หัวใจของพระพุทธศาสนา.... ความแตกต่างกับศาสนาอื่น ๆ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 4 ธันวาคม 2005.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    .....................................................................................

    มัน ก็เป็น ฉะนี้ แล....

    อ่าน ก็ไม่ได้อ่าน....
    เมื่อไม่ได้อ่าน แล้วทำไม กล่าวหา ว่า สร้าง เรตติ้ง เสียอีก ละนี่

    ก็ดีเหมือนกัน.. ทำให้เห็นชัด ๆ พวกเรา(ผมด้วย) ที่เป็น"คน"

    ก็เป็น เช่นนี้เอง

    ช่างมัน.. ช่างมัน..

    ....................................................................................

    จาก ชื่อกระทู้ และโพสลำดับที่ 1 (วัตถุประสงค์)

    หัวใจของพระพุทธศาสนา.... ความแตกต่างกับศาสนาอื่น ๆ

    หากมีชาวต่างชาติ ที่มีความสนใจที่จะศึกษา พระพุทธศาสนา....

    1. หากเขาถามว่า ข้อแตกต่าง(ที่ดี ๆ กว่า) ของพระพุทธศานา กับ ศาสนาอื่น ....
    (เราจะตอบเขาว่า อย่างไร....)

    2. หากเขาถามว่า.... แล้ว "หัวใจ" ของพระพุทธศาสนา คือ อะไร....
    (เราจะตอบว่า อย่างไรดี เขาจึงจะเข้าใจ ได้ดี....)

    วันนี้ ผมเป็นคนต่างชาติ(ที่แล้ว)....

    ช่วย ๆกันตอบ อย่างสร้างสรร เพื่อความเข้าใจของมวลมนุษยชาติ....
    เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อการเผยแผ่ธรรม สู่ชาวโลก....
    ที่จะได้เข้าใจ ในพระพุทธศาสนา....

    ...................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2008
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ....................................................................................

    คุณไปอ่านที่โพสไหนครับ
    ที่ว่า เราไป ข่ม ว่า ศาสนาอื่น ๆ เขาด้อยกว่า เนี่ย

    ทำไม ต้องมีเลข 1 เลข 2 เลข 3
    ทำไม ไม่มีเลขตัวเดียว ให้เสมอกันไป

    ทำไม ต้องมี บารมีต้น อุปบารมี(กลาง) ปรมัตถบารมี
    ทำไม ไม่เท่ากันไปทั้งหมด เลยละครับ

    ทำไม ต้องมีเงินเดือน 5,000 บ้าง 50,000 บ้าง 500,000 บ้าง
    ทำไม ไม่มีเงินเดือน เพียง 1,000 บาท ทุก ๆ คน เสมอกันไป

    ทุกศาสนา ก็เท่ากัน
    ไปในทางเดียวกัน

    เหมือนกัน เลย หรือครับ

    ...................................................................................

    ที่เปิดกระทู้ เปิดประเด็น มา..
    ก็เพื่อหา ข้อเปรียบเทียบ ในข้อที่ดี ๆ กว่า

    เพื่อสร้างความมั่นใจ ในการปฏิบัติ
    เพื่อการเข้าถึง ธรรมอันละเมียดยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    เมื่อ ทุกอย่าง มันเท่ากันแล้ว ก็ขอจบครับ
    จะไปพูดอะไรกันอีก เพราะว่า เสมอกัน เท่ากัน เหมือนกัน ไปแล้ว

    เอวัง.

    ..................................................................................
     
  3. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    ศาสนาไหนก้สอนให้คนเป็นคนดีนะ
     
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
  5. JesStar

    JesStar สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ดีกว่าที่ ทุกสิ่ง และทุกอย่าง มีเหตุผลที่มา และทุกคนต้องปฏิบัติด้วยตนเอง จึงจะพบกับความสุขได้

    หัวใจหลักคือ ความจริงของโลกครับ
     
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ลองนั่งตรอง นั่งคิดดูแล้ว....

    พวกเราทุกคน ทุกคณะฯ
    ต่างคน ต่างฝ่าย ต่างคณะฯ ก็เพียรสร้าง
    สะสมบุญ ในทาน
    รักษาศีล เร่งราศี
    หนุนบารมี ในเจริญภาวนา

    เพื่อเร่งรัด เพื่อยกตนเอง ให้พ้นวิสัยในโลภ โกรธ และหลง
    สู่แดนอนันตบรมสุข คือ พระนิพพาน ตามบุญบารมีแห่งตนเอง

    ลองคิดดูว่า....

    1. ในเมื่อทุกคนก็ทราบว่า พวกเรากำลังเดินทางเข้าสู่ ความเป็นธรรมดาของ ความตาย ในที่สุด.. ทุก ๆ วินาที ทุก ๆ ลมหายใจ ต่างก็เร่งใกล้สู่ความตาย กันทั้งนั้น.. ข้อนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องพื้นฐาน ใช่ไหม....

    2. จะมีสักกี่คน ที่สามารถรู้ว่า วินาที หรือลมหายใจที่เข้า หรือออก สุดท้ายนั้น
    จะเกิดขึ้นแก่เรา เมื่อใด วันไหน เดือนอะไร ปีเมื่อไร ชั่วโมงไหน นาทีที่เท่าไร
    และวินาทีไหนกันแน่ ที่เราจะต้องขาดลมหายใจไป ในที่สุด

    3. พระพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสว่า....

    "..จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา”
    ถ้าก่อนตาย จิตเศร้าหมอง ก็มีทางไปสู่อบายภูมิ มีสัตว์นรก เปรต อสุรกายสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
    <O:p</O:p
    "..จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา”
    ถ้าก่อนตาย จิตผ่องใส ก็ไปสุคติ อันมี สวรรค์ พรหม หรือ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจในขณะนั้น

    4. แล้วใครล่ะ.. ที่จะกำหนดได้ว่า....
    ในขณะที่หายใจ เฮือกสุดท้าย นั้น....
    จิต ของเราคิดถึงในเรื่องดี หรือเลว
    กำลังโกรธ เกลียด รัก หึงหวง ห่วงในสมบัตินานา อยู่หรือเปล่า
    อย่างนี้ ใครจะบังคับอารมณ์ ของจิตใจของเราได้....

    5. องค์หลวงพ่อฯ ท่านก็แนะนำไว้ ในทำนองว่า....
    "..จิต มันมีสภาพจำ" หากเราติดอยู่ในความดี ติดในบุญ ทาน ศีล ภาวนา
    พยายามบังคับจิต บังคับใจตนเอง ให้อยู่ในฝ่ายดี.. ความเลวที่มี ที่เคยทำ
    องค์หลวงพ่อฯ ท่านก็บอกว่า อย่าตามติดคิดถึง ให้ทำอารมณ์ลืมมันไปให้หมด
    เรียกว่า ไม่คบกับความเลวที่ผ่านมา ให้ติดอยู่กับความดีในทาน ศีล ภาวนา

    6. ท่านผู้ทรงมโนฯ สามารถก้าวเข้าสู่สวรรค์ พรหม พระนิพพาน ได้เป็นปกติ
    ถึงจะไปได้ไม่นานนัก องค์หลวงพ่อฯ ก็บอกว่า ให้ไปบ่อย ๆ
    เมื่อมีเวลาว่าง เพียง 5 นาที 10 นาที ก็พยายามไปเสมอ ๆ
    ทำให้จิตมีสภาพจำ.. เมื่อจะถึงเวลาที่จะละสังขารจริง ๆ
    สิ่งที่เราพบในมโนฯ เห็นโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกพรหม ดินแดนพระนิพพาน
    ก็จะเป็น "ปัญญา" สอนเราได้ดี ว่าดินแดนที่มีความสุขที่สุด อยู่ที่ไหน
    เมื่อ จิต มีความสุข จิตจำที่เป็นความสุขเสมอ ๆ ทำให้เบื่อการเกิด เบื่อสังขาร
    มองเห็นทุกข์ วางทุกข์ เสียได้ ความยึดติด ถือมั่น ก็ไม่มี
    อย่างนี้ วาระสุดท้าย จะไปที่ไหนได้ ไปไหนก็ไม่ได้แล้ว จิตมันวางหมดแล้ว
    พระนิพพาน เท่านั้น

    7. ท่านที่ไม่สามารถทรงมโนฯ ก็ขอให้อ่านคำสอนขององค์หลวงพ่อฯ ให้มาก
    (นี่.. ต้องขอกราบอภัย ไม่ใช่ว่า ครูบา อาจารย์ ท่านอื่น ๆ จะสอนไม่ได้ จะสอนไม่ดี เพียงแต่ว่า หากเราเคยตามติดใครมา ก็จะเคารพท่านนั้น ๆ และจะยอมรับนับถือ ปฏิบัติตาม เรีบกว่า ฟังกันรู้เรื่อง เพราะว่าเคยเนื่องกันมา เป็นพ่อ แม่ ครู อาจารย์ และร่วมบุญกันมาก่อน นานแสนนาน)

    หมั่นปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา ดูจิต คุมใจ ตนเอง ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้าน
    พวกเรารักประเทศไทย รักเคารพในพระมหากษัตริย์ รักเทิดทูนบูชาพระศาสนา
    ใจจริง ๆ ก็อดเป็นห่วงในเรื่องนานาประการ ไม่ได้

    หากเราคิดจะวางอารมณ์ ในเรื่องต่าง ๆ
    ก็ขอให้คิดถึง คำตรัสของสมเด็จพระประทีปแก้ว สัมมาสัมพุทธองค์บรมศาสดา
    คำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ไม่ต้องตรัสซ้ำ
    ตรัสอย่างไร ย่อมเป็นเช่นนั้น

    แม้กระทั่ง คำตรัสสอนของพระองค์ ย่อมเป็นจริง ฝ่ายเดียว ไม่มีข้อคัดค้าน
    ธรรมใด ที่สามารถคัดค้านได้ จึงไม่ใช่ธรรมะ ที่พระองค์ทรงตรัสแสดง

    เราจึงไม่ต้องสนใจ ในจริยาของผู้อื่น

    พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงว่า..
    พระศาสนาจะยืนยาวได้ 5,000 วสา
    โดยมีประเทศไทย เป็นศูนย์กลาง

    แล้วอย่างนี้....
    ท่านที่ประสงค์ ท่านที่ดำรงสติมั่น จิตตั้งตรงต่อ พระนิพพาน
    จะไปมีความกังวลจิต ไม่สบายใจ ในเรื่องนานา กันไปทำไม.. ใช่ไหม

    เรามุ่งหน้าตรงสู่ พระนิพพาน เท่านั้น
    เรื่องทางด้านหลัง ในโลก ในประเทศไทย ในคนไหน ในพระศาสนา
    นั่น.. มันเป็นเรื่องของเขา บารมีคนเรา ย่อมไม่เท่ากัน

    บารมีต้น อุปบารมี(บารมีกลาง) ปรมัตถ์ต้น ปรมัตถ์กลาง ๆ นี่ปล่อยเขาไป
    เขาย่อมต้องขวนขวาย หาทางไปพระนิพพาน เช่นเดียวแก่เรา(ปรมัตถ์ปลาย)
    เพียงแต่ พวกเขาต่ออยู่ปฏิบัติ กันอีกพักใหญ่....

    นี่เป็นหน้าที่ของพวกเขาทั้งหลาย จนสามารถสะสมถึงปรมัตถ์ปลาย เช่นกัน

    8. ดังนั้น.. จะเห็นได้ชัดเจนว่า....
    พระศาสนา นั้น เป็นของกองกลาง เป็นสิ่งกลาง
    ไม่ใช่ของคนใด คนหนึ่ง....
    ใครจะเข้าใจ ใครจะปฏิบัติเช่นไร ก็เนื่องด้วยบุญ บารมี ของใครของมัน

    สุดท้าย ไม่ว่าเชื้อชาติใด ศาสนาไหน ก็ถึงที่หมายสุดท้าย คือ พระนิพพาน

    นั่นเอง....

    9. ขอโมทนา กับท่านผู้ทรงบารมีปรมัตถ์ท้ายปลายสุด
    ที่มุ่งมั่น ฟันฝ่า เพื่อให้ถึงพระนิพพาน ให้สำเร็จ สัมฤทธิ์ผล ได้ในชาติปัจจุบัน

    ขอยินดี กับเหล่าพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ ที่เสียสละตน เพื่อสารสัตว์อันไพศาล

    ขอมุทิตา กับท่านผู้ทรงบารมีต้น และกลาง ทั้งหลาย ที่กำลังเพียรสะสมบารมี
    ในทาน ศีล และภาวนา อันเป็นเครื่องมือ ที่ไม่สามารถทิ้งสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ไปได้

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    ...................................................................................<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. soc191

    soc191 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +13
    พระพุทธเจ้าทรงไม่ให้เชื่อในสิ่งที่พระพุทธองค์สอน แต่ให้นำคำสอนของพระพุทธองค์ไปปฎิบัติด้วยตนเอง
     
  8. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939
    ไม่ทราบว่าคุณมหาหินได้ข้อสรุปแล้วยัง เกี่ยวกับเรื่องนี้
    แต่ด้วยความเห็นจากปัญญาที่น้อยนิดของข้าพเจ้านั้น
    ศาสนาพุทธสอนให้คนรู้จักหนทางพ้นทุกข์ อันมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ เจ็บป่วยก็เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ เป็นวัฎจักรวนเวียนอย่างนี้เรื่อยไปทุกภพชาติ มีศาสนาใดบ้างที่สอนว่า สิ่งเหล่านี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์
    นอกจากศาสนาพุทธเรา สอนให้คนไม่ต้องเกิดอีก ซึ่งการเกิด นับเป็นปฐมบทของความทุกข์เลย ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทวดา เป็นพรหม ก็เป็นทุกข์ เพราะเมื่อเกิด ก็ต้องมีตายคือความดับแห่งสังขารทั้งสิ้น....

    ส่วนเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น ข้าพเจ้าขอยกให้ ธรรมมะที่ว่า
    พึงกระทำความดี.....
    ละเว้นชั่ว.....
    ซึ่งสองข้อนั้น ก็คือศีล และกรรมบท 10 ในศาสนาพุทธ
    และทำจิตใจให้ผ่องใส พึงระลึกถึงความดีที่ได้ทำอยู่เสมอ ไม่ให้จิตใจเศร้าหมอง
    เพราะพวกเราก็คงเคยได้ฟังมาว่า จิดก่อนตายนั้นสำคัญ ดังที่พลวงพ่อฤาษีเคยบอก
    ถ้าจิตก่อนตายไปนิพพาน ไปเกาะนิพพาน มันก็ไปนิพพาน
    ถ้าก่อนตายเศร้าหมอง ถึงแม้จะทำความดีมาตลอดชีวิตแค่ไหน ก็มีสิทธิที่จะไปนรกได้เช่นกัน ตามความเห็นของข้าพเจ้า คำที่พระพุทธเจ้าไปตรัสถึงความไม่ประมาทนั้น ก็รวมอยู่ในข้อนี้ด้วย ต้องไม่ประมาททุกขณะจิต ทำให้จิตผ่องใสทุกเมื่อ เพราะคนเรามีสิทธิจะตายเมื่อไรก็ได้

    คุณมหาหินคิดว่า....ความเห็นของข้าพเจ้าพอทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจได้ไหมคะ
     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ...................................................................................

    สาธุ....
    ดียิ่งแล้ว....

    ...................................................................................
     
  10. tuconvergence

    tuconvergence สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +4
    ครับ...ยังไงผมก็เห็นว่าทุกคนล้วนแต่มีจิตที่มุ่งไปปฏิบัติตนเป็นคนดี..ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า...

    ในเมื่อทุกคนหมั่น คิดดี พูดดี ทำดี ทำในสิ่งที่ดีๆย่อมทำให้ชีวิตเราเจอแต่สิ่งดีๆ...

    ก็ขออนุโมทนากับเพื่อนๆกัลยาณมิตรที่ทำดีทุกคนด้วยนะครับ..
     
  11. ทาสพุทธศาสนา

    ทาสพุทธศาสนา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    หัวใจหลักนั้นคนส่วนใหญ่จะเข้าใจกันผิดที่จริงนั้นหลักคำสอนคือการอยู่บนกองทุกข์โดยที่เราไม่ทุกหรืออาจกล่าวได้ว่าการกินปลาโดยไม่ให้ถูกกางของปลาก้อคือการมีชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่ให้กางของโลกทิ้มตำเรา กางก็คือกิเลสนั้นเอง
     
  12. Nutuk

    Nutuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +347
    อนุโมทนา สาธุ

    ;k02พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร
    1. สอนให้รู้-ให้เกิดปัญญา แก้อวิชชา ป้องกันความโง่
    2. สอนให้สู้-ให้เกิดขันติ มานะป้องกันความอ่อนแอ
    3. สอนให้รัก-ให้ปรารถนาสุขต่อกัน
    4. สอนให้รวย-ให้รู้จักสร้างฐานะ
    5. สอนให้ละ-ให้รู้เท่าทันแก้ความหลงยึดติด<O:p</O:p
    ที่มา หนังสือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นของพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาวัดเจ้าพระยายมราช(วัดพะยอม);aa8
     
  13. [-]

    [-] สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ทุกสิ่งทีมีจุดดีอยู่แล้วย่อมมีจุดเสียเช่นกัน แต่หากเราเชื่อมั่นใน "ความดี" ไม่ว่าศาสนาไหนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
     
  14. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    การมีสติและปัญญาในทางที่ถูกต้อง
    (ปัญญานันทภิกขุ)<O:p</O:p

    เดียวนี้คนเราไม่ค่อยมีสติความรู้ก็ไม่มาช่วยเพราะไม่มีสติที่จะขนเอาความรู้มาช่วยแก้ปัญหาหรือมาช้าไปบ้างก็แก้ไม่ได้ หรือมาผิดแล้วใช้ไปผิดกาลเทศะก็ไม่มีประโยชน์อะไรผิดเรื่องผิดราว มันก็ไม่มีปะโยชน์ ฉะนั้นปัญญากับสติต้องไปด้วยกันเสมอ ถ้าไม่มีสติเพียงพอแล้วปัญญาจะเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเช่นเรื่องที่ หลังสวนนี้เองเด็กเล็กๆคนหนึ่งกลืนสตางค์เข้าไปติดคอ แม่ของเด็กก็หล่อน้ำกรดลงไปในคอลูกหวังให้มันกัดสตางค์ นั้นให้ละลายไป แล้วมันก็จะหมดปัญหา ซึ่งความจริงแล้วน้ำกรดกัดสตางค์ ได้นั้นเป็นปัญญา แล้วเทลงไปโดยไม่มีสติ ปัญญาก็เลยกลายเป็นความโง่หรือกลายเป็นอันตราย
    เพราะฉะนั้น เราต้องสนใจพร้อมกันทั้งสองอย่างคือมีสติและปัญญาเพื่อกำจัดโรคทางวิญญาณถ้ามีความถูกต้องในทางวิญญาณแล้ว ทางกายและทางจิตจะพลอยถูกต้องด้วย คือ
    ถ้ามีปัญญาระบบปัญญาถูกต้องไม่มีโรคแล้วระบบกาย ระบบจิตก็พลอยถูกต้องไปด้วย
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ....
    ;aa22การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    [​IMG]
    <O:p</O:p
     
  15. mrnop

    mrnop Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +39
    วันนี้ตอบได้แค่นี้

    1. หากเขาถามว่า ข้อแตกต่าง(ที่ดี ๆ กว่า) ของพระพุทธศานา กับ ศาสนาอื่น
    2. หากเขาถามว่า.... แล้ว "หัวใจ" ของพระพุทธศาสนา คือ อะไร....
    - ศาสนาอื่นให้ยึดติดในพระผู้สร้าง ผู้ลงโทษ เป็นกฏให้เดินทางตามกรอบ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในโลกหน้า แต่ศาสนาพุทธ สอนให้เจริญวิปัสนาิกรรมฐาน เพื่อหลุดพ้นไม่มีโลกหน้าให้กลับมาอีก
     
  16. ท้องฟ้าและแผ่นดิน

    ท้องฟ้าและแผ่นดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +127
    คำถาม ของท่านมหาหินที่ตอนนี้เป็นชาวต่างชาติ
    หัวใจของพระพุทธศาสนา.... ความแตกต่างกับศาสนาอื่น ๆ


    หากมีชาวต่างชาติ ที่มีความสนใจที่จะศึกษา พระพุทธศาสนา....

    1. หากเขาถามว่า ข้อแตกต่าง(ที่ดี ๆ กว่า) ของพระพุทธศานา กับ ศาสนาอื่น ....
    (เราจะตอบเขาว่า อย่างไร....)

    2. หากเขาถามว่า.... แล้ว "หัวใจ" ของพระพุทธศาสนา คือ อะไร....
    (เราจะตอบว่า อย่างไรดี เขาจึงจะเข้าใจ ได้ดี....)

    วันนี้ ผมเป็นคนต่างชาติ(ที่แล้ว)....

    ช่วย ๆกันตอบ อย่างสร้างสรร เพื่อความเข้าใจของมวลมนุษยชาติ....
    เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อการเผยแผ่ธรรม สู่ชาวโลก....
    ที่จะได้เข้าใจ ในพระพุทธศาสนา....

    คำตอบของปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

    ขอเล่นด้วยคนครับ ผิดถูกไม่รับผิดชอบ

    1.ถ้าเขาถามว่าศาสนาพุทธดีกว่าศาสนาอื่นอย่างไร จะบอกว่าเขาถามผิดครับ
    เพราะทุกศาสนาย่อมดีตามใจแต่ละคนอยู่แล้วหรือไม่ก็จะเงียบไม่ตอบ
    แต่ถ้าถามว่า ศาสนาพุทธคืออะไร สอนอะไร จะตอบว่า พุทธแปลว่ารู้ ตื่นและเบิกบาน
    รู้ในสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง เมื่อรู้จึงแจ้ง เมื่อแจ้งจึงเบิกบาน
    2.หัวใจคือ ปัญญา

    รู้แจ้งในความเป็นจริงคือสิ่งที่ต้องเป็น
    ปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องมี

    เราคือนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังทำการทดลอง
    กายคือห้องทดลอง
    ใจคือสิ่งทดลอง
    ปัญญาคือเครื่องมือทดลอง
    รู้แจ้งในความเป็นจริงคือผลการทดลอง
    ทุกสิ่งจึงต้องเริ่มที่ตัวเอง

    ปัญญาดั่งแสงสว่าง
    เมื่อความสว่างเกิดขึ้น ความรู้เห็นสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริงย่อมปรากฏชัด

    พุทธสอนให้เข้าใจตนเอง มิใช่สอนให้ดีกว่าผู้อื่น
    พุทธสอนให้แข่งขันกับตนเอง มิใช่แข่งขันกับผู้อื่น
    พุทธสอนให้ชนะใจตัวเอง มิใช่สอนให้เอาชนะผู้อื่น
    พุทธสอนให้เป็นนายตัวเอง มิใช่สอนให้เป็นนายผู้อื่น
     
  17. ท้องฟ้าและแผ่นดิน

    ท้องฟ้าและแผ่นดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +127
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Palmnaraks
    นิพพาน การดับทุกข์โดยสิ้นเชิงครับ ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

    ในความฝันของผม รู้นิพพานเป็นอัตตา ละนิพพานเป็นอนัตตา
    ปฏิบัติโดยการเฝ้ามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก
    กายคือการกระทำ ใจคือการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
    โดยทำตัวเป็นแค่ผู้ศึกษาและสังเกตุการณ์ ห้ามมีความเบี่ยงเบนเช่นการเข้าข้างตัวเอง ใช้อารมณ์ในการศึกษา เป็นต้น
    จุดประสงค์เพื่อทำการศึกษาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
    ผลคือเห็นสภาพความเป็นจริงของตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น
     
  18. ท้องฟ้าและแผ่นดิน

    ท้องฟ้าและแผ่นดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +127
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Attawat_Rx
    เชื่อกรรม เชื่อกฏแห่งกรรม...

    หัวใจคือ ทำความดี ละเว้นชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส

    ข้อสุดท้ายนี้เป็นข้อเด่นของพระพุทธศาสนาครับ

    ผมก็จะบอกว่า ดังปัจจุบันมีศาสตร์ที่ศึกษามนุษย์อยู่มากมาย
    เช่นวิชาสังคม ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในสังคม
    วิชาชีววิทยา ย่อมศึกษามนุษย์ในสถานะ เผ่าพันธ์หนึ่งในวงศ์วานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
    วิชาแพทย์ ย่อมศึกษาสรีระร่างกายมนุษย์ เพื่อรักษาโรค
    วิชาศิลปะ ย่อมศึกษาสรีระร่างกายมนุษย์ เพื่อความสมจริงในการเขียนรูป
    ทุกวิชาย่อมมีจุดประสงค์เดียวคือศึกษามนุษย์ในแง่ที่ตนเองสนใจ
    เพราะฉะนั้นต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากจะรู้อะไรมากกว่า
    จึงจะค้นหาวิชาที่ตรงกับสิ่งที่อยากรู้

    แต่วิชาพุทธต่างกับวิชาทางโลก
    ตรงที่ถ้ารู้เพียง ๑ ก็จะรู้ทั้ง ๘๔๐๐๐
    พระพุทธเจ้าสอนธรรมะตามจริตและอินทรีย์ของผู้ถูกสอน
    สอนธรรมะเหมือนการดูช้างเผือกมงคล
    บางคนพระองค์สอนวิธีให้ดูเล็บ บางคนพระองค์สอนวิธีให้ดูหนัง
    บางคนพระองค์สอนวิธีให้ดูงา บางคนพระองค์สอนวิธีให้ดูโครงสร้างร่างกาย
    ผู้มีปัญญาและอินทรีย์แก่กล้าก็จะรู้ว่าท่านสอนเรื่องเดียวกันทั้งหมดทั้งสิ้น คือ เรื่องช้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2008
  19. ท้องฟ้าและแผ่นดิน

    ท้องฟ้าและแผ่นดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +127
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ dongtan
    1.ทุกอย่างของพุทธเป็นความจริง พิสูจน์ได้ เป็นสัจธรรม และเป็นวิทยาศาสตร์
    2.การมองโลกด้วยความเป็นจริง และมีจุดมุ่งหมายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งก็คือสุขแท้จริง


    จักรวาลย่อมมีดวงอาทิตย์เป็นศุนย์กลาง
    แต่เราศึกษาและสังเกตุการณ์จากบนโลก
    เราต่างหากเป็นผู้สังเกตุการณฺ์และเป็นจุดกึ่งกลางของทุกสรรพสิ่ง
    ทั้งภายในและภายนอกอย่างแท้จริง

    แสงและกาลเวลาย่อมเป็นเส้นโค้งไปตามแรงดึงดูด
    เมื่อเราเดินทางไปยังทิศตะวันออกไปหยุดยั้ง
    เราย่อมเดินทางเป็นวงกลมและกลับมายังจุดเดิมได้
    เมื่อเราศึกษาภายนอกไม่หยุดยั้ง แรงดึงดูดของจิตจะนำพาความสนใจกลับมาสู่ภายในเอง

    นักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนจึงเป็นทั้งนักศาสนาและนักวิทยาศาสตร์
    และนักวิทยาศาสตร์บางคนในปัจจุบัน จึงเริ่มหันมาสนใจศาสนามากขึ้น
     
  20. ท้องฟ้าและแผ่นดิน

    ท้องฟ้าและแผ่นดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +127
    เก่งเรื่องภายนอก คือ IQ
    เก่งเรื่องภายใน คือ EQ

    สนใจแต่ภายนอก ย่อม ฟุ้งซ่าน
    สนใจแต่ตัวเอง ย่อม เห็นแก่ตัว

    เข้าใจเรื่องภายนอก นักวิชาการ
    เข้าใจเรื่องภายใน คือ นักการศาสนา

    รู้แจ้งเรื่องภายนอก คือ นักวิทยาศาสตร์
    รู้แจ้งเรื่องภายใน คือ ผู้ปฏิบัติธรรม

    รู้แจ้งทั้งภายนอกและภายใน คือผู้บรรลุธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...