หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน พระเจ้าของถ้ำหุงข้าว

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน พระเจ้าของถ้ำหุงข้าว
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ 16 กรกฏาคม 2533 เมื่อถึงเขาชอนเดื่อ ตอนนั้นก็ปรากฏว่า หลวงพ่อปานท่านรู้จักกันกับพระที่เขาชอนเดื่อ (ความจริงพระที่เขาชอนเดื่อนี่รู้สึกว่า อายุจะน้อยกว่าหลวงพ่อปานมาก ถ้าจะประมาณอายุจริง ๆ ก็ประมาณ 50 เศษ ๆ หลวงพ่อปานเวลานั้น 60 เศษ) ท่านมีท่าทางกระปรี้กระเปร่าแข็งแรง มีการคล่องตัวมาก เพราะอยู่เขา

    เขาชอนเดื่อนี่มารู้จักเอาสมัยหลัง สมัยที่มาอยู่ชัยนาทแล้ว เมื่อไปพบถ้ำ ๆ นั้นเข้าจึงได้ทราบว่า ถ้ำ ๆ นี้เราเคยมา เมื่อสมัยมาธุดงค์ แล้วก็เดินไปทั่ว ๆ บริเวณ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนของเก่าหมด ก็แน่ใจว่าเป็นถ้ำ ๆ นี้ แต่ว่าเวลานั้นเป็นป่าชัฏ บรรดาท่านพุทธบริษัทกลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี ไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า สุนัขหอนจากบ้าน ก็แสดงว่าไกลบ้านมาก

    พอเข้าไปพัก ท่านก็มีอัธยาศัยดีมาก ท่านจัดสถานที่ให้นอน เป็นหลืบของถ้ำเหมือนกับเป็นห้องนอน นอนกันแบบสบาย ๆ ไม่รวมกัน ไม่ต้องปักกลด แต่ว่าพอตื่นขึ้นเช้า เวลาสาย ๆ นิดหน่อย ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า จะฉันข้าวไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉันตามปกติ

    แต่ความจริงการไปคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท หลวงพ่อปานก็ดีคณะที่ไปร่วมก็ตาม กินข้าวจากเทวดา กินข้าวจากนางฟ้ากัน แต่ว่าพอตื่นเช้าวันนั้นหลวงพ่อปานไม่สั่ง ไม่สั่งให้ออกบิณฑบาตตามปกติ ก็ถือว่า คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง เมื่อไปกับหัวหน้า หรือครูบาอาจารย์ ในเมื่อท่านสั่งอย่างไหนเราทำอย่างนั้นท่านไม่สั่ง เราไม่ทำก็คิดว่า วันนี้เราจะกินข้าวกันที่ไหน นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ถ้าไม่มีข้าวจะกิน เราก็อยู่ด้วยธรรมปีติ (คำว่า ธรรมปีติ หมายความว่า มีความอิ่มใจในธรรม) ถ้าจะถามว่า มีความอิ่มใจพอแล้วหรือ ก็ต้องตอบว่าการเดินทางคราวนั้นมีความอิ่มใจพอมากเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ามีครูบาอาจารย์ควบคุมไป และประการที่ 2 รอบ ๆ ข้างมีท่านที่มองไม่เห็นตัวด้วยตาเปล่าคุมไปมาก ทำให้มีการสดชื่นมาก

    พอตอนสายมานิดหนึ่ง พอตะวันขึ้นไม่สายมาก สักโมงเช้าได้ละมั้ง พระเจ้าของถิ่นท่านก็ถามว่า จะฉันข้าวไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉัน ท่านก็เอื้อมมือไปหยิบหม้อดินใหม่เอี่ยม (ความจริงนั่งอยู่ที่นั่นก็มองไม่เห็นหม้อดิน ไม่ทราบว่าท่านวางไว้ที่ไหน แต่ว่าเวลาเมื่อท่านต้องการ ท่านเอื้อมมือไปหยิบปั๊บ ได้หม้อดินมา 1 ลูก) เอาน้ำใส่ไปหน่อยหนึ่งเอาข้าวสารใส่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ปิดฝา ท่านถามว่า ฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉัน ท่านก็เอื้อมไปหยิบเอาบอนมา ตัด ๆ ไม่ต้องปอก ตัด ๆ เหมือนที่เขาแกงกัน แล้วก็ใส่ในหม้อ น้ำใส่หน่อยหนึ่ง แล้วก็เอาฝาปิด หลังจากนั้นท่านก็คุยกัน คุยกันไปสักครู่หนึ่ง ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า หิวหรือยัง เห็นจะเป็นเวลาประมาณสัก 2 โมงเช้า

    ก็เป็นอันว่าในเมื่อหลวงพ่อปานบอกว่า หิวแล้ว ท่านก็เปิดหม้อข้าวขึ้นมา ข้าวสุกเต็มหม้อ มีควันคลุ้ง แสดงว่าข้าวสุกและยังร้อน ๆ มาก เหมือนกับยกลงจากเตาใหม่ ๆ (ความจริงก็ตั้งกับพื้นดิน) แล้วก็เปิดฝาหม้อแกงขึ้น แกงเต็มหม้อ เอามากิน รสชาติเหมือนแกงบอนธรรมดา ๆ อร่อยมาก (นี่ก็เป็นส่วนพิสดารส่วนหนึ่ง ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่า คนหลายๆ คน อาจจะมีความเห็นไม่เสมอกัน อาตมาก็ไม่ค้านความเห็นของท่าน นี่เป็นเรื่องของอภิญญา)

    เมื่อกินข้าวเสร็จ ท่านก็คุยกัน แล้วก็หันมาถามว่า คุณ 2 องค์นี่ สนใจเรื่องฤทธิ์ไหม อีก 2 องค์ท่านตอบว่าสนใจเรื่องฤทธิ์ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า สององค์นี่เขาชอบเล่นฤทธิ์มาก แต่อีกองค์หนึ่งนี่ไม่ชอบ ชอบรู้เห็นโดยเฉพาะ ไปได้ตามกำลังใจ ที่เรียกว่า มโนมยิทธิ ชอบเล่นทางใจมากกว่าเล่นทางกาย ท่านก็เลยหันมาถามอาตมาว่า ทำไมไม่ชอบเล่นทางกายเราไปสวรรค์ เราไปนรกด้วยกายตนเอง เป็นการดีนะ ก็ตอบท่านว่า ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนกัน การไปด้วยกายก็เป็นของไม่แปลก การไปด้วยใจก็เป็นของไม่แปลก คือ เนื้อแท้ของร่างกายจริง ๆ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เวลาตายจริง ๆ ไม่ได้นำร่างกายไปด้วย ผมเลยไม่สนใจ

    ท่านมองหน้านิดหนึ่ง ท่านบอกว่า ความจริงเป็นของไม่เกินความสามารถใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ไม่แน่ใจครับ มันจะเกินความสามารถหรือไม่เกินความสามารถผมไม่แน่ใจ แต่ว่าผมไม่นิยมใช้มัน ผมใช้เฉพาะใจอย่างเดียว ทางร่างกายพระพุทธเจ้าท่านห้าม ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านห้าม ก็เกรงว่าจะเผลอ ถ้าเผลอเป็นการผิดพุทธบัญญัติ อาจจะมีโทษ (คำว่ามีโทษอย่างนั้นก็ไม่ทราบว่า ท่านปรับโทษอะไร) ท่านก็เลยบอกว่าก็ดีเหมือนกันถ้ามีความสันโดษอย่างนั้นก็ดี แต่เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ อยู่ที่นี่ ถ้าอยากจะเที่ยวที่ไหนก็บอกให้ให้ทราบ ก็ถามท่านว่า ท่านอยู่ที่นี่มานานหลายปีไหม ท่านบอกว่า อยู่ที่นี่มาเกินสิบปี ถามท่านว่า ท่านฉันข้าวแบบนี้หรือ ท่านบอกว่า ปกติท่านไม่ฉันเลย ท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ

    ก็มีความสนใจมาก ก็ถามว่า ธรรมปีติ เป็นอย่างไรขอรับ ท่านบอกว่า มีความอิ่มโดยธรรมก็ถามว่า อย่างนี้เขาเรียกว่า เข้านิโรธสมาบัติ ใช่ไหม ท่านบอกว่า คนละอย่าง ธรรมปีติกับนิโรธสมาบัติ คนละอย่าง ผมไม่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ ก็ถามท่านบอกว่าในเมื่ออยู่องค์เดียวอย่างนี้ อยู่ป่าอย่างนี้มีอาการสงัด ก็น่าจะเข้านิโรธสมาบัติได้ ท่านบอกว่านั่นเป็นขั้นตอนของธรรมะ การปฏิบัติเราต้องรู้จริง นิโรธสมาบัติเป็นภาระของพระอรหันต์ท่าน ก็กราบเรียนถามท่านว่า ท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์หรือ มีฤทธิ์ขนาดนี้น่าจะเป็นพระอรหันต์พระที่ยังไม่เป็นอรหันต์ ก็ยังสามารถมีความมีฤทธิ์ได้อย่างนี้ ผมก็อัศจรรย์ใจ

    ท่านก็รับตรง ๆ ว่า ท่านบอกว่า ผมนี่เป็น พระฌานโลกีย์ มีบางครั้งผมมีความรู้สึกว่าผมเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าผมสามารถระงับความรักในระหว่างเพศ ความโกรธความโลภ ความหลงได้ แต่ว่ากำลังใจมันมีอาการหนักหน่วง เวลานี้ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีการสนใจอย่างเดียวคือ ฌานสมาบัติ ที่อยู่ที่นี่ก็มีความสุข เพราะเทวดา นางฟ้าท่านช่วยท่านสงเคราะห์สถานที่ ที่เตียนได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่มือของผม ผมเองไม่สามรถทำบริเวณข้างถ้ำให้เตียนได้ แม้แต่ในถ้ำก็ใหญ่เหลือเกิน ในถ้ำนั้น ความจริงถ้าจะสร้างกุฏิกันได้สัก 2-3 หลัง ถ้ำใหญ่มากปากถ้ำเล็ก แต่ว่าในถ้ำใหญ่ มีหลืบ มีชั้น มีตอน มีหลายตอนด้วยกัน ที่ราบเรียบขึ้นมาได้ก็อาศัยเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ท่านสงเคราะห์

    แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า จากถ้ำนี้ก็มีอีกหลายถ้ำที่อยู่ข้าง ๆ นี้ ที่สถานที่แห่งนี้เดิมทีเดียวเป็นเมืองใหญ่ ใกล้ ๆ ถ้ำนี้ ท่านชี้บริเวณไปข้างหน้า บริเวณเป็นทุ่งข้างหน้า เป็นทุ่งใหญ่พอสมควร ท่านบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นเมืองใหญ่ในอดีต และถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ กับถ้านี้ก็ดี หรือถ้ำนี้ก็ดีเป็นที่เก็บทรัพย์สินของพระราชา เวลานี้ทรัพย์สินของพระราชา มีทองเป็นต้นที่เก็บไว้ตามถ้ำต่างๆ ใกล้ ๆ นี้ ยังมีมาก

    พอตอนสาย ๆ หน่อย ๆ ท่านก็ชวนไปดู ไปถึงถ้ำ ๆ หนึ่ง อยู่ใกล้ชิดกันมาก ไม่ไกลนักเขาติด ๆ กัน อาจจะเป็นเทือกเขาเดียวกัน แต่เป็นถ้ำคนละถ้ำ พอเข้าไปใกล้ ๆ ก็มีเสียงอึกทึกโครมคราม ครืนครั่น ๆ ไปข้างใน (เสียงดังสนั่นมาก ไม่ใช่ว่าต้องเงี่ยหูฟังชัด) เสียงท่านบอกว่า นี่ ข้างในน่ะ ไม่ต้องขนของหนี ไม่มีใครเขาเอาอะไรหรอก นี่เจ้าของเดิมเขามาแล้ว จำไม่ได้หรือ จะพาเจ้าของเดิมเขามาดูทรัพย์สมบัติเก่าของเขา ไม่จำเป็นต้องเอาหนี ถึงแม้ว่าจะวางไว้ข้างหน้าถ้ำ ก็ไม่มีใครเขาหยิบ เพราะพระธุดงค์ขนาดนี้เขาไม่หยิบเงิน ไม่หยิบของไม่สนใจในทรัพย์สิน เสียงนั้นก็สงบไป

    และในที่สุดก็ต้องแหวกเถาวัลย์เข้าไปในถ้ำ ปากถ้ำเล็ก (คำว่า เล็ก ก็หมายความว่าคนเดินลอดได้ มีความกว้างสักไม่ถึง 2 วาดี) แต่เข้าไปข้างในเป็นโพรงใหญ่มาก เป็นถ้ำกว้างมาก เข้าไปดู ทรัพย์สินต่าง ๆ วางเรียงราย สวยสดงดงาม ทองแท่งเล็ก ทองแท่งใหญ่ เงินแท่งเล็ก เงินแท่งใหญ่ และเครื่องประดับเฉพาะทองจริง ๆ ถ้าจะเทียบน้ำหนักก็ไม่ทราบว่าน้ำหนักเท่าไร เพราะมันวางเป็นกำแพง วางเรียงกันเป็นระเบียบ เป็นกำแพงยาวเหยียดเครื่องประดับประดา สวยสดงดงาม เครื่องกษัตริย์ก็มี ก็รวมความว่าไปเจอะทรัพย์สมบัติเก่า

    ก็ถามท่านว่าใครครับ ที่ว่าเคยเป็นเจ้าของท่านหันมาหาอาตมาบอกว่า คุณนั่นแหละเคยเป็นลูกของกษัตริย์เมืองนี้ ถามว่า สมัยไหน ท่านบอก สมัยโพ้นนู้น ตั้งแต่คนไทยยังไม่เข้ามา ไทยชุดใหญ่ยังไม่เข้ามาทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ในระหว่างนั้นเป็นเมืองสรรค์บุรี เขตของเมืองไม่กว้างขวางนัก จากนี่ไปทางด้านทิศใต้ก็เลยเมืองชัยนาทไปถึงเมืองสรรค์บุรี เวลานั้นเมืองชัยนาทก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง เมืองสรรค์บุรีก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง เป็นประเทศ ๆ หนึ่ง แต่ว่าขึ้นกับเมืองนี้ ทางด้านทิศตะวันออกไปก็เลยลพบุรีไปนิดหน่อย ประมาณพระพุทธบาททางด้านทิศเหนือ ก็เลยท่าตะโกไปนิดหน่อย ทางด้านทิศตะวันตก ก็เลยเมืองนครสวรรค์ไปนิดหน่อย เป็นอาณาเขตไม่มาก ก็ถือว่าเป็นเมือง ๆ หนึ่ง เป็นประเทศ ๆ หนึ่ง แต่เป็นประเทศมหาอำนาจ ก็พากันดูทรัพย์สิน ท่านก็บอกว่า ทรัพย์สินอีกจุดหนึ่งของคุณ ยังมีอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่ถ้ำ หลังเมืองชัยนาท แล้วผมจะพาไปดู

    เมื่อชมที่นั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกมาปากถ้ำ ความจริงดูหลายถ้ำ ถ้ำเล็ก ๆ ถ้ำใหญ่มีทรัพย์สินมากมายเหลือเกิน ถ้าพูดอย่างนี้นะ บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืมว่าอำนาจของผีสิ่งใดก็ตามที่เฝ้าไว้ ถ้าผียังไม่ยอมให้ท่านจะไม่พบของนั้น เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้น ถ้าผียอมให้เมื่อไร ก็จะพบของนั้นที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าเวลานี้คนต้องการทรัพย์สินมีมาก บางทีอาจจะลองพิสูจน์แต่ความจริง ถ้าท่านมั่นใจในตัวเองของท่านว่า ท่านพูดกับผีได้ก็เชิญไปพิสูจน์ได้

    หลังจากนั้นเมื่อออกมาจากถ้ำนั้นแล้ว ชมกันพอดี พอควร ก็ประมาณบ่าย 1 โมง ท่านก็พาไปหลังจังหวัดชัยนาท ความจริงถ้าจะเดินกันจริง ๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 1 วัน แต่ว่าท่านพาเดินชมนกชมต้นไม้ไปประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏว่าถึง ถึงถ้ำนั้น (เวลานี้มารู้จักทีหลัง เขาเรียกกันว่า เขาพลอง เวลานี้เป็นวัดอยู่ หรือเป็นสำนักสงฆ์อยู่บนยอดเขาพลอง) ก็พาไปที่ถ้า ๆ หนึ่ง เป็นปากถ้ำเล็ก ๆ และก็มีหินสีขาว ๆ อยู่ก้อน หรือ 2 ก้อน เป็นสัญลักษณ์อีกแถบหนึ่งมีหินวางเรียงรายกัน คล้าย ๆ หินเขามาปะใหม่ แต่เกาะกันแน่น ไม่เรียบร้อยเหมือนที่อื่น ท่านบอกว่า ตรงนี้เป็นปากถ้ำ เวลานั้น กษัตริย์เมืองนั้นก็เอาทองมาเก็บที่นี่ข้างในเป็นถ้ำใหญ่ ก็ถามท่านบอกว่า จะเข้าไปดูได้ไหม ท่านบอก ทางเข้าไปดูมี ไม่ต้องงัดหินเข้าไปหรอก ทางนี้มี

    ท่านก็เดินนำหน้าเข้าไป ปากถ้าก็กว้างประมาณสัก 2 วา เข้าไป ก็เล็กเข้าไปทุกทีเข้าไปหน่อยหนึ่งพบว่ามีน้ำ พอมีน้ำ เข้าไปก็เจอะ งูหงอน งูหงอนนอนอยู่หัวขึ้นดู ท่านก็เรียกว่า ท่านมหานาคา ท่านบอกว่า ลูกชายท่านมาแล้ว อยากจะดูทรัพย์สิน ท่านงูมหานาคาก็หายไปทันที อีกประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏเป็นคน เดินออกมาจากข้างใน บอก นิมนต์ครับใครจะชมอะไรบ้าง ก็เชิญชมตามสบาย ผมเป็นคนเฝ้า ก็เลยแปลกใจถามว่า มหานาคาคือใครครับ ทานบอกว่า มหานาคา เป็นเทวดาของทิศตะวันตก ของท้าววิรูปักข์

    ท้าวมหานาคา คือ กษัตริย์องค์ก่อน เมื่อก่อนที่จะตายก็มีความฝังใจในทรัพย์สินที่ตนเก็บไว้ การเก็บทรัพย์สินนี้เก็บไกลเมืองออกมา เพื่อเป็นการป้องกัน คิดว่า ถ้าข้าศึกเข้ามายึดเมืองทางโน้น ก็ยังมีทรัพย์สินส่วนนี้ไว้ใช้ต่อไป เป็นการป้องกัน เขาไม่แน่ใจว่าจะมีข้าศึกมาโจมตีไหม จึงเก็บไว้ที่นี่เพื่อใช้สอย เผื่อว่าต้องถอยทัพหนีออกมาจากเมืองหลวง อาจจะมายับยั้งตั้งฐานที่นี่ก็ได้ จะได้ใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ไปพลาง ๆ ก่อน ก็มีมากพอสมควร

    เมื่อเข้าไปชมก็พบว่า ทองแท่ง ถ้าคิดเป็นตัน มองดูแล้วคิดว่า เลย 4 ตัน ก็ไม่น้อยเฉพาะทองแท่งใหญ่ ทองแท่งเล็ก ๆ ย่อม ๆ ยังมีอีก สั้น ๆ ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วจริง ๆ ทั้งหมดเกิน 10 ตัน แล้วท่านก็ถามท่านมหานาคา (ทีแรกท่านคุยกับนาค แล้วตอนนี้มาคุยกับคนรูปร่างหน้าตาดี) ท่านถามว่า มหานาคา ท่านจำลูกชายท่านได้ไหม ท่านผู้นั้นก็บอกว่า ท่านจำได้เพราะจำได้จึงมาคอย ปกติไม่ได้อยู่ที่นี่ วันนี้มาคอยอยากจะชี้ให้ดูทรัพย์สินว่า ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อต้องการเมื่อไร มาเอาได้เมื่อนั้น จุดธูปบอกโยมก็แล้วกันเป็นของไม่ยาก ในเมื่อท่านอนุญาตก็ยอมรับว่า ถ้าจำเป็นก็จะมานำไปใช้ แต่ว่าการนำไปใช้ก็เกรงอันตรายจากโจรผู้ร้าย ท่านก็เลยบอกว่า เรื่องโจรผู้ร้ายเป็นของไม่แปลก ในเมื่อการนำไป จะให้ไปทีละน้อย แล้วก็ป้องกันไม่ให้คนเห็น ไม่ให้คนรู้ ไม่ให้คนทราบ สมมติว่าใส่ถุงหรือใส่ไถ้ไป เขาจะมีความเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่ทอง

    นี่เป็นเรื่องของการไปธุดงค์คราวนั้นเป็นอานุภาพของพระ เมื่อคุยกับท่านตามสมควรก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ท่านต้องเฝ้าทรัพย์อยู่ที่นี่หรือ ท่านก็บอกว่า ความจริงน่ะจิตมันห่วง ห่วงกังวลถึงพวกคุณนี่แหละ เกรงว่าจะไม่มีทรัพย์สินเป็นเครื่องกินอยู่กัน ไปเกิดในต่างถิ่นแล้วก็ไม่ทราบว่าทรัพย์สินของตนมีอยู่ แต่ว่ากังวลอย่างอื่นนอกจากนี้ก็ไม่มี ตามปกติแล้วผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมก็อยู่ที่วิมานของผม เป็นวิมานอยู่ในอำนาจของท้าววิรูปักข์ ทางทิศตะวันตก ท่านก็ถามว่าต้องการทรัพย์สินไหม ก็เลยบอกท่านบอกว่า เวลานี้กำลังธุดงค์ เรื่องการต้องการทรัพย์สินไม่มี ต้องการทรัพย์สินเมื่อไร อาบัติก็เกิดเมื่อนั้น นั่นคือ มดแดงจะกัดตายท่านก็ชอบใจ

    แล้วหลวงพ่อปานก็หันไปถามท่านบอกว่า ลูกชายนี่จะมีโอกาสได้ใช้ทรัพย์สินนี้ไหม ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า ถ้าลูกชายผมเชื่อท่าน ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ หรือส่วนอื่น ส่วนโน้นก็ไม่ได้ใช้ ส่วนนี้ก็ไม่ได้ใช้ ถ้าลูกชายผมไม่เชื่อท่าน ถ้าเขาสึกออกไป เขาก็มีสิทธิ์จะได้ใช้ หลวงพ่อปานก็ถามว่า ถ้าเขาสึกออกไป เขาจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ ท่านก็ตอบว่าคนที่สึกมาเป็นฆราวาส คนที่มีความสุขจริง ๆ ไม่มี มีแต่ความทุกข์ หลวงพ่อปานท่านถามว่าอยากจะให้ลูกชายสึก หรือไม่อยากให้ลูกชายสึก

    ท่านก็บอกว่า ผมไม่อยากให้ลูกชายสึกครับ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ผมเป็นมนุษย์มาแล้ว เวลานี้ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเทวดา ก็ยังมีความเหน็ดเหนื่อยต้องมีภาระ เวลานี้พระทั้งหมดที่มานี่ อย่างต่ำก็เป็น พระทรงฌานโลกีย์ และบางท่านก็ทรงฌานโลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้า แต่ผมอยากจะให้ทุกท่านหวังนิพพานมากกว่าผมเองก็เช่นเดียวกัน ผมเองเคยฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระภควันต์ คือ พระพุทธเจ้าสมัยที่ท่านยังทรงพระชนม์อยู่ ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระบรมครูครั้งเดียว ก็เป็นพระโสดาบัน เวลานี้ผมก็เป็นพระโสดาบัน ผมก็ไม่หวังในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในความเป็นมนุษย์ต่อไป ต้องการนิพพานจุดเดียว

    เมื่อคุยกันตามสมควรแล้ว หลวงพ่อปานก็ถามว่า ลูกชายออกเดินทางมาธุดงค์อย่างนี้จะให้การคุ้มครองไหม ท่านก็บอกว่า ต้องให้การคุ้มครองสิครับ ความจริงเมื่อก่อนออกจากวัดผมก็มาด้วย ไม่ได้พบผมเฉพาะที่นี่ผมมาด้วย และก็มากันหลายคน มากันมาก ตามที่ทุกท่านเห็นแล้ว หลวงพ่อปานก็ขอขอบคุณท่าน หลังจากนั้นก็ลาท่านกลับ ท่านบอกว่า ถ้ากลับผมจะไปส่งแล้วท่านก็เดินนำหน้า พอเดินนำหน้าออกมา ปรากฏว่าถึง เขาแหลมหลังตาคลี ท่านก็แวะเข้าไปอีก จุดนั้นท่านบอกว่า ที่เขาแหลมนี่ ทรัพย์จุดหนึ่งของเราก็ยังมีอยู่ที่นี่ เพราะเวลานั้นเราเกรงสงครามมันจะเกิดขึ้น ต้องเอาทรัพย์ ทองคำมาฝังไว้ในที่ต่าง ๆ กัน ออกจากเขาแหลมแล้วก็เดินเรื่อยๆ ไป ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว ก็ถึงถ้ำชอนเดื่อ

    ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท วันแรกที่เข้ามาอยู่เขาชอนเดื่อ (คือวันรุ่งขึ้น) พบกับสิ่งมหัศจรรย์ คือ พระไม่ต้องฉันข้าว แล้วก็ได้พบทรัพย์สมบัติเก่า ๆ ที่ผียืนยันว่า เป็นทรัพย์สมบัติของเราเอง ถ้าถามถึงความรู้สึก ถึงการเห็นทองคำ เห็นเพชรนิลจิลดา เห็นของมีคุณค่ามาก มีความรู้สึกอย่างไร ก็ขอตอบตรง ๆ เวลานั้นใจมันจืด ถ้าพูดถึงรสอาหารแล้วใจมันจืดสนิท เพราะจิตใจกำลังทรงอารมณ์อยู่ในเรื่องของธุดงค์ ไม่มีความรู้สึกอยากได้

    และก็มีความรู้สึกอยู่ตอนหนึ่งว่า เดิมทีเดียว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้เป็นของเรา (คำว่า ของเรา คือ เราเคยครอบครองทรัพย์สมบัติส่วนนี้อยู่) หลังจากนั้นเราก็ตาย ตายไปแล้วนานเท่าไรก็ไม่ทราบ เราจึงมาโผล่ขึ้นที่นี่ แล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่า นี่เป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าหากว่าเราจะปกครองทรัพย์นี่ต่อไปอีก เราก็ตายอีก ความแก่ ความป่วย ความตาย เป็นของปกติ ในเมื่อมันจะต้องตายอีก การมีทรัพย์สินก็ไม่เกิดประโยชน์ ความรู้สึกเวลานั้นก็เฉย ๆ รู้สึกแต่เพียงว่า ก็ดีเหมือนกัน ในสมัยหนึ่ง ในชีวิตของเราที่ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ก็เคยเป็นลูกของกษัตริย์ และจะได้เป็นกษัตริย์กับเขาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ กษัตริย์เมืองเล็ก ๆ ถ้าจะเทียบเวลานี้ก็ประมาณเนื้อที่สัก 1 จังหวัด แต่ภายในเขตเล็ก ๆ ก็ยังมีเมืองขึ้นอยู่ 2-3 เมือง

    ถ้าจะหันไปดูภาพสมัยเก่า มันก็เป็นเมืองย่อม ๆ มีคนไม่มากไม่มายนัก แต่ว่าเวลานั้นทองมาก ที่ทองมีมากเพราะ กษัตริย์เก็บภาษีในการหาทอง และกษัตริย์ก็เกณฑ์ให้ทหารให้ราษฏรเป็นคนร่อนทอง แล้วก็ปันส่วนกับกษัตริย์ กษัตริย์ได้มาก ราษฎรได้น้อย แต่เขาก็มีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างเขาแลกกันด้วยทอง แหล่งทองมีหลายจุด อย่างแหล่งทอง ลพบุรีก็มีแห่งหนึ่ง และแหล่งทองที่ อำเภอท่าตะโก ก็มีอยู่แห่งหนึ่ง แล้วแหล่งทองที่อำเภอสรรค์บุรี ก็มีอีกแหล่งหนึ่ง
    ที่มาhttp://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...รูปเพื่อมอบให้โรงเรียน-เหลือ-91กองบุญ.560840/
     

แชร์หน้านี้

Loading...