อะไรคือเครื่องกั้นใจไม่ให้หลงไปตามกิเลศครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย งูๆปลาๆ, 22 มกราคม 2019.

  1. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ขอความรู้ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ
     
  2. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ผมว่าสภาวะของจิตจริงๆไม่มีตัวตนที่มีตัวตนจึงต้องคอยรักษาครับ เครื่องกั้นจึงไม่มี
     
  3. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    มีจิฮับ....

    แต่...ต้องทำให้ชัดใน เครื่องกั้นขวางเหนนิพพาน ก่อน

    ซึ่ง ศัพท์ ก้จะใช้ นิวรณ์ กับ อุปกิเลส .

    ปัญหา จะอยู่ตรงนี้ ....นิวรณ์ กับ อุปกิเลส
    พอพูดถึง นึกถึง ถ้ายังไม่ได้โสดาปฏิมรรค
    มันจะผลิกเปน นิวรณ์ อุปกิเลส แบบ ชาว
    บ้าน(ฤาษี พรหามณ์) ทันที ห้ามไม่ได้

    นะ

    เน้นว่า ผลิกทันที ห้ามไม่ได้ด้วย เว้นแต่

    ขยัน เอะใจ เข้าหาใครก้ได้ ให้แสดงธรรม
    จะ ธรรมวาทีก้ได้ อธรรมวาที ก้ได้ ฟังได้
    ทั้งสองฝั่ง....แล้วกำหรดรู้ ฉันทะ

    พอเหน ฉันทะ แล้ว ก้จดจำสภาวะ จนจำ
    ฉันทะได้แม่น เกิดสติ

    มีสติ จำ ฉันทะ เปนสภาวะธรรมได้แม่น ก้ให้
    ระลึก สติเกิดอย่างไร ดับอย่างไร (เกิดตรง
    นั่น ดับตรงนั้น ไม่มีค้างเติ่ง) จึง อ๋อ สติ มี
    สภาวะธรรมอย่างนี้ อาสัยเวทนาเพื่อระลึก
    เหนการเกิดของสติ จึงชื่อ เวทนาในเวทนา
    หรือ เวทนานุสติปัฏฐาน "สติ เกิดตามหลัง
    กองฐานเวทนา"

    นะ

    พอได้แบบนี้ จะไม่ถามใครแล้ว อะไร
    คือ เครื่องกั้นกิเลส

    แล้ว พ้นการรู้นิวรณ์ อุปกิเลส แบบ ชาวบ้านทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2019
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ปัดโถ่....จะถามทำไมเนี่ยะ....


    ปล. พึงไปเหน ข้อความอีกโพส ในกระมู้ว์อื่น

    ปล.2. จขกท อย่าเอา ธรรมะ ไปแลก เปรียงเน่า จิฮับ
     
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ไม่รู้จะกั้นตรงไหน เพราะจิตไม่มี
    ขนาดรูปร่างตัวตน
    มีเพียงสติเท่านั้น ที่จะคอยระวังว่าจิต
    คิดปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้หรือรู้เฉยๆ
    เท่านั้น
    ฉะนั้น จะถือเอาสติเป็นรั้วขวางกั้นกิเลส
    ด่านแรกก็ได้ฮับ
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ถามง่าย..ก็จะตอบง่ายครับ...ถ้าจะกั้นกิเลส ก็ต้องรู้แล้วและเข้าใจแล้วว่ามันคือกิเลสหรือตัณหาอันเดียวกัน ทีนี้อาจมีการแยกความลึกตื้นของการเข้าใจของคุณคนถามก่อนว่า กิเลสที่คุณเอามาถามมันคือ ความทุกข์ หรือ ตัณหาที่เป็นเหตุแห่งทุกข์...ถ้าคุณเข้าใจได้ชัดเจน ว่า ถ้า มันเป็นความทุกข์คุณก็ให้กำหนดรู้ทัน ให้ทัน ทั้งสามรอบคือ การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป..ของกระบวนการของมัน...แต่ถ้ากิเลสของคุณมันคือตัณหาคือเหตุแห่งทุกข์คุณก็ต้องหาทาง ดับ ละวาง หนีห่าง ทิ้งมันไป ....หรือจะเอาตามทางสายกลางทั้งแปดข้อ มรรคแปดที่เป็นเครื่องนำออกจากกิเลสตัณหา ..ทั้งหมดคือ ตามแบบของอริยสัจสี่นั่นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2019
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    จะขอแจกแจง มรรคแปด ดังนี้ครับ
    1.สัมมาทิฐิ...ปัญญาความเห็นชอบ ที่เป็นปัญญาความเข้าใจแค่ด้านที่เป็นกุศลเท่านั้น เช่นตามข้อศีลห้าเป็นหลัก
    2.สัมมาสังกัปโปหรือดำริชอบ ไม่ได้หมายถึงความคิดชอบนะครับ แต่หมายถึง มีเจตนาที่ดีที่เป็นด้านกุศลตามข้อศีลเช่นกัน เช่นกำหนดที่จะกระทำกรรมนั้นๆงานนั้นๆด้วยเจตนาที่เป็นกุศลที่ได้จากความเห็นชอบจากปัญญาชอบ ของมรรคข้อแรกนั่นเองครับ
    3.สัมมาวาจา คือ การพูดจา การสื่อสาร ทุกรูปแบบชอบเช่น ดี สุภาพ ไพเราะ น่าฟัง ที่เกิดมาจาก ปัญญาดี เจตนาดี จากมรรคข้อที่ 1 และมรรคข้อที่ 2 นั่นเองครับ ...วาจาชอบรวมความหมดทั้งการสื่อสารด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือ การาำรวมระวังอยู่เสมอนั่นเองครับ
    4.สัมมากัมมันโตคือการงานชอบ ไม่ได้หมายถึงหน้าที่การงานเท่านั้นนะครับ แต่หมายถึง การลงมือลงกายลงใจในการทำงานด้วยกายใจที่ประกอบไปด้วย มรรค 3 ข้อแรกนั่นเอง จึงได้ชื่อว่าเป็นการ ลงมือกระทำ ทำงาน ด้วยความชอบ พอใจ มีความสุข ทำด้วยความยินดีที่จะทำ เต็มใจที่จะทำ นั่นเองครับ
    5.สัมมาอาชีโวคืออาชีพชอบ ในที่นี้ไม่ไช่แค่การเลือกอาชีพ มีอาชีพเท่านั้นนะครับ แต่หมายถึง...ทุกการทำงานการหาอยู่หากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงชีพทุกรูปแบบต้องเป็นไปด้วยความถูกต้องตามข้อศีล ตามกฏหมาย ตามธรรม นั่นเองครับ
    6.สัมมาวายาโมคือความเพียรชอบหมายถึง เมื่อกระทำมรรคมาได้ครบทั้ง 5 ข้อได้แล้ว ความเพียรชอบนี้จึงหมายถึง การขยันในการงานในการหาเลี้ยงชีพทั้งกายและใจนั่นเอง ขยัน อดทน ตั้งใจ ฉันทะ วิริยะ ในกายใจของตนครับ
    7. สัมมาสติคือสติชอบ อันนี้ไม่ได้หมายถึงความคิดนะครับ เรื่องความคิดเห็นชอบมันคือมรรคข้อ 1 โน่นครับ สติข้อนี้หมายถึง การมีสติ กำหนดสติ ควบคุมสติ ให้ระลึกแต่ทางด้านที่ดีที่เป็นกุศลในกายใจที่ทำงานที่ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ เพื่อให้อยู่ในข้อศีล หรือในมรรคทั้ง 6 ข้อที่ผ่านมาครับ
    8.สัมมาสมาธิคือสมาธิชอบ แปลว่า ความสงบชอบความปกติชอบ ความสุขชอบ คือกายใจที่อยู่ในข้อศีลในธรรม ที่เป็นผลมาจากมรรคทั้ง 7 ข้อ ที่ผ่านมา คือการมีความสงบสุขในกายใจหรือในชีวิตประจำวันที่ ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ห่างไกลจากกิเลสตัณหา ทั้งหลายทั้งปวง เพราะมีศีล จนเกิดสมาธิ..จนที่สุด จะเกิดปัญญาเข้าใจในความจริง ในธรรม ในอริยสัจสี่...นั่นเองครับ

    นี่คือ...วิธีการที่มรรคแปดเป็นเครื่องนำออกห่างจ่กกิเลสตัณหาได้อย่างไร ตามขั้นตอนครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2019
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ที่ผมตอบคุณไปนี่ ต้องหมายถึง ..คุณคนถาม เห็นว่ามันเป็นกิเลส เห็นมันเป็นตัณหาได้แล้ว หมายถึง คุณเข้าใจ เข้าถึง เหตุแห่งทุกข์ สาเหตุแห่งความทุกข์ เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความทุกข์ ได้แล้ว ชัดเจนแล้วนะครับ คุณถึงจะเรียกมัน หรือเรียกสิ่งที่คุณเข้าใจนั้นว่าเป็นกิเลสหรือตัณหาหรือ เหตุแห่งทุกข์ แล้วจึงจะ เดินมรรคได้นะครับ...แต่ถ้าคุณยังไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่เข้าใจในเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความทุกข์ สำหรับผมแล้วจะแปลว่าคุณยังไม่รู้จักกิเลสตัณหาที่แท้จริงหรอกครับ
    ดังนั้น ถ้าคุณยังไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง ก็แปลว่าคุณยังไม่รู้จักกิเลสตัณหาที่แท้จริง คุณจึงจำเป็นจะต้อง รู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ โดยกำหนดรู้ทุกข์จากการฝึกดูทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ....ว่าง....เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของทุกข์ อยู่แบบนี้ แบบวนรอบทั้งสามไตรลักษ์ ให้ครบรอบต่อเนื่องไม่ขาดตอนแบบการฝึกสติปัฏฐานสี่นั่นเอง ก็เพื่อจะได้เข้าใจในเหตุแห่งทุกข์ ที่แท้จริง.ทั้งอณุโลมและปฏิโลม ได้แล้ว ถึงจะเป็นการรู้เข้าใจในกิเลสและตัณหาที่แท้จริง ...แล้วถึงจะมาตั้งคำถาม หาวิธีกั้นกิเลสตัณหาครับ....ผมตอบตามที่ควรจะเป็นครับ
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    อะไรคือความทุกข์ ให้คุณหาอ่านเอาใน ทุกข์อริยะสัจ นะครับ
    ส่วนเหตุแห่งทุกข์คือ สมุทัย ความทะยานอยากที่เป็นกิเลสตัณหาคือสภาวะที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เองตามธรรมชาติ ให้เข้าใจว่าเป็นแบบนี้ไปก่อนนะครับ จนกว่าคุณจะเข้าไปรู้ไปเห็น เหตุแหงการสมุทัยอริยะสัจ ตัวการแห่งการทะยานอยาก ให้ได้ก่อน คือ เข้าใจ วงรอบของไตรลักษณ์ ให้ได้เสียก่อน จึงจะได้ชื่อว่า ได้รู้เห็นในเหตุแห่งกิเลสตัณหาที่แท้จริง เพราะแค่เข้าใจว่ามันเรียกว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากนั้น มันยังไม่เพียงพอต่อการ หาทางละวางดับทุกข์ได้หรอกครับ
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    เรื่องกิเลสตัณหาหรือสมุทัยอริยะสัจ สามข้อ มี
    1.กามตัณหา ความทะยานอยากในกามทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่เพลิดเพลิน พอใจ ไคร่ กำหนัดในกามารมณ์ทั้งหลาย
    2.ภวตัณหา ความทะยานอยากในสิ่งที่เคยได้เคยมี มีอยู่ เป็นอยู่ หรือมีอยู่ เป็นอยู่ แต่ไม่รู้จักพอ เรียกว่าความโลภทั้งหลาย
    3.วิภวตัณหา ความทะยานอยากในสิ่งที่ไม่มีในตน ที่ตนไม่ได้เป็น หรือของที่มีในคนอื่นหรือสิ่งอื่น เช่นในความคิด ความเพ้อฝัน นี่เรียกว่าความหลง

    ทำไมถึงเรียกว่าเป็นความทะยานอยาก ก็เพราะมัน คือ การที่คนเราไม่มีสติในกาย ไม่มีสติในตัวเอง ไม่มีสติในปัจจุบันของตนเอง ที่ตนเองเป็นอยู่ เหมือนสติหรือจิตวิญญาณมันล่องลอย กระโจนทะยานหลุดออกจากร่าง จากกาย จากความเป็นจริงของตนเองเหมือนคนลืมตัวลืมตน...เรียกว่ามันสมุทัยออกจากกายจากปัจจุบัน นั่นเอง

    ผมหวังว่าคุณคนที่ถาม คงอ่านแล้ว น่าจะทำความเข้าใจในตนเองได้มากขึ้นนะครับ
    ขอบคุณที่อ่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2019
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    อะไรคือ สัมมาทิฐิ...มรรคข้อแรก ผมขอตอบในแบบที่ผมเข้าใจนะครับ

    สัมมาทิฐิคือความดี คุณค่า ปัญญา ที่มีในจิตวิญญาณของตน ที่มีมาตั้งแต่เกิด
    หมายถึง คนทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น มีบุญกุศลที่เป็นทุนเดิมหนุนนำมาให้เกิด มีเหตุแห่งกรรมดี เป็นส่วนที่ส่งมาให้เกิดอยู่แล้ว แต่จะมีด้าน อกุศลมากน้อยที่ต้องมาชดใช้ ชำระ แก้ไข ก็มากน้อยต่างกันไป แต่ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็ถือว่าทำบุญสร้างกุศลมาดีพอ ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์จึง ถือว่า มาเพื่อ แก้ไข เพื่อชดใช้ เพื่อเลือกทางเดินให้กับตนเอง เพื่อตัดสินชะตากรรมของตนเองด้วยตนเอง อีกครั้ง...กรรมของตน จึงเป็นเครื่องตัดสินของแต่ละคน นั่นเองครับ
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    มาว่ากันให้ครบ เรื่องของ นิโรธอริยะสัจ พร้อมเลยนะครับ

    เมื่อฝึกกำหนดรู้ทุกข์ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ของ กิเลสตัณหา จากการฝึกสติปัฏฐาน ช่วงแรกก็จะเห็นการดับไป อันสั้นๆ ชั่วครู่ยามหรืออาจจะดูไม่ทันก็เป็นได้ ถ้าเป็นการฝึกกำหนดรู้ทุกข์ในตอนเริ่มช่วงแรกๆ เมื่อฝึกบ่อยๆ กำกับสติได้นานๆ จึงจะเห็นการดับไปในช่วงที่ยาวขึ้น ห่างขึ้น เห็นว่าง ก่อนจะเห็นการเกิดขึ้นอีกในรอบต่อไป นี่คือ การดับ การนิโรธ ความปกติ ความสงบของการที่ทุกข์ดับไปชั่วครู่ ....เพื่อรับรู้ว่า นี่คือสถาวะนิโรธชั่วครู่ที่พึง สัมผัสรับรู้ในสภาวะที่ความทุข์มันดับไปชั่วคราว หรือกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันหยุดมันดับไปชั่วคราวนั่นเอง เมื่อฝึกสติกำหนดรู้ทุกข์ตามดูตามรู้ ด้วยสติ บ่อยๆจนสงบ สะสมสม่ธิมากขึ้นจนรู้ทันการตั้งอยู่ เปรียบเหมือนการวิ่งได้เร็ว ทัน การทะยานอยากของกิเลสตัณหานั่นเอง..แต่จะยังไม่ทันเห็นทันการเกิดขึ้นของมัน ก็ต้องฝึกต่อไปนะครับ....การฝึกเพื่อให้เข้าไปเห็นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จรืง จึง ไม่เป็นของง่ายครับ ..หวังว่าคงไม่หมดกำบังใจไปก่อนนะครับ
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ศีล สมาธิ ปัญญาทางธรรม

    หู ตา ปาก ใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2019
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    นะ นะ น้า จร ......

    กินดี โจโฉ มาแว้วววววว......

    _/\_ _/\_ _/\_

    ภาวนาไปเนาะ อย่าไปแวะเวียน
    ภัยพิบัติ พยต ละกัน
     
  15. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ขอขอบคุณทุกๆคำตอบนะครับ อนุโมทนาธรรมที่ทุกๆท่านแสดงนะครับ
     
  16. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    เครื่องกั้นใจ-มีด้วยเหรอ ธรรมชาติของจิตต้อง เกิด-ดับ-อยู่ตลอดเวลาเปรียบเสมือนลิงที่เกาะกิ่งไม้นะ..จากิ่งนี้ ไปกิ่งโน้น..งูๆปลาๆคุณต้องตั้งฉายาใหม่-เป็น รู้จริงซะที ผมตั้งให้เปลี่ยนเป็น "รู้แล้วครับ"..เหตุเพราะคุณไปศึกษาตำราผิดๆ- จึงทำให้คุณ รู้งูๆปลาๆไปทั้งชีวิต หาจุดจบ ของจริงที่ควรรู้จริงไม่ได้ ไปเลยโน่นครับ "พุทธวจน"..ของจริง
    จิตเกิด คือจิตเข้าไปเสวยอะไรเป็นอารมณ์ อุปกิเลส นิวรณ์5 นั่นไงครับตามธรรมชาติของเขา วิธีละก็คือ .."เกิดปั๊บ ละปุ๊บ เขาเรียกละ นันทิราคะ..พจ.ท่านบอกใครจะมีอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ ก็ให้ดูตรงนี้ ใครละนันทิราคะ ได้ไวดุจกระพริบตาในทุกครั้งที่จิตเกิดนั่นแหละ ..อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ ครับสาธุ
     
  17. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ครับเพราะยึดจิตเป็นตนจึงหาเครื่องกั้นจิตจากอวิชาคือความหลงไปยึดจนเกิด ดับ ไหม่ๆไปเรื่อยๆ

    พระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่าเครื่องกั้นร้อยรัดนั้นคือตัวอวิชาเองที่ทำให้หลงผิดคิดว่ามีตัวตนเป็นของๆตน

    คำตอบของคำถามนี้อยุ่ที่ว่าผู้นั้นเห็นจิตอย่างไรครับเป็นตนเป็นของๆตน. หรือเป็นอย่างนั้นตถตา เกิดขึ้นเองตั้งอยุ่ดับไปเองอย่างนั้นครับ

    เมื่อคว้าเข้ายึดก้ด้วยเพราะยังมีเครื่องกั้นความจริงอยุ่เมื่อเห็นตามความจริงก้จะหลุดพ้นจากวงจรนี้ไปได้ครับตาม ปติจสมุปบาท และ อิทัปปัจยตา

    โมทานาครับสาธุ
     
  18. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ตอบเหมือนคุณ Saber

    ศีล 5 ใช้ควบคุมตนเองไม่ให้ทำผิด ไม่คล้อยตามกิเลศ

    ศรัทธาเชื่อว่าคำสอนดีจริง วิริยะหมั่นเพียรปฏิบัติ มีสติหมั่นทำสมาธิและก่อเกิดปัญญา
     
  19. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    ..ความจริง-ชีวิตจริง เห็นอยู่คาตาทุกวินาที.."ตัวตน" ของคุณนั่นนะได้มาจากอะไรครับ..ก็จิตคุณนั่นแหละ ไปหลง ไปยึดเกาะ-กิเลส ก่อน จึงมาเกิด แล้วมาเรียกทีหลังว่าหลงไปเกาะเพราะไม่รู้ จึงเพลินติดใจ ติด "อวิชชา" ไงครับ
    ถ้าไม่ใช่เพราะ จิต ที่เกิดการ หลงเพลินติด หลงไปยึด(อุปทาน) กิเลสอยากมาเกิดเพราะติดใจในความเพลินนั้นๆ (เวทนา) จิต..จึงมาสร้างอัตตาใหม่(ภพ) เกิดใหม่(ชาติ) ได้ผืนนาใหม่(กรรมในปัจจุบัน) ได้ภพใหม่ นี่แหละกรรมล้วนๆของทุกคนเลยครับ..เครื่องกั้นจิต ที่คุณยกมาจะเรียกอะไรก็ได้ -ตามภาษาโลก เช่น สังโยชน์ 10 เป็นไง ..อวิชชาเป็นไง..เลิกเรียนแบบติดตำรา-ภาษา-ควร หันมาใช้ทักษะ ที่เ้กิดจากประสบการเรียน-ปฏิบัติ-จริงในการรับรู้ได้แล้วครับ สาธุ คุณนี่มีดีในตัวอยู่เห็นๆแต่ วนเวียนอยู่จนตาลายย ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...