>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กรรมของพระจูฬปันถก ภิกษุปัญญาทึบ

    จูฬปันถกเป็นหลานชายราชคฤห์เศรษฐี พี่ชายชื่อมหาปันถกซึ่งออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วมาชวนให้ออกบวชด้วย จูฬปันถกจึงออกบวชในสำนักของพระพี่ชาย แต่ด้วยกรรมเก่าเมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุในพุทธกาลก่อน เคยพูดเยาะเย้ยภิกษุรูปหนึ่งว่าปัญญาทึบ แม้จะมีวาสนาบารมีจากการบวชมาแล้ว แต่กรรมเก่านั้นได้ส่งผลให้พระจูฬปันถกมีปัญญาทึบมาก พระพี่ชายให้ท่องคาถาแค่ ๔ บาท ใช้เวลาท่อง ๔ เดือนยังท่องไม่ได้ จนถูกพระพี่ชายไล่ให้สึกไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูวิหาร

    (สุดท้ายได้อุบายธรรมโดยตรงจากพระบรมศาสดา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก และมีปัญญามาก)
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กรรมของวัสสการพราหมณ์ เกิดเป็นลิง

    วัสสการพราหมณ์เป็นมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ เป็นคนมีปัญญามากกว่าอำมาตย์อื่นจึงเป็นที่ไว้วางพระทัยของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าทูลถามราชกิจจากพระบรมศาสดาบ่อยๆ แต่วัสสการพราหมณ์เป็นคนนอกศาสนา แม้จะไปเฝ้าพระศาสดาบ่อยครั้ง แต่ก็ไปเพราะพระบัญชาของพระเจ้าอชาตศัตรู ไม่ได้ไปเพราะนับถือพระรัตนตรัย

    วันหนึ่งวัสสการพราหมณ์เห็นพระมหากัจจายนะเถระลงมาจากเขาคิชฌกูฏิ ด้วยความคะนองปากจึงเอ่ยวาจาเปรียบพระกัจจายนะเถระว่าคล้ายลิง พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า การพูดปรามาสพระอรหันต์ขีณาสพผู้พ้นอาสวะแล้วเป็นกรรมหนัก กรรมนี้จะทำให้วัสสการพราหมณ์ต้องไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในวัดเวฬุวัน ต้องขอขมาโทษจากพระเถระจึงจะพ้นจากกรรมนี้ได้

    วัสสการพราหมณ์ฟังแล้วไม่ได้ทำตาม แต่ก็ครั่นคร้ามว่าคำของพระศาสดาไม่เคยคลาดเคลื่อน เขาจึงเร่งปลูกไม้ผลสารพัดชนิดภายในวัดเวฬุวัน และว่าจ้างคนมาดูแลสวนเป็นอย่างดี หวังเพียงว่าเมื่อต้องไปเกิดเป็นลิงเขาจะได้มีผลไม้กิน

    เมื่อทำกาละแล้ว วัสสการพราหมณ์ก็ได้ไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในเวฬุวันวิหารสมดังพุทธดำรัส เวลาใครเอ่ยชื่อเรียกวัสสการพราหมณ์ ลิงตัวนี้ก็จะเข้ามายืนใกล้ๆ ด้วยความเข้าใจ
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กรรมของปัญจปาปี ผู้หญิง ๕ บาป

    อดีตกาลครั้งสิ้นพุทธกาลจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนไปแล้ว มีหญิงยากไร้คนหนึ่งอาศัยในนครพาราณสี วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งขยำดินเหนียวเพื่อใช้ทาฝาเรือนอยู่ ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเที่ยวบิณฑบาตหาดินเหนียวเนื้อดีเพื่อจะนำไปทาเงื้อมฝาที่อยู่อาศัยของท่านที่ชำรุด มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

    หญิงยากไร้นั้นรู้สึกโกรธ เธอทำหน้าบึ้ง มองค้อน และทำปากหมุบหมิบพูดประชดประชันพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า เช้าก็บิณฑบาตอาหาร พอสายยังมาบิณฑบาตดินเหนียวอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าประสงค์จะโปรดหญิงยากไร้นั้น ท่านจึงยืนสงบนิ่งอยู่ ครั้นหญิงยากไร้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าสงบนิ่งอยู่ในอาการสำรวมเช่นนั้น ความรู้สึกโกรธก็หายไป กลับมีจิตเลื่อมใส เธอจึงยกดินเหนียวก้อนใหญ่ใส่ลงในบาตร

    เมื่อถึงกาลกิริยาแล้ว หญิงยากไร้นั้นได้ไปเกิดเป็นธิดาของหญิงทุคตะ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ประตูนอกเมืองพาราณสีนั้นเอง และด้วยวิบากกรรมที่เธอทำกิริยาไม่งามต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ร่างกายของเธอจึงผิดปกติ ๕ อย่าง คือ มือ เท้า ปาก ตา และจมูก เป็นหญิงอัปลักษณ์ ใครเห็นใครเมิน ใครมองก็รังเกียจ บางคนแค่เห็นหน้าก็จะอาเจียน ชาวบ้านเรียกเธอว่า ปัญจปาปี หรือหญิง ๕ บาป แต่เพราะกุศลกรรมที่ใส่บาตรด้วยดินเหนียว ผิวกายของนางจึงอ่อนนุ่มมาก ใครได้สัมผัสนางเป็นต้องหลงรักทุกคน ต่อมานางจึงได้เป็นราชินีถึงสองนคร มีสามีทีเดียวถึงสองคน
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พลั้งปากปรามาสแล้วขอขมา ยังไม่พ้นกรรม

    หลังการดับขันธปรินิพพานของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธต่างพร้อมใจกันเป็นสมานฉันท์ว่า จะสร้างมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ เพื่อให้มนุษย์ และเทวาทั้งหลายได้มาสักการะบูชา ในสมัยนั้นพระอรหันต์เถระรูปหนึ่ง เห็นว่าหน้ามุขทางด้านทิศเหนือของพระเจดีย์ยังก่อสร้างไม่เสร็จ เพราะยังขาดทองคำอยู่เป็นจำนวนมาก ท่านจึงทำหน้าที่ผู้นำบุญไปโปรดญาติโยมตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวบุญนี้ ซึ่งมีสาธุชนร่วมบริจาคทองคำมามากบ้างน้อยบ้าง ไม่มีผู้ใดที่ไม่มีส่วนร่วมในบุญครั้งนี้ เพราะผู้คนในสมัยนั้นรักการให้ทานมาก

    พระเถระได้เดินทางมาถึงบ้านของช่างทองผู้หนึ่งเพื่อบอกข่าวบุญนี้ ขณะนั้นเองช่างทองกำลังทะเลาะกับภรรยา จึงได้พูดกับภรรยาด้วยอารมณ์โกรธเคืองว่า “ เธอจงโยนพระศาสดาของเธอลงน้ำไปเสีย ” แม้ภรรยากำลังทะเลาะกับสามี เนื่องจากเป็นคนรู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงให้สติสามีว่า “ พี่ทำกรรมหนักแล้ว พี่โกรธฉันก็ควรด่าฉันสิ แต่พี่ไปว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้น มันเป็นบาปหนักนะ ”

    ช่างทองฟังดังนั้นก็ได้สติ เกิดความสลดใจ เขาขอให้พระเถระยกโทษให้ พระเถระกล่าวว่า “ ท่านไม่ได้ล่วงเกินเราหรอก แต่ท่านล่วงเกินพระบรมศาสดา ท่านจงขอขมาต่อพระองค์เถิด ” ช่างทองถามพระเถระว่า “ พระคุณเจ้าผู้เจริญ จะให้กระผมทำอย่างไรดี จึงจะให้พระศาสดาอดโทษให้ ” พระเถระจึงบอกให้ช่างทองทำหม้อดอกไม้ทองคำสามหม้อ นำไปไว้ภายในที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และให้ขอขมาโทษที่ได้กล่าวล่วงเกินพระบรมศาสดาต่อหน้าพระมหาเจดีย์

    ช่างทองทำตามคำแนะนำของพระเถระ ได้ชักชวนลูกชายคนโตให้มาช่วยกันทำ แต่ได้รับการปฏิเสธว่า “ พ่อเป็นคนว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้น พ่อทำคนเดียวเถอะ ” เขาจึงชวนลูกชายคนกลาง ก็ได้รับการปฏิเสธอีกเช่นกัน แต่เมื่อชวนลูกชายคนเล็ก ลูกคนเล็กกลับคิดว่า “ ธรรมดา กิจธุระของพ่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมเป็นภาระของลูกด้วย เพราะภารกิจของพ่อคือหน้าที่ของลูก ” ดังนั้น ลูกคนเล็กจึงช่วยพ่อทำหม้อดอกไม้ทองคำจนสำเร็จ และนำไปบูชาพระเจดีย์

    ด้วยผลกรรมที่ช่างทองได้กล่าวร้ายต่อพระบรมศาสดาผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แม้จะขอขมาและตาม เศษกรรมก็ยังตามส่งผลให้ช่างทองเมื่อเกิดมา ต้องถูกลอยนํ้าถึง ๗ ชาติ
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แค่นึกปรามาส ตกนรกแล้วเป็นโรคร้ายซ้ำสอง

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีบุรุษเป็น โรคเรื้อนชื่อว่าสุปปพุทธะ เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ ก็สมัย นั้นแล พระผู้มีพระภาคแวดล้อมไปด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ สุปปพุทธกุฏฐิได้เห็นหมู่มหาชนประชุมกันแต่ที่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้มีความดำริ ว่าหมู่มหาชนจะแบ่งของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภคอะไรๆ ให้ในที่นี้แน่แท้ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปหาหมู่มหาชน เราพึงได้ของควรเคี้ยวหรือควรบริโภคใน หมู่มหาชนนี้เป็นแน่

    ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิได้เข้าไปหาหมู่มหาชนนั้นแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคแวดล้อมด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า หมู่มหาชนคงไม่แบ่งของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภค อะไรๆ ให้ในที่นี้ พระสมณะโคดมนี้ทรงแสดงธรรมอยู่ในบริษัท ถ้ากระไร แม้ เราก็พึงฟังธรรม เขานั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งในบริษัทนั้นเอง ด้วยคิดว่า แม้เราก็จักฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดใจของบริษัททุกหมู่เหล่าด้วยพระทัยแล้ว ได้ทรงกระทำไว้ในพระทัยว่า ในบริษัทนี้ ใครหนอแลควรจะรู้แจ้งธรรม พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นสุปปพุทธกุฏฐินั่งอยู่ในบริษัทนั้น

    ครั้นแล้วได้ทรงพระดำริว่า ในบริษัทนี้ บุรุษนี้แลควรจะรู้แจ้งธรรม พระองค์ ทรงปรารภสุปปพุทธกุฏฐิตรัสอนุปุพพิกถาคือ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษแห่งกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และทรงประกาศอานิสงส์ในเนกขัมมะ เมื่อใด พระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่าสุปปพุทธกุฏฐิมีจิตควร อ่อน ปราศจากนิวรณ์ เฟื่องฟู ผ่องใส

    เมื่อนั้น พระองค์ทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่สุปปพุทธกุฏฐิในที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา เหมือนผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น ฯ
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิมีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันบรรลุ แล้ว มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งถึงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง บรรลุถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เชื่อต่อผู้อื่นใน ศาสนาของพระศาสดา ลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตาม ประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่ วันนี้เป็นต้นไป ฯ

    ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ครั้งนั้นแล แม่โคลูกอ่อนชนสุปปพุทธกุฏฐิผู้หลีกไปไม่นานให้ล้มลง ปลงเสีย จากชีวิต ลำดับนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้ สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว กระทำกาละ คติของเขาเป็น อย่างไร ภพหน้าของเขาเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิเป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และ ไม่เบียดเบียนเราให้ลำบากเพราะธรรมเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิ เป็นพระโสดาบัน เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งสาม มีความไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ฯ
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ สุปปพุทธกุฏฐิเป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว สุปปพุทธกุฏฐิเป็นเศรษฐีบุตรอยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล เขาออกไปยังภูมิเป็นที่เล่นในสวน ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าตครสิขีกำลังเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร ครั้นแล้วเขาดำริว่า ใครนี่ เป็นโรคเรื้อนเที่ยวไปอยู่ เขาถ่มน้ำลายแล้วหลีกไปข้างเบื้องซ้าย เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปีเป็นอันมาก สิ้นร้อยปี สิ้นพันปี สิ้นแสนปีเป็นอันมาก เพราะ ผลแห่งกรรมนั้นยังเหลืออยู่ เขาจึงได้เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ อยู่ใน กรุงราชคฤห์นี้แล เขาอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว สมาทานศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ครั้นอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วสมาทาน ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็น ผู้เข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาย่อมไพโรจน์ล่วงเทวดา เหล่าอื่นในชั้นดาวดึงส์นั้นด้วยวรรณะและด้วยยศ ฯ

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่ง อุทานนี้ในเวลานั้นว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงละเว้นบาปทั้งหลายในสัตว์โลก เหมือน บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกที่อันไม่ ราบเรียบเสียฉะนั้น ฯ
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วันนี้อยู่ดีๆ ก็ระลึกถึงเรื่อง "อายตนะนิพพาน" ค่ะ ก็เลยไปหาข้อมูลอ่าน นำมาฝากเพื่อนๆ ด้วยค่ะ
    จากเวป http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=438]Luangta.Com

    ความเข้าใจอายตนะนิพพาน


    ขอเมตตาหลวงตาพิจารณาความเข้าใจนี้ว่าถูกหรือไม่ ได้ยินคำว่าอายตนะนิพพานแล้ว รู้สึกว่าเป็นคำที่ใช้ได้ดีอย่างมาก คำว่าอายตนะคือ ระบบการรับรู้ จะต้องมีสองส่วนคือ สิ่งของ วัตถุ หรือ คลื่นเสียง ระบบกลิ่น ระบบรส ที่มาตกกระทบกับอวัยวะ แต่อวัยวะนั้นไม่ได้รับรู้ เพราะว่ากันตามจริงแล้ว อวัยวะไม่มีผู้รับรู้ แต่ผู้รับรู้โดยตรงคือ นามธรรมตัวหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา ปุถุชนคนทั่วไปจะเอา นามธรรมผู้รู้นี้ ปนกันระบบรู้ ปนกับร่างกายและอวัยวะ และบอกว่าเขาเป็นผู้รับรู้ เป็นผู้เห็น ผู้ได้ยิน ได้กลิ่น และลิ้มรส แต่ผู้ปฏิบัติเพื่อการรู้เห็นตามความเป็นจริงจะทราบได้ และแจกแจงได้ถึงความเป็นคนละส่วนของระบบทั้งหมด ระบบจิตล้วนๆของพระอรหันต์จะแยกออกมาอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือจากระบบทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถึงแม้จิตจะภูมิใจในความเป็นผู้รู้ล้วน ๆ ว่ารู้แล้ว ว่าระบบอายตนะภายใน ภายนอกเป็นอย่างไร และไม่ติดในความรู้ ความเห็นใด ๆ ในจิตนี้ แล้วก็ตาม แต่จิตลืมไปว่า มันยังติดอยู่ในตัวตนเองที่ยังวิจารณ์ ตัวอื่น ๆนอกเหนือตัวมัน ลืมที่จะหันมาวิจารณ์ตัวเอง เมื่อได้หันมาวิจารณ์ตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แล้ว ปัญญาจะเห็นว่า ผู้รับรู้นี้เป็นเพียง ระบบหนึ่งเหมือนกัน เป็นเพียงผู้รับรู้เท่านั้น และมีความเป็นตัวเป็นตน หลอกให้จิตเชื่อว่า เป็นตัวเป็นตนตามมันไป จิตที่เห็นความจริง จะแยกออกมาจากระบบนี้ และมีความรู้ ความเห็นอันหนึ่งเกิดขึ้น ความรู้ ความเห็นอันนี้แหละ ซึ่งรู้ความจริง ในระบบทั้งหมด รวมถึงรู้ความจริงในตัวผู้รู้มันเองด้วยเป็นอายตนะหนึ่งเดียวที่มีในจิตที่บริสุทธิ์
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบเป็นแนวธรรมศึกษาให้คุณ ไว้วันที่ ๓๑ มิถุนายน ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้

    หลวงตา : โอ๊ย.เอาละไม่อยากพูด คำว่า อายตนะนิพพาน จะรู้ได้ชัดและเข้าใจกัน มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ล้วน ๆ เท่านั้น เพราะอายตนะนิพพานเป็นสมบัติประจำท่านตลอด จ้าเข้าไปปั๊บนี่ถึงแล้วถึงกันหมดแล้ว นี่พูดเข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละอายตนะนิพพาน พอบรรลุธรรมปึ๋งถึงกันหมด นี่อายตนะนิพพานของพระอรหันต์ท่านไม่ถามกัน พวกเรามาถามนี้ เดี๋ยวเห่าไปทางนั้น เดี๋ยวเห่าไปทางนี้ เดี๋ยวไอ้หยองเห่าทางนี้เดี๋ยวไอ้ปุกกี้เห่าทางนี้ เราเลยจะต้มยำหมาไม่ไหววันนี้ เอาละพอ

    อายตนะนิพพานเป็นของเล่นเมื่อไร แต่เป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับพระอรหันต์เท่านั้น พูดอย่างนี้พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ พอบรรลุธรรมปึ๋งอายตนะนิพพานถึงกันหมด นั่นเห็นไหม นี่ละอายตนะนิพพานโดยแท้เป็นอย่างนี้ อย่างอื่นก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละ ที่จ้าขึ้นเลยทันทีไม่ต้องถามกัน ทุก ๆ องค์บรรดาสิ้นกิเลสด้วยกันแล้วก็คือ พระอรหันต์เท่านั้น เป็นผู้ทรงอายตนะนิพพานสมบูรณ์แบบ เข้าใจไหม แล้วจะมีข้อคัดค้านตรงไหนอีกล่ะว่ามาซิ

    โยม : ขอให้มีอายตนะนิพพาน จะได้เข้าใจกว่านี้
    หลวงตา : ก็พูดแล้วนี่ อายตนะนิพพาน เช่น พระอรหันต์นี่นะ เช่น สมมุติหลวงตาบัวขึ้นเป็นพระอรหันต์ นี่ก็อายตนะนิพพาน แน่ะ ก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ นี่ตุ๊กตาเข้าใจไหม มันก็เท่านั้นเองจะว่าอะไรอีก พูดขนาดนั้นแล้วยังไม่เข้าใจ นี่ละธรรมประเภทที่ท่านก็พูดออกมาสำหรับปุถุชนเรานี้ไม่เข้าใจเลย อันนี้เราแน่นอนไม่เข้าใจเลย จะพูดแยกไปไหนก็ไม่เข้าใจ พอว่า อายตนะนิพพาน พระอรหันต์ทรงไว้สมบูรณ์แบบทุกองค์ ถึงกันหมดทันที อันนี้เข้าใจด้วยกันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ พอผางเข้าจุดนั้นแล้วเป็นอายตนะนิพพานด้วยกันหมดเลย เข้าใจเหรอ ท่านไม่สงสัยกันเลย ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าว่ามีมากมีน้อยเพียงไร แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่สงสัยพระอรหันต์ เพราะเป็นอายตนะนิพพานด้วยกัน สงสัยกันหาอะไร แน่ะเท่านั้น
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นานๆ แวะมากระทู้นี้สักครั้งค่ะ นำเรื่องวิปัสสนาภูมิ 6 มาฝากกัน

    พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี (พระครูกเกษมธรรมทัต) ท่านได้กล่าวว่า "วิปัสสนาภูมิ ก็หมายถึง พื้นที่กระทำวิปัสสนา หรือกรรมฐานของวิปัสสนา หรือ อารมณ์ของวิปัสสนา หมายความว่า การเจริญวิปัสสนานั้นต้องกำหนดรู้อยู่ที่วิปัสสนาภูมิ" และท่านใช้คำว่า ''ทางสายนิพพาน''หมายถึงว่าผู้ปฏิบัติที่กำลังจริญวิปัสสนาภูมิ ๖ นั้นเรียกว่ากำลังเดินอยู่บนถนนที่เรียกว่าทางสายนิพพานนั้นเอง

    ดังนั้น วิปัสสนาภูมิ ๖ จึงเป็นหัวใจ เป็นฐานของการปฏิบติวิปัสสนากรรมฐานที่ชาวพุทธผู้มุ่งสู่ความหลุดพ้นควรทำความเข้าใจเป็นพื้่นฐานก่อนปฏิบัติ

    ที่กล่าวว่าควรทำความเข้าใจเป็นพื้่นฐานก่อนปฏิบัติ หมายถึงว่า หากพระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนเรื่องอารมณ์กรรมฐานไว้ สัตว์โลกส่วนใหญ่จะเจริญวิปัสสนาไม่เป็น จะไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าจะกำหนดอารมณ์อะไรในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อไม่เข้าใจก็จะกำหนดไปอย่างผิดๆ

    พระองค์เป็นคนแรกในโลกที่ชี้ให้เราเห็นว่าความเป็นจริงหรือธรรมชาติ คือกาย และใจนี้ประกอบไปด้วย อายตนะ ๑๒ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ หากเห็นนอกไปจากนี้เป็นอวิชชา ปุถุชนผู้ได้ขัดเกลากิเลสตัณหาให้เบาบางลงไปได้บ้าง แต่หากยังมิได้ดับกิเกสตัณหาเป็นสมุทเฉท(ดับสนิทถาวร คือพระอรหันต์) ก็ยังมีอวิชชานองเนื่องอยู่ในสันดาน

    ธรรมชาติ หรือความจริงเหล่านี้หากท่านไม่แสดงไว้ เราก็ไม่อาจเข้าใจได้ ดังนั้นหากไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ เราจะไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเรื่องรูปนามขันธ์ห้า กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นต้น เลย

    ผู้ที่จะสามารถตรัสรู้ได้โดยไม่ต้องได้ยินได้ฟังคำสอนจากพระพุทธเจ้านั้นมีเพียงพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระปัจเจกพระพุทธเจ้าคือ ผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญบารมีมามากจนสามารถตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเองโดยมิได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วก็รู้ว่าได้ละอวิชชาแล้ว แต่ไม่สามารถสั่งสอนใครให้รู้ตามได้ เพียงแต่ได้ละกิเลส แต่ไม่สามารถสอน หรืออธิบายให้ผู้อื่นรู้ตาม

    ต่างกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านได้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง และสามารถสั่งสอนสัตว์ให้รู้ตามได้

    ที่ครูอาจารย์สอนเรื่องการกำหนดรู้กายก็ดี การกำหนดรู้ความคิดก็ดี การมีสติระลึกรู้ความรู้สึกในจิต เป็นต้นก็ดี เหล่านี้ก็คืออารมณ์ในวิปัสสนาภูมิทั้ง ๖ ทั้งสิ้น แต่ด้วยพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธองค์ ท่านจึงทรงแสดงไว้ทั้งโดยย่อ(ง่่าย) และโดยละเอียดพิสดารเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ปฏิบติจะเข้าใจได้ตามสติปัญญาบุญบารมี ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้ปฏิบัติต้องรอบรู้ในวิปัสสนาภูมิครบทั้ง ๖ จึงจะสามารถมีดวงตาเห็นธรรม เพียงแต่กำหนดรู้ภูมิใดภูมิหนึ่งอย่างถูกต้องต่อเนื่อง วิปัสสณาญาณก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ สามารถเกิดปัญญาเห็นแจ้งในไตรลักษณ์
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ทำไมจะปฏิบัติไปเลยไม่ได้หรือ ทำไมมันเยอะแยะ ตั้ง ๖ ภูมิ ก็ดูกายดูใจไปแค่นี้มิได้หรือ

    คำตอบก็คือ ได้ หากมีความรู้ความเข้าใจ (สุตตมยปัญญา และจินตามยปัญญา) โยโสมนสิการได้ตรงทางธรรมเป็นพื้นฐานก่อนว่า ธรรมชาติของกาย ใจนั้นเป็นอย่างไร
    มีผู้ปฏิบัติหลายท่านบอกกับข้าพเจ้าว่า ปฏิบัติด้วยการดูจิต ข้าพเจ้าถามว่าดูอย่างไร
    เขาตอบว่าโกรธก็รู้ อยากก็รู้ คิดก็รู้ คิดไม่ดีก็รู้ คิดดีก็รู้ เป็นต้น

    ข้าพเจ้าถามว่า แล้วตอนที่จิตเฉยๆ รู้ไหม
    เขาบอกว่าไม่เคยดู

    เมื่อถามว่าเวลาทำความดี สงสาร ช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำบุญเป็นต้น แล้วเคยดูจิตไหม เห็นจิตอย่างไร
    เขาตอบว่า เห็นว่าจิตรู้สึกดี มีความสุข รู้ว่าจิตเป็นกุศลทำนองนี้

    ถามต่อไปว่าขณะที่กำลังทำความดี สงสาร ช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำบุญนั้น ไม่เห็นจิตที่กำลังมีศรัทธา เมตตา กรุณาหรือ เห็นไหมว่าธรรมชาติของจิตที่กำลังศรัทธา กำลังมีเมตตา กำลังกรุณาเป็นอย่างไร และเป็นธรรมชาติที่แตกต่างกันไหม หรือเห็นว่าเป็นเหมือนๆกันไปหมด
    เขาตอบว่าก็เห็นแค่ว่าใจสบาย จิตแจ่มใสเบิกบานเป็นกุศล

    จะเห็นได้ว่า มีผู้ปฏิบัติจำนวนมากที่คิดว่าการเจริญวิปัสสนานั้น ถ้ามีสติยู่ที่กายที่ใจอย่างนี้ก็พอ ที่จริงจะว่าพอก็พอ แต่จะว่าไม่พอก็ไม่พอ เพราะสำหรับผู้มีปัญญามีบุญบารมีสะสมมามากในอดีตชาตินั้น ไม่ต้องศึกษามากเพียงกำหนดดูกายดูใจก็สามารถเห็นแจ้งในธรรมที่ละเอียดได้เอง เรียกว่าดูกายก็เข้าใจได้ว่าประกอบไปด้วยธาตุ อายตนะ อินทรีย์ เห็นจิตก็เข้าใจว่าจิตที่เป็นกุศลมีอยู่ ที่เป็นอกุศลมีอยู่ และที่เป็นกลางๆ ก็มีอยู่ และเห็นว่าโลภะอันเป็นอกุศลจิตนั้นเป็นธรรมชาติที่มีลักษณะแยกย่อยออกไปได้อีก เช่น จิตที่อยากได้อยากเป็นก็เป็นโลภะ และแม้แต่จิตที่ไม่อยากได้ไม่อยากเป็นก็เป็นโลภะเช่นกัน ธรรมชาติทั้งสองนี้เรียกว่าโลภะแต่มีลัษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน (วิเศษณลักษณะ)
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [​IMG]

    ลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน (วิเศษณลักษณะ) ของรูปนาม หรือกายใจนี้เป็นเรื่องสำคัญ
    ผู้ปฏิบัติที่ไม่เห็นวิเศษณลักษณะ จะไม่สามารถเข้าถึง พระไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้เลย ต้องเห็นวิเศษณลักษณะก่อน พระไตรลักษณ์จึงปรากฏ พระไตรลักษณ์ไม่ใช่ธรรมที่เรากำหนดให้มีให้เป็นได้ แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเองและดับไปเองตามเหตุปัจจัย กล่าวคือเมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดรู้ที่กายที่ใจอยู่เนื่องๆ จนเห็นว่ากายนี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกันกับใจ การที่เข้าไปเห็นว่ากายมีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างไปจากใจ เรียกว่าได้เห็นวิเศษณลักษณะของรูป นาม (รูปธรรม นามธรรม หรือเรียกง่ายๆ ว่ากายใจ) เมื่อนั้นก็เห็นพระไตรลักษณ์ แต่ตอนนั้นยังเห็นกายเป็นกลุ่มเป็นก้อน(หรือเป็นธรรมชาติ)หนึ่ง เห็นใจเป็นอีกกลุ่มเป็นก้อนหนึ่ง(หรือเป็นธรรมชาติ)ที่แตกต่างกัน ต่อเมื่อปฏิบัติต่อไป เมื่อวิปัสสนาเจริญขึ้นก็อาจเห็นว่ากายนี้ก็มิได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนแต่รูปกับนาม แต่ประกอบไปด้วยธาตุต่างๆ หรืออายตนะต่างๆ เป็นต้น และเข้าใจต่อไปว่า ธาตุแต่ละธาตุที่ประกอบเป็นกายก็มีวิเศษณลักษณะที่แตกต่างกัน ธาตุดินก็มีลักษณะที่แตกต่างไปจากธาตุไฟ เป็นต้น ส่วนจิตก็มิได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน กล่าวคือเห็นว่าจิตมิได้มีดวงเดียว จะเห็นการเกิดดับของจิตที่เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ จิตแต่ละดวงก็มีวิเศษณลักษณะที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นจิตมีความอิจฉา กับจิตที่หวงแหนสิ่งของหรือคุณความดีของตนเองมิอยากแบ่งปันให้ผู้อื่นนั้น จิตสองอย่างนี้คือโทสะ แต่ทั้งสองก็เป็นธรรมชาติที่แตกต่างกัน ความรู้สึกอิจฉา กับความรู้สึกหวงแหน ก็ต่างกันโดยวิเศษณลักษณะ แต่ก็นับว่าเป็นอกุศล คือโมหะ

    นี้เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นได้เองในผู้ปฏบัติ สำหรับท่านที่ไม่เคยศึกษาพระธรรม เมื่อเห็นธรรมชาติใดในกายในใจแล้วก็อาจเรียกชื่อไม่ถูก เพราะขณะที่ปัญญาเกิดขึ้นนั้นเป็นสภาพรู้ที่ไม่มีบัญญัติ ไม่มีชื่อเรียกหรอกว่านี้คือโลภะกำลังดับ แล้วโทสะก็กำลังเกิดต่อกันนะ อะไรอย่างนี้ไม่มี ไม่มีความนึกคิดไม่มีภาษาว่าคืออะไรว่าอะไรเกิดอะไรดับ แต่ก็เข้าใจในสภาวะ มีสภาพรู้ว่ามีสิ่งหนึ่ีงเป็นธรรมชาติที่ดับไป แล้วมีอีกธรรมชาติหนึ่งที่ (มีลักษณะ) แตกต่างกันเกิดขึ้นติดต่อกัน แล้วก็ดับไปเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (สามัญญลักษณะ)

    แต่สำหรับท่านที่ได้ศึกษาพระธรรมมาบ้าง เมื่อจิตเริ่มคิดเริ่มนึก ก็สามารถทบทวนเปรียบเทียบความรู้ทางปริยัติกับการปฏิบัต ก็จะมีความเข้าใจปริยัติยิ่งขึ้น
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [​IMG]

    แล้วปริยัติล่ะ เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติอย่างไร

    ผู้คนจำนวนมากศรัทธาเหลือเกิน มีฉันทะที่จะศึกษาปริยัติ มีพระอภิธรรมเป็นต้น แต่ไม่สนใจการปฏิบัติ หรือไม่สามารถนำความรู้ในพระธรรมมาใช้ปฏิบัติได้ ความรู้ที่ได้จากการศึกษาพระธรรมนั้น เป็นเสมือนแผนที่ เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติให้ข้ามโอฆะได้จริง (โอฆะแปลว่าห้วงน้ำ หมายถึงกิเลส 4 ประเภทคือกาโมฆะ(กาม) ภโวฆะ(ภพ) ทิฏโฐฆะ(ทิฏฐิ) อวิชโชฆะ(อวิชชา) ว่าเป็นเหมือนห้วงน้ำ)

    และความรู้ที่พระองค์ทรงรู้ก่อนแล้วนั้น เราก็สามารถรู้ตามได้จริงหากปฏิบัติอย่างถูกต้องจนเกิดปัญญา เมื่อนั้นความเข้าใจในธรรมจะกว้างขวางพิสดาร (พิสดารหมายถึงลึกซึ้งละเอียดละออ) และสามารถชี้แจงแนะนำผู้อื่นได้เพราะมีความรู้ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ จึงใคร่สนับสนุนให้นักปฏิบัติได้ศึกษาพระธรรมบ้าง อย่างน้อยในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อที่จะได้รู้จักแผนที่ทางเดินที่ถูกต้อง ไม่เสียเวลาเดินทางผิดหรือเดินทางอ้อม และจะได้เป็นกำลังหนึ่งในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะการศึกษาพระธรรมโดยมิได้ปฏิบัตินั้้น ก็รู้ ก็เข้าใจเป็นส่วนๆ เรียกว่าแตกฉานในพระธรรมในหมวดต่างๆ แต่ไม่เข้าใจว่าธรรมนั้นๆมีลักษณะสภวะของการปฏิบัติที่รู้ได้เห็นได้เป็นอย่างไร อีกประการหนึ่งคือ ผู้ที่ีศึกษาพระธรรมมากๆ แล้วไม่ปฏิบัติ บางท่านบางทีก็พูดธรรมะแล้วคนฟังฟังไม่รู้เรื่อง คือถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้ หรือฟังดูว่าเป็นเพียงแค่ความรู้ในตำรา หรือท่องจำ

    สำหรับผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติ เวลาปฏิบัติก็ควรวางความรู้ต่างๆไว้ก่อน เพียงกำหนดรู้กายใจที่เป็นปัจจุบัน ก็จะเกิดความเข้าใจในธรรมด้วยภาวนามยปัญญา แล้วจะอุทานใจใจว่า โอ้! ที่พระองค์ทรงแสดงไว้อย่างนี้ๆๆๆๆๆ ที่เรียนมามันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันเห็นได้จริงอย่างนี้นี่เอง มันตรงกับพระธรรมที่ได้ศึกมาอย่างเถียงไม่ได้เลย เมื่อทบทวนความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติและความรู้ที่ได้จากการศึกษาแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าทำไมพระธรรมจึงเป็นพระสัทธรรม เป็นความจริงที่ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเองโดยไม่จำกัดกาล เห็นว่าปัญญาจาการปฏิบัติขัดเกลากิเลสได้จริง และเห็นว่ายังมีกิเลสอีกมากที่นองเนื่องอยู่ข้างใน แล้วจะรู้สึกซาบซึ้งในคำสอนว่าแม้เราปฏิบัติแล้วมีความรู้ความเข้าใจธรรมเกิดขึ้นเพียงส่วนนิดเดียวเท่านี้ เรายังเห็นได้ว่าธรรมที่ท่านสอนไว้แล้วนั้นเป็นจริง เห็นได้จริงเช่นนี้ ๆ ก็จะรู้สึกไม่สงสัยในคำสอนอีกต่อไป คำสอนอื่นๆ ที่ละเอียดๆ ยิ่งขึ้นไปที่ได้ศึกษามา แม้ยังไม่สามารถรู้ได้เห็นได้ แต่ก็เกิดศรัทธาอย่างมากมายที่ปฏิบัติให้เห็นเองอยู่เนืองๆ ด้วยปัญญา จะระลึกรู้สึกถึงพระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งหาประมาณมิได้ จะถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ

    การศึกษาพระธรรมจึงเกื้อกูลต่อการปฏิบัติอย่างมาก อย่างน้อยเราชาวพุทธ ก็น่าจะมีความรู้ความเข้าใจศึกษาเรื่อง จิต เจตสิก รูป สติปัฏฐานสี่ มรรคมีองค์แปด วิปัสสนาภูมิ เพียงเท่านี้ก็พอที่จะดูแผนที่เป็น เดินถูกทาง แต่ทั้งนี้ข้าพเจ้าองก็เคยพลาด คือเวลาปฏิบัติก็ไม่วางความรู้จากการศึกษา ยังใคร่ครวญคิดนึกถึงปริยัติที่เรียนมา หากไม่มีครูอาจารย์แนะนำ ก็คงเสียเวลาอีกเนิ่นนาน เรื่องมีอยู่ว่า
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ข้าพเจ้าเคยกราบถามพระวิปัสสนาจารย์ ขณะเข้ากรรมฐานว่า ข้าพเจ้าได้เห็นแล้วว่าขันธ์ ๕ คือกาย ใจนี้เป็นธรรมที่แตกต่างกัน และเป็นอนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้ (การเห็นกายใจเป็นอนัตตาในความหมายว่าเป็นสภาพที่บังคับไม่ได้ ต่างจากการเห็นว่ากาย ใจเป็นอนัตตาในความหมายว่าไม่มีตัวตน) ข้าพเจ้าคิดว่าจะพิจารณาธาตุเป็นลำดับต่อไป จะต้องปฏิบัติอย่างไร

    ตอนนั้นข้าพเจ้ายึดติดในวิชาที่ได้เรียนมาเรื่องวิปัสสนาภูมิ ว่าวิปัสสนาภูมิมี ๖ ข้าพเจ้าก็ปรุงแต่งไปเองว่า อ้อ! หากเราจะเดินทางสายนี้ให้ถึงที่สุด ก็ต้องเดินทางนี้ จะเจริญวิปัสสนาภูมิ ๖ นี้แหละ ให้ครบเลย เพื่อให้วิปัสสนาเจริญขึ้น คิดเอาเองว่าผู้ที่จะมีดวงตาเห็นธรรมนั้น ต้องรู้หมดทั่วถ้วนทั้ง ๖ ภูมิ

    เมื่อพระอาจารย์ คือพระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี ได้ยินข้าพเจ้าถามเช่นนั้น ท่านก็อมยิ้ม เหมือนขันลูกศิษย์นิดๆ แล้วท่านก็ตอบว่า พระพทุธองค์ท่านไม่ได้หมายความว่าต้องดูทั้งหมด ๖ ภูมิ กำหนดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งให้ถูกต้องก็เข้าถึงธรรมได้แล้ว ที่ท่านทรงแสดงไว้ ๖ ภูมิก็เพื่อเกื้้อกูลต่อสัตว์โลกที่ต่างกันทั้งปัญญา และบารมีที่สั่งสมมา

    แล้วท่านก็เมตตาแนะนำต่อไปว่า "ต้องเห็นอนัตตา โดยความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน"

    ประโยคเดียวแค่นี้แหละ ท่านชี้แนะแค่นี้แล้วท่านให้ปฏิบัติต่อไปเอง

    จนคืนสุดท้ายของการปฏิบัติ ท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องธาตุ ๑๘ และอนัตตา ปัญหาก็คือ จะปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เข้าใจในธรรมนั้นจริงๆ พระอาจารย์ก็ให้ดูกายดูใจดูสภาวธรรมไปเหมือนที่กำลังปฏิบัติอยู่นั่นแหละ ลูกศิษย์ก็งงไปซิ ว่าดูเพียงกายใจแค่นี้เแล้วจะเห็นได้อย่างไรว่ากายใจนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ความเข้าใจก็เข้าใจแล้วตามที่ฟังมาว่ากายใจไม่ใช่ของเรา แต่พอยกแขนขึ้นมาดูก็ยังเห็นเป็นรูปเป็นร่างเป็นแขน และเป็นแขนของเรา เป็นตัวเป็นตนของเราอยู่ดี

    แต่นั่นแหละ ต่อมาข้าพเจ้าจึงทราบว่านี้คือหัวใจของการปฏิบัติ เพราะผู้ที่มุ่งมั่นมาก โดยเฉพาะขณะเข้ากรรมฐานนั้นก็จะยิ่งมีธรรมตัณหามาก อยากรู้อยากเห็นธรรมมาก ยิ่งอยากรู้ก็จะไม่รู้ ยิ่งอยากเห็นก็จะไม่เห็น ยิ่งอยากบรรลุธรรมก็จะไม่บรรลุธรรม เพราะเราแค่ท่องจำอนัตตา เรายังไม่ยอมรับในใจจริงๆ ว่าเราไม่สามารถบังคับบัญชาสิ่งใดๆได้ ที่จริงอนัตตาเขาแสดงตนอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เห็นเพราะอัตตาของเรามันบังมิดด้วยอวิชชา ความเข้าใจเรื่องอนัตตาที่ได้จากการฟัง การใคร่ครวญ จึงเป็นเพียงเรื่องของโยโสมนสิการ แต่จะปฏิบัติอย่างไร จะวางใจอย่างไรเล่าที่จะทำให้เห็นอนัตตาโดยความไม่ใช่ตัวตนด้วยปัญญา นี้เป็นเรื่องที่บอกกันไม่ได้เพราะเป็นเรื่องใจของผู้ปฏิบัติในขณะนั้นคนเพียงเดียว

    ครูอาจารย์ท่านเป็นผู้ชี้แนะ เป็นผู้ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อประคับประคองให้ลูกศิษย์เดินไม่ผิดทาง แต่เราต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ต้องเดินไปเอง ด้วยตัวของเราเอง ครูอาจารย์่ท่านสอนมาแล้ว เราต้องพิจารณา ใคร่ครวญพลิกแพลง พลิกหน้าพลิกหลัง พลิกซ้ายพลิกขวาด้วยความแยบคายให้ถ้วนทั่ว แต่ละคนก็จะมีความสามารถต่างกัน แล้วข้าพเจ้าก็พบว่าการมีสติกำหนดรู้กายใจให้ตรงสภาวะเท่านั้นยังไม่พอ ผู้ที่มีสติรู้กายอย่างต่อเนื่องแต่จิตตกไปสู่สมาธิก็มีมาก ส่วนผู้ที่รู้ใจ รู้เท่าทันจิต เท่าทันใจ ใจคิดก็รู้ทัน ใจนึกก็รู้ทัน ใจมีอาการ รู้สึกอย่างไรก็รู้ทัน แต่ยิ่งรู้ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งดูจิตดูใจก็ยิ่งฟุ้งซ่านก็มี
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การปฏิบัติจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ใช่เพียงแค่ดูอะไร ครูอาจารย์สอนว่าให้ดูกายดูใจ เราก็รู้ว่าเราควรจะต้องดูอะไร คือดูกายดูใจ ดูอะไรนั้นใครๆ จึงดูได้ แต่ดูอย่างไรนี่ซิสำคัญกว่า ''ดูอย่างไร'' นี้แหละเป็นวิธีการปฏิบัติที่จะช่วยให้เกิดปัญญา วิธีว่าจะดูอย่างไรนี้่มักแฝงอยู่ในคำสอนของบรมครูอาจารย์ทั้งหลาย ไม่ว่าหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อพุธ เจ้าคุณนรฯ หลวงปู่ชา เป็นต้น ท่านทั้งหลายล้วนสอนเสมอว่าดูอย่างไร ท่านสอนแล้ว สอนแบบตรงๆ บ้าง แบบต้องตีความบ้าง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องแสวงหาความรู้กันเอง

    สำหรับข้าพเจ้านั้น เมื่อปฏิบัติต่อๆ ไป ก็พบว่า (อันนี้เป็นไปเฉพาะตน มิได้มีคำสอนรับรอง)วิปัสสนาภูมิ ๖ นั้น เหมือนกับจะเรียงไว้ตามลำดับให้พิจารณาจากธรรมที่รู้ง่ายไปสู่ธรรมที่ละเอียดและรู้ได้ยากขึ้น ดังเช่น ผู้ปฏิบัติที่เริ่มปฏิบัตินั้น ครูอาจารย์ก็มักแนะนำให้ดูกายดูใจคือขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เป็นเบื้องต้นนั่นเอง เพราะเป็นธรรมที่เรามักคุ้นเคย เรามักได้ยินได้ฟังพระสงฆ์สอนเรื่องขั้นธ์ ๕ หรือได้อ่านมาบ้าง (อย่างน้อยๆ ก็เคยได้ยินชื่อ)

    ส่วนเรื่อง ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่เรามักจะไม่ค่อยคุ้นเคย ผู้ปฏิบัติบางท่านก็เห็นว่าเป็นเรื่องยาก หรือสนใจให้ทราบเพียงว่าธรรมแต่ละหมวดมีอะไรบ้าง แต่ที่สนใจศึกษาเพื่อนำมาปฏิบัตินั้นมีส่วนน้อย ทั้งๆ ที่เป็นอารมณ์กรรมฐานที่ตรง และเห็นได้เข้าใจได้จริง

    ผู้ที่ศึกษาพระธรรมมาบ้าง (ไม่ว่าในอดีตชาติ หรือปัจจุบันชาติ) มีความเข้าใจเรื่องอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ ก็สามารกำหนดรูปนาม คือดูกายดูใจโดยละเอียดขึ้นไปในลักษณะของความเป็นอายตนะ เป็นธาตุ เป็นอินทรีย์ได้ เช่นอายตนะก็มีอายตนะภายในและภาายนอกได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น กายประสาทเป็นรูป และมีใจ กับธรรมารมณ์เป็นนามเป็นต้น
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ส่วนอริยสัจ ๔ ประการนั้น ทรงแสดงไว้ว่า ทุกข์เป็นธรรมที่ต้องกำหนดรู้ เพียงแค่ข้อเดียวนี้ฟังดูสั้นแต่แฝงไปด้วยธรรมที่ละเอียดยิ่งนัก ก่อนอื่นผู้ปฏิบัติก็ควรต้องมีความรู้จากการฟังว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่าอะไรเป็นทุกข์ หรืออีกนัยหนึ่ง ทุกข์มีอะไรบ้าง ถ้าไม่รู้ ก็เหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน เมื่อคนที่ไม่รู้จักกันเห็นกันก็ไม่รู้จักกันว่าใครเป็นใคร เสมือนเรารู้ว่าเราต้องกำหนดรู้ทุกข์ แต่เราไม่รู้ว่าทุกข์มีหน้าตาอย่างไร เมื่อไม่รู้จักก็กำหนดรู้ไม่ได้ การกำหนดรู้ทุกข์ที่เห็นได้ง่ายๆ โดยกำหนดเห็นเป็นกลุ่มก้อนเช่นร่างกายนี้เป็นทุกข์ก็ได้ หรือเห็นใจที่มีโทสะ (อกุศล หยาบ เห็นง่าย) เป็นทุกข์ก็ได้ โดยเบื้องต้นก็อาจจะกำหนดรู้ทุกข์อันได้แก่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความเศร้าโศก ความพร่ำเพ้อพิไรรำพัน ความไม่สบายใจ ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบไม่พอใจ ความพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ ความผิดหวังไม่ได้ตามที่ต้องการเหล่านี้เป็นต้น

    ต่อเมื่อได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไปก็จะมีปัญญาเห็นกุศลธรรม และอพยากตธรรมเป็นทุกข์ ในลักษณะที่ว่าแม้แต่จิตที่เป็นกุศลเช่น ศรัทธา เมตตา กรุณา ฉันทะ วิริยะ หิริ โอตตัปปะ หรือแม้แต่จิตที่ไม่เป็นกุศลและไม่เป็นอกุศล (อพยากตะ) คือจิตที่เฉยๆ เป็นอุเบกขาล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ทุกข์เพราะมีความเกิดดับแปรเปลี่ยนไป เป็นสังขารธรรมคือเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับไปเองเป็นธรรมดา เช่นนี้

    ส่วนที่ทรงแสดงไว้ว่า สมุทัยคือตัณหาเป็นธรรมที่ต้องละนั้น ท่านก็สอนให้รู้ว่าตัณหาเป็นธรรมที่เราต้องกำจัด ไม่ใช่ทำให้เจริญ แต่การละหรือกำจัดตัณหาให้หมดจรดนั้นต้องเป็นไปด้วยภาวนามยปัญญา มิใช่ด้วยการคิดเอานึกเอา ซึ่งหมายความว่าผู้ปฏิบัติเพียงกำหนดรู้ทุกข์จนเกิดปัญญา แล้วปัญญาที่เกิดจากการกำหนดรู้ทุกข์นั้นแหละจะทำให้เกิดผลของการปฏิบัติ คือการละตัณหา ดังนั้นตัณหาที่ละได้เป็นลำดับนัน เป็นผลของการปฏิบัติที่ถูกต้องจากการกำหนดรูั้ทุกข์นั่นเอง หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือเพียงแค่กำหนดรู้ทุกข์ จนเห็นด้วยปัญญาว่ารูปนามเป็นเพียงธรรมชาติที่เป็นทุกข์แปรปรวนเปลี่ยนแปลงบังคับไม่ได้ เห็นดังนี้ก็ละตัณหาไปในตัวเอง ดังนั้นการละตัณหาจึงไม่ใช่ว่าเราจะไปกำหนดละเองตามอำเภอใจได้

    อาจมีนักศึกษาพระอภิธรรมแย้งว่า ในพระอภิธรรมนั้น ท่านแสดงเรื่องอริยสัจสี่ไว้ว่า ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (สมุหทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์) กล่าวคือ ตัณหาเป็นเหตุ ทุกข์เป็นผล ดังนั้นจะดับทุุข์ก็ต้องดับที่เหตุคือดับตัณหา เมื่อเหตุคือตัณหาดับ ทุกข์ก็ไม่เกิด หากเป็นดังนี้แล้วไซร้ ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าตัณหาเป็นผลของการปฏิบัติในย่อหน้าข้างบนนี้ก็ขัดกันกับคำสอนของพระองค์ซิ
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คำอธิบายในส่วนนี้คือ ที่ท่านอธิบายในพระอภิธรรมนั้นเป็นคำอธิบายตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ว่าด้วยเรื่อเหตุปัจจัยของการเกิดดับของรูปนามในสังสารวัฏว่า สิ่งนี้เป็นปัจจัยให้สิ่งนี้เกิด เมื่อสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด ท่านแสดงวงจรให้เห็นว่าสิ่งใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สิ่งใดเกิด ในทางเดียวกันก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าเมื่อเหตุดับ ผลก็ดับไปตามลำดับ

    เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับนั้น เป็นคำอธิบายปฏิสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย ให้ทราบว่าการที่จะดับทุกข์ได้นั้นต้องดับที่ใด นั่นคือดับที่เหตุ คือให้ละเสียซึ่งอวิชา ตัณหาอุปาทาน

    ตอนนี้เราก็รู้ก็เข้าใจแล้วว่า เราต้องดับที่เหตุ คือละตัณหา รู้ดังนี้เปรียบเสมือนมีแผนที่นำทางเดินไปเพื่อออกจากทุกข์ นี้เป็นความเข้าใจด้านปริยัติ

    คำถามต่อไป คือ ในทางปฏิบัติ เราจะดับเหตุ คือละตัณหาได้อย่างไร
    เรื่องนี้เป็นเรื่องของ " วิธี "ปฏิบัติ ซึงก็ต้องย้อนไปที่อริยสัจ ๔ อีกครั้ง และเป็นไปตามที่พระพุธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ สมุหทัยคือตัณหาเป็นสิ่งที่ต้องละ นี้แหละวิธีการปฏิบัติ กำหนดรู้ทุกข์แล้วปัญญาในมรรคจะประหาณตัณหาไปเป็นลำดับ

    ดังนั้นในย่อหน้าข้างต้นที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าการละตัณหาได้นั้นเป็นผลของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าหมายถึงสภาวะของการปฏิบัติซึ่งมีปริยัติรองรับ จึงมิได้ขัดกับคำสอนของพระพุทธองค์

    สุดท้ายคือเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจในอริยสัจแล้ว ย่อมเห็น ย่อมเข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย ย่อมเข้าใจปฏิจจสมุปบาท เมื่อเห็นธรรมใดๆ ก็เห็นเหตุปัจจัยในธรรมนั้นๆ เหมือนเป็นธรรมคู่กัน

    หากท่านได้อ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดนี้ ท่านคงเห็นด้วยกับข้าพเจ้าว่า พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้นประณีตละเอียดลึกซึ้งนัก แต่ต่อให้ได้ศึกษามากมายจนจบอภิธรรมบัณฑิต เป็นต้น หากมิได้นำความรู้มาปฏิบัติ ความรู้ก็เป็นแต่เรื่องท่องจำหมวดหมู่หัวข้อธรรม ซึ่งยากยิ่งที่จะจดจำ และเป็นความรู้ที่คงที่อยู่แค่ในตำรา จะพูดจะสอนจะแนะนำใคร ก็เป็นไปได้เพียงในตำรา เรียกว่าใช้ประโยชน์ในความรู้นั้นไม่เต็มที่ เมื่อได้ลงมือปฏิบัติแล้วไซร้ ความรู้เหล่านั้นจะประสานกลมกลืนกับการปฏิบัติให้แตกฉานทั้งแนวดิ่งและแนวราบ และยิ่งปฏิบัติก็จะยิ่งเห็นกิเลสอันหนาเตอะที่สั่งสมอยู่นี้

    โดยสรุปของการปฏิบัติก็คือ มีสติกำหนดรู้รูปนามให้ตรงสภาวะ อย่างเป็นธรรมชาติ ปล่อยวางเป็นกลางและเป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง


    อนุโมทนาท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ

    อนาลยา

    คัดลอกจาก..."โลก" ในทางพระพุทธศาสนา และ วิปัสสนาภูมิ ๖ - วิปัสสนาภูมิ
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สุตตันตภาชนีย์ - เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร

    สุตตันตภาชนีย์ - เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร

    พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน

    [เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร]
    [๕๐๖] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วย ฉันทสมาธิปธานสังขารเป็นอย่างไร
    ถ้าภิกษุทำฉันทะให้เป็นอธิบดีแล้วจึงได้สมาธิ ได้เอกัคคตาแห่งจิต สมาธินี้เรียกว่า
    ฉันทสมาธิ ภิกษุนั้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคองจิตไว้

    ทำความเพียร เพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม

    ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียรเพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว

    ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อสร้างกุศลธรรม

    ที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้

    ทำความเพียร เพื่อความดำรงอยู่ ความไม่สาบสูญ ความภิยโยยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ

    ความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว สภาวธรรมเหล่านี้ เรียกว่า ปธานสังขาร

    ฉันทสมาธิและปธานสังขารดังกล่าวมานี้ ประมวลย่อ ๒ อย่างนั้นเข้าเป็นอันเดียวกัน
    ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า ฉันทสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [๕๐๗] ในบทเหล่านั้น ฉันทะ เป็นไฉน
    ความพอใจ การทำความพอใจ ความใคร่เพื่อจะทำ ความฉลาด ความพอใจในธรรม
    นี้เรียกว่า ฉันทะ

    สมาธิ เป็นไฉน
    ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิต
    ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ สมาธินทรีย์สมาธิพละ สัมมาสมาธิ

    อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ

    ปธานสังขาร เป็นไฉน
    การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความตั้งหน้า
    ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมั่นความก้าวไปอย่างไม่

    ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้งธุระ ความประคับประคองธุระไว้ด้วยดี

    วิริยะ วิริยินทรีย์ วิริยพละ สัมมาวายามะ อันใดนี้เรียกว่า ปธานสังขาร

    ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว เข้าไปถึงแล้วด้วยดี เข้ามาถึงแล้ว เข้ามาถึงแล้วด้วยดี
    เข้าถึงแล้ว เข้าถึงแล้วด้วยดี ประกอบแล้วด้วยฉันทะ สมาธิ และปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้

    ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [๕๐๘] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี
    ความได้ ความได้อีก ความถึง ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง

    ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น

    คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์วิญญาณขันธ์
    ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น

    คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น
    ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท


    คัดลอกมาจาก https://th.wikisource.org/wiki/สุตตันตภาชนีย์_-_เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร
     

แชร์หน้านี้

Loading...