หลวงปู่แหวน พบเนื้อคู่

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 18 มีนาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    ๖๗. พบเนื้อคู่
    ตามคำทำนายของหมอดู

    ในสมัยที่ หลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ เรียนมูลกัจจายน์อยู่ที่จังหวัดอุบลๆ นั้น เคยมีหมอดูทำนาย เกี่่ยวกับเนื้อคู่ของท่าน ว่าจะอยู่ทางทิศนั้นๆรูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้ารูปใบโพธิ์
    ก็ไม่ทราบว่า หลวงปู่ จะใส่ใจกับคำทำนาายนั้นหรือไม่ เพียงใด หรือว่าเพียงแต่ดูหมอไป แบบสนุกๆก็ตาม แต่คำทำนายนั้นก็ปรากฎขึ้นจริง

    วันหนึ่ง ตอนใกล้ค่ำ หลวงปุ่ ไปสรงน้ำที่ฝั่งแม่น้ำงึม ก็พบหญิงสองคนแม่ลูกกำลังถ่อเรือ มาตามลำน้ำ มาถึงบริเวณที่พระกำลังอาบน้ำอยู่ หญิงสาวชำเลืองตามองทางพระหนุ่ม สายตาเกิด ประสานกันเข้าพอดี
    ในบันทึกเล่าไว้ว่า
    " เมื่อสายตาของทั้งสองฝ่ายประสานกันเข้า ก็มีอานุภาพลึกลับและรุนแรง พอที่จะตรึงคน ทั้งสองฝ่ายให้ตะลึงไปได้ ระหว่างเดินกลับมาที่พัก ในใจยังคิดถึงหญิงงามนั้นอยู่"

    เมื่อหลวงปุ่กลับถึงที่พัก ก็หวนระลึกถึงคำทำนายของหมอดู พิจารณาดูแล้วก็น่าจะเป็นจริง
    " หญิงที่เราพบเห็นเมื่อตอนเย็น ก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคำทำนายของหมอ เห็นจะเป็น แม่หญิงคนนี้แน่"





    ๖๘. ต้องตัดสินใจ


    คืนนั้น หลวงปุ่ ยังครุ่นคิดถึงแม่สาวงามที่สายตาประสานกันเมื่อตอนเย็น
    " เห็นจะเป็นแม่หญิงคนนี้แน่ เพราะเมื่อเราเห็นเป็นครั้งแรก ก็ทำให้เรา มีจิตปรวน แปรแล้ว"
    ในคืนนั้น หลวงปุ่คิดสับสบว้าวุ่นพอสมควร คิดถึงคำทำนายของหมอดู คิดถึงแม่สาวงาม นัตย์ตาคมผู้นั้น คิดถึงความตั้งใจในการออกป่าบำเพ็ญภาวนา ที่สำคัญคือคำสัญญาที่ให้ไว้กับ โยมแม่และโยมยาย ที่บอกว่า " บวชแล้ว จะต้องตายในผ้าเหลือง"

    จิตหวนคิดถึง หลวงปู่มั่น ที่เคยอบรมสั่งสอนเมื่อตอนฝึกหัดภาวนาที่ฝั่งไทย คิดถึงคำเตือน และอุบายธรรมที่ท่่านเคยสอน
    พลัน .... " เราต้องรีบกลับเมืองไทย"

    วันรุ่งขึ้น สองแม่ลูกได้นำข้าว หมากพลู บุหรี่ มาถวายแต่เช้าตรู่ ก่อนใครอื่นทั้งหมด ทั้งสอง คนช่วยกันมวนบุหรี่ จีบพลู สายตาของหญิงสาวคอยชำเลืองมองไปทางพระ
    ถึงเวลาบิณฑบาต หลวงปู่ก็ออกบิณฑบาต ตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้ผิดสังเกตุ

    พอฉันเสร็จ พวกญาติโยมที่นำอาหารมาถวายต่างลากลับ หลวงปู่ ก็เก็บบริขาร บอกลาเพื่อน พระ และเจ้าสำนัก แล้วข้ามโขงกลับฝั่งไทย





    ๖๙. มาพบหลวงปู่มั่น
    โดยไม่คาดคิด

    ท่านผู้อ่านจะสังเกตุเห็นว่า พระธุดงค์ท่านไปไหนมาไหนได้รวดเร็ว " ประดุจดังนกบิน" เพราะท่านไม่มีสมบัติที่จะต้องหอบหิ้วและห่วงใย มีแต่บริขารที่จำเป็นและใส่ลงในบาตร มีกลด ธุดงค์ กาน้ำและเครื่องกรองน้ำ เท่านั้น ท่า่นจึงอยุ่ง่าย มาง่าย ไปง่าย แม้ชีวิตท่านก็สละแล้ว

    หลวงปู่ ได้อาศัยเรือข้ามจากท่าเดื่อ มาขึ้นที่หนองคายฝั่งไทย เดินขึ้นเหนือไปตามลำน้ำโขง ไปถึงอำเภอศรีเชียงใหม่(จังหวัดหนองคาย) ไปพีกอบรมตนอยู่ที่ พระบาทเนินกุ่ม หินหมากเป้ง

    ที่พระบาทเนินกุ่ม หินหมากเป้ง นั้นเอง หลวงปแหวน ก็ได้พบกับ หลวงปุ่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ อย่างไม่ีคิดไม่ฝัน ทำให้ท่านดีใจมาก ความมั่นใจว่าจะสามารถครองผ้าเหลือง ไปจนตาย ดูมีความเป็นจริงขึ้นมา

    ในช่วงนั้น หลวงปุ่มั่น ท่านได้ปลีกตัว ออกจากหมู่คณะ มาภาวนา อยู่บริเวณนั้นอยู่ตามลำพัง องค์เดียว

    จากบันทึกในส่วนของหลวงปุ่แหวน บอกไว้ว่า
    " เมื่อได้พบกับอาจารย์อีก จึงดีใจมาก การพักอบรมตนอยู่กับหลวงปุ่มั่น ก่อนเ้ข้าพรรษา ทำให้จิตใจค่อยสงบตัวลง ไม่ฟุ้งซ่าน เหมือนก่อน แต่ภาพผู้หญิงงานนั้น ยังปรากฎขึ้นเป็นครั้ง คราว แต่เมื่อเร่งภาวนเข้า ภาพนั้นก็สงบลง "





    ๗๐. เรื่องคูบารมีในอดีตชาติ

    ต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่าน เนื้อหาที่นำมาแทรกในตอนนี้ เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเอง (ปฐม นิคมานนท์) ถ้าหากมีข้อผิดพลาดประการใด วอนท่านผู้รู้กรุณาช่วยชี้แนะด้วยครับ

    เรื่องเนื้อคู่ของคนเรา ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องเจ้ากรรมนายเวรของเรา นั่นเอง บรรดาบุตร ภรรยา สามี ญาคิพี่น้อง ล้วนแต่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่ใกล้ชิดที่สุด ซึ่งผูกพันกันมาแต่อดีตชาติ บางกรณี ก็หลายภพหลายชาติ
    ที่ว่า เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องไม่ดีเท่านั้น มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี ถ้าเราเคย ทำดีต่อกันมา เจ้ากรรมนายเวร นั้นก็คอยอุปถัมภ์เกื้อกูลกัน ตรงกันข้าม ถ้าเคยก่อเรื่องไม่ดีต่อกัน เจ้ากรรมนายเวร ก็ตามคิดบัญชีกรรมกับเรา

    เจ้ากรรมนายเวร ก็คือ คู่กรณี และกรรม ก็คือ การกระทำ ไม่ว่่าทำดี หรือไม่ดี ก็ย่อมต้องมีผู้ ได้รับผลกระทบ ทั้งโดยตรงและทางอ้อม ก็คือมี คู่กรณี หรือ มีเจ้ากรรมนายเวร นั่นเอง

    ระบบกรรม จึงเป็นระบบที่ส่งผลต่อเนื่องกัน ไม่รู้จักจบสิ้น เว้นไว้แต่อโหสิกรรม ใช้หนี้เวร กรรมหมด หรือไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด คือ บรรลุพระอรหันต์ เวรกรรมนั้นจึงจะจบสิ้นลง
    อันนี้ อธิบายให้เข้าใจยาก ต้องพิจารณาดูเองจึงจะแจ่มชัด

    จากการศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ ล้วนแต่มีประสพการณ์เีคยพบ " เนื้อคู่ " ในอคีตทั้งนั้น ถ้าใจไม่แข็งพอ หรือไม่มีอุบาย ก็ต้องสึกหาลาเพศ ออกไปครองเรือน และก่อเวรต่อเนื่องกันไปอีก
    ตัวอย่างเ่ช่น หลวงปุ่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมภรณ์ จังหวัดสกลนคร ท่านต้องภาวนา อย่าง เอาจริงเอาจังติดต่อกันถึง ๗ วัน จึงตัดขาดได้

    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ท่านก็เจอคู่บารมีในอดีต เมื่อครั้งอยู่วัด ปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพๆ ต้องพิจารณาจนเห็นปัญหา ที่จะต้องเผชิญในอนาคตอย่าง ชัดเจน จึงตัดใจได้

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา เมื่อครั้งท่านเป็นเณรใหญ่ อยู่ที่วัดปทุมวนา ราม กรุงเทพๆ เวลานั่งสมาธิ ก็เห็นแต่ใบหน้าของหญิงสาว เวลาบริกรรม ว่า พูทโธ ก็กลายเป็น ว่าชื่อผู้หญิงแทน ท่านจึงตัดสินใจ ใช้ชื่อผู้หญิงเป็นคำบริกรรมแทนคำว่า พุทโธ ก็ทำให้จิตสงบ เกิดสมาธิ ได้เหมือนกัน หลวงพ่อ จึงได้หลักว่า การภาวนา จะใช้คำบริกรรมอะไรก็ได้ เป็นอุบาย หาสิ่งให้ใจมันยึดเกาะ พอจิตสงบ คำบริกรรมนั้นไ ก็หายไป

    ตัวอย่างจาก หลวงปุ่ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี เวลาภาวนา จิตท่านวิตกเกี่ยวกับ เรื่องกาม ท่านก็แก้ได้โดยยกอวัยวะเพศ ของผู้หญิงขึ้นมาพิจารณา ในสมาธิ พิจารณาให้เห็น ธรรมชาติอย่าง่ชัดเจน จึงสามารถ ตัดขาดได้ คือตัดได้ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทัน

    มีตัวอย่างจากครูบาอาจารย์ องค์อื่นๆ ให้เห็นอีกมากมาย เราสามารถยกขึ้นมาพิจารณา เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี
    ครูบาอาจารย์ บางท่าน จะมีสุภาพสตรี มายุ่งเกี่ยว มาจัดการต่างๆในวัด ดูไม่เป็นที่สบอัธยาศัย ของพระเณร และญาติโยมคนอื่นๆ แต่ครูอาจารย์ท่าน ก็ทนได้ ตราบที่ไม่เป็นการล่วงวินัย เช่นนี้ ก็มี
    ครูบาอาจารย์บางองค์ บางท่าน ต้องพังไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเอาเรื่องอดีตชาติมาพัวพัน ตัดไม่ขาด เช่น มีมเหสีเอก มเหสีรองๆ ตามมา คอยรับใช้ปรนนิบัติ และตามกีดกันหึงหวง อย่าง นี้ก็มี

    ตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ ถ้านำมาพิจารณา ก็สามารถใช้เป็นอุปกรณ์เตือนใจตนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพระเณรผู้มุ่งหวัง ผลในทางธรรม อย่างจริงจัง ต้องสังวรณ์ เรื่องดังกล่าว ให้มากเป็น พิเศษ

    ส่วนฆราวาสครองเรือน เช่นตัวผมเอง ก็ต้องพิจารณาไปตามสภาพการณ์ ก็เป็นเรื่องของกรรม เวร แต่ละท่าน

    ก็กราบขออภัยท่านผู้อ่านอีกครั้ง
    และขอเชิญติดตามต่อไปว่า หลวงปู่แหวน ท่านมีอุบายในการตัดเรื่องนี้ออกไปได้อย่างไร





    ๗๑. ยิ่งเร่งความเพียร
    กิเลสก็ยิ่งเอาจริง

    หลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ ได้ใช้ความพยายามตัดความคิดนึกเรื่องผู้หญิง ออกจากใจ ดังต่อไปนี้

    หลังจากเข้าพรรษาแล้ว ตั้งใจปรารภความเพียรอย่างเต็มที่ การเร่งความเพียร ในระยะแรก จิตก็ยังไม่มีอะไรวุ่นวาย คงสงบตัวได้ง่ายมีอุบายทางปัญญา พอสมควร
    เมื่อเราเร่งความเพียรหนักเข้่า เอาจริงเอาจังเข้า กิเลสมันก็เอาจริง เอาจังกับเราเหมือนกัน คือแทนที่จิตจะดำเนินไปตามที่เราต้องการ กลับพลิกกลับไปหานางงามที่บ้านนาสอง ฝั่งแม่น้ำงึม นั้นอีก

    ทีแรกเราได้พยายามปราบด้วยอุบายต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งเร่งความเพียร ดูเหมือนเอาเชื้อไผ ไปใส่ ยิ่งกำเริบหนักเข้าไปอีก เผลอไม่ได้ เป็นต้องไปหาหญิงนั้นทันที

    บางครั้งมันก็หนีออกไปซึ่งๆหน้า คือขณะคิดอุบายการพิจารณา อยู่นั่นเอง มันก็วิ่งออกไปหา ผู้หญิงนั้นเอาซึ่งๆหน้ากันทีเดียว





    ๗๒.ใช้อุบายทรมานตน
    ก็ยังไม่เป็นผล

    หลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ ต้องเปลี่ยนมาใช้อุบายการทรมานตนดังนี้ :-
    อุบายการปฏิบัติวิธีต่างๆ ที่นำมาใช้ในการทรมานจิตใจครั้งนั้นเช่น เว้นการนอนเสีย มีเฉพาะอิริยาบถนั่ง ยืน เดิน
    ทำอยู่เช่นนั้น อยู่หลายวันหลายคืน คอยจับดูจิตว่ามันคลายความรักในหญิงนั้นแล้วหรือยัง

    ปรากฎว่า ไม่ได้ผล จิตยังคงวิ่งออกไปหาหญิงงามอยู่เช่นเคย เผลอสติไม่ได้
    ต่อมาเพิ่ม ไม่นั่งไม่นอน มีแต่ยืนกับเดิน ทำความเพียรอยู่อย่างนี้จิตมันก็ไม่ยอม มันคงไป ตามเรื่องตามราวของมันเช่นเคย

    สรุปว่า หลวงปู่ทรมานตัวด้วย งดเว้นการนั่ง กับนอน ไม่ยอมให้ส่วนกัน และส่วนหลังแตะ พื้น ยังคงเหลือแค่อิริยาบถสอง คือ ยืนดับเดิน แต่ก็ยังไม่สามารถทรมานจิตให้เชื่องลงได้

    แล้วหลวงปู่ ก็ทดลองหาอุบายใหม่





    ๗๓. งดเ้ว้นอาหาร
    และพิจารณากาย

    หลวงปุ่ได้เปลี่ยนวิธีใหม่ดังนี้
    คราวนี้เปลี่ยนวิธีใหม่ เปลี่ยนเป็นอดอาหาร ไม่ฉันอาหารเลย เว้นไว้แต่น้ำ
    อุบายการพิจารณา ก็เปลี่ยนใหม่

    คราวนี้เพ่งเอากายของหญิงนั้นเป็นเป้าหมาย ในการพิจารณา กายคตาสติ โดยแยกยกขึ้น พิจารณาทีละอย่างๆ ในอาการ ๓๒ ขึ้น โดยอนุโลม ปฏิโลม ( พิจารณาทบทวน กลับไปกลับมา)
    พิจารณา เทียบเข้ามาหากายของตน พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า อวัยวะอย่างนั้นๆ ของตนก็มี ทำไมจะต้องไปรัก ไปหลง ไปคิดถึง

    เพ่งพิจารณาทีละส่วนๆ พิจารณาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืน ทุกอิรยาบถ ( ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน)
    การพิจารณาจนละเอียด อย่างไร ขึ้นอยู่กับอุบายความแยบคายของปัญญา ที่เกิดขึ้นแตละ ช่วงขณะ

    ตอนหนึ่ง การพิจารณามาถึง หนัง
    ได้ความว่า คนเราหลงกันอยู่ที่ หนัง หนังเป็นเครื่องปกปิดสิ่งที่ไม่น่าดูเอาไว้ ถ้าถลกหนังออก อวัยวะทุกส่วนก็หาวส่วนที่น่าดุไม่ได้เลย

    เพ่งพินิจอยู่ จนเห็นถึงความเน่าเปื่อย ผุพัง สลายไปไม่มีส่วนไหนที่จะถือได้ว่า เป็นของมั่นคง

    เมื่อพิจารณามาถึง มูตร ( ปัสสาวะ) และกรีสะ(อุจจาระ หรือคูถ) ของหญิงนั้น ตั้งคำถามขึ้น ว่า หญิงนั้นงามน่ารัก มูตรและกรีสะ ของหญิงนี้กินได้ไหม
    จิตตอบว่า ไม่ได้
    จึงถามอีกว่า เมื่อกินไม่ได้ อันไหนที่ว่างาม อันไหนที่ว่าดี
    เมื่อพิจารณามาถึงอาการทั้งสอง ยกเป็นอุบายขึ้นถามจิตเช่นนั้น จิตเมื่อถูกปัญญาฟอกหนัก เข้าเช่นนั้น ก็จนด้วยเหตุผบของปัญญา ยอมอ่อนตัวลง จนด้วยความจริงและอุบายของปัญญา

    ในขณะนั้น จิตซึ่งเคยโลดโผน โลดแล่นไปอย่างไม่มีจุดหมายมาก่อน พลันก็กลับยอมรับ ตามความเป็นจริง ยอมตัวอย่างนักโทษผุ้สำนึกผิด ยอมสารภาพ ถึงการกระทำ ของตนแต่โดยดี






    จากคุณ YAMAHA
     

แชร์หน้านี้

Loading...