อนาลโยวาท กัณฑ์ที่ ๑๙ เดินจงกรม หลวงปู่ขาว อนาลโย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไม้ขีด, 9 เมษายน 2013.

  1. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    อนาลโยวาท กัณฑ์ที่ ๑๙ หลวงปู่ขาว อนาลโย

    คัดลอกจากหนังสือ อนาลโยวาท พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ขาว อนาลโย และ ประวัติความอาพาธ คณะศิษยานุศิษย์จัดพิมพ์ถวายโดยเสด็จพระราชกุศล ในการพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ ณ วัดถ้ำกลองเพล ตำบลโนนทัน อำเภอหนองบัวลำพู อุดรธานี

    เดินจงกรม

    การทำสมาธิภาวนานั้น บางที ทำยังไงมันก็แข็ง ๆ อยู่อย่างนั้น ทำสมาธิไม่ลง ทำยังไงก็ไม่ลง ทำไป ๆ มันไม่สงบ บอกมันว่า เจ้าเป็นผีนรกวิ่งขึ้นจากอเวจี จึงแข็งกระด้างเพราะไฟเผา ไล่ให้มันลงไปจมอเวจีอีก อย่าให้มันขึ้นมาอีก ให้อเวจีเผาต้มมันอีก ด่าอีก แล้วก็ลงนอน พอเช้ามาก็ไปถ่ายโถนล้างกระโถน ปฏิบัติท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์ลุกขึ้นมาว่า “ท่านขาว คนเป็นประเสริฐอยู่ มาด่าตนเฮ็ดหยัง ให้ลงนรกอเวจียังไงนี่ ประจานตนนี่ ท่านประกอบกิจอยู่อย่างนี้แล้ว หนักเข้าละฆ่าตัวตายหนา ครั้นฆ่าคนตายแล้วนับชาติไม่ได้หนา ที่ฆ่ากันอยู่นี่ ไม่มีพ้นทุกข์แล้ว ความที่โกรธนี่ หนักเข้า ๆ ก็เลยฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายแล้วก็ห้าร้อยชาติไปเที่ยวเอาภพเอาชาติ ทำเวรผูกเวรกัน ฆ่าตัวตายอย่างนั้นแหละ อย่าไปทำอีกเทียว ตนบริสุทธิ์ อย่าไปท้าตนอย่างนั้นอย่างนี้” ท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ใครนึกอย่างใด ทำอย่างใด ท่านรู้ม๊ด ท่านก็อยู่กุฏิโน่นแน่ะ แต่มันก็ยังโกรธอยู่นั่นแหละ ขึ้นอยู่บนดอยของพวกมูเซอร์ มันก็มีแต่เสือใหญ่ ๆ ลายพาดกลอน เดินอยู่กลางคืน ให้เสือมันมากินมึงเสีย มึงเป็นหยัง มึงหยาบแท้ มึงแข็งแท้ เดินจงกรมแล้วก็นั่งสมาธิ นั่งจิตมันก็ไม่ลง ก็เลยนอน หลับไป ปรากฏว่ามารดามานั่งอยู่ นั่งข้าง ๆ มูเซอร์มันมาจากไร่มัน มีผักหลาย มันจะเอาผักไปบ้านมัน “ไม่ยาก ไม่ยากดอก เอาของอ่อนให้กินเน้อ อย่าไปให้กินของแข็ง ถ้ากิจของแข็งแล้ว ไม่เป็น ครั้นกินของอ่อนละเป็น” แม่ก็เลยว่าไม่เข้าใจของอ่อนของแข็ง แม่ก็เอิ้นถามอีกว่า “ของอ่อนนี้มันอะไรหนอ” มันว่า “เอาสาหร่ายซิ มาให้กิน” ก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เริ่มต้นพิจารณา พิจารณาของแข็งก่อน อะไรหนอมันว่าของแข็ง มูเซอร์มันว่า อะไรเป็นของแข็ง พิจารณาไป ๆ มา ๆ “ความขี้โกรธ” อันนั้นแหละของแข็ง อ่อนล่ะ มันว่าให้เอาของอ่อนมากินก่อน อ่อนอะไร พิจารณาไป ๆ มา ๆ “เมตตา” ได้ความแล้ว เมตตา ตั้งแต่นั้นมาก็แผ่เมตตาไปทั่วทิศานุทิศ แผ่ไปม๊ด สัตว์ทั้งหลาย แผ่เมตตาไป ความโกรธนั้นอ่อนลง ๆ ความโกรธไม่ค่อยทำ จิตไม่แข็งแล้ว จิตอ่อนแล้ว จิตอ่อนมันควรแก่การงานทั้งนั้นแหละ จะทำอะไรมันก็ควรแก่การงาน จะพิจารณาอะไรมันก็เหมาะ จิตอ่อนหมายความว่า จิตเบา จิตว่าง เราภาวนานี่ก็อบรมจิตนี่แหละ ต้องการให้จิตอยู่ ครั้นจิตอยู่แล้ว มันจึงจะเกิดแสงสว่างขึ้น จิตเดิมมันเป็นของสว่าง เป็นของเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลส มันจรเข้ามาปกคลุม รัดรึงให้ขุ่นมัว เร่าร้อน อาคันตุกะกิเลสก็ไม่อื่นไม่ไกลดอก มันไม่พ้นนิวรณ์ธรรมทั้งห้า กามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทัจจะ กุกุจจะ วิจิกิจฉา นี่หละ เมื่ออารมณ์เหล่านี้ไม่เข้าครอบงำแล้ว จิตนี้มันก็อ่อน จิตสว่างไสว ควรแก่การงาน การงานที่
    พิจารณา มันเป็นแสงสว่างขึ้น นิวรณ์นี้มันมาปกคลุมหุ้มห่อให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัว มืดดำ ให้จิตร้อนเป็นไฟขึ้น (มีผู้ถามถึงการแก้ความง่วง)

    เมื่อถีนมิทธะ ความง่วงเข้าครอบงำ ให้มองดูดวงดาว มองขึ้นไปดูอากาศ หรือถ้าไม่ยังงั้นก็ให้นึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรือคุณความดีของเราอย่างหนึ่งที่เราได้บำเพ็ญมา เมื่อระลึกแล้วมันมีความดีใจที่ได้ทำมา มันก็จะหายง่วงเหงาหาวนอน ให้แผ่เมตตาเรื่อย ๆ มันเป็นที่จิตเรานั่นแหละ เป็นเพราะอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มายุยงให้จิตผูกจิต เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้ชำระอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่ให้ยินดียินร้ายในสัมผัสทั้งหลาย ทำจิตให้เป็นกลางต่ออารมณ์

    เรื่องเหล่านี้มันเป็นเพระจริตของแต่ละบุคคล นิสัยมันต่างกัน พระพุทธเจ้าก็บอกไว้หมดละ จริตของคนที่มีราคะมาก ให้อาศัยพิจารณาอสุภอสุภัง ให้เห็นความเปื่อยเน่า จะอิดหนาระอาใจ เบื่อหน่าย ถอนจากความกำหนัดได้ แก้โทสะ ให้มีเมตตา แผ่เมตตาบ่อย ๆ มาก ๆ ยืน เดิน นั่ง นอน มันก็อ่อนลงเอง แก้โมหะ ความหลง ให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองชำระจิต (มีผู้ถามท่านว่า เดินอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร)
    ฉันแล้วก็ไปเดิน มีนั่งบ้าง หกชั่วโมง ตอนบ่ายไปเดินอีก จนสี่ชั่วโมงจึงมาปัดกวาด ตักน้ำ ทำข้อวัตร แล้วก็กลับมาเดินอีกสามสี่ชั่วโมง แล้วจึงขึ้นมานั่ง อานิสงส์ของการเดินจงกรมมี (๑) เดินทางบ่มีเจ็บแข้งเจ็บขา (๒) ทำให้อาหารย่อย (๓) ทำให้เลือดลมเดินสะดวก (๔) เวลาเดินจงกรมไป ๆ มา ๆ จิตจะลงเป็นสมาธิได้ ถ้ามันรวมลงเวลาเดินจงกรมได้ สมาธิของผู้นั้นไม่เสื่อม (๕) เทพยดาถือพานดอกไม้มา สาธุ ๆ มาอนุโมทนา นี่เป็นอานิสงส์ของการเดินจงกรม บางวันเมื่อครั้งอยู่กุฏิเก่าตรงข้างเจดีย์ อาตมาเดินจงกรม มันหอม ๆ หมด ทั่วหมด หอมอิหยังนี่มันไม่เหมือนดอกไม้บ้านเรา มันแม่นเทพยดามาอนุโมทนา ถือพานดอกไม้มาอนุโมทนา

    เรื่องเดินนี่มันเรื่องหัดสติ จะใช้นึกพุทโธไปพร้อมกันกับเท้าที่ก้าวไปก็ได้ ยังไงก็ได้ อย่าให้จิตมันออกไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ทั้งอดีตและอนาคต ให้อยู่ที่จิตเท่านั้น อาตมากำหนดพุทโธ ๆ อยู่ที่จิต เท้าก็เดินไป กำหนดอยู่ที่จิต ไม่ให้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใด ๆ ส่วนทางเดินจงกรม ก็ไม่เลือกทิศเลือกทาง ได้หมด แล้วแต่มันจำเป็น ในที่เหมาะสม เดินไปเพื่อแก้ทุกข์เวทนา ท่านอาจารย์มั่น ท่านว่าให้เดินตัดกระแสของโลก จากทิศตะวันออกไปตะวันตก ท่านว่าตัดกระแสของสมุทัย ให้ตัดกระแส แต่ถ้ามันจำเป็น มันยังไม่มีบ่อนที่เหมาะสม ก็ไม่เป็นไร เดินมันไปอย่างนั้นเพื่อแก้ทุกขเวทนาดอก
     

แชร์หน้านี้

Loading...