>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "พระราชปุจฉาธรรม ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ"

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช 2489 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครอง แผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" จากวันนั้นจนถึงวันนี้ กว่า 69 ปีแล้ว ที่ทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม อย่างมิเสื่อมคลาย ภาพเมื่อคราเสด็จออกผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2499 นั้น ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรทั่วประเทศ อันแสดงให้เห็นว่าทรงมีพระราชศรัทธาตั้งมั่นในบวรพระพุทธศาสนา ที่สำคัญคือยังทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาธรรมจนแตกฉาน ทั้งจากตำรับตำรา และจากการสนทนาธรรมกับพระเถรานุเถระอยู่เนืองๆ
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "พระราชปุจฉา กับ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย" (๑)
    ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    พระราชปุจฉา : คำว่า ภาวนา และ บริกรรม ต่างกันอย่างไรขอรับ คือเคยฟังพระเถระผู้ใหญ่บอกว่า การภาวนานี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แม้ไม่อยู่ในสมาธิ แม้ทำอะไร ก็สามารถทำได้อยู่ได้ตลอดเวลาใช่ไหมขอรับ

    หลวงพ่อพุธ : ใช่แล้ว คำว่า ภาวนา กับ บริกรรม มีต่างกัน ภาวนา หมายถึง การอบรมคุณงามความดีให้เกิดขึ้น เป็นสมบัติของผู้อบรม เช่น อบรมใจให้มีความเลื่อมใสในการบำเพ็ญภาวนา ก็ได้ชื่อว่า ภาวนา แต่บริกรรมนั้น หมายถึง จิตของผู้ปฏิบัตินึกอยู่ในคำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น พุทโธ เป็นต้น ซ้ำๆ อยู่ในคำเดียวเรียกว่า "บริกรรม" บริกรรมก็คือส่วนของภาวนานั่นเอง

    หลวงพ่อพุธ : เมื่อตะกี้ได้ถามอะไรอาตมาอีก

    พระราชปุจฉา : ภาวนาทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่หรือไม่

    หลวงพ่อพุธ : การภาวนานี้ทำได้ตลอดเวลา ทุกที่ ทุกสถานที่ ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา เช่นอย่างภาวนาในขั้นบริกรรมภาวนา เช่น ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ตลอดทุกอิริยาบถ บริกรรมภาวนาพุทโธ พุทโธ ได้ ทีนี้ถ้าหากว่าไม่นึกบริกรรมภาวนา พุทโธ การกำหนดรู้ทุกอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ทำ พูด คิด รู้อยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นการภาวนา

    จุดมุ่งหมายของการภาวนา หรือบริกรรมภาวนา ก็อยู่ที่ความต้องการความมีสติสัมปชัญญะ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีแล้ว จิตก็มีสมรรถภาพในการคุ้มครองตัวเอง ให้ยืนยันอยู่ในความเป็นอิสรภาพ ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอิสรภาพโดยเด็ดขาดทุกอย่างก็ตาม ตราบใดที่จิตยังตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์กิเลสและสิ่งแวดล้อม จิตก็รู้ตัวว่ายังหย่อนสมรรถภาพ อยู่ในอำนาจของสิ่งแวดล้อม จิตก็ย่อมรู้ การบริกรรมภาวนา

    บางท่านเมื่อจิตไม่ตรงกับนิสัยบริกรรมภาวนาเป็นปีๆ จิตไม่สงบก็มีอุบายที่จะปฏิบัติได้ คือ ต้องกำหนดรู้ดูความคิดของตนเองตลอดเวลาว่าเราคิดอะไรก็รู้ สิ่งที่คิดมันหายไปก็รู้ อันใหม่เกิดขึ้นมาก็รู้ กำหนดรู้ตามไปเรื่อยๆ เมื่อจิตมีสติกำหนดตามรู้ความคิด กำหนดทันความคิดของจิตเมื่อใด เมื่อนั้นจิตจะสงบเป็นสมาธิได้
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระราชปุจฉา : คำว่า วิญญาณ หมายความว่า "ธาตุรู้" ใช่ไหมขอรับ

    หลวงพ่อพุธ : คำว่า วิญญาณ คือ "ธาตุรู้" วิญญาณในเบญจขันธ์หมายถึง วิญญาณรู้จากของ ๒ อย่างกระทบกัน เช่น ตากับรูปกระทับกัน เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า จักขุวิญญาณ เสียงกับหูกระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า โสตวิญญาณ กลิ่นกับจมูกกระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า ฆานวิญญาณ ลิ้นกับรสกระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ กายกับสิ่งสัมผัสกระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้นเรียกว่า กายวิญญาณ จิตนึกคิดอารมณ์เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า มโนวิญญาณ อันเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ ทีนี้วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ปฏิสมาธิวิญญาณ คือ วิญญาณรู้ผุด รู้เกิด

    พระราชปุจฉา : พอจิตนิ่ง ลมหายใจจะหายไป และคำภาวนาก็หายไปพร้อมกัน แต่รู้สึกเช่นนี้เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป ควรจะทำอย่างไรต่อไป

    หลวงพ่อพุธ : เมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้ว จิตจะสงบละเอียดไปถึงจุดที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" ลมหายใจก็ทำท่าจะหายขาดไป คำภาวนาก็หายไป พอรู้สึกว่ามีอาการเป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ก็เกิดอาการตกใจ แล้วจิตก็ถอนจากสมาธิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ถ้ายังเสียดายความเป็นของจิตในขณะนั้น ให้กำหนดจิตพิจารณาใหม่ จนกว่าจิตจะสงบลงไป จนกว่าลมหายใจจะหายขาดไปคำภาวนาจะหายไป

    ถ้าตอนนี้เราไม่เกิดเอะใจ หรือเปลี่ยนใจขึ้นมาก่อน จิตจะสงบนิ่งละเอียดลงไปกว่านั้น ในที่สุดจิตก็จะเข้าสู่อัปปนาสมาธิอยู่ในขั้นตัวก็หายไปหมด ยังเหลือแต่จิตรู้สงบสว่าง อยู่อย่างเดียว ร่างกายตัวตนไม่ปรากฏ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เมื่อลมหายใจหายไป คำภาวนาก็จะหายไป แล้วก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา เลื่อนให้จิตมาพิจารณา พิจารณาโดยเพ่งกำหนดลงที่ใดลงหนึ่ง จะบริเวณร่างกายลงที่ใดที่หนึ่ง จะบริเวณร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น กระดูก พิจารณาจนจิตเห็นกระดูกแต่ตายังไม่เห็นก่อน

    ให้พิจารณาจนจิตสงบเห็นกระดูกชัดเจน ในทำนองนี้จะทำให้จิตเป็นสมถกรรมฐานเร็วขึ้น ซึ่งเคยมีตัวอย่างครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำกันมา คือ ท่านอาจารย์องค์หนึ่งภาวนาพุทโธมาถึง ๖ ปี จิตสงบลงไป แต่ทำท่าว่าลมหายใจจะหายไป คำภาวนาก็หายไป แล้วสมาธิก็ถอนออก จิตไม่ถึงความสงบสักที อาจารย์องค์นี้จึงไปถามอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ซึ่งอาจารย์องค์นี้เป็นชีผ้าขาวไม่ได้บวชเป็นเณรว่า "ทำอย่างไรจิตมันจะสงบดีๆ สักที"
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อาจารย์องค์นั้นก็ให้คำแนะนำว่า "ให้เพ่งลงที่หน้าอก พิจารณาให้เห็นกระดูก โดยพิจารณาลอกหนังออก แล้วจึงจ้องจิตบริกรรมภาวนาลงไปว่า อัฐิ อัฐิ อัฐิ" อาจารย์ที่ถามจึงนำวิธีการนี้ไปปฏิบัติ ก็เกิดจิตสงบเป็นสมาธิ ในครั้งแรกก็มองเห็น เศษกระดูกตรงนั้น จิตมันก็นิ่งจ้องอยู่ตรงนั้น และผลสุดท้ายก็มองเห็นโครงกระดูกทั่วตัวไปหมด ในเมื่อมองเห็นโครงกระดูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง โครงกระดูกก็พังลงไป และสลายตัวไป สลายไปหมด ยังเหลือแต่จิตสงบนิ่ง สว่างอยู่อย่างเดียว และในอันดับต่อไปนั้น จิตจะสงบนิ่ง สว่างอยู่เฉยๆ ภายหลังเมื่อจิตสงบสว่างอยู่พอสมควรแล้ว ก็ เกิดความรู้อันละเอียดขึ้นมาภายในจิต แต่ไม่ทราบว่าอะไร มันมีลักษณะรู้ขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป มันเหมือนกับกลุ่มเมฆที่มันผ่านสายตาเราไปนั่นแหละ จิตก็นิ่งเฉย สงบนิ่ง สว่างอยู่ตลอดเวลา ที่มีให้รู้ให้เห็นก็ผ่านไปเรื่อยๆ เราลองนึกภาพดูว่า ที่เกิดขึ้นเช่น นี้เรียกว่าอะไร

    อาการเป็นเช่นนี้เป็นภูมิรู้ภูมิปัญญาอย่างละเอียดของจิตเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความจริงที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติ สภาวธรรมส่วนที่เป็นสัจธรรมเกิดขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติ มีแต่สิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ซึ่งท่านอาจารย์มั่นเรียกว่า "ฐีติภูตัง" ซึ่งมีความหมายว่า "ฐีติ" คือ ความตั้งเด่นของจิต อยู่ในสภาพที่สงบนิ่งเป็นกิริยาประชุมพร้อมของอริยมรรค ยังจิตให้บรรลุถึงความสุคติภาพโดยสมบูรณ์ เมื่อจิตประชุมพร้อม ภายในจิตมีลักษณะ สงบ นิ่ง สว่าง อำนาจของอริยมรรคสามารถปฏิบัติจิตให้เกิดภูมิรู้ ภูมิธรรมอย่างละเอียด ภูมิรู้ ภูมิธรรมซึ่งเกิดขึ้นอย่างละเอียด ไม่มีสมมติบัญญัติ เรียกว่า "ภูตัง" หมายถึงสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่โดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร สงสัยต่อไปในเมื่อเราไม่สามารถจะเรียกว่าอะไร ทำอย่างไรเราจึงจะ รู้สิ่งนั้น

    พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ แม้แต่ท่านแสดงธรรมจักรฯ ให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ฟัง เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้ธรรม เห็นธรรม ก็รู้แต่ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วิสุทธิ 7 กับ วิปัสสนาญาณ

    วิสุทธิ 7 เป็นปัจจัยส่งต่อกันขึ้นไปเพื่อบรรลุนิพพาน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ดังบรรยายในรถวินีตสูตร (พระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎกภาษาบาลี) เปรียบวิสุทธิ 7 ว่าเสมือนรถเจ็ดผลัด ส่งต่อกันให้บุคคลถึงที่หมาย สามารถเปรียบเทียบ ไตรสิกขา, วิสุทธิ 7, ญาณ 16 , ปาริสุทธิศีล 4 และสมาธิ ได้ดังนี้

    *อธิศีลสิกขา*
    ...ศีลวิสุทธิ...(วิสุทธิมรรค 1)
    1.ปาฏิโมกขสังวรศีล
    2.อินทรียสังวรศีล
    3.อาชีวปาริสุทธิศีล
    4.ปัจจัยสันนิสิตศีล

    *อธิจิตตสิกขา*
    ...จิตตวิสุทธิ...(วิสุทธิมรรค 2)
    -อุปจารสมาธิ
    -อัปปนาสมาธิ ในฌานสมาบัติ

    *อธิปัญญาสิกขา*
    ...ทิฏฐิวิสุทธิ...(วิสุทธิมรรค 3)
    วิปัสสนาญาณ 1.นามรูปปริจเฉทญาณ

    ...กังขาวิตรณวิสุทธิ...(วิสุทธิมรรค 4)
    วิปัสสนาญาณ 2.นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ

    ...มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ...(วิสุทธิมรรค 5) ได้แก่
    วิปัสสนาญาณ 3.สัมมสนญาณ
    วิปัสสนาญาณ 4.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ที่ยังเป็นวิปัสสนาญาณอย่างอ่อน (ตรุณอุทยัพพยญาณ)

    ...ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ...(วิสุทธิมรรค 6)
    วิปัสสนาญาณ 4.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ที่เจริญขึ้น (พลวอุทยัพพยญาณ)
    วิปัสสนาญาณ 5.ภังคานุปัสสนาญาณ
    วิปัสสนาญาณ 6.ภยตูปัฏฐานญาณ
    วิปัสสนาญาณ 7.อาทีนวานุปัสสนาญาณ
    วิปัสสนาญาณ 8.นิพพิทานุปัสสนาญาณ
    วิปัสสนาญาณ 9.มุจจิตุกัมยตาญาณ
    วิปัสสนาญาณ 10.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
    วิปัสสนาญาณ 11.สังขารุเบกขาญาณ
    วิปัสสนาญาณ 12.สัจจานุโลมิกญาณ

    ...ญาณทัสสนวิสุทธิ...(วิสุทธิมรรค 7)
    วิปัสสนาญาณ 13.โคตรภูญาณ
    วิปัสสนาญาณ 14.มัคคญาณ
    วิปัสสนาญาณ 15.ผลญาณ
    วิปัสสนาญาณ 16.ปัจจเวกขณญาณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • R476-7.jpg
      R476-7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.6 KB
      เปิดดู:
      76
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ความว่างเป็นยอดธรรมเป็นธรรมสูงสุด - อมตธาตุ อมตธรรม
    ความว่างเป็นยอดธรรมเป็นธรรมสูงสุด
    (เป็นอมตธาตุ อมตธรรม)

    สามโลกธาตุนี้ ล้วนเป็นสมมุติ เกิดที่จิตและดับที่จิต ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจของ อวิชชา (ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔) ทำให้สัตว์โลกคิดปรุงแต่ง (สังขาร) หมุนวนเวียนไปมาไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย และไม่รู้จบ ทำไฉนหนอ ? เราจึงจะหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ไปได้

    พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า "สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน สิ่งทั้งปวงเป็นของมืดมน สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ร้อนเพราะไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย และมืดมนเพราะราคะ โทสะ โมหะ และมืดมนเพราะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เนื่องจากสิ่งทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตาตัวตน มิใช่ของของตน ถ้าไม่สามารถถอนการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงได้ ก็เป็นทุกข์ไม่รู้จบ

    อุบายธรรมที่จะสามารถถอนการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง “แบบรวบหัว รวบหาง แล้วถอนออกจากใจ เหมือนถอนต้นไม้ทั้งรากทั้งโคน” ได้นั้น คือ การพิจารณาเห็นโลกตามความเป็นจริงว่า “เป็นความว่างเปล่าจากตัวตน และเป็นของของตน” ได้จริงๆ นั่นเอง

    ดังพระพุทธเจ้าตรัสสอนท่านโมฆราชว่า “ โมฆราช ! เธอจงมีสติพิจารณาโลก โดยความว่างเปล่าทุกเมื่อ พึงถอดอัตตาตัวตนออกเสีย เมื่อนั้นมัจจุราชจึงมองไม่เห็น” เมื่อพระโมฆราชได้ฟังพระธรรมบทนี้จบแล้ว ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    และดังที่พระพุทธเจ้าตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า
    “สารีบุตร ! เธอมีอินทรีย์ผ่องใส ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง เธออยู่วิหารธรรมอะไร ? เป็นส่วนมากในบัดนี้”

    ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่ด้วย สุญญตาวิหารธรรม (ความว่าง) เป็นส่วนมากในบัดนี้ พระพุทธเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดีละ ! ดีละ ! สารีบุตร เธออยู่วิหารธรรมของมหาบุรุษ เป็นส่วนมากในบัดนี้ เพราะ "สุญญตาวิหารธรรม เป็นธรรมของมหาบุรุษ" เราควรอยู่ด้วยสุญญตาวิหารธรรมเป็นส่วนมาก”

    พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ”ธรรมอันเป็นเหตุแห่งความเนิ่นช้า คือ สัญญา” ซึ่งมันแสดงอาการระยิบระยับ หลอกหลอนความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2016
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    “นิโรธสัญญา” คือ การดับความจำได้ หมายรู้ในสิ่งทั้งปวง ที่ท่านหลวงพ่อสุมโนดาบส แห่งอาศรมเวฬุวัน จังหวัดเชียงราย นำธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ มาสอนสานุศิษย์อยู่เสมอ เพราะเป็นธรรมที่สามารถกำจัด เหตุแห่งความเนิ่นช้าของการปฏิบัติธรรม เพื่อให้บรรลุมรรคผลได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ "ยอดธรรมยอดคาถาสูตร" มีใจความสำคัญ คือให้ทำจิต น้อมจิต กำหนดจิต “ไม่ให้มีธรรมทั้งภายใน ไม่ให้มีธรรมทั้งภายนอก ไม่ให้มีธรรมที่ล่วงมาแล้ว ไม่ให้มีธรรมที่ยังมาไม่ถึง และไม่ให้มีธรรมที่กำลังตั้งอยู่ ทำจิตให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ” ทุกข์ทั้งหลาย ก็จะดับไป หมดไป สิ้นไปได้ในที่สุด

    หนังสือ “เว่ยหล่าง” ของท่านพุทธทาสภิกขุ ก่อนที่ท่านเว่ยหล่างจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ แห่งนิกายเซ็น ท่านได้เขียนโศลกธรรม ของผู้รู้แจ้งจิตเดิมแท้ไว้ว่า "ไม่มีต้นโพธิ์(กาย) ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด(ใจ) เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว ฝุ่นจะลงจับอะไร" เพราะทุกสรรพสิ่งทั้งรูปธรรม และนามธรรมล้วนเป็นของว่างเปล่าทั้งสิ้น
    พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๕ ได้อธิบายข้อความในวัชรสูตร (กิมกังเก็ง) ให้ท่านเว่ยหล่างฟังว่า “คนเราควรใช้จิตของตน ในวิถีทางที่มันจะเป็นอิสระได้ จากเครื่องข้องทั้งหลาย” ทันใดนั้นท่านก็บรรลุการตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์

    ท่านพระสารีบุตรได้พูดกับท่านพระอานนท์ว่า สัญญาได้เกิดขึ้นกับท่านว่า “การดับภพ คือนิพพาน การดับภพ คือนิพพาน” ภพทั้งสาม ได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ
    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านสอนว่า " ปล่อยทั้งภายใน ปล่อยทั้งภายนอก วางทั้งภายใน วางทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน ว่างทั้งภายนอก ก็จะเข้าถึงอมตธาตุ อมตธรรม คือนิพพาน”

    หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านสอนให้ทำงาน หรือปฏิบัติธรรมโดยไม่ให้หวังอะไร คือ “การทำจิตให้ว่าง” เมื่อไม่หวังอะไรแล้ว มันก็ไม่ได้อะไร และไม่เป็นอะไร
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระอาจารย์นพพร อาทิจฺจวํโส ท่านสอนเน้นให้บำเพ็ญบารมี ๑๐ แนวสุญญตสมาธิ เพื่อทำจิตให้ว่าง เพราะถ้าจิตไม่ว่างแล้ว จะไม่สามารถถอนรากถอนโคน ของกิเลสตัณหาทั้งปวงได้ ได้แก่

    ๑. ทานบารมี คือ การให้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัส) และธรรมารมณ์ทั้งปวงออกจากจิตใจ ให้หมดสิ้น เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์

    ๒. ศีลบารมี คือ การละเว้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) และธรรมารมณ์ทั้งปวง เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์

    ๓. เนกขัมมบารมี คือ การปลีกตัวปลีกใจออกจากกาม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) ที่ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์

    ๔. ปัญญาบารมี คือ การกำหนดรู้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) และธรรมารมณ์ เป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นที่เกิด ที่อาศัยของตัณหา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตนแล้ว ละ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) และธรรมารมณ์ทั้งปวง ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ

    ๕. วิริยบารมี คือ มีความเพียร บำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี และอุเบกขาบารมี เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์

    ๖. ขันติบารมี คือ มีความอดทน บำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี และอุเบกขาบารมี เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์

    ๗. สัจจบารมี คือ มีความจริงใจ ต่อการบำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี และอุเบกขาบารมี เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์

    ๘. อธิษฐานบารมี คือ ความตั้งใจมั่น เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ในการบำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี และอุเบกขาบารมี เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์

    ๙. เมตตาบารมี คือ มีความรัก ในทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี และอุเบกขาบารมี เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์ และมีความรักสูงสุด คือ พระนิพพาน

    ๑๐. อุเบกขาบารมี คือ การวางเฉยใน รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ(สัมผัส) และธรรมารมณ์ทั้งปวง และวางเฉยในโลกธรรม ๘ ได้แก่ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ เพื่อให้จิตว่างบริสุทธิ์
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ความจริงแท้ของทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏในสามโลกธาตุนี้ ล้วนแต่เป็นของว่างเปล่าหมด ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นของของตนจริงๆ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ อันเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัยชั่วขณะหนึ่ง ก็ไม่ใช่ของของเรา มันเป็นธรรมชาติที่อยู่เหนือการบงการหรืออำนาจการบังคับบัญชาของเรา เมื่อเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย ตามกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นมายา เป็นสิ่งหลอกลวงให้สัตว์โลกผู้โง่เขลาลุ่มหลงมัวเมาไม่รู้จบ

    ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น เกิดที่จิต และก็ดับที่จิต ผู้บำเพ็ญบารมี ๑๐ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ย่อมมีปัญญาเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งหลายทั้งปวง และพ้นทุกข์ได้ ตรวจสอบด้วยความสามารถตัดสังโยชน์ ๑๐ ผู้ปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตนเอง

    ธรรมะจากพระอริยสงฆ์: ความว่างเป็นยอดธรรมเป็นธรรมสูงสุด - อมตธาตุ อมตธรรม
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เทศนาภาษาใจ ๓ หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    ลำดับนี้ตั้งใจน้อมนมัสการคุณพระรัตนตรัยด้วยกายพระนาม วจีพระนาม มโนพระนาม โดยสัจจะเคารพแล้วน้อมพระธรรมเทศนาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาแสดงเพิ่มพูนปัญญาบารมี ชาวพุทธทั้งหลายได้มาเจริญคุณพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์สั่งสมให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีญาณ มีวิชชาให้รู้ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรมโดยฉับพลัน ขออำนาจแห่งคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จูงจิตใจของพี่น้องชาวพุทธให้เข้าสู่ธรรมวินัยของพระผุ้มีพระภาคเจ้าให้เห็นความเกิดและความเป็นโทษ ให้เห็นความไม่เกิดไม่ตายเป็นคุณธรรมทั้งหลายให้เห็นว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้เป็นเครื่องอาศัยของให้ศีลรักษาจิตใจไว้อย่าให้หลงอย่าให้ลืมซี

    ธรรมะเป็นอย่างไร ธรรมะก็หนังแผ่นเดียวนะซิ จิตเดียวซิ กิเลสมันมาเป็นเจ้าของอวิชชา ตัณหาอุปาทานมันนึกว่าหนังของมัน เนื้อของมันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของมัน ที่ไหนมันมาอาศัยเขาเกิดยังว่าของมันอีก

    พ้นเกิดแก่เจ็บตาย พ้นในปัจจุบันนี้แหละ ไห้พ้นเกิดพ้นตายจะได้ทำงานให้พระศาสนา ต้องพูดอย่างธรรมพูดอย่างคนจะขัดคอคนนะซิ

    ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บไม่มีใครตายนั่นแหละเป็นแก่นศาสนา เราเกิดทีไร เกิดกับผู้หญิงทุกที เราจะไม่ประมาทพวกผู้หญิง ผู้หญิงมาเกะกะเราก็ไม่เอา เพราะแม่เราเป็นผู้หญิง ไอ้พวกผู้ชายมาชวนให้เป็นพวกปล้นสดมภ์เราก็ไม่เอา เพราะพ่อเราเป็นผู้ชายมีหนังแผ่นเดียว มีจิตดวงเดียวเท่านั้น ก็หนังแผ่นเดียวมันหุ้มอยู่ทั้งหมดกับทะลุ ๙ ช่อง นะวะทะวารัง ทะลุทางตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ทวารหนัก ทวารเบาอิริยาบถของกาย ๒๔ ชั่วโมง ต้องยืน เดิน นั่ง นอนต้องอาบน้ำ ห่มผ้า ดื่มอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ถ่ายออกมางามเมื่อไรนะ ไม่งามหร็อก

    อาหารทุกอย่งเป็นยาเลี้ยงเขาไป ตา เขาก็ไม่ได้ว่าเป็นของเขา หูก็ไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ ลิ้นเขาไม่ได้ยึดถือเป็นลิ้นเขา เขาทำตามธรรมชาติไปอย่างนั้นเองธรรมชาติเขาก็ทำหน้าที่ธรรมชาติของเขาคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอย่างนั้นเอง อยู่บ้านอย่าติดบ้านนะ อยู่วัดอย่าติดวัดนะ อยู่ถ้ำอย่าติดถ้ำนะ ติดที่ไหนเป็นกิเลสที่นั่น

    ถ้าหลุดแล้วไม่มีกิเลสหรอก ให้หยุดซะอย่าคิด ภายนอกก็ธุดงค์ ภายในก็ธุดงค์ อยู่วัดก็ ทำได้ อยู่ป่าก็ทำได้ อยู่ในกายก็ทำได้ อยู่นอกกายก็ทำได้ คนฉลาดต้องทำอย่างนี้ที่ใกล้ก็ได้ ที่ไกลก็ได้ศาสนาธรรม คือ อยู่ที่ตาธรรม หูธรรม จมูกธรรม ลิ้นธรรม วาจาธรรม ใจธรรม ศาสนาอยู่ที่กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้เอง เห็นเป็นกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้เรียกว่าเห็นธรรม
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คนที่มันเขียนท้ายรถยนต์ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ไอ้นั่นนะมันไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันเอาข้อวัตรของมันมาเอากิเลสสอวด โอ่โธ่! พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้นให้พ้นจากทุกข์เกิดแก่เจ็บตายนั่นแหละจึงได้เข้าศาสนาถูก

    ไม่มีเชื้อมันจะเกิดได้อย่างไร ข้าวเปลือกมีอยู่มันก็เกิดได้ ข้าวสารมันเกิดได้ไหม ก็ผุพังไปแล้ว กายสังขารก็หยุดงาน ตัวจิตสังขารก็หยุดงาน นามรูปมันหยุดเองนามรูปมันหยุดหมด ดินน้ำลมไฟ อากาศวิญญาณมันหยุดกันหมด ไม่มีสัตว์เกิด สัตว์ตาย ไม่มีใครดีใครชั่ว

    ตัวอวิชชากิเลส อวิชชานี้แหละตัดออกเสียให้มีแต่วิชชาอย่างเดียว มันก็ทรงได้ของมันเอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก็เป็นพยานให้อยู่แล้ว ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ เขาทำงานกันเองต่างหากเล่า มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุทำงานกันเท่านั้น มีสัตว์ มีคนที่ไหนเล่า

    ธรรมะไม่เอาจะแย่งกระดูกกัน จะรบฆ่าฟันกันเพราะกระดูกน่าสังเวช รูปนามเป็นธรรมเกิดขึ้น ปรากฏแล้วก็ดับลงเป็นธรรม เกิดขึ้นเป็นธรรม ดับลงเป็นธรรม เป็นสังขตธรรมล้วน ๆ ธรรมะล้วน ๆ มีเกิดมีดับ

    แก้ที่ตัวเราซิ คนอื่นก็ให้เขาแก้ของเขาเอง เมืองใครเมืองมัน บ้านใครใครอยู่ อู่ใคร ใครนอน ไม่ก้าวก่ายกันหร็อก หน้าเศร้า ๆ เพราะมันไม่อยู่กับที่ไม่อยู่กับหนัง กับจิตซี่ มันไปอยู่กับอารมณ์ ประเดี๋ยวก็ร้องให้ เดี๋ยวก็หัวเราะมันแน่นอนเมื่อไรน่ะโลกน่ะ ชอบใจก็หัวเราะ ไม่ชอบใจก็ ร้องให้ อวิชชามันบัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันบังไว้ซะ

    ผู้ใดขยัน ผู้นั้นแหละ เป็นลูกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ใดขี้เกียจเป็นลูกของกิเลส ผู้ทีเขาไม่รู้ไม่ถึงไปตามอย่างเขาทำไม

    ผีหลอกไม่เป็นหรอก มีแต่กิเลสมันหลอกเรา อวิชชามันหลอก ราคาเผาจิต โมหะเผาจิต โทสะเผาจิต วิปัสสนาเผากิเลสหมดไป มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ อากาศธาตุทำงานกันเท่านั้น มีคนมีสัตว์ที่ไหนเล่า อวิชชานั้นมันไม่เห็นตัวมันเอง

    ความมั่นใจเป็นสมาธิ ความรู้ในกองสังขารเป็นปัญญา ตัดหลงตัวเดียว ตัดได้ทุกอย่างหมดทุกข์ กิเลสพ้นห้าตัณหาร้อยแปด ถูกวิปัสสนาเผาไปหมดเป็นขี้เถ้าไปหมด ดับหมดมันหยุดโรงงานหมดไม่มีใครปรุง แต่มันปกติหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันปกติหมด คนละหน้าที่กันหมดไม่มีใครทำ ไขว้เขวกัน ก็กิเลสนิพพานแล้วใครจะนิพพานล่ะ

    ขันธ์ของกิเลสก็นิพพานไปแล้ว ธาตุของกิเลสก็นิพพานไปแล้ว กิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้เท่าความเป็นจริง จึงไม่เจือด้วยทุกข์ ทุกข์นั้นเกิดขึ้น ให้รู้จักทุกข์ ยืนก็ตาย นั่งก็ตาย เดินก็ตาย นอนก็ตาย มันเหลือแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ กายนอกก็ร่างกายนี้ กายในก็ลมหายใจ มันมีบุญมีบาปกับใครล่ะ ไปทำเหตุให้คน ผลก็ออกมาเป็นคนนั่นแหละ รู้อยู่แต่มันรู้ไม่ตาย ไม่ตายก็ไม่เกิดด้วยนั่นแหละ ไอ้ตายก็ตายเขาหมายอย่างนั้นเองแหละ นิพพานหมายตายก่อนตาย
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม มีอยู่ที่ปัจจุบันธรรม อย่าเอาอดีตอนาคตมาค้าน ตัวเองให้ยุ่งเลย เอาแค่ปัจจุบัน ตายกับไม่ตายขณะเดียวกัน มิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ ขณะจิตเดียวกัน ถูกกับผิดก็ขณะจิตเดียวนั่นแหละ จิตเป็นแผ่นดินรองรับธรรมทั้งสอง

    อยู่กับขี้กับเยี่ยวกับสิ่งปฏิกูลทั้งนั้น มีแต่เปียกแฉะทั้งนั้นยังจะอยู่อีกหรือ??แยกกายกับใจซิ แบบสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีตัวใดที่จะชอบสภาพที่ตัวมันเป็น ให้ตายอย่างที่ผู้ที่เขารู้เขาถึงซิ จะได้รู้ได้ถึงกับเขาบ้าง กายเดียวจิตเดียว เอโกธัมโมไปไหนก็มีแต่ธรรมะ หายใจออกก็มีแต่ธรรมะ หายใจเข้าก็มีแต่ธรรมะจนเข้าถึงธรรมะระวังคนดีแตก เพราะกิเลสความหลง หลงจนลืมดี เอ่อ! ไม่ให้อภัยไม่ใช่ลูก พระพุทธเจ้าซิ พระพุทธเจ้าให้อภัยสัตว์เก่ง ลูกพระพุทธเจ้าเกิดด้วยศีล เกิดด้วยสมาธิ เกิดด้วยปัญญา เกิดแล้วไม่ต้องตายเป็นทุกข์ ตายแล้วก็ไม่แล้วต้องเกิดเป็นทุกข์ ขอทุกข์อันนี้อย่าได้มีติดตาม อย่าได้ตามมาในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้พ้นไป สุขเพราะไม่เบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะก้าวก่ายข้ามกามเสียได้ สุขอย่างยอดคือ การนำความถือตัวออกเสีย

    ยาเรือไว้ ใช้ยาข้าวเหนียว ข้าวเจ้ายาไว้ก่อน เรือมันรั่วก็ต้องยาเอาไว้ใช้ก่อน ใช้เสร็จแล้วทิ้งเลย ทุกอย่างมันรู้มันเห็น แต่มันไม่ยึดมันถือมั่น เพราะขันธ์ ๕ มันหมดแล้ว มันเหลือแค่ธาตุ ๔ เท่านั้นเอง ขันธ์ ๕ มีอยู่ แต่ไม่มีสัตว์มีคนมาอาศัย ไม่มีสมมติบัญญัติเข้าอาศัยได้ มีแต่ปฏิกิริยา เกิด ดับ สัตว์ไม่มี คนไม่มี นิโรธนิพานังราคะหมด อวิชชาดับ ก็หยุดงานหมดซิ ตัดตั้งแต่กามาสวะ ภวสวะ ทิฐาสวะ อวิชชาสวะ ดับให้เรียบหมด มันดับ ดับไม่เหลือ สังโยชน์ก็ไม่เหลือ อนุสัยก็ไม่เหลือต้องดับให้หมด รูปนามของเราเป็นของสมมุติ

    เมื่อเห็นตามความเป็นจริง รูปนามของเราเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างธาตุ ๔ มีอยู่ที่เราธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้สูญไปไหน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคมีอยู่ที่เรา ดินฟ้าอากาศภายในภายนอก ก็มีอยู่ตามเดิมตามสัตว์ตามบุคคลเสมอกัน รู้แจ้งอย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เราจะลืมไม่ได้ จะหลงไม่ได้ ถ้าเราลืมเมื่อไร หลงเมื่อไร โลภมูลก็เข้ามาปนกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เข้ามาปนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้เร่าร้อนด้วยโลภมูล โทสมูล โมหมูล แล้วมันก็จ่ายไปทางกายกรรม วจีกรรม จ่ายมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับเป็นหน้าที่ ตาก็เกิดดับ หูก็เกิดดับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เกิดดับ ลมหายใจก็เกิดดับ วิตกวิจารก็เกิดดับ ตัวเวทนา สัญญาก็เกิดดับ ไม่เกิดไม่ดับคือ... ทำพ้นจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารที่มีอยู่ ไม่ใช่นามขันธ์ คือ ตัวไม่เกิดไม่ดับ ตัวเกิดดับจึงไม่มีสัตว์ ไม่มีคนเข้าไปปน อวิชชาหมดแล้วจากจิตจากกาย สมุทัยหมดจากกายหมดจากจิตด้วย นิโรธก็มีที่กายที่จิตด้วย สักกายนิโรธ จิตนิโรธมีคู่กัน
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เชื่อกิเลสก็เป็นทุกข์นะซิ จิตของเราก็เป็นทุกข์ซิ กายของเราก็เป็นทุกข์ซิ ก็มันเป็นทุกข์จะไปเกิดมันทำไม ไปตายมันทำไม เกิดไม่ใช่เรา ตายไม่ใช่เรา เราอยู่กับศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็เป็นอรหันต์ไปได้ทั้งนั้น ศีลนี้แหละ มันพาให้รู้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ให้จิตไปอยู่กับศีล อยู่กับสมาธิ อยู่กับปัญญา อยู่กับธรรมะ มันก็ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายนะซิ พ้นเกิด พ้นตาย มีสุขก็เพราะศีล มีโภคสมบัติก็เพราะศีล ถึงนิพพานสมบัติก็เพราะศีล ไม่เชื่อศีลแล้วไปเชื่อใครล่ะ ไปเชื่อคนเกิดคนตายรึ! ก็โง่ซิ ฉลาดก็เชื่อศีลซิ ไม่มีใครช่วยเรานะ ไม่มีใครช่วยให้เราพ้นเกิดพ้นตายได้นะ ถ้าไม่พ้นเกิดพ้นตายก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ

    กรรมวิบากวนเวียนอยู่นี่แหละจะเอาหรือ??ถ้าใจยังมีทุกข์อยู่ ไม่ใช่ธรรม ใจไม่ทุกข์เป็นธรรมที่ไม่แปรผัน สมาธิที่แท้จริงต้องอยู่ในทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน กินอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ทุกลมหายใจเข้าออกและเป็นอารมณ์ในปัจจุบัน

    มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม นิพพานธรรม อยู่ที่เราทำขึ้นมาเอง ใครก็ตามทำให้ไม่ได้หรอก รู้จักทุกข์แล้วปล่อยทุกข์ซะ อยากพ้นทุกข์ก็อยู่กับธรรมะ อยากเป็นทุกข์ก็ไปอยู่กับสัตว์โลก เกิดมาทำไมให้ต้องวนเวียน หนีซิ! หนีเกิดไม่ต้องมาเกิด เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์

    ให้เคารพศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจ อย่าได้ทิ้งเด็ดขาด อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย เราถูกคาดโทษไว้แล้ว คือ โทษแก่ เจ็บ ตาย จงรีบแก้ไขตัวเองเสียให้จงได้

    เกิดทีไรเป็นชายทุกที เกิดทีไรมาเกิดกับผู้หญิงทุกที เราจึงได้รู้ว่ามนุษย์เป็นอย่างนี้ เกิดมา ๙๐ ปีแล้ว ไม่เห็นมีนางงามมีแต่นางขี้ พระเอกนางเอกไม่มีหรอก มีแต่พระเอกขี้ นางเอกขี้ ขี้เต็มตัว เต็มหู เต็มตา จะไปเอานางเอกที่ไหน เลือกเอาเองแต่ธรรมะซิ

    พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไม่เกิดไม่ตาย คนเทศน์นี่เทเทศน์ คนฟังก็เทฟัง มันไม่ได้ฟังเป็นนิโรธนิ! ต้องเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณแขวนที่ใจ ไม่ใช่มาห้อยคออย่างเดียวอดีตจะไปรู้ไปทำไม อนาคตจะไปรู้ทำไม รู้ปัจจุบันซิ!?จึงจะตัดกิเลสและหมดทุกข์ได้ มโนกรรมมันละเอียดกว่ากายกรรม มโนกรรมมันรับได้หมดทั้งโลกีย์และโลกุตตรธรรม กายกรรมของท่านเป็นคุณธรรม วจีกรรมของท่านก็เป็นคุณธรรม มโนกรรมก็เป็นคุณธรรม
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อทำได้แล้วการเสื่อมไม่มี เมื่อน้อมศีล สมาธิ ปัญญาใส่ใจแล้ว ใจที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีในที่นั้น ความตายไม่มี มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิด ดับ ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก มองเราก็ไม่มี มองเขาก็ไม่มี ผู้ค้านก็ไม่ผิด ผู้แปลก็ไม่ผิด ผิดแต่ผู้ไม่รู้ทุกข์เกิดกับจิตนั่นเอง สมุทัยเกิดกับจิตนั่นเอง นิโรธสัจเกิดกับจิตนั่นเอง

    นิพพานสมบัติเหนือนาม เหนือรูปตายที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่น เมื่อไม่เกิดที่ไหนก็ดับทุกข์ที่นั่น เมื่อไม่ตายที่ไหนก็ดับทุกข์ที่นั่น ให้พ้นจากความเกิดความตายโดยเข้าสู่ธรรมมะโลกุตตรธรรมให้เข้าสู่พระนิพพานสมบัติโดยสวัสดี

    ศาสนาเกิดอยู่กับจิตนั่นเอง จิตหลงเมื่อไรมันก็เป็นอบายมุขบ้างอบายภูมิบ้าง

    ร่างกายของเรานี้เป็นตัวทุกข์ เพราะจิตเข้าไปยึดมั่น หมดตัณหาก็หมดอยากซิ หมดอยากก็หมด ตัณหาซิ บวชยังกลัวอยู่ก็กิเลสซิ มันบวชกับกิเลส ไม่ใช่บวชกับธรรมะ เราจะเรียนหาเงินหาทอง เขาไม่เรียนหานิพพาน ผู้บอกก็บอกไปนิพพาน ผู้เรียนไปเรียนหาเงินหาทอง หายใจเข้าเป็นเงินเป็นทอง หายใจออกเป็นเงินเป็นทอง ให้นิพพานสมบัติดีกว่า ให้แล้วเขาไม่เอาก็ตามใจซิ

    ขัดคอเราไม่เป็นไร อย่าไปขัดคอเขา ปฏิบัติอยู่กับธรรมะ สวดมนต์ก็ธรรมะ ทำวัตรเช้าก็ธรรมะ ทำวัตรเย็นก็ธรรมะ หายใจเข้าเป็นธรรมะ หายใจออกเป็นธรรมะ อยู่กับธรรมะซิ จะไปอยู่กับคนได้ยังไงล่ะ อยู่กับคนมันก็เถียงนะซิ! อยู่กับธรรมะจะไปขี้ก็ไม่ลืมธรรมะ จะไปเยี่ยวก็ไม่ลืมธรรมะ ไปบิณฑบาตก็ไม่ลืมธรรมะ นี่แหละธรรมสมบัติมันเป็นอย่างนี้

    ทำเหตุให้เป็นธรรม ผลก็เป็นธรรม ไล่ไปไล่มาหมดอาสวะแล้ว ก้อนนี้ก็เป็นก้อนธรรม เรามาวัดบ่อย ๆ ก็สงบบ่อย ๆ สงบกาย สงบจิต เรามาวัดเพื่อให้รู้ธรรม ไม่เกิดไม่ตาย เราก็เข้าหาความไม่เกิด ไม่ตาย จิตไม่เศร้าหมอง จิตไม่เศร้าหมอง เพราะเราไม่เอาอกุศลมาใช้ คนเดินอ้อมไม่ถึงจิตด้วยติดวัตถุเป็นสำคัญ ผู้ใดเจริญได้ทั้งวันทั้งคืนทุกลมหายใจเข้าออก แล้วจะพ้นจากความเกิดตายด้วยความสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2016
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เราเรียนมาก่อน อดีตนั่นละ เราบวชมาตั้งแต่วันแรกนั่นแน่ มันอยู่แค่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม กรรมฐานก็เรียน วิปัสสนาก็เรียน โลกุตรธรรมนะตกค้างกันตั้งแต่ปฐมสังคายนาแล้ว อย่าตกค้างไปอีกนะ ตกค้างไปอีกเป็นทุกข์อีก เกิดอีกเป็นทุกข์อีกนะ ก็เราเจริญมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม มาตั้งอเนกชาติแล้ว ทีนี้มันไม่หลุดออกไปเสียนี่ คราวนี่จะเข้าโลกุตระ มันก็ว่างเทกระจาดหมดเท่านั้น ถ้าอยู่กับคนก็ผีเข้าผีออกไปเรื่อย จะขนยังไงไหวล่ะ ก็ยังไม่มาจะขนยังไง ขนได้แต่คนมาต่างหากละ

    ค้นพระไตรปิฎกค้นยาก จิตกับอวิชชา มันอยู่ด้วยกัน ค้นที่ตัวนี้ดีกว่า เห็นอวิชชาเห็นจิตแล้วก็ง่าย ร่างกายเขาหมดไปเพราะหมดอายุ มันหมดไปทุก ๆ ขณะจิตเกิดเดี๋ยวนั้น แก่เดี๋ยวนั้น จิตมันพ้นในปัจจุบัน พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วย แก้ทางจิตแก้ได้ แก้ไม่ให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย แก้ข้างนอก แก้ไม่ไหวหรอก อดีตผ่านมาแล้วเรารู้ไม่ได้ เพราะไม่มีวิชาไปรู้ไปเห็น เรียนรูป รส กลิ่น เสียง เรียนทุกวันก็ไม่หายหลงมันเลยธรรมไปหมด

    ภูเขามันจมน้ำอยู่ เมื่อน้ำแห้งภูเขาก็ผุดขึ้น เวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้นเอง นอกจากไปพบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก นั่นแหละจึงจะตรัสรู้ พ้นเกิดพ้นตาย ให้เห็นโทษของกามราคะกำหนัด รูปภายในกำหนัด รูปภายนอกกำหนัด ดับราคอนุสัยสังโยชน์ อนุสัยก็ดับลง กฎธรรมดาของธรรมะมีแต่เกิด-ดับ เรียนเท่าไรก็ลงที่กฎนี้แหละ

    เออ! สัตวะมันตายได้ แต่ธรรมะมันไม่ตาย นิโรธไม่มีตาย นิพพานไม่มีตาย ไม่มีเกิด อย่าได้เกิด อย่าได้ตายกัน ให้พ้นจากธรรมเกิดธรรมตายเสีย ให้พ้นจากธรรมกรรมดำกรรมขาวเสีย กรรมไม่ดำกรรมไม่ขาวนี้ เป็นกรรมไม่เกิดกรรมไม่ตาย ขอให้เจริญในโลกุตรธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยสวัสดี
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เพราะท่านสงบตัวของท่านพ้นจากทุกข์เสียก่อน จึงมีประโยชน์โดยไม่มีประมาณ แม้สาวกทั้งหลายก็สงบตัวเสียก่อนทั้งนั้นจึงแผ่ศาสนา ได้ไพศาลมากกว่าเม็ดดินเม็ดทรายในมหาสมุทร พระคุณของพระอรหันต์ไม่มีประมาณ ผู้ปฏิบัติควรทำกาย วาจา ใจ ตามแบบอย่างของพระอริยเจ้า อย่าให้หย่อนความเพียรตั้งใจทำ อย่าให้ท้อถอยต่อความเพียรจึงได้รับผล

    เมื่อผู้ปฏิบัติจะพ้นได้ต้องสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน อย่าให้ยินดียินร้ายและมั่นคงในศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ เมื่อเจตนาละเว้นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง เจตนาทำบาปไม่มีจึงพ้นจากอบายภูมิ

    อย่าไปหลงว่ากายสังขารเป็นตัวเป็นตน เป็นธรรมะต่างหาก วจีสังขารเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เป็นธรรมะอยู่ประจำชีวิตนี่เอง ความไม่เกิดไม่ตายก็มีอยู่ในธรรมะนั่นเอง อยู่กับสัตว์โลกมันก็เกิดตายซิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่กับสัตว์โลก อยู่กับธรรมะไม่เกิด ไม่ตายเท่านี้แหละ ขันธ์เปล่า มันว่างจากกิเลส มันหมดอนุสัย หมดสังโยชน์ มันไม่มีตัวไม่มีตนเพราะสักกายทิฏฐิไม่มี


    คัดลอกจาก เทศนาภาษาใจ ๓ หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆ ท่านค่ะ
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลวงปู่บุดดา ตอบเรื่อง นิพพาน และจิต

    ศิษย์: หลวงปู่ครับ นิพพานโลกุตระ เป็นอย่างไร

    หลวงปู่: มันก็หมดอาสวะซิ อวิชชาไม่เหลือ

    ศิษย์: จิตยังอยู่ไหมครับ

    หลวงปู่: จิตปรมัตถ์ไป เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์จิตยังอยู่ มันเกิด-ดับ มันเป็นสังขตะไป ไม่ใช่สัตว์คนเป็นสังขตธรรม สังขตธรรมมีอยู่ อสังขตะธรรมมีอยู่ วิราคะธรรมมีอยู่ แต่ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่คนเท่านั้น

    ศิษย์: หมดสมมุติ หมดความยึดถือไช่ไหมครับ

    หลวงปู่: .ฮื้อ! มันไม่มีอาสวะ ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย ล่ะก็ กิเลส กรรม วิบาก มันก็ไม่มี จิตไม่มีนาม-รูปของขันธ์แล้ว มันเหนือนาม-รูปของขันธ์แล้ว สังขตะมันเหนือขันธ์ ๕ วิราคะธรรมมันเหนือขันธ์ ๕ (เหนือ คือ ไม่ถูกครอบงำ ไม่มีอุปาทานขันธ์ ย่อมไม่กลับกำเริบอีก)ขันธ์ ๕ ยังมีนามรูปติดต่อกันทางอายตนะธาตุนี่ ส่วนนิพพาน ปรมัตถ์นี้ไม่เกิดไม่ดับเป็นอสังขตะธรรม แต่ จิต เจตสิก รูป ปรมัตถ์นี้ยังเกิดดับเป็นสังขตะธรรม วิราคะธรรม ไม่มีราคะ หมดราคะถึงโลกุตระแล้วนั่น ไม่มีราคะโทสะ โมหะ เผาลนแล้ว

    ศิษย์: เมื่อดับจิต แล้ว นิพพาน สูญ ไม่เหลืออะไรเลยหรือปล่าวครับ..

    หลวงปู่: นิพพานไม่สูญ เป็นแต่อาสวะกิเลสสูญ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม วิบาก มันสูญ แต่ สังขตะธรรม อสังขตะธรรม วิราคะธรรม มันไม่ได้หมดไปด้วย บารมี ๓๐ ทัศน์ที่พระพุทธเจ้าสร้างเป็นของไม่ตาย แต่ว่าตัวบุญต้องเปลี่ยนแปลงไปจนกว่าพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ เพราะถ้าเป็นตัวบุญอยู่กับพระเวสสันดรก็ไม่ตรัสรู้ซิ ก็ได้เป็นกษัตริย์ไม่ตรัสรู้ซิ แต่เพราะสละหมดอย่างพระเวสสันดร เที่ยวออกค้นคว้าถึง ๖ ปี(ซึ่งก็ต้องอาศัยบารมี อันเป็นนิสัยที่สั่งสมมา) จึงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าบางองค์ก็อายุไม่เท่ากันมาองค์ปัจจุบันอายุ ๘๐ ปี (แล้วแต่บารมี)
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ศิษย์: ที่เขาว่าไปเที่ยวเมืองนิพพาน น่ะเขาไปกันได้จริงหรือป่าวครับ

    หลวงปู่: .เที่ยวได้แต่ปริยัติน่ะซิ พูดเอาภาคปริยัติก็เที่ยวได้ ภาคปฏิเวธเที่ยวได้ที่ไหนล่ะ มันมีบอกเมื่อไหร่ล่ะ

    ศิษย์: .แล้วอย่างมโนมยิทธิล่ะครับ

    หลวงปู่: นั่นมันเรื่อง พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ก็ตามใจซิ ก็นิมิตมันมีอยู่ หลับตาลืมตาก็มี มีของพระอริยะเจ้า พระพุทธเจ้าก็แสดงพุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ได้ ให้เห็นกันทั่ว กามโลก รูปโลก อรูปโลก ให้เขาได้เห็นกันเมื่อครั้งเสด็จลงจากดาวดึงส์นี่ ก็จิตนี่ล่ะมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแล้วจะเอาอะไรไปรับล่ะ กายกับจิตนี่ล่ะมันรองรับพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ารู้นรก ๒ ชั้น นรกชั้นนอก นรกชั้นใน สวรรค์ชั้นนอก สวรรค์ชั้นใน นิพพานชั้นนอก นิพพานชั้นใน มันต้องมีภายนอกภายในพิสูจน์กันดู ดูนิพพานกันอย่างนี้ อ่านพระไตรปิฎกกันอย่างนี้ซิ นิพพานไม่ใช่รูปขันธ์ ไม่ใช่นามขันธ์ มันเหนือรูปขันธ์ นามขันธ์ สร้างบารมีมาก็เอาเป็นเครื่องมือ สร้างบารมีต่างหากล่ะ นามรูปนี่ตรัสรู้แล้วเอาไปเมื่อไหร่ล่ะ บารมี ๓๐ ทัศน์ ไม่ใช่ตัวขันธ์ ๕ มันเหนือขันธ์ ๕ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เหลือขันธ์ ๕ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ ละสังโยชน์ แล้วก็เหลือยังขันธ์ ๕ เขายังเขียนรูปโลกไว้ให้ดู แต่อยู่เหนือขันธ์ ๕


    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/…/pr…/lp_budda/lp-budda-17.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...