อยู่เพื่ออะไร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย sinless, 12 ตุลาคม 2010.

  1. sinless

    sinless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +534
    อยู่เพื่ออะไร (หลวงปู่ชา)

    พระธรรมเทศนา แสดงที่วัดถ้ำแสงเพชร กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๕


    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพุทฺธสฺส
    พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ นมสฺสามิ
    อิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพติ

    ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบ รับโอวาทพอสมควรวันนี้มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตมาถวายดอกไม้ตามกาลเวลา เรื่องสักการะ เรื่องคารวะการเคารพต่อผู้ใหญ่เป็นมงคลอันเลิศ พรรษานี้อาตมาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงไม่สบาย สุขภาพไม่แข็งแรง ฉะนั้น จึงหลบมาอยู่บนภูเขานี้ ก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์สักพรรษาหนึ่งญาติโยมสานุศิษย์ทั้งหลายไปเยี่ยม ก็ไม่ได้สนองศรัทธาอย่างเต็มที่ เพราะว่าเสียงมันจะหมดแล้ว ลมมันก็จะหมดแล้ว นับว่าเป็นบุญที่เป็นตัวเป็นตนมานั่ง ให้ญาติโยมเห็นอยู่นี่นับว่าดีแล้ว ต่อไปก็จะไม่ได้เห็น ลมมันก็จะหมด เสียงมันก็จะหมด มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของสังขาร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้ ขะยะวะยัง คือความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขาร

    เสื่อมไปอย่างไร ? เปรียบให้ฟังเสมือนก้อนน้ำแข็งแต่ก่อนมันเป็นน้ำเขาเอามาทำให้เป็นก้อน แต่มันก็อยู่ไมกี่วันหรอกมันก็เสื่อมไป เอาก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆเท่าเท่านี้ไปวางไว้กลางแจ้ง จะดูความเสื่อมของก้อนน้ำแข็งก็เหมือนสังขารนั้นมันจะเสื่อมทีละน้อย ทีละน้อยไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมง ก้อนน้ำแข็งก็จะหมด ละลายเป็นน้ำไป นี่เรียกว่าเป็น ขะยะวะยัง ความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขารทั้งหลาย เป็นมานานแล้ว ตั้งแต่ตั้งโลกขึ้นมาเราเกิดมาเราเก็บเอาสิ่งเหล่านี้มาด้วย ไม่ใช่ว่าเราทิ้งไปไหน พอเกิดเราเก็บเอาความเจ็บ ความแก่ ความตายมา พร้อมกัน

    ดังนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงตรัสไว้ว่า ขะยะวะยัง ความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขารทั้งหลาย เรานั่งอยู่บนศาลานี้ ทั้งอุบาสกอุบาสิกาทั้งพระทั้งเณรทั้งหมดนี้ มีแต่ก้อนเสื่อมทั้งนั้น นี่ที่ก้อนมันแข็ง เปรียบเช่นก้อนน้ำแข็งแต่ก่อนเป็นน้ำมันเป็นก้อนน้ำแข็งแล้วก็เสื่อมไป เห็นความเสื่อมมันไหม? ดูอาการที่มันเสื่อมซี ร่างกายของเรานี่ทุกส่วนมันเสื่อมผมมันก็เสื่อมไป ขนมันก็เสื่อมไป เล็บมันก็เสื่อมไป หนังมันก็เสื่อมไป อะไรทุกอย่างมันเสื่อมไปทั้งนั้น

    ญาติโยมทุกคนเมื่อครั้งแรกคงจะไม่เป็นอย่างนี้นะ คงจะมีตัวเล็กกว่านี้ นี่มันโตขึ้นมามันเจริญขึ้นมา ต่อไปนี้มันก็จะเสื่อม เสึ่อมไปตามธรรมชาติของมัน เสื่อมไปเหมือนก้อนน้ำแข็ง เดี๋ยวก็หมดก้อนน้ำแข็งมันก็กลายเป็นน้ำ เรานี่ก็เหมือนกันทุกคนมีดินมีน้ำมีไฟมีลม เมื่อมีตัวตนประกอบกันอยู่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟตั้งขึ้นเรียกว่าคน แต่เดิมไมู่ร้ว่าเป็นอะไรหรอกเรียกว่าคน เราก็ดีอกดีใจเป็นคนผู้ชายเป็นคนผู้หญิง สมมติชื่อให้นายนั้นนางนี้ตามเรื่องเพื่อเรียกตามภาพให้จำง่ายให้การงานง่าย แต่ความเป็นจริงก็ไม่มีอะไร มีน้ำหนึ่ง ดินหนึ่ง ลมหนึ่ง ไฟหนึ่งมาปรุงกันเข้ากลายเป็นรูปเรียกว่าคนโยมอย่าพึ่งดีใจนะ ดูไปดูมาก็ไม่มีคนหรอก ที่มันเข้มเข็งพวกเนื้อพวกหนังพวกกระดูกทั้งหลายเหล่านี้เป็นดิน อาการที่มันเหลวๆตามสภาพร่างกายนั้นเราเรียกว่าน้ำ อาการที่มันอบอุ่นอยู่ในร่างกายเราเรียกว่าไฟ อาการที่มันพัดไปมาอยู่ในร่างกายของเรานี้ ลมพัดขึ้นเบื้องบนพัดลงเบื้องต่ำนี้เรียกว่าลม ทั้ง ๔ ประการนี้มาปรุงกันเข้าเรียกว่าคนคนฟังยังมีเป็นผู้หญิงผู้ชายอีก จึงมีเครื่องหมายตามสมมติ ของ เรา

    แต่อยู่ที่วัดป่าพง ที่ไม่เป็นผู้หญิงไม่เป็นผู้ชายก็มีเป็นนะปุงสกลึงค์ไม่ใช่อิตถีลึงค์ ไม่ใช่ปุงลึงค์ คือซากศพที่เขาเอาเนื้อเอาหนังออกหมดแล้ว เหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น เป็นซากโครงกระดูกเขาแขวนไว้ ไปดูก็ไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใครไปถามว่านี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้แต่มองหน้ากัน เพราะมันมีแต่โครงกระดูกเท่านั้นเนื้อหนังออกหมดแล้ว พวกเราทั้งหลายก็ไม่รู้ ทุกคนไปวัดป่าพงเข้าไปในศาลาก็ไปดูโครงกระดูกบางคนดูไม่ได้ วิ่งออกจากศาลาเลยกลัว...กลัวเจ้าของอย่างนั้นเข้าใจว่าไม่เคยเห็นตัวเราเองสักที ไปกลัวกระดูกไม่นึกถึงคุณค่าของกระดูก เราเดินมาจากบ้าน นั่งรถมาจากบ้าน ถ้าไม่มีกระดูกจะเป็นอย่างไร? จะเดินไปมาได้ไหม? นั่งรถมาถึงวัดป่าพง พอลงรถเข้าศาลาไปดูโครงกระดูก พอเห็นวิ่งออกจากศาลาเลย กลัวโครงกระดูก คนเราไม่เคยเห็น เกิดมาพร้อมกันไม่เคยเห็นกันนอนเบาะอันเดียวกันไม่เคยเห็นกัน นี่แสดงว่าเราบุญมากที่มาเห็น แก่แล้ว ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปีนมัสการวัดป่าพงเห็นโครงกระดูก กลัว นี่อะไรไม่รู้ แสดงว่าเราไม่คุ้นเคยเลย ไม่รู้จักตัวของเราเลย กลับไปบ้านก็ยังนอนไม่หลับอยู่ ๓-๔ วัน แต่ก็นอนกับโครงกระดูกนั่นแหละไม่ใช่นอนที่อื่นหรอก ห่มผ้าผืนเดียวกันอะไรๆ ด้วยกัน นั่งบริโภคข้าวด้วยกันแต่เราก็กลัว นี่แสดงว่าเราห่างเหินจากตัวเรามากที่ลุด น่าสงสาร ไปดูแต่อย่างอื่น ไปดูแต่วัตถุของอื่นนอกจากตัวเรา ไม่เคยมองดูตัวเราเลย ถ้าพูดตรง ๆ แล้วก็น่าสงสารมนุษย์เหมือนกันดังนั้นคนเราจึงขาดที่พึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 สิงหาคม 2012
  2. sinless

    sinless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +534
    อาตมาเคยบวชนาคมาหลายองค์ “เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ” นาคที่เคยเป็นนักศึกษาคงนึกหัวเราะว่า “ท่านอาจารย์เอาอะไรมาสอนนี่ เอาผมที่มันมีอยู่นานแล้วมาสอน ไม่ต้องสอนแล้ว รู้จักแล้วเอาของที่รู้จักแล้วมาสอนทำไม?” นี่คนที่มันมืดมากมันก็เป็นอย่างนี้ คิดว่าเราเห็นผม อาตมาบอกว่าคำที่ว่าเห็นผมนั้น คือเห็นตามความเป็นจริง เห็นขนก็เห็นตามความเป็นจริง เห็นเล็บเห็นหน้าเห็นฟันก็เห็นตามความเป็นจริง จึงเรียกว่าเห็น ไม่ใช่ว่า เห็นอย่างผิวเผินแต่เห็นตามความเป็นจริง อย่างไรๆ เราคงจะไม่หมกมุ่นอยู่ในโลกอย่างนี้ถ้าเห็นตามความจริง ผม ขน เล็บ ฟันหนัง เป็นอย่างไร ตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร? เป็นของสวยไหม? เป็นของสะอาดไหม เป็นของมีแก่นสารไหม? เป็นของเที่ยงไหม? เปล่า...มันไม่มีอะไรหรอก ของไม่สวยแต่เราไปสำคัญว่ามันสวยของไม่จริงไปสำคัญว่ามันจริง

    อย่าง เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ คือ ผมขน เล็บ ฟัน หนัง คนเราไปติดอยู่นี่ พระพุทธองค์ท่านยกมาทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นมูลกรรมฐานสอนให้รู้จักกรรมฐานทั้ง ๕นี้ มันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เราเกิดขึ้นมาก็หลงมันอันนี้เป็นของโสโครก ดูซิ คนเราไม่อาบน้ำสัก ๒ วันสิเข้าใกล้กันได้ไหม? มันเหม็น เหงื่อออกมากๆไปนั่งทำงานรวมกันอย่างนี้ เอาสิเหม็นทั้งนั้นแหละกลับไปบ้านอาบน้ำเอาสบู่มาถูออกหายไปนิดหนึ่งก็หอมสบู่ขึ้นมา ได้ถูสบู่มันก็หอม ไอ้ตัวเหม็นมันก็อยู่อย่างเดิมนั้นแหละ มันยังไม่ปรากฏเท่านั้นกลิ่นสบู่มันข่มไว้เมื่อหมดสบู่มันก็เหม็นตามเคยอันนี้เรามักจะเห็นรูปที่นั่งอยู่นี่ นึกว่ามันสวยมันงามมันแน่น มันหนา มันตรงตา มันไม่แก่ มันไม่เจ็บมันไม่ตาย หลงเพลิดเพลินอยู่ในสากลโลกนี้ ฉะนั้นจึงไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ตัวที่พึ่งของเราคือตัวใจ ใจของเราเป็นที่พึ่งจริงๆ ศาลาหลังนี้มันใหญ่ก็ไม่ใช่ที่พึ่ง มันเป็นที่อาศัยชั่วคราว นกพิราบมันก็มาอาศัยอยู่ ตุ๊กแกมันก็มาอาศัยอยู่ จิ้งเหลนนี้มันก็มาอาศัยอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมาอาศัยอยู่ได้ เรานึกว่าของเรามันไม่ใช่ของเราหรอกมันอยู่ด้วยกัน หนูมันก็มาอยู่สารพัดอย่าง นี่เรียกว่าที่อาศัยชั่วคราว เดี๋ยวก็หนีไปจากไป เราก็นึกว่าอันนี้เป็นที่พึ่งของเรา คนมีบ้านหลังเล็กๆ ก็เป็นทุกข์เพราะบ้านมันเล็ก มีบ้านหลังใหญ่ ๆ ก็เป็นทุกข์เพราะกวาดไม่ไหวตอนเช้าก็บ่น ตอนเย็นก็บ่น จับอะไรวางตรงไหนก็ไม่ค่อยได้เก็บ คุณหญิงคุณนายนี่จึงเป็นโรคประสาท...ทุกข์


    ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงให้หาที่พึ่ง คือ หาใจของเรา ใจของเราเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยมากคนเราไม่ค่อยมองดูในสิ่งที่สำคัญ ไปมองที่อื่นที่ไม่สำคัญ เป็นต้นว่ากวาดบ้าน ล้างจาน ก็มุ่งความสะอาด ล้างถ้วยล้างจานให้มันสะอาดทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งความสะอาด แต่ใจเจ้าของไม่เคยมุ่งเลย ใจของเรามันเน่า บางทีก็โกรธหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่นั่นแหละ ก็ไปมุ่งแต่จานให้จานมันสะอาดใจของเราไม่สะอาดเท่าไร ถ็ไม่มองดู นี่เราขาดที่พึ่งเอาแต่ที่อาศัยแต่งบ้านแต่งช่อง แต่งอะไรสารพัดอย่างแต่ใจของเราไม่ค่อยจะแต่งกัน ทุกข์ไม่ค่อยจะมองดูมันใจนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นพระพุทธองค์ ท่านจึงพูดว่าให้หาที่พึ่งทางใจ “อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ” ใครจะเป็นที่พึ่งได้? ที่เป็นที่พึ่งที่แน่นอนก็คือใจของเรานี่เอง ไม่ใช่สิ่งอื่น พึ่งสิ่งอื่นก็พึ่งได้แต่ไม่ใช่ของที่แน่นอน เราจะพึ่งได้ก็เพราะเราพึ่งตัวของเราเราต้องมีที่พึ่งก่อนจะพึ่งอาจารย์ พึ่งญาติมิตรสหายทั้งหลาย จะพึ่งได้ดีนั้น เราต้องทำตัวของเราเป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน

    ดังนั้น วันนี้ที่มากราบนมัสการทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ขอให้รับโอวาทนี้ไปพินิจพิจารณา เราทุกคนให้นึกเสมอว่าเราคืออะไร? เราเกิดมาทำไม? นี่ถามปัญหาเจ้าของอยู่เสมอว่า เราเกิดมาทำไม? ให้ถามเสมอ บางคนไม่รู้นะ แต่อยากได้ความสุขใจมันทุกข์ไม่หาย รวยก็ทุกข์จนก็ทุกข์ เป็นเด็กเป็นคนโตก็ทุกข์ ทุกข์หมดทุกอย่าง เพราะอะไร? เพราะว่ามันขาดปัญญา เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะมันจน เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะมันรวยมาก ของมากๆรักษาคนเดียว ในสมัยก่อนอาตมาเคยเป็นสามเณร เคยเทศน์ให้โยมฟังครูบาอาจารย์ท่านให้เทศน์ พูดถึงความร่ำรวยในการมีทาส ให้มีทาสสักร้อย ผู้หญิงก็ให้ได้สักร้อยหนึ่งผู้ชายก็ร้อยหนึ่ง มีช้างก็ร้อยหนึ่ง มีวัวก็ร้อยหนึ่งมีควายก็ร้อยหนึ่ง มีแต่สิ่งละร้อยละร้อยทั้งนั้นญาติโยมได้ฟังแล้วก็สบายใจ ให้โยมไปเลี้ยงควายสักร้อยหนึ่งเอาไหม? เอาควายร้อยหนึ่ง เอาวัวร้อยหนึ่งมีทาสผู้หญิงผู้ชายอย่างละร้อยให้โยมรักษาคนเดียวมันจะดีไหม? นี่ไม่คิดดู แต่ความอยากมีวัว มีควาย มีช้าง มีม้า มีทาส สิ่งละร้อยละร้อย น่าฟัง...อุ๊ย! อิ่มใจเหลือเกินมันสบายนะ แต่อาตมาเห็นว่าได้สัก ๕๐ ตัวก็พอแล้วแค่ฟั่นเชือกเท่านั้นก็เต็มทีแล้ว อันนี้โยมไม่คิด คิดแต่ได้.ไม่คิดถึงว่ามันจะยากจะลำบาก

    สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเรานี้ ถ้าเราไม่มีปัญญาจะทำให้เราทุกข์นะ ถ้าเรามีปัญญานำออกจากทุกข์ได้ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาไม่ใช่ของดีนะ ถ้าเราใจไม่ดีไปมองคนบางคน ไปเกลียดเขาอีกแล้ว มานอนเป็นทุกข์อีกแล้ว ไปมองดูคนบางคนรักเขาอีกแล้ว รักเป็นทุกข์อีกแล้วมันไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เกลียดก็เป็นทุกข์ รักก็เป็นทกข์เพราะมันอยากได้ อยากได้ก็เป็นทุกข์ ไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์ของที่ไม่ชอบใจอยากทิ้งมันไป อยากได้ของที่ชอบใจเข้ามามันก็ทุกข์ ของที่ชอบใจได้มาแล้วกลัวมันจะหายอีกแล้ว มันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรบ้านหลังใหญ่ๆ ขนาดนี้ก็นึกว่าจะให้มันสบายขึ้น เก็บความสบายเก็บความดีไว้ในนี้ ถ้าคิดไม่ดีมันก็ไปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ

    ดังนั้น ญาติโยมทั้งหลายจงมองดูตัวของเราว่าเราเกิดมาทำไม? เราเคยได้อะไรไว้ไหม อาตมาเคยรวมคนแก่ เอาคนแก่อายุเลย ๘๐ขึ้นไปแล้วมาอยู่รวมกันอาชีพทำนา ตามบ้านนอกของเราทำนามาตั้งแต่โน้นเกิดมาได้ ๑๗-๑๘ ปีก็รีบแต่งงาน กลัวจะไม่รวยทำงานตั้งแต่เล็กๆให้มันรวย ทำนาจน๗๐ปีก็มี ๘๐ปีก็มี๙๐ ปีก็มี ที่มานั่งรวมกันฟังธรรม “โยม” อาตมาถาม “โยมจะเอาอะไรไปไหมนี่? เกิดมาก็ทำอยู่จนเดี๋ยวนี้แหละผลที่สุดจะไป จะได้อะไรไปไหม?” ไม่รู้จัก ตอบได้แต่ว่า “จังว่า จังว่า จังว่า” นี่ตามภาษาเขาว่า “กินลูกหว้าเพลินกับลูกหว้า มันจะเสียเวลา” เพราะยังว่านี่แหละจะไปก็ไม่ไป จะอยู่ก็ไม่อยู่ มันอยู่ที่จังว่า นั่งอยู่กง อยู่ง่านั่งอยู่คาคบนั่น แล้วมีแต่จังว่าๆ
     
  3. sinless

    sinless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +534
    ตอนยังหนุ่มๆครั้งแรกอยู่คนเดียวเข้าใจว่าเป็นโสดไม่สบาย หาคู่ครองเรือนมันจะสบาย เลยหาคู่ครองมาครองเรือนให้ เอาของ ๒ อย่างมารวมกันมันก็กระทบกันอยู่แล้ว อยู่คนเดียวมันเงียบเกินไปไม่สบายแล้วเอาคน๒ คนมาอยู่ด้วยกันมันก็กระทบกันก๊อก ๆ แก๊กๆ นั่นแหละ ลูกเกิดมาครั้งแรกตัวเล็ก ๆ พ่อแม่ก็ตั้งใจว่าลูกเราเมื่อมันโตขึ้นมาขนาดหนึ่งเราก็สบายหรอกก็เลี้ยงมันไป ๓ คน ๔ คน ๕ คน นึกว่ามันโตเราจะสบายเมื่อมันโตมาแล้วมันยิ่งหนัก เหมือนกับแบกท่อนไม้อันหนึ่งเล็กอันหนึ่งใหญ่ ทิ้งท่อนเล็กแล้ว แบกเอาท่อนใหญ่นึกว่ามันจะเบาก็ยิ่งหนัก ลูกเราตอนเด็กๆ มันไม่กวนเท่าไรหรอกโยม มันกวนถามกินข้าวกับกล้วยเมื่อมันโตขึ้นมานีมันถามเอารถมอเตอร์ไซค์ มันถามเอารถเก๋ง เอาละความรักลูกจะปฏิเสธไม่ได้ ก็พยายามหามันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ให้มันก็เป็นทุกข์ บางทีพ่อแม่ทะเลาะกัน “อย่าพึ่งไปซื้อให้มันเลยรถนี่ มันยังไม่มีเงิน”แต่ความรักลูกก็ต้องไปกู้คนอื่นมา เห็นอะไรก็อยากซื้อมากินแต่ก็อด กลัวมันจะหมดเปลืองหลายอย่างต่อมาก็มีการศึกษาเล่าเรียน เข้ามันเรียนจบเราก็จะสบายหรอก เรียนมันจบไม่เป็นหรอก มันจะจบอะไร? เรียนไม่มีจบหรอก ทางพุทธศาสนานี้เรียนจบ ศาสตร์อี่นนอกนั้นมันเรียนต่อไปเรื่อยๆ เรียนไม่จบ เอาไปเอามาก็เลยวุ่นเท่านั้นแหละ บ้านหนึ่งเรียน ๔ คน ๕ คน.....ตาย......พ่อแม่ทะเลาะกันไม่มีวันเว้นละอย่างนั้น

    ไอ้ความทุกข์มันเกิดมาภายหลังเราไม่เห็นนึกว่ามันจะไม่เป็นอย่างนี้ เมึ่อมันมาถึงเข้าแล้วจึงรู้ว่าโอ! มันเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างนั้นจึงมองเห็นยาก ทุกข์ในตัวของเรานะโยม พูดตามประสาบ้านนอกเรา เรื่องฟันของเรานะโยมตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ขี้ถ่านไฟก็ยังเอามาถูฟันให้มันขาว ไปถึงบ้านก็ไปยิงฟันใส่กระจก นึกว่ามันขาวถูฟันแล้วนี่ ไปชอบกระดูก เจ้าของไม่รู้เรื่อง พออายุถึง ๕๐-๖๐ ปีฟันมันโยก เออ....เอาชิฟันโยก มันจะร้องไห้กินข้าวน้ำตามันไหลเหมือนกับถูกศอกถูกเข่าเขาอยู่ทุกเวลาฟันมันเจ็บมันปวด มันทุกข์มันยากมันลำบาก นี่!อาตมาผ่านมาแล้วเรื่องนี้ถอนออกหมดเลยในปากนี้เป็นฟันปลอมทั้งนั้น มันโยกไม่สบายอยู่ ๑๖ ซี่ ถอนทีเดียวหมดเลย เจ็บใจมันหมอไม่กล้าถอนแน่ะตั้ง ๑๖ ซี่ “หมอ!ถอนมันเถอะ เป็นตายอาตมาจะรับเอาหรอก” ถอนมันออกทีเดียวพร้อมกัน ๑๖ ซี่ ที่มันแน่นๆ ตั้งหลายซี่ตั้ง ๕ ซี่ถอนออกเลยแต่ว่าเต็มทีนะ ถอนออกหมดแล้วไม่ได้ฉันข้าวอยู่ ๒-๓ วันนี่เป็นเรื่องทุกข์

    อาตมาคิดแต่ก่อนนะ ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเอาถ่านไฟมาถูมันให้ขาว รักมันมากเหลือเกิน นึกว่ามันเป็นของดี ผลที่สุดมันจะหนีจากเรา เจ็บเกือบตายเจ็บฟันนี้มาตั้งหลายเดือนทั้งหลายปี บางทีมันบวมทั้งข้างล่างข้างบน หมดท่าเลยโยม อันนี้คงจะเจอกันทุกคนหรอก พวกที่ฟันไม่โยก เอาแปรงไปแปรงให้มันสะอาดสวยงามอยู่นั้นแหละ ระวังนะ ระวังมันจะเล่นงานเราเมื่อสุดท้ายไอ้ซี่มันยาว ซี่มันสั้นสลับกันอยู่อย่างนี้ทุกข์มากโยม อันนี้ทุกข์มากจริงๆ

    อันนี้บอกไว้หรอก บางทีจะเจอเอาทุกข์ เพราะความทุกข์ในตัวของเรานี้ ทุกข์ในตัวเรา จะหาที่พึ่งอะไรมันไม่มีแต่มันค่อยยังชั่วเมื่อเรายังหนุ่ม มันแก่มาแล้วมันก็เริ่มพังมันช่วยกันพัง สังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมัน เราจะร้องไห้มันก็อยู่อย่างนี้ จะดีใจมันก็อยู่อย่างนี้ เราจะเป็นอะไรมันก็อยู่ของมันอย่างนี้ เราจะเจ็บจะปวดจะเป็นจะตายมันก็อยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นอย่างนั้นนี่ มันหมดความรู้หมดวิชา เอาหมอฟันมาดูฟัน ถึงแก้ไขแล้วยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้นต่อไป หมอฟันเองก็เป็นเหมือนเราอีกไปไม่ไหวอีกแล้วทุกอย่างมันก็พังไปด้วยกันทั้งหมดนี้เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องรับพิจารณา เมื่อมีกำลังเรี่ยวแรงก็ทำจะทำบุญสุนทานจะทำอะไรก็รีบจัดทำกันแต่ว่าคนเราก็มักจะไปมอบให้แต่คนแก่ จะเข้าวัดศึกษาธรรมะรอให้แก่เสียก่อน โยมผู้หญิงก็เหมือนกันโยมผู้ชายก็เหมือนกันให้แก่เสียก่อนเถอะไม่รู้ว่าอะไรกันคนแก่นี่มันกำลังดีไหม ลองไปวิ่งแข่งกับคนหนุ่มดูซิทำไมจะต้องไปมอบให้คนแก่? เหมือนไม่รู้จักตายพอแก่มาสัก ๕๐ปี ๖๐ปีจวนเข้าวัดอยู่แล้วหูตึงเสียแล้วความจำก็ไม่ดีเสียแล้ว นั่งก็ไม่ทน “ยายไปวัดเถอะ” “โอยหูฉันไม่ดีแล้ว” นั่นเห็นไหม? ตอนหูดีเอาไปฟังอะไรอยู่? จังว่าจังว่า มั่นคงแต่ลูกหว้าอยู่นั่นแหละ จนหูมันหนวกเสียแล้วจึงไปวัดมันก็ไม่ได้ นั่งฟังท่านเทศน์เทศน์อะไรไม่รู้เรื่อง มันหมดแล้วจึงมาทำกัน

    ดังนั้น วันนี้คงจะได้ประโยชน์กับบุคคลที่น่าสนใจเป็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ควรเก็บไว้ในใจของเราสิ่งทั้งหลายนี้เป็นมรดกของเราทั้งนั้น มันจะรวมมารวมมาให้เราแบกทั้งนั้นแหละ ขานี่เป็นสิ่งที่วิ่งได้มาแต่ก่อน อย่างขาอาตมานี่จะเดินมันก็หนัก สกลร่างกายจะต้องแบกมัน แต่ก่อนนั้นมันแบกเรา บัดนี้เราแบกมันลุกขึ้นก็ “โอ๊ย” สมัยเป็นเด็ก เห็นคนแก่ ๆ ลุกขึ้นก็ “โอ๊ย”นั่งลงก็“โอ๊ย” ที่โอ๊ยๆยังไม่ยอมนะ ขนาดนี้นะนั่งก็โอ๊ยจลุกขึ้นก็”โอ๊ย” “โอ๊ย” ทั้งนั้นแหละ ไม่รู้อะไรทำให้เราไม่รู้เรื่องมีแต่“โอ๊ยๆ”ทั้งนั้น มันทุกข์ถึงขนาดนั้นเรายังไม่เห็นโทษมัน เมื่อจะหนีจากมันเราไม่รู้จัก ที่ทำเจ็บปวดขึ้นมานี่เรียกว่าสังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมัน ที่มันเป็นมันเป็นประดง ประดงไฟ ประดงข้อ ประดงงอ ประดงจิปาถะหมอเอายามาใส่ก็ไม่ถูก ผลที่สุดก็พังไปทั้งหมออีกคือสังขารมันเสื่อม มันเป็นไปตามสภาพของมันมันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติมันฉะนั้นให้ญาติพี่น้องให้พากันเห็น ถ้าเห็นแล้วก็จะไม่เป็นอะไร อย่างงูอสรพิษตัวร้าย ๆ มันเลื้อยมาเราเห็นเราเห็นมันก่อนก็หนี มันไม่ได้กัดเราหรอก เพราะเราได้ระวังมัน ถ้าเราไม่เห็นมัน เดินๆ ไปไม่เห็นก็ไปเหยียบมันเดี๋ยวมันก็กัดเลย

    ถ้ามันทุกข์แล้วไม่รู้จะไปฟ้องใคร ถ้าทุกข์เกิดขึ้นจะไปแก้ตรงไหน คืออยากแต่ว่าไม่ให้มันทุกข์เฉยๆเท่านั้น อยากไม่ให้มันทุกข์แต่ไม่รู้จักทางแก้ไขมันแล้วก็อยู่ไปอยู่ไปจนถึงวันแก่ วันเจ็บ แล้วก็วันตายคนโบราณบางคนเขาว่า เมื่อมันเจ็บมันไข้จวนลมหายใจจะขาด ให้ค่อยๆ เข้าไปกระซิบใกล้หูคนไข้ว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะเอาอะไรพุทโธนั้นนะ คนที่ใกล้จะนอนในกองไฟจะรู้จักพุทโธอะไร? ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุรุ่นๆ ทำไมไม่เรียนพุทโธให้มันรู้? หายใจผิดบ้างไม่ติดบ้าง “แม่ๆ พุทโธ พุทโธ” ว่าให้มันเหนื่อยทำไมอย่าไปว่าเลยมันหลายเรึ่อง เอาได้แค่นั้นก็สบายแล้ว

    โยมชอบเอาแต่ต้นกับปลายมัน ตรงกลางไม่เอาหรอก ชอบแต่อย่างนั้น บริวารพวกเราทั้งหลายก็ชอบอย่างนั้น ทั้งญาติโยมทั้งพระทั้งเณรชอบผู้ทำอย่างนั้น ไม่รู้จักแก้ไขภายในจิตของเจ้าของไม่รู้จักที่พึ่ง แล้วก็โกรธง่ายและก็อยากหลายด้วย ทำไม? คือคนที่ไม่มีที่พึ่งทางใจ อยู่เป็นฆราวาสครอบครัว อายุก็ 20-30-40 ปีกำลังแรงดีอยู่ พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายก็พอพูดกันรู้เรื่องกันหน่อยนี่ ๕๐ ปีขึ้นไปแล้วพูดกันไม่รู้เรื่องกันแล้ว เดี๋ยวก็นั่งหันหลังให้กันหรอก แม่บ้านพูดไป พ่อบ้านทนไม่ได้ พ่อบ้านพูดไป แม่บ้านฟังไม่ได้เลยแยกกันหันหลังให้กัน คนนั้นพร้อมลูกชายคนนั้นคนนี้พร้อมลูกหญิงคนนั้นเลยแตกกันเลย

    เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอกไม่เคยมีครอบครัวทำไมไม่มีครอบครัว คืออ่านคำครอบครัวมันก็รู้แล้วครอบครัวคืออะไร? ครอบมันก็คืออย่างนี้ ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆ ก็เอาอะไรมาครอบลงนี้จะเป็นอย่างไร? เรานั่งอยู่ไม่มีอะไรมาครอบมันก็พอทนได้ ถ้าเอาอะไรมาครอบลงก็เรียกว่าครอบแล้ว มันเป็นอย่างไร ครัวก็เป็นอย่างนั้น มันมีวงจำกัดแล้ว ผู้ชายก็อยู่ในวงจำกัดผู้หญิงก็อยู่ในวงจำกัดแล้ว อาตมาไปอ่านแล้ว “ครอบครัว”โอยหนัก ศัพท์ตายนี่คำนี้ไม่ใช่ศัพท์เล่น ๆ ศัพท์ที่ว่า“ครอบ” นี้ศัพท์ไปไม่ได้มันมีจำกัดแล้ว ต่อไปอีก “ครัว”ก็หมายถึงการก่อกวนแล้วทิ่มแทงแล้ว โยมผู้หญิงเคยเข้าครัวเคยโขลกพริกคั่วพริกแห้งไหม? ไอ จาม ทั้งบ้านเลยศัพท์ “ครอบครัว” มันวุ่น ไม่น่าอยู่หรอกอาตมาอาศัยสองศัพท์นี่แหละจึงบวชไม่สึก

    ครอบครัวนี้น่ากลัว ขังไว้จะไปไหนก็ไม่ได้ลำบากเรื่องลูกบ้าง เรื่องเงินเรื่องทองบ้างสารพัดอย่างอยู่ในนั้น ไม่รู้จะไปที่ไหน มันผูกไว้แล้ว ลูกผู้หญิงก็มี ลูกชายก็มีมันวุ่นวาย เถียงกันอยู่นั่นแหละจนตายไม่ต้องไปไหนกันละ เจ็บใจขนาดไหนก็ไม่ว่า น้ำตามันไหลออกก็ไหลอยู่นั่นแหละ เออ! น้ำตามันไม่หมดนะโยมครอบครัวนี่นะ ถ้าไม่มีครอบครัวน้ำตามันหมดเป็นถ้ามีครอบครัวน้ำตามันหมดยาก หมดไม่ได้ โยมเห็นไหม มันบีบออกเหมือนบีบอ้อย ตาแห้งๆก็บีบออกให้เป็นน้ำไหลออกมา ไม่รู้มันมาจากไหน มันเจ็บใจแค้นใจสารพัดอย่าง มันทุกข์ เลยรวมทุกข์บีบออกมาเป็น น้ำ ทุกข์

    อันนี้ให้โยมทั้งหลายเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่านมันจะผ่านอยู่ข้างหน้า บางคนอาจจะผ่านมาบ้างแล้วเล็กๆ น้อยๆ บางคนก็เต็มที่แล้ว “จะอยู่หรือจะไปหนอ”โยมผู้หญิงเคยมาหาหลวงพ่อ “หลวงพ่อ แหมถ้าดิฉันไม่มีบุตรดิฉันจะไปแล้ว” เออ! อยู่นั่นแหละเรียนให้จบเสียก่อน เรียนตรงนั้น อยากจะไปก็อยากจะไป ไม่อยากจะอยู่ ถึงขนาดนั้นก็อยู่วัดป่าพงสร้างกุฏิเล็กๆ ไว้ตั้ง ๗๐-๘๐ หลัง บางทีจะมีพระเณรมาอยู่บรรจุเต็ม บางทีก็มีเหลือ ๒-๓ หลังอาตมาถามว่า “กุฏิเรายังเหลือว่างไหม?” พวกชีบอก“มีบ้าง ๒-๓ หลัง” “เออ เก็บเอาไว้เถอะ บางทีพ่อบ้านแม่บ้านเขาทะเลาะกัน เอาไว้ให้เขามานอนสักหน่อย” แน่ะมาแล้ว โยมผู้หญิงสะพายของมาแล้ว ถามว่า“โยมมาจากไหน” “มากราบหลวงพ่อ ดิฉันเบื่อโลก” “โอ๊ย! อย่าว่าเลย อาตมากลัวเหลือเกิน” พอดีชายมาบ้างก็เบื่ออีกแล้ว นั่นมาอยู่ 2-3 วันก็หายเพื่อไปแล้วโยมผู้หญิงมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ โยมผู้ชายมา ก็เบื่อโกหกเจ้าของ ไปนั่งอยู่กุฏิเล็กๆ เงียบๆ คิดแล้ว“ เมื่อไหร่หนอ แม่บ้านจะมา เรียก เรา กลับ?” “เมื่อไหร่หนอพ่อบ้านจะมาเรียกเรากลับ” แน่ะไม่รู้อะไรมันเบื่ออะไรกัน มันโกรธแล้วมันก็เบื่อแล้วก็กลับอีกเมื่ออยู่ในบ้านผิดทั้งนั้นล่ะ พ่อบ้านผิดทั้งนั้น แม่บ้านผิดทั้งนั้น มานั่งภาวนาได้ ๓ วัน “เออ! แม่บ้านเขาถูกโว้ยเรามันผิด” “พ่อบ้านเขาถูก เราซิผิด” แน่ะมันจะกลับมันเปลี่ยนเอาเองของมันอย่างนั้น ก็กลับไปเลยทั้งนั้นแหละ นี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ โลกนี้อาตมาจึงไม่วุ่นวายอะไรมันมาก รู้ต้นรู้ปลายมันแล้ว ฉะนั้นจึงมาบวชอยู่อย่างนี้

    วันนี้ขอฝากให้เป็นการบ้าน เอาไปทำการบ้าน จะทำไร่ ทำนา ทำสวน ให้เอาคำหลวงพ่อมาพิจารณาว่าเราเกิดมาทำไม? เอาย่อๆ ว่าเกิดมาทำไม มีอะไรเอาไปได้ไหม ถามเรื่อยๆ นะ ถ้าใครถามอย่างนี้บ่อยๆมีปัญญานะ ถ้าใครไม่ถามเจ้าของอย่างนี้โง่ทั้งนั้นแหละเข้าใจไหม? บางทีฟังธรรมวันนี้แล้วกลับไปถึงบ้านจะพบเห็นนี้ก็ได้ ไม่นานนะ มันเกิดขึ้นทุกวัน เราฟังธรรมอยู่มันเงียบ บางทีมันรออยู่ที่รถ เมื่อเราขึ้นรถมันก็ขึ้นรถไปด้วย ถึงบ้านมันก็แสดงอาการออกมา อ้อหลวงพ่อท่านสอนไว้จริงของท่านละมัง นี่ตาไม่ดีไม่เห็นนะ เอาละวันนี้เทศน์มากก็เหนื่อย นั่งมากมากก็เหนื่อยสังขารร่างกายนี้

    เมื่อเราใช้จิตที่ฝึกดีแล้วพิจารณารูปนามอยู่อย่างนี้ให้รู้แจ้งแน่ชัดว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปัญญารู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของสังขารก็เกิดเป็นเหตุให้เราไม่ยึดถือหรือหลงใหล เมื่อเราได้อะไรมาก็มีสติไม่ดีใจจนเกินไป เมื่อของสูญหายไปก็ไม่เสียใจจนเกิดทุกขเวทนาเพราะรู้เท่าทัน เมื่อประสบความเจ็บไข้หรือได้รับทุกข์อื่นๆ ก็มีการยับยั้งใจ เพราะอาศัยจิตที่ฝึกมาดีแล้ว เรียกว่ามีที่พึ่งทางใจเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเกิดปัญญารู้ทันตามความเป็นจริง ที่จะเกิดปัญญาเพราะมีสมาธิ สมาธิจะเกิดเพราะมีศีล มันเกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้ไม่อาจแยกออกจากกันไปได้

    สรุปได้ความดังนี้ อาการบังคับตัวเองให้กำหนดลมหายใจข้อนี้เป็นศีล การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อกันไปจนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่าสมาธิการพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจว่าไม่เที่ยงทนได้ยากมิช่ตัวตน แล้วรู้การปล่อยวาง ข้อนี้เรียกว่า ปัญญาการทำอานาปานสติภาวนาจึงกล่าวได้ว่า เป็นการบำเพ็ญทั้งศีล สมาธิ ปัญญาไปพร้อมกัน และเมื่อทำศีลสมาธิ ปัญญา ให้ครบก็ชื่อว่าได้เดินทางตามมรรคมีองค์แปด ที่พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นทางสายเอกประเสริฐกว่าทางทั้งหมด เพราะจะเป็นการเดินทางเข้าถึงพระนิพพาน เมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าเป็นการเข้าถึงพุทธธรรมอย่างถูกต้องที่สุด.



    อยู่เพื่ออะไร (หลวงปู่ชา) - ฟรีเว็บบอร์ด fix.gs Free Webboard


     
  4. AddWassana

    AddWassana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11,698
    ค่าพลัง:
    +21,186
    <TABLE cellPadding=6 width=490><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ...
    ...หัหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     

แชร์หน้านี้

Loading...