หลวงปู่เทสก์สนทนากับหัวหน้าฮินดู

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Mdef, 17 มิถุนายน 2021.

  1. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    IMG_0303.JPG
     
  2. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ระหว่างอยู่เพิร์ธมีสวามีมาเยี่ยม สวามีหมายถึงนักบวช
    ลัทธิฮินดูนุ่งห่มและสีผ้าคล้ายๆกับพระธิเบต ตัวท่านเองก็บอก
    ว่าท่านเป็ฯฮินดูลามะ ฮินดูมีหลายลัทธิ ถือพระเจ้าหลายพระองค์เหลือเกิน
    จะถือพระเจ้ากี่องค์ๆ ก็ไม่ว่า
    ขอให้ถือว่าพระเจ้าเหล่านั้นล้วนแยกออกมาจากพระเจ้าองค์เดียวกันก็ใช้ได้
    (คือพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลกผู้ไม่มีตัว)

    ท่านองค์นี้บวชมาได้ ๔๕ มีแล้ว อายุก็ได้ ๗๖ ปีพอดี
    ท่านมานั่งรอเราอยู่ที่ห้องรับแขกก่อนแล้ว พอเห็นเราก็ยกมือไหว้เราก่อนด้วยความยินดี
    มีศ๊ลธรรมอย่างน่ารักมาก เราได้ยกมือไหว้ตอบ
    สนทนาสัมโมทนียกถาพอเป็นเครื่องทำให้เกิดความอิ่มใจ
    ในกันและกันพอสมควรแล้ว เราเริ่มถามถึงลัทธิของท่านที่ท่านประพฤติอยู่ว่า
    ท่านดำเนินไปในแนวไหนและหนักไปในทางใดด้วยความเป็นกันเอง
    ท่านได้บอกว่าท่านเป็ฯสวามีลามะหัวหน้าสอนศาสนาลัทธิฮินดู
    ตระกูลของท่านถือฮินดูและตัวท่านเอง
    ก็เคร่งในลัทธิฮินดู ได้บวชแต่ยังหนุ่มจนบัดนี้แล้วก็เคยเข้าไปหาพระในธิเบตลัทธิมหายาน
    ยังสวามีอีกคนหนึ่ง แต่คนนี้เขาไม่บวชเหมือนคนก่อนเป็นฆราวาสเหมือนคนธรรมดาๆ เรานี้เอง
    อายุ ๘๑ ปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาน่ารักมาก ผิวพรรณผุดผ่องยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา
    ดูท่าทีแล้วเหมือนคนอายุราว ๖๑ ปีเท่านั้นเอง เขาได้มานั่งรอเราอยู่ที่ห้องรับแขกก่อนแล้ว
    พอเราออกจากห้องมาเขาเห็นเราเข้าแล้วก็ยกมือไหว้เราก่อนเหมือนสวามีคนก่อน
    เขาบอกว่าพอเห็นเราแล้วเมตตามาก(ตามภาษาบ้านเราคือเคารพรักมากนั่นเอง)
    เมื่อทักทายและแสดงความดีใจซึ่งกันและกันพอสมควรแล้ว

    เราได้เริ่มซักถามถึงลัทธิที่เขาถือก่อน
    เช่นเดียวกับสวามีคนก่อน ก่อนจะถามเราได้ขอโทษเขา แต่เขาได้บอกว่าไม่ต้องขอโทษ
    เรามีธรรมเสมอกัน(คอยฟังมติของเขาต่อไป) เขาบอกว่าเขาไม่ถือศาสนาอะไรๆทั้งหมด
    "เพราะในโลกนี้มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น"
    ศาสดาของแต่ละศาสนาล้วนแล้วแต่แยกออกมาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน(คือพระพรหม)
    เมื่อทำดีที่ถูกต้องแล้วก็เข้าถึงพระเจ้าองค์เดิมเหมือนกัน เขาบอกว่า
    เขาได้ไปศึกษาแบบโยคะกับอาจารย์ต่างๆ ในประเทศอินเดียถึง ๖ อาจารย์
    อาจารย์ของเขาสอนหลายแบบ เป็นต้นว่า แบบฤาษีดัดกาย
    แบบอดอาหารและกลั้นลมหายใจเข้าออก
    เป็นต้น
    (แสดงว่าลัทธิเหล่านี้มีมาแต่ก่อนพุทธกาล คงยังเหลืออยู่จนบัดนี้)

    เขาเป็นผู้มีความรู้และความสามารถในลัทธิฮินดูและเป็นผู้ยอมสละทุกๆอย่าง(ไม่มีครอบครัว)
    ฮินดูศาสนิกทั้งหลาย จึงได้ยกให้เขาเป็ฯสวามี
    เมื่อเราทั้งสองสนทนากันโดยมีพระสตีเฟนเป็นล่ามคนกลางพอสมควร
    และเราทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ
    และยินดีในคำพูดของกันและกันแล้ว
    ก่อนเขาจะลากลับเขาขอกราบเท้าเราเพื่อเป็นสิริมงคล
    (เราเลยกลายเป็นพระผู้เป็นเจ้าไปเลย)
    เรารู้สึกละอายใจมาก เพราะเขาเป็นคนดีมีอายุมากและมีคุณธรรม
    น่าเลื่อมใส
    จึงบอกว่าไม่ต้องกราบดอก เรามีธรรมเสมอกันก็เป็นสิริมงคลดีอยู่แล้ว
    ก่อนจะลาไปเขา
    ได้หันหน้ามาไหว้แล้วไหว้เล่า แสดงว่าเขาเคารพด้วยความจริงใจ
    สวามีทั้งสองนั้นคนหนึ่งบวชเป็นพระอีกคนหนึ่งไม่ได้บวชก็ตาม
    แต่ลัทธิวิธีเข้าถึงพระเป็นเจ้าอย่างเดียวกัน
    เพราะเป็นลัทธิฮินดูเหมือนกัน

    เราได้ขอร้องให้ทั้งสองอธิบายเหมือนกัน
    คือองค์แรกบอกว่าบริกรรม "โอมะ" ช้าๆสัก ๒-๓ ครั้ง โดยระลึกเอาพระเจ้ามาไว้ที่ใจ
    เอาใจมาระลึกถึงพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะมาปรากฏเป็นภาพต่างๆขึ้นที่ใจ
    พระเจ้าจะสอนให้รู้จักผิดรู้จักถูก
    ให้ทำดีละชั่ว บางทีก็ไม่ปรากฏภาพจะมีแต่เสียง
    (ในหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนาตอนนี้เรียกว่า รูปฌาน
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ธรรมเป็นศาสดาตามพร่ำสอนผู้ปฏิบัติดีแล้วไม่ให้ตกไปในทางผิด)
    แล้วพระเจ้านั้นจะหายไปยังเหลือแต่ความว่างเปล่า
    เราเข้าถึงพระเจ้านิรันดรแล้ว(อรูปฌาน ซึ่งอาฬารดาบส
    และอุทกดาบสเจริญอยู่
    พระสิทธัตถะกุมารไปศึกษาได้แล้วเห็นว่ายังยึดอยู่นั่นแหละไม่เป็นทางพ้นทุกข์ได้
    ละทั้งดีและชั้วแล้วจึงจะพ้นทุกข์ จึงได้หนีไปทำทุกรกิริยา)

    ส่วนสวามีคนที่สองไม่ได้บวชก็อธิบายเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้พูดถึงคำบริกรรม
    อาจเป็นเพราะเขาหวง
    เคล็ดลับในลัทธิเดียวกัน แล้วก็พูดแต่เพียงว่า
    เมื่อเข้าถึงพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะแสดงภาพต่างๆ มาสอนหรือมีแต่เสียงมาสอน
    ไม่ได้พูดว่าเมื่อภาพและเสียงนั้นหายไปแล้วยังเหลือแต่ความว่าง
    แล้วเข้าถึงพระเจ้านิรันดร
     
  3. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    สิ่งที่ควรจะเป็นสาระ
    นักสนใจในศาสนาทั้งหลายฟังแล้วสนุกใหม ได้ความว่าอย่างไร
    เราขอแสดงความเห็นดังต่อไปนี้
    หากผิดถูกอย่างไรขอนักสนใจในศาสนาทั้งหลายได้ให้อภัยด้วย
    เพราะเราไม่มีโอกาสได้ค้นคว้าตำราศาสนาอื่นๆนอกจากพุทธศาสนา
    เขาให้ทำความเชื่อมั่นแน่วแน่ว่า พระเจ้าเขามีแต่ไม่เห็นตัวพระเจ้าที่เขาเชื่อนั้นแหละ
    เมื่อทำความเชื่อมั่นแล้วน้อมเอาพระเจ้าหรือเอาใจของเราเข้าไปไว้ในพระเจ้าแล้ว
    พระเจ้าก็จะมาปรากฏให้เห็น ณ ที่นั้น แม้พุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็ในทำนองเดียวกันนี้
    ส่วนฝ่ายเถรวาทหรือหินยาน พระพุทธเจ้ามีตัวคือพระราชโอรสสิทธัตถะแห่งศากยราช
    เสด็จออกทรงผนวช ทรงบำเพ็ญเพียรชำระกิเลสในใจจนหมดจดบริสุทธิ์
    ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
    เพราะคุณธรรมทั้งหลาย
    แต่ไม่ให้ถือเอาเพียงกายของพระสิทธัตถะเท่านั้นมาเป็นพระพุทธเจ้า
    เมื่อผู้มีความเชื่อและเลื่อมใสในพระคุณของพระพุทธเจ้า
    แล้วน้อมเอาคุณความดีทั้งหลายเหล่านั้น
    มาไว้ที่ใจหรือน้อมเอาใจของตนไปตั้งไว้ที่ความดีเหล่านั้นก็ดี
    เมื่อใจตั้งมั่นอยู่ในความดีเหล่านั้น
    แน่วแน่เต็มที่แล้ว(เอกัคคตารมณ์)
    อาจเกิดภาพนิมิตต่างๆ หรือเสียงปรากฏ ณ ที่นั้น

    ลัทธิพระเจ้าไม่มีตัวตนนั้น เขาถือว่านั่นถึงพระเจ้าแล้วพระเจ้ามาสอนแล้ว
    ส่วนพุทธศาสนาถือว่านิมิตของภาวนาหากมีเสียงสอนบอกกล่าว
    ก็ถือว่าพระธรรมเป็นเครื่องพร่ำสอน
    ถ้ามีภาพปรากฏก็ถือว่าเป็ฯภาพนิมิต พระธรรมเป็นของไม่มีรูปร่าง
    ผู้เห็นผู้ฟังยังเป็นของมีรูปร่างอยู่
    พระธรรมจึงแสดงภาพให้เข้ากับผู้เห็นผู้ฟัง

    เมื่อสรุปแล้วทุกๆศาสนาและลัทธินิกายสอนให้ศาสนิกชนของตนๆละชั่วทำดี
    น้อมจิตเอาคุณความดีของพระเป็นเจ้ามาไว้ที่ใจของตน
    หรือเอาจิตของตนให้เข้าไปอยู่ในพระเป็นเจ้า
    เพื่อเราจะได้เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าเหมือน ๆ กันทุก ๆ ศาสนา
    ศาสนิกชนของศาสนานั้นๆ เมื่อไม่เข้าใจในหลักของจริงของศาสนาดังกล่าวมานี้แล้ว
    มักจะถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งนับถือปฏิบัติไม่เหมือนตนก็เหมาว่าผิด ตนเท่านั้นถูก
    แล้วก็หาเรื่องโฆษณาโจมตีกันและกันเพื่อให้ฝ่ายของตนเด่น
    คนจะได้เข้ามานับถือฝ่ายตนให้มากขึ้น
    นอกจากมิใช่คำสอนของศาสดาที่ดีมีธรรมเป็นเครื่องอยู่แล้ว
    ยังจะเป็นที่เพ่งเล็งของปราชญ์ที่ดีทั้งหลายอีกด้วย
    การถือภาพนิมิตของภาวนากับการเข้าถึงพระเจ้าน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของนักปฏิบัติด้วยดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...