อยากรู้สภาวะจิตสภาวะอารมณ์ของภูมิพรหมค่ะ

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 26 ธันวาคม 2015.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ตามคำถามค่ะ ถ้าทรงพรหมวิหาร๔ไว้ บวกกับประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อตายแล้วสามารถจุติขึ้นภูมิรูปพรหมได้มั้ยคะ? ไม่ได้อยากไปเกิดเป็นพรหมค่ะ แต่อยากยกภูมิจิตให้ถึงพรหมเป็นสเตจของใจเอาไว้ ซึ่งท้ายที่สุดต้องการไปนิพพานค่ะ

    คือเราจะตรวจสอบตัวเองได้อย่างไร ว่าภูมิจิตภูมิธรรมเราตอนนี้เป็นอย่างไร ขอทราบคุณสมบัติของพรหมด้วยค่ะ มีท่านใดบ้างมั้ยคะ?ที่ปฏิบัติได้ ท่านปฏิบัติอย่างไรบ้าง?

    จขกท.สังเกตว่าเมื่อจิตทรงพรหมวิหาร๔ไว้ ทำให้เจริญอานาปานุสสติได้ง่ายขึ้นค่ะ ทำให้นิสัยจขกท.ดีขึ้นด้วย ปกติดื้อและเอาแต่ใจมากค่ะ และเมตตายังอยู่ในบารมี10ทัศด้วย

    ขอความคิดเห็นหน่อยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ /||\
     
  2. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ตอนนี้จิตตกจากพรหมวิหารไปแล้วค่ะ ช่วงที่ทรงได้ จะทรงได้ทุกวันน่ะค่ะ
    ช่วงสุดท้ายที่รู้ตัวว่าจิตตกลงมา เกิดจากการที่รู้สึกได้ว่า มีอารมณ์ท้อแท้อย่างรุนแรงขึ้นมาจากกลางอกค่ะ ตัวเองเลยพัก และคิดว่าจิตจะมีกำลังใจขึ้นมาเอง แต่ไม่ค่ะ จิตตกลงเพราะท้อ และผ่านมานาน มีวันนึงที่ทรงได้ นอกนั้นก้อไม่ได้อีกเลย น่าจะเป็นเพราะศีลขาดก่อนท้อรึเปล่าน่ะค่ะ ...

    มีเทคนิคอะไรแนะนำมั้ยคะ? ลพ.ฤาษีลิงดำบอกว่าให้ทำอานาปานุสสติเป็นฐาน และเจริญพรหมวิหาร๔โดยการคิด ผิดถูกอย่างไรรบกวนท่านผู้รู้ชี้แนะด้วยค่ะ

    อีกเรื่องค่ะ จขกท.มีบุญเห็นท้าวมหาพรหมในฝันมาช่วยตักเตือนการปฏิบัติตัวค่ะ แววตาท่านลึกซึ้งลึกล้ำมาก จขกท.ต้องการทรงพรหมวิหารเป็นฐานของใจมากๆค่ะ /||\
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2015
  3. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    อยากเล่านะคะ แต่ท่านสมาชิกจะมองว่าอวดอุตริรึเปล่า ช่วงที่ทรงพรหมวิหาร๔ (เหมือนอวดตัวเองเลยอ่า) คือมีอานิสงค์11ประการตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้จริงๆ หลับก้อฝันว่ามีเทวดามารักษา ตื่นมาใช้ชีวิตประจำวัน ก้อได้กลิ่นหอม ที่ไม่ใช่น้ำหอม ตอนนั้นกะเอาให้อยู่หมัดทั้งเรื่องราคะกับสิเนห่า ความรักความใคร่ต้องการละออกไปในตอนนั้น ซึ่งคิดในใจตลอดว่าศีลคืออาภรณ์ของเรา (ใจเราเกาะอยู่กับเนกขัมมะตลอด) พอนอนพักตอนกลางวันของวันนึง ตอนนั้นยังทรงได้อยู่นะคะ มีความรู้สึกว่ามีคนมาทาบตัวเรา และมีองค์ท้าวมหาพรหมบอกว่า เค้ามาวัดตัว เราได้ยินแบบนั้น เราก้อหมุนตัว (ในฝัน) ความรู้สึกก้อจะเหมือนกับว่ามีคนเอาผ้ามาพันไปรอบๆพร้อมๆกับที่เราหมุนตัว (ในฝัน) อาจฟังดูเพ้อเจ้อนะคะ อยากให้ท่านสมาชิกแชร์ประสบการณ์เจริญพรหมวิหาร๔หน่อยค่ะ
     
  4. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    สำหรับสภาพจิตใจของข้าพเจ้านะคะ รู้สึกว่าโลกมันสวยงามค่ะ คือไม่ใช่ว่าเราเป็นคนโลกสวยอย่างเดียว แต่เรามองโลกรอบข้างเปลี่ยนไป เรามองเห็นแง่ดีของทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งสภาพตอนนี้ไม่สามารถทำได้เหมือนตอนนั้นแล้ว อาจเพราะกำลังใจด้วย การมีเมตตาพรหมวิหารเป็นสเตจของใจ ทำให้เราอภัยได้ง่ายค่ะ และเวลามีอะไรกระทบนิดเดียว แล้วเรารู้สึกว่าเริ่มไม่พอใจ สติจะเตือนตัวเองว่า เมตตาพรหมวิหารนะ แล้วจิตเค้าจะหยุดการปรุงแต่งโทสะไปค่ะ คือกระทบนิดก้อรู้ทันตัวเองแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ อะไรๆก้อรู้สึกแห้งแล้ง จิตใจขาดแคลน ช่วงที่ทรงพรหมวิหารไว้ ใจเรามีแต่ความรักค่ะ ซึ่งแน่นอนว่า ทำให้เรารู้สึกอิ่มเต็มอยู่ในตัวเอง
     
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    การเจริญพรหมวิหารที่จริงแล้วข้าพเจ้ายังคงไม่ถึงท่านหรอกนะคะ
    แต่เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันค่ะ

    พรหมวิหารสี่นี่คนอยู่ใกล้จะสัมผัสได้...รู้สึกว่าเย็น
    และตัวเราจะรู้สึกว่าใจนิ่มนวล อ่อนโยน มีความรู้สึกว่าจิตยิ้มได้อัตโนมัติ
    เราจะเข้าใจความทุกข์ของคนอื่นได้ดี
    ไม่เบียดเบียน ไม่ซ้าเติม อยากอนุเคราะห์ช่วยเหลือ
    คือว่ารู้สึกสุขใจกับตัวเองได้นะคะ

    อยากให้จิตทรงพรหมวิหารสี่ตลอดเวลาเหมือนกัน
    แต่ก็ทำได้ในขณะที่มีสติ ขาดสติก็เป็นกิเลสค่ะ
    ทรงพรมหวิหารสี่ขั้นแรกก็เป็นความคิดค่ะ
    เคยอ่านมีนักปฏิบัติท่านหนึ่งบอกว่า
    แท้จริงแล้วจะเป็นสิ่งที่รู้ในจิตที่ก้าวข้ามความคิดพ้นไปแล้วนะคะ

    อยากฟังคะแนะนำคนอื่นเหมือนกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2015
  6. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เสียดายมากค่ะ คืออยากกลับไปทรงได้อีก ในชีวิต..ประทับใจกับการปฏิบัติช่วงนั้นมากๆ ต้องการจะทรงให้ได้ตลอดชีวิตน่ะค่ะ ..กำลังใจน่าจะมีส่วนสำคัญด้วยรึเปล่าคะ?

    มีเล่าต่อค่ะ

    ความรู้สึกซ้ำเติมไม่มีในผู้ใดเลยค่ะ คือละได้ทั้งราคะและโทสะ ในช่วงนั้น ตอนนี้ถึงติดใจค่ะ ว่าต้องการทรงให้ได้เหมือนเดิม จริงๆน่าจะเกี่ยวกับกำลังใจตกและผิดศีลด้วย เลยเสื่อมค่ะ คือถ้าตั้งใจใหม่ ก้อต้องเป็นการเริ่มต้นใหม่น่ะค่ะ แต่ประเด็นคือ กังวลว่าทำยังไงที่จะไม่ตกลงอีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก่อนหน้าที่จะเริ่มเจริญพรหมวิหาร ก้อฝันเห็นตัวเอง มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่พอจิตตกลงมา ก้อมีฝันอีกว่าตัวเองผอมแห้ง เหงื่อออกรักแร้ (อาจฟุ้งซ่านก้อได้ค่ะ เล่าเฉยๆ)

    แต่ช่วงที่ตกลงมานั้นก้อฝันว่ามีคนมาให้กำลังใจ คือเค้าให้ดอกไม้เราครั้งนึง และให้กล้วยหวีนึง เป็นผู้หญิงค่ะ ตอนที่ฝันว่าให้กล้วย มีเสียงในฝันด้วยว่า ให้มันช่วยตัวเองมั่งเหอะ ประมาณนี้ค่ะ
     
  7. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    แนะนำ พรหมชั้นสุทธาวาส
     
  8. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ไม่เคยมีพรหมวิหารในใจเลย ไม่เสียดายเท่า เคยมีแล้วเสื่อมไป-หายไปค่ะ เพราะพื้นฐานเป็นคนขี้วีนขี้เพ้อตอนที่ไม่เคยมีอารมณ์พรหมวิหาร ก้อนึกตัวเองไม่ออกว่าที่เราเรียนกัน เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันเป็นยังไง .. การจะเปลี่ยนตัวเองพัฒนาตัวเอง จากคนเคยอ้วนร้อยกิโล มาหุ่นเพรียวสวยสุขภาพดี มันมีที่มาที่ไป ไม่ใช่ฝันเอาแล้วจะเนรมิตได้ เราก้อเปลี่ยนนิสัยตัวเอง เวลาใช้ชีวิตประจำวัน จะมีการกระทบอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจบ่อย เราจะใช้สติเป็นตัวเตือน ความไม่พอใจเล็กๆน้อยๆจึงไม่กลายเป็นความโกรธ แต่เราใช้วิธีทางจิตวิทยาด้วย คือปรับทัศนคติตัวเองให้เป็นคนคิดบวก เราไม่อ่านข่าวไม่เสพสื่อด้านลบเลย ด้านโลกีย์ก้อตัดไปด้วย เราบ่มตัวเองในเวลาว่างด้วยการฟังทรานซ์จิตใต้สำนึก(เค้าจะพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นพลังงานด้านบวก) และจะฟังแต่เพลงที่ให้ความสุนทรีย์กับชีวิตจริงๆ ไม่ฟังเพลงเศร้า เพลงรักสิเนห่า เรางดเสพสื่อที่เกี่ยวกับความรักและเซ็กส ช่วงแรกๆที่ต้องการเปลี่ยนตัวเอง ความคิดในหัวจะต่อต้านว่าทำไม่ได้ แต่เรายึดคำคมประโยคนึง ขอโทษด้วย จำไม่ได้แล้วว่าใครพูด "ไม่ว่าเราเชื่อว่าตัวเองทำได้หรือไม่ เราคิดถูกเสมอ" เวลาเราทำงานบ้านใช้ชีวิตปกติ เสียงในหัวจะบอกตลอดว่ามันยาก แต่พอมีสติคอยรู้ตัวอยู่ เราจะบอกสวนกับตัวเองไปเลยว่าง่าย เราจินตนาการว่าคนที่มีพรหมวิหาร๔ เค้าพูดยังไง มีบุคลิกการแสดงออกยังไง เราก้อเปลี่ยนตัวเองตามนั้น โดยรวมแล้วพรหมวิหาร๔เป็นสิ่งที่ต้องฝึก ต้องสร้าง ต้องให้มีเกิดขึ้นในใจ เหมือนความมีหิริโอตัปปะ ที่คนใจหยาบต้องฝึก

    มันเป็นสงครามภายใน เป็นสิ่งต้องฝึกฝน เราไม่ยิ่งใหญ่ แต่เรา "งาม"

    ถ้าครั้งนึงคนใจหยาบสามารถฝึกให้ตนมีพรหมวิหาร๔ได้ คนใจหยาบอีกหลายล้านคนก้อสามารถฝึกนิสัยให้ตัวเองเป็นคนที่มีหิริโอตัปปะได้เช่นเดียวกัน
     
  9. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ได้วิธีสร้างเมตตาจากภายใน โดยการกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลแล้วค่ะ ต่อไปนี้ ต้องกล่าวบทขอขมาพระรัตนตรัยด้วย .. น่ายินดีมากๆ ที่มีท่านสมาชิกกัลยาณมิตรในนี้คอยแนะนำ ขอบพระคุณค่ะ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    "อพรหมะจริยาเวรมณี สิกขาปะทัง สมาธิ ยามิ" เป็นคำตอบของกระทู้นี้

    +++ การประพฤติพรหมจรรย์ หัวใจหลักอยู่ที่ศีลข้อ "อพรหมจริยาเวรมณี"
    +++ คุณสมบัติของพรหมคือ "อยู่" ในอัปนาสมาธิตลอดเวลา ไม่มีอาการ "ขบคิดพิจารณา (ปรุงแต่งฟุ้งซ่าน)" เป็นองค์ประกอบแม้แต่นิดเดียว

    +++ การเดินจิต (วิตก-วิจารณ์ คือ อาการเดินจิต อยู่-ย้าย) แปรเปลี่ยนไปกับสภาวะแห่ง "ธรรมารมณ์" มีอยู่ได้ในระหว่าง "อัปนาสมาธิ" และไม่มีอาการตกลงสู่ "ภวังค์" แม้แต่นิดเดียว

    +++ ยามใดที่ "อยู่" กับอาการเพลิน ยามนั้นอาการแห่ง "เมตตา" จะเป็นลักษณะเด่น ยามใดที่ "อยู่" กับสบาย ยามนั้น "กรุณา" จะเป็นลักษณะเด่น
    +++ ยามใดที่ "อยู่" กับอาการสุข ยามนั้นอาการแห่ง "มุทิตา" จะเป็นลักษณะเด่น ยามใดที่ "อยู่" กับเฉย ยามนั้น "อุเบกขา" จะเป็นลักษณะเด่น

    +++ ในขณะที่ "อยู่" กับธรรมารมณ์ดังกล่าวไว้ในวรรคข้างบน แล้วยังมี "ร่างละเอียด" เหลืออยู่ ณ ปัจจุบัณขณะในขณะนั้น ๆ ก็ "เป็น" รูปพรหมในขณะนั้น ๆ อยู่แล้ว

    +++ พรหมเป็น กลุ่มสภาวะสูงสุดแห่ง โลกียะ หากต้องการ "พ้น" จากสภาวะโลกียะออกไป ให้หาโดยการ "รู้ ผู้เดินจิต ผู้กำหนดจิต" ให้เจอ โดยการ "เดินจิต" ไปมาในระหว่าง "การสับเปลี่ยน สภาวะของธรรมารมณ์" เพื่อให้ ผู้เดินจิต ปรากฏตนให้ชัดเจนบ่อย ๆ จนกลายเป็นอาการที่ "พ้น" ออกจากผู้เดินจิตผู้กำหนดจิต เมื่อ "ชัดเจน" แล้วจึงทำการ "หยุดหรือดับ" ผู้เดินจิตลง

    +++ ทำขั้นตอนนี้ให้ชำนาญ จนชัดเจน "ในขณะ" ที่ปรากฏการณ์ของผู้เดินจิตถือกำเนิด "ออกมาจากความว่าง" (รู้เหตุในกระบวนการ เกิดขึ้น) จากนั้นให้ "รู้อยู่อย่างนั้น" ก็จะเห็นกระบวนการที่มัน "ตั้งอยู่" จวบจนเห็น "เหตุที่มันดับไป" ทั้ง 3 กระบวนการนี้ให้ดี ๆ ให้ชัดเจน ก็จะ "รู้แจ้งแทงตลอด" ในกระบวนการของ "ปฏิจจะสมุปบาท" ได้เอง

    +++ คุณสมบัติของพรหม คือ "อยู่" ในอัปนาสมาธิตลอดเวลา ธรรมารมณ์ (บางส่วนโดยส่วนใหญ่และทั่วไป) ในอัปนาสมาธิกล่าวไว้แล้ว ข้างบน ในโพสท์นี้
    +++ ผลจาก "อัปนาสมาธิ" ในขณะที่ "ทรงอยู่" นั้น ณ ขณะนั้น ๆ ความเป็น "เพศ" จะไม่ปรากฏอยู่เลย รวมทั้งปรากฏการณ์ของ "จิตส่งออก" จะไม่ปรากฏด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจาก อิทธิพลของอาการ "อยู่" นั่นเอง

    +++ ผลจาก "อัปนาสมาธิ" ในขณะที่ "ทรงอยู่" นั้น ณ ขณะนั้น ๆ จะไม่มีอาการ "รับรู้ (sense)" ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นทาง "ตา หู จมูก ลิ้น กาย" ใด ๆ ได้เลย อาการรับรู้ (sense) ทั้งหมด สัมผัสได้ที่ อายตนะ (sense) ใจ ประการเดียวเท่านั้น ดังนั้น สภาวะที่เรียกว่า "ขันธ์เดี่ยว" จึงปรากฏชัดเจน

    +++ ณ ขณะใดที่ "ตน" อยู่ในสภาพขันธ์เดี่ยว ณ ขณะนั้น ๆ ศีลข้อ "อพรหมจริยา" จึงบริสุทธิ์สมบูรณ์ ยามใดที่เริ่ม สัมผัสที่สามารถระบุได้ว่าเป็นทาง "ตา หู จมูก ลิ้น กาย" ยามนั้น ศีล จะตกลงสู่ "กาเมสุมิจฉาจารา" ดังนั้นให้พึง "สังวรณ์" ในระดับชั้นภูมิของ "กามาวจร" ให้ชัดเจน

    +++ ณ ขณะใดที่ "ตน" อยู่ในสภาพขันธ์เดี่ยว ณ ขณะนั้น ๆ อายตนะจะมีเพียงอายตนะเดียว (single sense) ขันธ์เดี่ยว ที่เรียกว่า วิญญาณขันธ์บ้าง มโนบ้าง ใจบ้าง ทั้งนี้แล้วแต่ภาษาส่วนบุคคลจะเรียกกันไป

    +++ ผู้ใดที่ "ผ่านการฝึกในชั้นนี้มาแล้ว" ในขณะที่ "ขันธ์เดี่ยว" นี้ท่องเที่ยวไป ก็มักจะ "ไม่ท่องเที่ยวไปในกามาวจร" เพราะสภาวะการณ์ไม่เข้ากัน (วิปยุตาธรรมา) แต่มันจะท่องเที่ยวไปในส่วนที่ พ้นจากกามาวจร เช่น กาลอวกาศ ต่าง ๆ หรือท่องเที่ยวไปในสภาวะแห่ง ความเป็นธาตุ (สัมปะยุตาธรรมา) เป็นต้น ตรงนี้เท่านั้นที่เป็น "มโนมยิทธิ" ซึ่งเป็นเรื่องในระดับ "อิทธิของขันธ์เดี่ยว" ซึ่งก็คือ "มโน" นั่นเอง และเมื่อพบปะกับจิตอื่นที่ยังเป็น กามาวจร อยู่ก็จะ "รู้แต่ไม่นับ ความเป็นเพศ" ในขณะที่สัมผัสในขณะนั้น ๆ เลย

    +++ อานาปานสติ ในที่นี้เมื่อทำได้ถูกต้อง ก็จะอยู่กับความเป็นธาตุ "ลม" ซึ่งในขณะนั้น ๆ ก็ถือได้ว่า "อพรหมจริยา" ทำได้แล้วในส่วนของ "อานาปาน" แต่ในส่วนของ "สติ" มีอยู่กี่ % เมื่อเทียบกับส่วนของ อานาปาน (ลม) ตรงนี้ ผู้ปฏิบัติต้องรู้ด้วยตนเอง มิฉะนั้น จะกลายเป็น "อานาปาน ที่ขาด สติ" ไปซึ่ง "ไม่ใช่เจตนารมณ์" ในการฝึก อานาปานสติ และอย่าลืมว่า "สติ คือ เอกายนมรรค" ซึ่งก็คือ "สติเป็นทางสายเดียว" เท่านั้น

    +++ สิ่งที่แสดงไว้ "ไม่ใช่ความคิดเห็น" แต่ทั้งหมดมาจาก "ประสพการณ์จากการปฏิบัติ" ให้แยกให้ถูกด้วย นะครับ

    +++ อ่านทบทวนตั้งแต่ต้นอีกสักรอบหนึ่ง ก็จะตอบคำถามนี้ได้ "ด้วยตน"

    +++ เช่นกัน กลับไปอ่านทบทวนตั้งแต่ต้นอีกสักรอบ ก็จะตอบคำถามนี้ได้ "ด้วยตน" ที่ชัดเจนขึ้น

    +++ กลับไปอ่านทบทวนตั้งแต่ต้นแล้ว "ลงมือทำ" ก็จะสมปรารถนาได้ นะครับ

    +++ ตรงนี้ ควรจำแนกให้ชัดเจนว่า "กำลังทรง ขันธ์เดี่ยว หรือ ขันธ์ 4" กันแน่ เมื่อชัดเจนแล้วก็จะจำแนกได้เองว่ากำลัง "ทรงพรหมวิหาร 4" หรือกำลัง "ทรงกามาวจร 5" กันแน่

    +++ คำตอบ "ทั้งหมด" ในโพสท์นี้ ก็ "มากเกินพอ" แล้วสำหรับคำถามในระดับนี้ เกินกว่านี้ไปมันก็ Loop วนกลับมายังคำตอบนี้อีกเช่นเคย ไม่พ้นวังวน (วัฏฏะ) ของคำตอบนี้ ในนัยยะนี้ ออกไปได้

    +++ "อพรหมะจริยาเวรมณี สิกขาปะทัง สมาธิ ยามิ" ก็เอวังลงด้วยประการะฉะนี้ ขอให้ประสพผลสำเร็จโดยถ้วนหน้ากัน นะครับ
     
  11. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    จากประสบการณ์นะครับ ถ้ากำลังที่ทรงอยู่ไม่ได้ออกมาจากใจโดยแท้ ๆ มักจะอยู่ได้ไม่นาน
    ผมเป็นบ่อย ๆ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ต้องเอามาทบทวนวิเคราะห์หาสาเหตุและหนทางแก้ไข

    สาเหตุหลัก ๆ คือยังถือตัวถือตนอยู่ ตัวนี้รวมถึงกำลังฌานที่เราสร้างและทรงได้แล้ว แม้มั่นใจว่าทรงได้แล้ว ทำให้เราหลงเชื่อไปว่าฌานสมาบัติเป็นของ ๆ เรา ถ้าสติปัญญาตามไม่ทัน ก็จะพาลคิดไปว่ากำลังของศีล สมาธิ เราทรงตัวดีแล้วอีกด้วย ถ้ารู้สึกแบบนี้ เตรียมเจ๊ง 100% ครับ เพราะกำลังของพรหมวิหารสี่ทรงฌานต้องออกมาจากใจด้วยกำลังของ เมตตา กระแสเป็นกระแสเบา เย็นและปล่อย ไม่ใช่กระแสหนักและยึดถือไว้ ต้องสังเกตให้ดีเพราะมันละเอียด เป็นเรื่องของอารมณ์กระทบด้วย ถึงจะเห็น

    ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมากจะทำง่ายหน่อย เพราะใช้อารมณ์มากกว่า แต่ถ้าอยู่สายคิดมาก ก็ต้องมั่นทบทวนความจริง ตั้งแต่ต้นว่าเราปรารถนาอะไรถึงทำแบบนี้ ทบทวนตัวเองอยู่ตลอด ว่าเมตตาจริงไหม อยากให้คนอื่นพ้นทุกข์จริงไหม ยินดีผู้อื่นเวลาได้ดีจริงไหม แอบอิจฉาอะไรเล็ก ๆ หรือเปล่า และเมื่อเราพยายามทำไปหมดแล้วผลกลับไม่เป็นตามที่เราคิด เราหยุดใจสนิทได้ไหม ไม่คิดต่อไม่ฟุ้งซ่านได้หรือเปล่า
    ถ้าทำได้ก็ทรงพรหมวิหารสี่เป็นฌานแน่นอน จะฌานไหนไม่สำคัญ เพียงแต่ขอให้กระแสใจเราเต็มด้วยความเมตตาด้วยความบริสุทธิ์ใจให้ได้ก็พอ
     
  12. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792

    เท่าที่ได้อ่านจากประสบการณ์ของท่านแล้ว ท่านยังไม่เข้าใจ พรหมวิหาร ๔ แบบพุทธ เป็นการเข้าใจแบบฤษีเท่านั้น ว่าโดยสรุป ผมเห็นว่าท่านเคยทรงได้แบบฤษี คือ ใช้สมถะภาวนานำหน้า ยังชื่อว่า ไม่ได้เข้าถึงหัวใจของ พรหมวิหาร ๔ แบบที่พระพุทธองค์ตรัสสอน ซึ่งใช้ปัญญานำหน้า

    หัวใจของ พรหมวิหาร ๔ ไม่ใช่ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา แต่เป็นปัญญา ครับ ปัญญาที่ส่องให้เป็นสัจธรรมที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาแต่คนเรามักมองไม่เห็นเพราะขาดการพิจารณาโดยแยบคาย คือ ขาดมนสิการ

    จะรู้ได้อย่างไรว่า มนสิการแล้วเกิดปัญญา เห็นตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ไม่ใช่ถูกหลอกหลอน สังเกตตรงนี้ว่า ถ้าเห็นไตรลักษณ์ข้อใดข้อหนึ่งในสิ่งที่พิจารณา ก็จัดว่าเป็นปัญญาแล้วครับ

    เมื่อท่านเห็นสัจธรรมในปรากฏการณ์ที่อยู่ตรงหน้า จิตท่านจะเกิดเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา ตามสมควรแก่เหตุปัจจัย ก็เป็นอันว่า ได้พรหมวิหาร ๔ แล้ว โดยนัยนี้ จิตจะเกิดสมถะจนได้ฌาณเอง ตามกำลังของจิต ถ้าพื้นฐานของพรหมวิหาร ๔ คือ อย่างนี้ ท่านจะอยู่ครองเรือน หรือออกบวช ก็เกิดพรหมวิหาร ๔ ได้ตลอดเวลา

    จึงมีคนกล่าว่า พรหมวิหาร ๔ ต้องมีสติในสมาธิปัญญาสัมปชัญญะด้วย ถ้าขาดสติในสมาธิปัญญาสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นพื้นฐานหรือหัวใจของพรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร ๔ ย่อมเสื่อมเมื่อสมถะเสื่อมลง ฌาณเสื่อมลง

    ตัวอย่าง เมื่อท่านตะหนักว่า ชีวิต(กายและจิต)ของท่าน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ตลอดเวลา ไม่อาจนิ่งเฉยได้ มีความเป็นทุกข์ที่บีบคั้นชีวิตเสมอ และไม่อาจบังคับบัญชาตามอำนาจปรารถนาแห่งใจตนเองได้ ต้องดำเนินชีวิตตามแต่เหตุปัจจัย ได้ชื่อว่า ปัญญาเกิดเพราะมนสิการแล้วโดยแยบคาย ท่านย่อมเมตตาต่อตนเอง กรุณาต่อตนเอง มุฑิตาต่อตนเอง อุเบกขาต่อชีวิตตนเอง เมื่อท่านเห็นอย่างนั้นในชีวิตของสรรพสัตว์ แม้คนใดคนหนึ่งอย่างนั้น ก็เกิดเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ในสรรพสัตว์ อย่างนี้ ชื่อว่า พรหมวิหาร ๔ เกิดขึ้นแล้ว ตราบใดมีสติเห็นอย่างนั้น ก็เพ่งเล็งในสรรพสัตว์ และสรรพสิ่งด้วยพรหมวิหาร ๔ ได้ตลอดเวลา

    การเห็นกฎไตรลักษณ์ กฎแห่งกรรม การเห็นวงจร กิเลส กรรม วิบากกรรม จึงจำเป็นในการภาวนาให้เกิดพรหมวิหาร ๔ การที่ขาดสติในสมาธิสัมปชัญญะ ในสัจธรรมอย่างที่ยกมานั้น จัดว่า ภาวนาขาด เมื่อภาวนาขาด เมื่อจิตขาดสติและกำลังฌาณที่ได้มาเสื่อมถอยลง จิตก็ไม่อาจตั้งลงในพรหมวิหารธรรมได้ เมื่อฌาณเสื่อมลงอารมณ์ฌาณก็เสื่อมลง

    หากต้องการมีปัญญาสัมปชัญญะ ก็ควรบำเพ็ญอานาปานะสติเป็นหลัก เพียงลมหายใจเข้าออก ก็เห็นสัจธรรม พรหมวิหารเกิดชั่วลมหายใจเข้าออก ถ้ากายและใจสงบระงับได้ไว ก็เข้าฌาณได้ไว ก็ทรงอารมณ์ของพรหมวิหาร ๔ ได้ไว ได้ลึก โดยการภาวนา เมตตา กรุณา และมุฑิตา จะได้ขั้นฌาณ ๓ ซึ่งเพราะการภาวนาปัญญาที่กว้างขวางไร้จำกัด จึงต้องมีความเพียรมาก แต่หากเลือกอุเบกขา ก็จะเข้าฌาณ ๔ ได้

    การเห็นโลกสวยงาม ต้องระวัง เป็นกามราคะที่เป็นข้าศึกของ เมตตาภาวนา ผู้ฝึกเมตตาภาวนา ระวังจะเกิดความรักแบบโลก(กามราคะ)ขึ้น จะขวางจิตไม่ให้ได้ปฐมฌาณ เสียเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2016
  13. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    ไปนิพพานเลยครับ ไปพรหมก็ยังต้องการมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสังสาร ตกอำนาจของพระพุทธฝ่ายดำ อีก เผลอลงไปโดนให้เขาย้ำยีป่นปี้ซะไม่เหลือโอกาศให้บำเพ็ญบารมีเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...