อย่าไปเอาวิชา-ความรู้-ศักดิ์ศรี-ฐานะ ตระกูลมาเป็นเครื่องตัดกิเลส...ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม8

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 23 กรกฎาคม 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]

    คำนำในการจัดพิมพ์


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม8)<O:p</O:p

    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า อย่าไปเอาวิชา-ความรู้-ศักดิ์ศรี-ฐานะ ตระกูลมาเป็นเครื่องตัดกิเลส เพราะนั้นเป็นสิ่งภายนอก มิใช่ตัวจิตแท้ๆ ใครยึดถือก็เป็นมานะกิเลส ให้พิจารณาถึงตัวจิตล้วนๆ ตามที่องค์สมเด็จองค์ปัจจุบันตรัสไว้ในคิริรมานนทสูตรว่า ผู้มีความรู้ฉลาดสักปานใด ไม่ควรถือตัว ว่าเป็นผู้ยิ่งกว่าผู้ถือศีล ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่มีศีล ปราศจากการรักษาศีล หรือเข้าใจว่าตนเองดีกว่าผู้รักษาศีล จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นคนหลงทาง ห่างจากความสุขในมนุษย์ –สวรรค์และพระนิพพาน มาก เพราะเหตุว่าผู้มีศีล ได้ชื่อว่าใกล้ต่อพระนิพพานอยู่แล้วจะถือเอาความรู้และความไม่รู้ เป็นเครื่องวัดความดีไม่ได้ ต้องถือเอาการละกิเลสได้เป็นเครื่องวัด เพราะผู้เข้าถึงพระนิพพาน ต้องอาศัยการละกิเลสได้เพียงส่วนเดียว เมื่อละได้แล้ว แม้จักไม่มีความรู้มาก รู้เพียงการชนะกิเลสได้เท่านั้น ก็อาจถึงพระนิพพานได้ จักเห็นได้ว่าชาวนา-ชาวสวน-ชาวไร่ที่มุ่งเข้ามาปฏิบัติธรรม มิได้ มีวิชา-ความรู้-ศักดิ์ศรี-ฐานะ-ตระกูลเลย แต่เอาจิตที่เต็มไปด้วยศรัทธาเข้ามาปฏิบัติด้วยกำลังใจเต็ม ในศีล-สมาธิ-ปัญญามุ่งปฏิบัติกันที่จิตโดยตรง อันเป็นธรรมภายในด้วยกันทุกคน ไม่เอาธรรมภายนอก 5 อย่างนั้นมาใช้ตัดกิเลส จัดได้ว่าเป็นหนูประเภทที่สอง คือ มิได้ขุด แต่ได้อยู่<O:p</O:p
    สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสพระอานนท์เรื่องหนู ที 4ประเภท มีความโดยย่อว่า <O:p</O:p

    หนูประเภทที่ 1 มันขุด (รู) แต่มิได้อยู่<O:p</O:p
    คือ พวกรู้ปริยัติ แต่มิได้ปฏิบัติ <O:p</O:p

    หนูประเภทที่ 2 มันมิได้ขุด แต่ได้อยู่<O:p</O:p
    คือพวกไม่รู้ปรยัติ แต่มุ่งปฏิบัติอย่างเดียว<O:p</O:p

    หนูประเภทที่ 3 มันขุดด้วย และได้อยู่ด้วย<O:p</O:p
    คือพวกรู้ปริบัติ และปฏิบัติด้วย<O:p</O:p

    พวกรู้ปริยัติ 4 มันไม่ขุด และไม่ได้อยู่ <O:p</O:p
    คือ พวกไม่รู้ทั้งปริยัติและไม่ปฏิบัติด้วย<O:p</O:p

    ที่ผมยกเอาพระธรรมสั่งสอนขององค์สมเด็จองค์ปฐม และสมเด็จองค์ปฐมองค์ปัจจุบันมาอ้าง ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ตรวจสอบอารมณ์จิตตนว่า ในขณะนี้เราเป็นหนูประเภทไหน กันแน่ ส่วนตัวผมมีความเห็นว่ามีทั้ง 3 ประเภทแรก คือ ประเภทแรก ได้ขุด แต่มิได้อยู่ มีมาก เพราะได้รับพระธรรมคำสั่งสอนจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำโดยตรงและโดยอ้อมจากหนังสือและเทปคำสอนของท่านอีกมากมาย บวกกับมีการสนทนาเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นกันอีก 16 ปี แต่ก็ยัง<O:p</O:p
    ขี้เกลียจปฏิบัติเพื่อให้เกิดเพื่อให้เกิดมรรค ผลนิพพานมรรคนั้นรู้แสนที่จะรู้ (ปรยัติ)แต่ยังไม่ยอมปฏิบัติให้เกิดผล หรือปฏิบัติแบบถึง ไม่ถึงก็ช่าง มิได้เอาจริงเอาจัง จัดว่าเป็นผู้ประมาท ในชีวิต เท่ากับ ประมาทในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ทั้งหมด 84000 บท<O:p</O:p

    หนูประเภท 2 มิได้ขุดแต่ได้อยู่ อย่างที่องค์สมเด็จทรงตรัสไว้แล้วเรื่องชาวนา -ชาวสวน ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อย เช่นกัน จัดว่าเป็นมีน้อย หาได้ยากเต็มที<O:p</O:p

    หนูประเภทที่ 3 ได้ขุดและได้อยู่ด้วย ส่วนตัวผมเห็นว่ามีน้อย หาได้ยากเต็มที<O:p</O:p

    หนูประเภท 4 เป็นพวกไม่ศรัทธาในพระองค์ พระองค์จึงไม่โปรดสอนพวกนี้ ก็จงอย่าไปสนใจ ให้ระวังอารมณ์จิตของเราเอาไว้ให้ดีๆ อย่าให้มันเผลอเข้าไปอยู่ในหนูประเภทที่ 4 เข้าก็แล้วครับ <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า การบวชใจนั้นบวชได้ทุกคนไม่จำกัดทั้งเพศและวัย อายุตั้งแต่ 7 ขวบ ก็บวชใจได้ทุกคน และบวชใจแล้วปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญา หากตัดสังโยชน์ 10 ประการได้ขาด ก็เป็นพระอรหันต์ได้ แต่การบวชกายนั้นมีได้แต่เฉพาะบางคนเท่านั้นที่โอกาสอำนวย มีพร้อมทั้งกายและครอบครัวด้วย จัดเป็นหนูประเภทที่ 3 สำหรับผู้ที่โอกาสไม่อำนวยเช่นคุณหมอ และพวกที่เป็นทั้งเพศชายและหญิง โอกาสไม่อำนวยให้บวชกายได้ แต่ก็นับเป็นโชคดีที่เกิดมาพบพุทธศาสนา ได้พบท่านฤาษีลิงดำ เป็นครูอาจารย์ สอนทั้งปรยัติและปฏิบัติเพื่อเพื่อมรรคผลนิพพาน ให้เป็นหนูประเภทที่ 3 คือได้ขุดด้วยและได้อยู่ด้วย ที่ยังเอาดีกันไม่ได้ อยู่ที่ขาดความเพียรนี่แหละ ควรจักพิจารณาตนเองว่าเราเป็นหนูประเภทไหนกันแน่ อยากไปนิพพานก็ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อสู่พระนิพพานด้วย อยากแต่ไม่ยอมปฏิบัติก็ไปนิพพานไม่ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสสอนแต่อริยสัจหรือ กฎของกรรม หรือ กฎธรรมดาเท่านั้น ทรงตรัสเน้นว่าจะทรงตรัสสอนอีกกี่แสนครั้ง ก็ไม่พ้นจากอริยสัจ และสอนให้พระสาวกทุกองค์จบกิจด้วยอริยสัจ เพราะอริยสัจแปลว่า ของจริงใน พระพุทธศาสนาที่พระองค์ทรงพบก่อนผู้อื่นในโลก ได้พิสูจน์ด้วยองค์เองแล้ว จึงค่อยนำมาสั่งสอนให้ผู้อื่นได้รู้แจ้ง เห็นจริงตามพระองค์ ดังนั้นคำสอนของพระองค์จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นของจริง (อริยสัจ) ไม่จริงพระองค์ก็ ไม่ตรัส ตรัสอย่างนั้นไม่เป็นอื่น คำสอนของพระองค์จึงไม่มีใครคัดค้านได้ หากยังค้านได้สิ่งได้สิ่งนั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระองค์ <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ในปัจจุบันนี้มีนักบวช-สมมุติสงฆ์มากมายที่คัดค้านคำสอนของพระองค์ จะโดยเจตนาก็-ไม่เจตนา ก็ล้วนเป็นโทษทั้งสิ้น เพราะชอบอ้างคำสอนนำหน้า แล้วเอาปัญญาของตนมาอธิบายให้ผิดเพี้ยน หรือผิดจากไปอริยสัจหรือความจริง โดยจำมาผิดๆก็มี แปลความหมายของพระธรรมผิดไปก็มี บางรายหลงตนเองสุดๆ คัดค้านคำสอนเอาดื้อๆ เช่นว่า สอนว่านรกไม่มี – สวรรค์ไม่มี – เทวดา-นางฟ้าไม่มี –พรหมไมมี-นิพพานสูญ ตายแล้วสูญ เป็นต้น บางรายก็ตัดออกไปจากคำสอนของพระองค์ในพระไตรปิฎกเลยก็มี เช่นบอกว่า เรื่องฤทธิ์หรืออิทธิปาฏิหาริย์นั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ให้ตัดออกไปให้หมด เอาความโง่ของตนเองเป็นใหญ่ หากกูทำไม่ได้ คนอื่นต้องไม่ได้ เหมือนกูเช่นกัน ซึ่งตรงกับคำที่ตรัสที่ว่า บุคคลใดคิดว่าตนเองเป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด บุคคลนั้นเป็นคนโง่ อย่างแท้จริง พระองค์ทรงเอาการตัดสังโยชน์ 10 ประการ ซึ่งก็คืออธิศีลอธิจิตและอธิปัญญา นั้นเอง เป็นเครื่องวัดความดีในการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา มิได้เอาอาการบวชนาน-มีพรรษามาก –มียศ-มีฐานะ-มีศักดิ์ศรีใหญ่ของตนเอง ออกมาคัดค้านคำสอนของพระองค์ ทำให้พระเล็กๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรี และฆราวาสไม่กล้าคัดค้านส่วนพระแท้ที่ท่านจบกิจแล้ว ตัดสังโยชน์ 10 ข้อได้เด็ดขาดแล้ว ท่านก็วางเฉย เพราะท่านมีอารมณ์เดียว คือ สังขารุเบกญาณท่านเคารพในกฎแห่งกรรม ถือว่ากรรมใครกรรมมัน เพราะกฎแห่งกรรมเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    การที่จะดูว่าพวกนักบวช หรือ สมมุติสงฆ์ มีศีลปาฏิโมกข์ 227 ข้อครบหรือไม่นั้นดูยาก เพราะจะรู้หรือไม่ต้องอยู่กับเขาสักระยะหนึ่งจึงจะได้รู้ จุดที่เห็นได้ง่ายคือ กรรมบถ 10 หมวดวาจา 4 พวกนี้เผลอกล่าวจีกรรมปรามาส หรือไม่เคารพผู้มีพระคุณอยู่เสมอ เพราะไม่รู้จริงว่าร่างกายของตนนั้นประกอบด้วยธาตุ 4 มีอาการ 32 ไม่เที่ยง มีความสกปรกเป็นพื้นฐาน รู้แค่สัญญาหรือความจำเท่านั้น จึงขาดสัมปชัญญะ กล่าวดูถูกพระแม่ทั้ง 5 คือ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟและพระแม่โพสพ(ข้าว) ซึ่งเป็นเหมือนหนึ่งมารดาทางธรรม<O:p</O:p
    ที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย เมื่อมีอารมณ์ไม่พอใจเกิด(ปฏิฆะหรือโฆสะ) ก็มักจะกล่าวคำว่ามันนำหน้า เช่า น้ำมัน –ลมมัน-ไฟมัน-แผ่นดินมัน และข้าวมัน พวกนี้มักเผลอกล่าวเทศน์หรือสนทนาธรรม แม้แต่เขียนหนังสือออกมาก็ยังเผลออยู่ตามสันดานของตน<O:p</O:p
    อีกประโยคหนึ่งที่ได้ยินอยู่เป็นปกติคือ คำว่า ใส่บาตรกับตักบาตร ซึ่งค้านได้ 100% จึงมิใช่อริยสัจ มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ของที่อยู่ในบาตรของพระพุทธเจ้า ของที่อยู่ในบาตรพระแล้ว ใครไปตักออกจากบาตรของท่าน ก็เป็นการทำบาป มิใช่ทำบุญ การทำทุกอย่างทางกาย-วาจา-ใจที่เป็นโทษก็ยังเป็นโทษ ไปทำบุญมา (ตักบาตรพระ-ใส่บาตรเทโว) จึงต้องใช้ปัญญาให้มาก อย่าใส่แต่สัญญา เชื่ออะไรง่ายๆ โดยขาดเหตุผล-ผล พระพุทธศาสนาท่านสอนแต่อริยสัจ สอนให้รู้ให้เชื่อโดยปัญญา การจะนิพพานนั้น หากผิดหรือติดอะไรแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่มีทางเข้าแดนนิพานได้เลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อีกประโยคหนึ่ง ได้ยินกันชินหู คือ อยู่ด้วย 2 คน หรือ อยู่กัน 1 ต่อ 1 กลับไปพูดว่าอยู่กัน 2 ต่อ2 หากใครได้ยินใครพูดก็ จงอย่าไปพูดตามเขา เพราะมิใช่ อริยสัจ ปล่อยไปตามกรรมของเขา เราไม่มีเจตนาจะโกหกเขา แต่ก็เหมือนโก หกเขาหากอยู่กันแค่สองคนหรือ 1 ต่อ 1 แต่ไปพูดว่าเราอยู่ 2 ต่อ 2 <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เรื่องที่ทั้งหมดที่ผมนำมากล่าวไว้ในคำนำนี้ ล้วนเป็นปกิญกะธรรม ธรรมเล็กๆ น้อย ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ทั้งสิ้น ด้วยพระเมตตาของพระองค์ หวังให้พวกเราที่ปรารถนาจะไปพระนิพพานในชาตินี้ มีจิตละเอียดขึ้นตามลำดับ หรือ มีสติ-สมัชัญญะสมบูรณ์ขึ้น จนไม่เผลอในกรรมบถ 10 หมวด วาจา 4 และเข้าใจมงคล 38 อันเป็นมงคลภายใน ในหัวข้อเรื่อง การบูชาคนที่ควรบูชาหนึ่ง การเคารพคนที่ควร เคารพ หนึ่ง เราจะตัดสินได้ก็ด้วยอาศัยกรรมบถ 10 หมวด หมวด วาจา นี้แหละเป็นหลักนักปฏิบัติ ธรรมที่หวังจะเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ จะต้องสนใจแต่คำสอนของพระองค์ซึ่งล้วนเป็นอริยสัจทั้งสิ้น จงอย่า เสียเวลาไปศึกษาสิ่งที่ไม่ใช่อริยสัจ คือ ยังค้านได้ หากเข้าใจจุดนี้ จิตก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ หันมาสนใจแต่พระธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ซึ่งพิมพ์แจกเป็นธรรมทานมาตามลำดับ จน ถึงเล่มที่ 8 แล้ว ความตายและเวลาไม่คอยใคร ทุกคนกำลังเดินไปหาความเสื่อม และความตายด้วยกันทุกคน โดยไม่มีทางหนีพ้น แต่ก็อธิฐานจิตว่า จะขอตายเป็นครั้งสุดท้าย ความไม่ประมาทในชีวิต ด้วย อุบายสั้นๆ ที่ทรงให้ไว้ว่า รู้ลม-รู้ตาย –รู้นิพพาน ส่วนลายละเอียดทุกท่านทราบดีแล้ว ที่พึ่งอันสุดท้ายก็คือจิตของเราเอง จงอย่าไปเผลอโง่ไปเกาะติดร่างกายซึ่งมันหาใช่เรา หาใช่ของเราเข้า สิ่งเหล่านี้หากไม่พร้อมโดยการซ้อมตายไว้ให้จิตมันชิน ก็จัดว่าเป็นผู้ประมาทในธรรมของพระองค์ อย่างยิ่ง จุดนี้ไม่มีใครช่วยใครได้ กรรมใครกรรมมัน ตัวใครตัวมัน ผมเน้นจุดนี้ สำหรับนักปฏิบัติธรรมเพื่อหวังความพ้นทุกข์เท่านั้น<O:p</O:p
    ในที่สุดนี้ผมขออาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ขอให้ท่านผู้บริจาคเงินเป็นธรรมทานทุกท่าน ได้อ่านธรรมะเล่น 8 นี้ ของพระพุทธองค์และของหลวงพ่อหลวงปู่ทั้งหลาย ซึ่งล้วนเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น อ่านแล้วมีความเข้าใจ มีดวงตาเห็นธรรมได้ตามลำดับ จนเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ

    “ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ”<O:p</O:p
    โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    <O:p</O:pรวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน 8
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ถ้าบวชแต่กาย ใจไม่ได้บวชด้วยก็เป็นได้แค่สมมุติสงฆ์
    การบวชใจ ได้แก่การประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
    ของพระพุทธเจ้า บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา
    ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อขึ้นไป บรรลุเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
    แม้ไม่ได้บวชกายก็เป็นพระได้ และเป็นพระที่แท้จริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...