หลวงพ่อสอนอสุภกรรมฐาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 10 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    อสุภกรรมฐาน
    คัดลอกจากหนังสือ คู่มือปฎิบัติพระกรรมฐาน
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ff6600 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=1745><TABLE width=510 border=0><TBODY><TR><TD width=504 height=276>
    อสุภกรรมฐาน 10 อย่าง
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>.............อสุภกรรมฐาน ท่านแยกจำแนกไว้เป็น 10 อย่างด้วยกัน คือ
    1.อุทธุมาตกอสุภ คือ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายขึ้น
    บวม พองไปด้วยลม ที่เรียกว่าผีตายขึ้นอืดนั่นเอง

    <TABLE width=512 border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    2. วินิลกอสุภ เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสี
    ขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวที่มีผ้าสีเขียวคลุมไว้ อาศัยที่ร่างกายของผุ้ตาย ส่วนใหญ่ก็
    ปกคลุมด้วยผ้า ฉะนั้น สีเขียวตามร่างกายของผู้ตายจึงมีสีเขียวมาก ท่านจึงเรียกว่า วินีลกะ แปลว่า
    สีเขียว


    <TABLE width=511 border=0><TBODY><TR><TD width=251>
    [​IMG]
    </TD><TD width=250>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    3 . วิปุพพกอสุภ เป็ยซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ
    4. วิฉิททกอสุภ คือ ซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลาง มีกายขาดออกจากกัน


    <TABLE width=516 border=0><TBODY><TR><TD width=254>
    [​IMG]
    </TD><TD width=252>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>5. วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกสัตว์ยื้อแย่งกัดกิน
    6. วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่างๆ กระจัดกระจายมีมือ แขน ขา
    ศีรษะ

    7. หตวิกขิตตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่

    8. โลหิตตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลอกเป็นปกติ
    9. ปุฬุวกอสุภ คือ ซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่

    <TABLE width=511 border=0><TBODY><TR><TD width=252>
    [​IMG]
    </TD><TD width=249>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    10. อัฎฐิกอสุภ คือ ซากศพที่มีแต่กระดูก อสุภกรรมฐานนี้ ท่านพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าได้
    ้พรรนา ไว้ในวิสุทธิมรรครวมเป็นอสุภที่มีอาการ 10 อย่างตามที่กล่าวมาแล้ว


    <TABLE width=514 border=0><TBODY><TR><TD>
    การพิจารณาอสุภ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>..............การพิจารณาอสุภทั้ง 10 อย่างนี้ ท่านสอนให้พิจารณาเพื่อถือเอานิมิตโดยอาการ
    6 อย่าง ดังต่อไปนี้

    1. พิจารณาโดยสี คือให้กำหนดว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนดำหรือคนขาวหรือเป็นร่างกาย
    ของคนที่มีผิวด่างพร้อย คือผิวไม่เกลี้ยงเกลา

    2. พิจารณาโดยเพศ อย่ากำหนดว่า ร่างกายนี้เป็นหญิงหรือชาย พึงพิจารณาว่าซากสพนี้เป็นร่าง
    กายของคนที่มีอายุน้อย มีอายุกลางคน หรือเป็นคนแก่

    3. กำหนดพิจารณาโดยสัณฐาน คือ กำหนดพิจารณาว่า นี่เป็นคอ เป็นศีรษะ เป็นท้อง เป็นเอว
    เป็นขา เป็นเท้า เป็นแขน เป็นมือ ดังนี้เป็นต้น

    4. กำหนดโยทิศ ทิศท่านหมายเอาสองทิศ คือ ทิศเบื้องบน ได้แก่ทางด้านศีรษะ ทิศเบื้องต่ำ ได้แก่
    ทางด้านปลายเท้าของซากศพ ท่านมิได้หมายถึงทิศเหนือทิศใต้ตามที่นิยมกัน ท่านให้สังเกตว่าที่
    เห็นอยู่นั้นเป็นทางศีรษะ หรือด้านปลายเท้า

    5. กำหนดพิจารณาโดยที่ตั้ง ท่านให้พิจารณากำหนดจดจำว่า ซากศพนี้ศีรษะวางอยู่ที่ตรงนี้ มือวาง
    อยู่ตรงนี้ เท้าวางอยู่ตรงนี้ ตัวเราเอง เวาลาที่พิจารณาอสุภนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้

    6 . กำนหนดพิจารณาโดยกำหนดรู้ หมายถึงการกำหนดรู้ว่า ร่างกายสัตว์และมนุษย์นี้ มีอาการ 32
    เ้ี่ป็นที่สุด ไม่มีอะไรสวยสดงดงามจริงตาที่ชาวโลกผู้มัวเมาไปด้วยกิเลสหลงใหลใฝ่ัฝันอยู่
    ความจริงแล้วก็เป็นของน่าเกลียดโสโครก มีกลิ่นเหม็นคุ้งมีสภาพขึ้นอืดพอง มีน้ำเลือด น้ำหนองเต็ม
    ร่างกาย หาอะไรที่จะพอพิสูจน์ได้ว่า น่ารักน่าชมไม่มีเลย สภาพของร่างกายที่พอจะมองเห็นว่าสวย
    สดงดงามพอที่จะอวดได้ก็มีนิดเดียว คือ หนังกำพร้าที่ปกปิด อวัยวะภายในทำให้มองไม่เห็นสิ่ง
    โสโครก คือ น้ำเลือด น้ำหนอง ดี เสลด ไขมัน อุจจาระ ปัสสาวะ ที่ปรากฎอยู่ภายในแต่ ทว่าหนัง
    ักำพร้านั้นใช่ว่า จะสวยสดงดงามจริงเสมอไปก็หาไม่ ถ้าไม่เคยคอยขัดถูแล้ว ไม่นานเท่าใด คือ
    ไม่เกินสองวัน ที่ไม่ ่ได้ อาบน้ำชำระร่างกาย หนังที่สดใสก็กลายเป็นสิ่งโสโครก เหม็นสาบ เหม็น
    สาง ตัวเองก็รัง เกียจตัว เอง เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เอาดีไม่ไ่ด้ พอตายแล้วสิ่งโสโครกใหญ่ร่างกาย ที่เคย
    ผ่องใสก็กลายเป็น ซากศพที่ขึ้น อืดพอง น้ำเหลืองไหลมีกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วบริเวณ คนที่เคยรัก
    กันปานจักกลืน พอสิ้นลม ปราณลงไป ในทันทีก็พลันเกลียดกัน แม้แต่จะเอามือเข้าไป แตะต้องก
    ็ไม่ต้องการ บางรายแม้แต่จะ มองก็ไม่อยาก มอง มีความรังเกียจซากศพ ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่ออยู่รัก
    และหวงแหน จะไปสังคม สมาคมคบหา สมาคม กับใครอื่นไม่ไ่ด้ ทราบเข้าเมื่อไรเป็นมีเรื่อง
    แต่พอตายจากกัน วันเดียวก็มองเห็นคนที่แสนรักกลาย เป็นศัตรูกัน กลัววิญญาณคนตาย จะมา
    หลอกหลอน เกรงคนที่แสนรักจะมาทำอัตราย ความเลวร้ายของสังขาร ร่างกายเป็นอย่างนี้

    ........เมื่อพิจารณากำหนดทราบร่างกายของซากศพทั้งหลายที่พิจารณาเห็นแล้วก็น้อมคิดถึง สิ่งที่
    ตนรัก คือ คนที่รักที่ปราถนา ที่เราเห็นว่าเขาสวยงาม เอาความจริงจากซากอสุภเข้าไปเปรียบเทียบ
    ดู พิจารณาว่าคนที่เรารักแสนรัก ที่เห็นว่าเขาสวยงามนั้น

    ........เขากับซากศพนี้มีอะไรแตกต่างกันบ้าง เดิมซากศพนี้็ก็มีชีวิตเหมือนเขา พูดได้ เดินได้ ทำงาน
    ได้ แสดงความรักได้ เอาอกเอาใจได้ แต่งตัวให้สวยงามได้ ทำอะไรๆได้ทุกอย่างตาที่คนรักของเราทำ
    แต่บัดนี้เขาเป็นอย่างนี้ คนรักของเราก็เป็นอย่างเขา เราจะมานั่งหลอกตนเองว่า เขาสวย เขางาม น่ารัก
    น่าปราถนาอยู่เพื่อเหตุใด แม้แต่ตัวเราเอง สิ่งที่เรามัวเมากาย เมาชีวิต หลงใหลว่า ร่างกายเราสวยสด
    งามวิไล ไม่ว่าอะไรน่ารักน่าชมไปหมด ผิวที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคล เราก็เอาน้ำมาล้าง เอาสบู่มาฟอก
    นำแป้งมาทา เอาน้ำหอมมาพรมแล้วก็เอาผ้าที่เต็มไปด้วยสีมาหุ้มห่อ เอาวัตถุมีสีต่างๆ มาห้อยมาคล้อง
    มองดูคล้ายบ้าหอบฟาง แล้วก้ชมตัวเองว่าสวยสดงดงาม ลืมคิดถึงสภาพความเป้นจริงที่เราเองก็หอบ
    เอาความโสโครกเข้าไว้พอแรง เราเองรู้ว่า ในกายเราสะอาดหรือสกปรก ปากเราที่ชมว่าปากสวย ใน
    ปากเต็มเต็มไปด้วยเสลดน้ำลาย น้ำลายของ เราเองเมื่ออยู่ในปากอมได้ กลืนได้ แต่พอบ้วนออกมา
    แล้ว กลับรังเกียจไม่กล้าแม้แต่จะเอามือแตะ นี่เป็นสิ่งสกปรกที่เรามีหนึ่งละ

    .........ต่อไปอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำเหลือง ที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย พอไหลออกมานอก กายเรา
    ก้รังเกียจทั้งๆ ที่เป้นตัวของเราเอง นี้เป้นสิ่งโสโครกที่เป็นมบัติของเราเองอีก

    ........น้ำเลือด น้ำเหลือง ชองซากศพที่เรามองเห็นนั้น ซากศพนัน้มีสภาพอย่างไร เมื่อตายไปแล้ว
    จาก ความเป้นคนหรือสัตว์ เราเรียกกันว่าผีตาย เขามีสภาพอย่างไร คือตายแล้วมีร้ำเลือด น้ำเหลือง
    หลั่งไหลออกจากร่างกายฉันใด เราแม้ยังไม่ตาย สิ่งเหล่านั้นก็มีครบแล้ว คนที่เราคิดว่าสวยสดงด
    งามตามที่นิยมกัน ก็เต็มไปด้วยความโสดครกที่น่ารังเกียจเหมือนกัน เอาอะไรมาเป็นของน่ารักน่า
    ปราถนา เรารักคนก็มีสภาพเท่ารักศพ ศพนี้น่าเกลียดน่าชังเพียงใด คนรักที่เรารักก็มีสภาพเช่นนั้น
    พยายามพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นติดใจจนกระทั่งเห็นสภาพของผู้ใด ก็ตามที่เขานิยมกันว่า
    น่ารัก น่าชมนั้น เห็นแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นซากศพทันที มีความรังเกียจ สะอิดสะเอียนขึ้นมาทันที
    ทันใด

    .........เห็นคนหรือสัตว์มีสภาพเป็นซากศพไปหมด เต็มไปด้วยความรังเกียจที่จะสัมผัสถูกต้อง
    รังเกียจที่จะคิดว่าน่ารัก น่าเอ้นดู เพราะความสวยสดงดงามเห้นผิวภายนอกมองเห็นภายใน
    คือ เห็นเป็นสภาพถุงน้ำเลือด น้ำหนอง ถุงอุจจาระ ปัสสาวะที่เคลื่อนที่ได้ พูดด้วยสนทนาด้วย
    ก็เห็นสภายผู้ที่พูดจาสนทาด้วย เป็นถุงอุจจาระ ปัสสาวะ และถุงน้ำเลือด น้ำหนองมาพูดคุยด้วย

    .........คิดว่าขณะนี้มีสภาพเป็นถุงน้ำเลือดน้ำหนอง มาสนทนาปราศัยกับเรา ต่อไปเขาก็กลาย
    เป็นซากศพที่มีร่างกายอืดพอง น้ำเหลืองไหล ต่อไปกายก็จะขาดจากกัน เป็นท่อนเล็กน้อยและท่อน
    ใหญ่ สัตว์จะกัดกิน และในทีสุด ก็จะเหลือแต่กระดูกระจัดกระจายไป เขานี่เป็นผีตายชัดๆ เราก็
    เช่นเดียวกัน เขามีสภาพเช่นไร เราก็มีสภาพเช่นั้น กายนี้ล้วนแต่เป็นอนิจจัง หาวามเที่ยงแท้
    แน่นอนไม่ไ่ด้เลย แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สะสมโสโครกแล้ว แต่ถ้าจะยังยืนคู่ฟ้าคู่ดินก็พอที่จะทนรักทน
    ชอบได้บ้าง แต่นี่เปล่าเลยท่านหลงว่าสวยสดงดงามนั้น ก็เป็นสิ่งหลอกลวง เต็มไปด้วยความ
    โสโครกเท่านั้นยังไม่พอ กลับหาความเที่ยงแท้แน่นอนไมไ่ด้อีก ดิ้นรนกลับกลอกทรุดโทรมลงทุก
    วันทุกเวลา เคลื่อนเข้าไปหาความแก่ทุกวันทุกนาที ยิ่งมากวันยิ่งเสื่อมโทรมของร่างกายก็ทวีมาก
    ขึ้น ยิ่งมากวันความเสื่อมโทรมของร่างกายก็ทวีมากขึ้น จากความเป็นเด็กตัวเล็กๆมาเป็นคนหนุ่ม
    คนสาว จากความเ็ป็นคนหนุ่งคนสาวมาเป็นคนแก่

    ..........การเคลื่อนไปนั้นมิใช่เคลื่อนเปล่า ยังนำเอาโรคภัยไข้เจ็บมาทับถมให้ไม่เว้นแต่ละวัน
    ปวดโน่น ปวดนี่ โรคแน่น โรคจุกเสียด ปวดร้าว มีตลอดเวลา อวัยวะที่เคยใช้คล่องแคล่ว
    สมบูรณ์ด้วยกำลัง ก็ง่อนแง่นคลอนแคลนกำลังวังชาหมดไป ทำอะไรไม่ได้สะัดวก หูก็หนัก
    ตาก็ฟาง ได้ยินเห็นอะไรไม่ถนัดเต็มไปด้วยความทุกข์ จะห้ามปรามรักษาด้วยหมอวิเศษ ท่าน
    ใดก็ไม่สามารถจะยับยั้งความเคลื่อนความทรุดโทรม นี้ได้

    ..........ในที่สุดก็พัลงทลายเป็นซากศพที่ชาวโลกรังเกียจอย่างนี้ อัตภาพนี้เป็นสภาพโสโครก
    อย่างนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกขัง ความทุกข์อันเกิดแต่ความเคลื่อนไหวไปหาความ
    เสื่อมอย่างนี้ เเป็นอนัตตา เพราะเราจะบังคับบัญชาควบคุมไม่ให้เคลื่อนไปไมไ่ด้ ต้องเป็นไปตาม
    กฎธรรมดา

    .......... พิจารณาเห็นโทษเห็นทุกข์อันเกิดแต่ร่างกาย เกิดนิพพิทาความเบื่อหนา่ย
    ในร่างกายของตนเองและร่างกายของผู้อื่น เห็นสภาพร่างกายของตนเองและของผู้อื่นเป็นซากศพ
    หมดความพิสมัยรักใคร่ โดยเห็นว่าไม่มีอะไรสวยงาม เห็นเมื่อไรเบื่อหน่ายหมดความพอใจเมื่อนั้น
    เ็ห็นคนมีสภาพเป็นศพทุกขณะที่เห็นอย่างนี้เรียกว่า อสุภกรรมฐานในส่วนของ
    สมถภาวนา

    ...........เห็นร่างกายเป็นซากศพ เบื่อหน่ายในร่างกาย และเห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความ
    ไม่เที่ยง สกปรกโสมมแล้วยังหาความแน่นอนไมไ่ด้อีก เคลื่อนไปหาความแก่ตายทุกวันเวลา ขณะ
    ที่เคลื่อนไปก็เต็มไปด้วยทุกข์ เพราะต้องได้รับทุกข์จากโรค รับทุกข์จากการบริหารร่างกาย มี
    การประกอบการงานเป็นต้น ทุกข์เพราะมีลาภแล้วลาภก็หมดไป มียศแล้ว ยศก็สิ้นไป มีสุขแล้วก็มี
    ทุกข์มาทับถม เดี๋ยวมีคำสรรเสริญมาป้อยอ แต่ก็ไม่นานก็ถูกนินทา เป็นเหตุให้ใจเป็นทุกข์ ทุกข์
    เพราะความเสื่อม โทรมของร่างกายมีอวัยวะทุพพลภาพ หูหนัก ตาฟาง ฟันหัก ร่างกายร่วงโรย
    ความจำเสื่อมล้วนแล้วแต่้เ็ป็นส่วนของความทุกข์ทั้งสั้น

    ..........เห็นร่างกายเป็นทุกข์แล้ว ก็เห็นความดื้อด้านของสังขารร่างกายที่บังคับบัญชาไม่ได้ คือ
    เห็นว่าความเสื่อมโทรมอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็บังคับไม่ไ่ด้ ไม่ต้องการปวดเจ็บเมื่อยล้า แต่มันก็
    จะเ็ป็น ไม่มีใครห้ามได้ ไม่ต้องการให้ระบบประสาทเสื่อมมันก็จะเสื่อม ใครก็ห้ามไม่ได้ ไม่ต้อง
    การตาย มันก็ต้องตาย ไม่มีใครห้ามได้ สิ่งที่ห้ามไม่ไ่ด้นี้ ท่านเรียกว่า อนันตา แปลว่า เป็นสิ่งที่
    ี่เหลือ วิสัยที่จะบังคับ ที่ท่านแปล อนัตตาว่า ไม่ใช่ตัวตนนั่นเอง เพราะถ้าเป็นตัวตนของเรา
    จริแล้ว เราก็บังคับได้ ถ้าบังคับไม่ได้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแน่

    ..........อารมณ์ที่เห็นว่า ร่างกายนอกจากจะโสโครกน่าสะอิดสะเอียดเป็นซากศพแล้ว ยังไม่
    เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายในการทรงสังขารร่างกาย เบื่อที่จะเกิดตอ่ไป เพราะ
    ถ้าเกิดมีร่างกายในภพใด ร่างกายก็จะมี สภาพโสโครกสกปรกเป็นซากศพและไม่เที่ยงเป็นทุกข์
    บังคับบัญชา ไม่ได้อย่างนี้อีก ความเบื่อหน่ายในร่างกายเบื่อการเกิด เป็นนิพพิทาญาณใน
    วิัสสนาญาณ ถ้าท่านคิดใคร่ครวญในรูปสมถะให้เห็นซากศพอยู่เสมอ และใคร่ครวญหากฎ
    ธรรมดาควบคู่กันไป คือ เมื่อกิดความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้ หรือ อารมณ์ที่ไม่พอใจหรือความ
    แ่เฒ่าเข้ารบกวน ท่านวางเฉยเสียไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน โดยคิดว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาเกิดมา
    มันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย มีลาภแล้วลาภมันก็เสื่อมได้ มียศแล้ว ยศมันก็สิ้นได้ มีสุขแล้วทุกข์มันก็
    มีได้ มีคนสรรเสริญแล้วคนนิทาก็มีได้ เกิดแล้วก็ต้องตายได้ ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ๆ จนจิตชิน
    ต่ออารมณ์ มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าเป็นปกติ ไม่ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้ ท่านเรียกว่า
    สังขารุเปกขาญาณ ในวิปัสสนาญาณ เป็นคุณธรรมที่ใกล้ ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว
    หมั่นคิดนึกไปเสมอๆ ถึงร่างกายที่มี สภาพเป็นซากศพ ร่างกายที่ีไม่มีอะไรแน่นอนจนจิตคิด
    เป็นปกติว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มี ในร่างกาย ร่างกายไม่มีเรา
    ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย มีจิตใจศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตว่างจากกรรม
    ชั่วครู่ คือ
    รักษาศีล 5 ได้เป็นปกติ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ คือใคร่ครวญ
    ปราถนาแต่พระนิพพานไม่ต้องการความเกิดต่อไปอีก อย่างนี่ท่านว่า ทรงคุณได้ในระดับ
    พระโสดาบัน

    .........ฉะนั้น ขอให้นักปฎิบัติที่ปฎิบัติในอสุภกรรมฐาน จงอุตส่าห์พยายามกำหนดพิจารณาให้
    ขึ้นใจจนได้ปฎิภาคนิมิตในที่สุด แล้วรักษานิมิตนั้ไว้อย่าให้เสื่อม ต่อไปก็ยกเอานิมิตนั้นขึ้นสู่
    อารมณ์วิปัสสนาญาณ ท่านจะเข้าถึงมรรคนิพพานในไม่ช้าเลย การพิจารณาอย่างนี้ เรียกว่า
    พิจารณากำหนดรู้





    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...