เปิดดูไฟล์ 4414705
บ้าตัณหา หลวงปู่จันทา ถาวโร
ขันธ์ ๕ กามตัณหา หลวงปู่จันทา ถาวโร
เสียงธรรม อธิษฐานกรรม / หลวงปู่จันทา ถาวโร
ในห้อง 'ธรรมเทศนาทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 5 ธันวาคม 2017.
หน้า 1 ของ 7
-
-
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่จันทา ถาวโร
วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
ก. ชีวิตฆราวาส
๑. ชาติภูมิ
หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นบุตรของ นายสังข์ ไชยนิตย์ และนางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ท่านถือกำเนิดในวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ ณ หมู่บ้านแดง ต.เหนือ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖ คน ดังนี้
๑) นายนู ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๒) นางต่วน ชมภูวิเศษ
๓) นายแก้ว ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๔) หลวงปู่จันทา ถาวโร
๕) นายบุญ ไชยนิตย์
๖) นายน้อย ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
๒. ลูกกำพร้า
หลวงปู่เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กไว้ว่า “อย่างข้าพเจ้านี้มันก็แสนทุกข์ยากลำบากเกิดมาชีวิตนี้ คิดแล้วน้ำตาไหล พออายุได้ ๗ ปี ได้น้อง ๒ คน แม่ก็ตาย เพราะกินผิด คือ แม่เอาอาหารไปถวายพระตอนเพล แล้วไปกินป่นปลากับผักผีพวย นั่นแหละก็เลยผิดกรรมเสีย เมื่อผิดกรรมแล้วทำอย่างไร สมัยนั้นหมอยาก็มีแต่ยารากไม้ รักษาไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยตาย”
ก่อนตาย แม่ก็สั่งว่า “ลูกคนเล็กๆ ๓ คนนี้ให้แม่ป้าพ่อลุงเอาไปเลี้ยง เพราะเขาเป็นเชื้อผู้ใหญ่ และมีเรือนอยู่ติดกัน ส่วนลูกคนโต ๆ นั้น ให้อยู่กับน้าบ่าวน้าสาว”
พอแม่ตาย พ่อก็เลยไปเอาเมียใหม่มาเลี้ยง ให้เมียใหม่มาช่วยเลี้ยงลูก แม่ใหม่กับลูกสาวก็เหมือนหมากับแมวนะ ลูกสาวก็ด่าเอาว่า “มึงไม่ใช่แม่กู อย่ามาทำสำออยเจ้าน้อย ให้กูตักน้ำมาให้อาบ ไม่ดอก” นั่นแหละ ผลสุดท้ายก็เลยแตกกัน เหมือนนกแตกรังเหมือนควายแตกคอก พ่อก็เลยไปอยู่กับแม่ใหม่เสีย แหม...ทีนี้ ก็เร่ร่อนสัญจรไปไหนมาไหนก็แสนทุกข์ยากลำบาก ทำงานหากินเลี้ยงชีพ
๓. ลูกชาวนา....ไร้การศึกษา
เราเกิดมาชาตินี้ แสนทุกข์ยากลำบาก เกิดขึ้นท่ามกลางไร่นา อายุ ๗ ปี แม่ตาย ๑๐ปี พ่อตาย เราก็เป็นลูกกำพร้า อยู่กับพี่น้องเขาก็พาให้เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนอะไร ทำนาตั้งแต่อายุ ๗ ปี นะ เริ่มทำจากนั้นมาถึง ๒๕ ปี แหมมันแสนทุกข์ยากลำบาก ๕ โมงเช้าถึงจะได้กินข้าว นั่นแหละปวดหลัง ปวดเอว บ่นเพ้อละเมอใจว่า เมื่อไหร่หนอเราจะพ้นจากการทำนา มันทุกข์ยากลำบาก
๔. นายพรานใหญ่
หลวงปู่เล่าต่อไปอีกว่า ผมเป็นนายพรานใหญ่นะ บ้านอยู่ฝั่งแม่น้ำชี จ.ร้อยเอ็ด สมัยผมเกิดนะไปหาปลาหาบตะกร้าไป บ้านนั้นมี ๑๐ หลังคาเรือนคุ้มนี้นะ ๒ คนนี่หาบตะกร้าไปเลย ลงไปหนองน้ำ ปลานี่ชุกชุมยุบยับ.....ๆ.....ๆ ไปถึงก็กำเอาๆ จนเต็ม ๒ หาบตะกร้า เอามาตั้งไว้กลางบ้าน แล้วก็ร้องบอกชาวบ้าน “มาเด๊อ !.....ไผอยากได้ก็มาเอา”
ตั้งไว้แล้วก็ไป ชาวบ้านก็ถือตะกร้าลงมา อยากได้ตัวไหนก็เอาไป พอเขากลับกันหมดแล้ว ปลาที่เหลือจึงไปเอามากินนะ ข้อยไปก็อย่างนั้น เจ้าไปก็อย่างนั้น แต่ก่อนไม่ได้ซื้อไม่ได้ขาย จะเอาไปทำอะไร สัตว์นั้นมันหลาย นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากแล้วชีวิตนี้
๕. ได้เมียแม่หม้าย
พอเติบใหญ่ อายุได้ ๒๓ ปี เขาก็บังคับให้มีครอบครัว แต่แล้วครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ได้แม่ร้างแม่หม้าย ลูก ๓ ผัวเขาตาย เหลือแต่ของไม่ดีนั่นแหละ ของดีเขาเอาไปกินหมดแล้วสมขี้หน้าไหมเล่า แต่แล้วเราก็เหมือนกับแมว หญิงหม้ายนั้นเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่ มันก็คั้นคอเอาอย่างนั้นทุกวัน นั่นแหละเพราะบุญพาวาสนาส่งไม่ดี ผลสุดท้ายก็เลยแยกทางกัน
เหตุที่แยกกับภรรยานั้น หลวงปู่เคยพูดว่า “วันหนึ่งสะพายข้องและแหไปหาปลา หว่านแหดำน้ำหาปลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ได้ปลาสักตัว ดำน้ำจนตาแดงกล่ำ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ตอนเย็นเดินคอตกกลับบ้านไม่ได้อะไร พอเห็นหน้าภรรยาสุดที่รัก ก็พูดบอกให้ฟัง แทนที่จะเห็นใจ กลับขู่ตะคอกต่อว่า หาว่า ไป มัวเถลไถลเที่ยวเล่น จนมืดค่ำ แล้วภรรยาก็เอาเครื่องมือหาปลามีข้องและแห เป็นต้น ถลกผ้าถุงปัสสาวะใส่ต่อหน้าต่อตา เห็นแล้วก็เกิดความสลดสังเวชอย่างใหญ่หลวง คิดว่า โอ๋....เมียเราทำไมทำได้ขนาดนี้ ทำถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ด้วยกันไปก็ไม่เป็นมงคลอะไรจึงตัดสินใจแยกทางกับเมีย อย่างเข็ดหลาบ”
ทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ทำอะไรก็ไม่ทันสมัยกับเขา เลี้ยงแต่ควาย ทำแต่นา ทำอะไรก็ไม่ดีกับเขาสักอย่าง สร้างโลก (มีครอบครัว) ก็สร้างแล้ว มีแต่จมกับจม สิ่งใดก็ไม่ดีทั้งหมดผลสุดท้ายก็มาคิดว่าทำอย่างไรมันจึงจะดี
ข. ออกบวช
๑. เหตุแห่งการบวช
ก็มาคิดปรารภถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้านั่นแหละ คิดถึงแม่เวลาใด น้ำตาไหลนะ ถามนักปราชญ์ทั้งหลายว่า ทำอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแม่ได้ นักปราชญ์ท่านก็ว่า จะทำนาค้าขายตอบแทนก็ไม่ได้ดอก มีแต่ออกบวชเท่านั้นแหละ บวชแล้วบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
ทีนี้ก็เลยตั้งใจใฝ่ฝันว่าจะบวช บำเพ็ญบุญให้แม่สัก ๒ - ๓ พรรษา แล้วก็จะสึก จากนั้นก็เข้าวัดฝึกหัดขานนาค เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออก นั่นแหละ มันปึก (โง่) จึงท่องไม่ได้ ท่องแล้วท่องเล่า จนจะถอยหลังนะ เอ้าตั้งใจใหม่ โอ๋.....คนอื่นเขายังได้เว้ย ! เอาวันละคำนะ “เอสาหัง ภันเตฯ.....” อยู่นั่นแหละ มักน้อยเอาวันละคำก็เลยได้ เข้าวัดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พอขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (พฤษภาคม) จึงได้บวช ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมี หลวงปู่หนู ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ที่วัดบ้านปลาฝา ซึ่งเป็นวัดฝ่ายมหานิกายมาบวชให้ แล้วจำพรรษาอยู่วัดบ้านขมิ้น ๑ พรรษา จากนั้นจึงมาจำพรรษาที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านแดงมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส
๒. อุทิศบุญให้แม่
หลวงปู่เล่าว่า พอบวชแล้วออกจากโบสถ์มาก็อุทิศส่วนบุญให้แม่เลย “บุญ ที่ข้าพเจ้าบวชในวันนี้ ขอฝากแต่แม่เจ้าธรณีเทพเจ้าเหล่าเทวา นำบุญนี้ไปให้แม่ข้าพเจ้า มีนามว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตของเขานั้น ไปอยู่สถานที่ใด ไปตกนรกก็ดี หรือไปมนุษย์ก็ดี หรือไปเป็นเปรต เป็นผี ก็ดี ขอให้ได้รับส่วนบุญนั้น ขอให้พ้นทุกข์ ให้กลับมาเกิดในตระกูลเดิม จะได้เห็นอำนาจในการบำเพ็ญบุญ ส่วนผู้นำข่าวบุญไปนั้น ก็ขอแบ่งส่วนบุญให้”
จากนั้นก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยืนภาวนา เดินจงกรม วันยังค่ำ บางกาลสมัย ๕ ปีนะ ไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน เดิน ยืน นั่ง เท่านั้นแหละ ๔ - ๕ วัน ฉันครั้ง เพราะวิตกวิจารณ์ใจ กลัวว่าจะได้บุญน้อย จะไม่ไปช่วยเหลือแม่ นั่นแหละ ก็ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ
๓. ให้พระเณรช่วยสอน
เมื่อหลวงปู่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีจันทร์ ในหมู่บ้านแดงซึ่งมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส หนังสือไม่ได้เรียน อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น เป็นแต่เลี้ยงควาย ไถนา คราดนา เท่านั้น วิชาความรู้ประจำชีวิตทางฝ่ายโลกก็ไม่เป็น เมื่อเข้ามาทางฝ่ายธรรม จะมาเรียนปริยัติ ตรี โท เอก ก็ไม่มี เพราะเขียนไม่เป็น อ่านไม่ได้
ทีนี้ก็มาตั้งใจประพฤติวัตรปฏิบัติ อ่อนน้อมค้อมตัวต่อพระเณร “ครูบาท่าน !.....เมตตาสงเคราะห์ไอ้คนทุปัญญาเถอะว้า บางทีผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แล้วนั้นก็จะได้ผลบุญผลกุศลจากผมที่ได้ธรรมมะจากท่านฝึกสอนให้นี้นั้น ไปอบรมบ่มนิสัย ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา จะได้เป็นบุญกุศลของตน และท่านผู้ฝึกสอนถ่ายทอดความรู้ให้นั้น”
เขาเหล่านั้น บางองค์ก็พอใจฝึกสอนให้ บางองค์ก็เฉยถือตัวสำคัญว่า ผมนี้บุญน้อย วาสนาน้อย ฝึกสอนความรู้ให้แล้วก็คงจะไม่เป็นไปดอก ดูกิริยามารยาทแล้ว จะไม่เป็นไปในทางศาสนาดอก ถึงบวชก็ได้เพียงแค่พรรษาเดียว ก็จะตายเท่านั้นแหละ
แม้อาจารย์ที่เป็นผู้ปกครอง คือ หลวงปู่นัน ตาปโส ท่านก็พูดแล้ว พูดเล่า พูดกับพี่สาวผมนั่นแหละ “แม่ต่วน !.....เอาผีบ้ามาบวชใช่ไหมเล่า ? ดูแล้วมันไม่ใช่คน ไม่เต็ม ขาดสลึงหนึ่ง ไม่เต็มคน มันจะไม่เป็นไป ”
พี่สาวก็เลยว่า “ โอ๋.....ตั้งแต่วันเกิดมา ฉันเองเป็นคนเลี้ยงมาแต่น้อย จนถึงใหญ่ น้องทุกคน ทั้งที่ตายแล้วหรือยังอยู่ก็ดี สมบัติ สีสัน วรรณะ กิริยา มารยาท ก็ไม่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นบ้าใบ้อะไรหรอกปู่ พอมีบุญอยู่ แต่ก็ขอให้ปู่ช่วยรับสงเคราะห์ต่อไปเถิด จะดีหรือชั่วก็จะได้เห็นกันข้างหน้าโน้น”
เรื่องดีชั่ว ที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนโน้น ก็ไม่อาจล่วงรู้กันได้ จะรู้กันได้ก็แต่ในปัจจุบันกับอนาคต นั่นแหละ แต่แล้วพระบางองค์ ท่านก็รังเกียจ เห็นว่า วิชาความรู้อะไรก็ไม่มี อ่านหนังสือก็ไม่ได้ เขียนก็ไม่เป็น ก็เลยไม่สอนให้ เณรบางองค์ก็รังเกียจ บางองค์ก็เมตตา แต่แล้วก็มีน้องชาย ๒ คน ซึ่งเป็นลูกน้าสาว (น้องแม่) เขาบวชอยู่แล้ว องค์หนึ่งบวชเป็นพระได้นักธรรมโท อีกองค์หนึ่งเป็นเณร ได้นักธรรมเอก เขาก็เมตตาสอนให้ ถ้าได้ดีข้างหน้าโน้นแล้วจะได้พึ่งพิงอิงอาศัยบ้าง และจะเป็นบุญเป็นกุศลของผู้ถ่ายทอดความรู้ให้ นั่นแหละ
๔. คำสั่งสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์
พอบวชแล้วอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านก็บอกว่า “พระจันทา (ครับ) เธอนั้นเป็นคนทุกข์ยากลำบาก ความรู้วิชาอะไรก็ไม่ทันเขา วาสนาก็น้อย บุญก็น้อย พลอยรำคาญทุกข์ยากนานไม่มีวันว่างเว้น ถ้าบวชแล้วอย่าสึกนะ (ครับ) สึกไป ฟ้าผ่าห่ากินนะ ให้มันตายฉิบหาย มันไม่มีสติปัญญาวิชาความรู้เกิดมาภพน้อย ภพใหญ่ ทำตนเป็นคนกำพร้า อนาถา ทุกข์ยากเดือดร้อน อาทรใจอยู่อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ ไม่มีสติปัญญา เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา แต่ไม่เหมือนกัน เขามีที่พึ่งพิงอิงอาศัย เราไม่มี เหมือนกับสุนัขกลางบ้าน นั่นแหละ สุนัขกลางบ้านทั้งเป็นขี้เรื้อน อีกด้วย”
“นั่นแหละ อย่าสึกนะ !.....สึกแล้วฟ้าผ่าห่ากิน ไปไหน ให้มันตายมันโง่นี่ มันไม่มีสติปัญญาฉลาด จะไม่ทำคุณงานความดี ใส่ตนหลงไปตามแต่อารมณ์ของโลก เรื่องโลกๆ ฟังแต่ว่าโลก มันประกอบไปหมดทุกอย่าง รวมอยู่นั้นเรียกว่าโลก ส่วนเรื่องธรรมนี่มันน้อยนัก แต่ละภพแต่ละชาติที่จะได้มาประสบพบปะ ได้เจริญธรรมนั้นก็เป็นของยาก ทีนี้มาชีวิตนี้ได้พบแล้ว ก็ตั้งใจเจริญสะสมบุญ ให้เกิดมีขึ้นทุกเมื่อ อย่าได้ขาด เอาชีวิตเป็นแดน”
“ครับ” มีแต่ครับ รับได้เลย เพราะมองเห็นแล้วว่า อะไรก็ไม่เหมือนเขา เอ้า.....ตั้งใจ
“ถ้าผมประพฤติวัตรปฏิบัติไปอย่างครูบาอาจารย์ หรืออุปัชฌาย์สอนนี่ จะเป็นบุญหรือเป็นบาป จะดีขึ้น หรือเสมอเดิมหรือถอยหลัง”
“อ้าว !.....มันก็เป็นบุญ มีแต่ดีขึ้น ไม่ถอยหลัง คงที่ก้าวหน้าไปเท่านั้นแหละ ความโง่ก็จะหมดไป ความฉลาดก็จะเกิดขึ้น นั่นแหละบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป บาปคือความโง่หลาย ทุกข์ยากลำบาก นั่นแหละบาป โทษปาณาติบาตที่ทำไว้ก็หนักมหันต์ เธอต้องบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ไหวนะ ตายไปตกนรกหมกไหม้เป็นทุกขเวทนา หาวันจบสิ้นไม่ได้”
อุปัชฌาย์อาจารย์ สอนแล้วสอนเล่า ก็พอใจ มองดูโลกคือหมู่สัตว์ มันเหมือนกันไหมเล่า สูงต่ำ ดำขาว จนมี ดีชั่ว ฉลาด โง่เขลาเบาปัญญา นั่นแหละ มันไม่เหมือนกัน เพราะเหตุใดจึงไม่เหมือนกัน เพราะกรรมดีกรรมชั่ว เป็นผู้ตกแต่งโลกคือหมู่สัตว์นั้นให้ต่างกัน
กัมมุนา วัตตะตี โลโก โลกคือหมู่สัตว์ กรรมย่อมจำแนกตกแต่งให้ฉลาดโง่เขลา เบาปัญญา อายุสั้นพลันตายหรืออายุยืนยาว ไม่เหมือนกัน ร่ำรวย สวย จน ก็ไม่เหมือนกัน เพราะกรรมเป็นผู้ตกแต่งให้ ไม่ใช่สิ่งใดดอกที่จะตกแต่งให้ มีแต่กรรมเท่านั้น
กรรมดี กรรมชั่ว นั่นแหละ ที่ตกแต่งให้โลก ได้แก่สัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่เหมือนกัน ถ้ากรรมดีมีแล้ว ก็ได้ดั่งใจหมาย จะทำไร่ทำนา ก็เจริญ ค้าขายก็เจริญ ศึกษาเล่าเรียนก็เจริญ ทันสมัยเขา เป็นเจ้าเป็นนาย ฉลาดมีสติปัญญาดี เพราะบุญเป็นเครื่องเสริม นั่นแหละ ถ้าบุญไม่มีแล้ว จะทำอะไรก็ล้าสมัยเขา ผลสุดท้ายก็ บ่าแบกหลังหนุน น้ำเหงื่อไหลไคลย้อย ทุกข์จนค่นแค้นแสนกันดาร ทำงานวันยังค่ำก็ไม่พอกิน
โอ้.....นี่เห็นจริง ๆ นะ แหม.....ผมนั้นรูปร่างล่ำสันใหญ่เขาจ้างให้ขุดโพนใหญ่ ๒ - ๓ วัน แล้วเลย (เสร็จเลย) พอได้กินสืบวันเท่านั้น นี่มันต่างกัน คนเขาร่ำรวยมีวาสนาไม่ได้ทำมากเท่าใด ก็เหลือกิน เหลือใช้ นั่นแหละคงจะเป็นอย่างว่า เกิดขึ้นเพราะกรรมดี กรรมชั่ว ทั้งนั้น
ทีนี้ ก็ตั้งใจเจริญบุญตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ เจริญบุญ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนา อดนอน ผ่อนอาหารมาไม่ลดละ เมื่อเจริญมรรค เครื่องส่งจิตเข้าสู่ความสงบได้ ความสุขเยือกเย็นเกิดขึ้นภายใน คือ ความสงบสุขนั้น นั่นแหละก็เห็นอำนาจของบุญ คือ ความสุขเยือกเย็นที่แท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี สมัยเป็นฆราวาส กินลาบวัวลาบควายกับเหล้า ก็นึกว่ามันอร่อยเต็มที่แล้วนะ ซุบหน่อไม้ส้มกับปูนา แต่ก่อนนะมันอร่อยแหม ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่เท่าจิตสงบครั้งหนึ่งนะ
จิตสงบครั้งหนึ่ง แหมมันอร่อยเยือกเย็นหาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี นั่นแหละเป็นรสชาติอันอร่อย การสะสมบุญก็ส่งผลมาเป็นระยะ ๆ ถ้าบุญพาวาสนาส่งทั้งภพชาติก่อนโน้น จะได้สะสมไว้ในศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ดี มาองค์นี้ก็ดี ก็ขอจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความยึดมั่นถือมั่นในศาสนาพุทธไม่ลดละ อย่าได้หวั่นไหวไปตามโลก ตามสงสาร มีความยึดมั่นกระสันพอใจเจริญธรรม ทั้งเช้า กลางวัน เย็น กลางคืนอยู่ทุกเวลา ไม่ประมาท นั่นแหละ มันก็เห็น เป็นอย่างนั้น มีความมั่นมาเสมอ
๕. ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด
ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน “ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น” นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง
แม่ยายเขาเรียกใช้ “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”
“มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”
“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”
“สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”
เขาต่อว่ากลับมาอีก “โอ๋.....ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก”
เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”
ก็ถามเขาต่อไปว่า ”ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวัน ทั้งคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”
“โอ๋.....ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า ”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
๖. ทำบุญกับพระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึง
ทีนี้ก็ย้อนมาถามพี่สาวบ้างว่า “ไม่ได้ทำบุญอุทิศไปให้แม่บ้างหรือ ?”
พี่สาวก็ว่า ทำ ๓ ครั้ง น้าสาว (น้องแม่) เขาคิดถึงพี่สาวเขาก็เลยพาหลานสาวทำบุญอุทิศไปให้แม่ ทำถึง ๓ ครั้ง
“ทำอย่างไรเล่า ?”
น้าสาวพาทำบุญใส่เหล้าลงไปครั้งละโหลนะ ครั้งละโหล ไหใหญ่ ๆ ฝังไว้ในป่าสับปะรด ป่ากล้วย ฆ่าวัว ฆ่าควาย สมัยนั้นวัวควายราคาถูก ทำบุญแต่ละครั้งหมดวัวควายไป ๔ - ๕ ตัว ตัวละ ๑๐ สลึงก็มี ตัวละ ๖ สลึงก็มี บาทหนึ่งก็มี ๕๐ สตางค์ก็มี สมัยนั้นวัวควายไม่มีราคา
“แล้วพระที่ไปทำบุญด้วยนั้น มีการประพฤติปฏิบัติอย่างไร ?”
“โอ๋.....พระเหล่านั้น กินข้าวแลงแกงร้อน (กินข้าวมื้อเย็น) เล่นสีกงสีกานารี ขุดดิน ฟันไม้ ถือเงินบายทอง (ใช้จ่ายเงินทองเยี่ยงฆราวาส) และที่วัดนั้นมีหมาพรานอยู่คู่หนึ่ง เย็นค่ำขึ้นมาก็พาหมาเข้าป่าไปล่าสัตว์ อีเห็น กระต่าย ได้มาก็เอามาทำอาหารกิน กินเหล้า กินยา ต่างๆ นานา”
ถ้าทำบุญอย่างนั้นก็ไม่ได้บุญหรอก ถึงจะอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับหรอก เหตุที่อุทิศไปให้ไม่ถึงก็เพราะ
๑) ฆ่าวัว ฆ่าควาย กรรมของสัตว์เหล่านั้นไปขวางไว้
๒) ผู้รับทานนั้น เป็นพระทุศีล พระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึงนะ เพราะเครื่องส่งนั้นคือศีลนั้นมันขาด ขาดศีลเป็นเครื่องส่งบุญ แม้ตัวพระเองก็ไม่ได้รับ เพราะมีแต่บาป จะรับไทยทานส่งไปให้ผู้อยู่โลกหน้าก็ไม่ถึงทั้งนั้น
๗. ทำบุญอุทิศให้คนเป็น
หลวงปู่ยังเล่าไว้อีกว่า หลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่สาวเป็นทหารเสือพรานไปรบที่เวียดนามเหนือ แล้วถูกเขาจับขังไว้ ๔ ปีนะ ทุกข์ยากลำบากแสนที่จะตาย ก็นึกว่าจะไม่ได้กลับเมืองไทย ทีนี้ พี่สาวกับพี่เขย เขาก็มานิมนต์พาไปทำบุญหาหลานสงสัยจะตายไปแล้ว มาถึงก็พาเขาทำเลย อย่าฆ่าวัว ฆ่าควายนะ ถ้าต้องการก็ไปหาเนื้อปลาอาหารที่ตลาดที่เขาทำไว้แล้ว จึงจะอุทิศถึง นั่นแหละก็เลยทำ ทำเสร็จก็อุทิศให้ว่า
“ขอบุญจงไปถึงนายแขก เขาไปอยู่เวียดนามเหนือนั้นจะตายหรือยัง ถึงตายแล้วก็ดี หรือยังอยู่ก็ดี ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ถ้ายังไม่ตายขอให้กลับคืนมาเมืองไทย”
ไม่นานเขาก็มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันนะ รัฐบาลเขาประกาศว่า ใครมีลูกมีหลาน ก็ไปรอรับเอาที่ขอนแก่น หรือโคราชนะ เขาจะขึ้นเครื่องบินมาลงที่นั่น นั่นแหละพี่น้องเขาก็ไปรอรับ โอ๋...ผอมดำเหมือนผี กลับมาแล้ว เขาก็ซักไซ้ไต่ถามดูว่า
“เป็นอย่างไรเล่า ทำบุญให้ได้รับไหม ?”
“โอ้.....เดือน ๓ เพ็ญ นอนหลับฝันไปนะ มีแต่ข้าวต้มขนมเต็มอยู่ กินจนเต็มอิ่มนะ ตื่นขึ้นมาก็อิ่มอีกนะ โอ๊.....อาจจะแม่นพ่อแม่เขาทำบุญมาให้นะ”
นั่นแหละ ไม่นานก็พ้นโทษ รัฐบาลทั้ง ๒ ก็แลกเปลี่ยนเชลยศึกกัน กลับมาแล้วก็ดีใจ นั่นแหละผลของบุญดีอย่างนั้น
********************************************
เจ้าอาวาสวัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ละสรีระสังขารองค์หลวงปู่จันทา ถาวโร วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555
ขอบพระคุณที่มา:- http://www.luangphujuntathawaro.com/J1.htm -
นรก สวรรค์ หลวงปู่จันทา ถาวโร
สมถะ วิปัสสนา กรรมฐาน หลวงปู่จันทา ถาวโร
มรณากรรมฐาน ผีหลอก หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on May 8, 2013
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ป่าช้าเก้ากอง หลวงปู่จันทา ถาวโร
สังโยชน์ ๑๐ มรณะ อสุภะ หลวงปู่จันทา ถาวโร
หลักการภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ หลวงปู่จันทา ถาวโร
ผู้ภาวนาเป็นผู้ไม่ตายจงเร่งความเพียร หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 17, 2014 -
มนุษย์๘จำพวก หลวงปู่จันทา ถาวโร
มนุษย์๓จำพวก อารักขกรรมฐาน๔ หลวงปู่จันทา ถาวโร
ภพสูงสุดคือมนุษย์ หลวงปู่จันทา ถาวโร
ไฟร้อนจะนอนเย็น มรรคแปด หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 20, 2014
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วิสาขบูชา โพชฌงค์๗ หลวงปู่จันทา ถาวโร
สติปัฏฐาน๔ หลวงปู่จันทา ถาวโร
ทางพ้นทุกข์มรรค8 หลวงปู่จันทา ถาวโร
เข้าสู่พระนิพพาน หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Apr 15, 2012
-
พุทธกับผี หลวงปู่จันทา ถาวโร
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ผัวเมีย๔ประเภท มนุษย์๘จำพวก หลวงปู่จันทา ถาวโร
เปรตซัมพุกะ หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 17, 2014 -
ผีและเทวดา หลวงปู่จันทา ถาวโร
JchaiJane
Published on Jan 22, 2013ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พระโพธิสัตว์กับโจรขาขาด อริยสัจสี่ หลวงปู่จันทา ถาวโร
เทศนาเรื่องพ่อบักตา หลวงปู่จันทา ถาวโร
โทษของกาม กรรมที่ไม่เจตนา 8 กย 2534 หลวงปู่จันทา ถาวโร
JchaiJane
Published on Feb 26, 2013
-
หลวงปู่จันทา ถาวโร คําคม คําสอน คําขลัง
หลวงปู่จันทา ถาวโร (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2465 — 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555) เป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกาย เจ้าอาวาสวัดป่าเขาน้อย
“ ทำใจให้เหมือนผ้าเช็ดเท้า หรือดินและน้ำ จะเข้าสมาธิมันจึงจะเป็น ”
ปลุกเสกตน
หลวงพ่อปลุกเสกคนเดียวนะ โอ๊... เอาแต่คาถาดี ๆ มาปลุกเสก ศึกษาหลวงปู่ขาวแล้ว เอาคาถาอะไรมาปลุกเสกมันจึงจะขลัง นะโม เม สัพพะพุทธานัง ฯ นี่บทหนึ่ง ออกชื่อพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ สัมพุทเธฯ ๓ บท อันนี้รวบรวมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓,๕๘๔,๒๙๒ พระพุทธเจ้า รวบรวมมาปลุกเสก จากนั้นก็อีกหลายบท
บทที่ ๑ ตับปาฏิโมกข์
อายะตัญ วิตถะตัญ อัปปิตัญ สุวิตัญ สุปะวายิตัญ สุวิเลกขิตัญ สุวิตัจฉิตัญ อัปเปวะนามะมะ ถึง มะมะ นี้ ยิงไม่ออก หลวงปู่ขาว ว่านะ ถึงออกก็ไม่ถูก ฟันก็ไม่เข้า
บทที่ ๒
พุทธังอึดอัด ธัมมังอึดอัด สังฆังอึดอัด มัดกึดอึดอัด มัดกั้นตันปิด
บทที่ ๓
อิติปิโส ภะคะวา พระเจ้าสั่งมา ภะคะวายันติ โมคคัลลายันติ
บทที่ ๔
อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเสพุทธนาเม อิอิเมนาพุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธรรมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ
พุทธปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง ธรรมโมบัง สังโฆปิด
นี่แหละ ๔ บทนี้ ใช้ปลุกเสกพระปีกลายนี้ ถามหลวงปู่ขาวแล้ว ท่านว่า ธรรมเหล่านี้เป็นของขลัง ก็เลยมาปลุกเสก ปลุกเสกแล้วเป็นอย่างไร เหรียญ ผ้ายันต์ก็ดี เป็นแต่รับหน้าที่ปลุกเสกให้เท่านั้นนะ พอปลุกเสกเสร็จแล้ว เอ้า...เอาไปแจกจ่ายกันไปเลย มีบัญชี หรือไม่มีเราไม่ทราบ ขอให้สำเร็จความมุ่งหวังเถอะ ก็แล้วกัน ทีนี้ เป็นอย่างไรเล่า ผ้ายันต์ก็ว่าดีนะ สจ.คนหนึ่ง นั่งรถไปเอาผ้ายันต์ใส่รถหรือใส่กระเป๋าไป นั่นแหละ เขาปาดหน้ายิงด้วยปืนเอ็ม ๑๖
หมอบ !... หมอบลง...
ไม่รู้เสียงใครบอก
แพร่ด... ๆ... ๆ
หมดแม็กเลยทีเดียว นั่นแหละ รถยับเยินหมด พลิกคว่ำลงลำคลอง แต่คนไม่เป็นไร ลุกออกมาดูสภาพรถไม่มีที่ดี ผ้ายันต์ขอดลูกกระสุนไว้ ๔ ลูก นี่ !... ทำไมไปอยู่อย่างนั้น อันนี้ แปลว่า แสดงฤทธิ์ ด้วยอำนาจมนต์ของพระพุทธเจ้าดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น นั่นแหละ นอกนั้น เขาก็เล่าลือให้ฟังหลายอย่าง เหรียญก็หมากัดไม่เข้า มีดหวดตัดคอตัดแขนก็ไม่เข้า ปืนยิงเข้าป่าถูกคนอื่น แน่ะ...จากนั้นเขาก็เล่าให้ฟังหลายอย่างหลายประเด็น ทีนี้ เขาเล่าให้ฟัง ๓-๔ หนุ่มสาว นั่งรถไปด้วยกัน คนหนึ่งถือพุทธ มีผ้ายันต์กับเหรียญ นี่แหละติดตัวไป รถพลิกคว่ำ ๓ ตลบ พังยับเยิน ๓ คนตายเรียบ เหลือแต่พุทธคนเดียวไม่เป็นไร ก็คืออาศัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จอมปราชญ์เลิศประเสริฐสุด ช่วยเหลือ ก็เลยไม่ตาย นั่นแหละ เขาเล่าให้ฟังนะ จะจริงหรือเท็จ หลวงพ่อก็ไม่ส่งเสริมหรอกโน้ พูดตามความจริง ตามผู้ที่เขาเอาไปใช้ เขาก็ว่าดีทั้งนั้น ผ้ายันต์ ก็ดีนะ คนหนึ่ง ถือผ้ายันต์เข้าไปบ้านแม่ทรงที่กรุงเทพฯ นะ เขากำลังยกเครื่องจะเข้าทรง ก็ไม่เข้าเลยนะ ผีไปใหญ่เลย คนทรงก็ไม่รู้ว่าใครเอาอะไรมาที่นี่ มันทรงไม่ได้เสียแล้วพอคนที่เอาผ้ายันต์ไปด้วย ลงจากบ้านแล้ว ผีจึงเข้ามาบ้านมาเข้าทรงได้นะ นั่นแหละ เป็นอย่างนั่น นี่แหละความดี ของการปลุกเสก จะเป็นเพราะมนต์ของพระพุทธเจ้า หรือเป็นเพราะผู้ปลุกเสก มันก็ต้องประกอบกันเข้าทั้ง ๒ นั่นแหละ ทั้งผู้ปลุกเสกก็เป็นพระกรรมฐาน เจริญศีล สมาธิ ปัญญา มาตั้งแต่วันบวช ไม่เลิกละ อดนอนผ่อนอาหารเจริญธรรมอยู่เป็นนิจ ทำจิตของตนให้ผ่องใส กล้าแข็งในการเจริญธรรม ปฏิบัติธรรมมาอย่างนั้น ทีนี้ ก็มาปลุกเสกของ ก็รู้สึกว่ามีอิทธิฤทธิ์ อย่างพวกท่านทั้งหลายเอาไปใช้ หรือจะเป็นบางคน ก็แล้วแต่เน๊าะ...ปลุกเสกให้แล้วนะ นี่แหละการเจริญปลุกเสกตน ของภายนอกโลหะต่าง ๆ ก็ศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น นี่ข้อสำคัญ ทีนี้ เราซึ่งเป็นชาวพุทธ หวังความบริสุทธิก็จงน้อมเอา ธรรมะธัมโม สังฆะสังโฆ คำสอนของพระพุทธเจ้ามาปลุกเสกตน เดินปลุกเสก ก้าวขวา พุทโธ ก้าวซ้าย ธัมโม ก้าวขวา สังโฆ จะเดินนานเท่าไหร่ เอาจนเหนื่อยล้านั่นแหละ เป็นการเจริญมรรค เดินเหนื่อยแล้วก็ยืน ยืนจนเหนื่อยล้าเป็นประมาณ จะกำหนดเท่านั้นเท่านี้ไม่ว่า นั่นแหละเอาจนเหนื่อยล้า แล้วจึงเปลี่ยนอิริยาบทใหม่ ยืนก็หายใจเข้า พุท ออก โธ เท่านั้น เสร็จวิธีการยืนแล้วก็นั่ง พูดย่อ ๆ นะ ไม่พูดยาวเหมือนอย่างที่ทำมา โอ๊ย !...ไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่น้อยอย่างนี้ มักง่าย ไม่พองาย ไม่พออยู่ ไม่พอกิน ไม่เอามักง่าย ขี้ใกล้ทางมันเหม็น พระเหม็น เณรเหม็น ขี้เกียจขี้คร้านปลุกเสกตน มันก็ไม่เจริญ จากนั้นก็เข้าที่นั่ง นั่งกำหนดชำระจิตใจให้ผ่องใส อตีตารมณ์ อารมณ์อดีตล่วงมาแล้วปล่อยวาง อนาคตารมณ์ อนาคตยังมาไม่ถึงก็ปล่อยวาง ทำใจให้เหมือนผ้าเช็ดเท้า หรือดินและน้ำ ธัมมัญญุตา ประกอบเหตุดีแล้ว อัตถัญญุตา ผลดีนั้นจะเกิดขึ้นสนองข้างหน้า หลวงปู่ขาว ว่าอย่างนั้น นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่นเฉพาะหน้า ไม่ให้ก้ม ไม่ให้เงย ไม่กดกายบังคับกาย วางกายให้อ่อน วางใจให้อ่อน เพราะธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของอ่อน มรรคผลธรรมวิเศษเป็นของอ่อน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ เป็นของอ่อน ร่าเริงบันเทิงดี นั่นแหละ ปล่อยวางความอยากเสมอ ทำใจให้เหมือนผ้าเช็ดเท้า หรือดินและน้ำ จะเข้าสมาธิมันจึงจะเป็นไป หลวงปู่ขาว ว่านะ หายใจเข้า พุท ออก โธ ผ่อนลมหายใจให้ละเอียดเข้าเสมอ ให้เป็นที่สบายของผู้ภาวนา นั่นแหละ ละเอียดดี ต่อแต่นั้นไปก็ วิระเยนะ ทุกขมัจเจติ ผู้มีความเพียรจะเป็นผู้บรรลุธรรมได้ธรรมเห็นธรรม ล่วงพ้นทุกข์เสียได้ ขันตี ตะโป ตะปัสสิโน ความอดทนนั้น เป็นตะปะเครื่องแผดเผา เสียซึ่งกิเลส และนำนำอภิชฌาโทมนัส คือกิเลส ออกจากดวงจิตได้ นี่แหละ ธรรม ๒ ประเด็นนี้ เป็นตะปะ แผดเผาเสียซึ่งกิเลส หลวงปู่ขาว ท่านสอนแล้วสอนเล่า อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย จงชนะตนเสมอนะ ให้มันชนะตน อย่าเพิ่งชนะคนอื่น คนอื่นคือใครเล่า ? คนอื่นภายในก็คือร่างกายนี่แหละ อื่นเพราะมันแก่ เจ็บ ตาย ให้มัน ชนะตน คือใจ มันจึงจะเป็นไป ต่อแต่นั้น มึนชาปวดร้อนแสบเย็นเกิดขึ้นที่ขาทับขา ก็อย่าเพิ่งกระดุกกระดิก อย่าเพิ่งลูบคลำ อย่าเพิ่งพลิกให้นะ มีแมลงมาไต่หน้าไต่ตาแขนขา หรือกัดก็อย่าลูบคลำ ท่านว่า มันไม่ดี ให้นั่งทับทุกข์ อย่างนั้น ทุกขัง อะริยะ สัจจัง ทุกข์ทั้งหลายควรกำหนดดูให้รู้ นี่แหละพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น เราก็ต้องกำหนดดูให้รู้ ถ้าไม่เห็นก็ทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อนทั้งวันคืน อดนอนผ่อนอาหารนี่แหละ จิตมันจึงจะเห็นทุกข์ จึงจะยอมจำนน ถ้าไปลูบคลำ หรือ พลิกให้ กายไหว ความไหวของกาย กระทบจิต จิตก็เลยไม่สงบ นี่ หลวงปู่ขาว สอน นั่นแหละ ทำความเพียรต้องมีครูนะ ถ้าไม่มีครูสอนแล้วก็ยากที่จะเป็นไป นั่งจนเหนื่อยล้า จนสู้ไม่ไหว นั่นแหละ ๒ ชัวโมง ๓ ชั่วโมง จาก ๖ โมงเย็นยันถึง ๖ ทุ่ม จาก ๖ ทุ่ม ยันถึงแจ้งนี่การนั่ง นั่นแหละ ทำความเพียรปราบข้าศึกใหญ่ คือ กิเลส การเจริญนี้เรียกว่าการเจริญสมถกรรมฐานเป็นการเจริญมรรค อบรมจิต ฝึกจิต ทรมานจิต สอนจิตให้จิตอ่อนโยน ยอมจำนนปลงมานะทิฏฐิ กล้าแข็ง ว่ากายเป็นตน ตนเป็นกาย ไม่ใช่ดอก นั่นแหละ ฝึกได้ด้วยสมถกรรมฐาน เดิน ยืน นั่ง ทีนี้ ก็กำหนดวางพุทโธ ยกจิต ขึ้นสู่ไตรลักษณ์ ทั้ง ๓ พิจารณา อนิจจตา ร่างกายไม่เที่ยง จิตสอนจิต มันไม่เที่ยงมันเป็นอย่างไร เคยเห็นไหม ปู่ทวดตาทวด ปู่ย่าตายาย มันไปหมดแล้วใช่ไหม นั่นแหละ อนิจจตา ไม่เที่ยง ตัวเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถามจิต จิตชอบไหมเล่า จิตก็บอกว่าไม่ชอบนั่นแหละ ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ลำบากกายจิต วิปริตแปรผันธาตุขันธ์นี้นั้น ไม่ได้ตามใจหมายของใครนั้งนั้น จะเป็นผู้ดีมีหน้าหรือ ทุกข์จนค่นแค้น แสนกันดารก็ตามที อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา เพราะมันแก่ เจ็บตาย นี่แหละซ้ำๆ ซากๆ เราจะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูปูเสื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข ทุกทิวาราตรีกาล วันคืนขวนขวายหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน นั่นแหละ ค่ำไม่ยืน คืนไม่อยู่ แต่แล้วเขาก็เป็นบุคคลที่อกตัญญู ไม่รู้จักคุณใครเลย ควรที่จะเวทิตาธรรมตอบแทน ไม่ดอก นั่นแหละ จงให้รู้หน้ารู้ตาของไอ้เจ้า อนัตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา นี่แหละถึงเราจะสงเคราะห์อย่างไร ก็ไม่ยอนดีกับใครทั้งนั้น เขาว่า ข้าพเจ้าเกิดมาจากของ อนัตตา ของที่เป็นทุกข์ ของที่ไม่ได้ตามใจหมาย เกิดมาจากของไม่เที่ยง เราก็ต้องแปรสภาพเปลี่ยนแปลงไปตามของไม่เที่ยง เป็นแต่ท่านผู้มาอยู่กับข้าพเจ้า จะต้องศึกษาให้มันรู้เห็น ตามสภาพปัจจัยปรุงแต่งขึ้นแล้วก็เป็นไปตามเหตุ ปัจจัยเท่านั้น นั่นแหละ ท่านจงเป็นผู้ฉลาด อย่าได้โง่นะ เขาว่า อย่าได้นั่งซบเซาเหงาอยู่ อย่านั่งกอดนอนกอดนั่งเฝ้านอนเฝ้า ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่าได้สงสัย และอย่าให้มัน แก่เจ็บตายทิ้งไปเสียเปล่า เขาว่าอย่างนั้น ฉันเป็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เพราะได้มาจากของเหล่านั้น ก็แล้วแต่ท่านจะมีสติปัญญาพิจารณาเอา เมื่อมาอยู่กับข้าพเจ้าแล้ว นั่นแหละ จะต้งพลิกแพลงหาของจริง ให้มันเห็นของจริงแล้ว จะได้เพื่อหน่ายคลายความกำหนัดปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ถือ เขาว่าอย่างนั้น เขาสอนเราอยู่ทุกวันคืน แต่แล้วเราก็มาหลงซบเซาเหงาอยู่ ไม่ศึกษาพุทธวจนะ ไม่สนใจ ไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่เห็นของจริง อนิจจตา แปลว่า ไม่เที่ยง ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอนอย่างเดียวกันหมดทั้งนั้น เป็นธรรมะเตือนใจของโลกคือหมู่สัตว์ ไม่ให้ประมาท ให้พิจารณาเห็นแจ้งในภพชาติสังขาร แล้วจะเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด อตีตารมณ์ ล่วงมาแล้ว ก็ได้สมบัติเป็นอย่างนี้ อนาคตารมณ์ อนาคต ยังไม่มาถึง ก็จะได้อย่างเก่านี้แหละ ปัจจุบัน นี้ ก็ได้อย่างนี้ จะไปไหนเล่า โลกทั้งสามเป็นอย่างนี้ เขาสอนอย่างนั้น ทีนี้ จิตเห็นเป็นสภาพอย่างนั้น จิตก็สังเวชจนน้ำตาไหล บางครั้งนะ เพราะสังขารไม่ได้อยู่ใต้อำนาจใจหมายของใครทั้งนั้น ผิดหวังเสมอนะ เหมือนกำมือเข้าแล้วเหยียดออก เพราะการฝึกฝนปลุกเสกมานาน ไตรมาส ๓ เดือน ๕ ปีนะ ปีที่ ๕ ทำอยู่ ๗ เดือน ปลุกเสกมาอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ ไม่ใช้ทำน้อยนะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นศาสดาเอก เป็น นายะโกเอกผู้นำโลกคือ หมู่สัตว์ เป็นธรรมะอันเลิศประเสริฐแท้น้อมมาปลุกเสกจิต ให้รู้ เห็นเป็นไป ตามสภาพปัจจัย จิตนั้นจะกลายเป็น พุทโธ กลายเป็น ธัมโม กลายเป็น สังโฆ จากนั้น จิตก็รวม พับ ขณิกสมาธิ เกิดขึ้นก่อนจิตสงบเฉียดๆ นะ เย็นกาย เย็นจิต จิตลหุตา จิตเบา กายลหุตา กายเบา นี่แหละ จิตก็พูดขึ้นมาอีกว่า นัตถิสันติปะรัง สุขัง ความสุขอื่นเสมอด้วยจิตสงบไม่มี แน่นนอน ในขณะนั้น จิตได้รับความสงบสุข แล้วจิตนั้นก็ผ่องแผ้ว เบิกบานเลื่อมใส นั่นแหละกำลัง ๕ ปีติ ๕ เกิดขึ้นอีก เป็นกำลังใจของใจ อันนี้หนอ ผลของ วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ, ขันตีตะโป ตะปัสสิโน, อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย จิตมันเห็นนะ ผู้มีความเพียร ผู้อดทน ผู้ชนะตน นี่ ให้ผลเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่ผิด จิตนั้นก็เชื่อมั่น ไม่หวั่นไหว เอาชีวิตเป็นแดน เพราะของจริงเกิดขึ้น เป็นอย่างนี้ นั่นแหละ ปัจจัตตัง ผู้ปฏิบัติ รู้ด้วยตนเอง สมัยนั้น แข่งกันนะ ไตรมาส ๓ เดือนแข่งกันเลย ตอนเย็นไปศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ขาว เณรน้อยบางองค์ก็ร้องไห้นะ
ร้องไห้ทำไมเล่า?
อยากได้ธรรมะอย่างที่ครูบาได้
หลวงปู่ขาว ว่า
ใคร !... พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนว่า ให้ร้องไห้เอานะ ทำความเพียรอย่างท่านว่าได้ไหมเล่า ?
ไม่ได้
ไม่ได้ ก็เป็นบ้าซะตี๊ ครั้นร้องไห้เอาได้
หลวงพ่อทำมานี้ก็ โอ๋...แสนยากลำบาก นั่นแหละแต่ก็เป็นของดีมาก ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ แต่ว่ามันมีความวิตกวิจารใจ หวั่นไหวก็ดีมาก ต่อไปมันก็จะมีมานะอดทน ทำได้ จากนั้น ธรรมะเกิดขึ้นอีก ปีติ ๕ เกิดขึ้น ขุททกาปีติ เกิดขึ้น ขนพองสยองเกล้า นี่ผลรายได้ ขณิกาปีติ เกิดขึ้นอีก น้ำตาไหล เหมือนแสงฟ้าแลบในฤดูฝนตก โอกกันติกาปีติ เกิดขึ้น กระทบกายและจิตเหมือน คลื่นน้ำกระทบฝั่ง อุพเพงคาปีติ เกิดขึ้น แหม...เหมือนมันจะหอบกายเหาะฟ้า มันร่าเริงบันเทิงดีนะ ผรณาปีติ เกิดขึ้น ซึมซาบด้วยกาย และจิตร่าเริงบันเทิง หิวข้าว หิวนอน ไม่มี หายหมด พอจิตสงบลงสู่ ขณิกะ เท่านั้นแหละ หายหมด หิวนอน หิวข้าว มันหายหมด มีรสชาติอันอร่อย ควรที่จะประพฤติปฏิบัติเอาให้ได้นะทุกท่าน นั่นแหละ จิตก็ร่าเริงบันเทิง กำลัง ๕ เกิดขึ้นพร้อม ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา กำลัง ๕ นี่เกิดขึ้นอีกเป็นกำลังใหญ่ของใจ ความสงบสุขนั่นแหละ เป็นกำลังใหญ่ นี่ทำความเพียรให้จิตสงบได้ แปลว่ามีโชคมากได้อาวุธทันสมัย สำหรับที่หนุนจิตให้คมกล้า สมาธิเป็นหินเพชรลับสติปัญญาให้คมกล้า เหมือนหินลับพร้า (มีด) ต่อแต่นั้น แสงสว่างเกิดขึ้นอีกนะ ออกหน้าออกตา ฮุ่งโร่สว่างจ้า โอ้...เหมือนเปิดสวิตซ์ไฟฟ้า ความมีือดับไป ความสว่างเกิดขึ้นแทนที่ อะไรมีอยู่ที่นั้นเห็นหมด นี่แหละเป็นที่อัศจรรย์ใจ ได้เจริญธรรมมาอย่างนี้ นี่เป็นผลรายได้เกิดขึ้น จากการเจริญสมถกรรมฐาน เดิน ยืน นั่ง อดนอนผ่อนอาหาร วิปัสสนากรรมฐาน ค้นคว้าในสกลกายน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์ทุกเมื่อ เป็นเครื่องฝึกจิตให้มีสติ มีปัญญาฉลาดรู้ต่อธาตุขันธ์ เป็นมรรคเป็นเครื่องส่งทั้งนั้น จากนั้น พระธรรม คือ จิต เราอบรมให้สว่างผ่องใสจนเข้าสู่ความสงบได้ เพราะจิตสงบนั่นแหละ จิตนี้เป็นผู้ไม่ตาย ท่องเที่ยวเกิดดับ ภพน้อยภพใหญ่ เป็นอะไรเขาจะยกบุพเพชาติปางก่อน มาสอนอีก ให้เราเบื่อหน่าย โอ๋...สัตว์นานาชนิดมีหมดทั้งบกและน้ำ ยักษ์โขโมฬีเปรตผี ยกมาเป็นกลุ่ม ๆ นี่อะไร กำหนดถาม เขาก็พูดว่า
นี่แหละ บุพเพชาติปางก่อนของท่าน สมบัติของท่านเสวยมาแล้ว
เป็นอย่างนี้ ก็เป็นหรือ ?
เป็น...ไม่ต้องสงสัยดอก โลกคือหมู่สัตว์ เมื่อมีกิเลสกับกรรม ครองหัวใจอยู่ ต้องได้เสวยเป็นอย่างนี้ จงศึกษาให้มันถึงใจ ( ใจคือเรา เราคือใจ จิตก็ว่า ) จะได้สิ้นสงสัย ในการท่องเที่ยวภพน้อยภพใหญ่ จะได้ไม่ประมาทในการเจริญธรรมเพื่อได้เอาตนข้ามโอฆสงสาร ไปพระนิพพานเป็นที่แล้ว
จากนั้นไป พอเห็นแจ้งชัดแล้วก็ดับพึบ เหลือแต่ผู้รู้ ไม่นาน ยก มรณกรรมฐาน มาอีก มรณกรรมฐาน โอ๊ย...หลายประเภท ตายใหม่ๆ เก่า ๆ เต็มบริเวณนั้น มีอีแร้ง อีกา นกตะกรุม และสุนัขบ้าน สุนัขป่า ยื้อแย่งกินเป็นอาหารสนั่นหวั่นไหวอยู่กำหนดถาม...
นี่คืออะไร ?
นี่แหละ บุพเพสมบัติของท่านแต่ปางก่อน มรณกรรมฐานคือ ตาย อีแร้ง อีกา นกตะกรุม ก็เป็นสมบัติของท่าน กินของตายเป็นอาหาร สุนัขบ้าน สุนัขป่าก็สมบัติของท่าน ตัวของท่านนั่นแหละ กินของตายเป็นอาหาร นั่นแหละ ท่านจะกินต่อไปอีกหรือไม่ ? ถ้าจะกินต่อไปอีก ก็นั่งนอนสนุกสบาย เอาแต่กิเลสกับกรรมชั่วนั้นครองใจ นั่นแหละ จะได้กินอีกต่อไป
ถ้าไม่อยากกิน ก็หยุดเสีย จงเจริญสมณธรรมตามคำสอนพระพุทธเจ้า สมถกรรมฐาน เดิน ยืน นั่ง อดนอนผ่อนอาหาร วิปัสสนากรรมฐาน ค้นคว้าในสกลกาย ทั้งตนและคนอื่น เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เสมอกันหมด ไม่มีใครได้ล่วงพ้นไปได้ นี่แลมันจึงจะเป็นไปได้
จากนั้น พระธรรมพูดขึ้นอีกว่า แสงสว่างนี้เป็นแสงบารมีธรรมนะ ที่สะสมมาภพน้อยภพใหญ่ ทาน ศีล ภาวนานั้น นั่นแหละมาแสดงฤทธิ์เดช ส่องแสงสว่างให้รู้ แต่แล้วอย่าส่งไปตามแสงสว่างนะ มันออกนอก ให้น้อมแสงสว่างเข้ามาเพ่งลงในกายนี้ มันจะได้เห็นของจริงเกิดขึ้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จึงจะเห็นแจ้งอยู่ในกายกับจิต ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็รู้ในกายกับจิตทั้งนั้น ไม่ใช้รู้ที่อื่น นี่พูดมาอย่างนั้นนะ ถ้าส่งจิตไปตามแสงสว่างโน้น มันออกนอกไป ไม่เห็นธรรม เดี๋ยวจะเกิด วิปัสสนูปกิเลส หลอกลวงจิตให้เป็นบ้า พะเว่อพะว่า ให้น้อมแสงสว่างเพ่งลงกายนี่ นี่ขั้นแรกเพ่งลงตรงหน้าอกนะ แจ้งชัด ไม่นานหนังก็แตกจ้านะ เลือดพุ่งออกมาทั่วกาย
อย่ากลัวนะ
พูดมาอย่างนั้น ไม่ตายดอก เห็นแต่ยก อสุภะ มรณะ มาสอนเฉย ๆ ให้ท่านศึกษาดูให้รู้ธรรมะของจริงอยู่กับตัวเรานี่ทั้งนั้น พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนให้รู้เห็นเป็นอย่างนี้ นี่แหละ ตัว อนิจจตา ไม่เที่ยง คือ หนังนั่นมันแตกขาดออกมันจะตาย ทุกขตา เป็นทุกข์ ไม่ได้ตามใจหมาย ตรงนี้ อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา นี่ของจริ เป็นอย่างนี้ สำหรับผู้ปฏิบัติเมื่อเห็นธรรมะเกิดขึ้น เป็นอย่างนี้ก็สิ้นสงสัย ใจนั้นก็หวั่นไหว โอ๋...ท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยใหญ่ ได้สมบัติปัจจัยเป็นอย่างนี้หนอ ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น ทั้งตนและคนอื่น นั่นแหละ ก็เพ่ง เนื้อหนังก็เปื่อยเน่า กองลงสู่พื้นแผ่นดิน อีแร้ง อีกายื้อแย่งกินกันสนั่นหวั่นไหว เหลือแต่ร่างกระดูก เพ่ง !...มันก็สาบสูญ ว่งพึบ ไม่มีอะไร นี่แหละ อนิจจตา ตัวไม่เที่ยง คือตัวนี้ ทุกขตา เป็นทุกข์ เพราะไม่ได้ตามใจหมาย คือ ตายสาบสูญอย่างนี้ อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา เป็นของสูญ นี่อยู่ตรงนี้ นี่แหละ จงศึกษาให้มันเห็น ให้มันแจ้งชัด พอเห็นเป็นอย่างนั้น เหลือแต่ผู้รู้กับสติเท่านั้น ในขณะนั้น โอ๊...จิตก็ร่าเริงบันเทิงใจ อะไรหนอเป็นเขาเป็นเรา ไม่มีหมดสมมุติบัญญัติ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทำอย่างไรเล่า เมื่อถึงขึ้นนี้ พิจารณากันคืนยังรุ่งจนแจ้งเป็นวันใหม่ แล้วก็ไปศึกษากับ หลวงปู่ขาว อีก หลวงปู่ขาว ก็ว่า อันนี้แหละ ภพอันละเอียดสังขารอันละเอียด กบิลดาบส ได้ขั้นนี้เกิดเป็นรูปฌาน อรูปฌาน ตายแล้วไป พรหมโลก อุททกดาบส อาฬารดาบส ฤาษี ๒ ตนนี้ จิตเขาตกเข้าขั้นนี้แหละเกิด รูปฌาน อรูปฌาน ตายแล้วไปค้างอยู่พรหมโลก ไม่ไปไหนดอก นี่สังขารละเอียด หลวงปู่ขาว ท่านก็ว่า เมื่อถึงขั้นนี้ สมาธิธรรม มันมั่นแล้ว ต่อแต่นั้น ก็น้อมจิตเข้าหาผู้รู้ ผู้รู้ คือ ใจ นี่แหละ ( เขาจะบอก ) นี่แหละท่าน ภพชาติสังขารท่องเที่ยวเกิดดับภพน้อยภพใหญ่ มาได้เป็นอย่างนี้ อย่าเพิ่งสงสัย อย่างเพิ่งหวั่นไหว อย่างเพิ่งแก่ เจ็บ ตายไปอีกเถอะ ยากลำบากเหลือทนไม่ไหว นั่นแหละ จิตสอนจิต จิตทั้งรู้ทั้งเห็น จิตก็สิ้นสงสัย จิตก็ยึดดาบเพชร สติปัญญาลับดีแล้วด้วย สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน นั้น ถอนสังโยชน์เลย สังโยชน์ ๓ ขั้นแรก ได้ก่อน มันจะขาดหรือไม่ ถ้ามันขาดก็เป็น สมุจเฉทปหาน จิตนั้นจะเปลี่ยนสภาพเดิม มาเป็น นิยะโตจิต นิยะโตบุคคล บุคคลเที่ยงแท้ต่อสุคติล้วน ๆ มีเป้าหมายปลายทางพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้าโดยไม่ผิดหวัง นั่นแหละ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ดวงเด่นก็โผล่หน้าขึ้นมาที่จิต นี่เป็นการเจริญปลุกเสก มาเป็นสมบัติของตนผู้เจริญธรรม เห็นแจ้งชัด สิ้นสงสัย นี่หนอสมบัติอันเลิศประเสริฐแท้ นอกนั้นไม่มี จิตเยือกจิตเย็นสบาย ทีี้จิตก็พูดขึ้นมาอีกว่า จิตตัง ทันตัง สุขะมาวะหาติ จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้แน่นอน โอ๊...แสนสุขแสนสบายนะเจ้า ขั้นนี้นะ สุขสบายดี สบายด้วยสติ ด้วยปัญญา ฉลาดรู้ต่อธาตุขันธ์ จิตก็เห็นแจ้งว่า เราตกเข้ากระแสปากทาง ของพระนิพพาน ไม่หวั่นไหว เข้าถึงแก่นของศาสนาแล้วไม่หวั่นไหว นั่นเห็นจริง แจ้งชัด จิตพูดขึ้นมาอีก ปะฎิปันนา ปะโมกขันติ ฌายิโน มาระพันธะนา จิตที่ฝึกดีแล้วถึงขั้นนี้ มาร คือ กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร เทวบุตรมาร มาร ๔ นี้ ตามไม่ทันนะ แหม... คำพูดเหล่านี้ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้เรียน ( ปริยัติ ) นะ จิตพูดขึ้นมาเอง เพราะธรรมะเหล่านี้ จิตฝึกฝนมาแต่ภพปางก่อน แล้วฝังใว้ที่ใจ นั่นแหละ เมื่อเจริญธรรม จิตรวมลงถึงขั้น ก็เกิดขึ้นเอง นานาชนิด ทุกประเภทเป็นที่อัศจรรย์ใจ เห็นแจ้งชัดว่า ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นนิยยานิกธรรม นำผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ให้ออกจากวัฏฏทุกข์ ไปถึงปรมัตถสุข คือ พระนิพพาน เป็นที่แล้ว นั่นแหละ โดยไม่ต้องสงสัย ธรรมทุกบทบาทเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลส เป็นเครื่องล้างบาป รื้อถอนกิเลสทั้งหมด นี่แหละปราชญ์ทั้งหลาย จึงพากันยึดเจริญมาอยู่เป็นนิจ เห็นแจ้งชัดในขณะนั้นว่า โลก คือ หมู่สัตว์ มีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็ผู้ให้ผล ดีชัว เกิดขึ้นจากกรรมทั้งนั้น ล่วงพ้นจากกรรมไปไม่ได้หรอก ฉะนั้น จงเจริญตั้งแต่กรรมดีล้วน ๆ อันนี้แหละเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ นั่นแหละ ได้เจริญมาอย่างนี้ นี่เป็นผลรายได้ เกิดขึ้น ทีนี้มันหลายขั้น หลายตอนนะ ถ้าจิตตัดสังโยชน์ ๓ ขาดจากใจ ก็ได้ สมุจเฉทปหาน มีเป้าหมายปลายทางเบื้องหน้าปรมัตถสุข คือ พระนิพพานแน่ หมดทุกข์โทษภัยในวัฏฏสงสาร แต่ถ้ายัง สมุจเฉทปหาน ไม่ได้ ก็เป็นแต่ ตทังคปหาน หรือ วิกขัมภนปหาน เด๊อ พูดขึ้นมาอย่างนั้นนะ โดยไม่ได้ศึกษาธรรมะธัมโมอะไร เขียนอ่านไม่เป็นศึกษาด้วยการปฏิบัติล้วน ๆ หลวงปู่ขาว สอน ธรรมะจะเกิดขึ้นเองดอก ท่านว่า อย่างนั้น อย่าเพิ่งสงสัยลูบคลำ ผู้ศึกษาเล่าเรียนสู้ปฏิบัติไม่ได้ ผู้ปฏิบัติเดินทางตรงเข้าสู่พระนิพพานเลย ท่านว่าอย่างนั้น นี่แหละ พูดขึ้นมาหลายอย่างหลายประการ ทุวิชาโน ปะราภะโว พูดขึ้นมาอีกนะ ไอ้คนปัญญาทรามบริโภคตั้งแต่กิเลสกาม วัตถุกาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขน้อยใหญ่ ทุกวันคืน เข้าไปฉาบทาใจ ทำใจเป็นพาลสันดานหยาบ จะได้ประสบพบปะตั้งแต่เหตุเภทร้ายต่อไปข้างหน้า โดยไม่ต้องสงสัย สุวิชาโน ภะวัง โหติ ผู้เจริญธรรม ปฏิบัติธรรมกินธรรมเป็นอาหาร ผู้นั้นแหละหญิงชาย จะได้ประสบพบปะตั้งแต่สิ่งที่น่าปรารถนา มนษุย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ และคุณสารสมบัติใดนั้น ที่มนุษย์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหมในโลกทั้งสาม เกิดขึ้นจากการเจริญธรรมทั้งนั้น นี่แหละ จงเจริญธรรมอยู่เป็นนิจ อย่าได้ละว่างเว้น เอาชีวิตเป็นแดน หายใจเข้า พุท ออก โธ อยู่อย่างนั้น มีสติปัญญาสัมพันธมิตรกันอยู่เสมอ พูดขึ้นมาอีกว่า ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระหนักเด๊อ...นี่แหละ เป็นภาระหนักจงให้มันรู้ ให้มันเห็น ภาระหนัก มันหนักอย่างไร ได้ยินแต่คำพูดของพระพุทธเจ้า และนักปราชญ์ท่านผู้รู้ทั้งหลายสอนให้ฟังเท่านั้น แต่เมื่อมาภาวนา จิตรวมลงถึงขั้นนั้น ก็เห็นของจริงเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ นี่เป็นที่อัศจรรย์ใจ พูดขึ้นมาอีกว่า ผู้ทำความเพียร ผู้ปฏิบัติธรรมปลุกเสกตนอยู่เป็นนิจ ทุกวันคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ลดละ จะเป็นผู้ข้ามเสียซึ่งมหรรณพภพสงสาร มีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า คลื่นทั้ง ๔ คือ กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ และอวิชชาโอฆะ คลื่นใหญ่ทั้ง ๔ นี้ เป็นของมหาสมุทรโอฆสงสาร ภพทั้งสามนั่นแหละ ผู้จะข้ามคลื่นนี้ได้ทำลายไปได้ก็ต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ว่าอย่างนั้น โดยไม่ผิดหวังแล นี่แหละ ธรรมบรรยายมาวันนี้ ย่อ ๆ พอเป็นเครื่องเตือนใจ ฉะนั้น ทุกท่านจงยึดธรรมะไว้ ธัมโมหะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโลกทีชั่ว ยมโลก ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ให้ไปแน่นอนนะ สำหรับผู้ประพฤติธรรม ธัมโม สุจิณโณ สุจะมาวะหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว นำสุขมาให้เด๊อ...นั่นแหละผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมดีแล้ว ไม่ผิดหวัง ดังพรรณามานี้ ก็สมควรแก่กาลเวลา เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
***************************************
โบราณทานว่า หมากสีซูสุก อยู่ฟากนา หมากสีดาสุกอยู่ฟากน้ำ อย่าฟ่าวอ่าวคนึงหานะหลาน ๒ สลึงมามือ รีบกำเอาไว้นะหลาน นั่นแหละ ปัญญาของนักปราชญ์โบราณภาคอีสานพูดนะ หมากสีซูสุกอยู่ฟากนานั้น หมากสีดาสุขอยู่ฟากน้ำ ฝั่งแม่น้ำทางโน้น อย่าฟ่าวอ่าวคนึงหา ๒ สลึงมามือ รีบกำเอาไว้ หมายความว่า อย่ามุ่งมั่นปั้นใจว่า ชาติหน้าภพหน้าจะดี อย่าได้ผลัดวันประกันพรุ่งนะ ชีวิตสังขารได้มาแล้วโดยชอบธรรม เป็นมูลฐานโรงงานใหญ่ ที่เราจะต้องอาศัยทำคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นแก่ตน อาศัยโรงงานใหญ่ คือ สังขารร่างกายนี้นั้นสมบูรณ์แล้ว จะเป็นมูลฐานโรงงานใหญ่ ช่วยให้เราทำคุณงามความดีให้เกิดมีในเรา อย่าได้ผลัดวันประกันพรุ่ง
หลวงปู่จันทา ถาวโร เทศน์เมื่อ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๗
วิกิคําคม :- https://th.wikiquote.org/wiki/หลวงปู่จันทา_ถาวโร -
ประวัติหลวงปู่จันทา ถาวโร บรรยายโดย...พระอาจารย์วิทยา กิจฺจวิชฺโช เจ้าอาวาส วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
-
หลวงปู่จันทา ถาวโร ละสรีระสังขาร วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕
urai1791
Published on Mar 6, 2012
หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ละสรีระสังขาร วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ -
ฝึกปฏิบัติสมถะ วิปัสสนากรรมฐาน หลวงปู่จันทา ถาวโร
ธรรมของจริง หลวงปู่จันทา ถาวโร
เปรตซัมพุกะ ศีล สมาธิ ปัญญา หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 17, 2014ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นายพรานคืนศีล ธรรมปฏิบัติ หลวงปู่จันทา ถาวโร
การฝึกจิต พญานกกระจอก หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 15, 2014 -
วันวิสาขบูชา อานิสงส์ของทาน ศีล ภาวนา หลวงปู่จันทา ถาวโร...นางวิสาขายังอยู่นะ
วันอาสาฬหบูชา ตั้งสัจจะไม่นอน หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 23, 2014 -
ธุดงควัตร ๑๓ ข้อ หลวงปู่จันทา ถาวโร
ธุดงปลอม หลวงปู่จันทา ถาวโร
การพิจารณากายกับจิต หลวงปู่จันทา ถาวโร
ธรรมทำความกล้าหาญ๕อย่าง หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Nov 21, 2012 -
พระเทวทัตกับพระเจ้าอชาตศัตรู หลวงปู่จันทา ถาวโร
เห็นธรรมครั้งแรก ธรรมปฏิบัติ หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 26, 2014ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ศีล สมาธิ ปัญญา หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 23, 2014
-
-
ธรรมปฏิบัติ วัตร๕ หลวงปู่จันทา ถาวโร
นิวรณ์๕ หลวงปู่จันทา ถาวโร
urai1791
Published on Jun 15, 2014ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 1 ของ 7