หัวใจของพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 18 เมษายน 2018.

  1. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ครับ ผมว่าถ้าชัดเจนรู้อะไรเป็นอะไรจริงๆ มันก็ไปได้ครับ อ่านๆดูตอนนี้ เหมือนๆจะไม่ค่อยมีอะไรติดใจสักเท่าไหร่แล้ว แค่ตามทำความเข้าใจให้ชัดเจนไปเรื่อยๆแค่นั้น ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เดี๋ยวก็รู้เอง ประมาณนี้นะครับ
     
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    จิตเดิมแท้ คำนี้ผมเห็นหลวงพ่อพุทธกล่าวถึงเหมือนกัน

    สำหรับผมเรียกตามหลวงตา
    ใช้คำว่าจิตอวิชชากับคำว่าจิตบริสุทธ์

    จิตอวิชชาคือจิตที่ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะ
    จิตบริสุทธ์คือจิตวิมุตติพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะ


    จิตอวิชชามันห่อหุ้มจิตบริสุทธ์ไว้มิดชิด
    เหมือนเปลือกไข่ห่อหุ้มลูกเจียบไว้ข้างในเปลือก

    พระพุทธเจ้าเคยบอกไว้
    ท่านเป็นลูกไก่ตัวแรกที่สามารถออกจากเปลือกไข่ได้

    จึงมีคำสอนว่า
    พบจิตให้ทำลายจิต ถึงจะพบความบริสุทธ์ อย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2018
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762

    หลวงปู่พุธ ท่านก็กล่าวโดยลักษณะเหมือนหลวงตามหาบัวครับ

    จิตเดิม หรือ บางคนไปเติมแท้เข้าไปอีก อันนี้ เป็นสถาพจิตเดิม
    มีความปภัสร แต่ว่าไม่ใช่จิตบริสุทธิ์ พ้นกิเลส ยังเวียนว่ายตามกรรม


    แต่จิตบริสุทธิ์ ที่พ้นกิเลส คือ จบกิจ แจ้งพระนิพพาน
    จะปรากฎ ก็ต่อเมื่อ จิตตัดขาดกิเลสเป็นสมุปเฉทประหาร

    ไม่ใช่ว่าปรากฎแล้วปรากกฎอีก เข้าๆออกๆได้ อันนั้นคือยังหลงทางอยู่
    เจอแล้วเจอเลย พ้นจากหลุมส้วมแล้ว ไม่มีกระโดดลงไปอีก
     
  4. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ตอนที่พระโกทันยะ บรรลุโสดาบันครั้งแรก พระพุทธองค์ได้เปล่งอุทาน
    "โกทันยะ รู้แล้วหนอ"

    พระโสดาบันโกทันยะ ได้บรรลุเข้าถึงความบริสุทธิของจิตเดิมแท้ครั้งแรก
    จึงเกิดเป็นดวงตาเห็นธรรมได้ "ตรัสรู้ ตาม" พระพุทธองค์
    เพราะตามสภาวะของฝ่ายอสขตคือ "ธรรมชาติรู้"
    พระพุทธองค์ จึงได้ทรงบัญญัติคำว่า "ตรัสรู้" ขึ้นมา
    เพราะอยู่เหนือขอบเขตของคำว่ารู้ตามสมมุติบัญญัติแบบทั่วไป
    ด้วยเหตุนี้ ธรรมของเหล่าอริยะ จึงลงกันได้สนิทไม่มีขัดกันแม้นแต่นิดเดียว

    เพราะ "ตรัสรู้" ในสิ่งเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ทรงชี้บอกเอาไว้ก่อนแล้ว

    พระโกทันยะ จึงรู้แจ้ง เห็นจริงตามพระพุทธองค์
    ซึ่งประจักษ์แท้แน่นอนแล้วว่าพระพุทธองค์คือของจริง
    จึงรักและหยั่งศรัทธาอันลงลึกโดยที่ไม่หวั่นไหวในตถาคต
    นับจากนี้ไปต่อให้ปริพาชก สมนะพราห์มเหล่าอื่น มาบอกว่าตถาคตคือของเทียม
    พระโกทันยะ ก็จะไม่สนใจในคำกล่าวเหล่านั้น


    แต่เพราะอวิชชา ยังมีรากเหง้าแห่งกิเลส เหลืออยู่
    ยังมีกิจที่จะต้องทำต่อไป
    พระโสดาบันโกทันยะ จึงต้องเร่งความเพียรภาวนาต่อเนื่อง
    เพื่อให้กิจที่ยังเหลือสำเร็จลุล่วง จบกิจกันไป.....
    (เริ่มเดินวิปัสสนาญาณ ๑-๙ หรือ ๑-๑๖ กันใหม่)


    จิตเดิมแท้ จึงปรากฏให้ประจักษ์ได้ ตั้งแต่โสดาปฏิผล.....

    แต่ถูกต้องที่ไม่ใช่จะเข้า ๆ ออกๆ เมื่อไรก็ได้
    จะปรากฏก็เฉพาะตอน โสดาปฏิผล สกิทาคาผล อนาคามีผล อรหันตผล
    (จังหวะที่จิตประหารกิเลสของคุณธรรมขั้นนั้น ๆ )

    ปล สำหรับผู้ที่สงสัยคำว่าตรัสรู้ใช้แต่กับพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ?
    ในพระไตรจะมีอยู่หลายบทพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงใช้
    คำว่า ตรัสรู้ กับสาวกด้วยเช่นกัน แต่เพิ่มคำว่าตาม รวมเป็น ตรัสรู้ตาม(พระพุทธองค์)

    มีแต่พระพุทธองค์ ๆ เดียวที่ ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง (ไม่ต้องมีใครสอน)
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ถั่วต้มคับ...จริงดังนั้น
     
  6. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    รู้ชอบด้วยพระองค์เอง รู้ตามพระศาสดาสอน อันนี้เป็นเรื่องแรกและหลักที่ควรรู้ อกาลิโกก็จริง แต่ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่มีกาลอันใด
     
  7. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    เจอแล้วเจอเลยนั้นเรื่องจริงครับ คือเจอแล้วรู้แล้วอะไรเป็นอะไร นั่นแหละครับเจอเลย สิ้นสงสัย งงอะไรหรือเปล่าครับ ส่วนเรื่องจะเข้าจะออกอย่างงครับ ลองนึกถึงคำกล่าวนี้แล้วจะไม่งง จิตนี้ประภัสสร แต่เพราะกิเลสจรมา จิตจึงเศร้าหมองไปบางครา ถ้าคุณไม่รู้จักจิตประภัสสร คุณจะเอาอะไรไปรู้ว่า จิตมันมีประภัสสรมีเศร้าหมองได้ แล้วทีนี้ต่อไปอีก เศร้าหมองได้เพราะอะไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล

    ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุ และความดับไปแห่งเหตุแห่งธรรมนั้น ประภัสสรต้องเห็นมาตั้งแต่เบื้องต้นแห่งอริยมรรคแล้วไหมครับ เวลาคุณแย้งลักษณะนี้ (บ่อยๆ) ผมก็เดาได้เลยว่า แบบนี้ไม่ได้รู้จริง เข้าไม่ถึงจริง ยังจำขี้ปากเขามาพูดอยู่ คนรู้เขาไม่มาจับผิดเรื่องตรงนี้หรอก ประเภทเดียวกับที่กล่าวว่านิพพานอะไรมีเข้ามีออก คำว่าโสดาบันแปลว่าผู้ถึงกระแส กระแสอะไรครับ กระแสกิเลสหรือครับ ยังมีการบอกว่าแค่ถึงกระแส กระแสอะไรล่ะครับ นิพพานดุจมหาสมุทร กระแสนิพพาน กระแสมหาสมุทร แค่ถึงกระแสน้ำทะเลในตู้ปลาหรือครับ
     
  8. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    "จิตนี้ประภัสสรแต่เพราะกิเลสจรมา จิตจึงเศร้าหมองไปบางคราฯ" ความเห็นส่วนตัวผม ประโยคข้างต้นใช้เป็นมรรคเป็นทางได้ครับ ว่าแต่คนๆนั้นจะต้องเคยเห็นธรรมชาติอันไม่เกี่ยวข้อง ธรรมชาติอันพ้นไปจากการปรุงแต่งให้ได้เสียก่อน จะชัดเจนในหนทางมาก ยิ่งคุณกล่องไม้ขีดไฟยกที่ว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นพระองค์แรกที่ทะลุเปลือกไข่ออกไปได้ ผมมองภาพออกเลย

    ทีนี้มันเป็นเรื่องของอินทรีย์ พละของแต่ละบุคคล ทำไมบางคนพ้นแล้วพ้นเลย บางคนทำได้เพียงแค่โผล่ไปแพร็บเดียว เพราะอินทรีย์ พละคนเรามันไม่เท่ากัน จึงไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกหรือน่าสงสัยเลย แต่เขาก็จะรู้จักหนทาง สภาพการเข้าถึงความจริง เขาเคยรู้มาแล้ว เขาก็เดินต่อให้จบกิจก็มีเท่านั้นเอง

    ท่านที่ยังงง พูดได้เลยว่า เพราะยังเข้าไม่ถึงความจริง ถ้าเข้าถึงความจริงจะไม่มาสงสัยเรื่องอย่างนี้ เขามีแต่รู้ๆกันดี อันไหนเป็นมรรคอันไหนยังไม่ใช่มรรค รู้ได้ยังไงอันไหนเป็นมรรคอันไหนไม่ใช่มรรค ถ้าไม่มีผลคือนิพพาน มารับรองให้หมดความสงสัย ผลอันนั้นยืนยันเลย เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากแจ้งในนิพพาน ล้านเปอร์เซ็นต์ เอาไปถามครูบาอาจารย์ที่ท่านเชื่อแน่ว่าเป็นพระอริยสงฆ์ได้เลยครับ ถามเลยตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปควรจะรู้จักนิพพานแล้วหรือยังครับ อย่ามามั่วเอาเอง นิพพานไม่เห็นตั้งแต่โสดาบันจะเอาอะไรไปปิดอบายภูมิ แล้วนิพพานกับอสังขตธรรมตัวเดียวกันไหม ถามไปนี่ขอคนรู้จริง ไม่เอาไอ้พวกเดาๆ ขอผู้รู้จริงเห็นจริงช่วยตอบทีเถอะ ไม่รู้จริงๆอย่าตอบนะ เสียเวลาครับ
     
  9. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ประเด็นมันอยู่ที่ ว่า
    '" จิตเดิมแท้ จึงปรากฏให้ประจักษ์ได้ ตั้งแต่โสดาปฏิผล "

    สภาพจิตปภัสสร เป็นสภาพ ความผ่องใสของจิต
    สภาพแบบนี้จะเริ่ม สัมผัสได้ที่ปฐมฌาน ไปจนถึงความละเอียด
    ที่เหลือแต่สภาวะรู้อย่างเดียว คือฌานที่4
    อันนี้ละครับ สภาพเต็มที่ของจิตเดิม มีแต่รู้อย่างเดียว
    สว่างผ่องใส เรียกว่า โง่บรมมโง่ แต่ไม่ใช่เรื่องผิด
    เพียงแต่เป็นวิธีทางของคนที่ตั้งกรรมฐานจากสมถะ
    อย่างยิ่งยวดจึงจะได้สัมผัส จิตปภสัสร หรือสภาพเดิม
    เติมแท้ไปอีกก้ได้ เป็นสภาพเดิมแท้ของจิต

    ถามว่าผู้มาเจอสภาวะนี้ผิดไหม
    ไม่ผิดแน่นอนมันเป็นทางผ่าน ของคนตั้งสมถะ จะต้องผ่านทางนี้
    แต่ถามว่า ถึงโสดาบันหรือยัง ยังอีกห่างไกลโข

    ตรงนี้เป็นแค่สมาธิของกลางๆที่ พราหมณ์ก่อนเจ้าชายสิททัตถะก็ทำได้เป็นปกติ

    แต่ก็ไม่ได้ บรรลุธรรมแม้พระโสดาบัน
    เอาแค่สัมมาสติก็ยังไม่รู้จัก จึงก้าวต่อเดินสติปัฐฐานไม่ได้
    ทำได้แค่ นิ่งๆ ละเอียดๆๆไปเรื่อย ไปจนอรูปฌาน

    พอมาได้ฟังเทศน์ดยลำดับบทเดียวเท่านั้น
    จึงออกไปเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดับไปเป็นธรรมดา

    พวกที่เหมาเอาว่า จิตปภัสสรเป็นโลกุตระ อันนี้คือเข้าใจผิด


    ส่วนอีกประเด็น
    ที่ผมมักจะแย้ง นิพพานไม่ม่ีเข้าไม่มีออก
    พระโสดาบันท่านได้เพียงลงกระแสนิพพาน ไม่ได้หมายความว่า ได้นิพพาน
    คนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง

    ลงกระแสก็เพียงแต่เห็นทางชัดเจนแล้ว มีจุดหมายชัดเจนแล้ว
    เหลืออย่างเดียว ไปให้ถึง

    ไม่ใช้ไปเห็นนิพพานแล้ว ยังมาลงคลุกฝุ่นใหม่ นิพพานปลอมๆละมั้ง
    อย่างทีห้ากำลังเป็นอยู่
     
  10. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมก็เสพทุกสิ่งที่เสพได้เหมือนกันนะ...ผมก็รู้มาว่าใช้จิตที่เป็นสมาธิ ทำนามให้เป็นรูปคือการเห็นแบบสมถะ ส่วนการเห็นจิตแบบเป็นจิตทำนามให้เป็นนามละเอียดยิ่งละธุลีในนามนั้นอันนี้ยังไม่เคย แต่พอรู้เป็นนัยว่า เห็นจริงแต่ต้องละอย่ายึดไว้ ถ้ายึดไว้ต้องรู้ว่าใครคือผู้ยึด มันละเอียดพอดูจึงไม่กล้าพูดอะไรเพราะไม่เคยหยั่งลงไปแบบพระอริยะเจ้า พระอริยะเจ้าเคยสอนว่า แท้จริงหยั่งถึงตั้งแต่พระเสขบุคคลตั้งแต่เบื้องแรกสำหรับผมคิดว่าเบื้องแรกก็มากพอที่จะไม่สามารถแล้ว จึงเพียรทำต่อไป
     
  11. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ต้องบอกไว้ก่อนว่าตอนที่ตอบไปนี่ ยังไม่เห็นข้อความของคุณศืษย์..ฯแม้แต่น้อย ตอบตามสิ่งที่ตัวเองรับรู้โดยตรง พึ่งได้มาอ่านนี่แหละ อันนี้เป็นข้อแรกก่อน

    ประภัสสรหมายถึงผ่องใส จะผ่องใสแค่ไหนก็ช่างมันเถอะครับ รู้ว่าผ่องใสไม่โลภไม่โกรธไม่หลงเวลานั้นก็พอ ถ้าจิตแปรสภาพมีอาการหนักขึ้นมา ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ อันนี้ก็สังเกตเอา มีความโง่ หลงยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดขึ้นมาหรือเปล่า หรือแม้แต่ยึดตัวมันเอง เพราะในที่สุดก็จะทุกข์เพราะตัณหา ก็ภาวนาไปแบบนี้ ไม่เห็นมีอะไรเลย ผ่องใส เศร้าหมอง มันจะเข้าจะออกอยู่ที่เรา เท่ามันมันโล่งมันก็ผ่องใส ไม่เท่าทันมันก็ไม่โล่งก็ไปตามอำนาจกิเลสตัณหาว่ากันไป หรือจะเจตนาทำให้โล่งเพื่อสบาย มันจะแปลกอะไร รู้ตัวไหมกำลังทำอะไรอยู่หรือหลงอะไรอยู่ ก็ดูไปเรื่อย แล้วจะมาพูดทำไมยังมีเข้ามีออก
     
  12. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ถ้าเคยเห็นครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ๆ พยายามบรรญัติศัพท์ให้ผู้ฟังเข้าใจ
    จิตใส จิตผ่อง จิตแจ่มแจ๋ว จิต จิต จิต........
    นั่นแสดงว่าท่านพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างออกมา
    เพราะแต่ละท่านก็ไม่น่าที่จะเข้าชง เข้าฌาน อะไรไม่เป็น

    การที่ท่านพยายามสื่อสารออกมา แปลว่ามันต้องมีสภาวะอะไรซักอย่าง
    ที่ แจ่ม แจ๋ว ใส มากกว่าอารมณ์ในฌานพวกนั้น

    ต้องเรียกได้ว่า อารมณ์ในฌานจะละเอียด จะสุดยอดแค่ไหน

    ต้องเด็กๆ ไปเลย เมื่อไปเจอความใสแจ๋ว

    ที่มันเหนือกว่า....

    นิพพานัง ปรมังสุขัง สุขอื่นยิ่งกว่านิพพาน ไม่มี.....

    ปล เราคุยกันนุ้งนิ้ง....ฟุ้งฟิ้ง สองคนพอเนอะ
     
  13. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    เรื่องจิตเดิมแท้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราโผล่พ้นไปพบอีกฝั่งซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับฝั่งนี้เลยได้ สภาพทั้งหมดนั้นเป็นยังไงเราต้องรู้ มันต้องชัด และมันจะเห็นหมดทุกอย่างที่ผ่านมาที่เรามัวสาระวนอะไรอยู่ในฝั่งโลกๆ ฝั่งสมมุติมายา ทีนี้มันก็จะเห็นทางชัดละ ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ที่มั่วไปคือไปหลงยึดเอง ยึดแล้วก็จมโลก สมมุติไง จะมีอะไร

    ทีนี้เห็นขนาดนั่นแล้ว ทำไมยังมีหลงสมมุติไปได้ล่ะ ก็มันยังโง่ยังมีอวิชชาอยู่ ถ้ามันฉลาดเท่าทันทุกเรื่องได้ มันก็ไม่ไปหลงใหลได้ปลื้มสุขทุกข์ไปกับเรื่องโลกๆอีก จิตเดิมๆ มันไม่มีอะไร มันก็ว่างก็ไร้สภาพมีตัวตนอะไร แต่ที่มันเผลอหลงไปเพราะอวิชชายังมี ถ้าจิตเดิมๆ หรือจิตเดิมแท้ไม่มีอวิชชา จิตเป็นจิต โลกเป็นโลก งงอะไรครับ

    คนถ้ามันรู้จริงนะ บอกเลยพูดยังไงก็มองออก ลงกันได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเป๊ะๆ เพราะหลักใหญ่ใจความมันลงไปที่การรู้แจ้งอย่างเดียวกัน ผมถึงว่าคุณไม่รู้จริง คนรู้จริงจะรู้ล่วงภาษาบัญญัติไปเห็นสัจธรรมความจริง มากกว่าเห็นแค่บัญญัติไม่ตรง ไปให้บัญญัติเป็นใหญ่ ก็ไม่ลงตัวสักที
     
  14. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762

    การแห็นหรือการสร้างสติแบบสมถะ เขาจะทำฌานขึ้นมาก่อน
    จะเพ่ง จะนิมิตอะไรก็ช่าง ล้วนแล้วแต่เป็น เป็นรูปละเอียดในการเห็น
    ไม่ใช่รูปหยาบ เพื่อให้จิตเข้าไปสู่อารมณ์เดียวเขาไปสู่จิตปภัสสร

    จุดมุ่งก็เพื่อสร้างสติตัวเดียว

    เพียงแต่การขึ้นแบบสมถะ จะเอาฌาน เป็นตัวฝึก

    ช่วงจังหวะที่ ถอยออกจาก
    จากสภาวะรู้อย่างเดียว หรืออัปนาสมาธิอย่างละเอียดหรือฌานที่4
    จะมีทางเดินต่อเข้าหลายทาง
    ในการสร้าง สติปัฐฐาน จะเริ่มเดินกันตรงนี้
    หลังจากจิตที่หลุดออกมาจากจิตปภัสสร หรือถอยออกมา
    ความรู้ ความคิด หรือเรียกง่ายๆว่า อารมณ์อื่นๆจะผุดออกมา
    จิตจะทำหน้าที่เพ่งไปโดยอัตโนมัติ

    ความเพ่งอารมณ์ไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งมันไม่ใช่อารมณ์เดียว
    ตรงนี้มันคือช่วงการสร้างสัมมาสติให้เกิดขึ้น

    โดยการประครอง ทำสติรู้ตรงนี้ อันเป็นช่วงเดินลงปัฐฐาน ทั้ง4
    ของคนตั้งสมถะ


    เมื่อ สติที่ฝึกตรงนี้มีพลังแก่กล้าขึ้น มีความเป็นอัตโนมัติขึ้นมา
    โดยไม่เจือเจตนาใดๆทั้งสิ้น การแยกรูปแยกนาม จึงจะเริ่มเกิดขึ้นตรงนี้
     
  15. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    แยกรูปแยกนามได้ ไม่ใช่บรรลุธรรมนะครับ อย่าไปเข้าใจผิดเชียว คนแยกได้ครั้งแรก ใหม่ๆจะนึกว่าตัวเองบรรลุ จะเก่งมาก ยิ่งได้ความรู้ได้ยานเจอของแปลกยิ่งนึกว่าใช่ใหญ่ พวกที่พูดว่า แยกได้แล้วไม่มีเสื่อมนี่แหละ มันแบไต๋ออกมาเลย ว่าประสบการณ์ยังอ่อน แต่มั่นใจตัวเองสูง ในที่สุดก็จะเข้าลักษณะหลงอย่างคาดไม่ถึง คาดไม่ถึงคือคาดไม่ถึงจริงๆ

    ของแบบนี้บางทีต้องย่ำอยู่กับที่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก วนไปก็วนมาอีกหลายรอบ หรือที่บางท่าน ท่านใช้คำว่า จนมันเต็มรอบ กว่าอินทรีย์ พละ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) จะพร้อม เหตุปัจจัยพร้อม มันถึงจะรู้พ้นสมมุติจริงๆ ได้

    ไอ้ที่มาเดาๆว่า ตอนนี้กรูพ้นเจตนาอยู่ คือรู้พ้นสมมุติ รู้พ้นขันธ์ไปแล้ว ยังครับ อันนั้นยังเป็นแค่เราคิดว่าเชื่อว่ามั่นใจว่า แบบนั้นยังเดาอยู่ครับ การเห็นจริงๆกับการแค่มั่นใจแค่เชื่อมั่นมันต่างกันครับ แต่ก็ฝึกฝนไปเถอะ เส้นผมบังภูเขาคือ ความเชื่อทุกชนิดที่มีอยู่ในเวลานั้นนั่นแหละบังความจริงตลอดเวลา หาความจริงไม่ได้เลย สมแล้วที่ท่านจะเรียกว่า โลกียปัญญา คือปัญญาโลกๆ

    ถ้าสละความเชื่อเข้าหาความจริงจริงๆ เป็น จึงจะมีสิทธิ์รู้พ้นขันธ์จริง ทีนี้ละจะทีห้าทีหกต่อไปอีกหรือไม่ ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมแล้ว ตามให้ทันกันเอาเอง จะหลงหน่วงเหนี่ยวกระแสโลก หรือหน่วงเหนี่ยวกระแสธรรม มีนิพพานเป็นบาทฐานก็แล้วแต่ใครคนนั้นแล้ว และนี่ก็ยังเป็นเพียงแค่เริ่มต้นอีกเหมือนกันครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอร่วมแจมหน่อยนะครับ
    เรื่องแรก การแยกรูปแยกนามได้ของจิต
    มันเป็นแค่กิริยาเบสิก ธรรมดา
    ที่ทำให้สามารถเริ่มต้นเดินปัญญาได้เท่านั้นเองครับ
    พูดง่ายๆว่า ยังไม่เกิดปัญญาทางธรรมนะครับ
    แต่ข้อดี ก็คือ มันจะทำให้ความเข้าใจทางนามธรรม
    เรามันชัดเจนขึ้นดีขึ้น แต่ด้านปัญญาด้านความ
    สามารถพิเศษต่างๆ ยังเหมือนเดิม เป็นแค่คนธรรมดาครับ

    ในทางปฏิบัติ ถ้าเทียบทางด้านปัญญานั้น
    การแยกรูปแยกนามนั้น
    พูดง่ายๆ เทียบแค่เด็กอนุบาล กำลังหัดคลาน
    ยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ และมันมีซึมกลับได้
    หากว่า ไม่มาเดินปัญญาครับ
    และการจะกลับมาแยกอีกครั้งจะยากกว่าครั้งแรกมาก

    และการแยกรูปแยกนามนั้น
    มันสามารถแยกได้ ในกำลังสมาธิ ๒ ระดับ
    คือ ระดับกำลังไม่เกินปฐมฌาน นี่คือแบบส่วนมากทั่วไปครับ
    โดยมากพระอาจารย์ต่างๆ ท่านจะสอนแบบสากลในกำลัง
    ระดับนี้ เพราะมันเข้าถึงได้ง่ายๆกว่า แต่โอกาสจะไม่ทัน
    นามธรรมฝ่ายปรุงแต่งก็จะสูงเช่นกัน...

    และแยกได้ในระดับ กำลังฌาน ๔ ซึ่ง จะต้องสามารถควบคุมจิต
    ให้อยู่นิ่งๆให้ได้ก่อน ซึ่งปกติ ต้องประมาณ เข้าฌาน ๔ ให้ได้
    อีกประมาณ ๓ ถึง ๔ ครั้งถึงจะมีกำลังเพียงพอจะบังคับจิต
    ให้มันอยู่นิ่งๆในกายได้ครับ......

    พวกที่บอกว่า เค้าฌาน ๔ ได้ และอยู่นิ่งๆ หรือ สภาพแวดล้อม
    เงียบๆ อะไรพวกนี้ คือ ไม่หลงสภาวะ ก็ หลงตัวเองครับ


    และเรื่อง
    สภาพจิตเดิมแท้นั้น
    ต้องเข้าใจกิริยามันด้วยนะครับ
    เด่วจะพูดเชิงกล่าวหาว่ามันไม่ดีไปหมด

    คือมันไม่ได้วิเศษวิโสอะไรหรอกครับ
    จะเคยฝึกหรือไม่เคยฝึกสมาธิอะไรมา
    มันก็มีโอกาสเข้าถึงได้ชั่วคราว
    ทุกดวงจิตนั่นหละครับ......
    เพียงแต่ในระดับที่จะถือว่า
    นำพาไปสู่การหลุดพ้น
    ตัวจิตจะต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมันเองครับ
    ไม่ใช่การเข้าได้ ด้วยกำลังสมาธิ กำลังจิต
    ความชำนาญใดๆ หรือ กำลังตบะ ฌาน ญานอะไร
    พวกนี้ แบบนี้ยังถือว่า มีตัวกระทำ ยังเป็น
    มิจฉาทิฐิทั้งนั้นหละครับ.....ถ้ามีตัวกระทำ...


    แต่ว่ามันสามารถ
    นำไปใช้งานได้อยู่
    ในกรณีที่ บางดวงจิต
    ตัวจิตนั้น มีกำลังจิต มีกำลัง
    สมาธิใช้งานได้ในเวลาปกติครับ
    และไม่ใช่ว่า มันจะไม่รู้อะไร
    เพียงแต่การรู้ แบบที่มีตัวกระทำ
    มันไม่ใช่การรู้แบบอัตโนมัติของจิต
    มันเป็นการรู้แบบมีตัวกระทำไม่ว่าจะ
    ด้านความสามารถหรือทางด้านปัญญาก็ตามครับ

    มันจะรู้แค่
    สิ่งที่มันกระทำ หรือเหตุก่อนหน้า
    ที่ทำให้มันเกิดเท่านั้น

    ถามว่าใช้ได้ไหม
    ก็นำไปใช้งานได้ และใช้ได้อยู่
    โดยมาก ดวงจิตที่ใช้งานได้
    แต่ไม่มาเดินปัญญา เพื่อตัดลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    จะอยู่ในสภาวะจิตแบบนี้แม้ว่าจะรู้
    ว่าต้องทำอะไร เกิดอะไร
    เข้าใจอะไร ยังถือว่า
    เป็นวิตก วิจารณ์ ยังไม่ถือว่าเป็น
    อัตโนมัติของจิต และเป็นธรรมดา
    ของจิตที่เริ่มใช้งานได้
    ในช่วงแรกๆจะเป็นกันครับ
    เป็นเรื่องปกติครับ
    และมันไม่เป็นไป
    เพื่อหนุนความบริสุทธิ์ของตัวจิตครับ

    และไม่ใช่มันจะเกิดองค์ความรู้อะไร
    แต่มันจะเกิดในลักษณะที่เรียกว่า
    เตลิด คือใช้งานเกิน และขาดสมดุลย์
    ขาดความรอบคอบ ในเชิงเกี่ยวกับ
    ความหลุดพ้นครับ มันจะยังออกไปในเชิง
    ให้ยึด ให้หลง ให้ติดได้อยู่

    มันไม่สภาวะโง่หรอกครับ จิตมันซื้อบื่อ
    เป็นปกติอยู่แล้วครับ ถ้ามันฉลาดมันคงไม่สร้าง
    ร่างกายขึ้นมาหรอกครับ

    แม้แยกรูปแยกนามได้มันก็ซื่อบื่อ
    ไม่งั้นเราจะต้องมาเดินปัญญากันทำไม
    ไม่ใช่ว่า สภาวะจิตเดิมแท้ เข้าออกบ่อยๆแล้ว มันโง่ มันอะไร
    นี่เข้าใจคลาดเคลื่อนครับ...เพียงแต่
    การเข้าถึงแบบมีตัวกระทำ มันยังไม่ถึง
    ระดับที่จะทำให้ สิ่งที่จิตเคยสะสมมา
    มันค่อยๆขึ้นมาเองตามลำดับครับ...

    ในระดับท่านๆที่คลาดว่า จะพ้นๆ หรือเริ่มต้นเข้าสู่ที่จะเดิน
    เข้าสู่เส้นทางพ้นได้ มันจะเริ่มเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง
    และเป็นในเวลาใช้ชีวิต ลืมตาปกติครับ



    สภาวะมัน ถ้าเข้าแบบมีตัวกระทำ
    ไม่ว่าจากความชำนาญ ทางวิธีการใดๆนะครับ
    แม้เหมือนรู้
    แต่มันไม่เฉลียวคือรู้ไม่รอบคอบ

    แม้ดูเหมือนฉลาด
    แต่ไม่ฉลาด เพราะมันไม่ส่งเสริม
    ในลักษณะไปทางปัญญาญานเพื่อค้นหาเหตุ
    แห่งการเกิดดับ เพื่อเป้าหมายแห่ง
    การไม่ยึด ไม่เกาะ ครับ

    มันแค่สนองสิ่งๆที่จิตติดค้างมาก่อนหน้านั้น
    เพื่อให้เข้าใจ แต่ว่า ไม่คลี่คลาย จนเป็นเหตุ
    นำไปสู่การไม่เกิดเรื่องนั้นๆได้อีกในครั้งต่อไป
    เหมือนกรณี ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของมันเองครับ....

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...