ตะกี้ผมก็นั่งเล่นคอมฟังเพลงไปเรื่อย แล้วไปอ่าน ชาติภพ ต่างๆ เท่าที่ผมเข้าใจ เหตุให้ ชาติคือ อวิชชา อกุศลกรรม ยึดมั่นถือมั่น ว่านี่คือของเรา ร่างกายคือของเราเงินทองรูปนามคือของเรา
แล้วผมก็สงสัยขึ้นไปอีก ว่า ชาติแรกของเราหละ มันคือชาติแรก อาศัยอะไรเป็นปัจจัย ทุกคนที่เกิดมาชาติแรก โดนลิขิตแล้วรึเปล่าว่า จุดจบจะนิพพานแบบไหน เช่น โดนลิขิจว่า จุดจบจะนิพพาน แบบพระพุทธเจ้า อะไรประมาณนี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะกรรมเราลิขิตเอง แต่ ใครกันเล่าลิขิตว่า ตัวเราอยากจะเป็นสาวกภูมิ ปักเจกภูมิ พุทธภูมิ ดวงจิตงั่นหรือ ? หรือ กรรมที่ส่งต่อกันมา เช่น ชาติแรกไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น พอมาเกิดเจอพระพุทธเจ้า แล้วอยากเป็น เลยตั้งความปราถนา กุศลผลบุญก็มาส่ง ให้ได้กําลังขึ้นไปเรื่อยๆ
กับ อีกข้อ ข้อนี้เป็นข้อที่ผมสงสัยมานามาก ทุกอย่างนั้น มีปัจจัยเป็นเหตุ
แล้วสิ่งแรกของจักรวาล (จะว่าไงดี ถ้าของโลกก็เล็กไป สิ่งแลกที่เกิดขึ้นในโลกคธาตุนรก โลก สวรรค์ พรหม นิพพาน) อะไรประมาณนี้ อะไรเกิดก่อน ธาตุอะไรเกิดก่อน นาม ธรรม มาก่อน หรือ รูป ธรรม มาก่อน จะเกิิดขึ้นได้ยังไง เพราะมันเป็นสิ่งแรก ? หรือว่ามันเกิดพร้อมๆกันตามหลังอย่างรวดเร็ว อุปมาเหมือน ดื่มน้ำโค้กแล้วก็จะเรอตามหลัง (ประมาณนี้น่าจะเข้าใจผมอุปมาไม่เก่ง)
ผมไม่แน่ใจ ว่า 2 ข้อนี้จะเป็นอจินไตยรึเปล่า แต่คิดว่า ข้อสองเป็น เพราะผมไม่เคยเห็นักวิทย์ศาตร์คนไหนบอกได้ พิสูจนรกไม่ได้
เอ่อ แล้วอีกข้อ เพื่อนผม ผู้หญิง ผมบอกว่าทําดีไปสวรรค์ทําชั่วไปนรก แล้วเค้าก็บอกว่า จะพิสูจน์อย่างไง ผมก็บอกไม่ถูก แต่ผมเชื่อว่ามี(จริงๆมันมีอยู่แล้ว)
แต่ถ้าบอกผมตอนนี้ ก็น่าจะบอกว่าสร้างตาทิพย์ให้ได้ เดี๋ยวก็รู้เอง แล้ววิธีของคุณอ่าครับทําไง
แล้วพระพุทธเจ้าเคยสอนคน ที่ ไม่เชื่อว่า นิพพาน พรหม นรกมีจริงเปล่าหว่า พระพุทธเจ้าสอนยังไง ทุกอย่างต้องมีศรัทธากนำหน้าก่อน(ผมคิดอย่างงั้นนะ)
อะไรคือสาเหตุแห่งการเกิดชาติแรก กับอีกคําถาม
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 21 กุมภาพันธ์ 2012.
หน้า 1 ของ 3
-
-
..........ลองไปทำความเข้าใจปฎิจสมุปบาท ให้เข้าใจ ถ่องแท้เลยนะ แล้วลองเอามาอธิบายให้เพื่อนฟังหน่อย:cool:
-
ขอเวปหน่อยครับจะได้อ่าน
-
เอาอย่างนี้นะว่า คำข้าวที่กลืนกินนี่แหละว่าเกิดขึ้นได้จากอะไร หาปัจจัยที่มาของมันได้ไหมว่า ก่อนที่จะมาเป็นคำข้าวนี้ได้อาศัยปัจจัยอะไรบ้าง
-
คําข้าวที่ผมกินนี่ ก็มาจากเมล็ดนิดๆ อะมั้งครับ เวลาปลูกข้าวก็ต้องใช้น้ำใช้ดิน พอหุงข้าวก็ใช้น้ำ กับความร้อนอ่าครับ
-
แล้วคนทำนาต้องต้องใช้ควายหรือรถไถ ถ้าใช้รถไถ ต้องใช้น้ำมัน น้ำมันมาจากไหน
แล้วใครผลิตนน้ำมันเติมรถ แล้วใครผลิตรถไถ รถไถประกอบไปด้วยอะไร
เช่นยางรถใครผลิตยางรถ ยางรถเกิดขึ้นจากอะไร ใครปลูกต้นยาง แล้วใครคนสร้างโรงงานผลิตยาง
นี่ยังพูดไม่หมดนะมันเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่จะเป็นคำข้าวขึ้นมาได้ อย่างอื่นยังไม่พูดมีปัจจัยอีกเยอะ
แม้คำข้าวที่กินก็ใช่ว่ามีแต่ข้าวเสียเมื่อไหร่ จะต้องมีแกงกับอีกว่ามันเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง
จึงจะทำให้เรากลืนกินได้ ทุกอย่างมันเป็นปัจจัยเกี่ยวเนื่องกันหมดแหละ อย่าคิดหาดีกว่าหาอย่างไรก็รู้ไม่หมด -
อย่าไปคิดถึงชาติแรกเลยครับ เอาแค่ปัจจุบัน
ผมจะบอกให้ว่า ทันทีที่ จขกท ปรารภว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล จะบำเพ็ญบารมี 10 ให้ถึงที่สุด จขกท ก็ได้สร้างปัจจัยที่จะเกิดชาติภพถัดไปไม่ใช่แค่ชาติเดียว ไม่ใช่แค่ 10 ไม่ใช่แค่ 100...ไม่ใช่แค่10000000000000000000 มันมากกว่านั้นอีก แล้วจะให้ไล่ย้อนกลับไปถึงชาติแรก รับรอง ตายก่อนรู้ ผมต่อให้ท้าวมหาพรหมหรือพระอรหันต์ที่มีบุพเพนุสานุสติญาณก็ส่ายหน้าหนีแน่
แต่การที่เราไม่รู้จักชาติแรก นั้นก็ไม่ใช่แปลว่าเราจะไม่รู้จักเหตุเกิดของมัน เราสามารถเข้าใจมันได้จากแนวของปฎิจสมุบาท
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศกความคร่ำครวญทุกข์โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
ส่วนอวิชชาคือ ความไม่รู้
แต่ถ้าคุณเข้าใจว่าอวิชชาอย่างถ่องแท้คืออะไร? คุณก็จะเป็นผู้บรรลุวิชชาหรือพระอรหันต์นั้นเอง
ขอให้เจริญในธรรมครับ -
อวิชชา เป็นต้นเหตุ ก็ควรดับที่อวิชชา -
-
เจ้าของกระทู้ครับ อย่าสงสัยเลยครับ จริงๆเป็นคำถามที่ดีนะ ผมก็เคยสงสัยเหมือนกันเมื่ออ่านเรื่องเหล่านี้ เเต่อย่างที่หลายๆท่านเตือนครับ ตัวเราเกิดมาจากไหน ไม่รู้ เพราะรู้ก็เเค่ทำให้คำตอบเล็กๆของเราเติมเต็มเท่านั้น หลังจากนั้นยังมีคำถามอีกมากที่เราจะสงสัยตามมา เสมือนกับเด็กน้อยผู้ไฝ่เรียน เมื่อรู้เเล้วว่าสองบวกสองเป็นสี่ ต่อไปก็อยากทราบสี่บวกสี่อีกว่าเป็นอะไร ไม่จบสิ้นเสียที อย่าติดใจอย่าสงสัยในเรื่องที่รู้อยู่เเล้วว่ามันเกินวิสัยของทุกคนจะตอบ เเต่ให้ดับลงในใจเราเสียว่าเราเกิดมานี้ ปราถนาเพื่อรื้อขนสัตว์โลกไปนิพพาน หากสงสัยสิ่งใด ให้ตั้งใจเติมบารมีให้เต็ม เป็นพระพุทธเจ้าเมือไหร่จะรู้เอง ถึงตอนนั้นก็ไม่อยากรู้อะไรเเล้ว เพราะรู้หมดเเล้ว ไปนิพพานก็ไม่ต้องรู้อะไรเเล้ว เพราะไม่มีอะไรให้รู้อีกเเล้ว มันเป็นซะเเบบนี้
-
สังเกตุดีๆ นะ คุณ จขกท เวลา ศรัทธาถูกต้องเนี่ยะ ความสงสัย จะไม่ใช่ ความสงสัย
คำถามที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่ มีศรัทธาถูกต้อง มั่นคง เนี่ยะ จะกลายเป็น การภาวนา
หมดเลย
ดังนั้น คำถามของเธอไม่ใช่คำถาม ที่รอให้ใครมาตอบ แต่มันเป็น "กังขาวิตรณวิสุทธิ"
คือ ถามตั้งต้นเพื่อก้าวข้ามพ้นไปสู่ความบริสุทธิ
มาดูกัน
เนื่องจาก จขกท ไม่ได้มีกำลัง ฌาณจิต จึงใช้ วิธีการที่เรียกว่า "สัญญา10"
เข้าพิจารณาธรรมแทนการเห็นด้วย จิตที่มีกำลังฌาณ แม้นว่า จะเป็นการตรึกที่
คล้ายฝุ้งซ่าน แต่ถ้าเป็นการ ตรึกธรรมะ อย่างถูกวิธีในธรรมวินัยนี้แล้วละก้อ จิต
ที่ไตร่ตรองถูกต้อง ศรัทธาถูกต้อง จะนำ ผลลัพธ์ที่ดีมาให้ มีกำลังสมาธิเล็กน้อย
แต่ก็ตรึกได้ตรงเป้าหมาย เข้าเป้า!!
8. สัพพโลเก อนภิรตสัญญา (กำหนดหมายความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง — contemplation on the non-delightfulness of the whole world)
จาก สัพโลเก เป็น
9. สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา (กำหนดหมายความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง — contemplation on the non-pleasantness of the whole world)
การที่เราพูดว่า เราลิขิตเอง อันนี้คือ การ กำหนดหมายไม่ยอมเป็นทาส เป็นสังขาร
ที่ใครมาปรุงให้เราเป็น แม้นว่าจะเป็นการ ปรารภการ ลิขิต เอง แต่ก็ไม่ได้พิจารณา
ในแง่ ตนเป็น พระเจ้าบันดาล เนื่องจาก สัญญาสัพโลเก ยังมีกำลังส่งอยู่ ดูให้ดีๆ
นะ มันมีกำลังส่งมาถึง ทิฏฐิธรรมตัวนี้ได้ เพราะ จิตสัมปยุตกับ ฌาณจิต ชนิดหนึ่ง
ชนิดใดอยู่ และโดยหลักการแล้ว เป็น อรูปฌาณ เพราะ อรูปฌาณเป็น เนขขัมมะที่
ทำให้ ละรูปวจรจิต หรือ ละรูปฌาณ
และ อีกทั้งไม่มีที่ตั้ง ซึ่งทั้งหมดคือ "อานาปานสติ" สัญญาตัวที่ 10 เพราะมีร่องรอย
ของ สุญญตาสมาธิ อนิมิตสมาธิ และ อัปณิหิตสมาธิ พร้อมสรรพ และด้วยความที่
"ศรัทธาถูกต้อง" จึงมี "จิตตั้งไว้ถูกต้อง" ทำให้เกิดการเก็บผลงานคือ "ปราถนาถูก
ต้อง"
พอ "ปราถนาถูกต้อง" ที่เหลือจากจุดๆนี้ ก็คือ แรงปราถนาที่ปรากฏตัว รำพัน
ออกมาเป็นการปรารภความเพียร ตัวหนังสือที่เรียงร้อยนั้นส่วนหนึ่ง แต่เหตุปัจจัย
ของการ ระเบิด บรรยายตัวอักษระนั้น ออกมาจาก ธรรมเพียงตัวเดียว คือ
"ความปราถนาถูกต้อง"
<!-- google_ad_section_end --><HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
สังเกตุดีๆนะ คล้ายๆว่า ตัวเองจะปรารภว่า สอนคนอื่น จะต้องสอนอย่างไร แต่จริงๆ
แล้ว มันเป็นการอธิบาย สิ่งที่ตัวเองเดินมาต่างหาก
ทุกอย่างมี "ศรัทธานำก่อน"
ก็นั่นแหละ การปรารภถึง "โลก" เรื่องของ รูปนาม ที่เกิดตามเหตุปัจจัย
หากมีศรัทธาถูกต้อง ตั้งจิตไว้ถูกต้อง ก็ย่อมพบ นิพพาน ได้ไม่ว่าจะด้วย
ฐานะอะไร มันก็คือ อย่างเดียวกัน มรรคมีหนึ่งเดียว จะ พุทธะ ปัจเจก
หรือ สาวก ก็ล้วนแต่ใช้ วิถีทางเดียวกัน คือ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่
เพราะ "อยาก"
ก็จะเห็นว่า การแจ้งในโลก หรือ โลกวิทู นั้น คือ การรู้เข้ามาในกายในใจ
ตนนั่นแหละ ไม่ต้องไปพิจารณาเอาจากที่ไหน -
แล้วสังเกต ย้อนเข้าไปอีกที
คนเรานะ มันแปลก เวลาภาวนาได้ดี แต่ มันเสียหาย กลับเล็งเห็นว่า ตัวเอง
ภาวนาไม่ได้ กุศลเกิดขึ้นแล้วแท้ๆ แต่กลับโยนทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะอะไร
เพราะความเคยชินในการ ส่งจิตออกนอก
จริงๆแล้ว หากพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ว่าจะเป็น ธรรมนอก ธรรมใน
ธรรมภายในเป็นธรรมภายนอก ธรรมภายนอกเป็นธรรมภายใน ให้ดีๆ ไม่ ส่งออก
มันจะเป็น ปัญญา ทันที
แต่พอส่งออก ก็เรียบร้อย ภาวนามาดีเท่าไหร่ ก็ เสร็จมันหมด
แล้ว พวกมาร ที่ภาวนาไม่เป็น ก็จะ เอะอะมะเทิ้ง พาเรา เพลินอยู่กับการ ส่งออกนอก
เละเทะไปเรื่อยๆ เรียกว่า ตกร่องปล่องชิ้นกับความเหลงไหล -
คำตอบของคำถามนี้คือ วงกลมครับ (ผมจำไม่ได้ว่าอ่านจากไหน) เพราะทุกอย่างเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันหมด หาต้นจนปลายก็วนอยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์จึงสอนว่าอย่าไปหามัน ให้หาที่สุดดีกว่า (หมายถึงนิพพาน การไม่เกิดอีก) ส่วนคนที่ไม่เชื่อถ้าอยากให้เขาเชื่อต้องให้เขาปฏิบัติจนพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เขาจึงเชื่อ ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าคำถาม - คำตอบนี้ อ่านเจอที่ไหน แต่เนื้อหาคำถาม - คำตอบ ประมาณนี้ครับ ขอท่านผู้รู้รายละเอียดกรุณาสงเคราะห์ด้วย สาธุครับ
-
มาดูกันต่อ
เนื่องจาก กระทู้ที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องอาวุธประจำอินทรีย์มีผลประโยชน์ทับร้อง
เวลา คนธรรมดา ไม่เคยฝึกรูปฌาณสำเร็จ ไม่เคยฝึกอรูปฌาณสำเร็จ
คนธรรมเหล่านั้น จะมีโอกาส ปฏิบัติเพื่อ พระนิพพานได้ไหม
อันนี้ เรามาดู พระมหากรุณาธิคุณอันยอดเยี่ยมหาผู้ใดเสมอไม่ได้กันก่อน
ก็ คนธรรมดาเหล่านั้น หากแม้นได้เกิดเป็นมนุษย์ อันเป็น ต้นทุนอันประเสริฐ
แล้ว ยัง แถมด้วยการ เกิดในสมัยที่พระพุทธศาสนายังอยู่ อย่ามัวแต่คิดว่า
มนุษย์ธรรมดาๆ ที่ไม่เคยฝึกฌาณใดๆ จะบรรลุธรรมไม่ได้ !!
เพราะ พระพุทธองค์ได้ตรัสชี้ อุบายธรรมชั้นเลิศไว้หมดแล้ว เพียงแต่ตรึก
ใน "สัญญา10" ให้ถูกวิธี ให้อยู่ในอริยวินัยไว้ จิตของผู้ฝึกตน จะเกิด
ฌาณสัมปยุตโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ พร้อมสรรพท่ามกลางการภาวนาไปด้วย
ทันที
ฌาณที่สัมปยุตกับจิต จะมีรสใกล้เคียง อรูปฌาณ แต่ ก็ไม่ใช่ อรูปฌาณ
เพราะความที่ไม่อยู่ ( คำว่า อยู่ คือ สมาบัติ หากมี สมาบัติ ผู้นั้นก็เรียก
ว่า ฝึกฌาณ )
ความที่มีรสเป็น อรูปฌาณ ทำให้ จิตของผู้ภาวนาไตร่ตรองอย่างถูกวิธีพ้น
อำนาจของ รูปฌาณสังโยชน์ โดยอัตโนมัติ เพราะ "อรูปฌาณ เป็นเครื่อง
ละ รูปฌาณ"
และความที่ไม่เสพเป็น สมาบัติ ผู้ภ่าวนาจึงพ้นอำนาจของ อรูปฌาณย้อมเป็น
สังโยชน์ไปพร้อมกัน
เรียก ภูมิจิตที่มีความตั้งมั่น ไม่เสพติด โดนย้อมเป็น สังโยชน์ ห่างไกลจาก
ข้าศึก(ตัณหาที่จะย้อมติดจิต อันลวงให้เข้าใจผิดว่า รูปฌาณ หรือ อรูปฌาณ
เป็น นิพพาน) ว่า "สุญญตาสมาธิ"
เนื่องจากเป็น สุญญตาสมาธิ ผู้ภาวนาก็จะไม่รู้สึกว่า ตนได้ฌาณ ( โดนรูปราคะ
อรูปราคะ ย้อมติดจิต) แต่ก็ไม่ถือว่า ห่างเหินจากฌาณ จิตมีกำลังฌาณอยู่ใน
ภูมิจิตเพียงแต่ไม่ติดข้อง
จขกท ก็จะเห็นว่า หากเรามีศรัทธาถูกต้อง อีกทั้ง ตรึกในธรรม ด้วยวิธีง่ายๆ
ที่พระพุทธองค์กล่าวสอนไว้ ผู้นั้นจะไม่ต้องเสียเวลา ประกอบ ฌาณ แต่กระนั้น
ก็จะละเลยเห็น ฌาณจิตที่เกิดอยู่ ก็ไม่ได้ ต้องตามเห็นไว้ด้วยแม้นจะไม่เสพเป็น
สมาบัติ
ทำไมหละ
ตรงนี้แหละ จะเป็นตัวช่วยให้เธอคลายมือจากอาวุธประจำตัว
เมื่อไหร่ เธอสามารถตรึกในธรรม เอา ความคิดความอ่าน มาตรึกในเรื่อง
ที่เป็นธรรมะ อีกทั้ง ยังสามารถตามเห็น ภูมจิตที่มี ฌาณจิต สัมปยุต เธอ
จะพบกับความมั่นใจ จะพบคุณค่าอันเปี่ยมล้นที่พระพุทธองค์ประทานไว้ให้
เพียงเสี้ยวขณะจิตที่เธอใช้ความคิด ตรึกตรองธรรมะ มันจะนำเธอไปสู่ พระนิพพาน
แล้วหากเธอเห็นว่า
เสี้ยวขณะจิตที่สั้นๆพอกัน แต่เธอเอาไปใช้ประกอบกับการกำมือกำไม้ทื่อๆ มันนำเธอ
ไปสู่นรก
เธอคิดว่า ภูมิจิตของคนที่เห็น คุณค่าในการตรึก ในการคิดเพียงเสี้ยววินาที สามารถ
ให้ผลลัพธ์ที่ต่างราวฟ้ากับเหว จะเป็นอย่างไร
ยามใด เธอยกจิต เห็น คุณค่าของพระธรรมคำสอน เธออย่าแปลกใจที่อาวุธนั้น
จะเหมือนถูกเก็บไว้ในฝัก
เธออย่าเสียใจ เพราะ การเก็บอาวุธไว้ในฝักนั้น ปุถุชนเรียกไว้อย่างคนเขลาว่า จุ๊ด...
อะไรที่ ปุถุชนคนหนาเรียกว่า "พระเจ้า" บันดาล หรือ พระผู้สร้าง มันก็คือ ไอ้จุ๊ด... นั้น
อาสวะกิเลสนอนเนื่องลงเหมือนของเด็ก กับ อาสวะฟูพองเห่อเหิมเริมถามหา อย่างไหน
เธอคิดว่าเป็น จิตที่มีกำลังของฌาณ
นี่ ลองพิจารณาดูนะ ว่า เธอเดินทางมาอย่างไร จริงหรือที่มีคนบันดาล มีพระเจ้า
มีผู้กำหนด หรือว่าทั้งหมด ก็คือ สิ่งที่เป็นไปตามปัจจัย อิทิปปัจจยตา -
ย้ำอีกครั้ง การตรึกธรรมที่ถูกวิธี จะช่วยให้ ผู้ภาวนา ไม่ต้อง มุ่งกระทำฌาณให้สำเร็จ
เพราะ หากตรึกถูกต้อง จิตจะเกิด ฌาณสัมปยุติกับจิตไปในตัว
ตรงนี้ ต้องเน้นว่า เราต้อง ผลิกจิต พิจารณา เห็นฌาณจิตที่เกิด เห็นฌาณจิตที่ดับ
เห็นฌาณจิตที่เสพแต่ไม่ต้อง(แตะต้อง,สัมผัส,อาบ,อยู่) ไว้ด้วย
ทำไม่ต้องตามเห็นด้วย
เพราะเราจะอาศัย เป็นเครื่องผูกจิต ให้อยู่กับความสงบ ให้จิตรู้จักความสงบ สงัด
หาก ตรึกธรรมะ แต่ ไม่เห็นคุณค่าของ ฌาณจิต ที่สัมปยุต ผู้นั่นเรียกว่า
"ไม่เพียรเพ่งฌาณ" เมื่อไม่เพียรเพ่งฌาณ ก็ไม่รู้จัก คุณ และ โทษ ของฌาณจิต
เมื่อไม่รู้จัก คุณ และ โทษ ของฌาณจิต ธรรมะที่ตรึกก็จะไม่มี สมาธิ รองรับ
เมื่อนั้น ความรู้ความคิด การตรึก จะส่งออกนอกหมด ไม่มีเครื่องผูกจิต
พอส่งออกหมด ก็กลายเป็นว่า เสียหาย
เหมือนจะรู้ธรรมะของพระพุทธองค์ครบถ้วนแต่ ไม่เกิด ความเป็นอริยะแก่จิตเลย
พอนานวันเข้า ตกตายไปจากโลก สิ่งที่ภาวนาทั้งหมด ก็สูญหายไปหมด
ไม่เหลืออะไรไว้ติดภูมิจิตภูมิธรรม เพียงเพราะ ไม่รู้คุณและโทษของ ฌาณจิต -
อนึ่ง สำหรับเรื่อง ปราถนาพุทธภูมิ หรือ การปราถนาจะเป็น พระสัพพัญญู
หากดูตามเนื้อหาที่โพส ใน#1 มันก็พอจะแสดงออกได้ว่า เธอปราถนาพุทธภูมิ
มันก็เป็นเรื่องดี เรื่องของคนดี ที่จะเอาอวิชชานำหน้าไปสู่ความดี
แต่.......
หากทบทวนกริยาจิต สิ่งที่เป็น ปัจจัยให้กับจิตนั้น ว่าตอนนี้มีปัจจัย
มากน้อยแค่ไหนที่จะเคลื่อนไปสู่ความเป็นพระสัพพัญญู ก็ต้องจำใจ
เหยียบสหายให้คาที่ว่า
มีน้อยมาก มีแต่การไต่ถาม กุศลเกิดกับตัวก็มองไม่เห็น เหล่านี้แสดงถึง
อินทรีย์ที่น้อยมาก
นี่ขนาดเกิดในช่วงเวลาที่พระพุทธองค์ยังทรงฉายแสงให้เห็นทางอยู่ เธอ
ยังเห็นได้ยาก
ประสาอะไรในยาม ที่โลกว่างเว้นพระพุทธศาสนา เธอจะไม่มีวันรู้ปฏิปทา
ของตนเองได้เลยว่า ตั้งปณิธานไว้อย่างไร เพราะ ลำพังกรรมฐานที่ถูก
ต้องก็เป็นเครื่องสละออกหมด แม้แต่ หนทางที่กำลังฝึก ก็ฝึกเพื่อละหนทาง
นั้นด้วย
ดังนั้น หากไปอยู่ในเวลาที่ไม่มีแสงแห่งบารมีสาดส่องแล้ว โอกาสที่ให้
ปัจจัยที่มีนั้นนำพาไปสู่ความเป็นสัพพัญญูมันจะไม่มี
แล้วหากเจอสมัยที่มีสัพพญญู แล้ว การภาวนาเกิดกุศลกับตัวก็ไม่รู้อย่างนี้อีก
ก็คงจะเอ้ระเหยเรื่อยไป ไม่มีทางจะเป็นจริงได้ตามปราถนา
.....จขกท ควรพิจารณา ดูให้ดี......
หากดำริจะถอดถอนอธิษฐานแล้ว ก็ไม่ยาก ยามที่เธอจะปรารภ สรุปจบ เหมือน
กระทู้ที่ 1 ก็เพียงแต่เห็น แล้ว ระงับการปรารภเสีย ก็จะถือว่า สามารถถอนตน
ออก เพื่อไปสู่ความเป็น อรหันต์ในปัจจุบันชาติไปเสีย มีประโยชน์กว่า
ดั่งที่หลวงปู่มั่น ได้ปรารภเป็นตัวอย่างไว้ -
เเบบใหน
เเบใหนจึงจะเรียกว่า เป็นการภาวณา ที่สมบูรณ์ครับ -
การ ภาวณา คืออะไรหรอคับ
ภ [อุตสาหะ] - เกี่ยวข้องกับความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความเหน็ดเหนื่อย ความมานะพยายาม
า [บริวาร] - เกี่ยวข้องกับคนในความอุปการะ เลี้ยงดู
ว [มนตรี] - เกี่ยวข้องผู้อุปถัมภ์ค้ำชู หรือต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ณ [ศรี] - เกี่ขวข้องกับหลักทรัพย์ เงินทอง และโชคลาภ
า [บริวาร] - เกี่ยวข้องกับคนในความอุปการะ เลี้ยงดู
อะไรหว่า google ยังหาไม่เจอ -
การภาวนา คือ การเรียนรู้ตัวเอง
-
อืม ขอบคุณคับ
แล้ว ไปเรียนรู้ตัวเอง ที่ไหนหรอคับ
หน้า 1 ของ 3