืองกาญจนบุรีมากินเลี้ยง ผมจะรีบไปก่อน แล้วคุณตามผมไปในภายหลังนะ ตกลงไหม?”
    ข้าพเจ้าเกิดความสนใจมาทันทีอยากรู้อยากเห็นเรื่องวิญญาณทหารญี่ปุ่นและฝรั่ง เป็นเรื่องใหม่แปลกสำหรับข้าพเจ้าจึงรีบบอกไปว่า “ตกลงผมจะเอารถตามคุณไปภายหลัง”
    เสียงคุณเชื้อบอกว่า“คุณไม่ต้องเอารถไปเอง คุณประพัฒน์และคุณมนตรีจะเอารถมารับคุณที่บ้านขอให้คุณนำทางเพราะทั้งสองฅนไปไม่ถูก เพราะไม่เคยไป”
    ข้าพเจ้ารีบบอก “ตกลง”
    ตกลงบ่ายวันนั้นคุณประพัฒน์นำรถมารับข้าพเจ้าที่บ้าน โดยมีคุณมนตรีติดตามมาด้วย คุณประพัฒน์มีฅนขับมาพร้อมข้าพเจ้าก็ไม่ให้เสียเวลาเพราะแต่งตัวคอยอยู่แล้ว รีบขึ้นรถเดินทางจากบ้านข้าพเจ้ามุ่งหน้าข้ามสะพานพุทธฯ และตั้งจุดตรงไปเมืองกาญจนบุรีโดยไม่แวะที่ใด เวลานั้นถนนฝั่งธนบุรียังไม่เรียบร้อยยังมีอิฐทราย ดิน กองอยู่ข้างทางตลอดไปเป็นทางยาวหลายกิโลเมตร รถวิ่งไม่สะดวกนัก (อยู่ในราวปี พ.ศ.๒๕๐๙ ผู้เรียบเรียง)
    รถได้ผ่านเข้าเขตเมืองกาญจนบุรีก็พอดีย่ำค่ำเราได้แวะเติมน้ำมัน และแวะร้านอาหารปากทางที่จะเข้าในตัวจังหวัด กินอาหารเย็นแล้วสนทนากันอย่างสนุกสนานพักรถพักฅนพอสมควรแก่เวลาแล้วก็ออกเดินทางต่อไป ซึ่งข้าพเจ้าเคยไปที่วัดทุ่งสมอก่อนหน้านี้ไม่นานมาครั้งหนึ่งแล้วในเวลากลางวัน ไม่เคยเดินทางในเวลาค่ำคืน
    จำได้เพียงว่าเมื่อออกจากทางแยกเข้าจังหวัดแล้วประมาณสิบกว่ากิโลเมตรก็จะเข้าถึงเขตวัดซึ่งอยู่ริมถนนใหญ่ที่จะผ่านไปอำเภอพนมทวน ถนนเวลานั้นยังเป็นลูกรังไม่เรียบร้อย รถจึงวิ่งช้ากว่าธรรมดา การเดินทางจะเอาอย่างใจนึกไม่ได้ เพราะใจมนุษย์นั้นเร็วที่สุดเร็วกว่าแสงหรือเร็วกว่ายานใด ๆ ในโลก
    เราได้สนทนากันมาในรถอย่างสนุกสนานตลอดทางลืมมองดูว่าจะเข้าถึงทางเข้าวัดหรือยัง ทั้งทางก็มืดไม่เห็นสองข้างทางเลย รถวิ่งเลยทางเข้าวัดทุ่งสมอไปถึงอำเภอพนมทวน ข้าพเจ้าจึงรู้ว่ารถเราเลยวัดทุ่งสมอมาไกลแล้ว
    ที่สุดเราก็ให้ฅนขับกลับรถย้อนกลับมาถึงวัดทุ่งสมอ คืนนั้นเป็นคืนข้างแรม ทั้งทางเข้าวัดก็มืดสนิทถนนที่รถวิ่งไปมาไม่มีรถยนต์สวนทางหรือตามหลังเป็นคืนที่วิเวกวังเวงเงียบสงัดชอบกล
    เมื่อรถเราเข้าไปในเขตวัดผ่านต้นไม้ใหญ่ปกคลุมตัววัดภายใน เราก็มองเห็นมีรถยนต์จอดกันเป็นทิวแถว รู้สึกว่ารถส่วนมากไปจากกรุงเทพฯส่วนรถที่มาจากเมืองกาญจนบุรีก็มีบ้างไม่กี่คัน
    เรารู้สึกว่ารถรถของเราเดินทางมาถึงล่าสุดเป็นคันสุดท้ายในคืนนั้น เพราะต้องเสียเวลาเลยไปแล้วย้อนกลับมาอีก ข้าพเจ้าชวนพวกลงจากรถเดินขึ้นไปที่กุฏิท่านสมภารรู้จักท่าน (สมภารวัดในเวลานั้นคือ พระครูวิบูลธรรมประภาส หรือ หลวงพ่อเบี่ยง อุทโย) เพราะเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว
    ข้าพเจ้าได้พบผู้ที่คุ้นเคยมากท่าน มีทั้งนายทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ชั้นนายพลหลายท่าน และทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ชั้นพิเศษและผู้พิพากษา ผู้มีชื่อและข้าราชการอื่น ๆ อีกมาก เราต่างนั่งสนทนาอยู่บนกุฏิท่านสมภาร นอกนั้นก็ยังมีชาวเมืองกาญจนบุรีจำนวนไม่น้อยที่ข้าพเจ้ารู้จักหลายท่านด้วยกัน ที่เดินเตร่อยู่ใกล้โบสถ์และต้นไม้ บริเวณนั้นมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มขาย มีไฟจุดสว่างไสวคล้ายงานออกร้าน
    คืนนั้นรู้สึกว่าจะมีฅนล้นหลามในเขตบริเวณวัด
    บนกุฏิเรามองเห็นเครื่องเซ่น เช่น เป็ดย่าง ไก่ตอน อย่างละหลายตัว อาหารอื่น ๆ อีกหลายอย่าง และเหล้าจำนวนไม่น้อยใส่ถาด ผลไม้ต่าง ๆ จัดไว้เป็นถาด ตั้งเตรียมไว้เรียงรายคิดแน่ใจว่าเครื่องเซ่นเหล่านี้คงจะเอาไปเลี้ยงวิญญาณทหารฝรั่งและทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตลงในเมืองกาญจนบุรี
    ฅนทรงยังหนุ่ม เพิ่งสึกจากพระซึ่งบวชอยู่ที่วัดทุ่งสมอมาก่อนทราบว่าการบวชครั้งนั้นแก้บน
    ครั้งก่อนข้าพเจ้ามาเวลากลางวัน และเคยเห็นการเข้าทรงของหลวงปู่มาแล้ว ครั้งนั้นฅนเป็นร่างทรงยังเป็นพระภิกษุ เมื่อเวลาเข้าทรงก็นุ่งขาวห่มขาวไว้ข้างนอกทับผ้าเหลืองไว้ข้างในเวลานั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าผิดวินัยสงฆ์หรือไม่ ไม่เคยคิดและไม่รู้และไม่เคยเห็นมาก่อน
    ครั้งนั้นการเข้าทรงวิญญาณหลวงปู่ที่ในโบสถ์วัดทุ่งสมอเป็นเวลาบ่าย การเข้าทรงจะต้องปิดไฟปิดประตูหน้าต่างโบสถ์ให้หมด เพราะหลวงปู่ไม่ชอบแสงสว่างก่อนจะเข้าทรง ฅนทรงจะจุดธูปเทียน คุกเข่าหันหน้าไปทางพระประธานในโบสถ์ บริกรรมเสร็จแล้วก็กราบลง ๓ ครั้ง แล้วก็มานั่งขัดสมาธิพนมมือที่จัดอาสนะไว้ มีหมอนอิงหลายใบรองรับอยู่ข้างหลังป้องกันหัวกระแทกทั้งเวลาเข้าและเวลาออกจากทรง ร่างทรงนั่งนิ่งบริกรรมอีกครู่หนึ่งก็สั่นทั้งตัว ก้นกระโดดสูงจากพื้นอาสนะที่นั่งหลายครั้งหลับตาเกร็งข้อตัวสั่น ครู่หนึ่งก็ฟุบหน้าลงแล้วตัวก็อ่อนพับไปข้างหน้า ครู่หนึ่งก็ค่อย ๆเงยหน้าขึ้นมากลายเป็นฅนแก่ นั่งก้มหน้าก้มหลังค่อมพูดเสียงสั่น ๆ ยานคาง มีคุณเชื้อ คอยนั่งปฏิบัติอยู่ข้าง ๆ เมื่อหลวงปู่เข้าทรงแล้ว คุณเชื้อก็หยิบซิกการ์จุดส่งให้หลวงปู่สูบ แสดงว่าหลวงปู่ชอบซิกการ์มาก
    ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมหลวงปู่ชอบสูบซิกการ์มากมวนแล้วมวนอีกติดต่อกันไม่หยุดปาก เริ่มตั้งแต่เข้าทรงคิดว่าหลวงปู่จะติดยาซิกการ์มาแต่อดีตชาติก็ไม่ใช่ เพราะหลวงปู่บอกว่า ได้นั่งมรณภาพในถ้ำมาตั้งร้อยกว่าปีแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าสมัยนั้นคงไม่มีซิกการ์สูบแน่ ซิกการ์เป็นยาเสพย์ติดนิดหนึ่ง ที่สูบได้ไม่ผิดกฎเหมือนบุหรี่ต่าง ๆที่มีขายในท้องตลาด แถมยังโฆษณาชักชวนฅนให้สูบ เพื่อการค้าแต่โทษของบุหรี่ไม่มีใครพูดถึง ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่าชีบานาสงฆ์ ไม่ควรสูบ ไม่รู้ว่าครั้งแรกใครรู้ว่าหลวงปู่ชอบสูบซิกการ์ และเป็นผู้นำไปถวายนะ ซิกการ์อย่างดีมาจากต่างประเทศราคาแพงหีบหนึ่งเป็นร้อย ๆ บาท แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พูด เพียงแต่นึกในใจฅนเดียว แต่แล้วก็คิดกลับว่า อันซิกการ์นั้นถ้าฅนไม่เคยสูบ ลองได้สูบมวนต่อมวนติดต่อกันไม่ขาดปาก ก็มีหวังมึนเมา คงทนไม่ไหวที่ต้องสูบอยู่หลายชั่วโมง ตามปกติฅนทรงไม่สูบบุหรี่ เมื่อเข้าทรงจึงเป็นเรื่องแปลกและมหัศจรรย์ คงจะแสดงให้เห็นอภินิหารของหลวงปู่ก็ได้
    ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเขียน เห็นการเข้าทรงในโบสถ์ของหลวงปู่ยังไม่ละเอียดขอเติมว่า จำได้ว่าหลังจากพระฉันเพลแล้วพวกศิษย์ก็ขนเสื่อขนหมอนและกระโถนเข้าไปจัดทำที่สำหรับหลวงปู่ประทับทรง เตรียมไว้ให้เรียบร้อย รู้สึกว่าคุณเชื้อสนใจมาก เอาใจใส่ในการประทับทรงของหลวงปู่ ตลอดจนหาเครื่องใช้เพื่อบริการในเรื่องนี้ตลอด
    ข้าพเจ้าขอย้อนต่อทวนข้อความเพิ่มเติมตอนหลวงปู่เข้าทรงครั้งแรกที่ได้มาเห็น พอร่างทรงเงยหน้าขึ้นแหมือนฅนแก่หลังค่อม พูดเสียงสั่น ๆ ในสภาพของฅนแก่ ฅนใกล้เคียงก็หยิบกระโถนให้บ้วนน้ำลายที่ไหลยืดออกจากปาก รินน้ำใส่แก้วให้ท่านบ้วนปาก คุณเชื้อก็รีบเปิดหีบนำซิกการ์มาจุดแล้วส่งให้สูบ พอร่างทรงหลวงปู่สูบซิกการ์พ่นควันบุหรี่ครู่หนึ่งรู้สึกอารมณ์ดี เงยหน้าขึ้นมามองดูผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วค่อย ๆหันซ้ายหันขวา พูดอะไรถามอะไรครู่หนึ่งแล้วก็เอียงคอไปมา แม้ในโบสถ์จะปิดประตูหมด ก็ยังมีแสงเทียนจากหน้าพระประธานพอจะมองเห็นได้
    ข้าพเจ้านั่งห่างออกมาหลายช่วงฅน คอยพิจารณาดูท่าทางการเข้าประทับทรงของหลวงปู่อยู่ตลอดเวลา
    แต่แล้วก็เห็นหลวงปู่ส่ายตามองดูซ้ายขวา แล้วกวักมือมาทางเรานั่ง ข้าพเจ้าหันไปมองดูฅนข้างหลังและฅนข้าง ๆแต่ก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่จะกวักมือเรียกใคร ก็คิดแต่ในใจว่าคงไม่ใช่เราแน่ เพราะเราเป็นฅนใหม่พึ่งมาเป็นครั้งแรก หลวงปู่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน
    ฅนอื่นส่วนมากหลวงปู่รู้จักมาก่อนแล้ว เพราะเคยมาหาประจำทุกครั้ง ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงนั่งมองดูเฉยอยู่
    เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ หลวงปู่ก็ให้คุณเชื้อก้มลงแล้วกระซิบที่ข้างหู ซึ่งคุณเชื้อนั่งใกล้ชิดคอยปฏิบัติหลวงปู่อยู่แล้ว คุณเชื้อก็ชะเง้อมองมายังข้าพเจ้าพลางกวักมือบอกว่า“หลวงปู่อยากพบ”ข้าพเจ้าหันไปมองดูเพื่อให้แน่ใจ ชี้ตัวเองเป็นคำถาม ก็ได้รับคำตอบจากคุณเชื้อโดยการพยักหน้าและกวักมือ
    ข้าพเจ้าค่อยๆคลาน ผู้ที่นั่งล้อมวงก็หลีกทางให้เข้าไปอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ กราบท่านแล้วก็นั่งนิ่งโดยไม่เอ่ยปากถามอะไร และไม่มีปัญหาอะไรจะถาม ไม่รู้จะพูดอะไร
    เสียงหลวงปู่หัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “เอ่อ เจ้านี่ได้สร้างกรรมทำดีไว้มาก หมั่นมาหาปู่แล้วปู่จะให้ของดีพิเศษกับเจ้ารอไปก่อน” แล้วท่านก็ให้ข้าพเจ้าก้มหัวลงและก็เป่าลงในกลางกระหม่อม เสร็จแล้วท่านก็ให้โอวาท ล้วนเป็นหลักธรรมที่ควรแก่การปฏิบัติ ข้าพเจ้าได้แต่ฟังจำไม่ได้ จึงไม่ได้เขียน
    หลังจากข้าพเจ้าคลานออกมานั่งนอกวงล้อมแล้ว ปล่อยให้ผู้อื่นที่คอยรอจะเข้าอยู่แล้วคลานเข้าไปกราบ อยากทราบปัญหาชีวิตอนาคต ขอให้ท่านแนะทาง เมื่อท่านแนะให้แล้วก็ขอของดีไว้ป้องกันตัว ข้าพเจ้าก็ได้พยายามคอยสังเกตเห็นหลวงปู่เป่าหัวพรมน้ำมนต์แล้ว ผู้นั้นก็ทวงได้ของดีจากท่าน เพราะเห็นท่านทำท่าลืม ท่านทำปากท่องอาคมเสียงพึมพำ แล้วก็เอามือคว้าอากาศตรงหน้า แล้วก็ยื่นพระเครื่องมาให้ท่านผู้นั้นหนึ่งองค์
    ภายหลังมีหลายท่านที่เข้าไปขอของดีบ้าง ท่านก็คว้าอากาศแล้วหยิบพระมามอบให้ผู้ต้องการ ข้าพเจ้าเห็นก็รู้สึกเป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์ เพราะผู้ที่ได้พระนั้น ล้วนแต่เป็นพระต่างแบบกันองค์เล็กบ้างโตบ้างไม่เท่ากัน นักเลงพระอยู่ในที่นั้นด้วยบอกว่า เป็นพระเก่าแท้และหายาก ครั้งหลังท่านให้ข้าพเจ้าเข้าไปหา แล้วเอามือคว้าอากาศตรงหน้าท่าน แล้วก็ได้พระติดมือมาหนึ่งองค์ กว้างขนาด ๒ นิ้วมือฅนและยาว ๓ นิ้ว แล้วก็มอบให้ข้าพเจ้า เมื่อนักเลงพระอยู่ในนั้นขอดูแล้วก็บอกว่า นี่เป็นพระทุ่งเศรษฐีเก่าแท้ ข้าพเจ้าได้นำพระองค์นั้นมาเก็บไว้ห้องพระที่บูชาไม่ได้แขวนคออย่างผู้อื่น และต่อมาพระองค์นั้นก็หายไปจากห้องพระอย่างลึกลับ ทำให้ข้าพเจ้านึกเล่นขำ ๆว่าหลวงปู่เห็นข้าพเจ้าไม่ค่อยสนใจ คงคว้าอากาศมาหยิบเอาคืนไปให้ผู้อื่นแล้วก็ได้
    บ่ายวันนั้นจำได้ว่านอกจากพระแล้ว ท่านยังได้แจกตะกรุดทองคำ ซึ่งทราบว่าตะกรุดทองคำนี้ คุณเชื้อนำแผ่นทองคำแผ่บางม้วนเป็นตะกรุด ไปถวายให้ท่านปลุกเสก เมื่อท่านปลุกเสกแล้ว ผู้ที่สนิทชิดชอบกับคุณเชื้อได้กันมาหมดทุกฅนสำหรับผู้ที่มีสร้อยคอมีพระแขวน เป็นพวงใหญ่และเล็กอยู่แล้ว ต่างก็ถอดสร้อยจากคอออกมอบให้หลวงปู่ ขอให้ท่านร้อยตะกรุดให้ ท่านก็รับมารวม ๆ กัน มีผู้เอาไฟฉายส่องดูสายสร้อย เห็นมีสายสร้อยมากเส้นเล็กบ้างโตบ้าง แล้วท่านได้เอาสร้อยเท่าจำนวนตะกรุดมารวมกัน กอบกำไว้ในสองมือครู่เดียวก็ยกขึ้นเป่าพรวด!!เป็นที่น่าอัศจรรย์เหมือนเล่นกล ปรากฏว่าตะกรุดทุกดอก ได้ร้อยเข้าไปอยู่ในสร้อยทองคำ โดยไม่ต้องปลดขอสับอย่างเรียบร้อยหมดทุกเส้น แล้วมอบคืนให้เจ้าของทุกฅน ทำให้พิศวงงงงวยไปตามกัน ส่วนข้าพเจ้านั้น ไม่มีสายสร้อยห้อยพระ จึงได้แต่ห่อกระดาษใส่กระเป๋าเท่านั้น นี่เป็นเรื่องแปลกที่ได้เห็นอภินิหารของหลวงปู่ ที่วัดทุ่งสมอในเวลานั้นเป็นครั้งแรก ที่ข้าพเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเอง
    ข้าพเจ้าขอย้อนกลับมากล่าวเรื่องในคืนสำคัญนั้นต่อไป เมื่อเข้าเขตวัดภายใน จึงเห็นฅนเห็นรถจอดเป็นแถว และผู้ฅนมากมาย โบสถ์คงไม่พอบรรจุฅนทั้งหลาย พวกทางวัดจึงต้องแบ่งกันเข้าไปเฝ้าหลวงปู่เป็นราย ๆรอบแรกหัวค่ำเป็นชาวบ้านพวกเมืองกาญจนบุรี เมื่อเข้าไปเต็มโบสถ์แล้วก็ปิดประตูโบสถ์ เมื่อรอบแรกออกมาแล้วก็รอบสอง รอบสาม
    ส่วนพวกกรุงเทพฯเข้ารอบดึกสุดท้ายกว่าจะได้เข้า เวลาผ่านตี ๑ ไปแล้ว
     
  2. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    มารออ่านเลยนะท่านเจ้าคุณ เรื่องราวของหลวงปู่ที่เป็นข้อเขียนมีน้อยมาก อนุโมทนาบุญด้วยนะท่าน ไม่รู้จะมีวาสนากับเขาหรือเปล่า สำหรับส่วนตัวก็นับถือคณะโลกอุดรทุกองค์ โดยเฉพาะขรัวขี้เถ้า หากท่านมีข้อมูลก็ขออนุเคราะห์ มา ณ โอกาสนี้ด้วย
     
  3. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    ขอบคุณที่เอาเรื่องสนุกๆมาลงให้อ่านอยู่เรื่อยๆนะค่ะท่านเจ้าคุณ :) xx
     
  4. ดอกข้าว

    ดอกข้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,462
    เสียดายจังเกิดไม่ทันค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...