อัฐิเป็นพระธาตุได้เร็วได้ช้า (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 21 กันยายน 2013.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    อัฐิเป็นพระธาตุได้เร็วได้ช้า

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๐


    สรุปทองคำน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๒ กุมภา ทองคำที่หลอมแล้ว ๓๖๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๒๙ แท่งๆ ละ ๑๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ยังไม่ได้หลอม ๑๖ กิโล ๑๘ บาท ๘๗ สตางค์ รวมทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอมเป็น ๓๗๘ กิโล ๕๑ บาท ๗๖ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบไปแล้วนั้นเข้าด้วยกันก็เป็นทองคำ ๔๑๖ กิโล ๑๘ บาท ๘๗ สตางค์ รวมแล้วเรียกว่าเราได้ทองคำ ๑๑ ตันกับ ๔๑๖ กิโล ๑๘ บาท ๘๗ สตางค์ ทองคำเหล่านี้ยังอยู่ข้างนอก ยังไม่ได้หลอมยังไม่ได้เข้า ที่เข้าแล้ว ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง อันนี้เศษยังไม่ได้เข้า พยายามเก็บหอมรอมริบมา ควรหลอมก็หลอม

    เราพยายามที่สุดที่จะให้สมบัติอันสำคัญๆ เข้าสู่คลังหลวงของเราซึ่งเป็นหัวใจของชาติ จึงต้องพยายามทุกแบบทุกฉบับที่จะให้ได้เข้ามา การนำพี่น้องทั้งหลายในการช่วยชาติคราวนี้ทั้งวัตถุมีพวกเงินและทองคำเป็นต้น แล้วก็รวมออกไปถึงธรรม ส่วนวัตถุนี้ก็มาเล็กๆ น้อยๆ ไปอย่างนั้น ส่วนธรรมนี้กระจายเวลานี้ ธรรมนี้กระจายออกสู่ประเทศไทยและนอกประเทศไทยไปอีก ธรรมเราที่ไปพร้อมกันกับการช่วยชาติ ประกาศธรรมคำสอนโลกนี้ไปด้วยกันๆ

    เวลานี้ดูเหมือนจะออกทั่วโลกไปแล้ว คือกระจายออกไปทางอินเตอร์เน็ต พวกชาวพุทธเราที่อยู่เมืองนอกเมืองนาก็ได้ยินได้ฟังอรรถธรรมอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ละ ธรรมเรานี้ออกกว้างขวางมากนะ ในประเทศไทยเราก็เรียกว่าหมดแล้ว ทางวิทยุที่ออกก็ ๙๘ สถานีทั่วประเทศไทย ค่อยขยายออกไปเรื่อยๆ นี่ละธรรมกระจายออกไปมากกว่าวัตถุ ที่ว่าช่วยชาติเรามุ่งเอาธรรมเป็นสำคัญ คราวนี้คราวธรรมที่จะได้กระจายออกสู่หัวใจพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศซึ่งเป็นชาวพุทธ แล้วก็ออกจริงๆ ด้วย ส่วนวัตถุก็ค่อยเบาไปๆ ส่วนธรรมะนี้ไม่เบา ออกเรื่อยๆ

    เราได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยพี่น้องชาวไทยเรา ทางด้านวัตถุเราก็ช่วยดังที่เห็นกันอยู่แล้วนี้ ทองคำก็ได้เข้าสู่คลังหลวงถึง ๑๑ ตันกว่า ๔๐๐ กิโลแล้ว ธรรมะให้เข้าสู่จิตใจของประชาชน วัตถุทั้งหลายที่เข้าไม่มีค่ายิ่งกว่าธรรมเข้าสู่หัวใจนะ ถ้าธรรมเข้าสู่หัวใจจะมีกำลังมากทีเดียว เพราะใจเป็นผู้ผลิตทุกสิ่งทุกอย่าง เลวร้ายที่สุดคือใจ เลิศเลอที่สุดก็คือใจ แล้วแต่จะได้สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยหรือเป็นคุณเข้าสู่ใจตัวเอง ถ้าเป็นพิษเป็นภัยก็ทำโลกให้พินาศได้ อย่าว่าแต่เจ้าของพินาศ โลกพินาศได้ด้วย ถ้าธรรมเข้าสู่ใจแล้วชุ่มเย็นไปหมด ผู้ใหญ่ผู้น้อย ประเทศใหญ่ประเทศน้อย เหมือนพ่อแม่กับลูก ถ้าธรรมเข้าสู่สถานที่ใด

    ธรรมเข้าสู่หัวใจแล้ว โลกที่อยู่ร่วมกัน ประเทศใหญ่ประเทศน้อย เหมือนประเทศใหญ่เป็นพ่อเป็นแม่ ให้ความร่มเย็นแก่ประเทศเล็กประเทศน้อยไปโดยลำดับ ถ้ามีธรรมในใจ ถ้าไม่มีธรรมในใจแล้วประเทศใหญ่เท่าไรเป็นยักษ์เป็นผีกินบ้านกินเมืองกินโลก กินไปได้หมด นี่เขาเรียกว่าป่าเถื่อน อำนาจป่าเถื่อน พอกินได้กินไป กลืนได้กลืนไปไปหมด นี่ละกิเลสกินไม่พอ กินเท่าไรก็ไม่พอกิเลส ถ้าธรรมนี้พอ ถึงขั้นพอพอ คือพอเป็นขั้นๆ ธรรมท่านมีพอเป็นขั้นๆ เช่นภาวนา ถึงขั้นสมถะพอ ก้าวเข้าสู่สมาธิ จากสมาธินี่พอ ก้าวเข้าสู่ปัญญา ปัญญาฟาดเสียกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจหมดโดยสิ้นเชิงแล้วพอหมด นั่น

    นี่ละธรรมมีคำว่าพอ อย่างที่เรานำมาพูดเสมอเราพอแล้วเราไม่เอาอะไรในโลกนี้ ไม่เอาจริงๆ ที่ดีดดิ้นอยู่ทุกวันนี้เราไม่ได้ดีดดิ้นเพื่อเรา ดีดดิ้นเพื่อโลกคือเพื่อพี่น้องชาวไทยเรานั่นแหละ เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพี่น้องชาวไทยเรา เราแบตลอดเราไม่เอาอะไร ทางดีดทางดิ้นไม่มีใครเกินเราละ ขวนขวายหาทุกแบบทุกฉบับทุกแง่ทุกมุมดังที่พูดเมื่อตะกี้นี้ อันนั้นเข้าทางนั้น อันนี้เข้าทางนี้ ก็เพื่อเข้าสู่ส่วนรวมนั่นเอง สำหรับเราเราพอ เราไม่เอาอะไร พูดให้ชัดเจน นี่ละการปฏิบัติธรรม เมื่อถึงขั้นพอพอ จะให้เลยกว่านั้นไม่เลย พอ อิ่มเต็มที่แล้ว

    อิ่มธรรมไม่เหมือนอิ่มวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่นเรารับประทานอาหารตอนเช้านี้อิ่ม พอบ่ายมาหิวแล้ว นั่น ธรรมะถ้าได้อิ่ม อิ่มเต็มที่ไม่มีคำว่าหิว อิ่มตลอดเวลา อิ่มพอดิบพอดี อิ่มอย่างเลิศเลอ อิ่มธรรมนี้อิ่มอย่างเลิศเลอด้วย ในหัวใจนี้เลิศเลอ ตั้งแต่ยังไม่ถึงขั้นเลิศเลอมันก็ยังเสกสรรขึ้น เราก็เคยพูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟังถึงการดำเนินที่ว่าไปอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้าเดินจงกรมทางด้านทิศตะวันตกมันมีร่องๆ ยาว จิตตอนนั้นมันสว่างไสวเอาจริงๆ แล้วว่างไปหมด ทั้งๆ ที่หัวใจนั้นยังไม่ได้ว่างจากกิเลสนะ แต่ใจนี้มันว่างจากสิ่งทั้งหลาย มันปล่อยหมด ว่างไปหมด

    ทีนี้ความว่าง ความสว่างไสวภายในหัวใจนั้นสง่างามเอาเหลือประมาณ เราจึงได้รำพึงที่ว่านั่นแหละ เอ๊ ทำไมใจเรานี้ถึงได้อัศจรรย์เอานักหนานา เจ้าของว่าเจ้าของเราไม่ลืม คือมองไปที่ไหนมันทะลุไปหมด ว่างไปหมดเลย แต่ยังไม่ได้มาดูเจ้าของว่าว่างหรือไม่ว่าง บอกแต่ข้างนอกว่างไปหมด ข้างในไม่ว่างมันยังไม่รู้ มันยังไม่รอบว่างั้นเถอะ พอสักเดี๋ยวธรรมะขึ้นแล้ว ท่านกลัวเราจะหลง เราเห็นว่าความว่างของจิตนี้เป็นความอัศจรรย์เลยรำพึงในเจ้าของ ทำไมจิตเรานี้จึงได้อัศจรรย์เอานักหนานา มันว่างอะไรนักหนา ว่างหมด ทั้งๆ ที่เหยียบอยู่บนภูเขาคือแผ่นดินก็ทะลุหมดเลย ว่างไปหมด โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ว่างหมดเลย นั่นเห็นไหมอำนาจของจิต มันว่างในตัวจิตเอง สิ่งเหล่านี้เขาก็มีตามเรื่องของเขา แต่ความว่างนี่มันทับไปหมดเลย ว่างไปหมด

    ไม่นานละ สักเดี๋ยวธรรมะท่านเตือนขึ้นมา บอกว่าท่านเตือนนั่นแหละเพราะกลัวเราจะหลง พอเรารำพึงอันนี้ เรื่องของจิตที่มันอัศจรรย์ มันสว่างกระจ่างแจ้ง มันว่างไปหมดนี้ยุติลงเท่านั้น สักเดี๋ยวขึ้นเป็นเหมือนคนมาบอกเป็นคำๆ ขึ้นภายในหัวอกนี้แหละ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ เราไม่รู้ที่สว่างไสว จุดดวงสว่างไสวนั้นเหมือนตะเกียงเจ้าพายุ จิตเหมือนไส้ตะเกียงมันมีอยู่นั้น จุดสว่างนั้นเป็นจุด ความสว่างของไส้ตะเกียงนั้นเป็นจุด เราไม่รู้ซิ เมื่อรำพึงหยุดลง ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน ผู้รู้ก็หมายถึงใจที่กำลังสว่างอยู่นั้น นั้นแลคือตัวภพ นั่นเห็นไหมท่านเตือน ธรรมเตือน เตือนขึ้นมาภายในใจ

    เพราะธรรมก็ดี กิเลสก็ดี อยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ อันนี้ธรรมเตือนขึ้นมา เรียกว่าธรรมเตือน ธรรมเกิด เตือนขึ้นมา กลัวจะหลงความสว่างของตัวเอง ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน ต่อมก็คือต่อมแห่งผู้รู้ จุดแห่งผู้รู้นั้นแหละ ที่ว่าสว่างไสว นั้นแลคือตัวภพ ยังใช้ไม่ได้ความหมายว่างั้น นั้นแลคือตัวภพ เรายังไม่เข้าใจเลย แบกความสงสัยนี้ไปทางอำเภอบ้านผือ ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ ไปคนเดียวแหละ ก็มาปลงกันที่วัดดอยธรรมเจดีย์ พอกลับขึ้นมานั้นก็เป็นเดือนพฤษภา เราไปเดือน ๓ จากวัดดอยไป พอถวายเพลิงพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ขึ้นวัดดอย

    พอขึ้นวัดดอย โยมเขามาบอกว่าครบร้อยวันของพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ ก็เราเคารพสุดยอดเราก็ต้องลงมางานร้อยวัน พอออกจากงานร้อยวัน วัดสุทธาวาสก็ไป นู่นละแบกหามจิตที่ว่ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ไปทางอำเภอบ้านผือ ลึกๆ ไปก็ยังปลงไม่ตก กลับมาวัดดอยธรรมเจดีย์อีก เดือนพฤษภากลับมานะ วันปลงตกเราก็ไม่ลืม พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้วว่า วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั้นเป็นวันปลงตก ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ จุดต่อมได้พังทลายลงในวันนั้น วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละวันจุดต่อมพัง จุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ตัวภพอยู่กับผู้รู้ ผู้รู้อยู่ด้วยกันกับอวิชชาตัวพาให้เกิด พออันนี้พังลงไปแล้วก็จ้าเลย

    นี่เราก็เทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง อวดท่านทั้งหลายหรือเวลานี้ เทศน์แทบเป็นแทบตาย หาธรรมะมาแทบเป็นแทบตาย จะเข้าถึงขั้นสลบไสลก็มีเวลาฟัดกับกิเลส ของง่ายเมื่อไร มาพูดนี้เป็นการโกหกพี่น้องทั้งหลายหรือ เราเปิดจ้าอยู่ตลอดเวลามาตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยได้ยิบๆ แย็บๆ หรือมียิบแย็บว่า หือ กิเลสนี้กูนึกว่ามึงม้วนเสื่อไปตั้งแต่วันนั้น แล้วมึงยังโผล่หน้าขึ้นมาได้หรือ ไม่เคยเห็นหน้า หน้าลูกหน้าหลาน หน้าโคตรหน้าแซ่ของกิเลส ไม่เคยเห็นเลย โคตรของมันคืออวิชชา อวิชชาพังเท่านั้นโคตรแซ่ของมันพังไปหมดเลย ตั้งแต่บัดนั้นมา ก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ธรรมพระพุทธเจ้ามีผลหรือไม่มี หรือว่าธรรมนี้หมดกาลหมดสมัย สิ้นเขตสิ้นสมัย ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี ไปอย่างนั้นเหรอ พิจารณาซิ

    ศาสดาองค์เอกเป็นผู้สอนธรรมเหล่านี้ไว้ ทำไมพวกเราตาบอดๆ มาอวดเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ลบล้างบาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี มันเก่งขนาดไหนพวกนี้พวกเทวทัต พวกเราลูกศิษย์ตถาคตมันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป คือเหยียบหัวตถาคต ด้วยความโง่เง่าเต่าตุ่น ความมืดบอดของเจ้าของ ผู้รู้ผู้ฉลาดคือจอมปราชญ์ได้แก่ศาสดาองค์เอกสอนไว้โดยแท้ แล้วทำไมไปลบได้ลงคอ กิเลสพาให้ลบ ตัวเราเองเราไม่ลบแหละกิเลสมันพาให้ลบ

    กิเลสมันดื้อด้านนะไม่ใช่ของเล่น มันลบได้หมด บาปบุญ นรกสวรรค์ไม่มี ก็มีแต่กิเลสไปลบ ธรรมชาติอันนี้มีแต่จอมปราชญ์ที่ท่านแสดงไว้แล้วมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์นั้นละคือจอมปราชญ์อุบัติ อุบัติขึ้นมาก็รื้อฟื้นของจริงขึ้นมา อะไรมีๆ หนักเบามากน้อยหยาบละเอียดแค่ไหนไม่ปฏิเสธ ยอมรับๆ บาปบุญ นรกสวรรค์ ยอมรับหมด จอมปราชญ์ได้เห็นได้รู้ รื้อฟื้นขึ้นมาสอนพวกเรา อย่าเหยียบย่ำทำลายนะ จะเป็นการเหยียบย่ำทำลายเจ้าของ ท่านก็สอนอย่างนั้น แต่นี้มันก็ไม่ทนกิเลสได้ กิเลสพาเหยียบไป เหยียบหัวพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไป โดยว่าบาปบุญ นรกสวรรค์ ไม่มีไป พวกนี้พวกเหยียบหัวพระพุทธเจ้าพวกเรานี่ของเล่นเมื่อไร ตีนมันอยู่ต่ำๆ แต่ไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า มันก็เหยียบหัวเจ้าของนั่นแหละ เข้าใจไหมล่ะ

    ฟังให้ดีฟังเทศน์นะ นี่ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตายได้มาสอน จวนจะตายเท่าไรยิ่งเปิดออกๆ มันจ้าอยู่ภายในนี้จะให้ว่ายังไง ตั้งแต่วันที่ว่านั่น วันที่ ๑๕ พฤษภา นั่นละที่ว่าออกเต็มขีดเต็มแดน ฟ้าดินถล่ม ปรากฏว่านะ ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกันนี้เหมือนฟ้าดินถล่ม คือร่างกายนี้พุ่งเลย ร่างกายนี้เหมือนว่ากระเด็นขึ้นข้างบน อำนาจของกิเลสเวลามันหลุดลอยออกจากใจมันรุนแรงขนาดนั้นนะ เราจึงว่าฟ้าดินถล่ม แต่ฟ้าดินจริงๆ ไม่ได้ถล่ม ฟ้าดินอันหนึ่งคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุฟ้าก็อยู่ที่นี่ ธาตุดินอยู่ที่นี่ ระหว่างกิเลสกับธรรมกับจิตขาดจากกันนี้ ขาดสะบั้นลงไปนี้มันพุ่งของมัน ร่างกายนี้ไหวเลยเทียว นั่นน่ะเหมือนฟ้าดินถล่ม

    ตั้งแต่วันนั้นมากิเลสม้วนเสื่อ พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนหลอกลวงโลกเหรอ มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี ฟังเอาซิน่ะ สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าว่าบาปบุญนรกสวรรค์มี แต่มันไม่มีอย่างนี้เรียกว่าพระพุทธเจ้าโกหกโลก แต่นี้เราโกหกเรา พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โกหก เจ้าของนั่นละโกหก ไม่เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า มันโกหกเจ้าของ พวกนี้พวกโกหกเจ้าของ ถ้าว่าจะเดินจงกรมจูงไปนี้เหมือนกับจูงหมาใส่ฝน มันร้องแหง็กๆ ถ้าลงบนหมอนแล้วเหมือนไม่ได้หายใจ ตายไม่ฟื้น ต้องตื่นนอนมันถึงจะฟื้น เข้าใจไหมพวกนี้น่ะ พวกนอนไม่รู้ตื่น นอนในหัวใจ ประมาทก็ประมาทในหัวใจมันไม่มีตื่นนะ ถึงเราตื่นนอนมาอย่างนี้ก็ตาม หัวใจไม่ได้ตื่นจากกิเลสตัณหาขาดสะบั้นไปจากหัวใจนะ พากันจำเอา มีเท่านั้นละ จบ

    พอจังหันเรียบร้อยก็คงประมาณ ๙ โมงครึ่งเราก็จะออกเดินทาง ประมาณเฉยๆ พร้อมเมื่อไรก็ออกเมื่อนั้น แต่คงไม่ต่ำกว่า ๙ โมงครึ่งขึ้นไป จะให้เร็วกว่านั้นไม่เร็วละ จะไปงานเจ้าคุณเขียน เจ้าคุณเขียนเปรียญ ๙ ประโยค ท่านอยู่บ้านโพน ท่านมรณภาพไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วนั้นคือพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน สมัยปัจจุบันกับครั้งพุทธกาลเป็นอันเดียวกัน ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาทำลายความจริงนี้ได้

    ท่านเจ้าคุณเขียนเวลาท่านมรณภาพไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ แต่ก่อนเราก็ไม่รู้ เราพึ่งมาพิจารณาแล้วถามย้อนหลัง แต่ก่อนก็เห็นท่านเอาพระของท่านลูกศิษย์ของท่านในวัด ส่งมาหาเรามาฝากเรา บางทีท่านเขียนจดหมายฝากมาพร้อม ให้พระมาอยู่ในวัดนี้ มาศึกษาพอสมควรแล้วท่านเอาองค์นี้กลับไปแล้วท่านเอาองค์ใหม่มาเรื่อยๆ ท่านเจ้าคุณเขียนนี่ละ ติดต่อเราอย่างลับๆ เงียบๆ อย่างนั้น บางทีท่านส่งพระมาแล้วท่านจดหมายฝากมาพร้อม บางทีท่านก็ส่งมาเฉยๆ อยู่พอสมควรแล้วท่านเอาพระนี้กลับคืน แล้วองค์ใหม่มา องค์นี้กลับคืนองค์ใหม่มาเรื่อยๆ กับเรา คือติดต่อกับเราอยู่อย่างลับๆ อย่างนั้นละ

    ทีนี้เวลาท่านมรณภาพแล้วเราจึงถามย้อนหลังว่า ท่านเป็นยังไงอัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ โอ๊ย เทปของท่านอาจารย์นี้กัณฑ์เด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ อยู่กับท่านทั้งหมดเลย พอตกกลางคืนมานี้ท่านจะอยู่องค์เดียวเงียบๆ ว่างั้นนะ ท่านจะฟังแต่เทปท่านอาจารย์ อ๊อดๆ อยู่องค์เดียว คนเดียวตลอดมา นั่นละคือท่านปฏิบัติเงียบๆ เข้าใจไหมล่ะ สุดท้ายเทปของเราที่เทศน์เด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ อยู่นั้นหมดนะ เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ส่งพระท่านมาเรื่อย ส่งมาแล้วเสร็จแล้วเอากลับไปแล้วส่งองค์ใหม่มาเรื่อยๆ อย่างลับๆ นะ เราก็ไม่ได้คิด

    ตอนที่อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุเราจึงถามย้อนหลัง เปิดขึ้นมาหมด ที่ไหนได้เทปเราอยู่ในกุฏิท่านกองพะเนิน ท่านฟังคนเดียวกลางคืนเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา นั่นละท่านปฏิบัติเงียบๆ ท่านรู้เงียบๆ เห็นไหม เวลาอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุเปิดแล้วนะที่นี่ นั่นคือพระอรหันต์ว่างั้นเลย นี่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ท่านเจ้าคุณเขียนเปรียญ ๙ ประโยค ท่านเรียบร้อยมาก เป็นเพื่อนกัน เกิดปีเดียวกัน เรียนหนังสือก็เราหยุดแล้วท่านเอาเสียจน ๙ ประโยค เวลาปฏิบัติท่านก็เอาเสียเป็นยังไงล่ะ อัฐิกลายเป็นพระธาตุ ก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วนั่น แน่นอนไม่สงสัย ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วตีตรา ไม่ได้เชื่อใครเลย เชื่ออันนี้เท่านั้น อันนี้กับอรหันต์เป็นอันเดียวกัน

    คืออัฐิของเรากระดูกของเราตายต่างกันนะ วันนี้จะแจงอันนี้ให้ท่านทั้งหลายฟังเสียก่อน คือของปุถุชนคนธรรมดาตายแล้วกระดูกเป็นกระดูกตลอดไปเลย จากนั้นกลายเป็นดินไปเลย ส่วนอัฐิของพระอรหันต์นี้ พอท่านตายแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุเพราะอะไร เพราะจิตของท่านครอบอยู่ในร่างกาย พอจิตบริสุทธิ์แล้วเท่านั้น จิตดวงที่บริสุทธิ์นี้จะฟอกธาตุขันธ์ไปโดยหลักธรรมชาติ ไม่มีใครบังคับบัญชา ความบริสุทธิ์ของจิตนี้เป็นความสะอาดสุดยอด แล้วมันจะซักฟอกร่างกายซึ่งเป็นของหยาบๆ ให้กลายเป็นร่างกายหรือว่าธาตุขันธ์อันละเอียดลงไปๆ จนกลายเป็นพระธาตุได้ คือจิตที่บริสุทธิ์นั่นละซักฟอกธาตุขันธ์ ให้พากันเข้าใจเสีย ซักฟอกอยู่ในตัว

    ยิ่งเข้าภาวนาเท่าไรซักฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์ ความบริสุทธิ์ของจิตกระจายออกไปซักฟอกไปๆ สุดท้ายที่ว่ากระดูกนั้นเป็นส่วนหยาบมันกลายเป็นส่วนละเอียดเป็นพระธาตุได้ เข้าใจเหรอ เพราะได้รับการซักฟอกจากจิตที่บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา อันนี้เอาความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คืออำนาจของจิตที่บริสุทธิ์ครองร่างอยู่ จิตที่ครองร่างเป็นจิตที่บริสุทธิ์ครองร่าง จิตที่บริสุทธิ์นี้จะซักฟอกร่างกายที่เป็นส่วนหยาบให้กลายเป็นกายที่ละเอียดเข้าไปๆ จากนั้นพอเจ้าของตายไปก็เป็นพระธาตุไปเลย เพราะจิตนี้ซักฟอก จิตบริสุทธิ์นี้ซักฟอกเป็นหลักธรรมชาติ ยิ่งเข้าภาวนาด้วยแล้วซักฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์ ซักฟอกร่างกายให้เป็นส่วนละเอียดเข้าไปๆ เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นพระธาตุได้

    จิตปุถุชนเราจิตเศร้าหมอง ร่างกายก็เป็นธรรมดาไปเสียเศร้าหมองตามเดิม ถ้าเป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้วก็ซักฟอกเรื่อย อันนี้ก็มีอีกเป็นขั้นๆ นะ ขั้นหนึ่งถ้าจิตของท่านที่บำเพ็ญถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วนี้ แต่พอถึงแล้วท่านก็นิพพานไปเสีย อย่างนี้ก็นานหน่อย จะกลายเป็นพระธาตุช้าว่างั้นเถอะ ถ้าจิตท่านบำเพ็ญมาโดยลำดับลำดา ละเอียดมาๆ ถึงขั้นบริสุทธิ์ แม้ท่านจะนิพพานไปไม่นานอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้รวดเร็วเหมือนกัน ยิ่งจิตของท่านครองธาตุครองขันธ์อยู่นานๆ ด้วยความบริสุทธิ์ของจิตนั้น พอท่านนิพพานไปแล้วจะกลายเป็นพระธาตุเร็ว ต่างกันอย่างนี้

    คือเป็นแต่ช้าหรือเร็ว เนื่องจากจิตดวงที่บริสุทธิ์แล้วครองขันธ์อยู่นานหรือไม่นาน ถ้านานก็เป็นพระธาตุได้เร็ว ถ้าไม่นานพอบริสุทธิ์ได้ไม่นานนิพพานไปเสียนี้ อัฐินี้จะกลายเป็นพระธาตุช้าไปหน่อย พากันเข้าใจ นี้คือหลักความจริง เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้จะซักฟอกร่างกายที่เป็นส่วนหยาบๆ นี้ให้กลายเป็นส่วนละเอียดๆ จนเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ไปด้วยกัน เมื่อท่านนิพพานปั๊บอันนี้ก็เป็นพระธาตุได้เร็ว เข้าใจแล้วเหรอ อย่างผู้เฒ่าแม่แก้วนี้พอตายไปแล้วไม่นานนัก ไม่ถึงปีละมั้ง หรือถึงปีก็เป็นพระธาตุแล้ว นี่แกครองขันธ์มานาน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๕ เราไม่ได้ลืมนะ

    ๒๔๙๓ จำพรรษาที่หนองผือ ย้อนมาจำพรรษาหนองผือเวลาพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้ว ๒๔๙๔ ไปห้วยทราย ผู้เฒ่าก็กำลังเพลินอยู่ในภาวนา รู้นั้นรู้นี้ นั่นละที่เราไปตีลงไปๆ ไม่ฟังเราไล่ลงภูเขาจนร้องไห้นั่นละ พอกลับลงไปไปรู้ตัวได้ ภาวนานี้พอจิตมันลงอย่างที่เราสอนนั้น พอออกจากสมาธิก็ไหว้เราไปภูเขา เพราะเราไปอยู่ภูเขาบนตะวันตกทางเขาพัก พอจิตมันลงเต็มที่ตามที่เราสอน แต่ก่อนแกหลงบ้าไปตามทิศทางต่างๆ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมนี้รู้หมด แต่มันไม่ได้รู้ตัวนี้ซิ ทีนี้เราดึงเข้ามาๆ ให้พิจารณาอย่างนี้ๆ เพื่อให้รู้อันนี้ แกเพลินกับอันนั้นแกติดนั้นจนไม่ฟังเรา เมื่อมันดื้อเข้าไปมากๆ แล้วก็ไล่ลงภูเขาร้องไห้ลงไปเลย ลงไปก็ไปได้สติสตัง

    เหตุที่ได้สติก็เพราะว่าหมดที่พึ่งแล้ว เราก็หวังพึ่งอาจารย์องค์นี้แหละ แล้วนี้ถูกท่านไล่ลงภูเขาแล้วเราจะพึ่งใคร ว้าเหว่มากทีเดียวเสียใจมาก เรียกว่าร้องไห้ลงมา ลงมาก็มาระลึกได้ว่า ที่ท่านไล่ลงมาเพราะอะไร นั่นแกสาวหาเหตุ ท่านไล่ลงมาเพราะอะไร เพราะไม่ฟังคำท่าน แน่ะ ก็ไม่ฟังคำท่านท่านไล่ลงก็ถูกต้องแล้ว ถ้าฟังคำท่านก็ปฏิบัติตามท่านลองดูซิน่ะ ท่านจะพาลงนรกให้เห็นว่างั้นนะ ถ้าจะลงนรกอเวจีหลุมไหนก็ให้เห็น ครูบาอาจารย์ขนาดนี้สอนเราให้ลงนรก เราไม่ฟังท่านท่านไล่ลงภูเขาอย่างนี้ใครผิดใครถูกเอาไปพิจารณาซิ

    เอา ปฏิบัติตามท่าน พอปฏิบัติตามนี้ก็ลงจ้า จากนั้นมาก็กราบ นั่นละแกจึงไปได้เร็วเข้าใจไหม ตั้งแต่ปี ๒๔๙๕ แกผ่านได้ ๒๔๙๔ เราไป ๒๔๙๕ ก็ผ่าน เป็นเวลาปีกว่าๆ เพราะหมุนกันในเรื่องอันนี้ภายใน เพราะแกพร้อมแล้วทางจิตเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงพอแล้ว แต่เอาไปใช้ภายนอก ไม่เอามาใช้แก้กิเลส ทีนี้ตีเข้ามาเพื่อให้แก้กิเลส แกหลงแกติดแกไม่ฟังเสียงเรา ดีไม่ดีจะเป็นอาจารย์สอนเราด้วยซ้ำ นั่นละถูกขนาบไล่ลงภูเขา แกร้องไห้ลงมา พอได้สติที่ท่านไล่ลงมาเพราะเหตุไร เพราะไม่ปฏิบัติตามท่าน เอ้า ปฏิบัติตามท่านดูซิ พอปฏิบัติตามมันก็เป็นอย่างว่า จ้าเลย พอออกจากสมาธิปั๊บแล้วกราบไปทางภูเขา เพราะเราอยู่ทางภูเขานู้น พอตอนบ่ายก็ไปละกับลูกศิษย์ลูกหายกขบวนกันไป จากนั้นแกก็เร็ว

    ทีนี้ยอมรับหมด เรื่องแกรู้นั้นรู้นี้ปลดหมด เพราะเราให้ปลดนานแล้วแกไม่ยอม พอมารู้อันนี้มันก็ลบล้างอันนั้นหมด ทีนี้ก็พุ่งแกถึงได้รู้เร็ว เข้าใจไหมล่ะ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ รู้ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๓๐ เท่าไร มันก็นาน เพราะฉะนั้นอัฐิของแกจึงกลายเป็นพระธาตุได้เร็ว กลายเป็นพระธาตุได้เร็วอยู่ นี่ก็คือพระอรหันต์องค์หนึ่ง ถ้าครั้งพุทธกาลท่านเรียกภิกษุณี หรือว่าอรหันต์ฝ่ายผู้หญิง สาวกสาวิกา ก็เป็นอย่างนั้นละ เอาละพูดไปพูดมาเลยหลงทิศหลงทางไป (หลวงพ่อเจ้าขา หนูจะเรียนถามนะคะ มีพระองค์หนึ่ง ฟันหลุดออกมาหนึ่งซี่ มีคนหนึ่งได้รับไป แล้วฟันนั้นเป็นแก้วขึ้นมา ก็แสดงว่าพระองค์นั้นใจบริสุทธิ์ใช่ไหมเจ้าคะ) อย่ามาถาม ถามอะไร ใครเป็นคนมาเล่าแล้วมาถามเราหาอะไร

    ที่มา http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4312&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...