อย่าประมาทเลยลูก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 30 พฤศจิกายน 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    นี่ขนาดทำความดีอย่างเดียวนา ยังไม่ได้ทำความเลวนา ถ้าแค่ไม่คิดว่าตัวเองตายยังทำความดีน้อยไปเลยลูก เพราะมันยังคิดว่ามันยังมีเวลาทำอีกหลายวันหลายปี ถ้ามันตายก่อนมันก็ได้แค่นั้นแหละ มันถึงค้างพรหมค้างเทวดาไงล่ะลูก ถ้าเป็นพระอริยะก็จะค้างพระโสดาบัน พระสกิทาคามีใช่มั๊ยลูก นี่ขนาดทำความดีอย่างเดียวไม่ทำเลวเลยนะ ยังช้า...อย่างนั้นแหละ ถ้าเอ็งเผลอไปทำความเลว (ไม่ได้เผลอหรอก...เป็นปกติคนที่ประมาทน่ะ) ย่อมจะทำอกุศลมากกว่ากุศลถูกมั้ย? ย่อมจะบาปมากกว่าบุญ คำว่า “บาป”ไม่ใช่ผิดศีลเสมอไป แค่ฟุ้งซ่าน ค้อนคนนี้ ค้อนคนโน้นก็ได้เรียกว่า “โทสะ”แล้ว ถ้าตายตอนนั้น โทสะคลุมใจ...ก็หมาเหมือนกัน

    คนประมาทเขามีชิวิตอยู่ได้อีกเกินวันเนี้ย แค่ทำความดีหย่อน ๆ ทั้งวัน...ก็แย่แล้ว เพราะความเลวเดิมก็ยังค้างอยู่ ต้องคิดให้ได้เลยว่า วันนี้อาจจะตาย ความเลวอะไรที่เราทำตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ มันมีอยู่เท่าไรเรารู้อยู่แก่ใจ มันชั่งตวงวัดไม่ได้ แต่เราจะรู้ว่าเทียบกับความดีที่ทำมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกมาจนถึงวันนี้ ในด้านศีลธรรมกรรมฐานเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าอันไหนมันออกหน้าออกหลัง ถูกมั้ยลูก ? ถ้าความดีมันออกหน้าเท่าท่วมตัวมันไม่ฟุ้งหรอกลูก พอจับลมหายใจปั๊บ! ความดีเขาจะกดความเลว ถ้าความเลวมันออกหน้าก็แสดงว่าความเลวในปัจจุบันมันสิงใจมากกว่า แต่ฐานของความดีจริง ๆ ที่ทำมามันมากกว่าความเลวแต่ความเลวปัจจุบันในชาตินี้ มันเกาะตัวอยู่ตรงฝาปัจจุบัน... ใกล้ปัจจุบันนี่ มันเป็นมลทินบังความดีไว้

    นี่หลวงตายกตัวอย่างว่า เหมือนว่าเราต้องการจะเป็นพระทองคำนะ ใจเรานี่นะ ใจเราต้องเป็นพระนะ ชาติแรกก็ออกแบบมาปางไหนดี กว่าจะออกแบบได้ตายไปอีกแล้ว ใช่มั้ยลูก? เกิดมาเจอครูบาอาจารย์พูดถึงหล่อพระ “หล่อบารมี ๑๐ ทำยังไงดี” เอ้า...เลือกปางพระได้แล้วไปกี่แสนชาติก็ไม่รู้กว่าจะมั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ “เราต้องเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” อู้หู!.....เยอะนา เขาเรียกเข้า “อุปบารมี” นา....บารมีธรรมดายังไม่เข้าถึงจุดนี้นา... ยังทำบุญเพื่อรวย เกิดดีอยู่

    พอเข้าถึงเลือกแบบ เหมือนว่าปั้นแบบพระเสร็จ หงายพระตั้งปั๊ป! ก็ผสมทองซิ (คนก็อยากทำสิ...พระทองคำ) ก็เอาทองมาหลอมแล้วก็เท... บางคนก็ไล่ขี้ทอง กุศลหยาบบ้าง อะไรบ้างมีโลภโกรธหลงเจือบ้าง ก็เหมือนว่าทองมีขี้ตะกั่วอยู่ พอหลอมเขาก็ต้องเสียเวลาไล่ขี้ทอง พอเทไปมันก็มีมลทินอยู่ แต่ว่าแบบของพระบารมี ๑๐ ทัศนี่! เวลาเรามีความเพียรเขาจะไล่ขี้ทองออกเองโดยอัตโนมัติ

    เพราะฉะนั้นเวลาเราทำบุญมาเนี่ยทองคือบารมี ๑๐ ก็จะเต็มตัวขึ้นมาทุกขณะ อาจจะขึ้นมาถึงเอวแล้ว เป็นพระเอวขาด...ยังไม่เต็ม เข้าใจมั้ยลูก? แต่มันเต็มที่ตามที่เราทำมา เราไปตกนรกเป็นหมาเสียหลายร้อยชาติเนี่ย พระบารมี ๑๐ ทัศ ก็ยังอยู่แต่ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อขึ้นมาเป็นคนเจอครูบาอาจารย์แนะนำการสั่ง-สม-เพิ่ม-พูนบารมี...ก็มาทำเพิ่ม

    เพราะฉะนั้นเข้าใจใช่มั้ย? ว่าคนที่จะเพิ่มพูนให้เต็มได้ต้องรู้จักบารมีเดิมของตัวเองว่ามีวาสนามาทางไหน แล้วก็ทำต่อบุญเดิม บางคนเขาก็ทำบารมีในช่วงแรกขอให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีจักรแก้ว ฯลฯ มึงอย่าเอาแบบพระอรหันต์ไปเทไหลออกหมดนา...มึงก็ต้องทำตามแบบที่เขาต้องการ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สมมติว่าในชาตินี้ เรานั่งพับเพียบถวายชีวิตเข้าวัดกันถือว่าสรณคมน์นี่เราเต็ม หล่อมาเต็มแล้วแต่ยังไม่ผ่องใสเป็นทอง ยังมีตะกั่ว..ยังมีสักกายทิฏฐิ..วิกิจฉา..สีลัพพตปรามาสเล็กบ้าง..น้อยบ้าง..จางอยู่ทั้ง ๑๐ ตัวก็มาใช้ปัญญา คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และความเพียรเป่าลงไป มันก็เดือดไล่ ออกมา..ตายก่อน!!ยังค้างเศษอยู่ เขาถึง บอกว่า “เชื้อมันยังเหลืออยู่” มันยังไหม้เป็นความอยาก อยู่ในใจนี่แหละลูก


    เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่คิดว่าอยาก เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรมา แต่เรารู้ว่าเราทำเต็มที่ของเราแน่ ไม่มีใครมาโกงบุญเราได้แน่ แล้วเรามาได้ร่างมนุษย์พบพระพุทธศาสานาถือว่าบุญมีอยู่ มีสิทธิ์ใช้ได้เต็มที่ บุญก็มีสิทธิ์เพิ่มพูนขึ้น แต่ว่าประมาทว่า “เออ...ร่างกายนี้คงจะอยู่ได้ตั้งทันอายุขัย ๗๕ ปี นี่เราเพิ่ง ๔๐ เพิ่ง ๒๐ เหลือตั้ง ๔๐ ปี” ถ้ามันตายใน ๔๐ วินาทีก็เป็นอันว่าไม่หล่อพระต่อ ดีไม่ดีก่อนจะตายนี่ไปเอาอุปาทานดินเหนียวหรือดินอะไรมาใส่เข้าในใจ อิจฉาริษยาพอกพูน เนื้อพระก็มีมลทินแต่ทองคำก็เป็นทองคำแต่จะมีของเคลือบ เข้าใจไหมลูก?เชื้อที่มานี่นะมันจะเคลือบเข้ามา

    เพราะฉะนั้นคนฉลาดน่ะเขาไม่ทำความเลวหลอกลูกมันทำร้ายตัวเอง...... อย่างโกรธคนอื่น คิดจะด่าคนอื่น “อีโน่น แม่มึงชื่อไรพ่อมึงชื่อไร เคยมีชู้หรือเปล่าวะ?” หาข่าวหาข้อมูลเพื่อที่จะไปจู้จี้ ๆ ด่าด้วยตัวเองก็ดีนินทากระทบกันก็ดี คนที่เริ่มหาความเลวคนอื่นและสั่งสมความโกรธความพยาบาทหรือความโลภเนี่ยก็คือสั่งสมมลทินเข้ามาในดวงจิตของตัว ถูกไหมลูก? แล้วจิตมีหน้าที่ปรุงขยำขยี้ มันไปนึกถึงเท่ากับไป
    ออกแบบคอมพิวเตอร์น่ะ “มึงจงเป็นหมา 500 ชาติ เหี้ย 700 ชาติ ขอให้มึงตายโหง” อะไรต่ออะไรนี่ เราชำนาญในการอธิษฐานเชื้อต่าง ๆ มันมาอยู่ในใจเราเอง ถูกมั้ยลูก ?

    เปรียบความเหมือนว่า ใครสักคนเกลียดหนู... เกลียดหนู.. เกลียดท่าน (หลวงตายกตัวอย่างโดยชี้ไปที่ฆราวาสและพระที่นั่งฟัง) ต้องการจะเอาไฟหรือเอาขี้ไปป้ายเขา มันต้องเอามือป้าย ถูกไหม? พูดถึงรูปธรรมนี่นะ ถ้าจะเอาไฟไปจุดเขา ต้องเอาไฟไปชุบน้ำมันยาง “เดี๋ยวจะเอาให้ติดไฟที” มือกุมความพยาบาทไว้นะ ก็เอามือนี่ไปจี้ไฟ เพื่อให้เอามือที่ติดไฟไปตบหัวคนอื่นหรือจะไปจี้คน ถามว่าใครร้อนก่อนลูก? … นี่คือ โทสะ!

    ส่วนมลทินในเรื่องความโลภ หรือกามราคะก็ตาม เหมือนคนที่เอามือจะเอาขี้ไปลูบหน้าเขานี่นะ เหมือนเอาน้ำหนองของหมาไปลูบหน้าคน มึงก็เอามือไปบีบน้ำหนองให้ชุ่ม “เดี๋ยวกูจะป้ายมึงให้” ระหว่างที่คิดอยู่นี่นะ ถามว่าใครมีมลทินก่อน? ถ้าเกิดไปป้ายแล้วเขาวิ่งหนี ป้ายไม่ถูก มึงก็เปื้อนอยู่นั่นแหละ ถึงเอาไปป้ายยังไงก็ตามมันก็เหลือเศษค้างอยู่

    จะเห็นว่าคนที่ปรุงกิเลสโลภ โกรธ หลง จับผิดคนอื่นก็ดีนี่นะ... ทำร้ายตัวเองก่อนแล้ว นี่ไงลูก! เพราะคิดว่า วันนี้ยังไม่ตายไง “ทำมันซะก่อนเดี๋ยวปลงอาบัติเดี๋ยวต่อศีลใหม่สมาทานเข้าพรรษาหน้าเอาให้เต็มที่” แล้วมึงจะอยู่ทันหรือเปล่าเล่า? แค่ ๒ วัน ก็ประมาทไปวันแล้วใช่ไหมลูก? ถ้า ๓ วัน ประมาท ๒ วันถูกไหมลูก? ถ้าวันต่อมาประมาทเป็นรายชั่วโมงอีก
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระคุณเจ้าพระสารีบุตรแม้เป็นเอกอรหันต์รองจากพระพุทธเจ้าองค์เดียวเนี่ย ท่านยังบอกเลยว่าหายใจเข้าอาจจะตาย ตอนหายใจเข้าก็ได้... ไม่ได้ออก หายใจออกแต่ไม่ได้หายใจเข้าอาจจะตายเสียก็ได้ ท่านบอกว่าเราคิดถึงความตายประหนึ่งว่า เขียนว่า “ตายแน่” อยู่บนหน้าผาก ส่องดูกระจกหรือส่องดูอะไรต้องเห็นว่าร่างนี้นะ ตายแล้วเหมือนศพซึ่งตายแล้ว แล้วมีผ้าดิบผูกเป็นตัวศพที่เขาเก็บไว้เตรียมเอามาผ่า...นั่นแหละ ๆ เรานุ่งขาว นุ่งเหลือง นุ่งกางเกงอยู่นี่ ถ้าแน่จริงนะนักกรรมฐานจริง ๆนะ เขาต้องมองเห็นว่า...(เขาจะชี้หน้าตัวเองว่า) “อ้าว...วันนี้เธอตายแน่อ้าว! แล้วใจกูจะไปจับมือไปทำร้ายเขาทำไม เดี๋ยวร่างกายเรานี่มันตายแล้วก็เผาไป แต่จิตที่ไปจับตกนรกแทนตัวเนี้ยะ!! (ร่างกาย)”

    เพราะฉะนั้นลูกเอ้ย...ถ้าเป็นสัมมาทิฐิแล้วไม่คิดร้ายใครเลยลูก แค่คิดแล้วก็แต่งใจเรา แล้วพูดร้ายก็แต่งปากเข้าไปด้วย แรงขึ้นไปอีก แล้วเอากายไปทำร้าย ลงมือเดินไปด่า เดินไปให้ร้ายนินทาเขาเนี่ย...ก็ทำทั้ง ๓ กรรมด้วยลูก แล้วมันก็เข้าไปในใจเรา ชำนาญนักหนาเป็นวสีเป็นอมตะในเรื่องสั่งสมความเลวเชียวเนาะลูกเนาะ(หัวเราะ)

    ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่เคยสอนกันบอกว่า โง่นะลูกนะ จะไปทำ ทำไมทำร้ายเราเองทำไม? คน ๆ นั้นถ้าเขาเลวไม่ต้องไปด่าเขาหรอก เดี๋ยวเขาตายเขาก็ลงนรกไปเอง อนาคตสัตว์นรกตัวหนึ่ง จะตายในวันรุ่งขึ้น เหมือนกันเนี่ย ร่างนั้นเขาก็ต้องลงเป็น ดินน้ำลมไฟ แต่ใจเขาต้องลงไปเป็นสัตว์นรก ถ้าเราอยู่เฉย ๆหันมาทำความดีแล้วชำระความเลวด้วย เขาก็ตายเขาก็ลงนรกเดี๋ยวร่างเราวันนี้ก็ตายลงไปในดินเป็นเถ้า แต่ใจเราจะเป็นพรหมหรือเทวดาหรือเข้านิพพาน หรือเป็นพระอริยะลงมาบวชต่อบารมี

    ทำไมจะต้องไปร้อยรัดหรือไปแก้ไข “จงดีอย่างโน้น จงดีอย่างนี้” เข้าไปขัดข้อง “จงอย่าเลวอย่างนี้ จงอย่าเลวอย่างนี้” ทั้งไปร้อยรัดทั้งไปขัดข้องจริยาคนอื่น นั่นก็คือเอาใจเราไปผูกไว้กับกระแส ถ้าเขาจะเป็นสัตว์นรกเราก็ไปแก้ไขความประพฤติสัตว์นรก “จงอย่าเป็นอย่างนี้” ใช่มั้ยลูก ? ถ้าแก้ไม่จบแล้วตายก่อนมึงไปไหนลูก? ตอบคำถามได้ใช่ไหมลูก?

    ถ้าหากเราเก่งกว่าพระพุทธเจ้า “กูเป็นคนที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าสามารถด่าให้คนเป็นพระอรหันต์ได้ อีนี่มึง...ทำอย่างนี้มันไม่ดี ต้องทำอย่างนี้ซิ....บวชมาเรียนมาอย่างงี้ ๆ เป็นพระอรหันต์...เพี้ยง!!” แล้วมันเป็นพระอรหันต์ใสไปต่อหน้าเนี่ย ถามว่าใครได้เปรียบไปด่าให้เขาเป็นพระอรหันต์ แล้วมึงเองปากจัดอยู่งั้นน่ะ ใช่ไหมลูก?(เอากันตรง ๆ อย่างนี้เลยนะ ไอ้หนูนะ....ไม่หนักไปนะลูก..ฟังเหตุผลดู)
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    โง่หรือฉลาดถ้ามันเป็นจริงนะไอ้หนูนา มึงก็นั่งหน้ากระจกเลยนา “ไอ้เนี่ย...กูเห็นมึงหล่อ มึงเฟะมานานแล้วเนี่ย มึงตาย! มึงเน่า! มึงเป็นพระอรหันต์ซะ....ปิ้ว!...เป็นพระอรหันต์” แหม...อันแรกต้องด่าตัวเราใช่ไหมลูก? แต่มันได้ไหม? กูก็เพียรด่าตัวเองมา ๒๔ พรรษาแล้ว ไอ้หนูเอ๊ย! กูก็ยังเต๊าะแต๊ะ ๆ อยู่นี่ลูก ยังไงลูก?....แล้วนับย้อนชาติไปกี่ล้านชาติ ก็ยังด่าตัวเองเพื่อจะเอาความเลวออก...มันยังไม่จบ เพื่อจะเสียเวลาเอามลทินเราออกไปเขี่ยมลทินให้คนอื่นมันเรื่องอะราย...ย...

    หรือว่าจะไปบอกเขา “บารมี ๑๐ อย่างนี้ทำให้หมด” คือไปร้อยรัดเขา อยากจะแต่งเติมให้ดีนะ สงสารเขาหรืออะไรก็ตามหรือด่าด้วยความอะไรก็ตาม “ต้องทำอย่างนี้ถึงจะเต็ม.... เธออย่าโง่อย่างนี้ ๆ” ถ้าเกิดไปชี้ให้เขาแล้วเขาก็เป็นพระอรหันต์เต็มองค์ไปเนี่ย ก็ใครได้ประโยชน์ก่อน ถูกมั้ยลูก? แต่มันไม่ด้าย...ย...


    พระพุทธเจ้ายังบอกว่า ท่านไม่สามารถที่จะไปโขกหัวใครให้ได้ฌาณ ๔ ได้ ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก ว่าทางนี้อย่าเดินนะลูกนะ มันจะไปอย่างนี้ ทางนี้เดินมามันจะได้อย่างนี้ หรือผลดีเพราะเกิดจากการเดินทางมรรคตรงนี้ผลเลวเกิดเพราะกรรมอย่างนี้ พระองค์เพียงแต่ชี้เหตุกับผลอริยสัจใช่มั้ยลูก? ทุกข์เกิดจากสมุทัย ถ้าคุณอยากได้นิโรธคุณต้องเดินมรรคนี้ เป็นเหตุผลที่สวยงามมากมาย เพียงแต่ทรงชี้และทรงให้กำลังใจ ทรงให้อุบายว่าทำต้องทำอย่างนี้ แต่ไม่สามารถจะไปเดินแทนเขาทีละก้าว หรือเอาลมเป่าให้ฌาณ ๑ ไม่ได้ลูก ?

    แต่ยกตัวอย่างในพระสูตรให้กำลังใจ ให้ตัวอย่างดอกไม้ ใบไม้ “ดอกไม้นี่นะลูกนะ มันก็เป็นต้นอยู่แค่นี้ลูกเมล็ดมันหล่นจากขั้วลงในดินสกปรกเนี่ยลูก ก็ดินน้ำลมไฟปกตินี่ลูก โตขึ้นมาดอกมันก็ออกสีชมพู สีขาวตามพันธุ์ กลิ่นหอมก็ออกมาได้ เมล็ดมะม่วงหล่นลงไปก็ออกมาเป็นความมันของมะม่วงได้ ก็ไอ้ต้นไม้ต้นไร่นะลูกเอ๊ย...ไม่มีใครไปอบรมมันซะหน่อย มันแค่ยอมรับกรรมของมันที่มันทำมาตามปกติว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท เป็นกำเนิดเป็นเผ่าพันธุ์เป็นที่พึ่งอาศัย จะทำกรรมอะไรต้องได้ผลตามพันธุ์กรรมนั้นแน่นอนไม่สามารถจะผิดไปได้” เออ...เนี่ยให้กำลังใจ...

    เพราะฉะนั้นเราเป็นคน ลูกเอ๊ย...พบพระพุทธศาสนา มีครูบาอาจารย์สอนวิธีขยับเมล็ด ขยับราก เติมปุ๋ยเติมอะไรด้วยตัวเองได้ ใช่มั้ยลูก? ต้นไม้เติมให้ตัวเองไม่ได้ คนเราเติมปุ๋ยให้ตัวเองได้ เดินจงกรมได้ ไปวัดได้ พุทโธ ธัมโม สังโฆได้ ก็ทำไงล่ะลูก เราเพียรทำมานานแสนนานแล้ว เรามาละเว้นปุ๋ยเลวๆ ออกเสีย อย่ามาทำให้เป็นมลทินนะลูกนะ เอาปุ๋ยดี ๆ คือบารมี ๑๐ นี่เข้ามา คบเฉพาะคนที่ดีต้นไม้ที่ดีพันธุ์ที่ดีด้วยกัน ทำไมมันจะออกดอก ออกกลิ่นเป็นศีลไม่ได้ ทำไมจะออกผลเป็น โสดาฯ สกิทาคาฯ ไม่ได้ จะออกผลเป็นฌาณสมาบัติทำไมจะออกไม่ได้ เพียงแต่ลูกไม่สนใจตัวเอง แทนที่จะรดน้ำตัวเองกลับไปด่าคนอื่น “มึงรดน้ำไม่เป็น (โง่เหมือนกูเลย)”...เพราะฉะนั้นเสียเวลาทั้งนั้น

    เพราะอะไรลูก? เพราะไม่คิดว่าตัวจะตายวันนี้ ถ้าใครก็ตามตายไปแล้วนะ เขาผูกมือแล้วนะ จิตออกมาจากร่างแล้วนะมองลงดู...อู้หู...ถามตัวเองดูว่า เมื่อเราออกจากร่างเรานี่ กำลังของจิตเนี่ย เรานึกถึงอะไรก่อนมันจะไปทางนั้นก่อน ถามว่าจิตผูกพันอยู่กับกำลังกุศลหรืออกุศล? ถ้าอกุศลนำหน้ามีกำลังมากกว่าตกนรกก่อน หรือไปเป็นหมาเป็นอะไรก่อนตามพันธุ์ที่ปลูกไว้แล้วความดีที่ทำก็ยังไม่เต็มคือนิพพานไม่ถึง ถ้าถึงนิพพานแล้วมันไม่ประมาท ทุกลมหายใจเข้าออกก็เป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เพราะฉะนั้นถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่า “ลูกเอ้ย...ลูกได้พรพิเศษพ่อจะให้เวลาอีกวันหนึ่ง... วันสุดท้าย ร่างเธอเริ่มเหม็นตุ ๆ แล้วนะ ขอให้บุญของธาตุ ๔ไฟเป่าเข้าไปให้มันอุ่นขึ้นมา เหมือนแกงอุ่นหอมขึ้นมา อารมณ์ใส่เข้าไปให้ขยับได้ ดิน-น้ำ-อาการ ๓๒ หัวจรดตีน.. ตีนจรดหัวที่ตายไปแล้วมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ มีไฟกับลมเข้ามาประกอบเป็นธาตุ ๔ เริ่มใช้งานได้ วิญญาณประสาทต่าง ๆ ที่สลายไปเนี่ย...เอาเข้ามา” ตีนก็เหยียดออกมาซะ! ลืมตา...เห็นรูปทางตาเข้ามา แต่ว่าข้อมือยังผูกอยู่ยังไม่ได้เอาออก

    ให้มีความรู้สึกประหนึ่งว่าเราได้รับพรวิเศษว่า เราจะมีเวลาที่จะครองร่างอันนี้ในโลกมนุษย์ในวัฏสงสารอีกเพียงราตรีและทิวานี้เวลาเดียว พ้นจากเวลานี้แล้วเราจะหมดสิทธิ์ต้นคืนแล้ว เพราะร่างนี้ได้ตายไปเสียแล้ว แต่เราได้รับพระปฏิโลมขึ้นมาใช้ ถ้าใครคิดถึงอย่างนี้ไม่อยาก ไม่ยุ่งกับความเลวคนอื่นเลย เขาจะยุ่งกับความเลวตัวเองอย่างเดียว...ไอ้หนู แล้วความดีที่ยังทำไม่เต็มเขาจะไม่เห่อเหิมทะเยอทะยาน

    ขอโทษนะลูกนะไม่ได้ว่าใคร แต่ว่า...ว่าตัวเองในสมัยก่อนและทุกวันนี้ก็ไม่ได้ว่า...เทียบความให้เห็นภัยถึงขนาดนี้ เขาไม่ซื้อตั๋วรถทัวร์ไปทอดกฐินไกลนักหนาหรอกลูก ถ้าจำเป็นต้องซื้อตั๋วรถทัวร์ไปไกล ๆ เขาต้องนึกถึงความตายในรถทัวร์ด้วย เกิดตายกลางทางจะได้มีสิทธิ์ใช้วันนี้วันเดียว เขาจะทำบุญเฉพาะบุญที่มันต่อกับบุญเดิมปัจจุบัน มีอะไร....อ๋อ...มีศีล สมาธิ ปัญญา เขาจะเอาตรงนี้!! ไม่ต้องอะไรเลย...ทานมัยถ้ายังไม่มีเวลาทำ เอาศีลมัยกับภาวนามัย มันอยู่กับที่ได้ เขาจะเร่งทำกุศลตรงนี้ลูก ทำประหนึ่งว่ามีเวลาอยู่วันนี้วันเดียว

    ถ้าใครก็ตาม อดีต-ไม่ต้องไปสนใจเพราะมันปลูกกรรมดี กรรมเลว มันรออยู่ข้างหน้าแล้ว อนาคต-เราไม่มีสิทธิ์ไปคิดว่าเราจะมีชิวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้ เพราะอนาคตถ้ามีชิวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้กรรมดีกรรมเลวก็ทยอยเข้ามาตามอายุของกรรม ไม่แน่ว่ากรรมดีที่เราทำเมื่อวานจะมาให้ผลก่อนกรรมเลวที่เราทำเมื่อแสนชาติที่แล้ว เขาออกดอกย้อยอยู่ตรงหน้าประตูน่ะ รอให้เราออกไปก็...หล่นทับหัวเลยได้กินผลนั้นเลย ส่วนที่ทำสังฆทานไว้โน่น... รออันดับ ๓ โน่น แล้วอันดับ ๑ อันดับเดียวนี่กี่ร้อยล้านปีลูก...จะรู้หรือลูก...ในนรกน่ะ เสี่ยงแม้แต่วันเดียวหรือร่างเดียวไม่ได้เลยลูก ขึ้นชื่อว่าร่างกายหรือการเกิดอีกชาติเดียวนี่...ชื่อว่าเสี่ยงที่สุด หลวงตาไม่ได้บอกว่าต้องตกนรกทุกคน แต่เสี่ยงที่สุดเพราะขณะนี้!!~นั่งมีขันธ์๕ มีสติอยู่นี่ ลูกก็รู้ว่ากุศลกับอกุศลอะไรครองใจเราได้มากที่สุด ตอบได้เอง
    ไม่ต้องมาถามแล้วเวลาจะตายเวทนามันเกาะทุกข์ก็เกิด ใจมันจะนึกถึงพระพุทธเจ้าออกไหมลูก?...นึกออกหลายคนแต่ถามจริง ๆ แน่ใจเหรอว่าจะใสออกขนาดนั้นนะ ก็ขนาดยังไม่ป่วยนี่นะ ตีนยังเดินจงกรมได้นี่นะ มือยังไหว้พระได้นี่นะ กินข้าวได้นะ มึงบวกกันสิลูก ๑๐ ส่วน ให้ความดีกับความเลวกี่ส่วน...ตอบได้! ถ้ามีเวทนาแรงกล้า เอ็งจะช่วยตัวเองได้ไหม?

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ยังมีร่างกายอยู่ มีครูบาอาจารย์อยู่ มีสหธรรมิกมีเวลาอยู่มีขันธ์ ๕ อยู่ หลวงตาถึงบอกว่าทุนของคนบัณฑิตของคนดี...มีอยู่
    ๑ ร่างกายร่างสุดท้ายนี้ร่างเดียว
    ๒ ใจเราดวง ๆ เดียวซึ่งเราทำมา แค่ไหนก็แค่นั้นและ….๓เวลาวันเดียว
    ๓ อย่างนี้เอามาเป็นทุนให้ประเสริฐที่สุด ซอยลงมาทุกเวลานาทีย่อมจะมีค่า เผลอไปทำอกุศลมาใหม่ใจก็หมองกว่าเดิมไปใหม่ มันจะไม่ทันใช่ไหมลูก แค่ไปหลงบุญซึ่งจะทำให้เกิดต่อเขาก็ไม่ทำกันแล้ว!!


    หนู....ถ้าวันนี้วันเดียวนะ สมมติว่าถ้าหลวงตารู้ว่า ถ้าหลวงตาตายแล้วยังไม่ใช่พระอรหันต์นี่นะ กรรมของหลวงตาต้องตกนรกก่อนถึงจะขึ้นมาบวชต่อได้ สมมติอย่างนี้นี่นะเขาไม่ยอมทำกุศลที่จะทำให้เกิดหรอกลูก เขาจะทำกุศลเพราะศีลมัยกับภาวนามัย ทานมัยนี่...ทำมามากแล้ว ถ้ามีโอกาสก็ทำ ถ้าไม่มีโอกาส...วันเดียวนี่ไม่เอาแล้ว เอาอย่างเดียวศีลมัยกับภาวนามัย ภาวนามัยแค่ไหนลูก?...ต้องละขันธ์๕ ในปัจจุบันนี้ให้ได้

    เพราะฉะนั้นที่หลวงตาพูดมาวันนี้ใจมันอยากจะมาพูดเตือนพระ เตือนเราว่า อย่าประมาทเลยลูก ถ้ามี ๒ วันลูกโง่ลง ๑ วัน ถ้ามีวันเดียวนี่อาจจะโง่เป็นรายชั่วโมง เข้าใจมั้ยลูก?

    พระพุทธเจ้าตรัสพระสูตรซึ่งพระมหากัจจายนะทรงโปรดมากที่สุด พระพุทธเจ้าอธิบายสั้น ๆ พระสาวกไปถามขอให้อธิบายละเอียด ท่านบอกให้ไปถามพระมหากัจจายนะ ซึ่งหลวงปู่พระมหากัจจายนะท่านเป็นเอกในการขยายธรรมะให้ยาวพิสดาร หรือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศน์พิสดารมาถามให้ท่านย่อลงเอาแต่หัวใจท่านทำได้ เป็นเอตทัคคะทางนี้ “บุคคลผู้มีราตรีเดียวเจริญ” คือสูตรที่สำคัญที่สุด หมายความว่าอย่าได้กังวลถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วในอดีตอย่าได้มุ่งหวังฟุ้งซ่านถึงสิ่งที่ยังอยู่ในอนาคต
    เพราะสิ่งที่เป็นอดีตเป็นอันลับไปแล้วแก้ไขไม่ได้สิ่งที่เป็นอนาคตก็ยังมาไม่ถึงไม่รู้อะไรจะมาก่อน
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    บุคคลใดก็ตามมองเห็นปัจจุบัน ตามยถากรรมของตัว(ปัจจุบัน...ไม่ใช่ของพระสารีบุตรหรือของคนนี้ ๆ) มองใจของเรามองกรรมของเราปัจจุบันว่า ไม่ให้ง่อนแง่นไม่ให้คลอนแคลน ดูเลวดูดีตรงนี้

    แล้วพึงให้แจ่มแจ้งแทงตลอดว่า ความเลวนี่เมื่อวานก็ทำ แต่ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปแล้วกลายเป็นดอกเป็นผลรออยู่แล้ว การกระทำความดีที่นั่งสมาธิภาวนาก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่รอเป็นบุญอยู่ข้างหน้าแล้ว ข้างหน้าจะมาอีกกี่ชาติ ก็เป็นเหมือนอดีตคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...สิ่งที่จะปลอดภัยที่สุดก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เฉพาะหน้านี่...

    กายที่กำลังเป็นทุกข์กำลังเสื่อมไป แล้วกายที่กำลังสลายไปและตายไปขอยืมมาใช้วันเดียวนี้.....ให้เห็นว่ามันมีอะไรน่ารักและน่าพอใจบ้าง

    ถ้ามันหมดความรักความพอใจในกาย
    ย่อมหมดความรักความพอใจในเวทนาของกาย
    ย่อมเบื่อหน่ายหมดความพอใจในสัญญาความจำได้ของกาย
    ย่อมเบื่อหน่ายในสังขาร คืออารมณ์ปรุงแต่งของร่างกาย
    ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณ คือการได้เห็นรูปหรือได้ยินเสียงหรือกามคุณของร่างกาย
    เมื่อเบื่อหน่ายย่อมสิ้นความกำหนัดยินดี
    เมื่อสิ้นความยินดีหรือความพอใจ จิตก็ถือว่าพ้นจากความยินดี “มันเน่าทั้งตัวแล้วมันเหม็น” จนหมดความพอใจ นี่ใจมันพ้น...
    เมื่อพ้นแล้วเขาจะรู้ว่าพ้นแล้ว ว่า”กูโง่มานาน”


    ถ้าพ้นแล้วคือกิจที่ควรทำได้ทำมา....พอแล้ว! ทำเพื่อจะละในปัจจุบัน กิจอื่นอีกเพื่อความพ้นไม่มีแล้ว พรหมจรรย์ที่จะทำมาเพื่ออย่างนี้ก็จะจบแล้ว พรหมจรรย์กับกิจนี่จะจบอยู่ในปัจจุบันธรรม ไม่ใช่มะรืนนี้จะจบ... ไม่ใช่! พระพุทธเจ้าก็จบในปัจจุบันเฉพาะหน้าถูกมั้ยลูก !

    ตรงนี้เองที่หลวงตาบอก ถ้าใครนึกอย่างนี้ไม่ทะเลาะกันหรอกลูก ไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องคนอื่นหรอก นอกจากมันจะทำเลวแล้วมันเสียสำนัก... เสียหายสำนัก เสียหายส่วนรวม จึงมาบอก ก็บอกกับองค์ที่จะว่ากล่าวเขาได้ จะไปบอกเพื่อนกันหรืออะไรกัน ก็ไม่รู้ว่าบอกด้วยเจตนาจะให้ร้อนหรือเปล่า

    เราก็จำเอาไว้ ถ้าเกิดตายก่อน ไอ้หนู...อารมณ์ตรงนั้นน่ะมันถ่วงใจเรา เขาเลวจริงเขาก็ตกนรกไปก่อน เขาไม่เลวจริง เขาก็ไปตามความดีเขา แต่แน่นอน...เราที่เอากรรมจำของคนอื่นมาใส่ในใจไว้นั้น...มันหนักลูก แต่ถ้ารู้ว่าตายวันนี้ก็ไม่มีอะไรเพียงแต่ขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และโจทย์ตัวเราแทน บอก....

    “โอหนอ... แค่ความเลวในใจเรา ก็เอาออกไม่ทันแล้ววันนี้ แค่ความของเราที่ยังขาดอยู่ก็ทำให้เต็มไม่ทันแล้วในวันนี้ ทำไมเราจะต้องไปยุ่งกะเรื่องความเลวคนอื่น” และเห็นความเลวคนอื่นที่เขาทำอยู่ เรามองย้อนลงมา ความเลวอย่างเดียวกันมีมั้ย..? ถ้ามีรีบเอาออกเสีย! ไม่ใช่เอาของเขาออก ถ้าไม่มี...คล้ายกันมีมั้ย? เชื้อเดียวกันมีมั้ย? ถ้ามีต้องเอาออก ถ้าไม่มีเลยลูก.... “สาธุ! ความเลวอย่างนี้ไม่มี เราจะไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ อย่างนี้ อุตส่าห์มาเตือนให้เราเห็นด้วยการกระทำ” ยังฉวยเอาประโยชน์เลย แม้เชื้อเลวไม่มี เรายังไม่ยอมให้ความเลวอย่างนี้ที่เห็นแล้วแหนงหูแหนงใจเนี่ย.....มาเกิดขึ้นในใจ วาจา กาย ของเราเป็นอันขาด!
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เมื่ออันนี้เราไม่ได้ทำ ก็หันมาดูตั้งแต่หัวจรดตีน-ตีนจรดหัว มีอะไรบ้างที่มันสกปรกหรือสะอาด การที่ใจคนเป็นทุกข์เพราะอะไรรู้มั้ยลูก คือปัจจุบันมันมีร่างกายอาศัยอยู่ก็ที่บอกว่า ในร่างกายมันเป็นช่องของกิเลสกับกรรมเข้ามาเมื่อมีรูปกาย มันมีวิญญาณ ตามันเห็นรูปได้ ถูกมั้ยลูก? ถ้ารูปที่กิเลสมันพอใจมา...มันย่อมกระวนกระวายอยากได้รูปนั้น รูปก็คือวัตถุในกาม ผู้หญิง ผู้ชายนี่แหละ! ไม่ใช่รูปภาพเขียนอย่างเดียว ไอ้ที่ฉันเห็นแก แกเห็นฉันนี่ แกเห็นทางลูกตา แต่สัญญามันจำได้ว่านี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย สังขารมันปรุงแต่งว่าสวยหรือไม่สวย เมื่อปรุงแต่งก็เกิดความอยาก มันเกิดเวทนาว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ กลุ้มใจหรือไม่กลุ้มใจ เมื่อเกิดเวทนาก็เกิดสังขาร อยากจะทำ...ใช่มั้ยลูก? ความอยากมันเป็นตัวเจตนา พอลงมือกระทำไป ผลกรรมเกิดเป็นผล ถ้าเอ็งทำดี ผลดีเกิด ถ้าเอ็งทำเลว ผลเลวเกิด

    ที่ใจต้องทำกรรม ต้องไปจับกาย กับวาจาทำเพราะร่างกายมันมีวิญญาณทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กายอยู่ .....เพราะมึงนี่ยังมีชีวิตอยู่ วิญญาณถึงมาเกาะอาศัยทำงาน ให้ใจกูต้องหลงวิญญาณและร่างกายว่าเป็นตัวของกู เมื่อมีวิญญาณปั๊ป! มันก็มีสังขารมันปรุงแต่ง พอรับรูปเข้ามา>สัญญาก่อนจำได้!...ว่าครูบาอาจารย์ ว่าพระสงฆ์ ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย พอมันจำได้ปั๊บ! มัน ปิ๊ววว...มันเร็วมาก

    เห็นรูปก็...จำได้ จำได้ก็...ปรุงแต่งเลยรู้เลยว่าสวยหรือไม่สวย...ตบซะเถอะ เตะซะเถอะ หรือรักซะเถอะ...ฆ่าซะเถอะ มันปรุงแต่งเร็วมาก ณ ที่เดียวกันเลย แล้วก็เกิดเวทนา ถ้าคิดดีก็รู้สึกเคลิ้ม ๆ เป็นสุข ถ้าคิดไม่ดีก็ทุกขเวทนา ถ้าคิดเฉย ๆ ก็เฉย ๆ นี่แหละแต่กิเลสของเก่าก็ยังไม่ออก



    เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังมีร่างกาย ยังมีชีวิตอยู่เนี่ย หู-วิญญาณทางหู...ได้ยินเสียง เสียงดีก็จำได้เสียงอะไร....ปรุงแต่งเวทนาใช่มั้ยลูก? มันเกิดตัณหาอยากทำอะไรซักอย่าง จมูกได้กลิ่น...ก็เหมือนกัน ได้กลิ่นอะไรก็อยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ ลิ้นได้รสก็อยากกินต่ออะไรต่อ การสัมผัสทางเพศ...ก็ไปกันใหญ่เลย

    ที่ใจเราต้องมีกิเลสไหลเข้ามาให้เราต้องไปเจตนาทำอะไรเนี่ย เพราะร่างกายนี้ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมีชีวิตอยู่....วิญญาณมันทำงาน สัญญามันทำงาน สังขารมันทำงาน เวทนามันทำงาน เมื่อไปกระทบอะไร มันจะปรุงไป จนลืมกระทั่งไปคิดว่า...ใจเรารับเอง รูปทางตาของไอ้นี่ เป็นรูปของเราด้วยใช่ที่ไหนเล่า ใช่ไหมลูก?

    เออ...สมมติว่ามีผู้หญิงคนนึงเดินมา ผู้ชายคนนึงเดินมามันก็คนเดียวกันนี่แหละ ต่างคนต่างมองไป ไอ้นี่รักเข้ามา อีนั่นอิจฉาเกลียดเข้ามา มันใช่ของใครที่ไหนเล่าลูก เดี๋ยวมันก็ตายห่าไปเนาะ พอตาเห็นรูปพอหลับตาไปก็ไม่เห็นหรือว่ารักเกลียดอะไร มันก็ไม่เห็นรูป รูปก็หายไป ถามว่ารูปที่ปรากฎเนี่ย...มันมีอยู่ไหม?
    ....มันไม่มีรูป....ถึงมันมีอยู่ ท่าทีเดินมาก็เป็นกระดูกผลสุดท้ายรูปก็จะหายไป

    ของที่มันไม่มีอยู่ มันเกิดขึ้นผลสุดท้ายมันก็เสื่อมไป สลายไป ไอ้ตัว(ร่างกาย)ขรัวนี่! มันไปเอาวิญญาณมา ตา...หู...จมูก...ลิ้น มาสัมผัสเข้ามา แล้วมันหลอกจะให้ตัวเราของเราแล้วก็ทำกรรม อาศัยสิ่งที่ไม่มีอยู่เลยนั่นแหละ เขาหลอกให้ใจไปมีอุปทานคลุมเครือ คิดว่ามีแล้วก็มาทำกรรม ตอนทำกรรมมีจริง นรกมีจริง สมมติว่าเกิดเป็นสัตว์นรกหรือหมานี่นะ มันก็มีร่างหมาร่างสัตว์นรก ใจก็ไปเสวยทุกข์อยู่ เหมือนเราเป็นมนุษย์อยู่ใน
    ร่างของมนุษย์ ใช่ไหมลูก ?

    ร่างกายนี่มันเห็นผู้หญิง ผู้ชายสวย ใจไม่ได้มีกะจู่ กระจ้อนซะหน่อย ไปนึกแทนร่างกายเสียได้ อยากจะให้ไอ้โน่นเอาไปทำไอ้นี่ (ขอโทษนะลูกนะ...เอาตรงๆ ก่อนนะแกจะได้เข้าใจนะ) ใจน่ะไม่ได้มีอะไรกับเขาเลย ไปปรุงตัวว่า “เรามีแล้วก็อยากไปทำแทน พอไปเจตนาก็ไปทำแทน ไอ้ ๒ อย่างที่มันทำกันนั้นนะ พอมันตายแล้วเป็นดินลงไปหรือเปล่าลูก? เป็นขี้เถ้าไม่มีของผู้หญิง ผู้ชาย แต่ใจนี่มีอุปาทาน “กูเป็นผู้ชาย ในชาติก่อนชื่อนี้มีเมียชื่อนี้” มีอุปาทานมีสัญญาอุปาทาน....แน่นอยู่ในใจ แล้วก็เกิดใหม่.... ตัวเดิมก็ฝังทำงาน เพียรทำงานอยู่มันอัพเกรดขึ้นมานะ พอรูปเข้ามา...มันปรุงแต่งอยากทำใหม่แล้วก็ตายไปอีก มันเพิ่มอุปาทานเพิ่มสังโยชน์ เพิ่มอวิชชาคือความไม่รู้เนี่ย หนาขึ้นทุกชาติ เข้าใจมั้ยลูก?
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หน้าที่ในการในการเอาสิ่งเหล่านี้ออกจากใจคืออุปาทานก็มากพอแล้ว เราไม่มีเวลาไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเลยลูก

    หลวงตาไปไกลแล้ว เพื่อจะมาลงที่ว่า เพราะเรามีร่างกายอยู่ร่างหนึ่ง มันมีตาหูจมูกลิ้นกาย มีเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ ถ้าร่างกายนี้ดับเมื่อไร ตาเห็นรูปไหมล่ะ? คนตายเนี่ย...ไม่เห็นแล้ว วิญญาณหายไปตั้งอยู่ไม่ได้ หูได้ยินเสียงมั้ย? จมูกได้กลิ่นมั้ย? ลิ้นได้รสมั้ย? กายสัมผัสเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกเสียวสยองมั้ย? กายศพเนี่ย....ไม่มี

    ร่างนี้แตกดับหมดอายุใช้งานเมื่อไหร่ เวทนาก็สลายไปร่างนี้ก็ไม่มีเวทนา เวทนาก็ไม่มีในร่างนี้ สัมผัสกันไม่ได้แล้วกระดูกกับเวทนาหายไปไหน

    สัญญาเคยจำได้ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ กระดูกจำอะไรไม่ได้แล้ว น้ำเหลือง น้ำหนองเนี่ยจำอะไรได้มั้ย?...ไม่ได้

    สังขารที่จะปรุงแต่ง...จะกินข้าวกินน้ำ...ทำดีทำเลว นี่ผู้หญิง นี่ผู้ชาย ศพปรุงได้มั้ย? เขาเตรียมจะรดน้ำนี่เมียมาร้องไห้มันจำเมียได้มั้ย? ปรุงคำพูดได้มั้ยว่า “เธอจ๋า...ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะจองเวรจองกรรมมาหลอกคนที่จะมาจีบเธอทุกชาติ” มันพูดได้สักคนมั้ย? .... พูดไม่ได้

    เมื่อร่างกายแตกดับไปปั๊บ! เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณดับไป รูปแตกดับนามธรรมดับไปทั้งรูปทั้งนามก็ไม่มีในกันและกัน สลายไปไหนหมดก็ไม่รู้เหมือนคอมพิวเตอร์หรือเทปหรือกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง เมื่อมันพังลงแล้ว
    ซิมการ์ดถอดไปแล้ว การรับรูปรับเสียงได้มั้ยลูก? เคยมีก็ หายไปแล้ว ถูกไหมลูก?

    เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาให้เห็นว่า ถ้ารูปนี้ตายลงไปเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้ก็สลายไปด้วย มันมีทุกข์สาหัสขนาดนี้ทำให้เราทำกรรมมา นรกรออยู่ อะไรรออยู่มากมายขนาดนั้น ถ้าไปมีอีกร่างหนึ่งนี่ ก็ไปอยู่ในกฎของขันธ์ ๕ อีก เราจะต้องไปนรกเป็นคนเป็นอะไรต่ออะไรอีกหมุนกันไปไม่รู้จักจบสิ้น ไม่เอาแล้ว...ไม่เข้าท่า ชินแล้วสยดสยองต่อความเลวอันไม่มีประมาณ กรรมดีนะมีอยู่แล้วล่ะ เอาด้านจะละกิเลส ถ้าไปเกิดอีกชาติเดียวก็วนอยู่อย่างนั้น กี่ล้านชาติมันก็วนอยู่อย่างนี้แหละ

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะพ้นก็คือว่า ปัจจุบันเนี่ยใจจะต้องไม่มีเชื้อว่าร่างกายเป็นของเรา เวทนาว่าเป็นเราของเรา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นเราของเรา ต้องไม่มีเหลือในปัจจุบัน จิตจะต้องมีความสว่าง ไม่มีเงา....เชื้อของความอยากในร่างกาย หรือคิดว่าร่างกายเป็นเราหรือเมื่อวานเราอยู่ตรงไหน

    ถ้าหากว่าคน ๆ นี้ตายไปมันจำหน้าได้ไหมว่าเมื่อวานมันอยู่ตรงไหนศพนี่น่ะ? ศพจำได้มั้ยเมื่อวันวานอยู่ตรงไหน?...ไม่ได้ สัญญามันทำงานไม่ได้ ก็ใจมึงออกจากศพแล้วมึงจะไปจำแทนศพได้ยังไง? ว่าเมื่อวานศพอยู่ตรงไหน เพราะใจไม่มีสัญญา มีแต่ตัวญาณหยั่งรู้ นอกจากไปเกาะขันธ์ ๕ อีก จึงมีสัญญาสังขารมาปรุงกับตัวญาณ ทำให้มีอุปาทานคิดว่าวิญญาณกับญาณเป็นตัวเดียวกัน ก็เป็นอุปาทานเคลือบเป็นตัวเดียวกัน ใครเขาชมก็หน้าบานเชียว....ใครเขาด่าก็หน้าหุบเชียว

    นี่แหละลูก...เพราะฉะนั้นที่หลวงตาบอกว่า ถ้าหากเราหมั่นคิดถึงความตายว่า ความตายมีในวันนี้ เราไม่อาจจะผัดเพี้ยนต่อพญามัจจุราชว่า “ขอพรุ่งนี้เถอะ” เราหมดโอกาสแล้ว เราจะใช้วันนี้ทั้งวันนี่ ความเลวอะไรที่เรายังละ ไม่ได้เราจะละ....ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก ในเวลาเดียวกันจะฉวยทำความดีอะไร ที่จะทำให้ใจผ่องใสและละกิเลสได้เราจะทำทุกลมหายใจเข้าออก กุศลอะไรที่จะทำให้เราเกิดต่อ เราจะไม่ได้อิจฉาริษยาแต่ไม่ขวนขวายไปทำ แต่เฉพาะหน้า เราจะโมทนาและช่วยเสมอ เราจะทำเฉพาะกุศลคือศีลมัยการรักษาศีลกับการภาวนาให้มากกกก...! ที่สุดในเฉพาะหน้า ใจของเราอารมณ์ของเราเวลาของเรา ใครมันจะมาขวาง เราจะทำดี เราจะทำเลว ใครมันจะมาห้ามลูก ? ... มึงนะห้ามตัวเองนะ...(หัวเราะ)
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กิเลสมันยุ...”โอย...อายุน้อยอยู่ ฝนตกอย่างนี้มันจะเดิน(จงกรม)ยังไง...เดี๋ยวรอให้ฝนหายก่อน รอแดดดี” นี่มันจะให้เรา คิดว่าพรุ่งนี้มันเป็นของเราอยู่ ถ้ามีพรุ่งนี้... ความประมาทก็คือช่องว่างตรงนี้ไงลูก

    ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าท่านเทศน์คือตรงนี้นะลูกนะ ใครก็ตามในปัจจุบันธรรมของตัวเองให้แจ่มแจ้งแทงตลอดไปจนถึงผลสุดท้ายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปไม่อะไรเหลือ ถ้ามันไม่เหลือแล้วเราจะไม่ไปเอาพระทุกขังครองร่าง ขึ้นชื่ว่า “พระทุกขังครองร่าง” ที่ผ่านมาจะไม่มีเงาของใจเราไปอยู่ในนั้นอีก เพราะใจเราจะอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    หยั่งจิตลงมาว่า “พระพุทธเจ้าข้า ร่างนี้ร่างสุดท้าย” ก็เห็นอยู่เฉพาะหน้าไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนแล้ว นึกถึงความตายตลอดเวลา นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดเวลา และทุกข์ของร่างกายมีอยู่ยังเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ จะบริหารมันด้วยศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ที่บริสุทธิ์...เท่านี้!! ระวังตรงนี้!! ว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันเป็นกองทุกข์ มันมีทุกข์จะเอาศีลมาปกครองหุ้มห่อไว้ แล้วใจเราเป็นใหญ่เป็นประธาน
    ใจเราเข้าถึงพระพุทธเจ้าแล้ว นี่คือ “อารมณ์พระนิพพาน”


    ตรงนี้ต้องมั่นใจก่อนตาย และก่อนตายก็คือวันนี้วันเดียว ต้องมั่นใจวันนี้ลูก เพราะฉะนั้นอะไรที่มันฟุ้งไป มากไป ความรู้มากไป ก็ค่อย ๆคิด บูชาไว้พระไตรปิฎกเนี่ย มีมากแต่เหมาะสำหรับคนเป็นโรค ๘๔,000 โรค ก็ทรงบอกยาไว้ ๘๔,000 ขนาน ก็เราเป็นโรคเฉพาะตัว หมอเฉพาะทางมาบอกแล้วว่า โรคนี้กินยา ๒ ขนานหาย มึงก็กินเฉพาะตรงนั้น...ลูกเอ้ย...ดูผลเฉพาะโรคของตัว อย่าไปดูโรคของพระสารีบุตร โรคของพระโมคคัลลาน์ คนละมุมคนละ ...คนละหมัด เอาเยี่ยงของความเพียรของท่านได้ แต่อย่าไปเอาอย่างว่าจะต้องประณีตต้องมากต้องอะไรเท่าท่าน เพราะท่านเป็นผู้ก่อตั้งพระศาสนาขึ้นมา เราเป็นผู้เสวยผล เราเอาเฉพาะผลลูก!

    หลวงตาพูดอย่างนี้คนไม่ค่อยชอบหรอก ไม่ได้ยุให้คนเห่อเหิมในบุญเท่าไร ไม่ได้ยุว่ามึงเกิดไปจะสวยกว่าเก่า...คนมันชอบฟัง แต่เราจะประมาท หลวงตาพอจะเห็นโทษของความประมาทอยู่ก็ไม่อยากให้ใครคิดอย่างนั้นเลย แต่นาน ๆ ก็เอาเถอะ ความดี่นี่ลูก...ทำอยู่แล้วไม่ต้องไปอธิษฐานผล เขาก็งอกเงยอยู่แล้ว เหมือนเอ็งปลูกดอกกุหลาบลงไปเนี่ย ผลมันจะออกเป็นมะม่วงไม่ได้ ใช่มั้ยลูก? เอ็งปลูกกุหลาบสีชมพูไป มันต้องเป็นกุหลาบสีชมพู แต่เอ็งสามารถจะปรุงดิน ปรุงอะไรให้กลีบมันโตกว่าเดิมได้ แต่จะข้ามพันธุ์ไปเป็นดอกอุตพิต...ไม่ได้ ข้ามไปเป็นดอกมะลิ...ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นบุญที่ทำทั้งหมด หนูไม่ต้องอธิฐาน ก็เป็นผลมาตรฐานอยู่แล้ว เอาแค่ผลมาตรฐานที่ทำมาทุกอสงไขยกับปัจจุบัน ศีลมัย ภาวนามัยมาเป็นเหตุปัจจัย และทำผลอันใหม่ด้วย ในเรื่องทาน( ต้องใส่บาตรนะ...หลวงตาพูดยังนี้เดี๋ยวหาเรื่องอดข้าว(หัวเราะ))...ทานที่มันจะทำในวันนี้

    กุศลอะไรที่จะทำให้เต็มที่จะไปนิพพานได้ในวันนี้เราจะทำเฉพาะกุศลนั้น ปัญญาอะไรที่จะทำแล้วให้กิเลสมันขาดไปทันวันนี้ เราจะทำเฉพาะกิเลสอันนั้น และข้อสำคัญกิเลสของใครที่เราควรจะยุ่งด้วยที่สุด จะยุ่งกับกิเลสของคน ๆ นั้น คือของมึงเองนั่นแหละ ไม่ใช่ของคนอื่น

    เพราะฉะนั้นอย่างที่หลวงตาบอกว่า “โอย อีนั่น...ปากว่า ตาขยิบ มือถือสากปากถือศีล แม่มึงก็เหมือนกัน พ่อมึงก็เหมือนกัน” ด่าเขา จนเขาขาดใจตายเป็นหมาเป็นสัตว์นรก มึงก็แก้เขาไม่ได้ ต้องมาดูเราเองลูก อย่าให้ประมาทกันเลย...ลูกเอ้ย...
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ส่วนกีฬาสมาธิ ที่พระเดชพระคุณสอนเป็นของจริงในพระไตรปิฏกก็มี วิชชา ๓ อภิญญา ๕ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณก็มีอยู่ แต่ถ้าเราตายวันนี้มันไม่ทัน เพราะเราจะคิดไว้เสมอว่า ถ้าตายวันนี้ พรุ่งนี้ไม่รู้กรรมอะไรจะมาดึงเราไป เสวยผลใช่มั้ยลูก? ถ้าบอกว่า”ฉันจะไปนิพพานตอนตาย” ก็แม่คุณเอ้ย! อีตอนใกล้จะตายเวทนามันมี แล้วอีตอนนี้เวทนาไม่มี ยังนั่งฟังอิ่มข้าวอิ่มใจอยู่เนี่ย มึงคิดว่าถ้าตายตอนนี้มึงไปนิพพานได้มั้ย?
    มึงถามตัวเองดู ถูก! ...มันยังไปไม่ได้...เอ้อ...มันยังอยู่บนทางนิพพานอยู่

    ที่นี้พอทำอย่างนี้แล้ว พออารมณ์เต็มก็เตือนตัวเองไว้แล้วก็บอกพระพุทธเจ้าว่า

    เกล้ากระหม่อมฉันขอมอบกายมอบใจถวายชีวิตผูกพันมั้นหมายไว้ พระองค์มีพระบริสุทธิคุณอย่างไร เกล้าหม่อมฉันปรารถนาความบริสุทธิ์นั้น จงคุ้มใจลูกด้วย

    พระองค์มีพระปัญญาธิคุณกระจ่างสว่างโล่งอย่างไร ขอให้จิตของลูกสว่างดุจพระองค์ด้วย...แต่น้อยกว่า! พระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณเยือกเย็นเป็นสุขอย่างไร ขอให้เกล้าหม่อมฉัน มีความเยือกเย็นเป็นสุขในพระกรุณาอันนั้นด้วย อย่าได้คิดร้าย กับตัวเองและทุกสัตว์อื่นเลย

    พระองค์มีศีลบริสุทธิ์อย่างไร กระหม่อมฉันจะเว้นการละเมิดศีลเช่นเดียวกับที่พระองค์สอน

    ถ้าพระองค์ตายแล้ว พระองค์อยู่ในพระนิพพาน มีวิมานหรือไม่มีลูกจะอยู่อย่างพระองค์นั้น ถ้าพระองค์อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ถ้าพระองค์สูญก็สูญ ไปในความสูญของพระองค์ ถ้าพระองค์เสวยวิมุตติสุขอยู่ได้ ก็เข้าไปเสวยกับพระองค์

    ขออธิฐาน ณ บัดนี้ว่า ตั้งแต่ลมหายใจนี้เป็นต้นไปจิตของลูกจะมอบกายถวายชีวิตเข้าไปให้ท่านเป็นสรณะครอบคลุมเราไว้

    แต่ร่างกายมันยังมีชีวิตอยู่ ขอหยั่งกระแสจิตซึ่งอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นเนื้อเดียวกัน หยั่งเฉพาะกระแสอารมณ์ลงมา ว่ากายที่เราจะทิ้งในวันนี้จะตายในวันนี้ เราจะปกครองเขาด้วยศีล ใจเราเป็นใหญ่เป็นประธานอยู่กับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปรารถนาพระนิพพาน แล้วสมบัติของเราที่จะปกครองกายนี้มีแต่ศีลกับสติ มีสติว่ามันใช่ตัวเราของเรามั้ย? กับศีลเนี่ย ใจจะต้องเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกอย่างที่บริหารจะต้องสำเร็จจากใจก่อน

    ถ้าอย่างนี้อีหนู จะเกิดอีกกี่ชาติก็ไม่พลาดจากพระนิพพาน มันจะเกิดเฉพาะแผ่นดินซึ่งมีพระพุทธศาสนา เจอเพื่อน เจอสหธรรมมิกซึ่งพากันมาวัดได้ แต่มันจะไม่เกิดในแดนที่ไม่มีพระพุทธศาสนาปรากฎในโลกในกาลนั้น

    ที่ต้องการให้เป็นคืออย่างนี้ลูก ส่วนบุญที่ทำไว้ถ้าหนูยังเกิดต่อย่อมได้กุศลแน่ ที่พูด...กันว่านรกจะมาแย่งไปกินซะก่อน ถ้าไม่ตกนรก หนูต้องได้ผลของสังฆทานแน่ลูก...ได้แน่นอน เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นเศรษฐีกี่ร้อยชาติ ได้แน่นอน แต่หนูอย่าลืมน่าที่ผ่านไปทุกวันนี้ หนูปลูกต้นเลวสลับกับดี-เลว-ดีอยู่ตลอด บางทีก็ดี-เลว-เลว-เลว-เลว ดีกิ่งนึง...เลว-เลว-เลว ๕00 กิ่ง ป่าที่ปรากฎขึ้นคือกฎของกรรมที่รอเราอยู่นั่นแหละ หนูก็รู้ว่าในโลกนี้มันมีอะไรมากกว่า

    เพราะฉะนั้นที่บอกว่าให้กลัวตายในวันนี้ไว้และยึดพระพุทธเจ้ากับศีลให้บริสุทธิ์ไว้ กันนรก! แต่ถ้ามันถืออารมณ์นี้แล้วตายไป จิตที่อยู่ตรงนี้ก็จะได้ร่างและเวลา และตระกูลซึ่งจะฟังธรรมรู้เรื่อง เอ็งเข้าใจเจตนาหลวงตาไหม? ที่ด่ามึงอยู่เนี่ย ไม่ได้ห้ามเกิด แต่ไม่อยากให้ลงนรก ถ้าพลาดจากอารมณ์นี้ ๙๙% ลูก เชื่อหลวงตาเฮอะ!
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อย่าประมาทกันเลยลูก เราอาจจะตั้งไม่ได้ทั้งวัน ตอนแรกก็คิดอย่างนี้ได้แค่ ๑๕ นาที เสร็จแล้วก็บอกว่า “สมเด็จพ่อ...ลูกยังมีชีวิตมีร่างกายอยู่ แต่คิดว่าตายวันนี้ แต่ถ้าจะผ่านวันนี้ไปอีกวันก็ช่างมันเถอะ ขอให้พระองค์เตือนสติลูก เตือนปัญญาลูกตลอดกาลตลอดสมัย เสมือนหนึ่งว่าพระองค์เป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ ลูกเป็นแก้วดวงเล็ก...ซึ่งอยู่ตรงขอบพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็จะส่องแสงผ่านแก้วอันนี้มา นั่นคือใจพ่อคิดยังไงลูกจะคิดตาม ขอจงหยั่งพระปัญญาธิคุณครอบคลุมใจของลูก ให้หยั่งลงมาสู่พระวิปัสสนาญาณหรือพระสมาธิข้างล่าง โดยมีศีลคลุมอย่างเดียว”

    สีเลนะ สุคะติง ยันติ
    เชิญไปที่สุคติ

    สีเลนะ โภคะสัมปะทา
    เป็นโภคะเลี้ยงร่างกาย ก่อนมันตายอีกชาติเดียวเนี่ย

    สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสุมา
    ศีลนี่แหละเป็นตัวนิพพาน

    สีลัง วิโส ทะเย
    เพราะฉะนั้นเราจะไม่ปรามาสพลาดพลั้งเป็นเด็ดขาด เกิดไปเถอะแต่ว่าอย่าลงนรก อย่าไปอบายภูมิลูก อย่าเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา อย่าเป็นหมา อย่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วอย่าเกิดในแดนซึ่งไม่มีพระพุทธศาสนา อย่าเกิดในกาลเวลาที่พระพุทธศาสนาสูญไปจากโลกแล้ว ยังไม่มีพระพุทธเจ้าตรัส ยังไม่มีธรรมกระจายอยู่ในโลก ที่พูดนี่ต้องการให้หลีกกรรมอันนั้นเท่านั้นเอง นอกนั้นก็นิมนต์... เชิญ!... เกิดตามสบายตามยถากรรม ที่ตัวต้องการตั้งใจเท่านั้นเอง


    หล่อยังไงฉลาดยังไง สวยยังไงก็ได้ ขออย่างเดียวให้ออนไลน์ไว้กับพระพุทธเจ้า ขอให้ปัญญาของเรารู้รอบด้วยพระพุทธญาณกำหนดครอบคลุมไว้ตลอด และสายที่เชื่อมก็คือสาย ศีล ถ้าเกิดเป็นฆราวาส เกิดมาแค่ ๕ เส้นก่อน ๕ ใย เดี๋ยวก็เพิ่มเป็น ๘ ใย เป็น ๑๐ เป็น ๒๒๗ เป็นนางภิกษุณี ๕๐๐ กว่าสิกขาบท เหนียวแน่นขึ้นมาอีก แต่จะไม่ขาดศีล จะไม่ปรามาสศีล เชือกของศีล เชือกของสติจะผูกเชื่อมใจเราไว้ กลายเป็นเชือกแก้วแล้วไปเชื่อมกับใจของพระพุทธเจ้า มันจะไม่มีขาดต๋องแต๋ง ๆ โต๋งเต๋ง... ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมที่ไหนก็ได้ เวลามีพระพุทธศาสนา เราจะมาเกิดในร่างมนุษย์ในแผ่นดินที่นี่ ต้องการแค่นี้ ต้องการอย่างเดียว... ต้องการเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ถึงแค่นี้ พรุ่งนี้เสี่ยงเพราะปรามาสศีล และประมาทในความตาย

    ใครทำได้อย่างนี้เฉียดพระอรหันต์แล้วนา แต่อย่ามาถามหลวงตาว่าเป็นหรือไม่เป็นนะ หลวงตาอัญเชิญธรรมะของพระอรหันต์ ธรรมะของพระนิพพาน มาให้เราได้ชื่นชมกัน มาให้เราวัดใจว่า ฟังแล้วมีกำลังใจมั้ย? ถ้ามีกำลังใจมีสิทธิ์ชาตินี้ทุกคน และมีสิทธิ์วันนี้ด้วย ออกไปล้างเรื่องยุ่งเรื่องโลกคนอื่นซะ ถึงเรื่องของตัวเองก็ยุ่งอยู่ ๒ เรื่อง คือ เรื่องเลวของตัวเองต้องเอาออก เรื่องดีที่ตรงกับวาสนาตัวเองก็เอาเข้ามา แล้วมันมีเวลาความดีก็ต้องเลือกทำด้วย เอาเฉพาะที่อยู่ในมือเอื้อม

    ไม่ใช่ว่าเขาชวนเราไปอินเดีย (หลวงตาขออภัยหากจะไปตรงกับใครเข้า) หรือไปธุดงค์อีก ๔ เดือนข้างหน้า ยังงี้หวังไว้ได้ แต่อย่าข้ามบุญปัจจุบันถึงขนาดไป “กู้เงินใครว้า? รูดเครดิตการ์ดไว้ก่อน ซื้อพาสปอร์ต ซื้อวีซ่าไว้ก่อน” แต่พุทโธ ธัมโม สังโฆมึงไม่ทำ...มึงประมาทข้าไป ๓ เดือน ถ้าตายวันนี้ มึงไปไหน มึงไม่ถึงอินเดียหรอกร่างกายนะ เขาเผาอยู่ที่เมืองไทยนี่แหละ ถ้าหากเอ็งเป็นปุ๋ยลงไปในต้นมะละกอ แขกกินแล้วไปขี้ที่อินเดียอย่างนี้เอ็งถึงได้ไป แล้วเอ็งก็ไม่ได้กลับเป็นดินอยู่ที่อินเดียนั่นแหละ
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ร่างกายเพียงเท่านั้นเอง... ใช่ไหมคุณ? ธรรมะต้องอันนี้ แต่ว่าถ้าดวงจิตไหนก็ตามที่เกิดมามีสติอย่างนี้ บำเพ็ญอย่างนี้ เขาก็ฝึกอภิญญา ฝึกทิพยจักขุญาณมา พอจิตเข้าถึงตรงนี้ปั๊บ!... นึกอะไรมันนึกออกหมดเลยว่าเกี่ยวพันกับใคร ถึงเวลาจะใช้มโนมยิทธิใช้อภิญญาเขาก็ใช้ได้เลย เพราะจิตไม่มีกิเลสเกาะ ไม่ได้เหาะหรือไม่ได้ทายใจ เพื่อให้คนเอาลาภมาให้ เพื่อกูจะได้หลงแล้วตกนรกในวันพรุ่งนี้ ไม่ได้ทำอะไรเพื่ออามิสเลย เทศน์...ก็ไม่ต้องการให้มึงมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แล้วโทรศัพท์กวนกูกลางค่ำกลางคืน... กูไม่ต้องการอย่างนั้น

    ให้เอาไปทำวันนี้! ทำให้สุดเชียว...สงสัยก็เอาอารมณ์เดิมที่ทำ ในธรรมที่เรียกไม่ถูก ขึ้นไม่ได้ ซ้ายไม่ได้ ขวาไม่ได้ ไม่ออกเอามาถาม ... อย่าถาม! “หลวงตาจ๋าท่านพระโมคคัลลาน์บรรลุ ๗ วัน ทำไมเร็วกว่าพระสารีบุตร? “ มึงอย่าเอามาถามกู กูไม่รู้ กูเกิดไม่ทัน ต้องถามว่าทำอย่างนี้เกิดอย่างนี้ มันเป็นยังไง ถึงจะตอบ แค่หลวงพ่อ หลวงปู่ปานก็สุดวาสนาที่เราจะไปรู้แล้วลูก! กูตอบไม่ได้ แค่เรื่องของเอ็งเมื่อวานกูก็ไม่รู้แล้ว มึงยังไม่รู้ กูจะไปรู้ได้อย่างไร รู้ก็เป็นพระอรหันต์ไปแล้วใช่มั้ยลูก? อย่าถาม!! ต้องถามอารมณ์ปัจจุบันที่เราคันอยู่ เราชื่นบานอยู่ จะทำให้มันงอกเงยยังไง? ... ต้องถามตรงนี้... ถามตรงนี้ลูก!

    นี่คือธรรมเฉพาะหน้า นอกนั้นเป็นกีฬาสมาธิ ที่จะทำให้ธรรมะเฉพาะหน้าคมคายมั่นคงขึ้นเท่านั้นเอง กี่องค์กี่สำนักสอนเหมือนกันหมด แต่ถ้าหากว่าอาจารย์ยังเป็นฌาณโลกีย์ ก็ยังไม่พูดถึงความตาย จะต้องพูดถึงเป็นเทวดาเป็นพรหมอยู่ ถ้าอาจารย์เป็นแค่พระโสดาบันท่านก็ยังบอกว่า “เดี๋ยวไปเกิดอีก ๗ ชาติ ต้องสร้างพระพุทธรูป เกิด...ต่อไปจะได้งามสมส่วน สร้างเทปอัดเสียงถวายหลวงตาเฮอะ! ชาติที่ ๒ จะได้เสียงดี เทศน์ดัง” แล้วสอนตามที่ตัวผ่าน ผ่านได้แค่ไหนสอนได้แค่นั้น ตัวปรารถนาอะไร จะสอนสิ่งที่ตัวปรารถนา ไม่งั้นสอนไม่ได้ สอนไม่ออก

    ไม่ได้อิจฉาหรือทะนงอะไรจะพูดให้ฟังว่า... จงดูตัวอย่างก็แล้วกัน ฟังตรงนี้เรามั่นใจมั้ย? ว่าเป็นเหตุผลที่ถูก ถ้าเป็นเหตุผลที่ถูก แล้วมาถามอีก “หนูจะเริ่มต้นยังไง?” เอ้อ...เนี้ยะ!...เอาเลข ๑ กัน มันจบตรงเลข ๑ นะลูก มันไม่มีเลข ๒ หรอก ก็มีวันเดียวนี่แหละต้องจบตรงนี้แหละ จะทรงเลข ๑ ตลอด แต่อายุขัยของร่างกายมันยังมีก็เลื่อนไปอีกวัน มันก็ ๑ อยู่อย่างเนี่ย

    นี่ไงนะลูกนะเราจะมีแต่วันเดียว และอารมณ์เดียวไม่เปลี่ยนอารมณ์เป็นเอกัคตารมณ์ เหมือนกับของวิเศษอันหนึ่ง ดวงแก้วดวงหนึ่ง ใจเราเนี่ย มีแสงหมุนแจ๊ดดดด....เห็นอะไรก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา... มีความรักอยากให้มีความสุข มีความสงสารอยากให้พ้นทุกข์ เห็นเขาดีขึ้นมาเราก็ดีใจ เห็นดีก็โมทนาด้วย แล้วเขาไม่เชื่อเราก็วางเฉยเสีย เขาก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตกนรกต่อไปอีก ก็เฉยไม่ตามไปอะไร

    มีจิตเป็นเอกัคตารมณ์อยู่ในกายของเรา อย่างนี้เวลาใครมาก็เอาอารมณ์อันเดียวนี่อธิบายไปตามที่เราได้แต่ลดสำนวนลงมา อายุมันอ่อนนัก บารมีอ่อนให้มันคำเล็ก ๆ ปากมันน้อย ก็เอาข้าวในจานที่เรากินของเรา เวลาเห็นคนมาปากมันน้อยก็เอาคำน้อยให้ ปากเขาใหญ่เราก็เอาทัพพียัดเข้าไป ให้มันเหมาะ...เหตุกับผลใช่มั้ยลูก?
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เพราะฉะนั้นถ้าเรามีอารมณ์วันนี้วันเดียว มึงอยู่อีก ๑๐,๐๐๐ วันมันก็ไม่ตกนรก ต้องคิดเป็นเอกัคตารมณ์ว่าอะไรมา ความเลวมา...อ๋อ...เป็นทุกข์ทั้งนั้น แล้วก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไป นั่นมันเรื่องอะไรของเราน้อ ความดีมันก็... อ๋อ! ก็เป็นผลความดี อ๋อ! ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไป

    เห็นสภาพเดียวคือ สิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่และก็ดับไป แต่ใจเราเห็นอย่างนี้เราไม่ไปแตะต้องสิ่งซึ่งเกิดได้ดับได้ตั้งได้ สิ่งที่เกิดได้ดับได้ตั้งได้ยังเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ จะมีร่างเดียวคือร่างนี้ในวันเดียวนี่ ถ้าพ้นจากวันนี้แตกดับไปแล้วคำว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ไม่เกี่ยวกะใจเราแล้ว เราคือวิมุตติพ้นจากนี้!! กฎของไตรลักษณ์ก็เกาะใจเราไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีรูปกับนามที่จะไปเกิดดับ...เกิดดับต่อ

    เขาเกิดมาบวชเนี่ย...เพื่อความดับไม่เหลือเชื้อ!! ในความโง่ว่าอะไรยังเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ ร่างกายเป็นของเราอยู่ ยังน่ารักน่าพอใจอยู่ ไอ้นั่นยังเต็มไอ้นี่ยังพร่องอยู่ เต็มหรือพร่องก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ถ้าคนเราเนี่ยอะไรผ่านมาก็ไม่น่ารัก ไม่พอใจ แต่เมตตาเต็มเปี่ยม แต่ว่าอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียแล้ว ผลอันใดที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายต้องการ คือยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เราก็ได้ยึดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    จุดมุ่งหมายใดที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต้องการคือนิพพาน เราก็จับคันธงอันนั้นไปแล้ว

    แล้วสมบัติอะไรที่สั่งสมมาที่จะเอามาเลี้ยงใจกับกาย กติกาต่าง ๆ ก็คือ ศีลอันบริสุทธิ์ตามเพศ(สมณะหรือฆราวาส)เราก็มีอยู่แล้ว

    แล้วทุนสำคัญที่สุดจะใช้เป็นกรรมฐาน ใจเนี่ยทำกรรมฐาน จะต้องทำลงตั้งลงที่งานสักอย่างหนึ่ง งานอันนั้นกายเดียวในวันสุดท้าย อาการ ๓๒ พระไตรลักษณ์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มีอยู่แล้วเฉพาะหน้า มึงจะไปเอาทุนอะไรอีก

    ถ้าใจเต็มที่ตรงนี้ก็คือว่าเป็นปรมัตถบารมี ไม่เปลี่ยนอีก ก็เป็นสมุจเฉทตรงนี้แหละ ถามว่ารสชาติเป็นไง?...กูก็ไม่รู้...ทำเอา!

    ฟังแค่นี้แล้วมันฮึดมั้ยล่ะ? มันรู้ว่ามันทำได้ อยู่ในวิสัย ขออย่างเดียวอย่าเพิ่งตายเสียก่อน ขอคำเดียว “อย่าเพิ่งตายเสียก่อนพระเจ้าข้า บุญบารมีที่ทำมาขออย่างเดียวจงรักษากายนี้ไว้” นักปราชญ์โบราณท่านจะตั้งนะโม ด้วยอานิสงฆ์ที่ทำไว้ขอร่างกายจงปลอดภัยจนกว่าจะเขียนหนังสือเสร็จ เพื่อบูชาคุณพระศาสนา

    เราก็ขอให้บุญทั้งหลายที่ทำมา ขออย่างเดียวให้เราเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีปัญญาเหมือนท่านมีศีลเหมือนท่านมีนิพพานเป็นที่ไป แล้วขอให้ร่างกายอย่าแตกทำลายก่อนที่เราจะได้มรรคผล แต่เราจะทำทีละวัน จะกี่วันก็ช่างขอให้ร่างกายอย่าแตกดับก่อนเราจะได้อรหันต์ผล คืออย่าให้มันแตกดับก่อนที่เราจะเบื่อขี้หน้ามันจนไม่เหลือเชื้อ ถ้าวันนี้เราเบื่อขี้หน้ามันจนไม่เหลื้อเชื้อตายไปเถอะมึง จะกังวลอะไร หรือเราจะอยู่ไปอีก ๑,๐๐๐ วันเพื่อจะแทนคุณพระศาสนา ก็จงอยู่ไปเถอะมึง! เพราะใจกูกับพระพุทธเจ้านี่! เป็นอันเดียวกันแล้ว แล้วจะอยู่ไปจนตายด้วยศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว

    เข้าใจแล้วนา หลักคือตรงนี้แต่สำนวนในการที่จะเทศน์เพื่อให้สลดในความตายแล้วแต่อาจารย์ไหนจะถนัดยังไง จะเทศน์ให้เกลียดร่างกายให้ละความชั่วออกจากใจ ไม่ติดในร่างกาย ด้วยวีธีกายคตาฯ หรือธาตุ ๔ อสุภะหรือพระไตรลักษณ์ หรือวิปัสสนาญาณ ๙ หรือญาณ ๑๖ องค์ไหนได้ยังไงก็ต้องเทศน์อย่างงั้น ให้ลูกศิษย์ที่ทำตามกันมาทำตามนั้น แต่มีนัยอันเดียวคือต้องละความชั่วออกโดยประการทั้งปวง ต้องทำความดีที่ขาดให้ถึงพร้อมและทรงไว้ ต้องทำให้จิตใจให้ผ่องใสจากความรักความพอใจ ส่วนศีลสมาธินี่เป็นตัวเลี้ยงเท่านั้นเอง
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จะเทศน์ ๘๔,๐๐๐ กระแสต้องการผลคือ หัวใจพระศาสนา เหมือนมึงจะเอามีดมาแทงไอ้นี่ให้ตาย ต้องการจะผ่าเอาหัวใจเอามากิน จุดหมายอันเดียว จะเอาพร้า มีด เอาปืน เอาเสียม เอามือแหวกอกหรือจะเอาหัวมุดลงไปกินหัวใจเขา ต้องการจะเอาหัวใจมากิน..เท่านั้นเอง

    ไอ้หนูไปหัดคิดอย่างนี้ลูก คิดอย่างหลวงตาว่า ถ้าศีลอย่างนี้จะทรงตัว ถ้าคิดอย่างนี้เมื่อไหร่อารมณ์จะสบายเมื่อนั้น แต่ถ้าจับลมหายใจอย่างเดียวเล่นกสิณอย่างเดียว...มันไม่ทรงตัว หนูต้องคิดตามหลัก ซึ่งใจคิดแล้วใจมันไม่เถียง ถ้าฟังอะไรหรือคิดอะไร เขาพูดให้เราคิดหรือเราคิดเองก็แล้วแต่ ถ้าหากเห็นดีแล้วถึงขนาดน้ำตาไหลเขาเรียก ปีติ มันเห็นขณะมันปีติ “ทำไมถึงโง่อย่างนี้” เนี้ยเรียกว่าใจมันคมคายเข้าไปแล้วลูก สิ่งนั้นมีอยู่อย่างเดียวคือร่างกายต้องตายแน่... มันจะไม่เถียง ถ้ามันคิดแล้วมันไม่ใส ก็คิดว่ามันก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปีหรอกก็ตายหมดถูกมั้ย? เอาให้มันเถียงไม่ได้

    แล้วศีลนี่ดีแน่บริสุทธิ์แน่ ถ้าศีลของเราบริสุทธิ์ขนาดนี้ ยังผ่องใสขนาดนี้ ถ้าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านดีกว่าเราแน่ ผู้ใดเข้าถึงธรรมแม้น้อยนิด เทียบแล้วจะเห็นคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเหนือกว่าเราเป็นที่พึ่งแก่เราได้แน่

    “พุทโธ” เข้าไว้ลูก ศีลรักษาไว้ นึกถึงความตายไว้ แล้วก็จับอานาปาน์ ต้องทำใจให้เบาอย่างนี้ก่อนถึงจะจับ ยังมีความกลุ้มอยู่ไปจับมันจับไม่ขึ้นหรอกลูก หายในเข้าก็ “อีห่า” หายใจออกก็ “อีโหง” มันต้องด่าตัวเองจนตายไปก่อน “พุทโธ....พุทโธ” พ่อสอนอย่างนี้เองน้อ...ลูกมีหวังพระนิพพานจริง ๆ หลวงพ่อ...มีคุณที่ถ่ายทอดมา สังโฆ...หลวงพ่อ... นึกถึงหน้าเป็นกสิณ หายใจเข้าก็มีความสุขจริงน้อ... หายใจออกก็มีความสุขจริงน้อ

    พอได้อารมณ์ “พ่อจ๋าหายใจเข้าก็พองหนอ ๆ ยุบหนอ ... พองก็เห็นหน้าท่านใส... ยุบก็เห็นหน้าท่านใส พอง...ศีลหนูก็บริสุทธิ์ ยุบ...ศีลหนูก็บริสุทธิ์ ตัวทรงก็คือตัวอารมณ์ที่ว่านะ ไม่ใช่ไปจับหนังท้องนะมึงนะ หนังท้องนะจับอย่างเดียว พอตายแล้วจะเอาไปไหนล่ะเขาก็เผามันไป เข้าใจมั้ยลูก? “พอง”อยู่ศีลก็บริสุทธิ์

    ถ้าเอ็งคิดถึงสีลานุสติ ไม่ได้เบียดเบียนใคร หายใจก็บอก “เทวดา พรหม พระพุทธเจ้า อัยการผู้พิพากษาทั้งโลก จงมาดูเราเลย ตั้งแต่เราพบพระและตั้งใจมานี่ หายใจเข้าออกเราไม่เคยได้พร่องศีล ไปเบียดเบียนใครเลย ถ้าใครมาโจทย์เรานี่เราจะรออยู่ตรงนี้ เราจะรออยู่ตรงนี้ ขอให้พระพุทธเจ้ามาเป็นพยาน ท่านก็จะทรงทราบ พญายมราชก็ต้องรู้ว่าเราผิดหรือไม่ผิด ไอ้มนุษย์ปากเหม็นใจเหม็นนี่ มาโจทย์เรา...เราจะไม่กังวลเลย ให้ฆ่าให้ตายเราก็จะไม่ตอบโต้เพราะเราเบื่อร่างกายแล้ว “ ที่เขาพองเขายุบเขามีอารมณ์นะลูกนะ ไม่ใช่ไปจับเฉย ๆ ก็เมื่อยฉิบหายเลย เมื่อไหร่จะครึ่งชั่วโมงว่ะ มันก็เกร็งอยู่อย่างนั้นลูก
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตาไม่ได้ไปค้านใคร แต่ว่าต้องมีอารมณ์ผ่องใส ก่อนเราถึงจะไปจับ.... มีอารมณ์ผ่องใสอยู่ “โอ...สมเด็จพ่อพระพุทธเจ้ามีคุณไม่มีประมาณน้อ... ธรรมะที่หลวงตาถ่ายทอดเอามาจากพระคุณท่านนั่นแหละ ฟังดูก็คือหญ้าปากคอก แต่ว่าไม่เคยมีควายตัวไหนโผล่หน้าออกมากินซะทีนึง มันจ่อไว้กับปากคอก...แต่มันไม่กิน(หัวเราะ) ของธรรมดาว่าละร่างกายได้เมื่อไหร่ก็ละทุกข์ได้เมื่อนั้น ถ้าร่างกายตาย...กายนี้ก็จบจากความทุกข์ ใจว่างจากกายก็ว่าจากความทุกข์ ถ้าใจไปเกิดมีกายก็มีทุกข์ ถ้าใจไม่เกิดมีกายก็ไม่มีทุกข์ ก็เป็นพระอรหันต์ โอ...ก็แค่กายกะใจแค่นี้น้อ สมเด็จพ่อ

    ลูกเข้าใจแล้วที่สมเด็จพ่อทรงท้อพระทัยในวินาทีแรกที่บรรลุ ว่าจะมีมนุษย์หน้าไหนเข้าใจมั้ยน้อ? เขาจะเชื่อเรามั้ยน้อ? ว่าเราพูดอย่างนี้ ดึงมาจนตื้นขึ้นมาอย่างนี้ใครเขาจะเขี่ยหนอ คนที่ติดร่างกายอยู่ ลูกเข้าใจน้ำใจสมเด็จพ่อแล้ว ขอขอบพระคุณที่พระองค์เมตตาสั่งสอน หลวงพ่อพุทโธของลูกน้อ... ลูกจะไปนิพพาน นึกถึงอารมณ์ก็ “พุท...โธ” ซ้ายก็ “พุท” ขวาย่างก็ “โธ” พุท...โธ มองเท้าด้วย นะลูกนะ ก็มีสุขด้วย “กลับ”มาก็ได้เดินเท่าไรก็มีความสุขลูก

    ไม่ได้ห้ามวิธีเก่านา ต้องเอาอารมณ์พระอริยะเข้าไปในเท้าด้วยนา เอาอารมณ์พระโสดาบันเนี่ย! อารมณ์พระนิพพานเข้าไปในลมหายใจ สมมติว่าเอ็งจะเปลี่ยนอิริยบท “เอนเมื่อยน้อ หลวงพ่อน้อ ๆ หนูนั่งนานเมื่อย...หลวงตาก็พูดไม่จบซะที หนูต้องการจะพลิกเข่าขวาน้อ... ยกขึ้นแล้วหนอพ่อ ขณะยกศีลก็ไม่ได้ล่วงเลย ขณะยกหนูเห็นพ่อยิ้มอยู่กะหนู หนูรักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่มันไม่ถูกหนทางนะ หลวงตาน้อ ถ้าถูกกลับไป ศีลก็ไม่ได้แตะด้วยน้อ ... ยืดกายตรงน้อ... สมเด็จพ่อน้อ “

    เขาเอาอย่างนี้นะอีหนูนา เขาไม่ได้ย่างเฉย ๆ นา... เขาย่างเพราะว่าเขามีสรณะแล้ว ถ้าตายตอนย่างนะ อยู่ตรงโน้นนะลูกนา เพราะใจอยู่ตรงโน้น... ถ้าใจเอ็งไม่มีสรณะ ไม่เข้าถึงตัวธรรม ใจเอ็งย่างนะลูกนะ จะ “กลับหนอ ๆ ... ๆ ... ๆ “ เกิดมันตายก่อน “กูก็ไม่รู้ว่ากูอยู่ตรงไหน กูมีอะไร กูจะกลับไปไหน แล้วกูจะต่อยังไง? “ มันต่อยากนะลูกนา กว่าจะเกิดมาต่อได้อีก ต้องฟังคนที่มีปัญญาจริง ๆ ที่ดึงเลี้ยวกลับมาได้ ถึงต่อได้นา
    แต่ถ้าเอ็งเอาปัญญาเอ็งไปผูกกับพระพุทธเจ้านี่ เอ็งได้ทันทีลูก ไปอยู่กับท่านแหละนิพพาน ผูกกับหลักแล้ว

    เอา! ... พอแค่นี้นะลูกนะ




    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก

    http://larndham.net/index.php?showtopic=26572
     
  17. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ขอกราบโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ ,,,
    ;aa13


    " เกล้ากระหม่อมฉันขอมอบกายมอบใจถวายชีวิตผูกพันมั้นหมายไว้
    - พระองค์มี พระบริสุทธิคุณ อย่างไร เกล้าหม่อมฉันปรารถนาความบริสุทธิ์นั้น จงคุ้มใจลูกด้วย
    - พระองค์มี พระปัญญาธิคุณกระจ่างสว่างโล่งอย่างไร ขอให้จิตของลูกสว่างดุจพระองค์ด้วย แต่น้อยกว่า!
    - พระองค์มี พระมหากรุณาธิคุณ เยือกเย็นเป็นสุขอย่างไร ขอให้เกล้าหม่อมฉันมีความ
    เยือกเย็นเป็นสุข ในพระกรุณาอันนั้นด้วย อย่าได้คิดร้าย กับตัวเองและทุกสัตว์อื่นเลย
    - พระองค์มี ศีลบริสุทธิ์ อย่างไร กระหม่อมฉันจะเว้นการละเมิดศีลเช่นเดียวกับที่พระองค์สอน ''

    " ขออธิฐาน ณ บัดนี้ว่า ตั้งแต่ลมหายใจนี้เป็นต้นไปจิตของลูก
    จะมอบกายถวายชีวิต เข้าไปให้ท่านเป็นสรณะครอบคลุมเราไว้ ..... "
     

แชร์หน้านี้

Loading...