หลวงพ่อเล่าเรื่องนางจิญจมานวิกา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]



    สำหรับตอนนี้ ก่อนที่ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ได้อ่านและได้ฟังเรื่องราวของจิญจมาณวิกา ตอนนี้เป็นตอนของ จิญจมาณวิกา แต่ทว่า ขอท่านทั้งหลายได้โปรดทราบข่าว ซึ่งมีข่าวจากหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่มีชื่อว่า รายสัปดาห์ภาพยนตร์บันเทิงปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๖๗๒ วันพุธที่ ๑๓-๒๐ หน้า ๑๖ ตอนที่ลงข่าวว่าอย่างนี้
    บรรดาสานุศิษย์ หรือพระสุธรรมยานเถร จะสะดุดใจบ้างไหมที่ ภัสสร บุญยเกียรติ ได้ชื่อว่าเป็น ลูกศิษย์ก้นกุฏิ ชนิดเข้าในออกนอกได้โดยแทบไม่ต้องนัดหมายเวลา นี่ตามข่าวเขาว่าอย่างนี้นะ ทั้งนี้ขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ภัสสร บุญยเกียรติ เธอไม่ได้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ หรือว่าศิษย์ประจำเลย ถ้าจะว่าไป เป็นศิษย์หน้ากุฏิก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะว่า ตามปกติก็ไม่ได้พบหน้าเธอเป็นปี ๆ และก็เธอไม่ได้รับอนุญาตให้พบตามความต้องการของเธอเป็นพิเศษ ข่าวที่ลงไปนั้นเห็นว่า คาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ให้ข่าวหรือผู้ได้ข่าวมา อาจจะได้ข่าวมาจากสถานที่ผิดพลาดจากความเป็นจริงมาแล้ว
    ฉะนั้น จึงขอประกาศให้ทราบว่า ภัสสร บุญยเกียรติ ที่เธออ้างว่า เป็นศิษย์ก้นกุฏิหรือบางทีเธออาจจะไม่ได้พูด แต่อาจจะมีบางคนพูดแทนก็ได้ อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน และสามารถเข้านอกออกในได้ โดยไม่ต้องนัดหมายเวลา ข้อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะภัสสร บุญยเกียรติ ไม่เคยอยู่ที่วัดท่าซุง และไม่เคยเป็นศิษย์ใกล้ชิด แม้จะเป็นศิษย์หน้ากุฏิคือแบบที่ญาติโยมพุทธบริษัทมาก็ตาม เธอก็ไม่เคยปรากฏกาย เพราะว่า บรรดาศิษย์หน้ากุฏิทั้งหลาย เมื่อมาตอนกลางวัน ก็พากันถวายสังฆทานบ้าง ฟังธรรมบ้าง เจริญกรรมฐานบ้าง กลางคืนก็อยู่เจริญกรรมฐาน อันนี้ศิษย์หน้ากุฏิ แต่ว่าภัสสร บุญยเกียรติ เธอไม่ได้ปฏิบัติตามนี้ จึงขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าข่าวที่กล่าวมานั้น คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงขอทุกคนรับทราบตามนี้ด้วย
    ต่อนี้ไปก็มาคุยกันถึง เรื่องความเป็นมาของ จุไรกับป้าน้อย และท้าวมหาราชทั้งสองเป็นอันว่า จุไรเมื่อลาจากท่านเทวดามัฏฐกุณฑลีเทพบุตรแล้วแทนที่จะกลับลงมาสู่ร่างกายเดิม ก็หันไปหาท่านปู่ใหม่ เข้าไปกราบท่านปู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หลังจากนั้น ก็กราบถามท่านปู่ว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นสมเด็จพระบรมครูได้สัมผัสกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีสตรีบางคน บางคณะอ้างเหตุว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยได้เสียกับตนมีไหม
    เพราะว่าในสมัยปัจจุบัน ปรากฏว่า ข่าวประเภทนี้มีมากประเดี๋ยวก็ลือกันว่า พระองค์นั้นคบผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้คบพระองค์นั้น ได้เสียติดต่อกันบ้างอยู่ร่วมรักกันบ้าง อะไรอย่างนี้ เป็นต้น แต่ไป ๆ มา ๆ การสอบสวนจริง ๆ ก็ไม่มีผล เพราะพระองค์นั้นไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น ก็ไม่ทราบว่า ข่าวมีได้อย่างไร อย่างนี้ ท่านปู่เจ้าคะจะถือว่า เป็นกฎของกรรมอะไร กรรมของพระองค์นั้น หรือว่ากรรมของบุคคลผู้ให้ข่าว
    ท่านปู่ฟังหลานสาวแล้วก็ยิ้ม แล้วตอบว่า หลานรัก เรื่องนี้มีทุกสมัย ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็มี คืออย่าง พระสุนทรสมุทร ก็ถูกหญิงแพศยาประเล้าประโลม ให้เป็นสามีของเธอ เป็นอันว่า เขาแสดงตัวอย่าง พระอนุรุทธ ก็ถูกแม่หม้ายเกี้ยว ต้องการให้เป็นผัวอย่างนั้น เขาเป็นตัวเป็นตนจริง ๆ คือว่า ท่านทั้งหลาย อย่างพระสุนทรสมุทร ท่านยังไม่ได้อรหันต์ ท่านพิจารณาคำของหญิงแพศยาแล้วก็สลดใจ ในที่สุดก็เป็นอรหันต์เวลานั้นเหาะหนีไป สำหรับพระอนุรุทธ ท่านเป็นอรหันต์แล้ว เกี้ยวอย่างไรก็ไม่มีผล
    ทีนี้มาต่อเรื่ององค์สมเด็จพระทศพล คือ องค์พระพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วก็มีลูกศิษย์ลูกหามาก การสอนของพระองค์ไม่หักล้างใคร ใครเขาดี ก็ว่าดี ใครเขาไม่ดีก็เฉยไว้ มีขันติอดทน และมีอุเปกขา วางเฉย แต่ในฐานะที่องค์สมเด็จพระทศพลสอนมีผลจริง ๆ บรรดาพุทธบริษัททั้งชาย ทั้งหญิง ภิกษุ สามเณร ภิกษุณี บรรลุมรรคผลกันมา ในเมื่อเขาเห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสอนได้ผลตามนั้น คนส่วนมากก็มีความเคารพในพระองค์
    ตอนนี้ละหลานรักเป็นเหตุให้บรรดาพวกเดียรถีย์ทั้งหลาย ขาดลาภสักการะ ก็เกิดอารมณ์อิจฉาริษยาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำทุกอย่างให้พระพุทธเจ้าเสื่อมจากความดี และก็มาในตอนหนึ่งเขาก็จ้างสตรีคนหนึ่ง มีนามว่า จิญจมาณวิกา จิญจมาณวิกา นี่เป็นสาวกของบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลาย คำว่า สาวก คือ ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ของบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้น เธอก็แนะนำพร้อมทั้งค่าจ้างว่า ตอนกลางคืนจงเข้าไปนอนในวัด
    คำว่า วิหาร ก็คือ วัดในขอบเขตวิหารพระสมณโคดม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปนอนกับพระสมณโคดม ไปนอนกับท่านไม่ได้แน่นี่ พระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตามไม่สามารถไปนอนกับท่านได้แน่ เพราะพระทุกองค์ที่บวชเข้ามาหวังมรรค หวังผล ให้ไปนอนในเขตวิหารของพระทศพลเฉย ๆ ตอนเช้าก็ออกมา เขตวิหาร ก็คือ เขตวัดมันกว้างขวางใหญ่โต พระวิหารเวลานั้นจุพระ ๕๐๐ องค์บ้าง ๑,๐๐๐ องค์บ้าง ๑๐,๐๐๐ องค์บ้าง เขตท่านกว้างขวางมาก จะนอนที่ตรงไหนก็ได้ เธอก็ไปนอนอาจจะนอนกับโยมชี หรือคุณชีทั้งหลายอยู่ในนั้นบ้าง หรืออุบาสิกาก็ตามเถอะ ไปนอนแล้วพอตอนเช้าก็ออกมาจากเขตวัด ใครเขาถามเข้า เธอก็ประกาศว่า เมื่อคืนนี้ฉันไปนอนกับพระสมณโคดม เวลานี้พระสมณโคดมกับฉันน่ะ เป็นผัวเป็นเมียกัน ได้เสียเป็นผัวเป็นเมียกันมานานแล้ว เธอก็ทำอย่างนั้นเรื่อย ๆ
    ถ้าหลานจะถามว่า องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือ พระพุทธเจ้าทรงทราบไหม ก็ต้องตอบว่า พระพุทธเจ้าทราบ แต่ที่ทรงนิ่งอยู่ก็เพราะว่าเหตุยังไม่ปรากฏ ยังไม่มีโจทก์มาร้อง ต่อมานาน ๆ เข้าบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะลือขนาดไหนก็ตาม เขาลือกันว่า สำหรับพวกของเดียรถีย์นะ บางทีก็บอกว่า พระสมณโคดมเป็นผัวของนางจิญจมาณวิกา นางจิญจมาณวิกาเข้าไปนอนในวิหารทุกคืน
    แต่ความจริง หลานรักวิหารของพระพุทธเจ้า การจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าเองเป็นของแสนยาก ก็เหมือนหลวงปู่ของเอ็งนั่นแหละ หลวงปู่ของเอ็งก็ตามทีเถอะ การเข้าหาน่ะแสนยาก เพราะเวลาที่ท่านพักอยู่ ต้องผ่านด่านถึง ๓ ชั้น ต้องผ่านด่านพระถึง ๓ ชั้น ถึงจะเข้าไปได้ เวลารับแขกของท่านจริง ๆ ก็มีเวลา บ่ายโมง แล้วเลิกบ่าย ๓ โมง นอกจากนั้นแล้ว ท่านไม่รับใครทั้งหมด แม้แต่ลูกศิษย์เองจะเข้าไปหา ก็แสนลำบาก ต้องขออนุญาตกันก่อน ต้องใช้โทรศัพท์ภายในขออนุญาตเข้าไป จึงจะอนุมัติให้เห็นควรจะให้เข้า ก็ให้เข้า แต่ว่าตามปกติแล้ว เวลานอกจากเวลารับแขกก็ไม่มีพระองค์ใดเข้าไปหาท่าน นอกจากท่านจะเรียก
    ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าหนักยิ่งกว่านี้กว่าจะผ่านด่านไปถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ได้น่ะแสนยาก ฉะนั้น จิญจมาณวิกา จึงไม่มีโอกาสเข้าไปใกล้องค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าเขาก็พยายามออกข่าว เมื่อออกข่าวนานเท่าไรก็ตามทีก็ปรากฏว่าไม่มีผล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกคนมีเหตุมีผล ในเมื่อเขามีเหตุมีผล เห็นว่าเขาเข้าไปใกล้สถานที่พระพุทธเจ้า เขาไม่เคยเห็นจิญจมาณวิกา ก็เป็นอันว่า เขาก็เชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจอมอรหันต์ เขายังบูชากันอยู่
    ในเมื่อบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายเห็นว่า สมเด็จพระบรมครูยังไม่เสื่อมจากการนับถือของคนทั้งหลาย ก็ตั้งป้อมใหม่เอาให้หนัก จึงทำไม้กลึงกลม ๆ คล้าย ๆ กับท้อง แปะกับท้องแล้ว ท้องนูน ๆ เหมือนกับคนท้อง แล้วก็ทุบมือ ทุบเท้าของนางจิญจมาณวิกา ให้บวม ๆ ทำทีเหมือนว่า นางจิญจมาณวิกาท้องกับพระสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า
    ต่อมาในวันหนึ่ง ในเมื่อกิจการของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วปรับปรุงกันดีแล้ว มองดูแล้ว ตรวจดูแล้ว เอาไม้เข้าไปผูกข้างในท้องเอาผ้าคลุม นุ่งผ้าทับ เห็นว่าท้องนูน ๆ ดีแล้ว แล้วคล้าย ๆ กับคนท้องแก่ใกล้จะออก ผิวพรรณเนื้อหนังก็ตึง เต่งตั่ง เหมือนกับคนท้องแก่ วันนั้นปรากฏว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ นางจิญจมาณวิกาก็เข้าไปใกล้องค์สมเด็จพระบรมครู เพราะกำลังเทศน์ คนก็นั่งเงียบสงัด เขาเข้าไปใกล้ แต่ใกล้ไม่ชิดนัก เป็นแต่เพียงว่า ห่างกันประมาณสัก ๔-๕ วา เธอก็ร้องตะโกนว่า พระสมณโคดมจ๋า จะมานั่งหน้านวลเทศน์อยู่ทำไม เวลานี้ฉันมีท้องมีไส้ ใกล้จะออกแล้ว ทำไมถึงไม่ไปตัดฟืน ตัดตอง เพื่อเป็นการอยู่ไฟของฉัน ลูกมันจะออก ฉันจะอยู่ไฟ เธอกล่าวพอจบ
    บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มีความเคารพรักในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กำลังเทศน์อยู่ เขาฟังเทศน์อยู่ เห็นว่านางจิญจมาณวิกา โจมตีสมเด็จพระบรมครูแบบนั้น ก็ลุกขึ้นไล่เอาดินขว้างบ้าง เอาไม้ขว้างบ้าง ถ้าจะถามว่า ทำไมสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรจึงเป็นอย่างนั้น ก็ต้องตอบว่า สาวกขององค์สมเด็จภควันต์ไม่ใช่พระอรหันต์ทุกคน ยังเป็นปุถุชนก็มีมาก เห็นว่า คนที่มีการกลั่นแกล้งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค และกล่าววาจาจ้วงจาบอย่างนั้น เขาก็โมโห
    แต่ว่า ตอนก่อนที่บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นจะขว้าง จะตี จะไล่นางจิญจมาณวิกา เมื่อนางจิญจมาณวิกาบอกว่า พระสมณโคดม จะมานั่งหน้านวลเทศน์อยู่ทำไม เวลานี้ฉันท้อง ฉันไส้ ลูกในท้องก็เป็นลูกของท่าน ทำไมไม่ช่วยกันตัดฟืน ตัดตอง เพื่อการอยู่ไฟ เมื่อกล่าวจบ คนขยับตัวขึ้นจะทำร้ายจิญจมาณวิกา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรางห้ามไว้บอก ช้าก่อน
    แล้วองค์สมเด็จพระชินวรก็ตรัสว่า ภคินิ ดูกรน้องหญิง ถ้อยคำที่เธอพูดทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น เธอกับฉันสองคนเท่านั้น การพูดแบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะทำให้คนฟังงง คิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นสามีของจิญจมาณวิกาจริง ๆ นี่แหละหลานรัก เวลานั้นบรรดาชายและหญิงที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็ลุกขึ้นจะทำร้ายอีกวาระหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามก่อน เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรทรงห้ามคนแล้ว เข้ายับยั้งอยู่ ก็ปู่นี่แหละ ปู่ขอเล่าให้ฟัง นี่ปู่เอง คำว่า ปู่ นี่หมายถึง พระอินทร์
    ท่านบอกว่า จุไรหลานรัก เวลานั้นปู่ทนไม่ไหว เพื่อเป็นการรักษากำลังใจ และประกาศความจริงให้บรรดาพุทธบริษัทชายหญิงรับทราบ ปู่จึงแปลงเป็นหนูตัวเล็ก ๆ คลานเข้าไปในร่มผ้าของจิญจมาณวิกา แล้วก็กัดสายเชือกที่ผูกที่เขาผูกกระดาน หรือผูกไม้ท่อน ที่ทำเป็นท้องให้หล่นลงมา เมื่อความจริงปรากฏ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคตทุกคนก็พากันไล่ขว้างนางจิญจมาณวิกา ขว้างด้วยไม้บ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยก้อนหินบ้าง เวลานั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ห้าม นางจิญจมาณวิกาหลบภัย คือ ความตาย เป็นอันว่า บาปของเธอน่ะ บาปใหญ่มาก วิ่งมาวิ่งไป ความหนักของบาปแผ่นดินทนไม่ไหว ในที่สุด นางจิญจมาณวิกาก็ลงอเวจีมหานรกทั้งเป็น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นี่แหละหลาน สมัยองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ก็มีอย่างนี้เหมือนกัน อย่างหลวงปู่ของหลาน ที่มีคนกล่าวอ้างว่า เป็นศิษย์ก้นกุฏิน่ะมีเยอะ ไม่มีรายสองราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กล่าวอ้างว่า เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ มักจะเป็นคนที่หลวงปู่ของเธอไม่รู้จัก หรืออาจจะเห็นมาบ้าง การกล่าวว่า เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ อาจจะหวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ถือว่า ถ้าเป็นคนใกล้ชิดหลวงปู่ของเธอ เขาอาจจะมีประโยชน์ จากการบอกบุญบ้าง จากชื่อเสียงบ้างอย่างนี้ เป็นต้น
    ก็รวมความว่า เรื่องราวที่ถามมา เรื่องนางจิญจมาณวิกานี่ก็หมดแค่นี้นะ แล้วหลานต้องการอะไร ตอนนี้จุไรฟังเงียบสงัด รู้สึกสลดใจว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ก็ยังมีคนแอบอ้างว่า พระพุทธเจ้าเป็นผัวของเขา พระพุทธเจ้าทำให้เขาท้อง แล้วก็บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายในปัจจุบัน ทำไมจะไม่มีข่าวอย่างนี้ ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า ข่าวมันก็ต้องเป็นข่าว เขาอาจจะหวังดี หรือหวังร้ายอย่างไรก็ได้
    ต่อมาท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก เวลานี้หลานนะ หลวงปู่ของหลานกำลังมีมรสุม คนที่มุ่งร้ายมีหลายกลุ่ม ต้องการทำลายให้เสื่อมเสีย เพราะว่าเป็นคนที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก เขาทำลายให้เสื่อมเสียเพื่อหวังประโยชน์อะไร เรื่องนี้ปู่ก็ไม่ทราบ หรืออาจจะทราบก็บอกไม่ได้ นี่ปู่ไม่ได้หมายความถึงว่า บุคคลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนะ นี่หมายถึงว่า มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ปู่จะเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ วันนั้นปู่ของหลาน คำว่าปู่ของหลาน คือ หลวงปู่ที่วัดท่าซุง ไปในภารกิจที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง ในสถานที่หนึ่ง สถานที่นั้นเป็นที่สำคัญ มีชื่อเสียงมาก เป็นดินแดนที่มีคนเคารพนับถือมาก
    แต่ว่าพอเสร็จภารกิจแล้ว หลวงปู่ของหลานก็เดินทางกลับ กลับมาจวนจะถึงรถ อีกประมาณสัก ๙ วาหรือ ๑๐ วาเศษ ๆ ตอนนี้ก็มีบุคคลคนหนึ่ง เขาเห็นเข้า เขาก็ร้องตะโกนถามว่า เป็นราชพิเศษใช่ไหม หลวงปู่ของเธอท่านก็บอกว่า ท่านแปลกใจ คำว่า ราชพิเศษ ไม่ทราบว่าหมายความว่าอะไร คือว่า ถ้าเลื่อนเป็นชั้นราช เป็นพระราชาคณะชั้นราช แต่ก็ไม่ทราบว่า ทำไมจึงเรียกว่า พิเศษ เขาก็เดินเข้ามาหาใกล้ ๆ เขาก็บอกว่า เวลานี้ คนที่วัดบางนมโคก็ดี คนที่อำเภอบางปลาม้าก็ดี กำลังบ่นถึง ทำไมไม่ไปหาเขา
    หลวงปู่ของเธอก็มองหน้าดูว่า คนคนนี้เคยรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไร วาจาที่กล่าว และการแสดงออกมีอาการคล้ายเพื่อน แต่อายุจริง ๆ เห็นจะอ่อนกว่าหลวงปู่ของเธอมาก จะอ่อนกว่าเดิน ๒๐ ปี หลวงปู่ท่านก็เฉย แล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านนึกในใจว่า เอ๊ะ...อะไร คนคนนี้เราเคยพบที่ไหน เคยชอบพอกันมาตั้งแต่เมื่อไร คิดสงสัยแค่นี้ ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นศัตรู และต่อมาบุคคลนั้นก็มาเดินกระแซะข้างว่า ขอพระองค์ซิ พระที่ติดรถมาน่ะ ขอองค์ซิ ต่อมานกเอี้ยง ซึ่งเดินตามไปด้วย เขาเข้ามากันออกไป เขาบอกว่า หลวงพ่อจะล้ม
    เป็นอันว่า บุคคลที่กล่าวมานี้ ถ้ามองดูเจตนาแล้วคล้ายกับมีเจตนา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นบุคคลกลุ่มหนึ่ง เป็นคนของบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่มีความประสงค์ร้ายต่อหลวงปู่ของเธอ แต่หลวงปู่ของเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามันเป็นกฎของกรรมก็ต้องเป็นเรื่องของกรรม แต่ท่านก็ตัดสินใจแล้วว่า ในสถานที่ใดถ้ามีอันตราย สถานที่นั้นจะไม่ไปอีก ก็รวมความว่าที่ที่นั้นไม่ไปกัน
    จุไรก็ถามว่า การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกจิญจมาณวิกากล่าวร้ายแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่องค์สมเด็จพระภควันต์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อยากจะทราบว่า เป็นกรรมของพระพุทธเจ้าทำไว้แต่ชาติไหน ที่มีการอิจฉาริษยาใครต่อใครเขาไว้ อารมณ์อิจฉาริษยาจึงบังเกิดขึ้น เป็นเหตุให้เดียรถีย์ทั้งหลายก็ดี จิญจมาณวิกาก็ดี มีความเกลียดชังในพระพุทธเจ้า
    ท่านปู่ก็ตอบว่า หลานรักความจริงกรรมอันนี้ ไม่ใช่กรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกรรมของพวกเดียรถีย์ทั้งหลาย และก็เป็นกรรมของจิญจมาณวิกา เพราะอาศัยความโลภเข้าครอบงำจิต เมื่อเห็นว่าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์มีบริษัท มีบริวารมาก มีคนเคารพนับถือมาก ตนเองเสื่อมลาภลงไป ความจริงการบวชของเขา การตั้งสำนักของเขาเป็นการตั้งเพื่อหวังลาภสักการะ หวังยศฐาบรรดาศักดิ์ ในเมื่อลาภเสื่อมลงไป ก็มีความเดือดร้อน
    จิญจมาณวิกาก็หลงเหยื่อ ที่เขาว่า มีกรรม คือ การหลงเหยื่อ กรรม คือ การกระทำ เขาจ้าง เห็นแก่ค่าจ้างรางวัล ปฏิบัติตามนั้น ก็เพราะเขาอยากจะได้ค่าจ้างในที่สุด กรรมของจิญจมาณวิกา เธอก็ต้องลงอเวจีมหานรกทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย สำหรับบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายที่มีความอิจฉาริษยาพระพุทธเจ้าเวลานั้นยังไม่มีโทษ เพราะเหตุผลยังไม่มี ต่อมา เมื่อเขาฆ่าพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระชินสีห์ คือ พระโมคคัลลาน์ ตอนนี้แหละ ถูกจับประหารชีวิตทั้งหมด นี่เป็นกรรมของเขานะ หลานรัก
    จุไรฟังแล้วก็สลดใจก็ถามท่านปู่ว่า ในเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาถูกกล่าวหาอย่างนั้น สมเด็จพระภควันต์ทำอย่างไร กำลังใจของพระองค์ ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเป็นผู้มีอารมณ์สงบแล้ว มีจิตสงบจากกิเลส ความหวั่นไหวไม่มี สิ่งใดที่ไม่เป็นความจริง ท่านก็ไม่สะดุ้ง ก็รวมความว่า พระพุทธเจ้าถูกนินทาฉันใด สาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ก็ถูกกล่าวอ้างนินทาฉันนั้น อันนี้น่าสลดใจ
    ต่อนี้ไป ขอท่านผู้ฟัง ฟังเรื่องราวต่อไปอีกนิดหนึ่ง เพราะเวลาเหลือน้อยจริง ๆ ตอนนี้ก็ให้ชื่อว่า เป็นเรื่องของ สุปปติฏฐิตเทพบุตร ความจริง สุปปติฏฐิตเทพบุตร นี่ ก็เป็นคนที่ไปเกิดเป็นเทวดาได้ประเภทไม่ต้องลงทุนเหมือนกัน นั่นก็หมายความว่า ในสมัยที่เขาเป็นมนุษย์ เขาไม่เคยทำบุญทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าบุญ ว่ากุศล ทานก็ดี ไม่เคยให้ ศีลก็ดี ไม่เคยรักษา ภาวนาก็ไม่เคยทำ แต่สิ่งที่เขาทำประจำก็คือ ทำลายศีลทุกข้อ ศีล ๕ ข้อ คือ ปาณาติบาต เขาหากินปาณาติบาตเป็นอาจิณ วันดีไม่ละ วันพระไม่เว้น ประการที่ ๒ อทินนาทาน มีโอกาสเมื่อไร ขโมยเมื่อนั้น ประการที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจาร มีอารมณ์เมื่อไร ปลอดเมื่อไร ทำเมื่อนั้น ประการที่ ๔ มุสาวาท มีโอกาสเมื่อไร โกหกเมื่อนั้น ข้อที่ ๕ สุราเมรัย มีโอกาสเมื่อไร ดื่มเมื่อนั้น เขาไม่เคยละ
    นอกจากนั้น อารมณ์ของสุปปติฏฐิตเทพบุตรยังมีอารมณ์ร้าย คือ ใครเขาทำบุญทำกุศลที่ไหน มักจะกลั่นแกล้งเขาเช่น เขาฟังเทศน์กัน เขาฟังธรรมะกัน ก็แกล้งไปส่งเสียงกลบ ถ้าเขาทำความดี ทำบุญ ทำกุศลกัน เขาบอกแล้ว เห็นแล้ว แกล้งทำไม่เห็น เขาพูดกันเรื่องธัมมะธัมโม เรื่องบุญเรื่องกุศล ได้ยินแล้ว แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
    ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วทุกอย่าง สุปปติฏฐิตเทพบุตร ทำหมด ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ว่าในเมื่อเขามีการหากินแบบนั้นอาศัยปาณาติบาตเป็นพื้นฐาน และมีอทินนาทานเป็นของควบคู่กัน คือ ทั้งขโมย และทั้งโกงเป็นปัจจัยให้สุปปติฏฐิตเทพบุตรขณะที่เป็นคนมีความร่ำรวยพอสมควร มีฐานะอยู่ในขั้นของอนุเศรษฐี ไอ้กาลเวลามันก็ผ่านไปหลานรัก กฎธรรมดาของคนที่ในโลก มีเหมือนกันหมดเกิดขึ้นแล้วในเบื้องต้นมีความเสื่อมไปทุกวันในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด
    ในที่สุด สุปปติฏฐิตเทพบุตร เวลาที่เป็นคนเวลานั้นก็แก่ลงเหมือนกับคนแก่ทั้งหลาย ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ก็มีการป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกับคนทุกคน และการป่วยไข้ไม่สบายของเขานั้น มันยังไม่ถึงขั้นอับจน ยังไม่ถึงตาย ต่อมาในขั้นสุดท้าย เมื่อสุปปติฏฐิตเทพบุตร แก่มาก ถึงแม้ว่าแก่มา ก็ยังทำปาณาติบาตได้ ทำอทินนาทานได้ ดื่มสุราเมรัยได้ กลั่นแกล้งชาวบ้านเขาได้ ใครเขาฟังธรรมกัน สนทนาธรรมกัน เห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น เขาพูดได้ยินแล้ว แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ส่งเสียงกลบ สิ่งใดที่เป็นบุญ เป็นกุศล ที่เขาเคลื่อนมา แกล้งบังหนาเขา ไม่ต้องการให้เขาเห็นอย่างนี้ เป็นต้น
    เอาละหลานรัก เวลามันหมดแล้ว ขอลาก่อน ประเดี๋ยวคุยกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่หลานรักและน้อย และทุก ๆ ท่านทุกคนที่รับฟัง สวัสดี
    <o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...