อธิบายสวรรค์ 6 ชั้น และ พรหมโลก 20 ชั้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 12 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    อายุของสวรรค์ 6 ชั้น

    สวรรค์ เป็นภพที่มีแต่ความสุขอันเลิศล้ำด้วยกามคุณทั้ง ๕
    (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่น่าใคร่น่าพอใจ)
    เป็นภพของเทวดาหรือทวยเทพทั้งหลาย
    โดยปกติหมายถึงสวรรค์ชั้นกามาพจร
    หรือกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น
    ซึ่งเรียงลำดับจากชั้นแรกถึงชั้นสูงสุดได้ดังนี้

    1. ชั้นจาตุมมหาราชิกา 50 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 500 ปีทิพย์ เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์

    2. ชั้นดาวดึงส์ 100 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 1,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 39 ล้านปีโลกมนุษย์

    3. ชั้นยามา 200 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 2,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 144 ล้านปีโลกมนุษย์

    4. ชั้นดุสิต 400 ปีมนุษย์ เป็นวัน 1 วัน คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 4,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 576 ล้านปีโลกมนุษย์

    5. ชั้นนิมมานรดี 800 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 8,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 2,304 ล้านปีโลกมนุษย์

    6. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี 1,600 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 16,000 ปีทิพย์ เป็นอายุทิพย์เท่ากับ 9,216 ล้านปีโลกมนุษย์เรา

    [​IMG]

    สวรรค์ชั้นที่ 1
    จาตุมหาราชิกาภูมิ


    สวรรค์ชั้นแรกอยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป 46,000 โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ 4 พระองค์
    ทรงเป็นผู้ปกครองดูแล จึงได้ชื่อว่า จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ
    มีท้าวจาตุมหาราช ทรงเป็นใหญ่

    เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดใด

    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีเมืองใหญ่เป็นเทพนครอยุ่ถึง 4 เทพนคร แต่ละเทพนครมีป้อมปราการ กำแพงทองทิพย์
    เหลืองอร่ามงามนัก ประดับประดาไปด้วยสัตตรัตนะแก้ว 7 ประการ

    ภายในเทพนครอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้ว ซึ่งเป็นวิมานที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลาย
    ตั้งเรียงรายอยู่มากมาย

    นอกจากนี้ ยังมีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยดอกบัวนานาชนิด ส่งกลิ่นทิพย์
    หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ มีดอกไม้นานาพรรณ สีสันวิจิตรตระการตา และมีรุขชาติต้นไม้สวรรค์
    ซึ่งมีผลอันโอชายิ่ง

    มิ่งไม้ในสวงสวรรค์ มีดอกมีผลเป็นทิพย์ ปรากฏให้เหล่าชาวสวรรค์ได้ชื่นชมตลอดกาล
    ไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย

    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา จำแนกย่อยพื้นที่บริเวณของหมู่เทพละเอียดลงไปอีก ตามขั้นตอนการถือกำเนิดเอาไว้
    ดังนี้

    - อุปัตติเทพ
    การถือกำเนิดด้วยการอุบัติขึ้นมา โดยมีกายทิพย์ หรือ กายละเอียด เป็นวัยหนุ่มสาวขึ้นมาทันใด
    ถ้าเป็นเพศชาย เมื่อสร้างบุญไม้มากพอที่จะมีวิมานของตนเอง
    ก็จะไปถือกำเนิดเป็นบุตรของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง
    ถ้าเป็นเพศหญิง เมื่อสร้างบุญมาไม่มากพอที่จะมีวิมานของตนเอง ต้องไปถือกำเนิดเป็นบาทบริจาริกา
    ของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง
    ถ้าหญิงหรือชายสร้างบุญไว้น้อย
    ก็จะถือกำเนิดเป็นเทพผู้คอยดูแลในเรื่องเครื่องทรงของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง
    ถ้าสร้างบุญกุศลไว้มากพอ ก็จะอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าของวิมาน พรั่งพร้อมด้วยบริวาร
    และสิ่งของอันเป็นทิพย์

    - บาดาล
    ภพที่ใกล้มนุษย์มากที่สุด มีลักษณะเป็นงูต่าง ๆ

    - ภูมะ
    ที่อยู่ของภูมิเจ้าที่ต่าง ๆ

    - รุกขภูมิ
    ภูมิที่อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปเพียงศอกเดียว มีวิมานอยู่บนต้นไม้

    - ฉิมพลีภูมิ
    ดินแดนแห่งเทพผู้มีปีก กึ่งเทพ กึ่งสัตว์ มีฤทธิ์มาก

    - คนธรรพ์ภูมิ
    ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก

    - หิมพานต์
    ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก

    - บรรพภูมิ
    ดินแดน แห่งฤาษีผู้บำเพ็ญพรต ที่หลบลี้จากโลกมนุษย์

    - อโยธยาภูมิ
    ภูมิของผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน เช่น พ่อหลักเมือง

    - ลับแลภูมิ
    ภูมิของหญิงสาวที่บำเพ็ญเพียร ถือสัจจะเป็นหลัก

    - ภุมมา
    ที่สถิตของเทพบุตร เทพธิดาต่างๆ ที่ยังมีกิเลศ เป็นภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษย์ภูมิขึ้นไป
    มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ 4 องค์ ได้แก่

    ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองคันธัพพเทวดา
    ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอบกุมภัณฑ์เทวดา
    ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคเทวดา
    ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองยักขเทวดา

    มหาราชทั้ง 4 นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลก หรือ เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล
    มีหน้าที่สอดส่องดูมนุษย์ที่ประกอบผลบุญแล้วรายงานต่อพระอินทร์ เพื่อให้ได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์
    มีสถานที่ปกครองตั้งแต่กลางเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาล
    เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมด เป็นบริวาลภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง 4

    เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ แล้ว 50 ปีมนุษย์ เท่ากับ 1วัน
    ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ

    ที่อยู่ของเทวดา
    เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุ จนกระทั่งพื้นดินที่มนุษย์อยู่

    ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ในทานสูตรว่า...

    "ถ้าผู้ใดให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทาน เมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา"

    "ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทานมีจิตผู้พันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
    มุ่งการสั่งสมทาน ให้ทาน ด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไป
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กุมภาพันธ์ 2012
  2. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    สวรรค์ชั้นที่ 2
    ดาวดึงส์ภูมิ


    อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไป 46,000 โยชน์

    ดาวดึงส์ หรือ ดาวดึงสา คือ ภูมิอันเป็นที่เกิดของบุคคล 33 คน ที่ได้สร้างกุศลไว้ในอดีต มีมาฆมานพ
    เป็นหัวหน้า เมื่อตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ พร้อมบริวารอีก 32 รวมเป็น 33
    เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์

    ดาวดึงสานี้ เป็นผืนแผ่นดินผืนแรก ที่เกิดขึ้นในโลกหลังจากโลกนี้ถูกทำลายด้วยน้ำ เมื่อน้ำงวดลง
    แผ่นดินผืนแรกที่โผล่ขึ้นก่อนแผ่นดินอื่น ๆ ก็คือ ยอดเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    นี้เอง

    ลักษณะของดาวดึงส์ภูมิ เป็นมหานครใหญ่ อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เหนือเขาสิเนรุราชบรรพต ปรางค์ ปราสาท
    ล้วนแล้วไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์ แวดล้อมรอบเทวนครด้วยปราการกำแพงแก้วทิพย์ อีกเช่นกัน
    มีประตูกำแพงแก้วถึง 1,000 ประตู เมื่อประตูเหล่านั้นเปิดออกแต่ละครั้ง ปรากฏเสียงดังไพเราะยิ่งนัก

    ในท่ามกลางพระนครนั้น มีปราสาทพิมานอันมีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลืออยู่วิมานหนึ่ง คือ ไพชยนตปราสาทพิมาน
    มีรูปทรงสูง ประดับไปด้วยแก้ว 7 ประการ งามสุดจะพรรณนา เป็นที่ประทับแห่งสมเด็จพระอมรินทราธิราช

    เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว 100 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1
    วันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    เทวดาที่อยู่ชั้นดาวดึงส์
    มีอยู่ 2 จำพวก
    - ภุมมัฏฐเทวดา
    เทวดา ที่อยู่บนพื้นดิน ได้แก่ พระอินทร์ และ เทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ พร้อมทั้งบริวาร และเทวอสุรา 5 จำพวก
    ที่อยู่ใต้เขาสิเนรุ

    - อากาสัฏฐเทวดา
    เทวดา ที่อยู่ในอากาศ ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยไปในกลางอากาศ ตั้งแต่เหนือพื้นดินยอดเขาสิเนรุ
    ไปจดขอบจักรวาล บางวิมานก็มีเทวดาอยู่ บางวิมานก็ไม่มีเทวดาอยู่

    ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์
    ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากผลบุญที่ได้กระทำไว้ อารมณ์ที่ได้รับในชั้นดาวดึงส์
    จึงล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่ดีเลย เทพบุตรจะมีวัย 20 ปี ส่วนเทพธิดามีวัย 16 ปี เหมือนกันทุก ๆ องค์
    ไม่มีการแก่ เจ็บ ตาย ให้เห็น มีแต่ความสวยงาม เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดไป

    เทพบุตรองค์หนึ่ง อาจจะมีนางฟ้าเป็นบาทบริจาริกา(ภรรยา) 500-1,000 หรือมากกว่า
    ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้ทำไว้

    เทวดาในโลกนี้ มีการไปมาหาสู่ เบียดเบียนกันเช่นเดียวกับมนุษยโลก มีนักดนตรี นักร้อง เทพบุตร เทพธิดา
    มีความรักใคร่ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน หากขาดคู่ครอง ก็ย่อมจะเกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตน
    ไม่เบิกบานรื่นเริงเหมือนเทวดาที่มีคู่ครอง

    เทวดาในชั้นดาวดึงส์ทั้งหลาย ต่างก็ไปหาความสุขสำราญในสวนทั้ง 4 แห่ง
    พร้อมด้วยบริวารของตนอย่างสำเริงสำราญ

    คุณธรรม 7 ประการ ที่ทำให้เป็นพระอินทร์
    ผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมีคุณธรรม
    7 ประการ
    1.เลี้ยงดูบิดา มารดา
    2.เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล
    3.กล่าววาจาอ่อนหวาน
    4.ไม่กล่าวคำส่อเสียด
    5.ไม่มีความตระหนี่
    6.มีความซื่อสัตย์
    7.ระงับความโกรธได้
    ปัจจุบันพระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ ได้สำเร็จโสดาบันแล้ว
    ด้วยการฟังพระธรรมเทศนาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสักกปัณหสูตร นับเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกในพระพุทธศาสนา
    และอยู่ในดาวดึงส์ภิภพนี้ต่อไปจนสิ้นอายุขัย

    เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว จะมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก และ
    สำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล

    เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปกลับไปเกิดในชั้นดาวดึงส์อีก และได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี
    เมื่อสิ้นอายุแล้ว จะไปบังเกิดเป็นพรหมโลก ในชั้นสุทธาวาสภูมิขั้นต้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี
    และ อกนิฏฐาภูมิ ตามลำดับ และเข้านิพพาน ในชั้นสุดท้าย

    สถานที่สำคัญในดาวดึงส์ภูมิ
    สวรรค์ชั้นที่ 2 มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากมาย ทำให้เกิดเป็นพุทธศาสนสถาน
    ที่สำคัญของเทวโลกหลายแห่ง ดังนี้

    ศาลาสุธรรมาเทวสภา
    สถานที่ฟังธรรมในเทวโลก บรรดาเทวดาทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม โดยมีท้าวสักกะเทวราช
    องค์อมรินทร์เป็นประธาน
    ศาลาแห่งนี้ ประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ สูง 500 โยชน์ วัดโดยรอบได้ 1,200 โยชน์
    พื้นที่ประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทอง
    เครื่องบน คือ ขื่อ คาน ระแนง ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 หลังคามุงด้วยอินทนิล
    เพดาน เสา ประกอบด้วยแก้วประพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงิน
    ตรงกลางศาลา เป็นที่ตั้งธรรมาสน์ สูง 1 โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 ปกกั้นด้วยเศวตฉัตรสูง 3 โยชน์
    ข้างธรรมาสน์ เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ และ
    เทวดาอื่น ๆ

    ต้นปาริชาต (กัลปพฤกษ์)
    อยู่ในอุทยานทิพย์ปุณฑริกวัน มีบริเวณกว้างขวาง มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้าน
    กลางสวนนั้นมีต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์
    ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์

    ต้นกัลปพฤกษ์ นี้ 100 ปี ถึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวนั้น ดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็จะบานสะพรั่ง
    เหล่าเทพบุตร เทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบาน

    เมื่อดอกไม้สวรรค์บานแล้ว จะปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก
    รัศมีดอกปาริชาติจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด
    ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล

    ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด
    ปรารถนาจะได้ดอกปาริชาตก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือ ดอกก็ยังไม่ทันตกลงดิน
    โดยมีลมชนิดหนึ่ง จะพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าเทพยดาผู้ใดประสงค์ก็จะมารับเอาไป

    บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
    แท่นศิลาแก้ว สีแดงดังดอกชบา อ่อนนุ่มดังฟูก
    เมื่อพระอินทราธิราชประทับพักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไป
    และเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิม
    เป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ยุบและฟูเองโดยธรรมชาติ

    สวนสวรรค์
    อุทยาทิพย์ที่มีความรื่นรมย์ สนุกสนาน หาที่เปรียบไม่ได้ในมนุษยโลก เต็มไปด้วยบุพผาชาตินานาพรรณ
    มีสระโบกขรณีอันทิพย์ มีน้ำใสดั่งแก้ว มีก้อนศิลาที่เป็นทิพย์ รัศมีรุ่งเรือง มีแท่นที่นั่งอันอ่อนนุ่ม
    สีใสสะอาด เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะมาในสวนสำราญเหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย

    อุทยานทิพย์ มีชื่อเสียง 4 อุทยาน ได้แก่
    - นันทวันอุทยาน
    - จิตรลดาวันอุทยาทิพย์
    - มิสกวันอุทยาทิพย์
    - ปารุสกวันอุทยานทิพย์

    พระเกศจุฬามณีเจดีย์
    สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์ มีความสวยงามรุ่งเรืองยิ่งนัก ยอดพระเจดีย์เป็นทองคำบริสุทธิ์
    ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ สูง 80,000 วา มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง 4 ทิศ มีความยาว 160,000 วา
    ประดับด้วยธงนานาชนิด พระเจดีย์นี้เป็นที่บรรจุสิ่งที่มีค่ายิ่ง 2 อย่างคือ
    - พระเกศโมลี ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ มวยผมที่ตัดออก ขณะที่เสด็จออกบรรพชา และได้อธิษฐานว่า
    "ถ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไปบนนภากาศเถิ
    อย่าได้ตกลงสู้พื้นปฐพีเลย" ครานั้นสมเด็จพระมหาอมรินทราธิราช ผู้เป็นใหญ่ในชั้นดาวดึงส์นี้
    จึงนำเอาพระผอบทองมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วนำขึ้นไปบนดาวดึงส์สวรรค์
    สร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระโมลีโดยเฉพาะ

    - พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ในสมัยที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    โทณพราหมณ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
    ได้นำเอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ที่ผ้าโพกศีรษะ แล้วจึงได้จัดพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือออกเป็น 8
    ส่วนเพื่อถวายแก่กษัตริย์ต่างๆ ในครั้งนั้น
    ท้าวสักกะเทวราชจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วจากผ้าโพกศีรษะของโทณพราหมณ์นั้น
    ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่งด้วยกิริยาอันเลื่อมใส
    แล้วรีบเสด็จมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระเกศจุฬามณีเจดีย์นี้

    ทางไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    สร้างเสบียงไว้นำทางคือ บุญกุศล พยายามทำตนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม
    ห้ามตนไม่ให้ทำกรรมอันหยาบช้าลามก
    อย่าให้บังเกิดความสกปรกแห่งกาย วาจา ใจ
    ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...

    "ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่หวังผลบุญของการทำทาน แต่ทำทานโดยคิดว่า การทำทานนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม
    เมื่อตายลงย่อไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์"

    "ดูกร สารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทาน แล้วให้ทาน
    ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้
    แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี
    เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำการกิริยาตายไป
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์สวรรค์"
     
  3. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    สวรรค์ชั้นที่ 3
    ยามาภูมิ


    ยามาภูมิอยู่ในอากาศ สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ 42,000 โยชน์
    เป็นภูมิที่สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่พรั่งพร้อมด้วยความสุขที่เป็นทิพย์
    ปราศจากความยากลำบากใด ๆ ถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์วิมาน และทิพยสมบัติก็ปราณีตมาก

    พระสยามเทวธิราช หรือเรียกว่า พระสุยามะ หรือ ท้าวสุยามะเทวราช ผู้มีอายุยืนถึง 2,000 ปีทิพย์
    เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา

    เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นนี้ เรียกว่า ยามา หรือ ยามะ เป็นจำพวกอากาสัฏฐเทวดาจำพวกเดียว
    เพราะมีวิมานลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่
    เทวดาที่อยู่ในภูมิสูงขึ้นไปกว่าชั้นนี้ก็ล้วนแต่เป็นอากาสัฏฐเทวดาทั้งสิ้น

    เทวดาในชั้นยามาภูมิ ล้วนเป็นผู้มีบุญมาก หน้าตางดงามรุ่งเรืองนัก มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุก
    เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ ทิพย์วิมานเป็นปราสาทเงิน ปราสาททอง ปราศจากแสงพระอาทิตย์
    และพระจันทร์ เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์ และ พระจันทร์ มากมายนัก
    มีความสว่างอันเกิดจากรัศมีแห่งแก้ว และรัศมีจากกายของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ถ้าดอกไม้บานก็จะเป็นกลางวัน
    ดอกไม้หุบจะเป็นกลางคืน

    เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นยามาภูมิแล้ว 200 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นยามา

    ทางไปสวรรค์ชั้นยามา

    ต้องพยายามสร้างบุญ ต้องเป็นผู้หนักแน่นในการบำเพ็ญบุญ
    ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า...
    "ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเป็นการทำดี แต่คิดว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
    ได้เคยทำบุญทำทานมาโดยตลอด เราก็ควรได้ทำตามประเพณีที่ท่านเคยทำมา
    ถ้าผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นยามา"

    "ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
    กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย
    เมื่อถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา"
     
  4. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    สวรรค์ชั้นที่ 4
    ดุสิตาภูมิ


    ห่างไกลจากสวรรค์ชั้นยามาภูมิ ขึ้นไปเบื้องบนประมาณ 42,000 โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี
    เป็นที่สถิตอยู่แห่งปวงเทวดาชาวฟ้าทั้งหลาย ผู้ไม่มีความทุกข์ ปราศจากความร้อนใจ แต่กลับมีแต่ความยินดี
    และ ความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์ อีกทั้งยังเป็นภูมิที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
    ก่อนที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลก และ บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ยังเป็นที่เกิดของผู้ที่จะเป็นอัครสาวก ก่อนที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลกอีกด้วย

    ดังนั้นเทวดาที่อยู่ในชั้นดุสิตาภูมินี้ จึงนับว่าเป็นเทวดาที่ประเสริฐกว่าเทวดาในภูมิอื่อน ๆ โดยมี
    สมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทวาธิบดี

    เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิแล้ว 400 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1
    วันในสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิ

    ดุสิตาภูมิ เป็นเทพนครที่ตั้งกลางนภากาศ มีปราสาทวิมานอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน

    - รัตนวิมาน คือ วิมานแก้ว
    - สุวรรณวิมาน คือ วิมานทอง
    - รชตวิมาน คือ วิมานเงิน

    ปราสาทวิมานเหล่านี้ ตั้งอยู่เรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม แต่ละวิมานเป็นปราสาททิพย์
    มีความวิจิตรตระการเหลือที่จะพรรณนา มีรัตนปราการกำแพงแก้วล้อมรอบทุก ๆ วิมาน
    มีรัศมีรุ่งเรืองเลื่อมพรรณราย สวยงามยิ่งกว่าปราสาทวิมานแห่งเทวดาทั้งหลาย ในสรวงสวรรค์ชั้นยามาภูมิ

    เทวสถานชั้นนี้ มีสระโบกขรณี และ สวนขวัญอุทยานทิพย์อีกมากมาย
    สำหรับเป็นที่เที่ยวพักผ่อนให้ได้รับความชื่นบานเริงสราญแห่งเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลาย

    ปวงเทพเจ้าทั้งหลาย ผู้เคยได้สร้างกามาวจรกุศลกรรมและผลวิบากแห่งกามาวจรกุศลกรรม ชักนำให้มาอุบัติเกิด ณ
    โลกสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมินี้ แต่ละองค์มีความสง่างามกว่าเหล่าเทวดาชั้นต่ำ ๆ
    มีจิตใจรู้บุญรู้ธรรมเป็นอย่างดี มีจิตยินดีต่อการที่จะได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก

    ทุกวันธรรมสวนะ ปวงเทพเจ้าเหล่าดุสิตาภูมินี้ ย่อมจะมีเทวสันติบาตประชุมฟังธรรมกันอยู่เสมอมิได้ขาด
    โดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทพยสภาบดี
    ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าผู้เป็นพหูสูต
    เป็นผู้รู้ธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันมาก จึงทรงมีพระอัธยาศัยน้อมไปในการแสดงธรรม
    และสดับตรังฟังพระธรรมเทศนา

    ปัจจุบันนี้ สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระโพธิสัตว์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ
    เป็นที่รู้จักกันในหมูพุทธบริษัทว่า จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอันตรกัปที่ 13 แห่งภัทรกัปนี้
    พระองค์ก็สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนี้ และมักได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงธรรม
    โปรดเหล่าเทพบริษัทในดุสิตสวรรค์นี้อยู่เสมอ

    ทางไปสวรรค์ชั้นดุสิต

    ต้องอุตส่าห์พยายามสร้างบุญกุศล ชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เพื่ออบรมปัญญาให้เจริญผ่องใส
    ไม่หวั่นไหวโยกคลอน ในการประกอบกุศล ไม่เป็นผู้มัวเมาประมาทในวัยและชีวิตของตน เร่งสร้างกุศล เช่น
    บำเพ็ญทาน และรักษาศีลเป็นนิตย์

    ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...
    "ผู้ใดให้ทานโดยไม่คิดว่าทำตามบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี
    แต่ให้ทานโดยคิดว่าเราหุงหากิน สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่ได้หุงหากิน ถ้าเราไม่ให้ทาน
    ก็เป็นสิ่งไม่ควรอย่างยิ่ง
    เมื่อเขาตายลง ก็ย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต"
     
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    สวรรค์ชั้นที่ 5
    นิมมานรดีเทวภูมิ


    เทวภูมินี้ เป็นที่สถิตของปวงเทพเจ้า ผู้มีความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณารมณ์
    ที่เนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเอง โดยมีเทพเจ้ามเหศักดิ์ ทรงนามว่า สมเด็จท่านท้าวสุนิมมิตเทวาธิราช
    ทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง จึงได้ชื่อว่า นิมมานรดีภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ
    อันมีสมเด็จพระนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี

    ภายในเทพนคร มีปราสาทเงิน ปราสาททอง และปราสาทแก้ว ทั้งมีกำแพงแก้ว กำแพงทอง อันเป็นของทิพย์
    เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทวดา

    นอกจากนั้น พื้นภูมิภาคยังมีสภาวะเป็นทองราบเรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณี และ สวนอุทยานอันเป็นทิพย์
    สำหรับเป็นที่เที่ยวเล่นสำราญแห่งเหล่าชาวสวรรค์นิมมานรดีทั้งหลาย
    เช่นเดียวกับสมบัติทิพย์ในสวรรค์ชั้นดุสิต ต่างกันแต่ว่าทุกอย่างที่นี่มีสภาวะสวยสดงดงามกว่า
    และประณีตกว่าทิพยสมบัติในดุสิตภูมิ

    เทพยดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นนี้ มีรูปทรงสวยงามน่าดูชม ยิ่งกว่าชาวสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าทั้งหลาย
    และมีกายทิพย์ ซึ่งมีรัศมีรุ่งเรืองเป็นยิ่งนัก หากเขาเกิดความปรารถนาจะเสวยสุขด้วยกามคุณารมณ์สิ่งใด
    เขาย่อมเนรมิตเอาได้ตามความพอใจชอบใจแห่งตนทุกสิ่งทุกประการ ไม่มีความขัดข้อง
    และเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใด ๆ เลย ปรองดอง รักใคร่ และได้รับความสุขสำราญชื่นบาน ทุกถ้วนหน้า

    ทางไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    ผู้ที่จำอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ต้องเพียรบริจาคทานเป็นอันมาก อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จิตใจบริสุทธิ์
    รักษาศีลไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองบุญกุศลให้ยิ่งใหญ่ อบรมจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
    ไม่ให้สกปรกลามกมีมลทิน พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาด มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล ผลวิบากแห่งทาน
    และศีลอันสูงส่งเท่านั้น จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

    ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...
    "ผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเราหุงหากิน แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ได้หุงหากิน
    เราจะไม่ให้ทานก็ไม่บังควรอย่างยิ่ง แต่ได้คิดว่าเราจะให้ทานเหมือนอย่างฤาษีทั้งหลาย
    ที่ได้กระทำมาในอดีต เมื่อตายลงย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดา ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี"
     
  6. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    สวรรค์ชั้นที่ 6
    ปรนิมมิตวสวัตตีเทวภูมิ


    สวรรค์ชั้นสูงสุดของแดนสุขาวดี ตั้งอยู่ในอากาศ ห่างจากนิมมานรดี 42,000 โยชน์
    เทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี้ ทั้งที่เป็นเทพบุตรและเทพธิดา เวลาใดที่ปรารถนาจะเสวยในกามคุณ
    ก็มีเทวดาที่รู้ใจเนรมิตให้ เมื่อได้เสวยกามคุณสมความปรารถนาแล้ว สิ่งที่เนรมิตมาก็จะสิ้นไป
    เทวดาชั้นปรนิตมิตวสวัตตีจึงไม่มีคู่ครองประจำเหมือนเทวดาในสวรรค์ชั้นอื่น ๆ

    วิมาน ทิพยสมบัติ และร่างกาย ของเทวภูมิชั้นนี้มีความสวยงามประณีต มากกว่าเทวดาในชั้นนิมมานรดี
    มีอายุยาวกว่าประมาณ 4 เท่า ถือว่าเป็นยอดภูมิ คือ ภูมิที่สูงสุดของเทวดาในเทวภูมิ 6

    เทวภูมิชั้นนี้ เป็นที่สถิตอยู่ของเหล่าเทพยดาจำพวกมารทั้งหลาย โดยมีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช และ
    สมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ทรงเป็นอธิบดี จึงได้ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ คือ
    ภูมิที่อยู่แห่งทวยเทพ

    อำนาจปกครองมิได้อยู่แต่เฉพาะเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิเท่านั้น
    แต่ยังมีอำนาจปกครองทั่วไปถึงสวรรค์ชั้นต่ำลงอีก 5 ชั้นด้วย คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต
    นิมมานรดี และมีการปกครองที่แตกต่างจากเทวภูมิอื่น คือแบ่งเป็น 2 แดน อยู่กันฝ่ายละแดน
    มีเขตแดนกั้นในระหว่างกลาง ต่างฝ่ายต่างอยู่ หากมีกิจจำเป็นจึงจะไปมาหาสู่แก่กัน

    แดนเทพยดา มีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช ทรงเป็นพระเทวาธิราชปกครอง

    แดนมาร มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ปกครอง

    เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิแล้ว 1,600 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1
    วันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวาวัตตี

    ทางไปสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

    ผู้ที่จะมาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่
    อบรมจิตใจให้สูงส่งด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีล ก็ต้องบำเพ็ญอย่างจริงจัง
    ด้วยศรัทธาอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง และผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงยิ่งเท่านั้น
    จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติสวรรค์ชั้นนี้ได้

    ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...
    "ผู้ใดทำทาน โดยไม่ได้คิดว่าทำทานตามฤาษีในอดีตที่เคยทำมา แต่คิดว่าทำทาน
    เพื่อให้จิตเกิดความปลาบปลื้มปิติในบุญที่ทำ เมื่อตายลง ย่อมไปเกิดเป็นเทวดา
    ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี"
     
  7. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พรหมภูมิ หรือ พรหมโลก 20 ชั้น

    [​IMG]

    เหนือสวรรค์ 6 ชั้นจะมีต่ออีกภูมิ เรียกว่า พรหมภูมิ หรือ พรหมโลก ถือเป็นดินแดนของพระพรหม ซึ่งเป็นภพภูมิที่สถิตย์อยู่เสวยสุขของพระพรหมผู้อุบัติเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก อันเป็นแดนซึ่งมีแต่ความสุขอันเกิดจากฌานเท่านั้น (แบ่งชั้นตามอำนาจฌานที่ได้บรรลุ) ในภพภูมินี้ตามคัมภีร์กล่าวว่าไม่มีความสุขที่เนื่องด้วยกามราคะ

    พรหมภูมิอาจแบ่งออกเป็น 2 พวก ได้แก่ รูปพรหม และ อรูปพรหม

    รูปพรหม

    รูปพรหม หรือ รูปาวจรภูมิ คือ ชั้นที่พระพรหมผู้วิเศษมีรูป หากแต่เป็นรูปทิพย์ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถ มองเห็นได้ จักเห็นได้ก็โดยทิพยวิสัยเท่านั้น ประกอบด้วยวิมาน 16 ชั้น

    สามชั้นแรก รวมเรียกว่า ปฐมฌานภูมิ ด้วยพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยปฐมฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต

    ชั้นที่ 4 - ชั้นที่ 6 รวมเรียกว่า ทุติยฌานภูมิ ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยทุติยฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต

    ชั้นที่ 7 - ชั้นที่ 9 รวมเรียกว่า ตติยฌานภูมิ ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยตติยฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต

    ตั้งแต่ชั้นที่ 10 ขึ้นไป รวมเรียกว่า จตุตถฌานภูมิ ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยจตุตถฌาน ชั้นที่ 10-11 ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะห่างไกลกันมาก

    หากแต่เฉพาะเหล่าพระพรหมในชั้นที่ 12 – 16 เรียกว่า ปัญจสุทธาวาส หรือ สุทธาวาสภูมิ อันเป็นชั้นที่เหล่าพระพรหมในชั้นนี้ ต้องเป็นพระพรหมอริยบุคคลในพุทธศาสนา ระดับอนาคามีอริยบุคคล เท่านั้น ต่างจาก 11 ชั้นแรก แม้พระพรหมทั้งหลายจะได้สำเร็จฌานวิเศษเพียงใด ก็อุบัติในสุทธาวาสภูมิไม่ได้อย่างเด็ดขาด สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ 5 ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป ตามลำดับภูมิไม่ตั้งในระดับเดียวกันเช่นชั้นแรกๆที่ผ่านมา

    ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้เป็นบริวารแห่งท้าวมหาพรหม พรหมโลกชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรก เป็นพรหมชั้นล่างสุด ตั้งอยู่เบื้องบนสูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ คือไกลจากมนุษยโลกจนไม่สามารถนับได้ ซึ่งหากเอาก้อนศิลาขนาดเท่าปราสาทเหล็ก (โลหปราสาท) ทิ้งลงมาจากชั้นนี้ ยังใช้เวลาถึง 4 เดือนจึงจะตกถึงแผ่นดิน พระพรหมในที่นี้มีคุณวิเศษ โดยเคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ปฐมฌาน อย่างสามัญมาแล้วทั้งสิ้น เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแสนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย มีอายุแห่งพรหมประมาณส่วนที่ 3 แห่งมหากัป (1 ใน 3 แห่งมหากัป)

    ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้เป็นปุโรหิต (อาจารย์ใหญ่) ของท้าวมหาพรหม พรหมโลกชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้ทรงฐานะประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม ความเป็นอยู่ทุกอย่างล้ำเลิศวิเศษกว่าพรหมโลกชั้นแรก รัศมีก็รุ่งเรืองกว่า รูปทรงร่างกายใหญ่กว่า สวยงามกว่า พรหมทุกท่านล้วนมีคุณวิเศษ ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้ บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลาง มาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณครึ่งมหากัป

    ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ


    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่ พรหมโลกชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ ที่อยู่แห่งท่านพระพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มีความเป็นอยู่และรูปกายประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีก ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุปฐมฌานขั้น ปณีตะคือขั้นสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 1 มหากัป

    ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีน้อยกว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าตน พรหมโลกชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน ได้เจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 2 มหากัป

    ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีรุ่งเรืองหาประมาณมิได้ พรหมโลกชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมากมายหาประมาณมิได้ เคยเจริญภาวนาการบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 4 มหากัป

    ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีเป็นประกายรุ่งเรือง พรหมโลกชั้นที่ 6 อาภัสสราภูมิ เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปณีตะ คือ ประณีตสูงสุดมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 8 มหากัป

    ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีสง่างามน้อยกว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าตน พรหมโลกชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย คือน้อยกว่าพระพรหมในพรหมโลกที่สูงกว่าตนนั่นเอง ได้เคยเจริญภาวนากรรม บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุตติยฌาน ขั้นปริตตะ คือขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 16 มหากัป

    ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้รัศมีสง่างามหาประมาณมิได้ พรหมโลกชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มี ประมาณ สง่าสวยงามแห่งรัศมีซึ่งซ่านออกจากกายตัว มากมายสุดประมาณได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 32 มหากัป

    ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีสง่างามสุกปลั่งทั่วสรรพางค์กาย พรหมโลกชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมี ที่ออกสลับ ปะปนกันอยู่เสมอเป็นนิตย์ ทรงรัศมีนานาพรรณ เป็นที่น่าเพ่งพิศทัศนาได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปณีตะ คือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 64 มหากัป

    ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้รับผลแห่งฌานอันไพบูลย์ พรหมโลกชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 500 มหากัป
    อนึ่งผลแห่งฌานกุศล ที่ส่งให้ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก 9 ชั้นแรกนั้น ไม่เรียกว่า มีผลไพบูลย์เต็มที่ ทั้งนี้ก็โดยมี เหตุผลตามสภาวธรรมที่เป็นจริง ดังต่อไปนี้

    เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยไฟนั้น พรหมภูมิ 4 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
    เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยน้ำนั้น พรหมภูมิ 6 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
    เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยลมนั้น พรหมภูมิทั้ง 9 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปไม่มีเหลือเลย

    ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้หาสัญญามิได้ (คือมีแต่รูป) พรหมโลกชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้อุบัติเกิดด้วยอำนาจแห่งสัญญาวิราคภาวนา เสวยสุขอัน ประณีตนักหนา เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้สำเร็จจตุตถฌาน อันเป็นรูปฌานขั้นสูงสุดสถิตย์อยู่ในปราสาท แก้ววิมานอันมโหฬารกว้างขวาง มีบุปผชาติประดับประดาเรียบ ไม่รู้แห้งเหี่ยว มีหน้าตาสวยสง่าอุปมากังรูปพระปฏิมากรพุทธรูปทองคำขัดสี แต่มีอิริยาบถไม่เหมือนกัน บางองค์นั่ง บางองค์นอน บางองค์ยืน มีอิริยาบถใดก็ เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่เคลื่อนไหวจักษุทั้งสอง ก็มิได้กะพริบเลย สถิตย์เสวยสุขเป็นประดุจรูปปั้น อยู่อย่างนั้นชั่วกาล มีอายุแห่งพรหมประมาณ 500 มหากัป

    ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติแห่งตน สูงขึ้นไปจากอสัญญีสัตตาภูมิประมาณ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลที่ไม่ละทิ้งสมบัติ เป็นผู้มีวาสนาบารมี กิเลสธุลีเหลือติดอยู่ในจิตสันดานน้อยมาก ด้วยได้เคยเป็นสาวกแห่งพระพุทธองค์ พบพระบวรพุทธศาสนาแล้วมีปกติเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตสาหะจำเริญ วิปัสสนากรรมฐาน จนยังตติยมรรคให้ เกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลจะสถิตย์อยู่จนอายุครบกำหนด ไม่จุติเสียก่อน ต่างจากพระพรหมในสุทธาวาสภูมิที่เหลืออยู่อีก 4 ภูมิ คือพระพรหมในอีก 4 สุทธาวาสภูมิที่เหลือ ซึ่งอาจมีการจุติหรือนิพพานเสียก่อนอายุครบกำหนด มีอายุแห่งพรหมประมาณ 1000 มหากัป

    ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร สูงขึ้นไปต่อจากอวิหาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี ผู้ละซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจาและใจเลย ย่อมเข้าฌานสมาบัติ หรือผลสมาบัติอยู่เสมอ นิวรณธรรมซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อนไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ฉะนั้นจิตใจของท่านเหล่านั้นจึงมีแต่สงบเยือกเย็นได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีวิริยินทรีย์ คือมี วิริยะแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 2000 มหากัป

    ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีความเห็น (สภาวธรรม) อย่างแจ่มแจ้ง สูงขึ้นไปต่อจากอตัปปาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี ผู้มีความแจ่มใส สามารถเห็นสภาวธรรมได้โดยแจ้งชัดเพราะบริบูรณ์ ด้วยประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ธัมมจักษุและปัญญาจักษุ จึงเห็นสภาวธรรมได้แจ่มใส ชัดเจน ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีสตินทรีย์ คือมี สติแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 4000 มหากัป

    ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีความเห็น (สภาวธรรม) อย่างแจ่มแจ้งยิ่ง สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า มีประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ ทั้ง 3 นี้มีกำลังแก่ กล้ากว่าพระพรหมในสุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ทำให้ท่านมีความเห็นในสภาวธรรมได้ชัดเจนแจ่มใสยิ่ง ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรค ให้บังเกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล และในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มี สมาธินทรีย์ คือมีสมาธิแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 8000 มหากัป

    ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

    ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ทรงคุณพิเศษไม่มีใครเป็นรอง สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสีสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีวาสนาบารมี มีกิเลสธุลีเหลือติดอยู่น้อยนักหนาโดยท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น ฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุคคลที่อุบัติเกิดในอกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่า บรรดาพระพรหมทั้งสิ้นในพรหมโลกทั้งหลายรวมทั้งสุทธาวาสพรหมทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 16000 มหากัป

    พรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์สำคัญ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นพรหมโลกที่เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนา องค์หนึ่งมีนามว่า ทุสสะเจดีย์ ซึ่งเป็นที่บรรจุผ้าขาวของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเสด็จออกผนวช โดยพระพรหมทั้งหลายได้นำบริขารและไตรจีวรลงมาถวาย และพระองค์ได้ถอดผ้าขาวที่ทรงอยู่ยื่นให้ พระพรหมจึงรับเอาและนำมาบรรจุไว้ยังเจดีย์ที่นฤมิตขึ้นนี้ และเป็นที่สักการบูชาของพระพรหมทั้งหลายในปัจจุบัน

    พระพรหมอนาคามีทั้งหลายในสุทธาวาสพรหมแรกทั้ง 4 หากยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน พอสิ้นพรหมายุขัย ก็ต้องจุติจากสุทธาวาสพรหมภูมิที่ตนสถิตอยู่มาอุบัติในชั้นที่ 16 นี้ เพื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานโดยทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมินี้ เป็นพรหมภูมิที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ อยางประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื่นๆ ทั้งหมด

    อรูปพรหม

    อรูปพรหม หรือ อรูปาวจรภูมิ สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนา บรรดาโยคี ฤๅษี ชีไพรดาบส ที่บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา รำพึงว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย ปรารถนาอยู่แต่ในความไม่มีรูป

    อรูปภูมิมี 4 ชั้น คือ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมในชั้นนี้ไม่มีรูปร่าง มีแต่จิตเจตสิก เพราะเห็นว่าหากมีร่างกายอยู่นั้นจะมีแต่โทษ อาจจะไปทำร้ายซึ่งกันและกันได้ จึงบริกรรมด้วยความว่างเปล่า ยึดเอาอากาศซึ่งเป็นความว่างเปล่าเป็นอารมณ์ จนได้ฌานที่มีอากาศเป็นอารมณ์เรียกว่า อากาสานัญจายตนภูมิ ซึ่งมีอายุอยู่ได้สองหมื่นกัปป์ จากนั้นก็อาจภาวนาเพื่อจะได้ไปอยู่ในพรหมโลกขั้นสูงต่อไปอีกได้ อายุของพรหมเหล่านี้จะยืนอยู่ได้สี่หมื่น หกหมื่น และแปดหมื่นสี่พันกัปป์ ตามลำดับ

    ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

    ชั้นที่ทรงอากาศไม่มีที่สิ้นสุด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึดเอา อากาศ เป็นอารมณ์ เป็นที่ตั้งอยู่แห่งพระพรหม ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติ ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 20000 มหากัป

    ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

    ชั้นที่ทรงภาวะวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึด วิญญาณ เป็นอารมณ์ พ้นจากอากาสัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ เป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณบัญญัติ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป และปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตนวิบากจิต มีอายุแห่งพรหมประมาณ 40000 มหากัป

    ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

    ชั้นที่ทรงภาวะไม่มีอะไรเลย ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึดเอาความไม่มีอะไรเลย เป็นอารมณ์ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป และปฏิสนธิด้วยอากิญจัญญายตนวิบากจิตพ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 60000 มหากัป

    ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

    ชั้นที่ทรงภาวะที่มีสัญญาไม่ปรากฏชัด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้เข้าถึงภาวะมี สัญญา ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้เกิดจากฌานที่อาศัย ความประณีตเป็นอย่างยิ่ง พระพรหมวิเศษแต่ละองค์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ 4 มาแล้ว มีอายุยืนนานเป็นที่สุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุดที่ตนได้บำเพ็ญมา เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิตทั้ง อยู่พ้นจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 84000 มหากัป
     
  8. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    โห สุดยอนเลยครับ สุดยอดจริงๆ

    ขออนุโมทนาบุญกับ จขกท. ด้วยนะครับ

    ปล.ภาพสวยมากๆๆเลยครับ มิทราบท่านเอามาจากที่ใดหนอ ??
     
  9. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    หาเอาตามในเน็ตนี้แหละครับพยายามหาภาพมาที่คล้ายๆ
    กับสวรรค์แต่ละชั้นให้พอนึกภาพตามได้ เจตนาเป็นภาพประกอบบทความเฉยๆ
    แน่นอนว่าตามสภาวะจริงแล้วสวรรค์แต่ละชั้นย่อมมีความประณีต ความเป็นทิพย์
    ซึ่งภาพหรือรูปใดๆไม่อาจจะสะท้อนภาพให้เห็นแทนได้

    ใครอยากไปพิสูจน์หรือไปดูเพื่อการศึกษาก็ฝึกภาวนา
    ทำใจให้นิ่งสงบกำหนดภาพพระ ภาพครูบาอาจารย์ที่เป็นพระ
    แล้วก็ไปดูด้วยอารมณ์และจิตที่เป็นทิพย์แล้วกันนะครับ

    โมทนาสาธุ
     
  10. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เรื่อง กรรมบถ 10

    เรื่อง กรรมบถ 10 นี้เป็นเรื่องสำคัญมาก หลายท่านที่พึ่งเริ่มรักษาศีล 5 อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยาก เพราะมีเหตุให้ผิดศีลอยู่บ่อยๆ แต่หากเรารักษากรรมบถ 10 และพรหมวิหาร 4 ได้จะทำให้ศีลเราบริสุทธิ์ได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ การรักษา กรรมบถ 10 ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีหนีนรกได้อีกด้วย…

    พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พระอรหันต์แห่งวัดท่าซุง เมตตาสอนว่า “ถึงแม้ว่าจะทรงสมาธิไม่ได้นาน ตามที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ นั้น แต่ถ้าสามารถทรง กรรมบถ ๑๐ ประการ ได้ครบ ถ้วน ท่านกล่าวว่า
    เมื่อตายจากโลกนี้ไป แล้ว ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป บาปที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยใดก็ตาม ไม่มีโอกาสนำไปลงโทษในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น อีกต่อไป

    ถ้าบุญบารมีไม่มากกว่านี้ ตายจากคนไปเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อหมดบุญแล้วลงมา
    เกิดเป็นมนุษย์ จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้น
    แต่ถ้าเร่งรัดการบำเพ็ญเพียรดี , รู้จักใช้ปัญญา อย่างมีเหตุผล ก็สามารถบรรลุมรรคผลเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้ “

    กรรมบถ ๑๐ ประการ
    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ หรือไม่ทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก
    ๒. ไม่ลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เขาไม่ให้ด้วยความเต็มใจ
    ๓. ไม่ทำชู้ในบุตรภรรยาและสามีของผู้อื่น
    (ขอแถมนิดหนึ่ง ไม่ดื่มสุราและเมรัยที่ทำให้มึนเมาไร้สติ)
    ๔. ไม่พูดจาที่ไม่ตรงความเป็นจริง
    ๕. ไม่พูดวาจาหยาบคายให้สะเทือนใจผู้รับฟัง
    ๖. ไม่พูดส่อเสียดยุให้รำตำให้รั่ว ทำให้ผู้อื่นแตกร้าวกัน
    ๗. ไม่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล
    ๘. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ยกให้
    ๙. ไม่คิดประทุษร้ายใคร คือไม่จองล้างจองผลาญเพื่อทำร้ายใคร
    ๑๐. เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านด้วยดี

    หลวงพ่อฯแนะวิธีรักษากรรมบถ ๑๐ ประการ
    การที่จะทรงความดีเต็มระดับตามที่กล่าวมาให้ครบถ้วน ให้ปฏิบัติดังนี้

    ๑. คิดถึงความตาย ไว้ในขณะที่สมควร คือไม่ใช่ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อตื่นขึ้นใหม่ ๆ
    อารมณ์ใจยังเป็นสุข ก่อนที่จะเจริญภาวนาอย่างอื่น ให้คิดถึงความตายก่อน คิดว่าความตายอาจ จะเข้ามาถึงเราในวันนี้ก็ได้ จะตายเมื่อไรก็ตามเราไม่ขอลงอบายภูมิ ที่เราจะไปคือ อย่างต่ำไปสวรรค์ , อย่างกลางไปพรหม ถ้าไม่เกินวิสัยแล้วขอไปนิพพานแห่งเดียว คิดว่าไปนิพพานเป็นที่ พอใจที่สุดของเรา

    ๒. คิดต่อไปว่า เมื่อความตายจะเข้ามาถึงเราจะเป็นเวลาใดก็ตาม เราขอยึดพระพุทธเจ้า
    พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต คือไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ยอมเคารพด้วยความศรัทธา คือความเชื่อถือในพระองค์ ขอปฏิบัติตามคำสอน คือกรรมบถ ๑๐ ประการโดยเคร่งครัด ถ้าความตายเข้ามาถึงเมื่อไร ขอไปนิพพานแห่งเดียว เมื่อนึกถึงความตายแล้ว ตั้งใจเคารพ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกแล้วตั้งใจ นึกถึงกรรมบถ ๑๐ ประการว่ามีอะไรบ้าง ตั้งใจจำ และพยายามปฏิบัติตามอย่าให้พลั้งพลาด คิด ติดตามข้อปฏิบัติเสมอว่า มีอะไรบ้าง ตั้งใจไว้เลยว่า วันนี้เราจะไม่ยอมละเมิดสิกขาบทใด สิกขาบทหนึ่งเป็นอันขาด เป็นธรรมดาอยู่เองการที่ระมัดระวังใหม่ๆ อาจจะมีการพลั้งพลาดพลั้งเผลอในระยะต้นๆ บ้างเป็นของธรรมดา แต่ถ้าตั้งใจระมัดระวังทุกๆ วันไม่นานนักอย่างช้าไม่เกิน ๓ เดือน ก็สามารถรักษาได้ครบ มีอาการชินต่อการรักษาทุกสิกขาบทจะไม่มีการผิดพลาดโดยที่เจตนาเลย
     
  11. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    อานิสงส์การประพฤติธรรม
    1.เป็นมหากุศล
    2.เป็นผู้ไม่ประมาท
    3.เป็นผู้รักษาสัทธรรม
    4.เป็นผู้นำศาสนาให้เจริญ
    5.เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า
    6.ไม่ก่อเวรก่อภัยกับใคร ๆ
    7.เป็นผู้ให้อภัยแก่สรรพสัตว์
    8.เป็นผู้ดำเนินตามปฏิปทาของนักปราชญ์
    9.สร้างความเจริญความสงบสุขแก่ตนเองและส่วนรวม
    10.เป็นผู้สร้างทางมนุษย์ สวรรค์ พรหม นิพพาน

    "ธมฺมจารี สุขํ เสติ
    การประพฤติธรรม นำสุขมาให้"
    (พุทธพจน์)
     
  12. โอกระบี่

    โอกระบี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +1,651
    ขอบพระคุณเจ้าของกระทู้เป็นอย่างยิ่งที่นำบทความและภาพสวย ๆ มาให้ชมกัน สวยมาก
     
  13. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    อยากทราบว่า เทวภูมิชั้น 6 ทำไมถึงไม่มีคู่ครองล่ะครับ

    ถ้าเกิดเขามีความรักกัน หรือ รักกันตั้งแต่บนโลกมนุษย์จะอยู่วิมานเดียวกัน
    เดินด้วยกันไม่ได้หรอครับ

    ปล.อนุโมทนาบุญที่เอาความรู้ดีๆมาฝากนะครับ และขอให้ทุกๆคนในกระทู้นี้ได้บุญเยอะๆด้วยนะครับ
     
  14. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เพราะว่า เทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี้ ทั้งที่เป็นเทพบุตรและเทพธิดา เวลาใดที่ปรารถนาจะเสวยในกามคุณก็มีเทวดาที่รู้ใจเนรมิตให้ เมื่อได้เสวยกามคุณสมความปรารถนาแล้ว สิ่งที่เนรมิตมาก็จะสิ้นไป เทวดาชั้นปรนิตมิตวสวัตตีจึงไม่มีคู่ครองประจำเหมือนเทวดาในสวรรค์ชั้นอื่น ๆ

    ถ้าเกิดเขามีความรักกัน หรือ รักกันตั้งแต่บนโลกมนุษย์หากทั้งคู่มีบุญนำพามาให้ได้ถึงสวรรค์ชั้นนี้ได้โดยปกติแล้วก็จะมีวิมานเป็นของตนเองครับ นอกเหนือจากนี้แล้วในกรณีที่เป็นคู่รักกันแล้วทั้งสองมาเกิดที่ชั้นนี้ได้เหมือนกันแล้วลักษณะแห่งการเสวยทิพย์ก็จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงแบบเดียวกัน จึงไม่มีคู่ครองประจำเหมือนเทวดาในสวรรค์ชั้นอื่น ๆ อีกด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถพบปะสมาคมกันถ้าต้องการ และอีกอย่างการเสวยทิพย์ในชั้นนี้ประณีตมาก การเสวยกามคุณต่อกันเพียงมองตากันก็สำเร็จถึงความปราถนาในการเสพกามคุณนั้นแล้ว ซึ่งต่างจากสวรรค์ชั้นอื่นๆลงไป

    ธรรมรักษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กุมภาพันธ์ 2012
  15. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    อนุโมนาค่ะ...............
     
  16. skyone

    skyone สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +11
    อนุโมทนาครับ โหเก่งจังเอาข้อมูลมาจากไหนครับแต่ขอบคุณมากเลย เป็นประโยชนืมากๆ
     
  17. พยัคฆ์หลับ

    พยัคฆ์หลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +83
    อนุโมทนาครับ
    เรียนถามผู้รู้ว่า ๑ วัน ๑ คืนในพรหมโลก เท่ากับกี่ปีของโลกมนุษย์ครับ
     
  18. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493
    อนุโมทนา สาธุ

    บอกกล่าวเรื่องได้ละเอียดดีมากค่ะ
    ^^
     
  19. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    ขอกล่าวถึงอายุของเหล่าเทวดาก่อนนะครับให้พอเห็นภาพ
    ความต่างกันของเวลา เทวดาที่จะพูดถึงนี้คือ
    เทวดาที่อยู่ในชั้นกามวจรทั้ง 6 ชั้น ต่อไปนี้

    1. สวรรค์ชั้น จาตุมมหาราชิกา มีอายุ 500 ปีสวรรค์

    2. สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ มีอายุ 1,000 ปีสวรรค์

    3. สวรรค์ชั้น ยามา มีอายุ 2,000 ปีสวรรค์

    4. สวรรค์ชั้น ดุสิต มีอายุ 4,000 ปีสวรรค์

    5. สวรรค์ชั้น นิมมานรดี มีอายุ 8,000 ปีสวรรค์

    6. สวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี มีอายุ 16,000 ปีสวรรค์

    ปัญหาต่อไปคือ ใน 1 วันสวรรค์ของ
    สวรรค์แต่ละชั้น มีระยะเวลาเมื่อเทียบกับระยะ
    เวลาในโลกมนุษย์ไม่เท่ากันดังนี้

    1. 1 วันของสวรรค์ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์

    2. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 100 ปีโลกมนุษย์

    3. 1 วันของสวรรค์ชั้น ยามา เท่ากับ 200 ปีโลกมนุษย์

    4. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดุสิต เท่ากับ 400 ปีโลกมนุษย์

    5. 1 วันของสวรรค์ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 800 ปีโลกมนุษย์

    6. 1 วันของสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 1,600 ปีโลกมนุษย์

    เพราะฉะนั้น อายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ
    ถ้าจะเทียบกับเวลาในมนุษย์จะได้ดังนี้

    1. ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์
    (500 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 50ปีมนุษย์ )

    2. ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์
    (1,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 100ปีมนุษย์ )

    3. ชั้นยามา เท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์
    (2,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 200ปีมนุษย์ )

    4. ชั้น ดุสิต เท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์
    (4,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 400ปีมนุษย์ )

    5. ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์
    (8,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 800ปีมนุษย์ )

    6. ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์
    (16,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 1,600ปีมนุษย์ )

    ข้อมูลนี้ได้มาจากตำรา ผมไม่แน่ใจว่า ตำราที่ผมอ่านนั้น
    มีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน ฝากไว้ให้ผู้รู้ช่วยตรวจสอบด้วยแล้วกันครับ

    ดังนั้นในสวรรค์ชั้นพรหม เวลาจะเดินช้ามาก หนึ่งหมื่นปีบนโลก
    มนุษย์อาจจะเท่ากับหนึ่งวันบนพรหมโลกชั้นต้นๆโดยประมาณนะครับ
    เมื่อขึ้นไปพรหมชั้นสูงๆ เวลา 1 วัน ก็จะแตกต่างไปอีกตามความละเอียด

    ธรรมรักษาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กุมภาพันธ์ 2012
  20. teerjarun

    teerjarun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +272
    อนูโมทนา....สาธุด้วยนะครับ กับสิ่งดีๆที่นำมาแบ่งปัน ครับ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...