หลวงปู่เทพโลกอุดร คำสอนแก่ผู้เพียรบำเพ็ญสู่ความดีสูงสุด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 13 กุมภาพันธ์ 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    11129685_678419598970186_4192000762937769109_n.jpg?_nc_cat=106&_nc_ht=scontent.fbkk5-8.jpg


    12798901_841245039354307_7622741989704856806_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ht=scontent.fbkk5-1.jpg





    คนดี จิตใจงาม ที่ยังมิได้เชื่อมกระแสบุญเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์สูงสุด. พระสัทธรรมท่านเพ่งเล็งอยู่ด้วยเมตตาอาทร โดยที่ท่านจะปล่อยให้ทำดีต่อไปอย่างไม่เข้าไปชี้นำใด ๆ ด้วยคนดีนั้นอาจมุ่งหมายบำเพ็ญบารมีเป็น "เอกบุคคล" ชั้นสูงสุด คือ เป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญสู่พุทธภูมิ หรือปัจเจกพุทธะ มุ่งหมายจักผจญอุปสรรคและเรียนรู้เผชิญโพยภัยด้วยตนเองให้ถึงขนาด

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดท่านจึงเพียงแต่คอยเฝ้าดูคนดีนั้น เสมือนดั่งมารดาบิดาปล่อยให้ลูกน้อย หัดยืน หัดก้าวเดิน ให้ได้ ให้ดี ให้เก่ง ด้วยตัวของตัวเอง

    ทว่า หากว่าคนดีนั้นลำบากตรากตรำถึงขั้นอกนิษฐ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดย่อมมิอาจทอดทิ้งคนดีนั้นได้แน่นอน.. นะลูกหลานเอ๊ย ๚

    ขอให้คนดีนั้นจงอย่าได้ขัดแข็ง จงเป็นผู้อ่อนน้อม อ่อนโยน ทั้งต่อเจ้ากรรมนายเวร และต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด

    คนดี จงรู้จักการเชื่อมกระแสบุญบารมีของตนให้เป็นหนึ่งเดียวกับภาวะทิพย์ ภาวะพระสัทธรรม รู้จักสำนึกความผิดพลาดอันเคยประมาทต่อเจ้ากรรมนายเวร. คนดีนั้นก็จะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างคลี่คลาย ไม่ครัดเครียด ไม่ต้องเผชิญอุปัทวเหตุภัยพาลมากจนเหลือคณานับเกินไป

    จงเป็นคนดี จงทำความดีต่อไปเถิด นะลูกหลานเอ๊ย ๚

    แต่พึงลด-ละ-เลิกเสียซึ่งความทะนงใจ ความยึดมั่นถือมั่นในทิฐิมานะอันเป็น #อัตตกิลมถานุโยค คือ กระทำตนให้ลำบากตรากตรำจนเกินทน ซึ่งอาจทำให้ใจตน กายตน แตกร้าว ถูกบ่อนทำลายเสียหายไปก่อนกาลอันควร

    วิธีการ คือ ให้รู้จักเชื่อมโยงกระแสบุญเข้าด้วยกันกับสาธุชนเหล่าอื่น ให้บังเกิดกัลยาณมิตร ให้คิดร่วมกัน กระทำความดีงามร่วมกัน สร้างสรรค์เป็นพลังกุศลหนึ่งเดียวกัน เชื่อมกระแสบารมีเข้ากับ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระสัทธรรม พระอริยบุคคล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์สูงสุด รู้รับผิด สำนึกผิดกับเจ้ากรรมนายเวร

    ความดีที่เรากระทำ จะถูกซักฟอกให้สะอาด-สว่าง-สงบ เป็นความดีอย่าง "ทิพยอริยะ" อานิสงส์ย่อมจะเกิดได้อย่างไม่ยากเย็นเข็ญใจ

    คนดีก็จะได้ดี หรือ ทำดีอยู่ได้ ทำดีต่อไปได้ จนสามารถล่วงพ้นบ่วงกรรม บ่วงมาร ไปสู่ความจำเริญรุ่งเรืองได้ ทั้งทางโลกและทางธรรม ในท้ายที่สุด นะลูกหลานเอ๊ย ๚

    ๏ พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะชาลีติ โลกุตตโรจะมหา เถโร เมตตาลาโภนะโสมิยะ อะระหังพุทโธ ยะธาพุทโมนะ ขออำนวยพรประเสริฐเลิศล้ำทุกประการ แด่คนดีที่มุ่งมั่นเข้มแข็งในการกระทำดี ดำรงชีวิตอยู่ในความดี อ่อนน้อม อ่อนโยน จงจำเริญเถิด จงรุ่งเรืองเถิด นะลูกหลานเอ๊ย พระนิพพานปัจจะโย โหตุ เทอญ ๚ะ๛
    --------------
    #ธรรมเทศนาหลวงปู่เทพโลกอุดร.
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร.
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    c_oc=AQmemnKurz-jL1MqAmuBdwrUgIKrODqS_8UNTO5QrRjzD_zDc6p9Pjlv8kdrCcbC-nk&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    ต้องฝึกจิตให้มีคุณภาพ-ประสิทธิภาพดี ก่อนที่กายจะเป็นโรคภัยหรือแก่ชราลง.. นะลูกหลานเอ๊ย

    ทั้งนี้เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง ไม่อาจกำหนดเวลาวาระสุดท้ายไว้ล่วงหน้าได้ และอาจเป็นไปอย่างปัจจุบันทันด่วน เตรียมตัวไม่ทัน

    เมื่อถึงคราที่กายเสื่อมถอยด้อยประสิทธิภาพ ด้อยสมรรถภาพลง เช่น ความชราภาพ โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุฉับพลัน มาเยือน

    ณ กาลบัดนั้น จิตจะยิ่งหม่นหมองลง ทรุดโทรมลงฉับพลัน เรียกภาวะนั้นว่า "กายทรมานจิต" กายจะหน่วงถ่วงจิตให้ต่ำลง ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ทุกคน ไม่มีผู้ใดหลีกพ้น

    หากผู้ใดฝึกจิตไว้ดี มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ สูงล้ำ เกินกว่าที่พยาธิสภาพ ชราภาพ จะทรมานถ่วงรั้งไว้ได้ ผู้นั้นจะได้ทรงจิตอันดีไปปฏิสนธิใหม่ในภพภูมิที่สูงขึ้นกว่าเดิม

    แต่หากผู้ใดไม่ฝึกจิตตนตั้งแต่อยู่ในวัยเยาวชน ปล่อยจิตให้เหลิงไหลไปตามกระแสกิเลสตัณหา เมื่อแก่ชราก็สายเสียแล้ว แม้จะทำทานไว้มากมาย เช่น สร้างโบสถ์วิหาร สิ่งสาธารณประโยชน์ไว้มากมายมหาศาลเพียงใดก็ตาม เมื่อจิตสุดท้ายก่อนตายอยู่ในภาวะหม่นหมอง จะนำพาให้ไปเกิดในภพภูมิต่ำ นะลูกหลานเอ๊ย ๚

    ผู้ใดมุ่งมั่น หมายฝึกจิตให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล หลวงปู่ใหญ่ขออำนวยพรและเป็นขวัญพลังทิพย์แก่ลูกหลานทุกคน

    ๏ พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะชาลีติ เมตตาลาโภนะโสมิยะ อะระหังพุทโธ ยะธาพุทโมนะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ ๚ะ๛
    ---------------
    #ธรรมเทศนาหลวงปู่เทพโลกอุดร.
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร.
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    ?temp_hash=f9147268f2660d811602cdcfdf5124bb.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    ลป.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก จ.สกลนคร

    ที่วัดท่านจะมีรูปปั้นลป.ใหญ่เท่าองค์จริงซึ่งมีปาฏิหาริย์มาก ท่านอายุ 48 ปี (ปี 2559) ได้เคยพบลป.เทพโลกอุดร 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนเป็นเณรอายุ 12 ปี เข้าป่าไปกับเพื่อนเณรเพื่อเที่ยวเล่นแล้วหลงป่าออกไม่ได้ ได้พบพระชรารูปหนึ่งนั่งอยู่ ผิวขาวออกชมพู ผมสีขาว บอกทางออกจากป่าให้

    ครั้งที่ 2 ท่านไปที่ฝั่งลาวตอนอายุ 16 ปี โดนทหารเวียดนามล้อมไว้เพราะคิดว่าท่านเป็นสายลับ ท่านต้องนั่งสมาธิหลบอยู่ด้วยความกลัว ปรากฏว่าลป.เทพโลกอุดรมาสะกิดท่านถามว่าจะให้ช่วยออกจากวงล้อมไหม ถ้าจะให้ช่วยก็ให้หลับตาลง พอหลับตาหลวงปู่ก็จับข้อมือท่านแล้วก็มีลมมาปะทะหูก็อื้อเหมือนจะเป็นลม

    เมื่อลืมตาก็เห็นพระพุทธรูปตั้งอยู่ 3 องค์ ถามท่านว่าเป็นที่ไหน ท่านว่าอยู่บนภูเขาควาย ท่านจึงอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่น ทุกเช้าก็จะมีคนมาใส่บาตรให้แต่เมื่อตามไปดูก็ไม่พบว่ามีบ้านคนอยู่แถบนั้นเลย วันหนึ่งจึงคิดลองถามชาวบ้านคนนั้นดู พอจะถามเขาก็ชิงพูดก่อนเลยว่าไม่ต้องถาม ถ้าถามจะอดฉันข้าว

    ทุกคืนท่านจะได้ยินเสียงพระมาสอนธรรมะเรื่องสติปัฏฐานและอสุภกรรมฐานให้ เมื่อท่านปฏิบัติไปนานจะครบ 3 เดือนเข้าเรื่องที่คิดจะสึกก็เลิกคิด และพูดเปรยออกมาว่าจะไม่สึกแล้ว พอพูดจบลป.เทพโลกอุดรก็ปรากฏกายขึ้นทันที

    ท่านเล่าว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเป็นพระสมัยพุทธกาล เป็นลศ.ของพระมหากัสสปะ ท่านตั้งใจอยู่เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปี ท่านจึงไม่มีบ้าน ไม่มีพี่น้อง จะคอยช่วยเหลือพระที่อยู่ในป่าและได้รับอันตรายหรือติดขัดทางธรรมะ ท่านไม่มีชื่อแต่ลศ.ของท่านคือ "วังหน้า" (ท่านบุญมา-กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมัยร.1) เรียกท่านว่า "พระครูเทพโลกอุดร" และสร้างพระให้ท่านปลุกเสกให้ ส่วนพระที่ไม่ใช่กรุวังหน้านั้นท่านไม่ได้ปลุกเสก แต่ผู้ที่นับถือท่านสร้างถวายไว้ด้วยความเคารพ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าลป.เทพโลกอุดรปลุกเสกพระกรุวังหน้าเพียงชุดเดียวเท่านั้น

    ลป.เทพโลกอุดรขอให้ท่านสร้างโบสถ์ที่วัดนี้ แต่ท่านบอกสร้างไม่ได้หรอกเพราะไม่มีเงิน ลป.บอกไม่เป็นไรพรุ่งนี้จะมีผู้มาถวายเงิน 700,000 บาท พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนมาถวายจริงๆ จึงได้เริ่มสร้าง ปัจจุบันใกล้จะเสร็จแล้ว ท่าน (ลป.ขาว) ไม่ฉันเนื้อวัว

    ท่านเล่าว่าลป.เทพโลกอุดรมีผิวกายสีดำแดง แต่ดูออกผิวขาวเนื่องจากผิวของท่านใส (ละเอียดและมีรัศมี) เกศาสีขาวเส้นละเอียดไม่สั้นไม่ยาวเกินไปดูเหมือนปุยนุ่น นัยตาสีดำ ห่มจีวรสีเหลืองไม่เข้มนักเกือบเป็นสีกรัก ท่านสอนเน้นเรื่องสติคือให้มีสติในทุกเมื่อและไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น (ไม่ให้มีห่วง) ชาวบ้านแถบนั้นเคารพลป.ขาวมากและเรียกท่านว่าหลวงปู่ตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร โดยเรียกว่า "หลวงปู่เณร" ท่านว่าชาติก่อนท่านเป็นคนลาว แม้ทุกวันนี้ก็ยังรู้เรื่องของเมืองลาวมาก

    ขอบคุณFacebook
    : Baramee raktham
    โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 15 ธ.ค. 2559
    นำเรื่องนี้มาเล่าไว้เพราะเมื่อคืนวานนี้ ผมได้มีนิมิตว่าได้กราบแทบเท้าของหลวงปู่เทพโลกอุดรอีกครั้งครับ (ท่านมาโปรด)

    ***********************

    https://www.facebook.com/พระโพธิสัตว์-560338557351401/
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต เล่าเรื่อง หลวงปู่เทพโลกอุดร

    หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ท่านได้เมตตาเล่าเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ได้รับทราบว่า...

    “เรายอมจริง ๆ ยอมรับท่านทุกอย่าง ยอมเป็นทาสรับใช้ท่าน ยอมศิโรราบ เพราะเราเคยเห็นสิ่งต่าง ๆ หลายอย่างจากท่าน

    แต่ถ้าจะให้เรายกให้เห็นเป็นหลักฐานอ้างอิงเช่นคนอื่น ๆ นั้น จนปัญญา เพราะไม่มีตัวตนในตอนที่ได้อยู่กับท่านด้วยกายเนื้อตลอด ๗ วัน

    แต่สำหรับทุก ๆ วันพระท่านจะมาสอนประจำทางสมาธิ

    ไม่ว่าจะอยู๋ที่ใด ทุกวันพระ ท่านก็จะมาสอนให้โอวาท

    อย่างงานล่าสุดที่ท่านให้
    บูรณะ "พระธาตุคูณคำ" ในวัด มีอะไรจะปรึกษาท่านตลอด อย่างปรึกษาท่านว่า “ลูกจะสร้าง สิ่งนี้จะสำเร็จไหม” ท่านหลวงปู่บรมครูจะบอกให้ทราบ
    “ลูกเอ๋ย ถ้าถามว่าการสร้างในพระพุทธศาสนานี่มันดีไหม ? มันดี แต่ก็อย่างมงาย แต่ให้สร้าง เพราะจะได้ร่วมกันสละความตระหนี่ สร้างเพื่อให้เป็นพุทธบูชา ถ้าจะสร้างด้วยเหตุผลอันดีก็ไม่เป็นไร

    แต่ถ้าการสร้างวัตถุเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ อย่างงงมงาย นั้น มันผิดกับหลักธรรมคำสอนน่ะ

    พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราท่านไม่ได้สอนในเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช ท่านไม่ได้สอนให้ทำในเรื่องวัตถุมงคล

    แต่ถ้าเราทำก็ทำได้..
    แต่ว่าเราอย่าไปยึดติดกับมัน

    เราทำไว้เพื่อประดับประดาโลก

    แต่สิ่งนี้มิใช่แก่นของพระธรรม

    แต่พ่อก็ไม่ห้าม แต่ก็อย่าไปหลงงมงายจนถอนตัวไม่ขึ้น

    วัตถุมงคลนั้นมันดีตรงกำลังใจ สมมติเรามีความท้อแท้ แต่จิตเรามีความเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายมันช่วยได้ นั่นแหละคือตัวศรัทธา

    ความเชื่อมันเกิดเป็นฤทธิ์กระตุ้นจิตใจเขาให้ได้เกิดผล เมื่อผลที่มันเกิดขึ้นที่จิตใจเขาได้รับผลเขาจึงเกิดความเชื่อศรัทธานับถือ

    ถ้าทำด้วยความเชื่อศรัทธามันจึงจะเกิดเป็นฤทธิ์เป็นผล”
    ..... ฯลฯ.....
    ถ้าเรามีความเชื่อ ขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีธรรมที่เราได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นพระบรมครูของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ อย่างเราเป็นพระภิกษุก็เอ่ยขอบิณฑบาตเอากับเทวดาองค์นั้น กับเทวดาองค์นี้ หาข้าทาสบริวารที่เคยสร้างบารมีธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าจะสร้างนั่นสร้างนี่ให้บอกวัตถุประสงค์เขา และขอบารมีเขาขอแผ่เมตตาบิณฑบาตให้ไปสะกิดจิตใจข้าทาสบริวารเนื้อนาบุญสาวกของพระพุทธเจ้า

    นั่นแหละ ใครมีศรัทธาก็ขอให้มารวมบารมีธรรมอธิษฐานเอา”
    -----------------------
    [คณะทำงานถวายหลวงปู่ใหญ่ เพจ #หลวงปู่เทพโลกอุดร เรียบเรียงจากหนังสือของ "นายภันธกานต์ กิ้มทอง" .. ขออนุโมทนาบุญและขอบคุณอย่างสูง]

    19oanwamKnFUZrx6K6399nKFFeJe7FJ28NflJWZw92gJwc_-p8Zgint9tPdW2o3u8y-1GjFW&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    ?temp_hash=629107e8ba9a70546bcc31e372675be5.jpg


    หลวงปู่อิง โชติโญ พระเถระอภิญญา
    ที่หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรบวชให้


    หลวงปู่อิงนั้น นับว่าเป็นสหธรรมิกธรรมที่คุ้นเคยกับหลวงปู่หมุน มีใจใฝ่รักในวิชาความรู้ เป็นผู้เข้มขลังในพลังด้านพุทธคุณ สันโดษ เป็นผู้ใฝ่ความก้าวหน้าทางกรรมฐาน มีทั้งเมตตาและอภิญญาเป็นเลิศ อายุยืนยาวนานกว่าร้อยปี และทั้งมีจริยวัตรอันงดงามไม่มีที่ติ จึงกล่าวได้ว่าท่านทั้งสองมีคุณธรรม จริยธรรมอันสูงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

    หลวงปู่อิง ท่านเป็นเถราจารย์ที่เลื่องลือในแถบอีสาน เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีพลังจิตแก่กล้าอย่างไม่มีใครเสมอเหมือน แม้แต่ตอนกลางคืนเทวดายังลงมาฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่าน นอกจากนี้ท่านยังเป็นศิษย์ของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าเป็นตำนานอันเกรียงไกรและเร้นลับ มาจวบจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนเหตุการณ์ที่ท่านได้พบกับหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อสมัยที่ท่านเป็นฆราวาสเป็นชาวไร่ชาวนายากจน วันหนึ่งขณะที่ท่านรับจ้างหักข้าวโพดอยู่นั้น ได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลดอยู่ไม่ไกล พระธุดงค์เจอท่านก็ชักชวนให้ท่านบวช

    หลวงปู่อิงท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรบวชให้ท่านในป่า พอบอกว่าจะบวชก็มีจีวรลอยมาสวมใส่ให้เลย นอกจากนี้ ยังมีคนเคยเรียนถามท่าน ถึงเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่อิงท่านเมตตตาตอบว่า

    “เราไม่รู้หรอกว่าท่านจะมาตอนไหน บางครั้งท่านก็เป็นเณร บางครั้งท่านก็เป็นคนธรรมดา สุดแล้วแต่ท่านจะมาในรูปแบบใด”

    หลังจากที่ได้บวชกับหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรแล้ว หลวงปู่อิงท่านก็ได้ฝึกฝน ปฏิบัติธรรมกับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” อยู่พักหนึ่ง ก็ได้ออกแสวงหาความวิเวกองค์เดียวในป่าเขาทั่วภาคเหนือและอิสาน จนพบกับแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม ปรมาจารย์ของพระกรรมฐาน นั่นก็คือ “หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” ที่ภุเขาควาย ประเทศลาว หลวงปู่อิงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ได้ศึกษาการปฏิบัติภาวนาอยู่พักหนึ่ง ซึ่งท่านก็นับถือ “หลวงปู่มั่น” ว่าเป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ที่นั่งในใจท่าน ตราบสิ้นลม

    หากใครที่ไม่ขออนุญาต ก็จะถ่ายไม่ติด มีปัญหา อุปสรรค ไม่สามารถที่จะได้ภาพถ่ายของท่านง่ายๆ ดังเรื่องที่เล่าไว้ในนิตยสารโลกทิพย์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 359 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ในส่วนหนึ่งของเป็นประวัติของหลวงปู่อิง ซึ่งใช้ชื่อเรื่องว่า “ถ่ายรูปไม่ติด” ความว่า

    “มีญาติโยมมากราบหลวงปู่ที่วัดหลวงปู่ที่สำนักสงฆ์โคกทมและได้ถ่ายรูปหลวงปู่ โดยไม่ได้รับอนุญาต กล้องเสียหายใช้การไม่ได้ เรื่องนี้สอบถามได้ที่พระอาจารย์ดุน เจ้าสำนักสงฆ์โคกทม ที่ถ้ำสุริยันจันทรา มีญาติโยมขอถ่ายรูปหลวงปู่กับพระรูปอื่นอีกหลายรูป ปรากฏว่าทุกองค์มีภาพติดในรูปแต่ไม่มีรูปหลวงปู่ สอบถามได้ที่หลวงตาแสวงเป็นพระรูปเดียวที่เฝ้าถ้ำสุริยันจันทรา อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี”

    เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องยืนยันถึงบารมีและบุญญาธิการของท่าน ว่าหากท่านไม่อนุญาตแล้วไซร้ ก็ไม่มีใครที่จะได้รูปของท่านไปได้โดยง่าย
    นอกจากนั้น ท่านยังมี “วาจาสิทธิ์” เช่นดียวกัน เป็นที่รู้กันในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาว่า เมื่อท่านไม่อนุญาตก็ทำไม่ได้ และเมื่อท่านกล่าวอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น รวมถึงเรื่องการได้รับพรจากท่าน ชีวิตก็จะรุ่งเรืองตามวาจาสิทธิ์ของท่านด้วย

    นอกจากนั้น จวบจนเมื่อท่านละสังขาร ก็ยังเกิดอัศจรรย์ สังขารของหลวงปู่อิงในวันที่ระชุมเพลิงศพหลวงปู่ “ปรากฏหลวงปู่ไม่ไหม้ไฟ เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก” ทั้งที่หลวงปู่อิง ท่านเป็นรุปร่างเล็กบาง แต่ครั้งนั้นต้องใช้ถ่าน ๓-๔ กระสอบ ร่างของหลวงปู่อิงก็ยังไม่สามารถสลายสังขารของหลวงปู่ได้

    จนต้องมีการขอขมาต่อสังขารของท่าน ขอให้ไหม้ไฟไปตามธรรมชาติ จึงลุล่วงไปด้วยดี

    ครั้นงานบุญครบ ๑๐๐ วันของหลวงปู่อิง ทางศิษยานุศิษย์ก็ได้ทำการจัดสร้างวัตถุมงคล รูปหล่อหลวงปู่อิง “รุ่น๑๐๐ วันหลวงปู่อิง” ซึ่งก็ได้นิมนต์หลวงปู่หมุนมาเป็นประธานในพิธี พอได้ฤกษ์ท่านก็มาที่ปะรำพิธี ท่านบอกพระอาจารย์มงคล ว่าจะเสกให้ ๑๕ นาที เมื่อท่านนั่งเข้าที่อันดับแรกเลยที่ท่านทำ คือ “ชักยันต์กลางอากาศ”

    อากัปกิริยาที่ท่านทำก็คือ กระดิกนิ้วชี้รัวเร็วๆ เหมือนกำลังจับวัตถุบางอย่างอยู่ในอากาศอันว่างเปล่า ท่านทำเช่นนี้ไปรอบทิศ และพูดออกมาว่า

    "อยู่แดนนิพพานไหนก็ลงมา...ลูกหลานเขามาทำบุญกัน"

    สักพักเมื่อท่านหยุดนิ้วลงน้ำตาเทียนก็ชะงักหยุดไหลในกระทันหัน แล้วท่านก็บอกพวกเราว่า "เอ้า..ท่านมาแล้ว ทำไมไม่กราบกันซะ" พวกในงานก็ก้มลงกราบกันเป็นแถว ตามที่ท่านบอก ในที่นั้นแม้จะไม่เห็นร่างสังขารของหลวงปู่อิง แต่ทุกคนก็เชื่อมั่นในตาทิพย์ หูทิพย์ แห่งหลวงปู่หมุน อย่างไม่มีข้อกังขา

    แล้วหลวงปู่หมุน ท่านก็นั่งพูดเหมือนนั่งสนทนากับหลวงปู่อิงว่า

    "ดีใจที่เห็นลูกหลานมาทำบุญ...จะร้องไห้ทำไม ผมเองก็ต้องตายคือกัน"

    หลังจากนั้นท่านก็ได้เสกวัตถุมงคลในงานแต่ที่แปลกพิศดาร คือ ท่านนั่งพูดไปเรื่อย ๆ เชิญองค์นั้นองค์นี้มาตลอด ที่พอจำได้ก็

    "...พระกัสสปะขอเอาตีนจุ่มทำน้ำมนต์ด้วย..." "นิมนต์หลวงพ่อถ้ำวัวแดงด้วย..." "...หลวงปู่บุญถ้า บ่มาก็บ่ศักดิ์สิทธิ์.." (เหมือนหยอก ๆ กัน) แล้วก็เชิญฤาษีต่างๆ มาชุมนุมรวมกัน ณ ที่นั้น

    ตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้คือ ๑๕ นาที แล้วหลวงปู่ท่านก็หันมาถามท่านมงคลว่า ครบกำหนดเวลาหรือยัง อันที่จริงนั้นครบแล้ว แต่ท่านมงคลก็ปล่อยให้เกินเวลาออกไปอีก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงหรืออาจนานกว่านั้น พอท่านเสกเสร็จท่านลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปที่ข้าวตอกดอกไม้ที่โปรยในพิธี บอกว่า

    "ของศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นทำไมไม่เก็บกันไว้"

    ทุกคนต่างทำตามที่ท่านบอก ข้าวตอกดอกไม้ที่เมื่อครู่เคยเกลื่อนอยู่กับพื้น ก็ถูกผู้เข้าร่วมพิธีในวันนั้นแย่งกันเก็บจนหายวับหมดจดไปในพริบตา

    “หลวงปู่อิง” และ “หลวงปู่หมุน” ทั้งสองท่านต่างก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “เถราจารย์๕ แผ่นดิน” มีอายุยืนยาวมากกว่า ๑๐๐ ปีด้วยกันทั้งสองรูป หลวงปู่อิงละสังขารมีอายุกาล ๑๑๕ พรรษา ส่วนหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล มีอายุกาลได้ ๑๐๙ พรรษา ทั้งคู่เป็นเป็นผู้เลิศในอภิญญา อีกทั้งทรงไว้ซึ่งภูมิรู้ ภูมิธรรม และวาจาศิษย์ อันสิ่งเหล่านี้มีอยู่ก็แต่เฉพาะในภิกษุที่เหนือโลกแล้วเท่านั้น

    #ข้อมูลจาก : หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล มหาเถระ๕แผ่นดิน

    #เรียบเรียงโดย : ทิพย์วารี (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)

    *********************************************************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    "พระที่อายุยืนเป็นพันปีอย่างหลวงปู่โลกอุดรมีจริงไหม ทำได้อย่างไร?"

    (สรุปความจากที่คุยกับหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ ตามที่จำได้นะครับ
    ภาษาอาจมีการเรียบเรียงใหม่บางส่วน และอาจมีเนื้อหาตกหล่นผิดพลาดไปบ้างบางส่วน ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ)

    หลวงตา - มีสิ ไม่ใช่อยู่ได้แค่เป็นพันปีนะ พระพุทธเจ้าท่านก็เคยบอกไว้ว่า ถ้าเจริญอิทธิบาท 4 แล้ว จะอยู่ถึงกัปป์นึงก็ยังได้เลย

    ผู้ถาม - ท่านอยู่ทำอะไรครับ

    หลวงตา - บางองค์ท่านก็อธิษฐานอยู่เพื่อดูแลพระศาสนาให้ครบ 5 พันปี

    ผู้ถาม - แล้วอยู่มานานตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ (พะระพุทธเจ้าองค์แรกของกัปป์นี้) เลยมีไหมครับ

    หลวงตา - มีนะ เพราะกัปป์นี้มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ อายุมันต่อเนื่อง โลกนี้ไม่ได้ถูกทำลายแตกสลายไปไหน ท่านก็อยู่ได้

    ผู้ถาม - โอ้โห... งั้นท่านก็อายุหลายล้านปีเลยสิครับ แล้วท่านอยู่ไปทำไมนานขนาดนั้น

    หลวงตา - ท่านอธิษฐานอยู่เพราะอยากชมบารมีของพระพุทธเจ้าให้ครบทั้ง 5 พระองค์ไง มีหลายท่านนะ ไม่ใช่ท่านเดียวที่อธิษฐานจิตแบบนี้

    ผู้ถาม - แล้วท่านอยู่กันได้ยังไงครับเป็นล้านปี ท่านรักษาธาตุไว้ได้ยังไง

    หลวงตา - พวกนี้ท่านอยู่ได้ด้วยอิทธิบาท 4 ไง ท่านจะอยู่ในฌานสมาบัติเกือบตลอดเวลา พออยู่ในฌาน ร่างกายมันก็หายใจน้อย ทำงานน้อยมาก หัวใจก็แทบไม่เต้น ร่างกายมันก็เลยแทบไม่มีการเผาผลาญ ธาตุมันก็เลยไม่ค่อยเสื่อม

    ผู้ถาม - แต่มีคนเห็นหลวงปุู่ใหญ่ท่านออกมาให้คนเห็นบ่อยๆนี่ครับ

    หลวงตา - อันนั้นตัวปลอม หมายถึงท่านไม่ได้เอาร่างกายที่เป็ฯธาตุขันธ์ออกมาหาจริงๆ ท่านแค่ส่งจิตออกมา ท่านมีฤทธิ์เยอะนะพวกนี้ ตัวจริงท่านก็นั่งรักษาธาตุขันธ์อยู่ในสมาธิ แต่ก็ส่งจิตออกมาให้เห็นเป็นคนจริงๆ จับเนื้อต้องตัวได้ด้วย ท่านถึงได้แวบไปนู่นมานี่ได้เร็วไง เพราะท่านส่งจิตมาไม่ได้มาเป็นร่างกายจริงๆ เพราะถ้าเอาตัวจริงมา ธาตุขันธ์มันก็ต้องเผาผลาญพลังงาน การรักษาร่างกายให้อยู่นานก็จะยากนะ

    ผู้ถาม - แล้วตัวจริงท่านอยู่ไหนกันล่ะครับ

    หลวงตา - พวกนี้ส่วนใหญ่ท่านเข้าสมาธิอยู่ในป่าหิมพานต์กันนะ มันเป็นโลกกึ่งทิพย์คล้ายๆเมืองลับแล คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ

    ผู้ถาม - อ้อ ท่านอยู่ในป่าหิมพานต์ ท่านก็เลยฉันแต่ของในป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นเมืองกึ่งทิพย์ ของเค้าก็ละเอียดกว่า ไม่หยายไม่มีพิษเหมือนของในโลก ก็เลยช่วยรักษาธาตุขันธ์ท่านได้ดีขึ้นไปด้วยใช่ไหมครับ

    หลวงตา - เอ้อ ใช่ อย่างนั้นล่ะ

    ผู้ถาม - แล้วพวกนี้ส่วนใหญ่ท่านเป็นพระอรหันต์ หรือพระโพธิสัตว์ครับ

    หลวงตา - ส่วนใหญ่เป็นพระอรหันต์นะ เพราะพวกนี้ท่านกำลังรวมแล้ว ไม่เกิดแล้วก็มี หรืออธิษฐานดูแลพระศาสนา หรืออธิษฐานขอชมบารมีไว้ ก็เลยใช้ฤทธิ์ในการดำรงร่างกายเอาไว้อย่างนั้น หรืออย่างบางองค์ ถ้าร่างกายมันเกินกว่าจะปรับธาตุใช้งานได้แล้ว ท่านก็ถอดจิตออกไปเข้าร่างใหม่เลย ท่านจะกำหนดจิตดูว่ามีใครหมดอายุขัยแล้ว แล้วก็เอาจิตเข้าไปอาศัยอยู่แทนต่อเลย ปรับธาตุร่างนั้นแล้วใช้ร่างนั้นต่อไปเลย ไม่ต้องไปเกิดเข้าท้องใหม่ มันเสียเวลา กว่าจะเป็นเด็ก กว่าจะโตมา มันเสียเวลากว่าจะมาระลึกในธรรมะที่ตนเคยได้ไว้ ถ้ามีหน้าที่รักษาศาสนา ก็อาจจะใช้ได้ไม่ทันการณ์

    ผู้ถาม – แล้วพระโพธิสัตว์ล่ะครับ ท่านทำอย่างนั้นไหม

    หลวงตา – ไม่ค่อยนะ เพราะพระโพธิสัตว์ท่านต้องใช้รูปลักษณ์ในการสร้างบารมี พอถึงอายุ ท่านก็จะไปเกิดในท้องใหม่ ในร่างใหม่ คนใหม่ เพื่อที่จะได้มีรูปลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น เกิดชาตินึงก็มีรูปลักษณ์นึง อีกชาติก็มีอีกรูปลักษณ์นึง แต่ละชาติก็ได้สร้างบารมีและฝากกระแสไว้กับรูปลักษณ์นั้นๆ เหมือนหลวงปู่ทวดท่านก็เกิดหลายชาติ ทุกชาติก็ได้สร้างบารมีมากมาย ก็มีคนกราบไหว้บูชาทุกรูปลักษณ์ มันก็กระจายกระแสในการแผ่และฝากพลังงานไว้ได้มากขึ้นกว่าเป็นรูปลักษณ์หลวงปู่ทวดองค์เดียว

    ผู้ถาม – แล้วโพธิสัตว์ที่ท่านอธิษฐานอยู่อายุยาวเลย 1 กัปป์ แบบไม่ได้ไปเกิดเข้าท้องใหม่เลย มีไหมครับ

    หลวงตา – ก็มีนะ พวกนี้ก็อาจเป็นโพธิสัตว์ที่อธิษฐานสร้างบารมีโดยการอยู่รักษาพระศาสนาทั้งกัปป์เลยก็มี

    ผู้ถาม- โอ้โห เป็นการสร้างบารมีที่ยาวนานมากนะครับ เกิดมาสร้างบารมีชาติเดียว แต่อายุกัปนึงเลย ก็ได้รูปลักษณ์เดียวเองด้วย

    หลวงตา – เรื่องการสร้างบารมีของโพธิสัตว์ ท่านสร้างมากกว่านี้ประมาณไม่ได้นะ กัปนึงนี่ไม่ได้มากอะไรหรอก ก็แล้วแต่ว่าท่านอธิษฐานสร้างยังไง

    อนุโมทนาสาธุบุญกับผู้ที่ร่วมแชร์บทความสนทนานี้

    ขอบคุณเจ้าของภาพ และ ขอบคุณผู้ถามคำถาม

    aLGjb_DFe7HauWMOwhZ08dC_3NS2XeNAKfvsZgaccVDU-ea81Lz3vubd5H6RcqHnZlI1uJgi&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    U4hyHZ4ey4IcgJ4D7blorl4oX9os1XB5DD_iu8ZkMnoZ1fzhURa16DiP2Y4Xf4CuITNIaBNT&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    #ยานพาหนะโดยสารศักดิ์สิทธิ์เหนือทิพย์นั้นคือฉันใด
    -----------------

    ปีติสุข แห่ง ทาน ศีล ภาวนา นั้น ธำรงรักษาสืบทอดไปเป็นกำลังให้มนุษย์พ้นจากวิกฤตทุกประการ ไปสู่ความจำเริญทางโลกแลโลกุตตระได้ ด้วย #ภาวนาทิพย์เหนือทิพย์.. นะลูกหลานเอ๊ย ฯ

    อัน "#การภาวนาทิพย์เหนือทิพย์" นั้น คือการภาวนาน้อมรำลึกถึง พร้อมกับอาราธนาภาวะบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงมาประคับประคองกล่อมเกลี้ยงการบำเพ็ญทาน-ศีล-ภาวนา ที่เราประพฤติอยู่เป็นปกตินั้น ให้มีพลานุภาพสูงส่งยิ่งขึ้นกว่าธรรมดาทั่วไป สามารถเชื่อมโยงกระแสบุญบารมีเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ได้

    อันว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์" นั้นคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หมดกิเลสแล้ว แต่ยังมีมหากรุณาธิคุณทรงอานุภาพสถิตเสถียรอยู่อย่างมหาศาลสุดประมาณได้ มีกระแสบุญบารมีเป็นพิเศษประดุจยานพาหนะขนส่งสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงพระสัทธรรมเพื่อสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี เป็นอานุภาพเชื่อมต่อระหว่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ขาดสายนับแต่องค์ปฐมเป็นต้นมาจนถึงพระพุทธเจ้าแห่งอนาคตกาลหาที่สุดมิได้

    ทั้งนี้.. สัตว์ใดที่ขึ้นโดยสารยานพาหนะศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว เมื่อถึงสถานีที่หมายคือพระนิพพานแห่งพระศาสนานี้แล้ว จะลงจากยานก็ย่อมได้

    แต่ยานนี้ยังคงจะดำเนินต่อไปเพื่อรับผู้โดยสารคือสัตว์โลกแห่งอนาคตกาล ให้เดินทางไปถึงที่หมายคือพระนิพพานแห่งพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไป

    หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรคือยานพาหนะทิพย์เหนือทิพย์บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์นั้น.. นะลูกหลานเอ๊ย ฯ:

    ๏ พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะชาลีติ โลกุตตโร จะ มหาเถโร เมตตาลาโภนะโสมิยะ อะระหังพุทโธ ยะธาพุทโมนะ พระนิพพานนะปัจจะโย โหตุ ๚ะ๛
    --------------------
    #ธรรมเทศนาหลวงปู่เทพโลกอุดร
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,222
    กระทู้เรื่องเด่น:
    996
    ค่าพลัง:
    +70,034
    27ws5cOBx6mWEJasUX95SnQWSnBlaZIvwv9_34Ogt3r5&_nc_ohc=vGNR-ZrOJl8AX9d9CqE&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    หลวงปู่เทพโลกอุดร
    " จงดูจิตของเราเคลื่อนไหว เหมือนเราดูละคร "
    การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต

    ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน

    นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ
    ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น
    ๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง

    นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต

    เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน

    ### โลกุตระโร จะ มหาเถโร อะหัง วันทามิ ตังสะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...