หลวงพ่อสด แยกกายมาจากต้นธาตุต้นธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย belives, 29 ตุลาคม 2010.

  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    น่าเสียดายที่คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->upanya<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4027011", true); </SCRIPT> มองโลกมิติเดียว ไม่ได้มองให้รอบด้าน ผมขอถามง่ายๆ นะครับ ถ้าคุณคิดว่าจะสู่กับมหาอำนาจสักประเทศหนึ่ง(ภาคมาร) คุณก็สมัครพรรคพวกแล้วประกาศตนเอง ว่าสักวันหนึ่งจะรบกับเขา แต่...ฉันเองยังไม่รบตอนนี้ ขอสะสมเสบียงและความพร้อมก่อน ถ้าฉันพร้อมแล้วเมื่อไร ฉันจะรบกับมหาอำนาจนั้นแน่นอน

    ดูความคิดเพียงมิติเดียวก็ต้องบอกว่า คนนี้ใจใหญ่ คิดใหญ่ น่านับถือ แต่ถ้ามองตามความเป็นจริง มหาอำนาจที่ไหนเขาจะยอมให้คุณมานั่งสะสมเสบียงสะสมอาวุธไว้ทำลายล้างเขาเล่าครับ เขาก็บ่อนแตกคุณอย่างแยบยลไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเขาโง่ขนาดนั้นเขาคงไม่เป็นมหาอำนาจดอกครับ จะมานั่งมองกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อจะมาสู้กับเขาเฉยๆ หรือ...? เข่าก็ส่งคนของเขาเข้ามาบ่อนแตกความรู้ และอื่นๆ จนหมดสิ้น โดยที่คนกลุ่มนั้นไม่มีทางรู้ตัวเลย เพราะอะไร เพราะแท้จริงคนกลุ่มนั้นไม่ได้ใจใหญ่แบบผู้มีปัญญา แต่ใจใหญ่แบบคนเบาปัญญา เขาก็ได้ช่องตรงนี้มาบ่อนแตกทางวิชชา มาคอยพลิกธาตุธรรม นี่ผมกล่าวตรงพอสมควรแล้ว

    ถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเรามีใจใหญ่ขนาดนั้น คำตอบง่ายๆ ก็คือ ลงมือปฏิบัติทางวิชชาทันที รบเดี๋ยวนั้นเพราะเราเกิดมาพบวิชชาแล้ว ขืนมาถอยหลังนับหนึ่งใหม่ แปลว่าประมาทอย่างยิ่ง ผมไม่ได้ต้องการจับผิดหรือให้ร้าย แต่ผมต้องการให้ได้ข้อคิดแล้วปรังปรุงหรือถอนตัวออกมาจากหลุมพรางนี้ให้ได้ก่อน มหาอำนาจเขารู้เราหมดแล้ว เราต่างหากที่หลงสร้างกระแสลวงตนเอง ถามว่าถึงตอนนั้นเราจะสะสมบารมีเพื่อปราบมารได้ไหม ตอบว่าไม่มีทาง เพราะความจริงธาตุธรรม(ภาคขาว)ท่านให้เราลงมือทำในชาตินี้จึงส่งเราลงมาเกิด ไม่ใช่นั่งรอสะสมบารมีอ่อนๆ เช่นนี้ บารมีที่แก่กล้าก็คือการลงมือทำวิชชา ดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อยไป....


    ท่านจะมองอย่างไร ผมมองว่าถ้าท่านไม่ "หยุด" ในวิธีการแบบเดิมๆ คือระดุมทุนไม่มีที่สิ้นสุด ต่อไปวิชชาธรรมกายจะไม่เหลืออะไรเลย เหมือนที่วิชชาธรรมกายดับสูญไปหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานประมาณ 500 ปีนั่นแหละ

    ถ้ากล่าวว่าสักวันนึ่งเราอาจจะเจอคำตอบว่า ไม่มีอะไรผิด ความจริงท่านไม่รู้เลยหรือว่า อะไรที่ว่าผิด ปัญหามันบานปลายขนาดนี้แล้ว ท่านจะมานั่งสร้างความหวังว่าสักวันหนึ่งคนจะเข้าใจหรือ ในเมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ ผลก็ไม่ต่างจากเหตุดอกครับ ทำไมไม่เอาแบบอย่างหลวงพ่อวัดปากน้ำเล่า ทำวิชชาอย่างเดียว ถึงหมู่คณะจะไม่มีกิน ก็ทำวิชชาไม่เลิก แล้วมันก็มีกินขึ้นมา วิชชาก็เดินหน้าต่อไปไม่ถอยหลังกลับ ถ้ามารอว่าสะสมเสบียงไปก่อน จะได้พร้อมรบวันข้างหน้า นั่นมันคือการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะสมบัติภาคมารเขาพลิกให้เป็นวิบัติได้ โดยเฉพาะเราจับสายผู้ปกครองของเราไม่ถูก ก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง


    เมื่อวิชชาเราไม่ได้เรื่องมาตั้งแต่เริ่มสร้างบารมีภาคปราบ ก็จบกัน ผู้ที่จะสร้างบารมีภาคปราบได้ มีสถานเดียวก็คือ ลงมือทำวิชชาในชาตินี้ ไม่ต้องกลัวอด แล้วเราจะไม่อด แต้ถ้าชาตินี้เจอวิชชาภาคปราบแล้ว กลับถอยหลังลงคลองมานั่งสะสมเสบียงใหม่ ก็แปลว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่รู้ว่าตนควรทำอะไร ไม่ทำตามนโยบายของธาตุธรรมภาคขาว จงดูหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นตัวอย่าง หลวงพ่อลงมือทำวิชชาโดยไม่กลัวอด แล้วก็ไม่มีวันอด เพราะวิชชาที่เข้าถึงนั่นแหละจะช่วยเราได้เอง บารมีของเรามีเพียงพอที่จะทำวิชชาแล้ว ถ้าวิชชาเราถึงก็คือ รบชนะ (เป็นขั้นๆ ไป) ความอดไม่มีแน่นอน จะรอให้ได้เอกราชวันไหน วันนี้พบวิชชาแล้วลงมือทำวิชชา ก็มีสิทธิได้เอกราชวันนี้ ถ้ามาหวังพร้อมชาติหน้า หรือชาติไหนก็ไม่รู้ มารมันก็หลอกให้เราเวียนตายเวียนเกิดเพื่อสะสมบารมีอ่อนๆ เอาไว้ให้เขาพลิกสมบัติให้เป็นวิบัติอยู่ร่ำไป เพราะวิชชาความรู้ไม่มี...รักษาสมบัติก็ไม่ได้นั่นเอง....


    อิ่มตัวหรือยังครับ พอหรือยังครับ หยุดหรือยังครับ เงินทอง ทุน เสบียง สมบัติ ลงมือทำวิชชาได้หรือยังครับ ลงมือสอนเบื้องต้นให้แตกฉานได้ผลเต็มที่ได้หรือยังครับ ลงมือสอนวิปัสสนาให้คนเห็นแจ้งพระนิพพานได้หรือยังครับ


    ถ้าได้เดี๋ยวนี้ ผมยินดีเป็นเพื่อนท่าน ยินดีช่วยเหลือท่านทุกเรื่อง ยินดีร่วมกันรื้อสัตว์ขนสัตว์ในชาตินี้ด้วย ผมฝากไปถึงท่านผู้อยู่ในวงในด้วย ผมรอมานานแสนนานเหลือเกินแล้ว วัดนี้สร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ให้ผมรอมานานแล้ว เปลี่ยนสโลแกนมาตลอด อย่าให้พูดเลยบรรยายได้ไม่หมดครับ


    ทั้งหมดที่ผมกล่าวนี้ไม่ได้มุ่งที่ความแตกแยก ไม่ได้มุ่งที่การจับผิด ไม่ได้มุ่งที่การตำหนิ ผมต้องการชี้ขุมทรัพย์ไม่ใช่เพ่งโทษ แต่ผมขอสะกิดแรงนิดนึงเท่านั้นเองนะครับ

    ท่านจะอ่านผ่านๆ แบบลอยลมไปก็ได้ แล้วก็กลับไปสะสมบารมีแบบเดิมๆ โดยความพึงพอใจของท่าน แต่นั่นผมมองว่าไม่ใช่วิถีทางของนักรบเลย....




    รวมพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ http://khunsamatha.com/blog/dhammakaya-C5.html

    ตำราวิชชาธรรมกายทุกหลักสูตร http://www.crystalmind.org/library/index.asp

    เวบวิชชาธรรมกาย http://khunsamatha.com/

    ห้องสนทนาวิชชาธรรมกาย http://forums.212cafe.com/samatha/<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  2. ต้นไม้โพธิ

    ต้นไม้โพธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +85
    เพิ่มเติมครับ

    ลิงค์นี้สำหรับชาวต่างประเทศ Dhamma Center : Home

    มีให้โหลดไฟล์เอกสารและเสียงการต่อวิชชาถึงการทำพระนิพพานให้แจ้งเลยครับ

    ชาวต่างประเทศที่มาฝึกกับวัดหลวงพ่อสดฯ 90 กว่าเปอร์เซนต์ เข้าถึงธรรมกายและสัมผัสพระนิพพานได้

    ทำให้ชาวต่างประเทศรู้จักว่า ออ นี่ธรรมกาย นี่นรกสวรรค์ อดีต กรรม ปฏิจจสมุปบาท (เห็นเองไม่ต้องเขียนเคสสตั้๊ดดี๊) นี่สมถะวิปัสสนาสติปัฏฐาน นี่คือการทำพระนิพพานให้แจ้ง และนี่คืออาสวักขยญาณ ครบสูตรครับ

    ไม่ใช่เพียงแค่การเห็นดวงเห็นกายแล้วโน้มน้าวให้ทำทานเท่านั้น ก็อยากให้เติมเต็มกันนะครับ ไม่ได้ว่าที่ไหนไม่ดีแต่ประการไร เข้าใจกันนะครับ

    เจ้าคุณหลวงป๋าท่านเสียสละเวลาสอนเองอย่างใกล้ชิด ส่วนพระฟรั่งผู้ช่วยฝ่ายต่างประเทศรูปปัจจุบัน ประวัตินั้นอดีตท่านเป็น อ.ดร.จากมหาวิทยาลัยที่ usa ครับ ดังนั้นที่นี่สอนอย่างจริงๆจังๆและเปี่ยมด้วยภูมิทั้งทางโลกและทางธรรมและหลักวิชชา

    .........................

    ที่นำมาโพสต์แค่นำเสนอเพื่อประโยชน์แก่การเผยแผ่วิชชาธรรมกาย ไม่ใช่เจตนาอื่นๆ

    เรื่องเงินทุนวัดนี้เรื่อยๆไม่หนักมาก เรื่องงานสอนก็สอนกันเหนื่อยอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ได้มีเจตนาจะมาโปรโมทอะไรเกินจริงนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2010
  3. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    คติที่ ๑๓ ประกอบเหตุสังเกตผล สนใจเถิดประเสริฐนัก


    ประกอบเหตุ สังเกตผล
    สนใจเถิด ประเสริฐนัก


    สืบมาจากผลแห่งการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อเข้าถึงวิชาธรรมกายระดับไหน เราก็ไม่รู้กับท่าน แต่เราเรียนตามหลวงพ่อมา หลวงพ่อสอนศิษย์ของท่านว่า “ประกอบเหตุ สังเกตผล สนใจเถิด ประเสริฐนัก”

    เป็นข้อความสั้น แต่ยาก และเป็นยาหม้อใหญ่ เป็นเรื่องครอบจักรวาล


    *** ความหมายเบื้องต้นอันเป็นความหมายทั่วไป ***

    คือเรื่องเหตุกับเรื่องผล สรุปแล้ว หากประกอบเหตุดี ก็ย่อมได้รับผลดี ประกอบเหตุอย่างไรได้รับผลอย่างนั้น นี่คือความหมายที่เราเข้าใจทั่วๆ ไป


    เช่น คนทำโจรกรรมต้องได้รับโทษ เหตุคือโจรกรรม ผลคือรับโทษ คราวนี้เราค้นเหตุให้ละเอียดเข้าไป ทำไมต้องทำโจรกรรม เพราะโลภะเป็นเหตุ ทำไมโลภะครอบงำเขาได้ เพราะใจของเขาสกปรก ทำไมใจของเขาสกปรก เพราะเขาไม่ทำใจให้ใสตามคำสอนขององค์พระศาสดา

    ตามที่กล่าวนี้ จะเห็นว่า เหตุและผลมีความหมายละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ


    *** ความหมายในทางธรรม ***

    จับความมาแต่ “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ” พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุเกิดและเหตุดับแห่งธรรมเหล่านั้น


    คำว่า “เหตุ” ที่กล่าวนี้ เป็นของละเอียด มองด้วยตาไม่เห็น ต้องมองโดยรู้ญาณของกายธรรม เหตุที่ว่านี้ กิเลสเขาทำไว้ในใจ จิต วิญญาณ ของสัตว์โลก การที่สัตว์โลกต้องทุกข์ร้อนกันอยู่ เป็นเพราะเหตุละเอียดที่ว่านี้ พระบรมศาสดาสอนให้เราไปดับเหตุเหล่านั้น


    ในการค้นคว้าหาเหตุทางวิชาธรรมกาย ตามที่หลวงพ่อท่านสอนนั้น เหตุมันอยู่ลึก คืออยู่ละเอียดเข้าไป ไม่มีประมาณ ท่านสอนให้เดินวิชาธรรมกายไปให้ถึง เพื่อดับเหตุเหล่านั้น หากดับเหตุที่ทำให้เราเกิดทุกข์ได้และเหตุที่เกิดสมุทัยได้ เป็นผลให้นิโรธและมรรคของเรามีกำลัง คือเราจะได้รับความสุข ท่านจึงสอนว่า “ประกอบในเหตุ สังเกตในผล สนใจเข้าเถิด ประเสริฐดีนัก”


    แต่โดยที่ “เหตุ” มีความละเอียดเข้าไปไม่มีประมาณนี้เอง ท่านให้เราเดินวิชาธรรมกายละเอียดเข้าไป ละเอียดในละเอียดเข้าไป เพื่อดับเหตุที่ว่านั้น แล้วท่านก็สอนว่า “ประกอบที่ในเหตุ สังเกตดูในผล สนใจหนักเข้าเถิด ประเสริฐดียิ่งนัก”


    คำว่า “ประกอบเหตุ” หมายถึงการเดินวิชาธรรมกาย เพื่อสืบรู้สืบญาณไปหาเหตุ วิธีเดินวิชาธรรมกายมีอย่างไร เราต้องเรียน เพราะเป็นความรู้โดยเฉพาะ ทั้งระดับเบื้องต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง ตำราว่าด้วยวิชาธรรมกาย จัดพิมพ์ออกสู่ตลาดไปมากแล้ว เชิญติดตามเพื่อศึกษาได้ที่นี่ http://www.crystalmind.org/library/index.asp


    เรื่องของเหตุ คือเรื่องใหญ่ คือเรื่องครอบจักรวาล คือเรื่องของกรุวิชาพิชัยสงคราม หากท่านสนใจเดินวิชาแล้ว จะเห็นว่า มารเขาสร้างเหตุปกครองสัตว์โลกไว้มาก ขอให้ท่านเรียนตั้งแต่หลักสูตรเบื้องต้น จนถึงหลักสูตรชั้นสูง ท่านจะพบว่า มารเขาสร้างเหตุปกครองทั้งหมด ไม่ว่าอะไรมารปกครองทั้งนั้น เราต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้แก้ไข การที่หลวงพ่อสอนว่า “ประกอบเหตุ สังเกตผล สนใจเถิด ประเสริฐนัก” นี่คือสอนตำราพิชัยสงครามแก่เราแล้ว เราจะเรียนวิชาธรรมกายกันเล็กน้อยไม่ได้แล้ว ขอให้ทุ่มเท บากบั่น อุทิศ เรียนกันให้สุดยอดไปเลย หากท่านสนใจจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะเป็นเพื่อนในทางวิชาให้แก่ท่าน ขอให้ติดต่อไปได้


    หากท่านเรียนเพียงเล็กน้อย ถือว่าประมาท


    คติธรรม คตินิยม

    *******************************************************************
    ข้อมูลจาก หนังสือคติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิต ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
     
  4. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    สาธุ สาธุ สาธุ

    น้อมรับทั้งหมดครับ ผม

    มุมมองไม่เหมือนกันครับสำหรับตรงนี้ แต่ไม่เป็นไร

    คงมีสักวันที่ได้ร่วมงานกันครับ
     
  5. belives

    belives เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +234
    ใครจะด่าจะว่าช่างเขาเถิด

    ผู้ประเสริฐทำใจไม่หวั่นไหว

    ทำใจหยุดใจนิ่งมันเรื่อยไป

    วันหนึ่งไซร้จะได้เข้าถึงธรรม
     
  6. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    วิธีสอบรู้และวิธีสอบญาณ


    วันหนึ่ง ๆ ท่านต้องทำวิชา ๑๘ กาย ทั้งอนุโลม และปฏิโลม อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง อย่างมากไม่มีกำหนด ยิ่งทำได้มาก ยิ่งดีมาก เพราะดวงธรรมจะใสยิ่งขึ้น กายสะอาดยิ่งขึ้น

    แต่ถ้าท่านเกียจคร้าน นาน ๆ จึงเดินวิชา ๑๘ กายหนหนึ่ง หรือว่านึกขึ้นได้ ก็ทำ ถ้าเป็นอย่างนี้ ธรรมจะเลือนลาง และดับในที่สุด นับว่าเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของเรา ท่านหมดที่พึ่งทางใจ ท่านไม่มีที่พึ่งแล้ว

    ดังนั้น จึงขอให้ท่านขยัน เพื่อรักษาสมบัติอันล้ำค่า คือ รักษาธรรมกายของท่านอย่าให้มัว

    บางวัน ท่านมี “รู้” และเกิด “ญาณทัสสนะ”

    เห็นพระพุทธเจ้า เห็นหลวงพ่อวัดปากน้ำ เห็นกายทิพย์ หรือเห็นญาติของท่านที่ตายไปแล้ว

    ท่าน “อย่าเพิ่งเชื่อ”

    ต้องสอบรู้และสอบญาณกันก่อน

    เพราะมารมันจำแลงให้เห็นได้ทั้งนั้น มันจะทำเหมือนใคร อย่างไร เขาทำได้ทั้งนั้น

    วิธีสอบก็คือ

    ๑.) ให้ท่านส่งใจธรรมกายของท่าน หยุดนิ่งกลางดวงธรรมในท้องของกายที่ท่านเห็นนั้น จรดใจกลางดวงธรรม ให้จี้และเห็น “กลาง” คือ จุดใสเท่าปลายเข็ม จี้แล้วนึกให้จุดใสเท่าปลายเข็มหมุนขวา ท่อง “หมุนขวาในหมุนขวาทับทวี ๆๆๆ”

    จากนั้น ลำดับดวงธรรมไปให้ครบ ๖ ดวง

    ๒.) จี้กลางดวงธรรมที่ ๖ แล้วจะเห็นกายทิพย์หยาบของเขา

    ตามวิธีการในข้อ ๑ และลำดับดวงธรรมต่อไป จนถึงธรรมกายที่ละเอียดที่สุด คือ ถึงธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด

    ๓.) ถ้าดวงธรรมใสทั้งหมด และกายขาวและใสทั้งหมด แปลว่า เป็นของจริง

    และถ้าดวงธรรมไม่ขาวใส กายไม่ใสไม่ขาว แปลว่า เป็นของปลอม เนื่องจากมารจำแลงมา เจตนาให้ “ญาณ” ของเราผิด

    ขณะที่เดินวิชาไปตามวิธีในข้อ ๑ นั้น กายของเขาได้หายไปเฉย ๆ แสดงว่า มารเขาจำแลงมาหลอก เป็นของปลอม เชื่อไม่ได้

    ๔.) ขณะที่ท่านทำวิชาตรวจสอบ ตามวิธีการตามข้อ ๑ นั้น พึงสังเกตว่า กายของผู้ที่เราจะตรวจนั้น สะท้อนเข้ามาอยู่ในท้องของเราก็มี และไม่สะท้อนเข้ามาก็มี

    ถ้าเป็นของจริง มักสะท้อนเข้ามา และถ้าเป็นของหลอกหรือของปลอม มักไม่สะท้อนเข้ามา

    ๕.) กรณีที่ได้ยินธรรมกายพูด หรือเข้าอายตนะนิพพาน เพื่อทูลถามวิชา จำหลักไว้ว่า

    (ก.) ใจของเราจรดถูกจุดใสเท่าปลายเข็ม ซึ่งอยู่กลางดวงธรรมของพระองค์

    (ข.) ได้ยินตรงจุดใสเท่าปลายเข็ม

    (ค.) ได้ยินขณะที่ใจหยุด ใจอย่าส่าย อย่าไหว อย่ารัว

    (ง.) ได้ยินตรงขาว ตรงใส ตรงสว่าง

    (จ.) ได้ยินในขณะที่ทำวิชาดับหยาบไปหาละเอียด

    (ฉ.) ได้ยินขณะเข้ากลาง คือ จี้ตรงจุดใสเท่าปลายเข็มเรื่อยไป

    ถ้าเป็นไปตามเกณฑ์นี้ ถือว่า “ถูก” หากไม่เป็นไปตามหลักที่ว่านี้ ถือว่า “ผิด” เพราะมารสอดเข้าไปได้

    ดังนั้น จึงขอให้จำวิธีตรวจสอบให้ดี

    ส่วนวิธีที่ละเอียดกว่านี้ จะได้ไปเรียนในวิชาระดับสูง ไม่กล้าพูดวิธีละเอียดไว้ เพราะใช้ความรู้หลายอย่าง เกรงว่าจะไม่เข้าใจ จึงไม่ได้กล่าวไว้

    เรื่องนี้เป็นความรู้สำคัญ ใช้ตรวจสอบรู้และญาณของเราว่าจะใช้การได้หรือไม่ ในเบื้องต้นนี้ นำความรู้บทนี้ไปใช้ก่อน ต่อเมื่อโรคมันดื้อยา เราจึงจะใช้ความรู้ชั้นสูง

    ขอท่านได้โปรดติดตามความรู้ระดับสูงต่อไป


    **************************************************************************

    ความรู้จากหนังสือ : คู่มือวิปัสสนาจารย์
    ปราชญ์ขยะ - วิชชาธรรมกายระดับกลาง - วิชชาธรรมกาย : วิธีสอบรู้และวิธีสอบญาณ
    <!--MsgFile=0-->
     
  7. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    หยินหยางแยกสุริยันจันทรากาศ
    เบญจธาตุหลอมรวมดินฟ้าประสาน
    มหาคุณธรรมเสกสร้างจักวาล
    ปัญญาญาณหยั่งได้ด้วยจิตตรี


    ไม่รู้จำมาจากใหน แต่มันเพราะดีคับ
     
  8. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972

    [​IMG]


    รักษ์ร่างพอสร่างร้าย รอดตน
    ยอดเยี่ยม “ธรรมกาย” ผล ผ่องแผ้ว
    เลอเลิศล่วงกุศล ใดอื่น
    เชิญท่านถือเอาแก้ว ก่องหล้า เรืองสกล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2010
  9. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    [​IMG]

    เห็น ใดฤามาตรแม้น ธรรมกาย
    จำ สนิทนิมิตหมาย มั่นแท้
    คิด ทำเถิดหญิงชาย ชูช่วยตนแฮ
    รู้ ยิ่งเบญจขันธ์แท้ แต่ล้วนอนิจจัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2010
  10. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    [​IMG]

    เกิดมา ว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำไม
    สิ่งที่อยากเขาก็หลอก สิ่งที่หยอกเขาก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย
    เลิกอยาก ลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป
    เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้



     
  11. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    [​IMG]

    เท่าที่ทราบแมชีอาจารย์คุมวิชชาที่เป็นหัวหน้าเวรในยุคนั้น มี 6 ท่าน ดูแลผลัดละ 4 ชั่วโมงในการทำวิชชาในโรงงาน ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีหยุดพักเลย รายชื่อมีดังนี้

    1.อาจารย์แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ
    2.อาจารย์แม่ชีถนอม อาสไวย์
    3.อาจารย์แม่ชีญาณี ศิริโวหาร
    4.อาจารย์แมชีชั้น จอมทอง
    5.คุณครูฉลวย สมบัติสุข
    6.คุณครูตรีธา เนียมขำ

    หัวหน้าเวรมีเงินเดือนให้ หลวงพ่อวักปากน้ำตั้งให้ หัวหน้าเวรเดือนละ 300 บาท รองหัวหน้าเวร 150 ลูกเวร 70 หลวงพ่อของเราเลี้ยงได้หมด นี่เป็นครูฝ่ายแม่ชีอุบาสิกา
     
  12. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    คติของหลวงพ่อ "คนจริง ไม่กลัว แต่กลัวคนไม่จริง" เราอ่านแล้ว เราคิดอย่างไร


    หลวงพ่อไม่กลัวคนจริง แต่หลวงพ่อกลัวคนไม่จริง หากเราเข้าใจอย่างนี้ แปลว่าเราเข้าใจตรงกัน แต่ว่าจะตรงกับความหมายของหลวงพ่อหรือเปล่า เรื่องนี้เราต้องพูดกันยาวหน่อย


    คนจริงหมายถึงอะไร และคนไม่จริงหมายถึงอะไร


    คนจริงคือคนที่ทำอะไรทำจริง บากบั่น มั่นคง คนไม่จริงคือ คนที่ไม่ทำอะไรจริง ท้อแท้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หลวงพ่อเป็นคนจริง ทำจริง บากบั่น มั่นคง เมื่อตัดสินใจว่าดีแล้วจึงทำ ทำด้วยความตั้งใจ ไม่ยอมแพ้แก่อุปสรรค ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย


    คนจริงอยู่ที่ใด ขอให้หลั่งไหลมาเถิด ขอให้เราได้สมาคม ขอให้เราได้ใกล้ชิดกัน นี่คือความหมายของคนจริงไม่กลัว


    คนไม่จริงอยู่ที่ใด เราต้องลงทุนให้เขามากมาย หากจะให้การศึกษา ก็ต้องจ้างครูมาก ต้องควบคุมมาก ต้องสอนมาก ต้องปกครองมาก ลงทุนให้ถึงขนาดนี้ ยังเอาดีไม่ได้ เผลอไปนิดเดียวทำความเดือดร้อนให้ คนประเภทนี้น่ากลัวมาก เราไม่มีเวลาให้บริการแก่คนประเภทนี้มากนัก แต่เราก็ต้องพบประเภทนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


    หลวงพ่อพลาดไปแล้ว อย่างไรจึงว่าพลาด เพราะได้ลั่นวาจาไปแล้ว "ภิกษุใดที่ยังไม่มา ขอให้มา เมื่อมาแล้วขอให้อยู่เป็นสุข" บริษัทที่เดินทางมาสู่นั้น มีทั้งคนจริงและคนไม่จริง เพราะไม่ได้มีแต่ภิกษุอย่างเดียว มีทั้งอุบาสกคือศิษย์วัดและอุบาสิกาด้วย หลวงพ่อต้องรับทั้งหมด หลวงพ่อไม่ได้บอกว่าให้มาเฉพาะคนจริง


    เมื่อบริษัทจำนวน ๑,๐๐๐ มาสู่วัดปากน้ำ วัดปากน้ำมีเนื้อที่ดินน้อย หลวงพ่อจะรับผิดชอบอย่างไร ในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อจะต้องรับผิดชอบในทุกเรื่อง จะต้องจัดการศึกษาให้เขาทั้งหมด เป็นละครเรื่องยาวไปแล้ว เอาอย่างนี้ จะอ่านกันให้สนุกต้องไปอ่านหนังสือ"อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ" แล้วจะทราบความละเอียดกว่าที่บรรยายนี้


    บริษัทมาแล้ว ทั้งคนจริงและคนไม่จริง หลวงพ่อก็ต้องให้การอุปการะทั้งหมด เขามามอบชีวิตแก่หลวงพ่อแล้ว เขามาอยู่ในปกครองของหลวงพ่อแล้ว เขามาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อแล้ว ทั้งคนจริงและคนไม่จริง ต่างก็เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อหมดสิทธิ์ที่จะเลือกที่รักมักที่ชังด้วยประการทั้งปวง


    หลวงพ่อท่านไม่ได้ว่าอะไร หลวงพ่อท่านรับผิดชอบทั้งหมด แต่เมื่อทำงานไปแล้ว ได้รู้เห็นแล้ว เกิดประสบการณ์แล้ว หลวงพ่อมีความเห็นว่า "คนจริงไม่กลัว แต่กลัวคนไม่จริง" เพราะคนจริงเราลงทุนน้อย คนไม่จริงเราลงทุนมากนั่นเอง


    ที่ว่าคนจริงลงทุนน้อย ก็คือเรียนจบในเวลาที่กำหนด หลักสูตรเขาให้เรียน ๒ ปี สามารถเรียนจบใน ๒ ปี เราก็จ่ายเงินค่าเรียนเพียง ๒ ปี แต่คนไม่จริงเรียนบ้าง หลักสูตรเขาให้เรียน ๒ ปี แต่เราเรียน ๓-๔ ปี แทนที่เราจะจ่ายค่าเรียน ๒ ปี เราต้องจ่ายถึง ๔ ปี นี่คือค่าลงทุนเฉพาะการเรียน หากมาดูค่าเจ็บไข้ ค่ากินอยู่ ค่าเครื่องนุ่งห่ม และอะไรต่อมิอะไรอีก ยังไม่ทราบว่าอีกเท่าไรต่อเท่าไร ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ใครรับผิดชอบ ผู้รับผิดชอบก็คือกงสีใหญ่ และกงสีใหญ่ก็คือหลวงพ่อ


    การที่หลวงพ่อท่านว่า "คนจริงไม่กลัว แต่กลัวคนไม่จริง" ก็คือลงทุนให้แก่คนจริงนั้น เราลงทุนไม่มาก แต่การลงทุนให้แก่คนไม่จริงนั้น เราเสียค่าใช้จ่ายมากมายเหลือเกิน หลวงพ่อท่านกลัวคนไม่จริง เพราะหลวงพ่อจ่ายมามากต่อมากแล้ว แต่หลวงพ่อก็ยินดีจ่าย เป็นความรับผิดชอบที่หลวงพ่อบ่ายเบี่ยงไม่ได้ เขาเรียก "หลวงพ่อ" เขาใช้คำว่า หลวงพ่อเพียงเท่านี้ หลวงพ่อก็ใจอ่อน ความเป็นพ่อเขา หลวงพ่อสู้จนกว่าจะจบการศึกษากันไปไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันรุ่นแล้ว นับจำนวนไม่ได้แล้ว


    *****************************************************
    ข้อมูลจาก หนังสือคติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิต ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ <!--MsgFile=0-->
     
  13. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    [​IMG]


    วิชชาธรรมกายสอนให้ติด "นิมิต" จริงหรือ?
    http://gotoknow.org/blog/dhammakaya-11/85798


    ก่อนที่จะ กล่าวเหตุผลใดๆ ในหัวข้อกระทู้ ผมขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านผู้อ่านกันก่อนว่า ท่านมีความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ในทิศทางใด
    ถามตัวท่านเองแล้วตอบด้วยความจริงใจออกมาก่อนว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อใน เรื่องเหล่านี้ เราจึงจะพูดคุยกันรู้เรื่องในพื้นฐานของความเห็นที่ตรงกัน


    ๑.ท่านเชื่อหรือไม่ว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ
    (หมายเอาการสืบต่อแบบสันตติ เมื่อจุติจิต(ตาย)มีขึ้น ปฏิสนธิจิต(เกิด)ก็ตามมาโดยไม่มีระหว่างคั่น แม้หลังตายแล้วถ้ายังไม่หมดกิเลสก็ต้องเกิดอีก)

    ๒.ท่านเชื่อหรือไม่ ในเรื่องกฎแห่งกรรม (บุญ-บาป) ที่จะนำสัตว์โลก (หลังตาย) ไปสู่สุคติภูมิ หรือไปสู่ทุคติภูมิ
    (หมายเอาความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม(บุญ-บาป)ที่ส่งไปสู่นรก-สวรรค์)

    ๓.ท่านเชื่อหรือไม่ ในเรื่องภพภูมิต่างๆ อันเป็นสถานที่รองรับการเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าสัตว์โลกนั้นๆ จะพ้นทุกข์หมดกิเลส
    (หมายเอาความเชื่อเรื่องภพภูมิอันได้แก่ กามภพ(สวรรค์ โลก นรก) รูปภพ(พรหม) อรูปภพ(อรูปพรหม)

    ๔.ท่าน เชื่อหรือไม่ เรื่องวัฏฏสงสารอันยาวนานไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลายอันสัตว์ผู้ยังติดอยู่ใน กิเลส ตัณหา อุปาทาน ยังต้องท่องเที่ยวไปตลอดไม่มีสิ้นสุด
    (หมายเอาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารแบบสันตติ)

    ๕.ท่าน เชื่อหรือไม่ ว่าผู้บำเพ็ญสมาธิภาวนาสามารถมีอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ ละลึกชาติของตนและคนอื่นได้ แสดงฤทธิ์ทางใจอื่นๆ ได้
    (หมายเอาสมาธิในพระพุทธศาสนาจนถึงขั้นแสดงฤทธิ์ได้)

    ๖.ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าผู้บำเพ็ญสมาธิภาวนาสามารถถอดจิตหรือถอดกายทิพย์ไปท่องเที่ยวยังภพภูมิต่างๆ ได้
    (หมายเอาสมาธิที่สามารถเห็นภพภูมิและกายทิพย์ตลอดจนสัตว์ในภพภูมินั้น ๆ ได้)


    ขอให้ท่านตอบมาก่อนแล้วการพูดคุยของเราจะชัดเจนขึ้น ถ้าความเข้าใจตรงจุดนี้ไม่ตรงกันการพูดคุยในเรื่องอื่นๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะความคิดพื้นฐานของความรู้ไม่ตรงกันแต่แรกแล้ว โปรดตอบก่อนนะครับ

    ถ้าท่านตอบว่า ท่านมีความเชื่อตามนั้น ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องยอมรับว่า คนเราหลังตายแล้วไม่สูญ ยังมี จิต เจตสิก รูป ที่ยังสืบต่อเป็นสันตติให้ไปเกิดยังภพภูมิใหม่ รวมทั้งบุญและบาปที่ติดตามไป ดังนั้น ท่านก็ต้องยอมรับว่าคนเราไม่ใช่มีแค่กายมนุษย์หยาบที่(นั่งอ่านอยู่นี่) เพียงกายเดียว เพราะกายนี้เมื่อเราตายมันก็เน่าเปื่อยผุพังไป กายละเอียดซึ่งอาจจะเรียกว่า กายทิพย์ นั้นรับช่วงสืบต่อหลังตายโดยไม่มีระหว่างคั่นคือเกิดขึ้นทันที ไปอยู่ยังภพภูมิต่างๆ ตามระดับคุณภาพของจิต ที่มีกรรม(บุญ+บาป) คือการกระทำเป็นตัวสนับสนุน

    เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ท่านก็คงไม่ปฏิเสธว่ามีกายในกายที่สืบต่อกรรมคือบุญและบาปของกายมนุษย์ ปัจจุบันนี้รองรับช่วงต่อในสัมปรายภพเบื้องหน้า ฉะนั้นต่อไปก็คือทำอย่างไรเราจะได้พบเห็นกายละเอียดเหล่านี้แม้ในขณะที่เรา ยังมีชีวิตอยู่ อย่าลืมเรื่องที่เราเคยได้ยินกันคือ มีผู้ปฏิบัติจิตภาวนาสมารถถอดเอากายทิพย์ซึ่งเป็นกายละเอียดขณะยังมีชีวิต อยู่ไปท่องเที่ยวยังภพภูมิต่างๆ ได้ เช่นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลายซึ่งก็มีอยู่มากมาย

    ฉะนั้นเรื่องกายในกายจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินความจริงใดๆ สามารถปฏิบัติให้รู้ให้เห็นได้ วิชชาธรรมกายกล่าวถึงกายในกายซึ่งมีเป็นชั้นๆ เข้าไปจึงเป็นไปได้อย่างแน่นอน อยู่แต่ว่าเราจะเข้าถึงไปรู้ไปเห็นเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร และเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่เป็นเพียงรูปนิมิตอย่างที่บางท่านเข้าใจไปเอง แล้ว แต่เป็นเรื่องของกายในกาย หรือกายซ้อนกายที่ทุกคนมีอยู่แล้ว ตรงนี้เราต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อน

    หลวงพ่อวัดปากน้ำโชคดีที่ไปรู้ไปเห็นเรื่องกายในกาย เป็นชั้นๆ เข้าไปถึง 18 กาย จึงได้เข้าถึงกรุวิชชา กายในกายทั้ง ๑๘ กาย มีดังนี้....

    ๑. กายมนุษย์(ที่นั่งอ่านอยู่นี่) ๒. กายฝัน(กายมนุษย์ละเอียด)
    ๓. กายทิพย์หยาบ ๔. กายทิพย์ละเอียด
    ๕. กายพรหมหยาบ ๖. กายพรหมละเอียด
    ๗. กายอรูปพรหมหยาบ ๘. กายอรูปพรหมละเอียด
    ๙. กายธรรมโคตรภูหยาบ ๑๐. กายธรรมโคตรภูละเอียด
    ๑๑. กายธรรมพระโสดาหยาบ ๑๒. กายธรรมพระโสดาละเอียด
    ๑๓. กายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ ๑๔. กายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด
    ๑๕. กายธรรมพระอนาคามีหยาบ ๑๖. กายธรรมพระอนาคามีละเอียด
    ๑๗. กายธรรมพระอรหัตหยาบ ๑๘. กายธรรมพระอรหัตละเอียด

    หลวงพ่อใช้เวลาใครครวญวิชชาอยู่ถึง 8 ปี นั่นคือหลวงพ่อพิจารณาทุกเรื่องจนแน่ใจว่านี่ของจริง ไม่ใช่เรื่องนิมิตแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้หลวงพ่อก็เคยไปเรียนกัมมัฏฐานจากครูบาอาจารย์หลายท่าน ย่อมทราบดีว่าอะไรคือของจริงหรือของหลอก ซึ่งหลวงพ่อปรารถตอนนั่งเข้าที่ ณ วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ว่าถ้าไม่ได้เห็นของจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น เป็นไม่ลุกจากที่ นั่นหมายความว่าความรู้ที่ได้ในครั้งนั้นคือ การเห็นดวงปฐมมรรคและการเห็นเรื่องกายในกาย หลวงพ่อจึงต้องใคร่ครวญพิจารณาเป็นอย่างดีว่าจริงแท้แค่ไหน จนในที่สุดหลวงพ่อตัดสินใจทำวิชชาชั้นสูงที่เรียกว่า ปราบมาร โดยตั้งกองทัพปราบมาร ในวัดปากน้ำ เกณฑ์ผู้ที่ได้ธรรมกายระดับสูงเข้าทำวิชชาที่เรียกว่า "โรงงาน" ทำต่อเนื่องไม่หยุดเลยตลอดเวลา 30 กว่าปี กวดขันกันอย่างนั้นทั้งพระภิกษุและแม่ชีอุบาสิกาและอุบาสก ได้ความรู้ออกมาเป็นตำรา เป็นมรดกธรรม ถึง 4 เล่ม คือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2010
  14. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2010
  15. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ท่านสมถะ นำคำสอนของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มาอธิบายในเว็บ คนในเว็บยากที่จะเข้าใจได้ง่าย ท่านเลยไม่มีใครมาคุยด้วยมากเท่าไร นอกจากกลุ่มลูกศิษย์ด้วยกันเอง คำสอนแบบนี้ คงมีแต่ผู้เข้าถึงพุทธะที่เป็น พุทธภูมิที่จะสามารถรู้เห็นคำสอนนี้เองได้

    คำสอนของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำเป็นธรรมที่ละเอียดมาก ท่านเป็นพระที่ชื่นชมมากอยู่ในใจผู้อธิบายมานาน ผู้ที่สอนได้แบบนี้ คือ พุทธะ ที่เป็น พุทธภูมิเท่านั้น ท่านสอนเรื่องจิต ได้ละเอียดมาก โดยเฉพาะเรื่องมาร ยากที่ พุทธะสาวก แม้เข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณ ก็ยากจะอธิบายคำสอนนี้ได้โดยง่าย คำสอนเหล่านี้ จึงมีเฉพาะในกลุ่มลูกศิษย์ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ที่สนใจ ที่ศึกษากันอยู่

    การอธิบายเรื่องมาร ได้แบบนี้ จัดได้ว่าเป็นผู้มีบารมีมาก ซึ่งหลวงพ่อฤาษี ลิงดำ ท่านเทียบตัวท่านเองกับหลวงพ่อสด ไว้ว่า ไม่เท่า 1 ในล้านของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ


    คำสอน หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ที่ท่านสมถะ ยกมามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้อธิบายขอขยายความคำสอนของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ในคำสอนที่ว่า


    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพุทธรัตนะ ผู้เทศน์รู้จักเกือบ ๕๐ ปี (ตำราไม่มี) โดยการค้นคว้าทางปฏิบัติ
    ดีที่สุด คือ พระพุทธเจ้า แต่อ่อน
    ชั่วที่สุด คือ มาร แข็งกว่าพระพุทธเจ้า
    ผู้เทศน์มารู้ตัวเมื่อบวชแล้ว ว่าต้นธาตุ (คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก ขณะนี้อยู่บนพระนิพพาน) ใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร (ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย) ถ้ามารไม่แพ้ ผู้เทศน์ยอมตายอยู่วัดปากน้ำ

    ขอขยายความคำสอนนี้ กล่าวคือ พระพุทธะเจ้า ที่หลวงพ่อสด ท่านพูดถึง คือ องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ ปัจจุบัน พระนามว่า พระสมณโคดม ท่านบำเพ็ญบารมี แบบปัญญา บารมี จัดได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญ โดยใช้เวลาอันรวดเร็วในการตรัสรู้เป็น องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ เมื่อตรัสรู้แล้วบารมีที่ได้ยังน้อยกว่า พระพุทธะเจ้า ภาคมาร


    ขอเปรียบเทียบ บารมีของ องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ พระมหาโพธิสัตว์ ภาคขาว กับพระพุทธะเจ้า ภาคมาร


    องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ กับ พระมหาโพธิสัตว์ แบบ วิริยะ บารมี มีบารมี มากกว่า พระพุทธะเจ้า ภาคมาร ด้วยเหตุ นี้หลวงพ่อสด จึงสามารถปราบมารได้

    องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ กับ พระมหาโพธิสัตว์ แบบ ศรัทธา บารมี มีบารมี ใกล้เคียงกับ พระพุทธะเจ้า ภาคมาร อาจจะปราบมารหรือไม่ปราบมารขึ้นอยู่กับท่าน

    องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ กับ พระมหาโพธิสัตว์ แบบ ปัญญา บารมี มีบารมี น้อยกว่า พระพุทธะเจ้า ภาคมาร ไม่สามารถปราบมารได้ เรียกว่า ภาคโปรดสัตว์โลก

    ที่นี้จากที่หลายๆท่านเข้าใจผิดๆว่า บำเพ็ญบารมี มาแบบไหน ตรัสรู้เป็น องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ แล้วเหมือนกัน เป็นสิ่งที่เข้าใจผิดอย่างมาก ความแตกต่างของการบำเพ็ญบารมีย่อมให้ผลที่แตกต่างกัน และหากบารมีแตกต่างกันจะให้ผลเท่ากัน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นอกจากเรื่องมารนี้ แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกเป็นจำนวนมากยังไม่ขออธิบายถึง

    อธิบายเรื่องนี้ เพราะถ้าผู้อ่านเข้าใจผิดๆว่า องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ บารมีอ่อน เมื่อเทียบกับมาร ย่อมเกิดอานิสงค์ไม่มีกับผู้อ่านไม่มากก็น้อย จึงอธิบายขยายความเรื่องนี้ให้ทราบ

    ถ้าลูกศิษย์ หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ยกคำสอนนี้ขึ้นมาอธิบาย ควรจะอธิบายด้วยว่า องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ ประเภทใดที่มีบารมีน้อยกว่า มาร หรือองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ พระองค์ใด เพื่อมิให้เกิดอานิสงค์ไม่ดี กับผู้อ่าน หรือไม่ก็ ไม่ต้องยกคำสอนแบบนี้ ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ เพื่อมิให้เกิด อานิสงค์ไม่ดีกับผู้อ่าน

    ขอบคุณครับ
     
  16. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ขอขอบคุณ..คุณทดสอบ1 ที่ได้เสนอความเห็นเข้ามานะครับ


    ซึ่งผมรออยู่แล้วที่จะพูดคุยในประเด็นนี้ เพราะอะไรก็เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านได้สงสัยแล้วก็ยกขึ้นมาสู่การพิจารณากันให้ชัดเจน แต่ผู้อ่านท่านไม่ได้เฉลียวใจผมจึงรออยู่เท่านั้นเอง


    บางสำนักตัดคำเทศน์นี้ออกไปเลยทีเดียว เพราะเกรงว่าจะเกิดการไม่เข้าใจในคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำในประโยคด้านล่างนี้ แล้วเกรงว่าจะเกิดการครหาไปต่างๆ นานา แต่การทำเช่นนั้นหาสมควรไม่ นั่นเป็นเพราะตัวเราเองต่างหากที่ไม่เข้าใจเนื้อหาคำเทศน์ของหลวงพ่อในประเด็นนี้ โปรดอ่านทวนแล้วพิจารณาความในคำเทศน์ทั้งหมดซึ่งผมทำลิงค์ไว้ให้แล้ว...ข่างล่างนี้ตัดเฉพาะส่วนที่ต้องทำความเข้าใจเท่านั้น


    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพุทธรัตนะ ผู้เทศน์รู้จักเกือบ ๕๐ ปี (ตำราไม่มี) โดยการค้นคว้าทางปฏิบัติ
    ดีที่สุด คือ พระพุทธเจ้า แต่อ่อน

    ชั่วที่สุด คือ มาร แข็งกว่าพระพุทธเจ้า
    ผู้เทศน์มารู้ตัวเมื่อบวชแล้ว ว่าต้นธาตุ (คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก ขณะนี้อยู่บนพระนิพพาน) ใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร (ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย) ถ้ามารไม่แพ้ ผู้เทศน์ยอมตายอยู่วัดปากน้ำ

    Untitled Document


    เฉพาะข้อความสีน้ำเงินนี้อธิบายให้ลุ่มลึกไปเป็นลำดับได้ไม่รู้จบ แต่ผมจะขออธิบายเพื่อความเข้าใจตรงกันในเบื้องต้นให้ฟัง ดังนี้...

    ดีที่สุด คือ พระพุทธเจ้า แต่อ่อน
    ชั่วที่สุด คือ มาร แข็งกว่าพระพุทธเจ้า


    ประโยคนี้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่าอย่างไร ความจริงหลวงพ่อท่านต้องการบอกว่า อวิชชาหรือวิชาของธรรมภาคมารเขาปกครองใจสัตว์โลกบังคับให้สัตว์โลกกระทำบาปกรรมต่างๆ นานาได้นั้น แปลว่าฤทธิ์เขามีมากนัก ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงมุ่งสอนให้สัตว์โลกพ้นทุกข์ ต้องการให้สัตว์โลกเข้าถึงมรรคผลนิพพาน แล้วมีผู้เข้ามรรคผลได้กี่มากน้อยเพียงใด...?


    เมื่อเราพิจารณาธรรมทั้ง ๒ ฝ่ายในการปกครองใจของสัตว์โลก กล่าวคือ ธรรมฝ่ายพระพุทธเจ้าที่ต้องการให้สัตว์โลกได้มรรคผลนิพพานเป็นสุขสันติ และธรรมฝ่ายมารที่ต้องการให้สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดทุกข์ร้อนไม่จบสิ้น เราจะได้ความว่าธรรมฝ่ายพระพุทธเจ้าดีที่สุด แต่อ่อน กว่าธรรมฝ่ายมารที่ชั่วที่สุด แต่แข็งกว่า(ธรรม)ของพระพุทธเจ้า เพราะสัตว์โลกประพฤติปฏิบัติตามธรรมฝ่ายมารมากกว่าฝ่ายพระพุทธเจ้านั่นเอง ยังผลให้สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น มีทุกข์ร้อนนานาไม่จบสิ้นซึ่งเป็นฤทธิ์เดชของธรรมภาคมารนั่นเอง


    อ่านคำอธิบายเบื้องต้นเช่นนี้ท่านพอเข้าใจได้บ้างหรือไม่ ว่าธรรมฝ่ายพระพุทธเจ้าซึ่งดีที่สุด แต่อ่อนกว่าธรรมฝ่ายมารในการปกครองใจของสัตว์โลกอย่างไร
    ไม่ต้องดูที่อื่นไกลดูที่ใจของเราผู้อ่านทุกคนนั่นแหละตอนนี้ธรรมภาคใดปกครองใจเราอยู่ล่ะ บางเวลาถ้าเราต้องการทำแต่การบุญการกุศลธรรมภาคพระก็ปกครองใจเราอยู่ บางเวลาเราต้องการทำชั่วเบียดเบียนผู้อื่น อาฆาตมาดร้าย หรือโลภ โกรธ หลง บังเกิดขึ้นธรรมภาคมาร(กิเลส)ก็ปกครองใจเราอยู่ ท่านลองพิจารณาที่ใจของท่านซีว่าธรรมภาคพระพุทธเจ้าหรือธรรมภาคมารที่แข็งกว่ากัน แล้วจงมองดูสัตว์โลกทั้งหลายก็จะได้ความกระจ่างแจ้งขึ้นมาเทียว...


    การมุ่งทำความเข้าใจคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น อยู่ที่ว่าเราปฏิบัติได้ซื่อตรงขนาดไหนด้วย ถ้าเราปฏิบัติไม่ตรงหลักตรงแนวของวิชชาธรรมกาย เราจะได้คำตอบในธรรมหรือคำเทศน์ที่ลุ่มลึกได้หรือ ดังนั้นถ้าเราซื่อตรงในการปฏิบัติวิชชาธรรมกายจริงขออย่าได้ตัดส่วนนี้ออกไปเป็นอันขาด จงเป็นศิษย์ที่ซื่อตรงต่อครูอาจารย์และเข้าใจเข้าถึงธรรมที่ครูอาจารย์แสดงไว้ดีแล้วเถิด...
     
  17. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
  18. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
  19. ดุสิตบุรี

    ดุสิตบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +273
    ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีหน้าที่ของตนต่างกันไปครับ

    โดยส่วนตัวผมไปวัดพระธรรมกายก็จริง แต่ก็ไปวัดปากน้ำภาษีเจริญ ได้ไปกราบสมเด็จฯ วัดปากน้ำ และคุณยายอาจารย์ตรีธา เนียมขำอยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่เห็นท่านจะกล่าวว่าวัดพระธรรมกายไม่ดีแต่อย่างไร

    ถ้าจะว่าวัดพระธรรมกายเป็นทองคำชุบก็คงไม่ใช่นะครับ เพราะที่ผ่านมาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ องค์ปัจจุบันและคุณยายอาจารย์ตรีธา เนียมขำ นากยกสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ ม.ส.จ. ท่านก็ได้เคยไปร่วมงานที่วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี

    โดยเฉพาะสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ท่านได้เมตตาร่วมงานบุญวันคุ้มครองโลกและวันคล้ายวันเกิดพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) ในวันที่ 22 เมษายน ที่วัดพระธรรมกายเป็นประจำทุกปี

    โดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้กล่าวชมเชย ยกย่องหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต่อหน้าคณะพระภิกษุสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา โดยแต่ละประโยค แต่ละคำที่ท่านได้กล่าวเมตตายกย่องหลวงพ่อธัมมชโย ต่างเป็นประโยคที่ท่านเลือกเฟ้นอย่างดีที่สุดออกมาจากใจสว่างของท่านทั้งสิ้นครับ


    ด้านบนกล่างถึงวันคุ้มครองโลกไปแล้ว ผมขอถือโอกาสบอกบุญเชิญชวนผู้มีบุญทุกท่านได้ไปร่วมบุญถวายมหาสังฆทานเป็นมหากุศลใหญ่แด่พระภิกษุสงฆ์หลายหมื่นวัดทั่วประเทศในวันที่ 22 เมษายน 2554 ปีหน้าครับและรับฟังโอวาทท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญและพระสมเด็จ ในมหาเถระสมาคมอีกหลายรูปร่วมกันครับ

    ขอกราบบอกบุญใหญ่ ณ โอกาสนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  20. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ท่านดุสิตบุรีครับ ท่านต้องแยกแยะนะครับ ระหว่างงานสังคมและการปกครองฝ่ายสงฆ์รวมทั้งการปฏิสัมพันธ์กัน นี่คือฉากหน้าที่ใครๆ ในสังคมนี้ต่างรู้ดีว่าเป็นระเบียบอันดีงามของสังคม เมื่อวัดเชิญในฐานะผู้ขอความอนุเคราะห์ ผู้ใหญ่ท่านก็เอ็นดูไปตามสมควร อย่าให้ผมพูดเปิดเผยมากไปกว่านี้เลย เชิญไปแต่ละงานนี่ใส่ซองเท่าไร ผมทราบดีผมรู้จักพระที่รับเชิญไปหลายท่าน และรู้กรรมวิธีที่จะดึงผู้ใหญ่ให้มาสร้างความน่าเชื่อถือให้วัดว่าเขาทำกันอย่างไรดี อันนี้ขอกล่าวแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยก็แล้วกันนะครับ

    แต่นั่น...มันคนละประเด็นกับงานทางวิชชาธรรมกาย ถ้าใช้วิธีนี้มาการันตีความรู้และความสามารถทางการเผยแผ่ความรู้วิชชาธรรมกาย ก็แปลว่าไม่เข้าใจว่าตนขาดสิ่งใดและควรเติมเต็มสิ่งใด ที่กล่าวนั้นเขาเรียกว่าปกป้องตนเองด้วยการยกความดีที่มีอยู่มาปกป้องข้อบกพร่องที่ตนเองควรแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาต่อไป

    ผมหรือใครๆ ไม่ได้ต้องการให้ร้ายหรือทำลายชาววัดคลองสามเลย ทำไมท่านไม่ฟังสิ่งที่เป็นกระแสสังคมที่เขาต้องการเห็นว่าวัดควรแก้ไขตรงจุดใด บ้างล่ะครับ

    เลิกเสียทีเถิดประโยคที่ปกป้องตนเองแบบขาดน้ำหนักที่ว่า "ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีหน้าที่ของตนต่างกันไป" เพราะการอ้างเช่นนี้ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น และไม่จริงเสมอไป เพราะอะไรจึงว่าไม่จริงก็เพราะมันเป็นเพียงข้ออ้าง

    สมมติว่าผมทำสิ่งที่ไม่ตรงหลักตรงเกณฑ์มีคนเขาหวังดีอยากให้แก้ไขตนเองเสียใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์และถูกหลักถูกเกณฑ์อย่างแท้จริง ผมเองก็อาจลุแก่มานะทิฏฐิเห็นว่าที่ทำไปมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่สนใจปรับปรุงแก้ไขอะไร แล้วผมก็อ้างว่า...ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีหน้าที่ของตนต่างกันไป...ถามว่าอะไรที่จะเป็นมาตรฐานชี้ชัดได้ว่าเรามีหน้าที่ต่างกันอย่างไร ยิ่งทางถูกเขามีอย่างนี้ พอเราทำไม่ถูกหลักถูกเกณฑ์แต่กลับไปอ้างอย่างนั้น แล้วปัญหาที่คนอื่นทั้งในแวดวงเดียวกันเขาเห็น และคนภายนอกเขาเห็นว่าไม่ควร ก็ไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุดจากบุคคลผู้มีความขาด-เกินท่านนั้นๆ ท่านจะยกประโยคที่ไม่เข้าได้ด้วยเหตุผลมาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า ไม่ต้องการแก้ไขเพื่อความถูกหลักถูกเกณฑ์ใดๆ อย่างนั้นหรือ...?


    ท่านจะเห็นแก่ความคิดตนหรือจะเห็นแก่ตัวหลักวิชชาธรรมกาย ท่านจะเผยแผ่วิชชาธรรมกายตามแนวทมี่ถูกตรงหรือจะทำตามใจตนปรารถนา ในเมื่อมีผู้หวังดีเขาอยากช่วยแนะนำ ถ้าท่านเห็นว่าไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่ธุระ ก็ขอให้ท่านตะหนักว่า คำว่า "ธรรมกาย" นี้ใครปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรงย่อมได้อานิสงค์ที่ดี ถ้าใครปฏิบัติไม่ตรงไม่ถูก ผลก็ตรงกันข้าม

    วันนี้ท่านทำความยิ่งใหญ่แต่แฝงด้วยการเรี่ยไรมหาศาล แน่นอนทำมานานขนาดนี้แล้ว ก็สามารถจะโยกย้ายตัวปัจจัยไปสู่วัดวาอื่นๆ ได้ แต่ถามว่าวิธีการเช่นนี้ถ้าทำให้น้อยลงจนกระทั่ง ไม่ต้องสนใจทำ แต่หันมาสนใจปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น คือสอนให้คนเข้าถึงธรรมกายให้ถูกต้องและสมกับจำนวนคนที่เข้าวัด ผมว่าตรงนี้จะสมค่าของการลงทุนลงแรงมากนัก

    ผมทราบดีว่าท่านหยุดเรี่ยไรไม่ได้ และไม่มีทางที่จะเลิกคิดโครงการโปรเจกต่างๆ ในงานก่อสร้าง เพราะนี่คือความถนัดของท่าน ท่านถนัดในการเผยแผ่แบบของท่าน แต่นั่นไม่ใช่หลักวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำเท่านั้นเอง

    ผมไม่ต้องการว่ากล่าวกระทบกระทั่งกันเลย แต่ทำไมผมไม่เคยเห็นใครที่มาจากวัดนี้สนใจตัวหลักวิชชาธรรมกายจริงๆ กันสักคน พื้นความรู้ที่ชัดเจนก็ไม่มี แล้วเราจะสะสมเสบียงไปเพื่อให้กำลังแก่ธาตุธรรมฝ่ายอื่นอยู่อีกทำไมล่ะครับ สิ่งใดควรทำก็รีบทำเสียแต่ชาตินี้เถิด...


    ด้วยความปรารถนาดี ความจริงเราน่าจะคุยกันในเรื่องหลักวิชชาธรรมกาย ไม่ใช่มานั่งยกยอและหาคนเชียร์มาสนับสนุนทางสังคมเช่นนี้ มันคนละประเด็นกันเลยนะครับ

    ผมคงหวังมากเกินไป ที่จะเห็นวัดที่คลองสามปรับปรุงวิธีการเผยแผ่งานบุญมาเป็นการเผยแผ่การปฏิบัติธรรมที่เน้นความสมถะ มักหน้อย เรียบง่าย และมุ่งเป้าที่ผลสัมฤทธิ์ทางการฝึกปฏิบัติให้มากและชัดเจนกว่านี้...ทำไมเราไม่พูดภาษาเดียวกันล่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...