อัตตา คืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชั่งเถอะ, 28 มีนาคม 2018.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    นะ

    ธรรม มันจะเป็น อุบาย อบรมจิต ไม่มีใคร กล่าว วิธีแจ้งธรรม ได้ตรงๆ

    พระพุทธองค์ ยังไม่สามารถ ทำการชี้ให้ตรงๆ ได้

    แต่ อุบายใด ใช้ ฝึกหัด ตีซ้าย ตีขวา คนที่ สนใจในธรรม ไม่อกตัญู
    คอยแต่จะประเน สันติ ใส่ คนกล่าวธรรมะ

    เวลาได้ยินธรรม เขาจะเอา ไป ฝึก เพื่อดูว่า มันมี อุบายใด แฝงอยู่
    เพื่อการเห็น ทางสายกลาง ที่จะเห็นได้โดยปราศจาก คนชี้ตรงๆ ได้

    พอเห็นได้ ก็จะทราบทันที การแจ้งธรรม เป็นเรื่อง เฉพาะตัว มีสติ
    คือมีความเพียร

    ส่วน ธรรมบทที่เป็น คำสอน แม้นกระทั่ง คำที่ออกจาก พระโอษฐ์
    พระพุทธองค์ ก็เป็นเพียง อุบาย( อนุศาสนีย์ปาฏิหาร์ย) เท่านั้น
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ถึง จขกท.
    คิดว่าคุยกันตามประสา

    อัตตา ก็ตัวตน
    ขัน5 มี รูปกับนาม

    รู้ส่วนหยาบ ก็หมายเอารูปกาย ที่จับต้องด้วยมือ อันนั้นคือรูปกาย ตัวตน
    เรียกอีกอย่างว่ารูปหยาบ
    อันนี้ง่ายเป็นสิ่งที่เห็นง่าย อธิบายได้ง่ายเพราะจับต้องด้วยมือได้
    ขัน5 จึงหมายเอารูปกาย เป็นรูป อีก สี่คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    สำหรับอธิบายพวกปัญญาอ่อน ที่จะเข้าใจได้ง่าย
    ปัญญาอ่อนในที่นี้้ไม่ได้หมายถึงปัญญาอ่อนเป็นบ้าสติไม่ค่อยดีในทางภาษาไทยนะครับ
    มันหมายถึง ปัญญาของสภาวะจิต ที่มีไม่เท่ากันของแต่ละดวงจิต
    พูดง่ายๆคือ พื้นฐานจิตแต่ละคนไม่เท่ากัน

    สำหรับบางจำพวก ก็หมายเอารูปละเอียด ภาษาบ้านๆก็คือ วิญญาณออกจากร่าง
    อาศัยจับต้องด้วยความละเอียดของอายตนะที่ละเอียด
    อันนี้น้อยจำพวกที่จะเข้าถึง
    เพราะไม่ได้จับต้องด้วยมือ แต่จับต้องด้วยความละเอียดของจิต
    มีขัน5เหมือนกัน แต่ในรูปขัน5 นี้ เป็นรูปละเอียด ไม่ใช่รูปหยาบ
    หมายเอาพวกที่มีรูปละเอียด บ้างก็เรียกกายทิพย์
    ในบางส่วนของพระไตรปิฎก อรรถกถา จะอธิบาย ว่าขัน 4บ้าง ขัน5บ้าง
    อันนี้ก็คือ อัตตาในขั้นละเอียด
    (แต่หากว่าเดินสติัปัฏฐานได้ถูกต้อง พวกปัญญาอ่อน ปัญญามันก็จะกล้าขึ้นสุดท้ายมันจะรู้เหมือนกันหมด)
    บางจำพวก ไปหลงของความละเอียด ทำให้เป็นบ้าเพ้อเจ้อไปเรื่อยเยอะแยะ
    จิตหลอกจิต หลงไปแล้วมันแก้ยาก

    ทีนี้ การอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น ในอัตตา
    ไม่ว่าจะในส่วนรูปหยายหรือรูปละเอียดของขัน5นี้ ว่าเป็นกู ของกูนี้ มันทำให้เกิดทุกข์

    การจะเข้าไปดับทุกข์หรือพ้นทุกได้ ต้องกำหนดรู้ทุกข์
    การกำหนดรู้ทุกข์ ก็คือ การสร้างสติ ให้บังเกิด ก็คือการเจริญสติปัฏฐาน ทางเดียวเท่านั้น
    สติตัวนี้ที่เกิดขึ้นได้ มันจึงจะเข้าใจว่า นี่รูป นาม เกิดดับ

    การแยกรูป แยกนามตัวนี้มันจึงเป็นต้นทางเบื้องต้น หากไม่เข้าใจสติตัวนี้
    คุยยังไงก็ไม่มีทางอนุมานเอาได้
    จะคุยเรื่องโพฌชง เรื่องวิปัสนาญาณ หากยังไม่เข้าใจในสติตัวนี้ มันจะไปต่อไม่ได้
     
  3. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    แยกดีแยกชั่ว เป็น แค่ปรมัต เริ่มต้น

    แยกดีแยกชั่วแยกได้ตั้งแต่ หลายชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็แยกได้ ตั้งแต่รู้ความ ทำไม ไม่บรรลุ ตั้งแต่ตอนนั้นเลยละครับ แยกดีแยกชั่วได้ ถือว่าดี แค่ปากทาง เข้า ยังไม่เดินเข้าทางเลย แยกดีแยกชั่วได้ ตายไปแล้วเกิด เกิด ตายแล้วตายอีกๆๆๆ ทุกข์ อยู่กับการแยกดีแยกชั่ว ไปมันทั่ว 3 ภพ ไม่จบไม่สิ้น

    แยกรูปแยกนาม คือ การเดินเข้าทางจริงๆ จะชักเข้าชักออก ประตูไปเรื่อย แต่ก็ยังบอกได้ว่า ได้เข้ามาบ้างแล้ว

    เห็นรูปเห็นนาม เห็นร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา เมื่อไหร่ เมื่อนั้น เข้าประตูได้ แถมประตูปิดใส่หลังอีก ก้าวพลาดยังไง ก็ไม่มีทางเดินออกไปได้ คือ ประตูปิดแล้ว เหลือทางเดียวข้างหน้าเท่านั้น ไม่ย้อนกลับอีก
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    สมมติ นะ สมมติ

    สมมติว่า

    " ส่วน ธรรมบทที่เป็น คำสอน แม้นกระทั่ง คำที่ออกจาก พระโอษฐ์
    พระพุทธองค์ ก็เป็นเพียง อุบาย( อนุศาสนีย์ปาฏิหาร์ย) เท่านั้น "

    ได้ยิน สิ่งที่บอกข้างบน แทงตลอดด้วยดี " สัพเพธรรมมา อนัตตา "
    แม้นแต่ พระพุทธองค์ ก็ ชี้ตรงๆ ไม่ได้

    ก้จะเล็งเห็นด้วยว่า " วิมุตติขันธ์ " มันเป็น ธรรมชาติที่ พรากออกจาก ขันธ์

    ดังนั้น ส่วนที่เป็น วิมุตติ ไม่มีใครหน้าไหน จะเก่งกว่า ศาสดา (เพราะ
    ศาสดา เอง ก็ เล็งเห็น ส่วนวิมุตติขันธ์ ไม่ได้ )

    ส่วนที่ เห็นได้ จะอาศัยจากการ พิจารณา "อุบายการสอนธรรม"
    ดังนั้น ใครจะมี ธรรมอะไร เขาจะดูจาก คำพูด

    หาก ส่วนๆนั้น ไม่พรากจากขันธ์ ยังเป็น สสังขาร เขาก็เรียกว่า มี อุปาธิ หลงเหลือ
    หรือไม่หลงเหลือ จึง พยากรณ์จาก ตรงนี้อีกที

    แต่พอพูดแบบนี้แล้ว พระในงานศพ มีพระเล็งเห็นพระ อันนี้ก็อย่าไป สุ่มสี่
    สุ่มห้าจับประเด็น ตาม ตรรกศาสตร์

    พระ อาจจะ พยายาม ปราม คนที่คิดอกุศล ปรามาสพระ ก็เลยบอกว่า
    พระโน้นนี้กำลังบรรลุ เพื่อที่จะปราม คนที่ ปรามาสพระ อยู่ ก็เป็นได้

    อย่างกรณี " พระอรหันต์ฮ่านอะไร ตกเครื่องบินตายเหมาลำ " ปุถุชนปากลายาม
    มันพูดกันจนเป็นที่สนุกปาก พระบางองค์ก็เลยกล่าวว่า เขามาอยู่ตรงนี้ มาอนุโมทนา
    ขอเศษบุญอยู่นี่ บางองค์เป็นได้แค่พระพรหมมายิ้มอยู่นี้ ก็เพื่อที่จะ ปราม
    พวกที่กำลัง ด่า " พระอรหันต์ฮ่านอะไร ตกเครื่องบินตายเหมาลำ " จะได้หยุด
    ทำอกุศลด่า พระอรหันต์ที่สายหลวงปู่มั่นเขารับรอง ( อย่าลืมนะ การรับรอง
    ไม่ใช่เข้าไปเห็น วิมุตติขันธ์ แต่ อาศัย ดูจาก คำพูด คำสอน ว่า มีอุบายที่
    ถูกต้องในการ ละตัณหา อุปทาน ได้หรือเปล่า เท่านั้น ที่จะเอามา อนุมาน )
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    วันนีพี่นิวรณ์พูดดี น่าคิดพิจารณาอย่างยิ่ง...มุกเลียแตงโมเป็นทุเรียนคงใช้ไม่ได้แล้ว เพราะที่พี่พูดมามันจริง
     
  6. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เรื่องนี้พระขีณาสพละสังขารโดยวิบาก เหมือนเคยได้ยินว่า ทุกองค์นิ่งเงียบ และเหมือนมีใครเคยบอกว่าท่านทราบดีและบอกเป็นนัยก่อนเดินทาง เพราะมีภาระจำเป็นจึงเดินทางมี...ข้อมูลอื่นๆจาก คนที่เดินทางไปด้วยที่เป็นเรื่องลับในวงราชการเกี่ยวพันกันไปหมด...
     
  7. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ไม่รู้คำศัพท์ในสมมุติบัญญัติ ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่า โสดา สกิทาคา
    แต่ถ้าได้ไปเล่าประสบการณ์ที่ตนเข้าถึงให้กับพระที่รู้
    พระท่านก็จะแนะนำให้ไปอ่านปริยัติ
    คนๆนั้น ก็จะถึงบ้างอ้อเอง เรียกตัวเองถูก

    ในวิมุติ ที่ตนเองแจ้ง ไม่ได้มีสภาวะสมมุติบัญญัติเป็นตัวหนังสือลอยมาบอก
    คนที่จะบัญญัติสภาวะนั้น สภาวะนี้ได้ มีเพียงศาสดา
    สาวกเป็นอฐานะ ทำไม่ได้ ต้องให้พระพุทธเจ้าพยากรณ์รับรองเท่านั้น
     
  8. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองนึกถึงสมัยต้นพุทธกาล
    พระโกทัณญะ พระสาวกสงฆ์องค์แรกช่วงต้นพุทธศาสนา
    พระพุทธเจ้าพูดประโยคเดียว เป็นพระโสดาบันทันที
    พระพุทธเจ้ายังไม่เคยเอ่ยถึงคำว่าโสดาบันมาก่อนแน่นอน
    เชื่อหัวอิ๊กคิวเถอะ พระโกทัณญะ ก็เรียกตัวเองไม่ถูกว่าเป็นโสดาบัน
    แต่พระโกทัณญะ รู้แจ้งในสรรพสิ่งแล้ว รู้แล้วว่าพระพุทธองค์คือของจริง
    ต้องรอจนพระพุทธองค์บอกนั่นแหละ พระโกทัณญะ ถึงจะอ๋อ แบบนี้เรียกโสดาบัน

    ถ้าพระโกทัณญะ เป็นชาวฮิบบรู ไม่เคยได้ยินคำว่า"โสดาบัน"มาก่อน
    พระพุทธเจ้าเดินไปโปรด พระโกทัณญะ จะรู้ตัวเองได้ยังไงว่าสิ่งนี้เรียกว่าโสดาบัน

    สมมุติว่าพระโกทัณญะ รู้เองจริง ก็คงไม่เรียกว่าโสดาบัน ก็คงจะบัญญํติศัพท์
    ตามภาษาฮิบบรู โสดาบัน อาจจะตั้งชื่อว่า "โซดาปั่น" ก็ได้
    แต่นั่นหมายถึงว่า ในวิมุติ ที่พระโกทัณญะ รู้แจ้ง มีตัวอักษรฮิบบรูลอยอยู่ในวิมุติ
    พระโกทัณญะ ถึงเรียกถูก??? ว่าต้องเรียกว่าโซดาปั่น

    จึงบอกว่าสำหรับสาวก เป็นอฐานะ ที่จะไปบัญญัติสภาวะ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
    ต้องรอให้พระพุทธเจ้ารับรอง เพราะสมัยก่อนยังไม่มีพระไตรปิฏก
    สำหรับผู้ที่ได้ยิน ได้ฟังมาก่อนแล้วจากพระไตรปิฏกแบบสมัยนี้
    บรรลุปุ๊ป ก็เข้าใจคำศัพท์ที่พระพุทธองค์ทรงได้เคยบัญญํติเอาไว้ทันที

    นี่แหละความต่าง

    เก็ทแล้วเนอะ...
     
  9. ใต้สรวงสวรรค์ ตรีเอกภาพ

    ใต้สรวงสวรรค์ ตรีเอกภาพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +11
    อัตตานุสติ ตาเห็นรูป ก่อนนั่ง สมาธิดวงตาจดจ่ออยู่กับอะไรสักสิ่งนึงจึงทำให้เรานึกว่า นั่งสมาธิไม่เป็นผลเพราะเรานึกว่าดวงตาของเราลืมอยู่หรือว่ารับลงอยู่จึงทำให้เราดูเหมือนว่าการนั่งห้องเราไม่สำเร็จแต่จริงๆแล้วอนุสติของเรา timrt going to do something in didn't tell Melanie something I don't know when I'm thinking that while I'm me
     
  10. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    อัตตา มีตัวตน สัมผัสได้ ไม่ใช่มโน ที่อยู่ในหัว คิดเองว่ามันคือ อัตตา

    ทำไม มาหสติปัฎฐาน 4 จึงทำให้เห็น อัตตา มันมีตัวตน และรู้สึกได้จริง เพราะคือวิธีเร่งให้เห็น อัตตา

    อัตตาคือ ทุกข์ นามขันธุ์ ตัวดู ตัวเพ่ง ดวงกสิน(ทุกกสิน) กาม พยาบาท เจสิก ความยึด สิ่งเหล่านี้คือ อัตตา

    และย้ำอีกครั้ง อัตตามีตัวตน สังเกตุให้ดี สังเกตุง่ายที่สุด เมื่อ เพ่งมากๆ ดูมาก จะเกิดทุกขึ้น มีตัวตน ยิ่งเพ่งยิ่งทุก ยิ่งบีบมันยิ่งทุก

    คำว่าอริยะ แปลได้ดังนี้

    อริ คือ ศัตรู ยะ คือ ห่างไกล

    เมื่อทุกข์เกิด ก็ต้องหาทางหางไกลจากทุก เราบังคับให้ทุก หนีออกไปได้ ยิงมันไปให้ไกล เรียกมันกลับมาก็ยังได้ ถ้าบุคคลใด เป็น โรคจิต ชอบมีทุกข์ติดตัว ก็เชิญทุกข์ต่อไป

    ท่านสามารถกลับไปอ่าน คำอธิบายของหลวงตาบัวได้ ท่านบอกไว้ว่า เราเห็นทุกข์ รู้ว่านี้คือ กิเลส คือ อัตตา ท่านใช้คำว่า " ชำแรกออก " คือ ตรงความหมาย แบ่งมันออก บังคับมัน ให้ออกไป และ ค่อยๆ ทำลายมัน ทีละนิดๆ จนมันหมดไป

    หากท่านเห็นมันจริง ที่ไม่ใช่คิดเอาเองว่า ข้าพ้นแล้ว แค่มองเห็นเฉยๆ ก็ยังไม่พ้น ต้อง ชำแรก หรือ บังคับมันให้ออกไปจาก เรา ได้ด้วย

    คำเขียนทุกคำ ที่ผมเขียน ไม่ใช้อะไรที่ต้องตีความหมายเลยซักนิด ตรงตาม พยัญชนะ และอักขระ ไม่ต้องแปล

    ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ต้องแปล ตรงๆ ตัว ตาม อัขระและพยัญชนะ แต่ ก็ต้องเป็น อักขระและพยัญชนะที่ถูก ต้องด้วย เพราะชอบอ่าน ชอบตีความ จึงทำให้ไม่เข้าใจ ผู้ที่เข้าใจ ก็อธิบายไม่ถูก เพียงแค่ชี้ทาง ให้เห็นเอง

    อธิบายอย่างไร ก็ไม่มีทางเข้าใจ เพราะไม่เห็นเอง จึงว่า บุคคลที่เห็นจริงเป็นของปลอม เพราะ ไม่เหมือนที่ตัวเองเห็นเองแบบมโน หรือแบบหล่อนตัวเอง

    เห็นหลายท่านชอบ กระเทาะผู้อื่น โพสนี้ผมจึงขอ กระเทาะท่านดูบ้าง เผื่อท่าน จะหลุด จาก เปลือก บางๆ ที่หุ้มอยู่นี้ ห่วงกันเข้าไป เปลือกบางๆ นี้ จะเลี่ยมทอง ปิดอีกชั้นเลยมั้ย หรือ เอา ปูนฉาบทับไปเลย ไม่ต้องออกมา
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    อัตตาก็คือ การที่จิตยังยึดในร่างกายนี้อยู่นั่นหละครับ
    เช่น มีคนด่าเราว่าไอ้ควาย แล้วรู้สึกโกรธ
    แสดงว่า จิตมันยึดว่าเราเป็นคนไม่ใช่ควายอยู่
    คนในที่นี้มันก็ยึดตามสัญญาในจิต
    อิงตามรูปร่างที่จิตอาศัยอยู่
    แล้วไปเปรียบเทียบกับรูปร่างควายนั่นหละครับ
    ถ้าโต้ตอบกลับไปก็แสดงว่า ปรุงร่วมไปแล้ว
    เท่านั้นเอง เรื่องปกติทั่วไปครับ...
    ปล.ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ ตามเหตุและปัจจัยแห่งตน..
     
  12. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ยังไม่เห็นตัวจริงของมัน ท่านแค่รู้ว่ามีมันอยู่ แต่ท่านไม่เห็นมันเอง อัตตาคือ อะไร ผมได้บอกไปแล้ว ถ้าท่านเห็นมันจริง และ ชำแรกมันออกไปได้ ท่านจะเห็น ว่ามันเป็นตัวเป็นตน เมื่อดึงกลับมา ท่านก็มีตัวตน เมื่อเอามันออกไป ท่านก็ไม่มีอัตตา ไม่ใช่ตัวตนของท่าน และไม่ยึด ในกายนี้ เพราะรู้อย่างแน่ชัด ว่ามันแค่กาย ไม่ใช่ของเรา ตัวที่มันออกไป นั้นคือ อัตตา ตัวตนของเรา

    ท่านเข้าใจที่ผมเขียนหรือไม่ ไม่ใช่อุปมา แต่มันมีตัวตนจริงๆ ท่านเห็นมัน ในกายท่านหรือไม่ ว่ามันอยู่ตรงไหน

    จำเป็น ต้อง ใช้ มหาสติปัฎฐาน ทำความรู้สึกทั่วตัว จะทำให้เห็นมัน เมื่อมันรวมตัวกันขึ้นมาเป็น ก้อน เป็นดวง ในกาย คำว่า ก้อน ว่าดวง ไม่ใช่คำอุปมา มันคือ ก้อน จริงๆ ที่จิตจับได้
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    จิตเกิดขั้นสุดท้าย ยังไม่รู้ตัวอีก ก้อนที่ว่าเค้าให้ดับ
    และบังคับให้มั่นนิ่งๆ มันถึงจะเห็นความคิดตอนกำลังจะผุด
    จากตัวจิตหรือเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้
    กิริยาแบบที่เอามาโม้นั้น มันคือ จิตเกิดวิ่งไปเรื่อยๆ
    มันยังมีอีก ๓ ขั้นตอน
    กว่าจะเห็นความคิดผุดขึ้นมาได้
    จิตถึงจะพอแยกรูปแยกนามได้ครับ

    ความหมายคือ
    กำลังสติทางธรรมคุณมันน้อย
    ยังจะเอามาพูดแสดงความฉลาดน้อยเพื่อ ?

    และจะพูดให้หล่อไปทำไม พูดไปเรื่อย ถึงมหาสติปัฏฐาน
    จิตคุณแยกรูปได้นามแล้วหรือครับ
    อ่านแค่กิริยาที่เอามาเล่า ก็รู้แล้ว ยังไม่ถึงฐานของจิตเลย..
    จึงตอบเลยว่าจิตคุณยังแยกรูปแยกนาไม่ได้เลย(ถ้าเถียงไม่ต้องกลัวมีคำถามพื้นๆไว้ดมสอบ)
    จะไปเอามหาสติปัฏฐานมาอ้างเพื่อ พยายาม
    เสริมความคิดตนเองให้ถูกไปเพื่อ ??

    ถ้าเกิดเห็นแย้งว่า ข้าพเจ้าพูดผิด ตรงไหนนะ
    ตอบหน่อยซิ

    ๑.กิริยาความคิดจากจิต กับกิริยาที่เกิดจากขันธ์ ๕
    นามธรรมต่างๆและมีเอกลักษณ์อย่างไร
    ๒. ขันธ์ ๕ นามธรรม
    ในระดับสมถะมันมาจากทางทิศไหน
    ๓. และความคิดที่ขึ้นจาก
    จิตรูปร่างมันเป็นอย่างไร
    ๔.กิริยาที่จิตว่างรับรู้อยู่ภายในอย่างนั้นเป็นอย่างไร
    เพราะพวกนี้เป็นแค่เบสิค พื้นฐาน ยังห่างมหาสติปัฏฐานเยอะ
    ไม่ต้องตอบก็ได้ แต่ถ้าไม่รู้และเข้าใจ
    คือ ที่รู้มาคือเสร็จแระ ไม่ทันการปรุ่งแต่ง


    ถ้าตอบที่ถามไม่ได้ หรือไม่เข้าใจที่ถาม
    กรุณาอย่า พึ่ง มาแนะนำคนอื่นๆ
    หรือพูดเรื่องมหาสติปัฏฐานอีกนะครับ
    เพราะมันยังไม่พ้นมโนมนึกหรอกครับ ?

    ที่คุณเห็นนะ มันแค่ตัววิญญานที่ส่งออกจากจิต
    ตัดมันได้ก็จบแล้ว จะพูดมากไปเพื่อ
    จิตไม่มีอะไรส่งออกไป มันจะไปดึงอะไร
    ไปรับรู้อะไร ไปสร้างอะไรได้
    และดึงอะไรเข้ามาจนกลายเป็นอัตตา
    ตัววิญญานมันส่งออกไปแล้ว มันจะสร้าง
    เป็นอะไรก็ได้ มันก็สร้างตามสัญญาในจิตเรานั่นหละครับ
    มันรู้ว่า เราตัองการให้ออกมาอย่างไร
    มันก็สร้างอย่างนั่นหละครับ
    ดังนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมันกับมัน
    เพราะคุณไม่ทันมันแล้ว.......

    อัตตานะ มันเกิดไม่ได้หรอก ถ้าจิตไม่ส่งตัววิญญาน
    การรับรู้ออกไปกระทบภายนอกแล้วดึงเข้ามา....
    จนกลายเป็นตัวเองขึ้นมา
    จะไปมโนอุปโลกมันเป็นตัวตนขึ้นมาทำไม
    เพราะมันเป็นนามธรรม ถ้ามันเป็นรูปร่างได้
    แสดงว่ามันยังมีสัญญาปนอยู่ในการร่วมสร้าง
    ที่คุณพูดนะ มันเป็นเพียงนามธรรม
    ที่สร้างได้จากตัววิญญาน
    บวกกับสัญญาในจิตเราเองนั่นหละครับ......

    จิตนะจะเห็นว่า กายนี้ไม่ใช่ของเราได้จริงๆ
    ถามหน่อย มีปัญญานั่งสมาธิจนเห็นกายตัวเองอีกตนหรือยัง
    หรือนั่งสมาธิจนควบคุมจิตให้มันอยู่นิ่งๆในกายและ
    จิตมันวิ่งไปดูในกายได้เองหรือยัง
    วิ่งจนเกิดการระเบิด ทำได้ยัง

    มหาสติปัฏฐาน ระดับมโนเอาใช้กำลังสมาธิต่ำแบบนี้
    แถมจิตยังแยกรูปแยกนามไม่ได้แบบนี้
    มันคือการหลอกตัวเอง สร้างจากตัวความคิดที่เกิดจากจิตตนเอง
    แต่ยึดเอาว่าความคิดตนเป็นสติและปัญญาแล้วไปพิจารณา
    เค้าเรียกว่า มโนมนึก....หรือวิปัสสนึก

    แค่ตัดตัววิญญานที่ส่งจากจิต เบสิค ง่ายๆแค่นี้ไม่เข้าใจ
    ทำมาพูดเรื่อง มหาสติปัฏฐาน เอาสติทางธรรมให้เห็น
    ระดับเบสิคพื้นๆก่อนดีไหมครับ....

    จำไว้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ อย่าไปพูดเรื่องเดินปัญญา
    หรือวิปัสสนา เพราะอย่างไรก็เป็นวิปัสสนึก
    เดินปัญญายังไม่ได้ อย่าไปพูดเรื่องสติปัฏฐาน
    เพราะจะไม่มีวันเข้าใจ กริยาที่จิตว่างรับรู้ภายในอยู่อย่างนั้น

    ยังไม่มีกำลังสติทางธรรมมากพอ ปัญญาทางธรรมยังไม่เกิด
    อย่าไปพูดเรื่อง มหาสติปัฏฐาน
    มันมีขั้นมีตอนของมันอยู่

    ไม่ใช่จะเอาไว้ พูดให้มันดูเท่ห์ เพราะศัพท์มันสูง พูดแล้วหล่อ
    หรือพูดเพื่อเสริมความคิดของตนเอง
    หรือพูดเอาไว้เพื่อยกให้ตนเองดูดี

    อายเค้า....จำไว้...
    เล่าให้ฟังนะ ไม่ได้มีเจตนาหาเรื่อง...
     
  14. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ท่านรู้จัก ตัวพูดมากมั้ย ครับ มันคืออะไร ผมกำลังดูมันอยู่ ไม่ใช่ท่านนะ เป็น ขันธ์ นั้นเอง เหมือนมี คนคุยกับเราตลอด มีเพื่อน คุยด้วยตลอดไม่เหงาเลย
     
  15. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ท่านแยกรูปแยกนามอย่างไร วิธีของท่าน ผมขอทราบได้หรือไม่ ถ้าวิธีแยกรูปแยกนาม ของผมผิด
     
  16. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ท่านนพ ครับ ที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด นี้คือ ไม่รู้เรื่องที่ผมเขียนไป เลยใช่หรือไม่

    ตอบท่านไป ท่านก็ว่าไม่ใช่ เพราะ ท่านไม่เห็น

    ผู้ที่เข้าใจ เขาก็นิ่งเพราะมันเคยเห็นมาก่อน

    ผู้ไม่เข้าใจ ก็แบบนี้ ...

    อัตตามีตัวตนจริง ไม่ใช่สิ่งที่ท่านพูดมา หากแยกออกได้ และชำแรกมันออกเป็นส่วนๆ จะเห็นเลยว่ามันมีอะไรบ้าง

    ท่านเคยเห็นตัวพูดมากรึเปล่า วันนี้ผมฝึกแยกตัวนี้ออก มันส์ ดีมาก มันเถียง กับผมใหญ่เลย แถมด่า อจ. ที่สอนผมอีก ล้อเรียนผม ร้องเพลงให้ฟังจนจบเพลงเลยทีเดียว วนไปวนมาจนลำคาน

    เอาเช่นนี้ ลองไปหาที่หลวงตาบัวท่านสอนไว้ มีตอนที่ท่านกล่าวเกี่ยวกับตัว กิเลส ท่านจองดูมัน มันแสดงนู้นนี้นั้นให้ท่านดู จนท่านปวดหัว

    ผมก็กำลังรำคาญ มันเหมือนกัน

    ขอย้ำอีกครั้ง ตัวพูดมากนี้ไม่ใช่ท่าน ไม่ใช่เพื่อพูดประชดท่าน มันคือ สัญญาและสังขาร ขันธ์

    หากแยกมันออกมาดู มันจะเป็นเช่นนี้ แม้แต่ตอนนี้มันก็กำลังพูดเถียงผมอยู่

    หากฝึกดีๆ คอยสังเกตุ อาการ กระพริบยิบๆ ที่ไม่ใช่เราเอง นั้นคือ มีการสือสารจากสิ่งอื่น จะรู้ได้ว่าไม่ใช่เรา เพราะ ไอ้ตัวพูดมาก จะเป็นอีกตัวนึง

    นี้คือ เจโตปริยญาน กำลังฝึกอยู่ รับได้เพียง มีสิ่งมากระทบ กับ เพื่อนฝึกด้วย

    ทุกอย่าง ต้องมี มหาสติปัฏฐาน เป็นฐานเสมอ

    ที่ท่านถามมาทั้งหมด ผมขอไม่ตอบนะครับ เพราะคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่
     
  17. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    .........
    ปัญหาแลวิวาทะนั้นเกิดจากเหตุ2
    ผู้ไม่รู้เถียงกัน
    ผู่ไม่รู้เถียงผู้รู้
    ผู้รู้คุยกันไม่เป็นแบบนี้หรอก

    คุยกันมาตั้งร้อยrep.
    ยังหาจุดลงไม่ได้ถามยังไปว่าคนนั้นคนนี้
    โอ้ยๆๆๆๆๆๆ

    ขอผมถามหน่อยสิ
    แต่ละท่านใครเป็นครูบาอาจารย์สอนกรรมฐาน
    แล้วเราน้อมมาปฏิบัติกันยังไง
    จะได้เช็คบิลถูก
    เรื่องมันจะได้จบๆ

    รึแค่ต้องการอวดอ้างสรรพคุณ
    ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าสนใจข้อความนี้
    ขอความกรุณาปล่อยผ่านเลย
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    คุณผ่านมาเฉยๆ
    คุณ ช่างเถอะ ไม่ได้หาเรื่องผม
    เป็นการสนทนากันเชิงแลกเปลี่ยนความเห็น
    ที่ได้มาจากการปฏิบัติครับ....
    อวดอ้างสรรพคุณคงไม่มีหรอก...คุณก็พูดไปเรื่อย...
    ถ้าข้าพเจ้าจะอวดอ้างสรรพคุณจริงๆ
    คงท้าคุณช่างเถอะ ไปแสดงความสามารถ
    ต่อหน้าพระเกจิอาจารย์อาจารย์แล้วหละครับ
    หรือไม่ก็ไปแสดงความเห็นต่อหน้าพระสายวิปัสสนาแล้วหละครับ
    พอเข้าใจว่า คุณ ผ่านกับ หลวงตาพอมีคอนเน๊กติงกันอยู่
    ให้เฉยๆไปก่อนเน้อ พอขำๆ.....


    คุณช่างเถอะครับ เอาว่าลองอ่านดูก่อนเนาะ.....
    การที่จิตจะแยกรูปแยกนามได้นั้น ทางกิริยา
    มันคือ ตัวจิตสามารถเห็นได้ว่า ๑.ความคิดที่เกิด
    จากจิต ๒.ตัวจิต และ ๓.ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือ ที่บางท่าน
    เรียกว่า วิบากกรรม สามารถเห็นทั้ง ๓ ส่วนนี้เป็นคนละส่วนกัน
    ได้อย่างชัดเจนครับ....

    กิริยามันจะเป็นอย่างนี้นะครับ...
    ๑.ความคิดที่เกิดจากจิต ก็คือลักษณะที่เราสามารถ
    เปลี่ยนแปลงมันได้ ซึ่งปกติบุคคลทั่วไปจะใช้ความคิดนี้
    ในทางโลกเช่น ใช้เรียนหนังสือ ใช้ประกอบสัมมาอาชีพ
    เอกลักษณ์ เด่นๆของมันก็คือ สามารถที่จะบอกให้มันดำก็ได้
    ยกตัวอย่างเช่น คุณคิดว่าคุณผ่านผอม แต่ก็จะสามารถคิดว่า
    คุณผ่านอ้วนก็ได้ นี่คือลักษณะความคิดที่เกิดจากจิตครับ....
    ความคิดแบบนี้ ถ้าจะเดินปัญญาเราต้อง
    ดับไม่ให้มันเกิดขึ้นมาเลย......

    ๒.ตัวจิต ถ้าคุณเน้นทางวิปัสสนา คุณจะเห็นแต่ตัววิญญาน
    ที่ส่งไปกระทบ. ค่อยๆนึกภาพตามนะ ตัวจิตเป็นดวงกลมๆ
    มันจะมีกระแสตัวหนึ่ง ที่ส่งออกจากตัวจิต ไปกระทบอะไรก็ตาม
    ภายนอก ยกตัวอย่าง เช่น คุณช่างเถอะ มองเห็นเก้าอี้
    ทางกิริยาก็คือ ตัวจิตส่งตัววิญญาน ผ่านทางตาไปกระทบเก้าอี้
    คุณเรียกได้ถูกว่า เก้าอี้ เพราะมีสัญญาในจิตว่า รูปร่างลักษณะ
    แบบนี้ ทางโลกเรียกเก้าอี้ ส่วนฝรั่งเรียก แชร์ เป็นต้น
    ซึ่งคนที่หนักมาทาง วิปัสสนา มักเข้าใจผิด คิดว่า ตัวนี้
    มันคือ ตัวผู้รู้. แต่จริงๆมันไม่รู้อะไรเลย มันรู้ก็ต่อเมื่อ
    มีสัญญาในจิตแล้ว ว่าลักษณะแบบนี้ เรียกเก้าอี้
    พอนึกภาพออกไหม ไอ้ตัวที่ส่งจากจิตไปกระทบนี่หละครับ
    มันคือ ตัววิญญาน ซึ่งมันแค่ส่งผ่านทางตาออกไปกระทบ
    เฉยๆ ถ้าคำว่ารู้จริงๆ มันจะต้องบอกได้ถูกว่า
    เก้าอี้นี้เกิดมาจากอะไร และจะดับได้อย่างไร
    พอมองภาพกว้างๆออกนะครับ.......
    แต่ถ้าคุณดับเป็นเซียนสมาธิ คุณจะเห็นตัวจิตเป็นวงกลม
    ได้อย่างชัดเจน และจะเหมือนมีคล้ายๆฝ่ามือตัวหนึ่ง
    คอยตามตัวจิตอยู่ แต่คุณจะไม่เห็นตัววิญญานการ
    รับรู้ที่มันส่งออกจากตัวจิตครับ....
    ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า วิปัสสนากับสมถะ มันต้อง
    สมดุลย์กัน เราถึงจะพอมองเห็นได้ ทั้ง
    ตัวที่คล้ายๆฝ่ามือ ที่เค้าเรียกว่า ผู้ดู
    และตัวจิต และตัววิญญานที่ส่งออกจากจิต
    ที่ทางบุคคลที่หนักไปทางวิปัสสนา
    ชอบหลงเข้าใจว่ามันเป็นตัวผู้รู้
    ทั้งๆที่มันรู้แค่สิ่งที่มันไปกระทบครับ

    นึกออกไหม ตัวอย่าง คุณเห็น เทวดา
    คุณเรียกถูก ว่าสิ่งที่เห็น ต้องเรียกว่าเทวดา
    ทำไมถึงรู้ เพราะมันมีสัญญาในจิต
    ว่า เทวดาต้องแต่งตัวแบบนี้ นี่คือรู้ตามสัญญา


    แต่มันจะไม่รู้ว่า คุณเห็นเป็นภาพเทวดาได้อย่างไร
    ภาพที่คุณเห็นทำไม ต้องเหมือนเทวดา
    และจะไม่รู้ว่า ภาพเทวดามันเกิดได้อย่างไร
    และมันดับอย่างไร และมันสามารถเปลี่ยน
    แปลงเป็นอย่างอื่นๆได้ไหม ที่ไม่ใช่คล้ายเทวดา
    ตามที่เรามีสัญญา หรือเคยเห็นตามฝาผนัง
    พอมองภาพออกไหม...


    ๓.อีกตัวคือขันธ์ ๕ นามธรรม เคยสังเกตุความคิดประเภทหนึ่งไหม ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม อยู่ดีๆมันก็ขึ้นมา
    หรือเวลาเราไปสถานแห่งใด ที่เราเคยมีพฤติกรรมร่วมกับ
    สถานที่นั้นๆ แล้วมันก็ผุดขึ้นมา ให้เราจำได้ ว่าเราเคยทำอะไร
    ความจริง ความคิดพวกนี้ มันไม่ได้มาจากตัวจิตนะครับ
    มันมาจากภายนอก สามารถเห็นได้ชัดเจนในกำลังสมาธิ
    ระดับที่ สามารถควบคุมจิตให้อยู่ในกายนิ่งๆ ในขณะที่
    มันแยกขาดจากกายชั่วคราวได้ และสามารถรักษาระยะ
    เวลาได้พอสมควร

    เอกลักษณ์มันคือ ถ้าเราไปดูมัน
    มันจะดับทันที และจะผุดเรื่องอื่นๆขึ้นมาแทน
    และคุณจะไม่สามารถไปเปลี่ยนเรื่องที่มันขึ้นมาได้
    ยกตัวอย่าง ถ้า มันขึ้นมาว่าคุณผ่าน ผอม
    คุณจะไม่สามารถที่จะคิดได้เลยว่า คุณผ่านอ้วน
    นี่คือ ความคิดผุดที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม

    คุณต้องเจริญสติให้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น
    ไอ้วงกลมที่คุณเข้าใจมันช่วงปลาย ใครๆก็เกิดได้
    จนกว่า คุณจะดับมัน จนวงกลมเปลี่ยนเป็นแบบอื่นๆ
    และมันกลับมาอยู่ที่ฐาน
    ถ้าเห็นตอนที่ความคิดมันจะขึ้นมาจากจิตได้
    จิตจะดีด ความคิด ๑ ออกจากจิตทันที
    หรืออีกกรณีหนึ่ง ถ้าสามารถเข้าสมาธิระดับสูงได้
    ก็จะเห็นความคิดผุดที่เรียกว่าขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    มันจะมาจากด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งมันมาจากภายนอก
    เรียกได้ว่า หูแทบแตก มันจะมาเป็นเกลียว
    ถ้าสามารถเห็นมันตอนจะรวมกับจิตได้
    จิตเราก็จะแยกรูปแยกนามได้......


    ถามอีกรอบว่า เคยเห็นอย่างนี้หรือยัง ???
    ถ้าเคย คุณจะพบว่า ที่ข้าพเจ้าถามไปก่อนหน้ามัน
    มันสุดแสนจะตอบได้อย่างง่ายดายครับ


    การเกิดของจิตนะ เริ่มแรก มันจะเกิดเป็นวงกลม
    บางคนออกนอกกาย แล้วไปหกคะเมนตีลังกา
    นี่คือ กำลังสติยังน้อยมาก และกำลังสมาธิก็ไม่พอ
    ที่จะควบคุมตัวจิต.....

    เราจะต้องสร้างสติทางธรรมเข้าไปด้วยการเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง บวกกับสร้างสมาธิสะสม
    แล้วคุณจะพบว่า
    ไอ้วงกลมมันเป็นขั้นท้ายๆ
    เพราะมันจะไล่ลำดับดังนี้
    ๔.เป็นวงกลมออกไปหกคะเมนตีลังกา
    ๓.เป็นวงกลมแต่ยังอยู่ในกาย
    ๒.กำลังก่อตัวเป็นวงกลม คล้ายๆปลายคลื่นทอร์นาโด
    ๑.กำลังหมุนคล้ายๆก้นห้อย
    ๐.กำลังจะผุดขึ้นมาหมุนเป็นก้นหอย
    *** ในกรณีคนที่อายุ ๕๐ อัพและผ่านโลกมามาก
    ประมาณว่า พรุ้งนี้บ้างจะโดยยึดแล้วสามารถนอนหลับ
    ได้ปกติ จะไม่เห็นข้อที่ ๐ ถึง ๓ เป็นธรรมดา ****
    ถ้ายังวัยรุ่น ก่อนจิตจะแยกรูปแยกนามได้
    มันจะต้องเห็น กระบวณการเกิดของจิตครบทุกขั้นตอน
    ที่กล่าวมา.......

    และกำลังสติต้องเห็นก่อนข้อที่ ๐ (ซึ่งจะไม่บอกว่าหน้าตา
    เป็นไง แต่จะเอาไว้ถามกรณีคนที่ ขี้โม้ ทับถม
    หลงตัวเองทั้งหลาย ไม่ใช่คุณนะ)
    และเห็นขันธ์ ๕ กรณีที่เข้าสมาธิได้
    จิตถึงจะแยกรูปแยกนามได้



    เข้าใจหรือยังว่า ทำไมถึงบอกว่า
    อย่าพึ่งพูด มหาสติปัฏฐาน.......
    เพราะถ้าเห็นได้ รู้กิริยาทั้งหมดได้
    ทางเห็นชอบถึงจะเปิดทางให้เราเดินปัญญาได้
    ย้ำว่า แค่เริ่มต้นเดินปัญญาได้เท่านั้นเอง


    และการที่คุณยังไปเข้าใจ ว่าตัววิญญาน
    ที่ส่งออกไปแล้ว มันสามารถเป็นรูปร่างอะไรได้
    นั่นคือ อัตตาที่มันจับต้องได้นั้น
    มันบอกว่า เราไม่ทันมันตรงนี้
    เพราะเมื่อจิตมันเกิด
    และตัววิญญานมันส่งออกไปแล้ว
    ถึงขั้นเป็นภาพได้. เราสามารถที่จะสร้าง
    ให้มันเป็นภาพอะไรก็ได้
    ยกตัวอย่าง ถ้าเห็นภาพคน
    แล้วเรามีกำลังสติเพียงพอ
    เราจะพบว่า ภาพคนนั้น สามารถเปลี่ยน
    เป็นเทวดา เทพ หรือใครก็ได้
    ตามแต่ระยะเวลาที่เราสามารถรักษาอารมย์ได้ครับ

    รู้และเข้าใจที่พูดมาข้างบนทั้งหมด
    ต่อไปถึงจะไปสติปัฏฐานได้
    จนเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมา
    และมีความละเอียดขึ้นมาอีก
    ถึงจะไปมหาสติปัฏฐานได้ในลำดับต่อมา
    แล้วมาสังเกตุการเกิดดับ
    สาเหตุที่เกิด สาเหตุที่ดับ ดับเพราะอะไร
    เกิดเพราะอะไรได้ มันถึงจะไป
    เป็นปัญญาญานได้

    ปัญญาญาน ตัวอย่าง เช่นเราเห็นภาพเทวดา
    เราจะรู้ว่าภาพเทวดานั้นมันเกิดอย่างไร
    ซึ่งต้องอธิบายเหตุที่เกิดได้
    ตอบได้ไหมตรงนี้ ? ยังไม่ได้หรอก....
    และภาพเทวดาที่เห็นนั้น มันจะดับได้อย่างไร
    ตอบได้ไหมตรงนี้ ? และสามารเหตุอะไร
    ถึงเห็นอย่างนั้น ตอบได้ไหมตรงนี้.....


    พอเข้าใจหรือยังว่า ทำไมข้าพเจ้า
    ถึงได้บอกว่า อย่าไปพูดเรื่องมหาสติปัฏฐาน
    หากยังตอบในระดับพื้นฐานไม่ได้....

    และจำไว้ว่า อย่าได้เอาครูบาร์อาจารย์
    มาอ้างเพื่อเสริมความคิดของตน
    ควรเอาสิ่งที่ตนปฏิบัติได้มาพูด
    เพราะครูบาร์อาจารย์ควร
    ยกไว้ อย่าไปดึงเอาชื่อท่านมา
    ให้เสื่อมเสีย

    มันจะทำให้การปฏิบัติของเราไปได้ช้า.....

    ในเวบนี้ ข้าพเจ้านี่หละ ที่ลงวิธีการฝึกย้อน
    อดีตซึ่งมีประมาณ ๖ ถึง ๗ วิธี
    ลงไว้ไม่กี่วัน เพราะเห็นว่า มันไม่ใช่
    มรรคผลและมีประโยชน์อะไร

    ย้อนอดีต รู้ว่าสัตว์นั้นทำกรรมอะไรมา
    ดวงจิตทั่วๆไป จะรู้ได้ ๔ ถึง ๕ ชาติ
    เป็นปกติ นี่มันระดับกระโหลกกะลา
    อย่าเอามาพูด....
    เอาไว้ ย้อนได้ถึงยุคไดโนเสาร์
    แม้ย้อนได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก
    มันแค่ สมถะ ไม่ใช่วิปัสสนา
    ถ้าจะรู้ เค้าให้ย้อนไปรู้ว่า

    ปัจจุบันนี้ เราพลาดตรงไหน
    ถึงยังต้องได้กลับมาเกิดครับ
    หรือรู้เหตุแห่ง การเกิดของบุคคลนั้นๆ
    ว่าทำไม ต้องมาทำกลับเราอย่างนี้
    แต่ไม่ใช่ เรื่องที่จะเอามาคุย
    เพื่อให้ตนเองดูดี หรือเสริมความคิดตน
    เพราะมันพิสูจน์อะไรไม่ได้

    พุทธเราเน้นปัจจุบัน เน้นด้านปัญญา
    ถ้าจะมาโชว์ทางด้าน สมถะ
    ควรจะต้องเก่งกว่านี้
    หรือมีความสามารถใช้งานทางจิต
    ได้จริงๆก่อน แล้วถึงค่อยมามาคุย
    แม้ทำได้จริงๆ ก็ยังไม่ควรเอามาคุย
    เพราะมันไม่ใช่ทางพุทธ

    จิตแยกรูปแยกนามยังไม่ได้
    ติตในตัววิญญานที่ มันส่งออกไป
    ซึ่งจะสามารถสร้างเป็นอะไรก็ได้
    แล้วไปอุปโลกน์มัน จนมีตัวตน
    จับต้องได้..เพื่ออะไร ?

    ไม่มีความสามารถทางจิตใช้งานได้จริง
    แล้วจะเอามาพูดเพื่ออะไร ไอ้เจโตฯ
    ระดับอนุบาลรัศมีน้อย.. ?

    และจะไปยก ท่านโน้นนี่ท่าน
    เพื่อมาเสริมความคิด เสริมอัตตา
    เพื่อให้คนอื่นๆเห็นว่า ความคิดตน
    นั่นคือใช่ ถูกที่สุด เพื่ออะไร ?

    ครูบาร์อาจารย์ นะยกไว้บนหิ้ง
    อย่าไปดึงของสูงให้ลงมาต่ำ....

    ปฏิบัติได้แค่ไหน ก็แค่นั้น
    เถียงข้าพเจ้าไหม
    ว่า ข้าพเจ้าพูดผิดตรงไหน
    มาพิสูจน์กันได้...

    ถ้าคุณไม่ใช่อย่างที่ข้าพเจ้าพูด
    เจอตัวกันเป็นๆ ข้าพเจ้า
    อนุญาตให้คุณต่อยหน้า
    ข้าพเจ้าได้เลย โดยที่ไม่โต้ตอบ

    มาพิสูจน์กันไหม....
    ปล. พอเข้าใจที่สื่อนะครับ
    และก็อย่าเที่ยวไปพูดเรื่องความ
    สามารถเจโตกระโหลกกะลาแบบนี้
    กับคุณผ่านด้วยนะครับ เด่วจะหน้าแตก
    หมอไม่รับเย็บ...แล้วจะหาว่าไม่เตือน..
     
  19. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    เอาละ ท่านนพ ว่ามันคือ วิญญาญ ตัวที่ส่งออกไป ก็มีส่วนถูก แต่ไม่ทั้งหมด แต่ท่านนพ เคยเห็น ไอ้ตัววิญญาญ ที่ท่านนพ ว่านี้รึเปล่าครับ หน้าตามันเป็นอย่างไร มันมีตัวตนหรือไม่ สัมผัสได้หรือไม่
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กราบ ขออภัย

    ด้วยอำนาจแห่ง ธรรมของพระผู้มีพระภาค
    เปนใหญ่ และ ประโยชน์ของคนฟังธรรม

    เก้าอี้ เปน สังขารขันธ์

    เรียกตามตำราว่า อนุปาทินสังขาร

    เก้าอี้ จึงเกิด จากอวิชชา

    และ เพราะมันเปน สังขาร จึงเปน ปัจจัยให้เกิด วิญญาน

    เพราะมี วิญญาน จึงเกิด นามรูป

    เพราะมี นามรูป จึง เกิดสฬายตนะ (อายตนะ)

    เพราะมี ตา จึงมี ผัสสะ ตากระทบรูปเก้าอี้(จริงๆ กระทบรูป แต่ขออนุญาติข้ามไป ภพ ชาติ เลยพูด
    ว่า เก้าอี้ เลย ถ้าเปน ภพ ชาติ สัตว์อื่น จะไม่มี
    พยัญชนะ นามรูป ตามอนุปาทิน เก้าอี้)

    ดังนั้น

    วิญญาน เปน ธาตุ เกิดจากปัจจัย ไม่ใช่ สัตว์
    ตัวตน บุคคล เรา เขา ไม่มีรูปร่าง หากยังมี
    อวิชชา จิตก้เกิด

    หมดอวิชชา หมดปัจจัย จิต/วิญญาน เกิดไม่ได้

    อัตตา หรือ อัตวาทุปาทาน เปนเพียง วิบาก
    อันเกิดจาก อุปทานในขันธ์ อีกที

    คนที่มี ปัญญาดี ใส่ใจสดับธรรม จะเหน
    อัตตวาทุปาทาน อุปมาเหมือนตาเหนรูป
    เหมือน จับต้องได้

    ปัญญชำแรก กิเลส เปนเรื่อง กำหนดรู้ทุกขสัจจ
    เหน ปฏิจสมุปบาท ไม่ใช่ ฝึกเจโตฯ คอยต้อนรับ
    ขับสู้กับ อะไร กรรมมี เก้าอี้จึงมี

    กรรมไม่ดีให้ผล นั่งเก้าอี้ ก้พัง หรือ อันตรธาน หายไป เช่น ศิษย์พระสารีบุตร จะตักข้าวเข้าปาก
    กรรมวิบากให้ผล ข้าวก้อันตรธานหายไปจากบาตร

    จิตจึงไม่ใข่เรา ของเรา ผู้รู้ไม่คิดข้องอยู่
    แต่ถึงกระนั้น ศิษย์พระสารีบุตรก้ยังสลัด
    ทิ้งไม่หมด ต้องแบก กริยาจิตขอได้กินอิ่มสักมื้อ
    ถึงมีความสุขกับเขาบ้าง ทั้งๆที่ เปนอรหันตสาวกแล้ว

    สังขารแม้นน้อยนิด เปนภัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...