อยากได้วิธีทำให้จิตใจไม่เศร้าหมอง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล้วยเน่า, 24 มีนาคม 2018.

  1. กล้วยเน่า

    กล้วยเน่า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2018
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +5
    ใจเราอยากให้การฝึกสวดมนต์นั่งสมาธินี้มันทำให้จิตใจเราดีขึ้นบ้าง ความเจ็บป่วยของเรามันทำให้เรานึกถึงแต่เรื่องที่มันหน้าหดหู่ หรือเรื่องเศร้าๆ เมื่อเราสวดมนต์นั่งสมาธิเราก็จะดีขึ้นอยู่พักนึง แต่พอหยุดสวดมนต์หรือไม่ได้ทำสมาธิจิตใจมันก็จะกลับมาหดหู่อีก เราไม่ค่อยชอบเลยที่พอละจากการฝึกจิตแล้วจิตใจเรามันจะคิดถึงแต่เรื่่องแย่ๆลบๆ อาการนี้เป็นอาการซึ่งเราเชื่อว่ามาจากความเจ็บป่วยของเรา แล้วเนื่องจากป่วยก็เหมือนจะเป็นคนจิตอ่อนด้วย จากที่ตอนยังไม่ป่วยไม่ได้เป็นแบบนี้ จิตใจไม่ผ่องใสเลย เรารู้สึกเหมือนมันเป็นลักษณะจิตที่ไม่เหมาะต่อการฝึกจิต ต่อการทำบุญ ใครมีวิธีทำให้จิตใจผ่องใสแบบเด็ดๆบ้าง จะเป็นแบบวิธีแปลกไม่เหมือนใครก็ได้นะ เราอยากลองทำทั้งหมด ให้จิตเราดีขึ้นบ้าง
    เราขอคำแนะนำด้วยค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  2. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    ฝึกให้อยู่ใน ฌาน ได้ทั้งวันก็ไม่เศร้าหมอง ครับ สงบ ไม่วุ่นวายใจด้วย มีปิติ สุขเป็นของแถม ฌาน 1 2 กำลังดี ใช้ในชีวิตประจำวันได้ แรกๆ อาจจะฝืนๆ แต่ถ้าทำได้จนชินเป็นธรรมชาติ ยิ่งเป็นอานิสง ให้เรามีความสุขกับทางโลกได้ครับ ไม่โกรธ ไม่น้อยใจ ไม่วุ่นวาย นิวรณ์ ก็ไม่มี สบายจะตาย ทำให้ได้นะครับ สู้ๆ
     
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    เท่าที่เคยลองมาหลายๆแบบ

    สำหรับตัวผม พุทธานุสติ ทำให้จิตสบายที่สุด

    ท่านกล้วยเน่าลองดูครับ เผื่อจะได้ผลเหมือนกัน
     
  4. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เป็นเหมือนกันเลยค่ะท่านจขกท. แบ้วอยากตั้งกระทู้ถามอยู่เหมือนกัน ว่าจะแก้อารมณ์จิตหดหู่ยังไง อยากมีจิตใจที่ผ่องใสผ่องแผ้วตลอดวันค่ะ จะรอท่านอื่นมาตอบอีกนะคะ สาธุ _/\_
     
  5. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    แบ้วความรู้น้อยค่ะ ขอรบกวนสอบถาม
    1.ทำยังไงฌาน1-2จึงจะเกิดคะ ขอแบบหลายวิธีนะคะ ทั้งยากง่าย
    2.ทำยังไงถึงจะทรงฌาน1-2ได้ทั้งวันคะ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เรื่องอารมย์
    เราควรรู้จักปล่อยผ่านครับ
    ไม่ว่าจะดี
    หรือไม่ดีครับ
    ต้องปล่อยให้หมด
    ไม่งั้นจะกลายเป็นความเคยชินแบบ
    ไม่รู้ตัว คือปรุงเป็นธรรมชาติ
    ซึ่งไม่ดี

    ยกตัวอย่างเปรียบ
    เหมือนเรายืนข้างถนน
    ดูรถวิ่งไปมา ดูเฉยๆ
    ไม่ต้องไปสนว่าสีอะไร
    รุ่นไหน นี่ห้ออะไร ประเภทไหน
    ต้องมีงบเท่าไรถึงได้มา
    ต้องเสียภาษีเท่าไร
    เติมน้ำมันอะไร
    ขับได้สูงสุดเท่าไร
    ระบบเบรคอะไร
    ผลิตจากประเทศไหน ฯลฯ


    ถ้าเริ่มคิด ระลึกรู้ นึกขึ้นได้
    ตั้งแต่ว่ามันสีอะไรนั้น
    ให้รีบผลักมันทิ้งไปเลยครับ
    ถ้าไม่ผลักเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับรถ
    มันจะตามมาอีกอัตโนมัติ
    จากความเคยชิน
    แล้วก็อุทิศส่วนกุศลซ้ำไปซะ
    จิตจะได้เบา กายจะได้เบา(ชั่วคราว)
    ไม่ใช่แค่รู้สึกเฉยๆ นิ่งๆ
    จากการผลัก

    พอมองภาพออกนะครับ
     
  7. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    เดิน ยืน นอน นั้ง ขี้ กิน เมื่อว่าง ไม่ได้คุยกับใคร หรือ ไม่ได้ใช้สมอง ความคิดทำงาน ให้ภาวนา ตลอดเวลาครับ รู้ลม ฝึกเข้า แรก อาจจะอึดอัด ทำไม่ได้ แต่ค่อยๆ ทำ ไป เรื่อยๆ เป็นปกติ ไม่ใช่จะทำได้เลย เหมือนเราเดิน จงกลมนั้นละ แต่ ให้ทำในชีวิตประจำวัน แทน อาจจะยากแรกๆครับ ทำไม่ท้อไม่ถอย ทุกวันๆ จะได้เองครับ ทำให้เรามีสติและสมาธิดี กิเลสมันเยอะ ชนเราตลอด หลวงพ่อฤษี ท่านสอน เวลา กิเลสมาให้มุดหนี เมื่อกิเลส เบา เราตามตี เป็นเหมือนกองโจร คอยทิ่ม คอยแทง กิเลส อยู่ตลอด ตอดเล็กๆน้อยๆ ด้วย ฌาน อันนี้จะช่วยเราได้มาก ในการสู้กับ อารมณ์ พวกนี้ครับ

    ยังกำลังน้อย ก็มุดหนีก่อน เมื่อกำลังมาก ค่อย บุกถล่ม แพ้ก็กลับ มาตั้งหลักใหม่ ทำไปตลอด สักวันต้องชนะแน่นอน เหมือนตำรวจ ตามจับคนร้าย วันนี้จับไม่ได้ ก็กลับ จับไม่ได้ 1000 วัน พอมีวันนึงเราจับได้ ก็คือ จบ โจรติดคุก ตำรวจ และ เรา เหมือนกัน คือ แพ้ได้ตลอด เวลา แต่เรา สู้ใหม่ได้ โจร หรือ กิเลส มันอาจจะเก่ง หนีได้หนีไป แต่ถ้า พลาด โดนจับได้เมื่อไหร่ เราก็ชนะถาวร
     
  8. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    อยากดับทุกข์ทางใจก็ต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือทุกข์ เกิดขึ้นที่ใด เกิดขึ้นเพราะอะไร... เมื่อเข้าใจเหตุก็จะสามารถดับมันได้ง่ายขึ้น..

    เหมือนออกรบ แต่เราไม่รู้จักศัตรูเลย แต่ศัตรูรู้จักเราดี เราก็ไม่มีวันชนะหรอก แม้แต่ทานมันเอาไว้ยังไม่อยู่เลย...

    คร่าวๆ...ความทุกข์นั้นเกิดจากมีสิ่งมากระทบที่กายแล้วส่งต่อไปที่ใจให้ปรุงแต่งเป็นความทุกข์ทางใจต่อไป...
    กายนี้หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้นและกาย เมื่อมีอะไรมากระทบ ใจก็ทำหน้าที่ปรุงแต่งไปตามแต่เหตุ... นี่คือที่ๆเกิดของ ทุกข์และสุข

    แล้วเหตุแห่งทุกข์เล่าคืออะไร... คร่าวๆก็คือการที่เราไม่ได้ดั่งใจ ตามที่ตัณหาเราต้องการ ตัณหานี้ก็แบ่งเป็น 3อีก คือ 1. ความต้องการที่จะเสพกาม (กามในที่นี้คือ รูป รส กลิ่น เสียง สมผัส) 2. ความอยากที่จะมี อยากที่จะเป็น 3. ความที่ไม่อยากจะมี อยากที่จะไม่เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้

    เมื่อตัณหาเราเกิดขึ้นแล้วไม่ได้รับการตอบสนองตามตัณหา เมื่อนั้นใจก็จะปรุงแต่งแล้วก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา..

    ดังนั้นถ้าสังเกตุดีๆแล้ว ทุกข์นั้นเกิดที่ใจเรานี้เอง คือใจเราไปเอาสิ่งที่มากระทบมาปรุงแต่ง เอามาเป็นอารมณ์..ดังนั้นถ้าจะดับทุกข์ ก็ต้องหันมาให้ความสนใจที่ตัวใจนี้.. ส่วนตัวกายนี้เราทำอะไรมากไม่ได้ เราคงได้แต่รักษามันตามสภาพของมัน ตามเหตุและปัจจัย ซึ่งสุดท้ายมันก็ต้องเสื่อมลงไปเป็นธรรมดา

    ที่ๆเราควรใส่ใจเกี่ยวกับใจคือ ทำอย่างไรให้ใจเราไม่ปรุงแต่งจากสิ่งที่มากระทบ...โดยที่เมื่อเราเห็นภาพ ก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อเราได้ยินเสียงด่า ว่านินทา ก็สักแต่ว่าคือเสียง... ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราได้ยินเสียงคนอื่นถูกด่าว่า เราก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรใช่ไหม... เราต้องทำให้ได้เหมือนว่า คนที่ด่าว่าเรา เป็นเหมือนเหมือนคำด่าว่าคนอื่นที่ไม่ใช่ด่าเรา คือก็สักแต่ว่าเป็นเสียง....

    วิธีก็มีคร่าวๆที่หลายท่านกล่าวมา..คือกำหนดสมาธิ..
    แต่จริงๆแล้วการกำหนดสมาธินั้นคืออุบายในการให้จิตมีที่ยึด ไม่ให้ไปจับเอาสิ่งกระทบต่างๆมาปรุงแต่ง มาเป็นอารมณ์นั่นเอง..
    หากแต่มีอีกวิธีหนึ่งนั้นคือ การวางใจให้เป็นอุเบกขา คือ เราต้องเข้าใจก่อนว่าความทุกข์ทางกายไม่ใช่ความทุกข์ทางใจ... เราสามารถป่วยอยู่ แต่จิตใจเรายังเบิกบานได้ กายป่วยไม่ได้หมายความว่าใจต้องป่วยไปด้วย เมื่อใจเราเข้าใจสิ่งนี้ เราก็สามารถทำใจให้เป็นอุเบกขาได้ง่ายขึ้น

    ยกตัวอย่างเช่น.. เมื่อสมัยเด็กๆ ผมเคยเดินแล้วเท้าไปเตะมุมโตะ..เจ็บมากขอบอก.. แต่ผมไม่เคยลงไปดิ้นแล้วทำท่าเจ็บๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว... ผมกลับลุกขึ้นมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็กำหนดดูบริเวณที่เตะถูก แล้วก็สอนใจตัวเองว่า อ่อนี่คืออาการที่มนุษย์เราเรียกว่า เจ็บ เรียกว่าปวดนี่เอง.. แต่สิ่งนี้ไม่ใช่เจ็บ ไม่ใช่ปวด แต่เป็นสิ่งที่เราสมมุติเรียกมันว่า เจ็บ เรียกมันว่าปวดนี่เอง... สุดท้ายกายผมคือเท้าก็รับอาการนี้ไป แต่ใจผมกลับไม่ได้ทุกข์กับมันเลย..

    ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเข้าใจนะ ว่าอาการปวดจากการเตะเท้าถูกมุมโต๊ะของผม คงเทียบกับอาการเจ็บปวดของคุณไม่ได้... แต่หากคุณสามารถยอมรับความเจ็บปวดของคุณ แล้วเอาความเจ็บปวดมาสอนใจคุณได้ คุณก็จะค้นพบความสงบทางใจได้.. จำไว้ครับ กายป่วยไม่ได้หมายความว่าใจต้องป่วยไปด้วย หากแต่คุณต้องวางใจของคุณให้ถูกที่ ถูกทางเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2018
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    คือต้องเข้าใจก่อนว่าใจหรือจิตของเราสำคัญที่สุด จิตจะเป็นตัวทำให้เกิดความรู้สึก ทำให้เกิดเป็นอาการทางกาย จิตของเรามันกำลังกลายเป็นสิ่งอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือที่เรียกว่าเกิดดับ จิตเป็นอย่างไรกายก็จะเป็นไปตามจิต ที่รู้สึกไม่สบายกาย ก็เพราะว่าจิตของเราในขณะนั้นมันกลายเป็นความไม่สบาย แก้ได้ง่ายๆ ก็ลองทำใจว่าผ่อนคลายขึ้น สบายขึ้น เรื่ิอยๆ คือทำใจนะ ไม่ได้ใช้ร่างกาย ลองผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ แล้วอาการทางกายก็จะดีขึ้นด้วยทันตาเห็น ถ้าอยากให้จิตผ่องใสก็เหมือนกันลองทำใจให้ผ่องใสขึ้นเรื่อยๆ เดียวก็ผ่องใสแล้วคือพยายามทำใจ ทำที่จิตเป็นหลักแล้วอะไรมันจะง่าย
     
  10. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    อย่าคิดมากครับ สู้ๆครับ
    รักษาศิลและทำสมาธิครับ
    แผ่เมตตาให้ตนเองและผู้อื่นครับ
    ผู้มีเมตตาจิตย่อมไม่เศร้าหมองครับย่อมเป็นสุข
    อะไรจะเกิดก้ต้องเกิดครับ อย่ากังวลไปเลยครับ
     
  11. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    หดหู่เพราะจิตล่วงไปในอดีตและจิตล่วงไปในอนาคตแม้อยู่กับปัจจุบันก็หดหู่ได้ถ้าปัจจัยของการปฏิบัติเพียงเพื่อหนีหรือหยุดเวลาชั่วขณะ...มีทางเดียวคือสิ่งทุกสิ่งทั้งอดีตปัจจุบันอนาคตให้ปล่อยลงวางลงไม่สนไม่ดีก็ช่างดีก็ช่างไม่สน
     
  12. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    สังขารทั้งหลายล้วนอาศัยความปรุงแต่จึงมีได้และเป็นได้ ให้เห็นเป็นลำดับและเข้าใจไว้เบื้องต้นเพราะนั่นคือสังขาร...หมายถึงเพราะมีการปรุงแต่งแล้วแต่ว่าจะแต่งไปแบบไหนขณะที่จิตกำลังจะเป็นสมาธิความแปรปรวนและความปรุงแต่ซึ่งเป็นธรรมชาติของความขัดแย้งในตัวจะปรากฏถ้าเลือกจะสร้างสมาธิก็ไม่มีเหตุจำเป็นต้องใส่ใจให้แค่ธรรมชาตินั้นมีอำนาจมากถ้าเราไม่สงบระงับมันจะเป็นทุกข์อยู่ภายในแต่ถ้าเราสงบระงับเป็นฌานสมาธิไม่มีที่ว่างให้ความปรุงแต่ปรากฏก็ไม่่้ต้องกังวล
     
  13. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ให้นึกถึงบุญที่ทำไว้เสมอคะ
    วันนี้ทำความดีอะไรไปบ้าง
    ละจดไว้
    มีความสุขอยู่กับบุญความดีที่เราทำไปคะ
    อารมณ์ปลื้มปิติ
    นั้นคะ ระลึกไว้ทุกกกวัน
     
  14. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ท่องคาถานี้นะแล้วจบทุกเรื่อง " ไม่เที่ยงเกิดดับ หนุ่มแก่ตาย ใหม่เก่าพัง" ท่องแบบนี้แจ๋วสุด อย่างอื่นไม่ได้เรื่อง
     
  15. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    วิธีผมสำหรับคนจริตชอบเพ่ง. คือเมื่อรู้ตัวว่าจิตเศร้าก็เพ่งอย่างอื่น แต่ปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่าจิตเศร้าก็ไม่ยึดติดปล่อยออก ก็ทำได้นะครับ(ทั้งหมดข้างบนคือการเปลี่ยนสภาวะของจิต) ส่วนถ้าเป็นความคิดที่ผุดขึ้นเช่นอยู่ดีๆก็ไปว่าเขาอันนี้ผมใช้การคิดเรื่องใหม่ทับไปเลยครับ
     
  16. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เบื้องต้นก็ต้องทำแบบเดิมครับ อย่าหยุด

    ถ้าหยุดๆเล่นๆ ทำๆ มันก็ไม่มีทางเกิดประโยชน์

    เสียงการสวดมนต์มันรักษาอาการป่วยในตัวได้อยู่
    มันเป็นคลื่นการสั่นสะเทือนในตัวเรา
    ทำให้หน้าเด้ง หน้าเด็กดีกว่า สารเคมีอีก
    เพียงแต่ ทำให้ต่อเนื่อง
    อย่าหยุดๆทำๆ มันไม่ได้เรื่อง

    หลวงปู่มั่น ท่านบอกว่า
    สวดมนต์เสียงดังสุดกู่ อานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล
    สวดมนต์ออกเสียงเช้าเย็น อานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฎจักรวาล
    สวดเสียงในใจอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล


    บทสวดมนต์ ที่แนะนำ คือ บทธรรมจักรฯ เอาบทเดียว นี่ละครับ
    จบแล้วสวดใหม่ แปด รอบได้ยิ่งดี ตามด้วย อิติปิโส พาหุงมหากาฯ
    แล้วก็กล่าวบทอุทิศบุญ กรวดน้ำ ทำให้เป็นวัตรประจำเช้าเย็น
    ก่อนสวดมนต์ก็ฝึกอาราธนาศีลแปดเฉพาะตอนสวดมนต์นี้ก็พอทุกครั้ง
    และก้เรียนรู้การฝึกสติปัฐฐาน จากคลิบนี้ด้วย
     
  17. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    คนเรามันก็จิตใจเศร้าหมอง ตลอดเพียงแต่ไม่รู้ตัว

    เอาความหมายเศร้าหมองหดหู่ จากภาษาไทยมาใช้ มันเลยเห็นแต่ในฝ่ายเดียว

    ตราบใดที่กิเลสยังไม่ดับสิ้น ความเศร้าหมองมันมีอยู่ทุกที่
    ชอบใจก็เศร้าหมอง เพราะมีกิเลสอยู่
    เสียใจก้เศร้าหมองเพราะมีกิเลสอยู่

    จิตเดิมปภัสสร แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสจรมา

    เรียนรู้วิธีการฝึกสติปัฏฐาน จำวิธีให้ได้ แล้วก็ลุย
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    จิตมันคิดได้ทีละเรื่อง
    ถ้าคิดไม่ดี ก็เปลี่ยนเรื่องซะ
    หรือดับมันซะ ไม่ต้องคิดมันหรอก
    เพียงแต่ พูดนะง่าย เขียนแล้วดูหล่อเหลาเอาการ
    แต่ในทางปฏิบัติ มันกลับไม่ง่ายเหมือนที่เขียนบอก...

    เรื่องความคิดนะครับ
    ในการดำรงชีพนะคิดได้ วิเคราะห์ แยกแยะได้
    มนุษย์เราเกิดมา มันก็คิดตั้งแต่เกิดแล้วครับ
    ดังนั้น เราก็ใช้มันในทางที่เป็นประโยชน์ไปก่อน
    แม้ว่ามันจะยังไม่ใช่ ตัวสติทางธรรม หรือปัญญาทางธรรมก็ตาม
    แต่มันเป็นเรื่องธรรมดา ของชาวโลกครับ.

    อนาคตถ้าปฏิบัติได้แล้ว เราค่อยใช้สติทางธรรม
    ใช้ปัญญาทางธรรมที่ได้จากการเดินปัญญา
    เอามาแทนความคิด ที่มันอยู่กับเราตั้งแต่เกิดแทนครับ
    แต่ต้องเข้าใจว่า ไอ้ความคิดจากจิตนี้ มันเป็นเพื่อนกับ
    จิตมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว การที่จะทิ้งมัน
    แล้วเอาสติปัญญามาทำหน้าที่แทน
    มันก็ต้องมีต่อสู้ ฟาดกันเป็นเรื่องธรรมดา
    ควรเข้าใจประเด็นนี้ไว้ด้วยครับ

    ทางธรรมนะครับ ความคิดที่เกิดจากจิตเราจะดับมันไปเลย
    พูดง่ายๆ ความคิดอะไรก็ตาม ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลง
    มันได้ เราจะดับไปเลย เกิดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้และจะ
    ไม่เอามันมาเกี่ยวข้อง เพราะตัวความคิดนี้
    มันมีต้นกำเนิดจากตัวจิตเอง แม้จะรอบรู้ระดับจักรวาล
    จากการอ่าน ฟัง ได้ยินมา แต่พวกนี้มันจะเป็นสัญญา
    ความจำได้ที่ฟังในจิตเรา. ไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์
    มีประโยชน์ ตรงใช้เป็นแนวทางเดินให้จิตเกิดปัญญาได้
    ในอนาคต แต่มันยังไม่ใช่ปัญญาทางธรรม
    แต่มันเป็นปัญญาทางโลก ปัญญาทางสมมุติอยู่ครับ....

    จนกว่า เราจะเจริญสติเข้าไปให้มากๆ เพื่อเข้าไปแยกรูปแยกนาม
    พูดง่ายๆว่า สติเราเร็วพอที่จะเห็น ไอ้ความคิดกระบวยน้ำนี้
    ที่บางทีมันก็คิดดี บางทีมันก็คิดไม่ดีนี้ ถ้าเห็นตอนมัน
    กำลังจะขึ้นจากตัวจิตได้. จิตเราจะดีดมันออกทันทีครับ
    จะเกิดกิริยาทางกาย อีกหลายอย่างที่จะฟ้องว่ามันดีดได้
    อย่างที่สังเกตุได้ง่ายๆคือ เหมือนตัวเราเบา เวลาดินเหมือนๆ
    ลอยได้ และ สายตาเรามันจะเหมือนมองเห็นได้ไกลกว่าปกติ
    คล้ายๆประหนึ่งว่าเป็นผู้วิเศษ(เป็นแป๊บเดียวนะครับ)และก็
    ยังเป็นคนปกตินี่หละไม่ใช่อะไรที่วิเศษ
    นี่สำหรับคนปกติทั่วไป สังเกตุนะครับ ว่าไม่ต้องไปเกร๊งกล้าม
    อะไรเพื่อนั่งสมาธิให้ปวดขาเลย......

    แต่สำหรับพวกจอมยุทธ์ทั้งหลาย ที่จอมนั่งเกร๊งกล้ามตะรูดนั้น..
    ถ้าท่านสามารถนั่งสมาธิได้ ในระดับที่จะควบคุมตัวจิต
    ให้อยู่ในกายแบบนิ่งๆได้ (ย้ำว่านิ่งได้) ซึ่งปกติแล้วใครก็ตาม
    ที่สามารถนั่งสมาธิในระดับที่ กายกับจิตแยกกันได้ชั่วคราว
    ได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ ในครั้งแรกไม่มีทางที่จะสามารถ
    ที่ควบคุมจิตให้อยู่ในกายได้แน่นอก อย่างๆน้อยๆ
    มันก็ออกไป 11รด อยู่แถวๆที่ท่านนั่งนั่นหละครับ
    ต้องประมาณ ครั้งที่ ๓ หรือ ๔ ถึงจะพอมีกำลังสมาธิเพียงพอ
    ที่จะควบคุมจิตจอมซน ให้มันนิ่งๆ ในกายได้
    ท่านจะเห็นเหมือนๆมองดูผนังช่องท้องตัวเองอยู่

    ตรงนี้หละสำคัญ มันจะมีตัวหนึ่ง ที่เราเรียกว่าขันธ์ ๕ นามธรรม
    มันจะลอยมา แบบเสียงดังหูแทบแตก ให้ท่านเห็นได้เอง
    (ไอ้ตัวนี้ มันไม่ได้อยู่ที่จิตนะครับ แต่ถ้าไม่ผ่านสมาธิระดับนี้
    ท่านจะเผลอนึกว่า มันอยู่ที่จิตได้ จริงๆมันอยู่ข้างๆตัวจิต
    แต่ในสภาวะปกติเราจะแยกไม่ออก)
    ถ้าท่านสามารถเห็นมันก่อนที่จะมารวมกับตัวจิตได้อีก
    จิตก็จะสามารถแยกรูปแยกได้เอง......
    จะเข้าใจว่า ทำไมเค้าถึงบอกว่า มันเป็นเกลียวมัดรวมกันมาได้เอง

    แล้วจะสามารถที่จะเริ่มปัญญาได้เอง
    ด้วยการใช้กำลังสติควบคุมความคิด
    และพฤติกรรมของจิตไว้ก่อน
    ถ้าความคิดจากจิตขึ้นมาดับเลยอย่าสน
    ถ้าความคิดจากขันธ์ ๕ อย่าพึ่งไปดับ
    (เอกลักษณ์มันคือ เป็นเรื่องราวในอดีต ถ้าเราไปดู
    มันจะดับอีก และเปลียนไปเรื่องอื่นๆ และเปลี่ยนแปลง
    เรื่องไม่ได้ มาเรื่องไหนก็เรื่องไหน)
    ยกตัวอย่าง ความคิด ถ้านึกว่า กระบือ เราจะบอกว่า เป็นวัวก็ได้
    แต่ความคิดขันธ์ ๕ ถ้ามาเป็นกระบือ เราจะไม่สามารถคิดให้เป็นวัวได้ ข้อแตกต่างๆง่ายๆประมาณนี้ในการสังเกตุครับ....

    พอยังไม่ดับความคิดจากขันธ์ ๕ เราก็จะเฉยๆไว้
    ปล่อยมันเกิดไป แต่อย่าไปปรุงร่วม กำลังสติก็จะตามๆ
    ดูๆมันไป ด้วยใจที่เป็นกลาง ณ เวลานั้นเพราะเราจะไม่
    ไปปรุงร่วม จิตก็เข้าสู่กิริยาว่างรับรู้อยู่อย่างนั้น ณ เวลานั้นนะ
    เด่วซักพัก จิตจะเข้าใจ และจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้น
    มาได้ของมันเอง. ทางกายเราจะรู้สึก อ่อๆ เฉยๆ. ไปเอง
    กับขันธ์ ๕ นามธรรมตัวนั้น หมดตัวนี้เด่วตัวอื่นๆก็มาอีก
    เป็นเรื่องปกติ นี่คือ พื้นฐานทั่วไป
    อนาคตก็จะไปปัญญาญานได้เอง
    เด่วค่อยว่ากันภายหลัง
    เพราะปัญญาทางธรรม มันคล้ายๆว่า จะวางเรื่องนั้นๆได้
    วางได้เร็วแสดงว่า มันมีมากเลยวางได้ง่าย
    แต่ข้อเสีย คือ ในอนาคต มันจะกลับขึ้นมาให้เรางงเล่นว่า
    เห้ย มาอีกได้ไง......

    ไม่เหมือนปัญญาญานที่ถ้ามันรู้แล้ว มันจะไม่กลับมา
    รบกวนจิตใจเราอีกในอนาคตครับ

    ผ่านปัญญาญาน ด้วยการสังเกตุ สาเหตุที่เกิด
    สาเหตุที่ดับ เกิดเพราะอะไร ดับเพราะอะไร ดับเวลาไหนได้
    จิตจะรู้เหตุรู้ผลได้ และก็จะปล่อยวางจริงๆ
    ในเวลาปกติ จิตมันถึงจะเริ่มคลายตัวเองได้
    ในเวลาปกติของมันเอง เพื่อกลับสู่เนื้อหาเดิมแท้
    ของมันเองนั่นหละครับ ที่ชอบพูดกันให้ดูหล่อๆ
    ว่า จิตประภัสสร อะไรนั่นหละครับ...

    มันมี มีขั้นตอนในการย้อนไปถึงอยู่
    มันคิด วิเคราะห์ เอา ไม่ได้นะครับ
    หรือถ้ายังไม่เข้าปัญญาญาน มันก็
    เกิดขึ้นยังไม่ได้เช่นกันครับ

    ปล. อยู่ตรงไหน ก็เอาทีละสเตป
    เราไม่ใช่ อัจฉริยะ เหมือน ซุนหงอคง
    ที่ฝึกอะไร แค่ดูแล้วจะทำได้เลย
    เราเป็นมนุษย์เหมือนๆกันทุกครับ.....


     
  19. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,312
    ค่าพลัง:
    +5,247
    ง่าย ๆ ครับ ทำใจยอมรับสถาพที่เราเป็น
    ว่าเพราะมันมีปัจจับหนุนให้เราต้องเจอเรื่องพรรคนี้ เราก็เลยต้องเจอเรื่องพรรคนี้
    ตามหลักอิทัปปัจจยตา

    อย่างผมนี่ก็เป็นเบาหวานนะ
    ก็พิจารณาว่าเพราะตัวเองกินเยอะนี่แหละ ถึงเป็น ไม่โทษโชคฃะตาด้วย ว่าทำไมเราต้องเป็น
    ก็เพราะเรากินหวานมากเกินไปเองเราจึงเป็นประมาณนั้น
    ตอนเด็ก ๆ ผมโดนรังแกบ่อยครับ จนมีปัญหาเครียดทำให้เป็นโรคประสาทยันทุกวันนี้แหละ
    แต่วิธีปล่อยวางผมก็คล้าย ๆ การปลงโรคเบาหวาน
    คือใช้หลักอิทัปปัจยตา ในการพิจารณาให้ยอมรับธรรมดา
    และเราก็ต้องพิจารณาตัวเอาให้เป็นกลางไม่เข้าข้างตัวเองด้วย ผมเรียกเองว่า การไม่มีตัวตนแบบชั่วคราว

    เช่น
    (ยกตัวอย่าง ช่วงที่ผมเรีนธรรมมะจนแยกแยะอะไร ๆ ได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็แล้วกันนะครับ)
    ผมเคยมีความทุกข์ ที่ผมโดนแฟนทิ้ง ผมทุกข์จนรู้สึกเหมือนโดนลิ่มตอกที่หัวใจทุกครั้งเวลาที่ความทรงจำเรื่องแฟนเก่าผึดขึ้นมาในหัว

    ถ้าผมมองปัญหาในฐานะที่ผมเป็นผม ผมจะคิดว่า ทำไมกูต้องโดนทิ้งทั้ง ๆ ที่กูทำดีมาตลอด ทำให้เห็นแต่ความทุกข์ของตัวเอง หาทางออกจากปัญหาไม่ได้ เพราะเห็นแต่ความรู้สีกตัวเอง จมอยุ่กับความรู้สึกนั้น

    ถ้าผมมองตัวเองเป็นเขา คือ มองแบบภาพรวม
    เขาโดนแฟนทิ้ง เมื่อมองตัวเองเป็นเขา ทำให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเองกับแฟนได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น มันแจกแจงได้หลายอย่างเลย ครับ
    1.เขากับเธอไม่ได้อยุ่ด้วยกัน
    2.เธอมีแรงกระตุ้นทางกามารมณ์สูง
    3.เธอคบซ้อนอยู่ และผมก็มีฐานะไม่มั่นคง
    4.ผมกับเธอความสัมพันธุ์ดูกระท่อนกระแท่นมาก
    5.คนธรรมดาไม่ได้มีคุฯธรรมมากมายอะไรอยู่แล้ว การนอกใจเป็นเรื่องปกติ
    มันเลยเป็นเหตุผลที่สมควรให้ ผมในฐานะเขาโดนแฟนทิ้ง แม้ผมในฐานะเขาจะน่าสงสาร แต่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์มนุษย์อยู่ดี เพราะการที่คนเรานั้นกระทำกรรมต่อกันด้วยแรงกระตุ้นที่มีอยุ่ข้างในเป็นอาการปกติของสัตว์มนุษย์ หรือ เรื่อง "ธรรมดา"

    ผมพิจารณามาถึงคำว่าธรรมดานี่แหละ รู้สึกเหมือนคนมาจุดดอกไม้ไฟในหัวเลยครับ ความเข้าใจระเบิดในหัวปุ้ง ๆ ๆ ๆ ๆ

    เพราะพบว่าสิ่งที่ผมขาดไปในการเรียนรู้ธรรมมะก็คือความเข้าใจในธรรมดานี่เอง
    จากนั้น ที่ผมเคยปวดใจทุกตรั้งที่ความทรงจำเรื่องแฟนเก่าผุกมาในหัวก็หายเลยครับ

    แค่อมรับธรรมดาได้ ใจมันก็เบามากทีัีเดียว

    วิธีของผมจะว่าเป็นปัจจัตตังก็ได้นะ
    เพราะคนเราเรียนรู้มาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน

    ความเข้าใจด้วยวิธีของผม อาจเกิดได้กับคนไม่กี่คน

    วิธีของผม ผมได้มาจากความคิดที่ว่า เราไม่อยากทุกข์กับเรืองนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะเรารู้ว่าเราลืมเรื่องนี้ไม่ได้แน่ ๆ และเราไม่สมามารถ ปโิบัติได้เหมือนครูบาอาจารย์ เราจึงต้องหาทาง ทำให้ความทุกข์นั้นหายไปอย่างถาวรแทนที่จะใช้ การปล่อยว่างอารมณ์ ว่า เดี๋ยวความทุกข์นี้มันก็ผ่านไป เพราะเราผล่อยความทุกข์ผ่านไปไม่เป็น

    ที่ผมไม่สามารถนั่งสมาธิ ปลงอนิจจัง หรือ เอาฌาณสมาธิข่มความทุกข์ได้ เพราะนั่งสมาธิไม่เป็นครับ เพราะผมมีปัญหาความเครียกสะสม เป็นโรคประสาท ทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตในสังคมไม่ได้ครับ ได้แต่ศึกษาธรรมดาทั้งหลายตามประสาพุทธภูมิ ผมมีความคิดว่า ถ้าเราไม่สามารถสลัดความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในใจออกจากหัวได้ เวลาความทรงจำนี้เกิดขึ้นมาอีกเราก็ทุกข์อยู่ดี เราเลยเลือกที่จะ ทำให้ตัวเองรู้สึกเฉย ๆ กับเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ใจให้ได้แทนครับ เมื่อความทรงจำเรื่องแฟนเก่าผุดข้นมาเราจะได้ไม่ต้องทรมานกับมันอีก

    ยังไง จขกท ก็ลองทำความเข้าใจตัวเองก่อนนะครับ ว่าจขกท มีความทุกข์ในเรื่องใด อย่างไรจะสามารถปล่อยวางความทุกข์ได้ โดยที่อยู่ในอารมณ์ของคนที่มีธรรมะคุ้มครองได้ยังไง ถ้ารู้แล้วก็ลองหาทางของตัวเองดูครับ บางครั้ง วิธีการของคนอื่นก็ใช้กับเราไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ เพราะ คนเราอาจมีความคิดพื้นฐานไม่เหมือนกันครับ

    ถ้าเราไม่สามารถฝึกจิตได้ ก็ฝึกทัศนคติก่อนครับ
    ให้พยายาม มองหาความธรรมดาของโลกไปเรื่อย ๆ ครับ

    พอเข้าใจธรรมดาแล้วอะไร ๆ มันจะมาเองแหละ
    การทำบุญให้ทำด้วยความปรารถณาให้ผู้อื่นเป็นสุขครับ

    ผมมีประโยคเตือนใจตัวเองเสมอเวลามีคนทำอะไรกระทบใจเรา หรือเวลาที่เรานึกถึงอดีตที่ผิดพลาดของตัวเองครับ

    นั่นคือ คนเราทำกรรมต่อกันด้วยความไม่รู้

    เพราะเราไม่รู้ เราจึงทำกรรมกับคนอื่น
    อย่าโทษใคร อย่าโทษตัวเอง

    ถ้าจะโทษตัวเอง ก็โทษตอนที่รู้แล้วยังทำไม่ดีอยุ่

    ซึ่ง การที่จะบอกตัวเองแบบนี้ได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าความไม่รู้นั้นมันหนักหนาสาหัสแค่ไหนครับ มันไม่ยากหรอก แต่ก็ไม่ง่ายครับ กว่าผมจะเข้าใจก็ศึกษาธรรมมะมาแล้ว 17 ปี 555 (ผมโง่ครับ แต่ก็เพราะเข้าใจความโง่ของตัวเองนี่แหละ เลยเข้าใจความโง่ของมนุษย์ ว่ามนุษย์โลกเขาโง่กันยังไง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2018
  20. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    การมีจิตใจที่เศร้าหมอง ทำให้เราพลาดโอกาสจากความดีของเราาเอง
    เหมือนเกิดเป็นคนต้องฉลาดคิด
    จงหาประโยชน์จากลมหายใจของเราให้ได้มากที่สุด
    หากเราหมดลมหายใจแล้ว
    เราาไม่มีทั้งงโอกาส
    ไม่มีทั้งการแก้ตัว
    จะมีประโยชน์อะไรที่เราไปนั่งจมอยู่กับ
    สิ่งที่ไม่ทำให้เราพ้นทุกข์ไปได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...