หลวงพ่อเล่าให้ฟัง เรื่อง....หลวงตาหวังเทศน์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 23 มิถุนายน 2013.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    หลวงพ่อเล่าให้ฟัง
    เรื่อง....หลวงตาหวังเทศน์
    ( ....พระคุณเจ้าคะ ! ฉันอยากจะทราบว่า เขาลือกันว่าคนที่ทำบาปนี่ เทวดาเขาจดลงในหนังหมา คนทำบุญนี่เทวดาจดไว้ในแผ่นทอง มันเป็นความจริงไหม ? ...)
    เรื่องนี้ปรากฎขึ้นที่ วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วตัวโจ๊กจริง ๆ มีหลายท่านด้วยกัน เกือบทั้งวัด ไม่ใช่หมดวัดนะ เกือบทั้งวัดเพราะไม่ได้ร่วมกันทั้งวัด แต่ส่วนใหญ่จริง ๆ ร่วมมือกัน
    เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ คือว่าตาแก่คนหนึ่งแกชื่อ "หวัง" แล้วก็หลังโกงเสียด้วยหลังโกงจริง ๆ แกเดินไปละก็หัวโก่งไปข้างหน้าหลังงอมาก แกแก่แล้ว แต่ว่าสติปัญญาดีเฉลี่ยวฉลาดพอสมควร มีการคล่องในการงานก็มาขอให้ หลวงพ่อปาน บวชให้ หลวงพ่อปาน เห็นว่าแกไม่รู้หนังสือ แต่ทว่าแกมีความเพียรดี มีความมานะอุตสาหะดี ท่านก็รับเข้ามาบวช บวชแล้วก็สอนธรรมวินัยแต่ละวัน
    สำหรับหนังสือสวดมนต์ เขาเรียกว่า "ต่อหนังสือค่ำ" ให้ท่องจำไปทีละน้อย ๆ ตั้งพระไว้เป็นผู้สอนให้ รู้สึกว่าสติปัญญาดีพอสมควร หมายถึงว่าสอนอะไรไปแล้วไม่ต้องซ้ำ ท่านก็ท่องจำไป วันรุ่งขึ้นมาให้ว่าของเก่าก็ว่าได้แล้วก็ต่อให้ใหม่ตามสมควร
    สมัยก่อนเขาเรียกว่า "ต่อหนังสือค่ำ" หมายความว่าเวลาเย็น ๆ ทำวัตรสวดมนต์แล้วก็ต่อหนังสือสวดมนต์ให้ ให้ท่องจำเลย ไม่ใช่ให้อ่าน อย่างนี้แกทำได้ดี แล้ว หลวงพ่อปาน ท่านก็สอนสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาแบบย่อ ๆ แกก็ทำได้ดี จิตใจดีพอสมควร แกรู้ตัวว่าแกไม่รู้หนังสือแกเลยเกิดความไม่ประมาท
    มาวันหนึ่ง เป็นพรรษาที่ ๒ สำหรับการบวชของแก การสวดมนต์ใน ๗ ตำนาน นี่จำเป็นจะต้องให้ได้หมด เรียกว่าได้คล่องดีแล้ว ก็เลยอยากจะเป็นนักเทศน์ขึ้นมาบ้าง แกก็ไม่ถามชาวบ้านชาวเมืองเขา มีพระอาวุโสท่านหนึ่ง อย่าออกชื่อเลย ท่านเป็นพระสนุก ๆ ใคร ๆ ก็รักท่าน พระองค์นี้อย่าออกชื่อท่านเลยนะ เพราะเรื่องนี้มันไม่ค่อยดีนัก ออกชื่อท่าน ท่านจะพลอยเสียหายไปด้วย
    ไปถามพระองค์นั้นบอกว่า "เวลาเขาเทศน์ ๆ ยังไงขอรับ ?"
    ท่านยิ้ม ๆ รู้แล้วว่า ตาหวัง นี่อยากเทศน์ ท่านก็บอกว่า
    "ไม่เป็นไรหรอก ขึ้นไปเอาหนังสือขึ้นไปมันก็เทศน์ได้เองแหละ "
    ตาหวัง ก็บอกว่า "ผมอ่านหนังสือไม่ออกนี่ขอรับ"
    ท่านก็ตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก ธรรมาสน์มันมีอาถรรพณ์ คนอ่านหนังสือไม่ออก ขึ้นไปมันก็อ่านออกเอง"
    ที่นี้แกคงจะไม่แน่ใจนัก แกก็มาถามอาตมาบ้าง ถามเพื่อน ๆ บ้าง ถามพระอีกหลายองค์ก็ถามเกือบหมดวัด เท่าที่แกจะถามได้ พวกที่ท่านไม่ต้องเกรงใจนัก เรียกว่าเป็นนักคลุกคลีตีโมงมาด้วยกัน บอกเหมือนกัน บอก
    "โอ้โฮ้ ! เรื่องเทศน์นี่มันอัศจารรย์ขอรับหลวงน้าเห็นไหมล่ะ ว่าอยู่กุฎินี่ใครเขาเทศน์กันบ้าง ไม่มีใครเขาเทศน์กัน ไม่มีใครเขาว่าอะไรกันหรอก แต่เวลาขึ้นธรรมมาสน์ เห็นไหมเขาว่ากันเเจ้ว ๆ ไปได้จนจบ"
    แกก็เชื่อ เพราะว่าตามปกติพระที่ขึ้นไปเทศน์เขาจะอ่านหนังสือ จะดูวรรคดูตอน เขาก็ดูกันในใจเงียบ ๆ ก็ไม่ได้ออกเสียง แกก็เลยไม่ได้ยินเสียง เป็นอันว่าแกก็คิดว่า พอขึ้นไปแล้วมันก็เทศน์ได้เอง นี่โดนต้ม ! แล้วก็โดนตุ๋น ! นี่คววามจริงไม่ใช่เจ้าลิงเท่านั้น นอกจากเจ้าลิงก็ร่วมกับเยอะแยะ
    เมื่อเเกมั่นใจแล้ว แกก็บอกว่า "วันพระหน้าที่จะถึงนี้เป็นวันรักษาอุโบสถผมจะลงเทศน์ในกลางคืน"
    พวกเราก็บอก "ดี ! ดีมาก ! โอ้โฮ้ ! การเทศน์นี่เป็นการให้ธรรมเป็นทานเชียวนะหลวงน้านะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า
    "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะทานทั้งปวง เพราะการให้ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นทานนี่แหละ คนเขาจึงได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นพรหมเข้าถึงพระนิพพานได้ ไอ้วัตถุทานนี่เมื่อเราให้แล้วก็แล้วกันไป กินอิ่มแล้วก็แล้วกันไป พอเลิกอิ่มมันก็หิว การให้ธรรมเป็นทานนี่มีอานิสงส์มาก เมื่อคนฟังเขามีอานิสงส์มาก เราผู้ให้ก็มีอานิสงส์มหาศาล"
    แหม......แกยิ้มชอบใจใหญ่ แกก็เลยบอกว่า "ไหน ๆ ผมบวชทั้งทีแล้ว ผมก็จะทำให้มันครบ คือสงเคราะห์ตัวเองด้วย สงเคราะห์ญาติโยมพุทธบริษัทด้วย ไอ้การสงเคราะห์ตัวเองก็ได้แก่การทำวัตรสวดมนต์ เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานทำการงานของวัด นี่เป็นการสงเคราะห์ตนเอง สงเคราะห์ญาติโยมก็ได้แก่การเทศน์สองเป็นธรรมทาน"
    แหม......พวกเราทั้งหมดก็ยกมือกันสลอนโมทนาสาธุ แกก็ปลื้มใจ ยิ่มแป้น ! พอถึงเวลาวันพระ ความจริงเวลานั้นที่ วัดบางนมโค เวลาถึงวันพระ คนมาถืออุโบสถถึง ๒๐๐ คนเศษ ๆ หากเป็นวันพระเข้าพรรษาออกพรรษา ก็ตกวันละ ๓๐๐ - ๔๐๐ คน คนรักษาอุโบสถมาก ถึงแม้จะเป็นตำบลเล็ก ๆ ก็ตาม แต่ว่า หลวงพ่อปาน ท่านปลูกศรัทธาคนได้ดีมาก เวลาวันพระเขาเทศน์ตอนเช้า ๑ กัณฑ์ ตอนบ่ายประมาณ ๓ กัณฑ์ นี่เป็นกัณฑ์ประจำ ญาติโยมพุทธบริษัทเขานิมนต์กันเอง เวลากลางคืน ถ้าไม่มีใครไปเทศน์ก็ต้องมีพระอาวุโสหรือพระผู้มีคุณวุฒิไปนั่งอธิบายธรรมะ คือไปคุยกับโยม ญาติโยมแกจะสงสัยอะไรก็ตอบให้ฟัง
    บางที หลวงพ่อปาน ท่านก็ลงเอง ถ้าหลวงพ่อปาน ไม่ลง หลวงพ่อเล็ก ก็ลง หรือว่า สมภารเย็น ลง ใครว่างใครก็ลง ถ้าพระผู้ใหญ่ไม่ว่าง พระผู้น้อยก็ลง อาตมาเองก็เคยลงเหมือนกัน ลงไปแล้วโดนโยมยันเข้าให้ เรื่องภูมเทวดา ไอ้เรื่องเทศน์ของดไว้ก่อน
    วันหนึ่งอาตมาลงไปเป็นพระอาจารย์ แหม...น่ากลัวจะเป็นจานกระเบื้องนะท่านผู้อ่าน ไม่ใช่จานกะละมัง ไอ้จานกะละมังขว้างเพล้งบางทีกะเทาะ แต่ไม่แตก ทีนี้ไอ้อานกระเบื้องนี่เขวี้ยงเปรี้ยง แตกพอดี ลงไปคุยกับญาติโยม คุยไปคุยกันมา มาตอนดึกจะกลับแล้วห้าทุ่ม โยมคนหนึ่งแกถามว่า
    "พระคุณเจ้าคะ ! ฉันอยากจะทราบว่า เขาลือกันว่าคนที่ทำบาปนี่ เทวดาเขาจดลงในหนังหมา คนทำบุญนี่ เทวดาจดไว้ในแผ่นทอง มันเป็นความจริงไหม ? ”
    อีตอนนี้ความจริงก็เคยได้ยินเขาพูดกันมาเหมือนกัน แต่ว่าการตอบเอาจริงเอาจังกับญาติโยมนี่มันตอบส่งเดชไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องจริงจัง ในเมื่อไม่แน่ใจก็เรียนให้ทราบว่า
    "โยม ! เรื่องนี้ วันพรุ้งนี้อาตมาจะตอบให้ฟัง หรือวันพระหน้าอามาจะมาตอบให้ฟัง"
    แล้วความจริงก็ตั้งใจไว้ว่าวันรุ่งเช้าจะถาม หลวงพ่อปาน ดู ว่าไอ้เรื่องนี้มันเป็นความจริงไม่จริงเพียงใด ครั้นกลับไปถึงกุฎิแล้วก็จุดธูปเทียนบูชาพระ ตั้งใจเจริญพรกรรมฐาน พอจุดธูปเทียนเสร็จ เริ่มนั่งเข้าสมาธิ พอนั่งหลับตาปุ๊บ มีมือส่งมาแค่ศอกยื่นมาข้างหน้าแขนสวยเหลือเกิน มีกระดาษห้อย แล้วมีเสียงพูด เสียงดังฟังชัดว่า
    "นี่แหละขอรับ ! ที่เขาจดคนทำบุญทำบาป เขาใช้กระดาษทิพย์ เขาไม่ได้ใช้หนังหมาหรือว่าแผ่นทองคำ ถ้าจะใช้หนังหมาจดคนทำบาปละก็เทวดาไม่รู้จะไปฆ่าหมาที่ไหนมาพอ เพราะเมืองเทวดาไม่มีหมา ไอ้สัตว์เดรัจฉานนี่ มันมีแต่เฉพาะเมืองมนุษย์เท่านั้น ในเมืองเทวดาเมืองอบายภูมินี่มันไม่มีหรอกครับ มันมีอยู่แดนเดียว คือสัตว์ทั้งหมดที่ตายไปแล้ววิญญาณออกจากร่างก็มีร่างเป็นคน ไม่ใช่มีร่างเป็นสัตว์ อีกประการหนึ่ง ถ้าจะไปหาแผ่นทองคำมาจารึกมันก็ไม่ไหว สำหรับคนมีบุญ ก็ต้องใช้กระดาษทิพย์ ”
    เป็นอันว่าคราวนั้นก็เลยได้ความรู้จากเทวดาแล้ววันหลังญาติโยมมาก็บอกให้ทราบว่า หลังจากกลับไปแล้วกลางคืนพอเริ่มบูชาพระทำสมาธิจิต มีแขนปรากฎ มีภาพหนังสือปรากฎ มีเสียงบอกตามนั้น ญาติโยมก็เข้าใจ
    ทีนี้กลับมาคุยถึงเรื่อง หลวงตาหวัง จะลงเทศน์ พอญาติโยมทำวัตสวดมนต์ในเวลาหัวค่ำเสร็จ หลวงตาหวัง ก็ถือคัมภีร์รุ่มร่าม ๆ ลงมา มีความประสงค์จะไปเทศน์โปรดญาติโยมพุทธบริษัท ทีนี้ท่านหัวหน้าใหญ่เป็นพระอาวุโสหน่อย ไม่ขอออกชื่อ ตีระฆังให้สัญญาณบอกเวลานี้ หลวงตาหวัง ลงแล้ว ตามประเพณีเดิมของ วัดบางนมโค เมื่อพระผู้ใหญ่ลงเทศน์หรือพระผู้น้อยลงเทศน์ก็ตาม พระทั้งหมดควรจะไปฟังเทศน์ด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ญาติโยมพุทธบริษัทเอาเปรียบแต่ผู้เดียว คือรู้แต่ผู้เดียว ถ้าใครมีโอกาสก็ลงไปฟังเทศน์ด้วย นี่เป็นระเบียบ เพราะว่าไม่มีเกณฑ์บังคับ แต่ว่าถ้าเป็นระเบียบแล้วทุกคนพร้อมที่จะปฎิบัติ
    ความจริง หลวงพ่อปาน ท่านมีบุญ ท่านพูดอะไรออกมาแล้ว คนก็ยอมรับฟัง ทำตามด้วยประการทั้งปวง ถือว่าคำปรารภของท่านเป็นคำสั่งอยู่เสมอ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านจึงได้ดีมาก ไอ้ที่ระยำก็มีมากเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนได้ดีก็มักจะเป็นคนต่างถิ่น พวกที่เขามาจากต่างถิ่นนี่เขามาเอาดีกัน สำหรับคนในถิ่นก็ดีเหมือนกัน ส่วนใหญ่บวชแล้วก็สึก อยู่ไม่ค่อยนานนัก
    แล้วก็เรื่องสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานของท่านนี่คนในตำบลไม่ค่อยจะเอาเพราะว่าเขาถือว่าเขาอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ เขาได้อาศัยครูบาอาจารย์ ถ้าเขาตายไปแล้ว ครูบาอาจารย์จะสงเคราะห์เขา เขาอาจจะคิดยังงั้นก็ได้ หรืออีกประการหนึ่งบางทีก็จะมีอาการชินเกินไป นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาปัจจุบันนี่ก็เหมือนกัน สำนักสมถวิปัสสนาที่ไหนก็ตาม คนใกล้ ๆ มักจะไม่ค่อยมองเห็นความสำคัญ คนที่เห็นความสำคัญมักจะเป็นคนที่มาจากแดนไกล
    อย่างสำนักใหญ่ ๆ เช่น วัดปาดน้ำภาษีเจริญ สมัยที่ หลวงพ่อสด ยังอยู่ กว่าคนใกล้ ๆ จะรู้ว่าท่านดีนี่คนคนอื่นเขาเอาไปกินเสียนานแล้ว แล้วในระยะต้น ๆ ไม่มีคนบ้านใกล้สนับสนุน ดีไม่ดีเขาลือกันว่าสมัยที่ท่านไปอยู่ใหม่ ๆ เอาปืนไปยิงข้ามวัดเล่นเสียง่าย ๆ ยังงั้นแหละ วัดนั้นเต็มไปด้วยความโกรงเกรง ๆ ผุแล้วผุอีก จะพังแหล่มิพังแหล่ คนระยะใกล้ ๆ มาเห็นความดีของท่านต่อเมื่อพระมากขึ้นมา วัดมีความเจริญมากแล้ว แต่ก็เห็นความดีภายนอก ความดีภายในไม่ค่อยมีคนจะเอาไปใช้เหมือนกัน นี่เรื่องสมถภาวนา การเจริญพระกรรมฐานมันเป็นเรื่องของธรรมดาจริง ๆ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คนใกล้นี่ใครเขาไม่ค่อยเอาด้วยหรอก มีแต่คนไกลเอาไป
    สำหรับที่ วัดบางนมโค สมัยนั้นก็เหมือนกัน พวกเราเองมาจากที่อื่นเอาดีกันจริง ๆ พวกก็หาว่าบ้าไปเสียเลย ดีไม่ดีก็หาทางก่อกวน หาทางนินทาว่าร้าย เขานินทาข้างหลังไม่พอ เขานินทาข้างหน้า เขาหาว่าบ้า ๆ บอ ๆ ไอ้พวกเรามันก็บ้าจริงตามเขาว่านั้นแหละ เพราะเขานั่งลืมตา เรานั่งหลับตาเสียมันก็บ้า เขาสร้างความเลวกันเราไม่เลวตามเขา เรามันก็บ้า
    รวมความว่า เราเข้าเมืองตาหลิ่ว เราไม่หลิ่วตาตามนี่มันก็บ้า นี่พูดให้ฟัง แล้วก็มานั่งคุยกันต่อไปถึงเรื่อง หลวงตาหวัง จะไปเทศน์
    เมื่อ หลวงตาหวัง ท่านลงไปแล้ว ท่านอาจารย์ผู้ทรงวุฒิมีอาวุโส ไม่ใช่ หลวงพ่อปาน ไม่ใช่ หลวงพ่อเล็ก ไม่ใช่ ท่านสมภารเย็น แล้วก็ไม่ใช่ใคร ไม่บอกชื่อท่านพระอาวุโสผู้ใหญ่เวลานั้นมีหลายท่านด้วยกัน แต่ว่าองค์นี่ท่านสนุกสนาน ชอบเล่นกับพวกเด็ก ๆ ท่านมีอารมณ์ขำ เด็ก ๆ รักท่าน เมื่อตีระฆัง เราก็รู้สัญญาณว่าเวลานี้ หลวงตาหวัง ลงไปศาลาแล้ว พวกเราก็ห่มจีวรพาดสังฆาฎิ เดินลงไปเป็นแถว มีพระอาจารย์ใหญ่นำหน้าลงไปด้วย ไปนั่งฟัง หลวงตาหวัง เทศน์เต็มอาสนสงฆ์หมด
    แหม.....ญาติโยมคืนนั้นรู้สึกมีธรรมปีติมาก เห็นพระลงมาฟังเทศน์ ได้เวลาแล้ว หลวงตาหวัง ก็ขึ้นธรรมาสน์ ตะเกียงก็สว่าง แกก็เปิดหนังสือออกอ่าน อ่านไปอ่านมา ดูไปดูมา ดูมาดูไป มันก็อ่านไม่ออก เพราะไอ้คนไม่เคยเรียนหนังสือมันจะอ่านออกได้ยังไง แต่ว่าคณะที่ลงไปนั้น คณะกลุ่มของ หลวงตาหวัง ทั้งนั้น ที่ลงไปนั่งเป็นแถวน่ะ พระที่ท่านไม่ได้ตุ๋นด้วยท่านไม่ได้ลงไป แกทำท่าอ่านไม่ออก ญาติโยมพุทธบริษัทที่มาก็รู้ทั้งหมดว่า หลวงตาหวัง นี่น่ะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสไม่เคยเรียนหนังสือมาเลย แล้วท่านจะมานั่งเทศน์ได้ยังไง มาอ่านพลิกหน้าพลิกหลัง พลิกหลังพลิกหน้า พลิกไปพลิกมามันก็อ่านไม่ออก
    ญาติโยมก็ชักเริ่มแล้ว เริ่มก้มหน้า ไม่ใช่ร้องไห้ ก้มหน้าหัวเราะ ยิ้มกันไปยิ้มกันมา เอาผ้าอุดปาก พวกเราก็ชักงอไปงอมา แต่ไม่กล้าส่งเสียง
    ทีนี้ หลวงตาหวัง แกดูยังไงแกก็อ่านไม่ออก แกบอก "โยม ! เดี๋ยว ! อ่านไม่ออกแฮะ "
    ตอนนี้ฮาตึงแล้ว
    "โยม ! เดี๋ยว ๆ ลองไปอ่านที่หัวอาสนสงฆ์ บางทีมันจะอ่านออกบ้าง"
    มาที่หัวอาสนสงฆ์ นั้งข้างหน้าเพื่อน อ่านเท่าไรมันก็อ่านไม่ออก ทีนี้ท่านหัวหน้าบอกว่า
    "นี่กราบพระพุทธเสียก่อนซี กราบพระพุทธช่วย (โธ่ ! อยู่ ๆ แกมาถึงเขานิมนต์ขึ้นธรรมาสน์ก็ขึ้นไปเลย) เห็นไหมเล่า คนที่ขึ้นไปเทศน์เขาต้องกราบพระพุทธเสียก่อน พระพุทธท่านช่วยอ่านเองแหละ”
    ยังไปสอนเขาที่ศาลาอีก หลวงตาหวัง ก็เอา กราบ ๆ พระพุทธ ขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์เปิดหนังสืออ่านเท่าไร อ่านไปอ่านมา อ่านยังไงมันก็ไม่ออก แกก็โมโห คิดว่าพวกเราต้มแล้วซิ มองหน้าพวกเราเป็นแถวตั้งแต่ต้นจนปลาย ไอ้พวกนี้เป็นที่ปรึกษาแนะนำให้ขึ้นมาเทศน์ แกก็เลยเทศน์ฉบับพิเศษ เสียงดังลั่นว่า
    "ไอ้.........แม่ ! โครตแม่มึงแกล้งกูนี่หว่า บอกว่าขึ้นธรรมาสน์แล้วจะอ่านออก นี่มันอ่านไม่ออก ไอ้....แม่ ! แกล้งกู"
    พวกเราก็ฮาตึง ชอบใจ เรียกว่าหายปวดท้อง บรรดาญติโยมทั้งหลายก็ฮาตึงไปตาม ๆ กัน เป็นการครื้นเครงแทนที่จะโกรธ แกลงมาที่หน้าอาสนสงฆ์แกยังด่าอีก แล้วแกก็เดินกลับชี้หน้าไปทุกคนด่าหมด พวกเราก็ยิ้มชอบใจแทนที่จะโกรธ จะโกรธทำไม แผนการของเรามันสำเร็จผลนี่ เพราะอะไร เพราะแกอยากทรชน คือเทศน์ไม่เป็นแล้วก็อยากจะเทศน์ ก็เลยดัดสันดานเสียด้วยวิธีนั้น
    แต่ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้นเช้า หลวงพ่อปาน สั่งตีระฆังประชุม พูดถึงเรื่อง หลวงตาหวัง ลงมาเทศน์ ท่านบอกว่า
    "มันเป็นการไม่สมควร การทำแบบนั้นทำให้พระเสียกำลังใจ ทำให้ญาติโยมพุทธบริษัทเสียกำลังใจ"
    พูดไปพูดมาก็บอก "มันไม่มีใครหรอกวะ ไอ้ที่มายุ หลวงตาหวัง ขึ้นธรรมาสน์น่ะ"
    ชี้ดะไปเลย ชี้มาตรงหน้าแป๊ะทุกรายเลย ถามว่า “ จริงไหม ?"
    ทุกองค์ก็พนมมือบอกว่า "ขอรับ"
    ถามว่า "ทำไมจึงทำยังงั้น ?"
    คนอื่นเขาก็เงียบเสียง เจ้าลิงดำพูดตัวเดียวบอกว่า "หลวงตาหวัง แกไม่เจียมตัวขอรับ แกรู้แล้วว่าแกอ่านหนังสือไม่ออก ก็ยังจะไปเทศน์ ถ้าจะไปห้ามแกก็จะหาว่ากันลาภสักการะของแก กันความดีของแก ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้ละก็แกจะยับยั้งตัวเองได้ยังไง ?"
    หลวงพ่อปาน ก็ยิ้มละไม บอก "เออ.....ดี ! ดีแล้ว รู้จักการฝึกพระให้รู้จักประมาณตนของตนเอง"
    ท่านก็เลยหันไปหา หลวงตาหวัง บอก "หลวงตาหวัง ทีหลังจำไว้นะ สิ่งใดถ้ามันเกินวิสัยของเรา เราอย่าไปทำมันเข้า ไอ้ที่เขาทำแบบนี้น่ะ เขาไม่ได้แกล้งเรานะ เขาสอนเรา ฟังได้ยินไหมล่ะ เขาบอกว่าถ้าเตือนแบบธรรมดา ๆ ก็เกรงว่าคุณน่ะจะไม่รับฟังเขา คุณจะหาว่าเขากลั่นเขาเเกล้งกัดกันลาภสักการะกันความดี นี่เขาสั่งสอนคุณ จำไว้นะ ทีหลังจงอย่าทะเยอทะยานอย่างนี้อีก"
    นิทานเรื่องนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ เพราะมันจบ ไม่รู้จะพูดอะไร สวัสดี *
    (เพราะการให้ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นทานนี่แหละ คนเขาจึงได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นพรหม เข้าถึงพระนิพพานได้ ไอ้วัตถุทานนี่เมื่อเราให้แล้วก็แล้วกันไป กินอิ่มแล้วก็แล้วกันไป พอเลิกอิ่มมันก็หิว การให้ธรรมเป็นทานนี่มีอานิสงส์มาก เมื่อคนฟังเขามีอานิสงส์มาก เราผู้ให้ก็มีอานิสงส์มหาศาล)
    แสงสว่างนี้ นำมาจาก
    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha3.html
    กราบ หลวงพ่อ เจ้าคะ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...